ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

kumponys' Blog

  • เรื่อง
    15
  • ความเห็น]
    105
  • เข้าชม
    100,635

ตาแห้งรักษาง่ายๆด้วยฉี่

kumponys

ดูแล้ว

เรื่องการแก้อาการตาแห้ง หรือแม้แต่อาการอื่นๆที่แพทย์แผนปัจจุบันตรวจไม่พบ รักษาไม่หาย เช่นเบาหวาน มะเร็ง SLE หลอดเลือดอุดตัน หัวใจขาดเลือด จริงๆ ผมก็เชื่อว่ารักษาได้นะครับ แต่เอาที่ประสบเองเลยครับ ชัดๆ พูดได้เต็มปาก

 

ลูกพี่ลูกน้องผม มีอาการตาแห้งมาหลายปี ใช้น้ำตาเทียม มาระยะหนึ่ง รุนแรงมากในช่วง 2-3 ปีหลัง จนกระทั่งล่าสุด หมอนัดที่จะลองเจาะเอาน้ำเหลือง หรืออะไรสักอย่างที่บริเวณข้อพับแขนมาทำน้ำตาเทียม พอดีโทรมาคุยกับผม ผมกำลังศึกษา case นี้จาก CD หมอเขียวพอดี ซึ่งบอกว่าอาการตาแห้ง เกิดจากตับไตเรา สะสมพิษร้อนไว้มาก ให้ทานอาหารฤทธิ์เย็นแก้ ส่วนตาที่แห้ง ให้ใช้น้ำกลั่นสกัดย่านาง หรือถ้าไม่รังเกียจ ฉี่นี่แหละ ดีที่สุด ผมก็แนะนำไปตามนั้น

 

แกไม่กล้าใช้ฉี่ ก็เลยไปซื้อน้ำกลั่นสกัดย่านาง ตามร้านที่ผมแนะนำ ปรากฏว่า หยอดไปแสบตามาก แล้วเช้าวันต่อมา ก็มีขี้ตาออกมาเยอะทีเดียว แกตกใจโทรมาหาผม ว่าน้ำนี้ใช้ได้จริงหรือเปล่า อย. ก็ไม่มี

 

ยานี้ไม่แสบ แล้วผมก็เคยหยอดแล้วด้วย แต่จะแสบเมื่อตามีพิษร้อนสะสมมาก ตามข้อมูลที่หมอบอก ผมจึงแนะนำให้ใช้ต่อ แล้วอาการแสบจะทุเลาลงเรื่อยๆเอง ถ้าไม่ไหว ก็ลองฉี่ดู แกขยาดความแสบ สุดท้ายก็กลับกล้าลองใช้ฉี่ ปรากฏว่า ดีกว่าครับ แสบน้อยลงแล้วก็สบายตามากขึ้น ผ่านไปสัก 2 สัปดาห์ แกโทรมาบอกผมว่า น้ำตาที่เคยไม่มีมาหลายปี ตอนนี้กลับมาแล้ว แกดีใจมาก แล้วลองไปหยอดน้ำสกัดใหม่ ทีนี้ก็แสบน้อยลงมากเช่นกัน

 

ผ่าน case แกไป ก็ไปเจออีก case เป็นลูกน้องแฟนผม แพ้แม้กระทั่งแสงจากจอ TV หรือลม หรือแดด หรือแม้กระทั่งแค่เข้านอนช้าไปหน่อย ตาจะแดงกล่ำ เป็นมาหลายปี ทีนี้แฟนผมเลยแนะนำให้เอาฉี่หยอด โดยยกเอา case ลูกพี่ลูกน้องผมอ้างอิง รายนี้ไม่ลังเลครับ ลองเลย เห็นผลในเวลาไม่กี่วัน

 

สรุปว่า ฉี่นี่แหละครับ ดีที่สุด

 

ใครฉี่ยังเหม็นไม่กล้าใช้ ให้ทานอาหารที่เป็นฤทธิ์เย็น และพยายามงดเนื้อสัตว์ก่อน สักวันเดียวก็ได้ครับ ฉี่จะไม่มีกลิ่น เวลารองใช้ ให้รองเอาตรงกลาง โดยตอนฉี่ใหม่ๆ กับตอนท้ายให้ทิ้งไป และฉี่ที่ดีที่สุด อยู่ตอนช่วงหลังตีสามเป็นต้นไป หรือตื่นนอนใหม่ๆ

 

บอกอีกนิดว่า ปกติ คนเราจะไม่มีกลิ่นปาก ไม่มีกลิ่นตัว ฉี่ อึ หรือตด ก็ไม่เหม็นนะครับ ถ้าเหม็น ก็คือกินของไม่ดีต่อร่างกายเข้าไป เช่นเนื้อ ไขมันต่างๆ รวมถึงกินมากเกินไปจนหมักหมม

 

หากปฏิบัติได้ทั้งการกินอาหาร และการใช้ฉี่รักษา เชื่อว่าจะหายได้ครับ จากที่เห็นมาเอง 2 case

 

กรณีตับไตมีพิษร้อนสะสม เพราะอาหารการกินในปัจจุบัน เรากินแต่ของไม่ดีครับ ทั้งของทอด เนื้อสัตว์ การเลี้ยงแบบใช้ยาเร่ง สารปรุงรสต่างๆก็ใช้ยาเร่ง รวมถึงตัวอันตรายสุดๆ คือผงชูรสครับ

เรื่องตับไต ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะครับ กว่าจะรู้ตัว บางทีก็สายแล้ว ใครที่ฉี่เข้ม อึแข็ง ก็รู้ตัวนะครับ ว่ากำลังเสี่ยงเป็นโรคพวกนี้ต่อไป ส่วนที่ฉี่สีไม่เข้ม อันนี้ไม่แน่ใจ ลองค่อยๆสังเกตตัวเองดูนะครับ แต่หลายท่านที่ผมถามมา เป็นอาการแบบนี้ ตามที่หมอบอกทั้งหมด

 

ทางแก้เบื้องต้น หาซื้อใบย่านาง มาขยี้ หรือปั่นในน้ำกรอง (ห้ามใช้น้ำต้ม) ผสมเจือจางเท่าที่ดื่มแล้วรู้สึกสบาย ไม่ฝืน กรองเอากากออก ใช้ดื่มแทนน้ำเปล่าตอนท้องว่างครับ จะช่วยลดพิษสะสมไปได้ทางหนึ่ง แล้วก็จะดีขึ้น น้ำที่ได้ ถ้าวางทิ้งไว้ จะอยู่ได้แค่ราว 4 ชม จะเปรี้ยวเสีย ถ้าทำมาก สามารถแช่ตู้เย็นไว้ใช้ต่อได้วันหรือ2วันครับ

 

น้ำกลั่นสกัดย่านางที่ใช้หยอดตา ถ้าเป็นกรุงเทพ หาได้ที่เดอะมอลล์งามวงศ์วาน ชั้น 2 ฝั่งพลาซ่า ร้านที่ทำตรงยาง พิมพ์นามบัตร ลองไปหาดูครับ

 

ข้อมูลอาหารฤทธิ์เย็น

http://www.bloggang....roup=11&gblog=5

 

ประสบการณ์ท่านอื่น

http://morkeaw.net/t...ta.php?idtn9=10

 

 

แนะนำหนังสือ

http://www.se-ed.com...9012702&ref=top

http://www.se-ed.com...CookieSupport=1



22 ความเห็น


แนะนำความคิดเห็น

ในสภาวะบางอย่างของร่างกาย เช่นมีการติดเชื้อทั่วๆไปหรือที่กระเพาะปัสสาวะจะทำให้มีเชื้อโรคออกมากับฉี่ได้ ตรงนี้ต้องระวังนะครับ อาจทำให้ถึงตาบอดได้

จริงๆแล้วฉี่ก็มีประโยชน์หลายอย่าง พระพุทธเจ้ายังให้พระที่ป่วยฉันยาดองน้ำมูตรเน่าในการรักษาเลยครับ

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

ขอบคุณครับ หมอเล็ก ที่ช่วยแนะนำเพิ่มเติม

 

จริงๆหมอเขียวมีพูดถึงอยู่ แต่ผมไม่ได้นึกถึงที่จะเขียน เพราะเอาแต่สิ่งที่ปฏิบัติแล้วเห็นผลเองมาเล่า เลยลืมไปสนิทเลยครับ

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

พอดี อ่านเรื่องฉี่ของเฮียแล้วนึกออกเรื่องนึงค่ะ พอดีเราเคยเป็นผู้ป่วยรักษาภาวะมีบุตรยาก เคยฉีดฮอร์โมนเร่งไข่ น่ะค่ะ

ฮอร์โมนตัวนี้ ทำมาจากฉี่ของสตรีที่หมดประจำเดือนไปแล้วค่ะ ก็เป็นเรื่องแปลกอีกอย่างที่มาจากฉี่ค่ะ

 

อ้อ อยากรู้เรื่องการแก้ไข้สูงน่ะค่ะ เพราะเมื่อก่อนลูกสาวเราเป็นบ่อย หาข้อมูลไม่เจอค่ะ เพราะเครื่องเสียและยุ่งๆ หลายวัน ไม่ได้อ่านน่ะค่ะ รบกวนแปะข้อมูลให้หน่อยค่ะ

และการแก้ภูมิแพ้น่ะค่ะ ขอบคุณค่ะ

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

ขอรวบรวมหน่อยค่ะ หาตามอ่านยากจังอยู่ The Mall งามวงศ์วาน ชั้น 2 เดินตรงจากที่จอดรถชั้น 2เข้ามา ตรงโซนขายมือถือ mini mobileค่ะ แต่เป็นร้านขายตรายาง อยู่ตรงหน้าร้าน CHOKEDEE ค่ะ เบอร์โทรศัพท์ 086-8857740 หรือ 02-5500216 หรือจะโทรไปให้เค้าจัดส่งให้ก็ได้ รู้สึกจะคิดค่าส่งประมาณ 100บาท

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

ป้านัท

ในงานหมอเขียวมาบรรยาย มีหนังสือ ดีวีดีที่หมอเขียวอบรม7วัน(สามร้อยกว่าบาทมีหลายแผ่นค่ะ) ยาสมุนไพร อุปกรณ์กัวซา ขายด้วยค่ะ มีอะไรสงสัยถามเจ้าหน้าที่ได้

ตอนแรกว่าจะซื้อย่านางกลั่นมาหยอดตา ปรากฏหมดค่ะ เขาแนะนำว่ามีร้านสมุนไพรหมอเขียวอยู่ที่ชั้นสองเดอะมอลล์งามวงศ์วาน แถวๆร้านทำนามบัตร มีป้ายติดเห็นชัด ถ้าไปให้ขึ้นบันไดเลื่อนตัวในสุดของเดอะมอลล์ค่ะ

 

ส่วนใครอยากได้ต้นใบย่านาง ดูดีๆนะคะ ถามให้แน่ว่าใบย่านางเขียวหรือแดง เลือกเขียวนะคะ

ป้าเองก็งง ต้องโทรไปถามหวานใจคุณกัมพลถึงได้รู้ว่าย่านางเขียว ขาว เป็นฤทธิ์เย็น ส่วนย่านางแดงเป็นฤทธิ์ร้อน

แหล่งขาย เดินเข้างานอยู่ด้านขวาสุดติดผนัง มีสมุนไพรและผักสวนครัวให้เลือกแยะค่ะ ต้นย่านางราคาต้นละ 50-80บาท วันนี้ป้าเจอสวยๆมาต้นละ 80 เหมามา3ต้นเพราะเขาเหลือเท่านั้นเลยคิด 200บาท พอมาเจออีกร้านติดกัน 50บาท อุอุ

 

สำหรับตัวป้าเองลองทำน้ำใบย่านางมาตั้งแต่คุณกัมพลโพสแรกๆ ตอนนี้ไม่ได้หยอดน้ำตาเทียมมาห้าวันแล้วค่ะ ตาจะเย็นๆ สบายตาดีขึ้นมากค่ะ อีกอย่างทานแล้วไม่ค่อยหิวด้วยค่ะ นี่มั๊งที่เขาว่าช่วยลดความอ้วน

ส่วนคุณแม่ ท่านจะอยู่ที่แคบๆเช่นห้องครัว ห้องน้ำ ห้องนอน ไม่ได้จะหายใจไม่ออกเป็นลมพาส่งโรงพยาบาลเดือนก่อนถึงสองครั้ง พอทานน้ำย่านางได้ครึ่งเดือนตอนนี้ไม่มีอาการแล้วค่ะ เดี๋ยววันที่ 7 หมอนัดเช็คร่างกายคงรู้ผลว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นบ้าง

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

kumponys ---เท่าที่เคยทราบ ก้านมันแดงครับ เห็นหมอเขียวว่า ย่านางแดง สรรพคุณเป็นฤทธิ์ร้อน ไม่ใช่ฤทธิ์เย็นเหมือนเขียวกับขาว รู้แค่นี้แหละ tongue.gif

http://www.thaigold.info/Board/index.php?/topic/143-%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-kumponys/page__st__3840__p__36368&do=findComment&comment=36368

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

คุณทิพพา___

เมื่อวานเค้ามีให้ลองดื่มแบบคั้นสดๆ สีน้ำออกเป็นสีเขียว แต่ไม่ได้ลองเพราะความรีบที่พนักงานขายจะเข้าห้องประชุม แต่ได้ลองกินขวดที่ซื้อมาแล้ว รสชาติเหมือนกินน้ำเปล่าเพราะเค้าให้เราผสมน้ำเปล่า ..... วิธีนี้สะดวกดีนะ 04a97f13.gif

เห็นว่าหาซื้อได้ที่เดอะมอลล์ งามวงศ์วานค่ะ

kumponys ___น้ำสกัดย่านางที่สำเร็จรูป คุณสมบัติเห็นหมอเขียวว่าไม่ต่างกันนะครับ แต่พอสกัดแล้วก็เข้มข้นขึ้น และใสกว่า เหมาะเอามาหยอดตา หยอดหูดีเหมือนกัน

แต่หมอเขียว ก็ยังแนะนำให้หาสดๆมาคั้น จะดีที่สุด และประหยัดที่สุดนะครับ

http://www.thaigold.info/Board/index.php?/topic/143-%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-kumponys/page__st__6840__p__70990&do=findComment&comment=70990

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

กบนอกกะลา: จีนจะแบ่งสิ่งต่าง ๆ ออกเป็นหยินและหยางคะ

หยาง : สีขาว ผู้ชาย ความสว่าง พระอาทิตย์ ความร้อน แข็งแกร่ง ฯลฯ

หยิน : สีดำ ผู้หญิง ความมืด พระจันทร์ ความเย็น อ่อนโยน ฯลฯ

อาหารก็มีความเป็นหยินและหยางเหมือนกันคะ แต่ระดับที่ไม่เท่ากันคือมีความเป็นหยินหรือหยางมากหรือน้อย บางชนิดเป็นหยินเหมือนกันแต่อีกอย่างสูงอีกอย่างต่ำคะ ลองแยกง่าย ๆ นะคะ

หยาง : เป็นอาหารที่เหมาะกับผู้ชาย มีลักษณะเป็นธาตุร้อน สังเกตว่าเวลากินเข้าไปอุณหภูมิร่างกายจะสูง เช่น พวกเนื้อสัตว์ ไขมัน เหล้า เบียร์ (อะ..อ่านมาถึงตรงนี้หนุ่ม ๆ ยิ้มละสิ )

ผลไม้บางชนิด เช่น ทุเรียน ลินจี่ (อะไรที่กินแล้วร้อนในง่ายนั่นแหละใช่ทั้งนั้น)

หยิน : เป็นอาหารที่เหมาะกับผู้หญิง เป็นธาตุเย็นคะ เต้าหู้นี่จัดเป็นหยินแบบสุดโต่งเลยทีเดียว สังเกตสิแม้แต่เอาไปต้มในน้ำร้อนเต้าหู้ยังไม่ค่อยจะร้อนตามเลย นมต่าง ๆ ผักทั้งหลาย ผลไม้ส่วนใหญ่ เช่น แตงโม มะละกอ ไอสกรีม

ปกติแล้วเราต้องทานอาหารทั้งหยินหยางให้สมดุลกับร่างกายคะ ไม่ให้ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งคะ แต่ต้องสัมพันธ์กับธาตุในตัวด้วยเช่นกัน และไม่ควรทานอาหารที่ตรงข้ามกับธาตุของตัวเองในปริมาณที่มากเกินไป

ผู้ชายไม่ควรทานเต้าหู้หรือไอศกรีมที่มีธาตุหยิน(เย็น)สูงมาก ในปริมาณที่มากเกินไป หรือทานเป็นประจำทุกวัน

ผู้หญิงไม่ควรทานสุราและอาหารจำพวกไขมันที่มีธาตุหยาง(ร้อน)สูง ในปริมาณมาก ๆ เช่นกันคะ

ร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นกำหนดไม่ได้ว่าใครต้องกินอาหารประเภทไหนเท่าไหร่ ผู้หญิงหรือผู้ชายต้องกินหยินหยางเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ต่อวัน เพราะแล้วแต่เหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยคะ เช่น ผู้หญิงในเวลามีประจำเดือน ความเป็นหยินจะสูงมาก ต้องทานอาหารที่เป็นหยางเพิ่มมากกว่าเวลาปกติ อันนี้ตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ถือว่าถูกต้องนะคะ เพราะอาหารหยาง(ธาตุร้อน)มักมีพลังงานสูงกว่าหยิน อาหารธาตุหยาง เช่น ไขมันและโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ซึ่งเวลามีประจำเดือนผู้หญิงต้องการพลังงานมากกว่าเวลาปกติ บางคนถึงกับโดนอากาศเย็นจัดไม่ได้ บางคนปวดท้องต้องนำถุงน้ำร้อน (ธาตุหยาง) มาประคบเลยทีเดียวคะ อย่างเวลาเราไข้ขึ้น ธาตุหยาง(ร้อน)จะมากกว่าปกติ จึงต้องมีการให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อระบายความร้อน และใช้ผ้าเย็นแปะหัวเอาไว้ ใช้น้ำอุณหภูมิปกติเช็ดตัว (ไม่ใช่น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนนะคะ) เพื่อเป็นการใช้ความเย็นลดความร้อนที่มีอยู่ในตัวคะ ลองกินอาหารให้เหมาะกับธาตุของตัวเอง เพื่อความสมดุลและสุขภาพที่ดีนะคะ http://www.bloggang....roup=2&gblog=12

 

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

อาหารปรับธาตุในร่างกาย

 

ธาตุทั้ง ๔ ทางสุขภาพ และอนามัย ควรเลือกบริโภคอาหารที่เหมาะสมตรงต่อธาตุของตน

 

อาหารที่ควรระวัง และบริโภคให้น้อยที่สุด

 

ไขมัน

 

เนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่

 

น้ำตาลทรายขาว

 

กาแฟ และน้ำอัดลม

 

อาหารที่ใส่สีผสม และผงชูรส

 

เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

 

 

อาหารที่รับประทานได้ไม่จำกัด

 

ปลาน้ำจืด และปลาน้ำเค็ม

 

ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ข้าวเหนียวดำ ลูกเดือย

 

และพืชผักต่างๆ

 

อาหาร และเครื่องดื่มที่รักษาสมดุลของธาตุ ทั้ง ๔

 

น้ำผักผลไม้รวม มีส้ม ขึ้นฉ่าย กระชาย งาดำ น้ำผึ้งผสมเกลือเล็กน้อย นำมาปั่นรวมกัน

 

 

อัตราส่วน

 

ส้ม 3 ส่วน

 

ขึ้นฉ่าย 2 ส่วน

 

กระชาย 1 ส่วน

 

งาดำ 1 ส่วน

 

น้ำผึ้ง 1 ส่วน

 

เกลือ เล็กน้อย

 

อาหารปรับธาตุ

 

---ธาตุไฟ

 

คนเกิดปีขาล (เสือ) ปีมะโรง (งูใหญ่) ปีมะเส็ง (งูเล็ก) ปีระกา (ไก่)

 

โรคที่มักจะเป็น

 

ท้องผูก ริดสีดวง ความดันสูง เส้นโลหิตเปราะบาง ปวดศีรษะ โรคไต โรคกระษัย ปัสสาวะกะปริบกะปรอย วิตกกังวล เบื่ออาหาร โรคหัวใจ โรคไทรอยด์ ร้อนใน โรคกระเพาะ กระดูกเสื่อมเร็วก่อนวัย หงุดหงิดง่าย ใจสั่น แผลพุพอง น้ำเหลืองเสีย เลือดเป็นพิษ โรคเลือดลักปิดลักเปิด

 

 

อาหารที่ควรรับประทาน--- อาหารที่เหมาะสำหรับธาตุไฟ มีรสขม รสจืด รสเย็น

 

- รสขม ได้แก่ ใบปอ ใบยอ ผักขมจีนและไทย มะระขี้นก มะระจีน

 

- รสจืด ได้แก่ กระเจี๊ยบขาว ดอกกะหล่ำปลี ดอกสลิด ดอกโสน ถั่วพลู ถั่วฝักยาว บวบงู บวบอ่อน ใบทองหลาง ผักกาดขาว ผักกระเฉด ผักกูลป่า ผักชีฝรั่ง ผักบุ้งจีน มะเขือยาว ยอดผักปลัง สายบัว

 

- รสเย็น ได้แก่ เก๊กฮวย เฉาก๊วย แตงกวา แตงไทย แตงล้าน แตงโม น้ำใบเตย ใบตำลึง ใบบัวบก ฟักเขียว มะตูม มะละกอ รากบัวหลวง ลูกตำลึงอ่อน สายบัว หัวไชเท้า

 

 

อาหารที่บำรุงธาตุไฟได้ดี คือ มะระจีนตุ๋น กับเห็ดหอม น้ำใบบัวบก

 

 

สรรพคุณของอาหารประจำธาตุไฟ

 

กระเจี๊ยบมอญ--- สรรพคุณ เป็นยาบำรุงสมอง ลดความดันโลหิต รักษาโรคกระเพาะ ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อที่เสียหาย เป็นยาระบาย

 

เฉาก๊วย--- สรรพคุณ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้อาการปากเปื่อย

 

ดอกสลิด--- สรรพคุณ เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้ร้อนใน ลดอาการปอดบวม ทำให้เจริญอาหาร

 

ตำลึง--- สรรพคุณ เป็นยาดับพิษร้อนภายในร่างกาย ลดอาการไข้ เป็นยาระบายอ่อนๆ ผลดิบนำมาปรุงเป็นอาหารช่วยลดอาการเบาหวาน ใบสดๆ นำมาขยี้ให้ละเอียดเอาน้ำมาทาแก้อาการคัน ช่วยถอนพิษจากหนอนกัด และพิษจากหมามุ่ย ใช้หยอดตาแก้อาการตาแดง ตาเจ็บ

 

เตย--- สรรพคุณ บำรุงหัวใจ ทำให้หัวใจชุ่มชื้น แก้กระษัย ขับปัสสาวะ แก้เบาหวาน

 

บวบ--- สรรพคุณ ทำให้ชุ่มคอ ช่วยขับปัสสาวะ ขับน้ำนม ทำให้ถ่ายสะดวก

 

ปอ--- สรรพคุณ บำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร ช่วยขับลม เป็นยาระบาย เป็นยากระตุ้นหัวใจ

 

ผักกาดขาว--- สรรพคุณ ช่วยย่อยอาหาร แก้ไข้ ขับเสมหะ แก้พิษสุราเรื้อรัง แก้อาการท้องผูก ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์

 

ผักปลัง--- สรรพคุณ รักษาอาการท้องผูก แก้อาการไส้ติ่งอักเสบ เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ แก้บิด

 

ผักบุ้ง--- สรรพคุณ บำรุงกระดูก และฟัน บำรุงเลือด ลดไข้ แก้เบาหวาน แก้ร้อนใน บำรุงสายตา

 

ผักโขมหรือผักขม--- สรรพคุณ บำรุงโลหิต ช่วยลดเชื้อมะเร็ง ทำให้สายตาดี แก้โรคท้องผูก แก้อาการตกขาวในสตรี สตรีมีครรภ์ หรือกำลังมีประจำเดือนห้ามทาน

 

ฟักเขียว--- สรรพคุณ เป็นยาเย็นดับพิษร้อนภายใน แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ขับเสมหะ แก้ไอ ลดอาการบวมน้ำ แก้อาการหลอดลมอักเสบ บรรเทาอาการริดสีดวงทวาร แก้หนองใน

 

มะเขือยาว--- สรรพคุณ แก้อาการตกเลือดในกระเพาะ ลำไส้ แก้อาการปวดเมื่อย

 

มะระขี้นก--- สรรพคุณ บำรุงน้ำดี เป็นยาเจริญอาหาร ขับพยาธิ แก้โรคตับอักเสบ แก้โรคเบาหวาน

 

มะตูม--- สรรพคุณ บำรุงธาตุ เจริญอาหาร แก้บิด แก้ร้อนใน ขับลม แก้โรคลำไส้

 

ยอ--- สรรพคุณ แก้อาการไข้วิงเวียนคลื่นเหียนอาเจียน แก้กระษัย แก้อาการปวดตามข้อ แก้อาการเป็นวัณโรค

 

หัวไชเท้า--- สรรพคุณ ล้างพิษภายใน เป็นยาเย็นดับพิษร้อน บำรุงไต ขับปัสสาวะ ละลายนิ่ว

 

สายบัว--- สรรพคุณ ลดอาการเกร็งของลำไส้ และกระเพาะ ลดความเครียดทางสมอง บรรเทาอาการท้องผูก ขับปัสสาวะ ดับพิษร้อนในกาย

 

 

 

---ธาตุลม

 

คนเกิดปีเถาะ (กระต่าย) ปีมะเมีย (ม้า) ปีมะแม (แพะ) ปีวอก (ลิง)

 

โรคที่มักจะเป็น

 

โรคกระดูกเปราะ โรคน้ำตาแห้ง โรคตาต่างๆ โรคลมจุกเสียด โรคลมดันหัวใจ โรคนอนกรน โรคผอมแห้งแรงน้อย โรคปวดหัววิงเวียนศีรษะ โรคท้องอืดท้องเฟ้อ โรคอ่อนเพลีย

 

 

อาหารที่ควรรับประทาน--- อาหารที่รับประทานแล้วทำให้เกิดความร้อนในร่างกาย เช่น

 

 

- อาหารรสเผ็ด ได้แก่ กระชาย กระเทียม ขิง ขึ้นฉ่าย ขมิ้นขาว ตะไคร้ ถั่วต่างๆ ใบกะเพรา ใบชะพลู ใบแมงลัก ใบโหระพา ใบสะระแหน่ ผักชีฝรั่ง พริก ฟักทอง ยี่หร่า และพืชผักใบเขียวต่างๆ เช่นผักบุ้ง

 

 

- ผลไม้ ก็มี ชมพู่ แตงไทย แตงโม พุทรา เม็ดบัว เม็ดแมงลัก อาหารดังกล่าวมานี้ ควรเป็นส่วนประกอบของอาหารแต่ละมื้อ และรับประทานพอประมาณ

 

 

- ลำดับของอาหารที่ควรรับประทาน เผ็ดร้อน เค็ม หวาน เปรี้ยว ควรหลีกเลี่ยง อย่างปรุงให้รสใดรสหนึ่งจัดเกินไปจะเป็นโทษ

 

 

อาหารบำรุงธาตุได้ดี

 

น้ำกระชายหมัก น้ำขิง น้ำตะไคร้ น้ำลูกเดือย หรือเม็ดแมงลักกับน้ำผึ้ง หรืองาดำคั่วแล้วบดนำมาผสมน้ำผึ้งและน้ำอุ่น ดื่มวันละแก้วตอนเช้าก่อนออกกำลังกาย จะช่วยรักษาสมดุลของธาตุภายในได้ดี

 

สรรพคุณของอาหารประจำธาตุลม

 

กระชาย--- สรรพคุณ แก้โรคปากเปื่อย ปากเป็นแผล แก้โรคลมจุกเสียด รักษาโรคบิด ขับระดูขาว ขับปัสสาวะ เหง้ากระชายนำมาตำครั้นน้ำมาทารักษากลากเกลื้อน และงูสวัด

 

กะเพรา--- สรรพคุณ ขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมัน ขับลมในกระเพาะ แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียด ช่วยบำรุงกระดูกทำให้เจริญอาหาร และดับกลิ่นคาว

 

ขมิ้น--- สรรพคุณ ช่วยในการย่อยอาหาร แก้โรคท้องอืด จุดเสียด รักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ แต่ต้องกินแต่พอดี นำขมิ้นมาฝนเอาน้ำทารักษาโรคผิวหนัง และช่วยลดอาการเสียน้ำของผิวหนังได้ ทำให้ผิวหนักชุ่มชื้น ใช้รักษาแผล น้ำกัดเท้า เล็บขบได้ดี

 

ขมิ้นอ้อย--- สรรพคุณ รักษาโรคท้องร่วง อาเจียน แก้ไข้ สมานแผล

 

ขิง--- สรรพคุณ ช่วยป้องกันอาหารเมารถเมาเรือได้ดี ด้วยการดื่มน้ำขิงแก่ก่อนจะขึ้นรถ ลงเรือ ช่วยขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะ และขับเหงื่อ แก้อาการเกร็งท้อง ท้องเป็นตะคริว

 

ตะไคร้--- สรรพคุณ เป็นยาขับลม ขับปัสสาวะ แก้ท้องอืดแน่นเฟ้อ

 

แตงโม--- สรรพคุณ ช่วยดับพิษร้อนภายใน ลดอาการทุรนทุรายจากพิษไข้ ขับปัสสาวะ น้ำแตงโมช่วยล้างไต ล้างลำไส้และกระเพาะอาหาร เปลือกแตงโมแกงส้มช่วยรักษาอาการไข้หวัด

 

ถั่วฝักยาว--- สรรพคุณ เป็นยาบำรุงไต และม้าม แก้ร้อนใน และแก้อาการตกขาว

 

ใบโหระพา--- สรรพคุณ เป็นยาแก้ท้องอืด ขับลมในลำไส้ ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ช่วยให้เจริญอาหาร เมล็ดเป็นยาระบาย

 

ผักชีฝรั่ง--- สรรพคุณ สร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตา รักษาสมดุลของธาตุภายในกาย ดับกลิ่นคาว

 

พริก--- สรรพคุณ แก้อาการผอมแห้งแรงน้อย ซูบซีดพุงโรก้นปอด ขับเสมหะ ขับเหงื่อ ช่วยระบบย่อยอาหาร และทำให้ดูดซึมอาหารได้ดี ละลายลิ่มเลือด ป้องกันมะเร็ง

 

พุทรา--- สรรพคุณ เป็นยาแก้อาการไอ แก้อาการร้อนใน กระหายน้ำ เมล็ดใช้เผาไฟแล้วบดหรือตำ นำมาไว้ใกล้ๆ เด็กอ่อนช่วยรักษาอาการเป็นหวัดคัดจมูก หรือไม่ก็ใช้ผงที่บดละเอียดแล้วมาผสมน้ำเล็กน้อย แล้วกวาดลิ้นเด็ก แก้อาการเป็นซางลิ้นขาว

 

แมงลัก--- สรรพคุณ แก้ไข้หวัด แก้หลอดลมอักเสบ แก้ท้องร่วง ใบนำมาตำเอาน้ำมาทาแก้โรคผิวหนัง เมล็ดนำมาแช่น้ำผสมน้ำผึ้งทานเป็นยาระบาย แก้โรคกระเพาะ ลดความอ้วน เพราะมีสรรพคุณในการดูดซึมน้ำตาลในเส้นเลือด ทำให้ขับถ่ายสะดวก

 

รากบัว--- สรรพคุณ เป็นยาคุมธาตุภายใน ช่วยรักษาอาการท้องร่วง เป็นยาแก้ร้อนในกระหายน้ำ เหง้า และเมล็ด เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงน้ำดี แก้อาการน้ำเหลืองเสีย ดีบัวที่อยู่ใจกลางเมล็ดมีรสขมเป็นขาขยายหลอดเลือดหัวใจ

 

สะระแหน่--- สรรพคุณ ช่วยขับลมในลำไส้และกระเพาะ แก้อาการปวดท้อง ท้องอืด ขยี้ทาขมับ แก้อาการปวดหัว ดมแก้ลม ทาแก้อาการช้ำ

 

---ธาตุน้ำ

 

คนเกิดปีชวด (หนู) และปีกุน (หมู)

 

โรคที่มักจะเป็น

 

โรคภูมิแพ้ โรคหวัด โรคติดเชื้อต่างๆ แผลพุพองที่เรียกว่าน้ำเหลืองเสีย น้ำหนองไหล ปอดชื้น น้ำท่วมปอด โรคไตวายฉับพลัน โลหิตจาง เลือดออกตามไรฟัน และโรคอ้วน

 

 

อาหารที่ควรรับประทาน

 

- อาหารรสเปรี้ยว ได้แก่ กระท้อน กระเทียมดอง ขี้เหล็ก ดอกแค มะกอก มะเขือเทศ มะดัน มะนาว มะปราง มะม่วง ยอดมะขามอ่อน สับปะรด ส้มทุกชนิด และผักใบเขียวทุกชนิด อาหารรสเปรี้ยว แม้จะถูกกับผู้ที่มีธาตุน้ำมาก แต่ถ้ารับประทานมากไปก็จะทำให้ท้องอืด ถ้าเป็นแผลก็จะหายยาก อาจทำให้เกิดแผลในปาก และร้อนในได้

 

 

- ลำดับของอาหารที่ควรรับประทาน เปรี้ยว เผ็ด หวาน เค็ม มัน พยายามหลีกเลี้ยงอาหารมันๆ

 

 

อาหารที่บำรุงธาตุได้ดี

 

เช้าๆ ควรดื่มน้ำผักผลไม้รวม หรือน้ำข้าวกล้องผสมน้ำผึ้งก่อนออกกำลังกาย จะทำให้สุขภาพดี อาหารที่กล่าวมาแล้ว ควรรับประทานทุกมื้อ รับประทานแต่พอดี

 

สรรพคุณของอาหารประจำธาตุน้ำ

 

กระเทียม---สรรพคุณ ช่วยลดความดัน รักษาโรคปอด โรคหอบหืด ไขข้ออักเสบ โรคเกาต์ และกำจัดพยาธิ ไม่มีผลข้างเคียงกับผู้ที่กินเป็นประจำ

 

กระหล่ำดอก--- สรรพคุณ ช่วยสำหรับผู้มีบุตรยากทั้งหญิงและชาย ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยป้องกันโรคมะเร็งเต้านม บำรุงภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

 

ขี้เหล็ก--- สรรพคุณ แก้นิ่วในไต แก้ท้องผูก บำรุงสายตา ทำลายเชื้อมะเร็ง เป็นยานอนหลับ

 

ขึ้นฉ่าย--- สรรพคุณ ช่วยให้เจริญอาหาร เพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย สามารถกำจัดเชื้อมะเร็งได้เกือบทุกชนิด บำรุงไตให้แข็งแรง นำมาปั่นกับแครอทผสมน้ำส้มดื่มทุกเช้า จะช่วยให้สุขภาพดี

 

คะน้าและผักใบเขียวทุกชนิด--- สรรพคุณโดยรวม คือ ทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารต่างๆ ได้ดี มีกากใยมาก ทำให้ขับถ่ายคล่อง ลดอาการมะเร็งในลำไส้และปอด รวมทั้งต่อมลูกหมากได้ดี

 

แค--- สรรพคุณ รักษาโรคหวัดคัดจมูก บำรุงสายตา ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน

 

มะเขือเทศ--- สรรพคุณ บำรุงโลหิต ช่วยทำให้ผิวพรรณดี แก้อาการสิวฝ้า ป้องกันมะเร็งในต่อมลูกหมาก

 

มะนาว--- สรรพคุณ รักษาโรคหวัด เจ็บคอด้วยวิธีนำน้ำมะนาวมาผสมน้ำผึ้งเกลือเล็กน้อยผสมน้ำอุ่นแล้วดื่มทีละน้อยทุกเวลาที่รู้สึกกระหายน้ำ ห้ามคนที่ปวดตามข้อดื่ม

 

สับปะรด--- สรรพคุณ เป็นยาแก้ไข้ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหารประเภทเนื้อสัตว์ให้แก่ร่างกายได้ดี แก้โรคคอหอยพอก ขับพยาธิ และเป็นยาระบายอ่อนๆ น้ำสับปะรดใช้กลั้วปาก ช่วยลดอาการเหงือกบวม และดับกลิ่นปาก แกนสับปะรดช่วยขับปัสสาวะ ละลายนิ่ว

 

 

 

---ธาตุดิน

 

คนเกิดปีจอ (หมา) และปีฉลู (วัว)

 

โรคที่มักจะเป็น

 

โรคท้องผูก ระบบย่อยอาหารไม่ค่อยปกติ ท้องอืดท้องเฟ้

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

kumponys---สำหรับใครที่มีอาการตาแห้ง เคืองตา ใช้น้ำตาเทียม เป็นเริม ปากชอบมีตุ่มใสๆตรงช่องปากด้านล่าง สังเกตตัวเองหน่อยว่า ฉี่สีเข้ม ถ่ายอุจจาระแข็งหรือไม่ ถ้าใช่ละก็ รักษาตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งยาแพงๆ แถมอาจรักษาไม่หายนะครับ

 

หลักการคือปัญหาอยู่ที่อาหารการกินที่เรากินทุกวัน ให้เปลี่ยนมาทานผักฤทธิ์เย็นนะครับ ใครเป็น ยกมือขึ้น

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

อาหารฤทธิ์เย็น

 

กลุ่มคาร์โบไฮเดรต

- น้ำตาล ข้าวขาว เส้นขาว (เส้นหมี่. เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ไม่มีน้ำมัน) วุ้นเส้น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้องเหลือง

สำหรับ น้ำตาล ข้าวขาว เส้นขาว และวุ้นเส้นกินเพียงเล็กน้อยในช่วงเวลาที่ร่างกายร้อนมากๆ

 

 

กลุ่มโปรตีน

- ถั่วขาว ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา ถั่วโชเล่ย์ขาว ลูกเดือย

- เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนู เห็ดขอนขาว เห็ดลม(เห็ดบด) เห็ดตาโล่ เห็ดตีนตุ๊กแก

 

 

กลุ่มผักฤทธิ์เย็น

- กระหล่ำดอก ก้านตรง กวางตุ้ง ผักกาดฮ่องเต้ ผักกาดขาว ผักกาดหอม

- หยวกกล้วย ปลีกล้วย ก้านกล้วย กล้วยดิบ หัวไช้เท้า (ผักกาดหัว) ก้างปลา

- ข้าวโพด ขนุนดิบ ดอกสลิด (ดอกขจร) ฝัก/ยอด/ดอกแค

- ใบเตย ผักติ้ว ตังโอ๋ ใบ/ยอดตำลึง

- ถั่วงอก

- บัวบก สายบัว ผักบุ้ง บล๊อกเคอรี่ บวบ

- ปวยเล้ง ผักปลัง

- พญายอ (เสลดพังพอนตัวเมีย)

- ฟักทองอ่อน ยอดหรือดอกฟักทอง ยอดฟักข้าว ยอดฟักแม้ว ฟัก แฟง แตงต่างๆ

- มะละกอดิบ-ห่าม มะเขือเปราะ มะเขือลาย มะเขือยาว มะเขือเทศ มะเดื่อ มะอึก ใบมะยม ใบมะขาม

- มังกรหยก มะรุม ยอดมะม่วงหิมพานต์

- ย่านางเขียว-ขาว

- รางจืด

- ว่านกาบหอย ว่านหางจระเข้ ว่านมหากาฬ ทูน (ตูน) ว่านง็อก (ใบหูลิง) ผักว่าน

- โสมไทย ใบส้มป่อย ส้มเสี้ยว ส้มรม ส้มกบ

- หมอน้อย ผักหวานป่า ผักหวานบ้าน เหงือกปลาหมอ ผักโหบแหบ

- อ่อมแซบ (เบญจรงค์) ยอดอีสึก (ขุนศึก) อีหล่ำ

 

กลุ่มผลไม้ฤทธิ์เย็น

- กล้วยน้ำว้าห่าม กล้วยหักมุก แก้วมังกร กระท้อน

- แคนตาลูป

- ชมพู่ เชอรี่

- แตงโม แตงไทย

- ทับทิมขาว ลูกท้อ

- มังคุด มะยม มะขวิด มะดัน มะม่วงดิบ มะละกอดิบ-ห่าม มะขามดิบ

- น้ำมะนาว น้ำมะพร้าว

- ลางสาด

- สับปะรด สตรอเบอรี่ สาลี่ ส้มโอ ส้มเช้ง ส้มซ่า ส้มเกลี้ยง สมอไทย

- ลูกหยี หมากเม่า หมากผีผ่วย

- แอปเปิ้ล

เรียบเรียงโดยใช้ข้อมูลจาก ถอดรหัสสุขภาพ เล่ม ๒ "ความลับฟ้า: ถ้าสุขภาพพึ่งตนเกิดไม่ได้ หมอและคนไข้จะพากันป่วยตาย" โดย ใจเพชร มีทรัพย์ (หมอเขียว)

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

อาหารฤทธิ์ร้อน

 

กลุ่มคาร์โบไฮเดรต

- ข้าวเหนียว ข้าวแดง ข้าวดำ (ข้าวก่ำ ข้าวนิล) ข้าวอาร์ซี ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์

- เผือก มัน กลอย อาหารหวานจัด ขนมปัง ขนมกรุบกรอบ บะหมี่ซอง

 

 

กลุ่มโปรตีน

- เนื้อ นม ไข่

- ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง ถั่วทอดทุกชนิด

- เห็ดโคน (เห็ดปลวก) เห็ดหอม เห็ดหลินจือ เห็ดก่อ เห็ดไค เห็ดขม เห็ดผึ้ง

- โปรตีนจากพืชและสัตว์ที่หมักดอง เช่น เต้าเจี้ยว มิโสะ โยเกิร์ต ซีอิ้ว แทมเป้ กะปิ น้ำปลา ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาเค็ม

- เนื้อเค็ม แหนม ไข่เค็ม ซีอิ้ว เป็นต้น

 

 

กลุ่มไขมัน

ควรงดหรือลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง

เพราะไขมันมีพลังงานความร้อนมากกว่าอาหารชนิดอื่นๆ เช่น

- น้ำมันพืช น้ำมันสัตว์

- กะทิ เนื้อมะพร้าว

- งา รำข้าว จมูกข้าว

- เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดอัลมอลล์ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดกระบก

- ลูกก่อ เป็นต้น

 

 

กลุ่มผักฤทธิ์ร้อน ผักที่มีรสเผ็ดทุกชนิด เช่น

- กระชาย กระเพรา กุ้ยช่าย (ผักแป้น) กระเทียม

- ขิง ข่า (ข่าแก่จะร้อนมาก) ขมิ้น

- ผักชี ยี่หร่า โหระพา พริก พริกไทย (ร้อนมาก) แมงลัก

- ไพล ตะไคร้ ใบมะกรูด เครื่องเทศ

- ต้นหอม หอมหัวใหญ่ หอมแดง เป็นต้น

 

นอกจากนี้ยังมีพืชบางชนิดที่ไม่มีรสเผ็ดแต่มีฤทธิ์ร้อน (มีพลังงานความร้อนหรือแคลอรี่ที่มาก) เช่น

- กะหล่ำปลี กระเฉด ใบยอดและเมล็ดกระถิน ผักกาดเขียวปลี

- ผักโขม ผักแขยง

- คะน้า แครอท

- ชะอม

- บีทรูท เม็ดบัว ไหลบัว รากบัว แปะตำปึง ใบปอ ใบยอ

- แพงพวยแดง

- ถั่วฝักยาว ถั่วพู สะตอ ลูกเนียง

- ลูกตำลึง ฟักทองแก่

- โสมจีน โสมเกาหลี (ร้อนเล็กน้อย)

- ไข่น้ำ (ผำ) สาหร่่ายทะเล สาหร่ายน้ำจืด(เทา) ยอดเสาวรส หน่อไม้

- พืชที่มีกลิ่นฉุนทุกชนิด เป็นต้น

 

 

กลุ่มผลไม้ฤทธิ์ร้อน

เป็นกลุ่มผลไม้ที่ให้น้ำตาล วิตามินหรือธาตุอาหารที่นำไปสู่ขบวนการเผาผลาญ

เป็นพลังงานความร้อน (แคลอรี่) ที่มาก เ่ช่น

- กล้วยเล็บมือนาง กล้วยไข่ กระเจี๊ยบแดง กระทกรก (เสาวรส)

- สำหรับกล้วยหอมทองและกล้วยหอมเขียวมีรสหวานจัดจึงมักออกฤทธิ์ตีกลับเป็นร้อน)

- ขนุนสุก

- เงาะ

- ฝรั่ง

- ทุเรียน ทับทิมแดง

- น้อยหน่า

- มะตูม มะเฟือง มะไฟ มะแงว มะปราง มะม่วงสุก มะขามสุก (ร้อนเล็กน้อย) มะละกอสุก (ร้อนเล็กน้อย)

- ระกำ (ร้อนเล็กน้อย)

- ลิ้นจี่ ลำไย ลองกอง ละมุด ลูกยอ ลูกลำดวน ลูกยางม่วง ลูกยางเีขียว ลูกยางเหลือง

- สละ ส้มเขียวหวาน สมอพิเภก

- องุ่น

- ผลไม้ทุกชนิดที่ผ่านความร้อน เช่น การอบ นึ่ง ปึ้ง ย่าง ต้ม หรือตากแห้ง เป็นต้น

 

 

อาหารที่มีฤทธิ์ร้อนมาก ถ้ากินมากเกินไป จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพมาก

 

- อาหารที่ปรุงเค็มจัด มันจัด หวานจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด ฝาดจัดและขมจัด

- อาหาร กลุ่มไขมัน

- เนื้อ นม ไข่ที่มีไขมันมาก รวมถึงสารที่มีสารเร่งสารเคมีมาก

- พืชผักผลไม้ที่มีการสารเคมีมาก

- อาหารที่ปรุงผ่านความร้อนนาน ๆ ผ่านความร้อนหลายครั้ง ใช้ไฟแรง หรือใช้คลื่นความร้อนแรง ๆ

- อาหารใส่สารสังเคราะห์ ใส่สารเคมี

- อาหารใส่ผงชูรส

- สมุนไพร หรือยาที่กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดหรือบำรุงเลือด

- วิตามิน แร่ธาตุ และอาหารเสริมที่สกัดเป็นน้ำ ผง หรือเม็ด

- ยกเว้นอาจกินได้เมื่อมีข้อบ่งชี้ชัดเจนว่าขาดสารดังกล่าว

- เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ คาเฟอีน หรือน้ำตาลที่มากเกินไป เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์

- ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นต้น

- อาหาร ที่มีโซเดียมสูง ได้แก่ อาหารแปรรูปหรือสำเร็จรูปต่าง ๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมอบ

- ขนมกรุบกรอบ ขนมปัง อาหารกระป๋อง ไส้กรอก หมูยอ กุนเชียง น้ำหมัก ข้าวหมาก ปลาเค็ม เนื้อเค็ม

- ไข่เค็ม ของหมักดอง อาหารทะเล (จะมีทั้งไขมันและโซเดียมสูง) เป็นต้น

- น้ำร้อนจัด เย็นจัด และน้ำแข็ง

 

โดยขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคนว่าจะงดหรือลดอะไร แค่ไหนที่ทำให้เกิดสภาพโปร่งโล่งสบาย เบากายและกำลังเต็มที่สุด

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

การจาม การไอ หรือกระทั่งแค่เรื่องการปวดถ่าย การขับปัสสาวะ ขี้ตา น้ำมูก เหงื่อ ล้วนเกิดจากร่างกายพยายามขับสิ่งแปลกปลอม พยายามดับพิษ พยายามขจัดอะไรที่ร่างกายไม่ต้องการ ที่อยู่ในร่างกายเราออกไป ตามขบวนการธรรมชาติ ปัญหาคือมันไม่สามารถขับออกได้ จึงเกิดพฤติกรรมซ้ำๆ ซึ่งเราเองก็ควบคุมไม่ได้ แต่ช่วยมันได้ แต่ปัญหาก็ซ้อนปัญหาอีก เพราะเราไม่รู้ว่า ปัญหามันอยู่ตรงไหน

 

หลายท่าน พยายามถามแสวงหายาดี แต่ไม่เคยฉุกคิดว่า การใช้ยา มันไม่ได้รักษาโรค แต่เป็นการบรรเทาอาการชั่วคราว จนกว่า ร่างกายเราจะกำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นได้เอง ทำให้ไม่เคยหายจากโรค และนอกจากไม่รักษาแล้ว ยังคงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรคซ้ำๆ จนอาการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดับทุกข์ให้ดับที่เหตุ ดังนั้น การปรับพฤติกรรมให้ถูกต้องเท่านั้น จึงจะเป็นหนทางในการรักษาที่ยั่งยืนและได้ผลที่สุดครับ

 

หลักการหมอเขียว คือ

- การใช้วิธีการต่างๆเพื่อดับพิษ ถอนพิษออกจากร่างกาย

-และต้องตัดต้นเหตุ โดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินการอยู่ให้ถูกต้องด้วย

 

แนวทางหมอเขียว เรียกว่า ยาเก้าเม็ด ลองไปดูแนวทางในเวปนะครับ

http://morkeaw.net/

 

หลักใหญ่ คือการปรับสมดุลร่างกาย ด้วยความเชื่อที่ว่า คนในปัจจุบัน มีภาวะร้อนเกิน จากสิ่งแวดล้อมที่แย่ลง จากอาหารที่ปรุงมากไป รสจัด เนื้อสัตว์ใช้สารเร่ง พืชผักใช้สารพิษ การใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่มีการออกกำลัง ทำให้เสียสมดุล แม้กระทั่งโครงสร้างร่างกาย นำมาซึ่งความเจ็บป่วยที่หาสาเหตุไม่ได้ สรุปง่ายๆคือพฤติกรรมการกินอยู่ที่ไม่เหมาะสมนั่นแหละครับ นำมาซึ่งโรคภัย

 

หลักการที่ใช้ได้ผล สำหรับการรักษาภูมิแพ้ ที่ผมแนะนำไปหลายคนแล้วดีขึ้น ใช้ยาน้อยลง หรือกระทั่งเลิกใช้ยาไปเลยก็มี

- ดื่มน้ำสมุนไพร ย่านาง โดยผสมน้ำจางๆแทนน้ำทั้งวัน งดเฉพาะหลังอาหารประมาณ 2 ชม โดยย่านาง คือสมุนไพรฤทธิ์เย็น ช่วยทำให้ร่างกายเย็นลง ลดพิษร้อนในร่างกายได้

- ทานอาหารจืดๆ และเลือกทานอาหารกลุ่มฤทธิ์เย็นเป็นหลัก รวมถึงการปรุงที่ถูกหลัก เป็นการหยุดเติมพิษร้อนในร่างกาย เพื่อให้การดับพิษด้วยวิธีอื่นได้ผล

- การดีท๊อกซ์ด้วยน้ำสมุนไพรย่านาง ที่ใช้เจือจางกว่าทาน ตรงนี้ เป็นการล้างพิษที่สะสมอยู่ในลำไส้ใหญ่ ซึ่งได้ผลดีมาก แต่คนไม่ค่อยกล้าทำในตอนแรก แต่ถ้าทำครั้งแรกแล้ว ครั้งหลัง ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

- การกัวซาหรือการขูดพิษ เพื่อเอาพิษที่สะสมอยู่ตามใต้ผิวหนัง ในเลือด ให้ระบายออกมาทางผิวหนัง การขูด ไม่ใช่ให้เลือดออก แต่เป็นการไล่ให้เลือดขึ้นมาระบายความร้อน หรือคายพิษทางผิวหนัง คล้ายกับเหงื่อที่ออกมาช่วยระบายความร้อน อะไรประมาณนั้น ตรงนี้ถือเป็นการช่วยร่างกายขับพิษ เป็นวิธีโบราณที่ได้ผลนะครับ

 

วิธีที่ผมแนะนำทั้งหมด ไม่ได้แค่อ่านเจอมา แต่ผมเองลองปฏิบัติมาหมดแล้ว และแนะนำหลายคนให้ปฏิบัติตามและได้ผลมาแล้ว จึงเชื่อว่า น่าจะช่วยแก้ปัญหาสุขภาพของพวกเราหรือญาติพี่น้องของพวกเรากันได้นะครับ

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

ย่านางมีวิตามินซี แต่คงไม่เยอะมั๊งครั้บ mellow.gif

วิตามินซี ถือเป็นกลุ่มที่มีฤทธิ์ร้อน หมอเขียวบอกว่าเหมาะกับเมืองหนาว ไม่ใช่เมืองร้อนอย่างไทยเี่รานะครับ โดยเฉพาะเรื่องมะเร็ง หมอเขียวให้เลี่ยงวิตามินซี ห้ามกิน

 

มีงานวิจัยหลายชิ้น ที่แนะนำให้ทานพืช ผัก ผลไม้ ของเมืองหนาว แล้วบอกว่ามีสารนั้นสารนี้ ช่วยป้องกัน รักษาโรคต่างๆ ซึ่งหมอเขียวระบุว่า สิ่งสำคัญคือการใช้อาหารปรับสมดุลต่างหาก เมืองหนาว ใช้สมุนไพร หรือพืชผักผลไม้กลุ่มฤทธิ์ร้อน จะได้ผล แต่มาเมืองไทย มักไม่ค่อยได้ผล เพราะสภาพแวดล้อมที่ต่างออกไป

 

อย่างย่านางเองก็เถอะ เห็นใช้ในเมืองไทยได้ผล เอาไปกินเืมืองหนาว ก็ใช้ไม่ได้เหมือนกันครับ

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

kumponys-----

อย่างที่บอกครับ ยาส่วนใหญ่ ไม่ใช่เอาไว้รักษา แต่เป็นการบรรเทาอาการ เราต้องแก้ที่ต้นเหตุมากกว่า ส่วนใหญ่ ก็เกิดจากอาหารนั่นแหละครับ ลองพิจารณาดูว่า เราชอบอาหารอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ถ้าเรากินอะไรเยอะไป ก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ พวกรสจัดทั้งหลาย ก็ถือว่าใช่นะครับ ส่วนใหญ่ที่สอบถาม แถวบ้านผม มักติดชูรส เค็มจัด เผ็ดจัด หรือชอบทานเนื้อสัตว์ สเต็ก อะไรพวกนี้

 

คุณคงมีอาการพิษสะสม ลองใช้วิธีที่ผมแนะนำตอนแรกนั่นแหละ ขยายความเพิ่มให้ว่า

- การทานอาหาร ให้ทานจืดๆเข้าไว้ เครื่องปรุงไม่ต้องว่างั้น หรือมีก็น้อยสุดๆ เน้นอาหารกลุ่มฤทธิ์เย็น และงดเนื้อสัตว์หรือทานน้อยที่สุด การรักษาตัวในช่วงแรก แนะนำให้ทานจืดสนิท เพื่อทำให้พิษมันคายออกมาจากร่างกายเรา หลักการเดียวกับการงดทานอาหารนานๆ ไขมันก็จะถูกดึงออกมาใช้ แต่อันนี้ เมื่อเราไม่ใส่พิษหรือพูดอีกที คือของรสจัดที่เราติดสักอย่างนั่นแหละ มันก็จะคายออกมา แรกๆ อาการบางอย่างที่เราเคยเป็น อาจจะออกมา และดูรุนแรงกว่าเก่า ไม่ต้องตกใจ ให้ใช้วิธีถอนพิษ คือกัวซา กับดีท๊อกซ์ช่วย

- การกัวซา ขูดพิษออกทางผิวหนัง ให้หาใครแรงดีดี มาขูดที่หลังทั้งแผ่น ด้วยไม้กัวซา หรือวัสดุผิวเรียบ เช่นถ้วยน้ำจิ้ม ถ้าจะหาซื้อไม้กัวซาก็ไปซื้อที่เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ร้านทำนามบัตรชั้น 2 โซนมือถือ ในเวปเราเคยมีรูปร้าน ผมขี้เกี่ยจหา 555 วิธี คือขูดกดแรงเท่าที่ทนได้ไม่ลำบาก ไม่ใช่การขูดให้ถลอกนะครับ แต่เป็นการรีดให้เลือดใต้ผิวหนังขึ้นมา ถ้าพิษสะสมเยอะ มันจะขึ้นมาเหมือนช้ำๆ และอยู่หลายวัน กว่าจะหาย ไม่ต้องตกใจ

แนวการขูด ไล่ลงจากต้นคอลงมาจนถึงเอวหรือเหนือก้น และอีกแนว เฉียงตามแนวกระดูกซี่โครง ประมาณนั้น โดยแบ่งหลังออกเป็น 2 ฝั่ง ซ้ายกับขวา เว้นกระดูกสันหลังไว้หน่อย ไม่ต้องขูด

การขูด ให้ขูดซ้ำจนกว่าจะไม่แดงไปกว่าเดิม อาจต้องซ้ำแนวละ 30-50 ครั้ง

 

- ดีท๊อกซ์ สวนล้างลำไส้ใหญ่

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

kumponys

มะม่วง ต้องดิบนะครับ ถ้าสุก ร้อน

 

ผลไม้กลุ่มเย็นบางอย่าง พอสุกจะกลายเป็นฤทธิ์ร้อนแทนนะครับ มะละกอด้วยอีกหนึ่ง ที่จำได้

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

การวิเคราะห์อาการ ว่าเกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบใด

 

อาการหรือโรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน

1. ตาแดง ตาแห้ง แสบตา ปวดตา ตามัว ขี้ตาข้น เหนียว หรือไม่ค่อยมีขี้ตา หนังตาตก ขนคิ้วร่วง ขอบตาคล้ำ

2. มีสิว ฝ้า

3. มีตุ่ม แผล ออกร้อนในช่องปาก เหงือกอักเสบ

4. นอนกรน ปากคอแห้ง ริมฝีปากแห้งแตกเป็นขุย

5. ผมร่วง ผมหงอกก่อนวัย รูขุมขนขยาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าอก คอ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

6. ไข้ขึ้น ปวดหัว ตัวร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัว

7. มีเส้นเลือดขอดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เส้นเลือดฝอยแตกใต้ผิวหนัง พบรอยจ้ำเขียวคล้ำ

8. ปวดบวมแดงร้อนตามร่างกายหรือตามข้อ

9. กล้ามเนื้อเกร็งค้าง กดเจ็บ เป็นตะคริวบ่อย ๆ

10. ผิวหนังผิดปกติ เกิดฝีหนอง น้ำเหลืองเสีย

11. ตกกระสีน้ำตาล หรือสีดำตามร่างกาย

12. ท้องผูก อุจจาระแข็งหรือเป็นก้อนเล็ก ๆ คล้ายขี้แพะ บางครั้งมีท้องเสียแทรก

13. ปัสสาวะมีปริมาณน้อย สีเข้ม ปัสสาวะบ่อย แสบขัด ถ้าเป็นมากๆ จะเป็นสีน้ำล้างเนื้อ หรือมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะด้วย มักลุกปัสสาวะช่วงเที่ยงคืนถึงตี 2

14. ออกร้อนท้อง แสบท้อง ปวดท้อง บางครั้งมีท้องอืดร่วมด้วย (ท้องอืดโดยทั่วไปแล้วเป็นภาวะเย็นเกิน)

15. มีผื่นที่ผิวหนัง ปื้นแดงคัน หรือมีตุ่มใสคัน

16. เป็นเริม งูสวัด

17. หายใจร้อน เสมหะเหนียวข้น ขาวขุ่น สีเหลือง หรือเขียว บางทีมีเสมหะพันคอ ไอ

18. โดยสารรถ มักอ่อนเพลีย และหลับขณะเดินทาง

19. เลือกกำเดาออก

20. มักง่วงนอนหลังกินข้าวอิ่มใหม่ๆ

21. เป็นมากจะยกแขนขึ้นไม่สุด ไหล่ติด

22. เล็บมือ เล็บเท้า ขวางสั้น ผุ ฉีกง่าย มีสีน้ำตาล หรือดำคล้ำ อักเสบบวมแดงที่โคนเล็บ เล็บขบ

23. หน้ามืด เป็นลม วิงเวียน บ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน มักแสดงอาการเมื่ออยู่ในที่อับหรืออากาศร้อน หรือเปลี่ยนอิริยายถเร็วเกิน หรือทำงานเกินกำลัง

24. เจ็บเหมือนมีเข็มแทงหรือไฟฟ้าช๊อต หรือร้อนเหมือนไฟเผาตามร่างกาย

25. อ่อนล้า อ่อนเพลีย แม้นอนพักก็ไม่หาย

26. รู้สึกร้อนแต่เหงื่อไม่ออก

27. เจ็บปลายลิ้น แสดงว่าหัวใจร้อนมาก ถ้าเป็นมากๆ

จะเจ็บแปลบที่หน้าอก และอาจร้าวไปที่แขน

28. เจ็บคอ เสียงแหบ คอแห้ง

29. หิวมาก หิวบ่อย หูอื้อ ตาลาย ลมออกหู หูตึง

30. สะอึก

31. ส้นเท้าแตก ส้นเท้าอักเสบ เจ็บส้นเท้า

32. เกร็ง ชัก

33. โรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน ได้แก่ โรคหัวใจ เนื้องอก มะเร็ง โรคเกาต์ เบาหวาน ความดัน-โลหิตสูง ไทรอยด์เป็นพิษ ริดสีดวงทวาร มดลูกโต ตกขาว ตกเลือด ปวดมดลูก กระเพาะอาหาร-ลำไส้อักเสบ ตับอักเสบ หอบหืด ไตอักเสบ ไตวาย นิ่วไต นิ่วกระเพาะปัสสาวะ นิ่วถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไส้เลื่อน ต่อมลูกหมากโต เป็นหวัดร้อน ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ และพิษของแมลงสัตว์กัดต่อย

 

 

ภาวะร้อนเกินและเย็นเกินที่เกิดขึ้นพร้อมกัน

1. ไข้สูงแต่หนาวสั่นหรือเย็นมือเย็นเท้า

2. ปวดหัวตัวร้อนร่วมกับท้องอืด

3. ปวด/บวม/แดง/ร้อนร่วมกับมึนชาตามเนื้อตัวแขนขา

 

อาการหรือโรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบเย็นเกิน

1. หน้าซีดผิดปกติจากเดิม

2. ตุ่มหรือแผลในช่องปากด้านบน

3. ตาแฉะ ขี้ตามาก ตามัว

4. เสมหะมาก ไม่เหนียว สีใส

5. หนักหัว หัวตื้อ

6. ริมฝีปากซีด

7. ขอบตา หนังตาบวมตึง

8. เฉื่อยชา เคลื่อนไหวช้า คิดช้า

9. ไอ อาการมักทุเลาเมื่อถูกภาวะร้อน

10. ผิวหน้าบวมตึง แต่ไม่ร้อน

11. เจ็บหน้าอกด้านขวา

12. หายใจไม่อิ่ม

13. ท้องอืดจุกเสียดแน่น

14. ปัสสาวะสีใส ปริมาณมาก

15. อุจจาระเหลวสีอ่อน มักท้องเสีย

16. มือเท้า มึนชา เย็น สีซีดกว่าปกติ หนาวสั่งตามร่างกาย

17. ตกกระสีขาว

18. มักมีเชื้อราตามผิวหนังหรือที่เล็บมือ/เล็บเท้า

19. เล็บยาวแคบกว่าปกติ

20. เท้าบวมเย็น

(ดูรายละเอียดได้จากหนังสือย่านาง ร้อน-เย็น ไม่สมดุลย์ ความลับฟ้า)

 

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

kumponysเบาหวาน ความดัน ไขมัน โรคหัวใจ มะเร็ง และโรคเรื้อรังอีกหลายๆโรค เกิดจากการที่ร่างกายเสียสมดุลครับ ปัจจุบันโลกก็ร้อน อาหารที่ทานส่วนใหญ่ ก็แป้ง เนื้อสัตว์ ไขมัน ของหวาน ล้วนแต่ให้พลังงาน ถือว่าเป็นอาหารกลุ่มฤทธิ์ร้อนทั้งนั้น การเสียสมดุลของคนเราในปัจจุบันจึงเป็นการเสียสมดุลแบบร้อนเกิน เมื่อเสียสมดุล ร่างกายก็จะพยายามขับส่วนเกินออกโดยธรรมชาติครับ เมื่อทำตามธรรมชาติไม่ไหว เพราะเราไม่เข้าใจ ยังไปยัดเยียดสิ่งที่ก่อโรคเพิ่มเรื่อยๆ ร่างกายเราส่วนไหน ที่อ่อนแอที่สุด มันก็จะเกิดโรคตรงนั้นก่อน ถ้ายังรักษาไม่ถูกที่ เกาไม่ถูกที่คัน นอกจากไม่หาย ก็จะยังลามไปเรื่อยๆ ร่างกายก็จะแย่ลงทุกวัน จนหมดทางเยียวยา

 

แนวทางการรักษา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ดับทุกข์ให้ดับที่เหตุแห่งทุกข์ ถ้าดับเหตุได้ ทุกข์ก็จะดับตามไปเอง

 

ลองสำรวจดูก่อนว่า ผู้ป่วยมีพฤติกรรมการกินอาหารเป็นอย่างไร ติดอะไร หรือบริโภคอะไรมากไปหรือเปล่า หรือชอบทานยา จนตับไตเสื่อมหรือเปล่า ถ้ามี ให้หยุดพฤติกรรมนั้นเสีย อันนี้ ผมพูดง่าย แต่ทำยากสุดนะครับ การติดรสชาติอาหาร แก้ยากมาก เพราะถ้าง่าย คงไม่ป่วยหรอก แต่ถ้าผู้ป่วยยอม แล้วอาการไม่หนักเกินไป โอกาสหายมีมาก แต่หาย ไม่ได้หมายความว่า จะกลับไปกินแบบเดิมได้อีกนะครับ ต้องเข้าใจ ไปกินแบบเดิมอีก ก็เป็นอีก ดังนั้น ตรงนี้ เรียกว่า ต้องล้างจิตที่ติดอาหารให้ได้ ว่างั้น

 

ทีนี้มาเข้าใจเรื่องเบาหวานในแนวที่หมอเขียวสอนกันสักหน่อย แนวทางการรักษาแบบแผนปัจจุบัน เห็นมีน้ำตาลในเลือดสูง ก็ฉีดอินซูลินเพื่อให้ไปเผาผลาญน้ำตาล โดยไม่ได้หาสาเหตุว่า ทำไมร่างกายจึงไม่เผาผลาญน้ำตาล เมื่อมีการเผาผลาญน้ำตาลแบบถูกบังคับให้เผาผลาญโดยอินซูลินที่ถูกฉีดหรือกินเข้าไป ร่างกายก็จะเสื่อมลงเรื่อยๆครับ ทั้งอวัยวะภายในภายนอก เพราะยิ่งเพิ่มความร้อนให้ร่างกาย อันเป็นจุดเริ่มต้นของโรคเข้าไปอีก

 

ใหม่ๆ ร่างกายเรา คงไม่ได้หมดประสิทธิภาพในการผลิตอินซูลินหรอก แต่เพราะมันไม่ต้องการเผาผลาญน้ำตาลแล้ว เพราะร่างกายเผามันจนร่างกายมันชักจะร้อนเกินพอแล้ว ถ้าเผาผลาญอีก ร่างกายจะร้อนเกิน และเสื่อมลงครับ ร่างกายจึงหยุดผลิตอินซูลินเอาดื้อๆ หมอแผนปัจจุบันไม่ได้สนใจหาสาเหตุ ไม่มี ก็จัดให้

 

แนวทางที่หมอเขียวใช้ นอกจากหยุดต้นเหตุที่กล่าวมาแล้ว ก็ใช้สมุนไพรช่วย คือย่านางนี่แหละครับ เพราะเป็นสมุนไพรฤทธิ์เย็นนั่นเอง นำมาดับพิษร้อนในร่างกาย ทั้งกิน ทั้งหยอดตา หยอดหู (ใช้น้ำสกัดย่านางที่เป็นสีใสๆนะครับ) รวมถึงใช้ดีท็อกซ์ เพื่อให้ร่างกายเราเย็นลง จริงๆ สมุนไพรฤทธิ์เย็นอันไหนก็ใช้ได้นะครับ ขอให้ถูกกันกับผู้ป่วยจะหายเร็วมาก ย่านางถูกแนะนำ เพราะหาง่าย และถูกกับคนส่วนใหญ่

- กัวซา ขูดพิษร้อนที่สะสมในร่างกายออกทางผิวหนัง

- ให้ทานอาหารกลุ่มฤทธิ์เย็น แถมด้วยวิธีการทานอาหารตามลำดับที่ถูกต้อง เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืนเสมอ เพื่อลดภาระการทำงานของตับไตเรา ทำให้ร่างกายเราดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น ของเสียในร่างกายก็จะน้อยลง พิษก็จะค้างน้อยลง เคี้ยวนาน ดูดซึมดี ทำให้ทานน้อยลงไปเองด้วย

- ออกกำลัง เพื่อให้เลือดไหลเวียนสะดวก

 

หากเราปรับสมดุลร่างกายจนร่างกายเข้าสู่สมดุลแล้ว ร่างกายเรา ถ้าไม่เสื่อมสภาพไปเสียก่อน เพราะโดนเผาด้วยอินซูลินที่ฉีดหรือกินเข้าไป ร่างกายจะกลับมาผลิตอินซูลินเองครับ

อ่อ หมอเขียวไม่ได้พูดเรื่องการเสื่อมสภาพจนใช้งานไม่ได้ให้ผมฟังนะครับ ผมเข้าใจเองว่าอย่างนั้น แต่จะถูกหรือผิด ก็ไม่เป็นไร ถ้าทานอาหารให้ถูกหลัก คำนึงถึงการปรับสมดุลร่างกาย ยังไงก็ไม่น่าเป็นห่วงหรอกครับ

 

คนที่เป็นเบาหวานที่ไปเข้าค่ายสุขภาพหมอเขียว 7 วัน แทบจะทั้งหมดดีขึ้นเห็นๆครับ บางท่านหยุดยาเลยก็มี

 

ผมว่าเป็นน้อยๆ ทานย่านางนิดหน่อยคงดีขึ้นง่ายๆครับ ผมแนะนำไปหลายคน บางท่าน กำลังจะเริ่มฟอกไตก็ไม่ต้องฟอก แต่ก็มีบางท่าน ที่ผมเคยคุยด้วย ขนาดไปเข้าค่ายหมอเขียวมาด้วยตนเอง แรกๆก็ ok แต่หลังๆ กลับยังต้องเข้าฟอกไต เพราะเป็นข้าราชการครู พักก็ไม่ค่อยได้ เลือกทานอาหารก็ไม่ค่อยได้ ไม่รู้จะช่วยยังไง หลังๆผมแนะนำแบบห้วนๆไปเลยว่า รักชีวิต ก็ออกจากงานดีกว่า ไปหาอย่างอื่นทำ

 

อ่อ เกือบลืมสิ่งสำคัญที่คนสมัยนี้ มีความเข้าใจผิด คือการสรรหายามารักษาโรค หวังพึ่งแต่ยา ผมเจอมาเยอะ แนะนำวิธีการปฏิบัติตน พูดจนปากเปียกปากแฉะ สุดท้าย ก็ยอมทานแต่ย่านาง หรือหยอดตาด้วยน้ำสกัดย่านาง น้อยคน ที่จะยอมปฏิบัติตามคำแนะนำ ทั้งที่เป็นการดับต้นเหตุของโรค แถมไม่ต้องไปเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลยสักนิด

อยากจะบอกว่า ยาส่วนใหญ่ ไม่ได้เอาไว้รักษาโรคนะครับ มันเอาไว้บรรเทาอาการชั่วคราวเท่านั้น แถมยาบางตัว อย่างเช่น อินซูลิน ก็เป็นการย้ายพิษ โดยเอาน้ำตาลออกให้ แต่ไปทำลายอวัยวะส่วนอื่น หรืออย่างแค่พาราที่ชอบกินกันทั่วบ้านทั่วเมือง ก็มีผลทำลายตับเช่นกัน

SLE หมอเขียวก็บอกว่า เกิดจากอาการร้อนเกินนี่แหละ แต่งานนี้ ความร้อนไปทำให้เซลล์ร่างกายบิดเบี้ยวผิดรูป ทำให้เม็ดเลือดขาวเข้าใจผิดว่าไม่ใช่เซลล์ตัวเอง เลยพยายามกำจัด

 

 

 

เคยได้ยินจากหมอเขียวว่ารักษาได้ครับ ผมยังไม่เห็นเอง แต่มีคนเป็นอาการน้องๆ SLE ในเวปเรา ผมแนะนำให้เขาปฏิบัติแนวนี้ รายนี้เคร่งครัดครับ ปัจจุบัน ไม่ได้ใช้ยาแล้วครับ ถามหลังสุดประมาณเมษาที่ผ่านมา เห็นว่า บางครั้งที่มีอาการคันๆตามตัวอยู่บ้าง แบบจิ๊บๆ พอให้ระลึกถึงมันนิดหน่อยเท่านั้น

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น

vanta case study

เจ๊แว่นเคยบอกลูกน้องที่แม่เขาอยุู่จังหวัดราชบุรี แถวสวนผึ้ง ว่าใบย่านางรักษาอาการเบาหวานได้

เพราะได้ยินมาจากเฮียกัม แล้วไปหาซื้อหนังสือมาอ่าน รวมทั้งดูจากรายการคนค้นคนหมอเขียว

ลูกน้องของเจ๊แว่นโทรไปบอกแม่เขาทันที ว่าให้ขยี้น้ำย่านางกิน เพราะแม่เขาต้องไปหาหมอฉีดอินซูรินเข้าหน้าทองแล้ว

ตอนแรกคนที่เป็นพ่อไม่เชื่อ แต่คนเป็นแม่เชื่อก็ทำตาม พอไปหาหมออีกทีหมอบอกว่าไปทำอะไรมาน้ำตาลลดลง

ตั้งแต่นั้นมาคนเป็นพ่อต้องเข้าป่าไปหาย่านางให้แม่เขาเองเลย แถมฝากบอกลูกสาวมาขอบคุณเจ๊แว่น

ถามลูกสาวว่าเจ้านายเป็นหมอเหรอถึงรู้ อิอิ. เจ๊แว่นเลยฝากหนังสือของหมอเขียวเล่ม 1 ที่ไปซื้อมาให้เขาไป

เป็นวิทยาทาน ตอนนี้เจ๊แว่นถ้าไม่ขี้เกียจแล้วได้แวะไปตลาดก็จะซื้อมาคั้นใส่โถแช่เย็นไว้ดื่ม แต่ก็ดื่มบ้างเว้นบ้าง

เพราะได้ยินมาเหมือนกันว่ากินมากไปก็ไม่ดี เหมือนกัน

เหมือนกับเรากินคอลโลฟิวส์ของพืช มีผลทางดับอาการร้อนของร่างกาย เพราะทุกๆวันเรากินแต่ของร้อน

เช่นพริก และอาหารพืชผักบางชนิดที่ออกฤทธิ์ร้อน แถมเขาบอกว่ามันต้านอนุมูลอิสระด้วยคะ

ถ้าขี้เกียจก็จะกินน้ำสกัดย่านาง ไปซื้อมาจากเดอะมอลงามวงศ์วาน ชั้น 2 หรือ 3 ไม่แน่ใจ

อยู่หน้า ที่ขายโทรศัพท์ตามรูปนะคะ มีหนังสือของหมอเขียวทุกเล่ม

เจ๊แว่น...เป็นกำลังใจให้นะคะ

http://www.thaigold.info/Board/index.php?/topic/143-%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-kumponys/page__st__10770

แชร์ความคิดเห็นนี้


ลิงก์ไปความเห็น
ผู้มาเยือน
เพิ่มความคิดเห็น

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...
×
  • สร้างใหม่...