mtts
ขาใหญ่-
จำนวนเนื้อหา
244 -
เข้าร่วม
-
เข้ามาล่าสุด
คะแนนนิยม
48 ดีมากเกี่ยวกับ mtts
-
คะแนนนิยม
ขาใหญ่
Profile Information
-
เพศ
ไม่บอก
-
ที่อยู่
กรุงเทพมหานคร
-
ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 17 ตุลาคม 2555 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ในวันนี้ โดยมีผลสรุปดังนี้ กรรมการฯ ส่วนใหญ่มีความเห็นว่า ในภาวะที่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังอ่อนแอและมีความเสี่ยงสูง นโยบายการเงินควรผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อรองรับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกและรักษาแรงส่งของอุปสงค์ในประเทศที่อาจจะอ่อนแรงลงในระยะต่อไป คณะกรรมการฯ จึงมีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 3.00 เป็นร้อยละ 2.75 ต่อปี โดยให้มีผลทันที ทั้งนี้ กรรมการฯ 2 เสียง เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 3.00 ต่อปี เนื่องจากเห็นว่าแรงส่งของการขยายตัวของเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถรอดูความชัดเจนในระยะต่อไปได้ ข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย
-
http://upic.me/show/40200244 ไม่รู้จะชัวหรือม่วนะครับ จากรุป ราคาขึ้นจากแถว 1763 ไป แถว 1790 ประกอบกับ rsi 70 up คาดว่าจะเป็น คลื่่น3 จากนั้นราคาลงมาแถว 1766 คาดว่าจะเป็นคลื่น 4 และขึ้นมาแถว 1778 เป็นการจบคลื่นขาขึ้น 5 คลื่น จากนั้น ราคาก็ไหลลงมาแถว 1756 เป็นขาลงคลื่นแรก A ขึ้นมา 1775 อีกครั้ง โดย rsi กลับมายืนแถว 20 อีกครั้ง คาดว่าจะเป็น B จานั้นราคาก็ลงมา แถว 1729 ด้วย rsi ต่ำกว่า 20 ดังนั้น ต้องมาดูว่าถ้ามีการลงของ ราคาอีกครั้ง แล้วไม่ต่ำกว่า 1734 ราคาที่ขึ้นมาใหม่นี้ น่าจะมีโอกาศเป็นคลื่น 1 อีกคร้ง สำหรับคนที่ติด หากราคายั้งไม่หลุดเกิน 1734 ควรถือไว้ก่อนครับ ส่วนผม ว่าจะเก้บอีก 30 % รอการคอนเฟิร์มว่าเป็น คลื่น2 จริง ก็จะทยอย เข้าอีก โดยส่วนตัวหากมีเงิน 100 บ ผมจะซื้อไม่เกิน 70 บ. เก้บเงินไว้ 30 เผื่อมีอะไรผิดพลาดจะได้ไม่เสียใจครับ โปรดใช้ดุลพินิจในการรับชมครับ
-
ครั้งที่แล้วถูกสังหารที่ลิเบียครับ
-
ดู ma วันนี้ราคาน่าจะขึ้นแถว 1772 ถ้า ยืนได้ คงแถว 1780 มั่วดีจังเรา 555 Thursday, October 11, 2012 20:01:00 กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 6 ต.ค. ร่วงลง 30,000 ราย มาอยู่ที่ 339,000 ราย ซึ่งดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 370,000 ราย นับเป็นสัญญาณล่าสุดที่ช่วยเพิ่มความหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวของตลาดแรงงานสหรัฐ หลังจากที่เพิ่งมีการเปิดเผยอัตราว่างงานที่ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปีครึ่ง ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 29 ก.ย. ถูกปรับทบทวนขึ้นเป็น 369,000 ราย จากระดับ 367,000 รายในรายงานก่อนหน้านี้ สำหรับจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์นั้น ลดลงสู่ระดับ 364,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค. โดยข้อมูลนี้ถูกมองว่าสามารถวัดแนวโน้มตลาดแรงงานได้ดีกว่า เพราะมีความผันผวนน้อยกว่าตัวเลขรายสัปดาห์ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนก.ย.ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 114,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานลดลงแตะ 7.8% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่เดือนม.ค.2552 --อินโฟเควสท์-
-
วีนนี้วันหยุดสหรัฐน่ากลัวจะต้องรอดูพรุ่งนี้มั้งครับ
-
GLODEN CROSS เมื่อพูดถึง GOLDEN CROSS คงปฏิเสธไม่ได้ว่า น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก โดยเฉพาะนักลงทุนที่ใช้ technical indicators ช่วยในการตัดสินใจซื้อขายหุ้น คิดว่าคงมีคนสงสัยว่าภาวะ golden cross ทำไมจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแนวโน้มใหญ่ๆตามมา ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น (เสมอ) เหมือนกับว่ามันเป็นกฎหรือสูตรทางคณิตศาสตร์อย่างนั้น แต่อย่างไรมันน่าจะเหตุผลในการเกิดภาวะนี้ได้ ผมจึงได้พยายามคิด และสังเกตดู เลยได้แนวคิดอย่างนี้ ที่พอจะอธิบายออกมาเป็นเหตุเป็นผลได้บ้าง แต่ความจริงนั้น อาจจะมีสาเหตุอื่นบ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็ลองติดตามอ่านดูไปก่อนแล้วกัน แล้วค่อยว่ากัน คงทราบกันดีอยู่แล้วว่า golden cross เกิดจากเส้นค่าเฉลี่ยมาประชิดใกล้กันแล้วเกิดการเรียงตัวจากน้อยไปหามาก คือ 5 , 10, 25, 75 วัน (บางครั้งก็รวม 200 วัน เข้ามาด้วย) ส่วนใหญ่ผมจะนิยมใช้ EMA มากกว่า SMA เนื่องจากมันสามารถนำไปใช้ประกอบกับสัญญาณตัวอื่นได้ดีกว่า และยังสะท้อนแนวโน้มกับราคาได้ใกล้เคียงกว่า ก่อนอื่นผมขอตั้ง ข้อสมมุติฐานก่อน การเคลื่อนไหวของตลาดในแต่ละวันนั้นเกิดจากพฤติกรรมของนักลงทุนระยะสั้นที่เรียกว่าการเก็งกำไรระยะสั้นกว่า 80-90% ของตลาด ไม่ว่าในตลาดทุนหรือตลาดการเงินทั่วโลกก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นพฤติกรรมของนักลงทุนระยะสั้นจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดและมีอิทธิพลสูงกว่านักลงทุนระยะกลางและระยะยาว เส้นค่าเฉลี่ยแต่ละเส้นก็แทนพฤติกรรมของแต่ของคนได้เหมือนกัน เนื่องจาก แนวโน้มตลาดจะเป็นไปตามเส้นค่าเฉลี่ย (EMA) ระยะสั้น มากกว่าระยะยาว ดังนั้นพฤติกรรมของนักลงทุนระยะสั้นจะอาจแทนด้วย EMA 5 วัน 10 วัน และ 25 วัน ดังนี้ 5 วัน คือ 1 สัปดาห์ 10 วันเท่ากับ 2 สัปดาห์ 25 วัน เท่ากับ 1 เดือน ส่วนนักลงทุนระยะกลางถึงยาว มากกว่า 1 เดือนขึ้นไป อาจจะแทนด้วยเส้น 45วัน 50 วัน 60 วันก็ได้ตามลำดับ ในที่นี้จะไม่พูดถึง แต่จะใช้ เส้น 75 วัน มาแทนนักลงทุนระยะยาวประมาณ 2-3 เดือนมากกว่า และ เส้น 200 วัน สำหรับแทนพฤติกรรมของนักลงทุนระยะยาวมากกว่า 6 เดือน นอกจากเส้นค่าเฉลี่ยแต่ละเส้นจะแทนพฤติกรรมของนักลงทุนได้แล้ว ยังนำมาสะท้อนต้นทุนเฉลี่ยได้อีกของนักลงทุนแต่ละกลุ่มที่เปลี่ยนไปตามภาวะตลาด เนื่องจากการซื้อขายสะสมในแต่ละวัน ทำให้ต้นทุนเกิดการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด โดยเฉพาะนักลงทุนระยะสั้น ซึ่งบอกได้ว่านักลงทุนรายใหญ่ทั้งหลาย ที่ไล่ราคาหุ้นจะมีราคาต้นทุนเปลี่ยนไปตามราคาตลาด มากกว่านักลงทุนรายย่อย เนื่องจากปริมาณการซื้อสะสมที่มีมากกว่านั่นเอง ที่จุดตัดแต่ละเส้นจะเกิดการเปลี่ยนการพฤติกรรมของนักลงทุนแต่ละกลุ่ม เมื่อเข้าใจถึงสมมุติฐานข้างต้นแล้ว ตอนนี้มาเข้าบทอธิบายเลย โดยจะพูดถึงพฤติกรรมของแต่ละกลุ่มแยกออกเป็นช่วงๆ เริ่มต้นจากนักลงทุนระยะยาวในช่วงขาขึ้น ต้นทุนเฉลี่ยจะต่ำกว่า และในช่วงตลาดขาขึ้นนั้น เมื่อราคาอยู่สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ยทุกเส้น ก็เป็นโอกาสที่นักลงทุนทุกประเภทจะขายหุ้นออกมาโดยเฉพาะระยะยาว แต่ด้วยความมั่นใจในแนวโน้มตลาดกระทิง จึงยังไม่ได้เทขายหุ้นออกมามาก คนส่วนใหญ่จะถือรอไว้ก่อน ไว้รอขายในราคาที่สูงกว่า ในขณะที่นักลงทุนระยะสั้นหน้าใหม่หน้าเก่า จะเข้ามาเก็บหุ้นทำให้ราคาตลาดสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และเมื่อใดเกิดภาวะ overbought ก็จะมีแรงขายทำกำไรออกมาจากนักลงทุนระยะสั้น จนทำให้เส้น 5 วัน ตัดเส้น 10 วันลงมา และเริ่มทำให้นักลงทุนระยะกลางเริ่มขาดความมั่นใจในแนวโน้มตลาดเลย ร่วมวงเทขายหุ้นออกมาบ้าง (ที่ยังไม่ขายตั้งแต่ตอนแรกก็เพราะต้นทุนยังต่ำกว่าพอควรที่จะรอดูไปก่อนได้) แต่เมื่อแนวโน้มราคาเข้าใกล้ต้นทุนเฉลี่ยก็เลยต้องขายบ้าง ในที่นี้หมายถึงเส้น 5 วัน และ 10 วัน เริ่มเคลื่อนไหวเข้าหาเส้น 25 วันที่ละน้อย ในขณะที่นักลงทุนระยะยาวเริ่มกังวลในภาวะตลาดเริ่มทยอยขายออกมาบ้างแล้ว ขณะที่นักลงทุนระยะสั้นและกลางบางคนต้อง ทำขายเพื่อ stoploss หรือ cutloss ออกมาอีกอยู่เรื่อยๆ เมื่อแรงขายยังมีมากกว่าแรงซื้ออยู่ จนทำให้เส้น 5 วันและ 10 วัน ตัดเส้น 25 วันลงมาทำให้นักลงทุนระยะยาว (เส้น 75 และ 200 วัน) จำเป็นต้องระบายหุ้นออกมามากขึ้น (บางกองทุนอาจจำเป็นต้องปรับพอร์ทของตนเองเพื่อให้ต้นทุนของตนเองไม่สูงเกินไป) เมื่อมาถึงตรงนี้ ก็อาจจะเกินจุด cut loss ของนักลงทุนระยะกลาง-สั้น ไปแล้ว แต่ยังมีแรงซื้อขายสลับกันไปตลอดแต่จะไม่สร้างแรงกดดันต่อแนวโน้มตลาดได้มากเหมือนแต่ก่อน ยังเหลือแต่นักลงทุนระยะยาวที่พอจะขายได้ครั้งละมากๆ ในระยะสุดท้ายเมื่อพฤติกรรมของนักลงทุนระยะสั้นระยะกลางได้ชลอการลงทุน การเคลื่อนไหวของราคาก็จะอยู่ในกรอบแคบๆ และเส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน 10 วัน 25 วันก็เริ่มประชิดเข้าหากันมากขึ้น เมื่อความต้องการขายของนักลงทุนระยะยาวลดลง หรือได้ปรับพอร์ทได้เรียบร้อยแล้ว (ราคาตลาดเข้าหาเส้น 75 วันแล้ว) โดยก่อนหน้านี้ นักลงทุนระยะสั้นได้ปิด Position โดยการ cut loss ไปหมดแล้ว ทำให้ gap ของราคาตลาดกับต้นทุนของนักลงทุนทั้งระยะสั้นและยาวจะพอจะใกล้เคียงกันแล้ว จึงทำให้ไม่มีใครอยากขายออกมา แต่กลับมีแรงซื้อเข้ามาพร้อมๆ กันในช่วงที่เส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน 10 วัน 25 วัน และ 75 วัน อยู่ใกล้เคียงกัน เมื่อนักลงทุนทุกประเภทกลับมาซื้อหุ้นที่จุดเดียวกันนี้ จึงทำให้เกิดแรงซื้อเป็นจุดระเบิดตัวอย่างแรง จึงเป็นที่มาของ GOLDEN CROSS ที่จริงยังมีรายละเอียดและขั้นตอนของการปรับตัวของเส้นค่าเฉลี่ย ในตลาดขาลงอีกมาก (ขึ้นอยู่กับ price pattern กับ รูปแบบของ wave) ที่ยังไม่ได้พูดถึง ก่อนการเกิด golden cross โดยสมบูรณ์ แต่ก็อธิบายได้จากการอิงสมมุติฐานข้างต้นได้เหมือนกัน โดยดูความมั่นใจของนักลงทุนจากการเคลื่อนไหวของเส้นค่าเฉลี่ย ในแต่ละช่วงมาประกอบเองได้ (เอามาฝาก) Golden Cross จากเว็บ pantip ลองๆ ทำกันดูนะครับ
-
ไม่รู้จะเหนียวไปถึงไหนน้า 1790 เนีย ใจผมว่าขึ้นน้า ลู่วิ่งอีกยาวไกล ดู ma 75 กับ 200 รายวันแล้วมันน่าขึ้นนะ rsi ราย h4 ก็ดูดีน้า ไม่รู้จาขึ้นจริงป่าว
-
ผมว่ากรอบกว้างๆ ถ้าไม่มีหลุด 1600 น่าจะออกมาประมาณว่า 1 ราคาตอนนี้ถ้าผมคิดถูก ทำ H&S กลับหัวอยู่ 2 ราคาที่ตกลงมาจากแถว 1795 ลงมาแถว 1623 เป็นราคาแถว fibo 61.8 (ราคาตามนิยามคลื่น 3) 3 ราคามีโอกาสทำ สามเหลี่ยมแถว 1795 ซึ่งมีฐานยกสูงขึ้นมา (ราคาต้องไม่หลุด 1636 ) ไม่งั้นต้องมองใหม่ 4 bb กำลังบีบ ไม่นานคงหลุดแรงๆด้านใดด้านหนึ่ง 5 ปัญหาอยู่ที่ ma 75 ตัด ma 200 ลงมา (d1) ถ้าราคาจะเป็นขาขึ้นตามที่คาด เส้น 75 ควรจะกระดกขึ้นตัด ma 200 6 ราคารายวันไม่ควรจะหลุด 1650 เพื่อดูความแข็งของแนวรับ และสุดๆ ภาวนาอย่าให้หลุด 1630 เป็นการมองโดยความคิดส่วนตัวนะครับ ต้องดูต่อไปแบยาวๆครับว่าจะตรงหรือเปล่า สรุปมั่วมาครับ
-
โดยปกติคลื่่น 1 rsi จะไม่ถึง 70 นะครับ ถ้าจะให้ถึง 70 จะมีคลื่น 3 กับ b ครับ แต่อย่างอื่่นความคิดเหมือนกันครับ คือน่าจะลงครับในไม่นานนี้
-
ดู mt4 ในรายวันเลยครับ ตามหลักนับคลื่น rsi ถ้าเกิน 70 ถือว่าเป็น คลื่น 3 แล้วลองนับต่อจาก 3 ลงมา 4 ขึ้น 5 ลงมา a b c ตามลำดับ ดังนั้นที่่กำลังขึ้นมานาจะเป็น 1 คับ ตาม h&s น่าจะต้องมีลงอีกรอบถึงจะสมบูรณ์ ก็น่าจะเป็นคลื่น 2 ดูตาม rsi นะคับ รูปพอดีที่ทำงานเขาบล็อคพวกเว็บฝากไฟร์เลยลงไม่ได้คับขอโทษทีครับ
-
มี h&s มาครับเฝ้าระวัง การขึ้นไปแถว 1650 กว่าๆแล้วทิ้งอีกรอบ ผมยัง 2 ใจอยู่ระหว่า ที่ขึ้นมาน่าจะเป็น คลื่น 1 หรือเปล่า ถ้าจริงแฟทเทิน H&S จะสมบูรณ์ครับ พร้อมจะขึ้นต่อดังนั้นต้องมาดูความแรง rsi อีกครั้ง
-
วันนี้ลองดูตามกราฟที่ทุกท่านมีอยู่แล้วแล้วเรามาลองอ่านมันกัน 1. เปิดในรายวัน ดูที่ตัวกราฟแท่งเทียนเป็นแท่งเขียวกลืนกินแท่งเทียนก่อนหน่าแล้ว การเข้าควรรอให้แท่งเทียนกลืนกินไปจนถึงครึ่งหนึ่งของแท่งเทียนที่ลากราคาลงมาเมื่อวันก่อน ดูแท่งเทียนต้องดูตอนที่ปิดวันไปแล้วเท่านั้น 2. rsi ลงมาแถว 30 ถือว่าขายเกินแล้วต้องระวังการกลับตัวให้ดีครับ 3. macd ยังเป็นขาลงอยู่ 4. ลองวัด fibo จากแถวที่ราคาใกล้ที่สุด จะเห็นว่าราคาลงมาแถว 200 แนวต้านขาขึ้นก็จะเป็นแถว 161.8 แล้วก็ 100 ขึ้นมาตามลำดับครับ ดูๆแล้วรออีกนิดนะครับ มีโอกาสขึ้นแล้วครับ ไม่มีของก็น่าซื้อครับ ลุ้นว่าน่าจะเป็นคลื่น 1 ของ 5 คลื่นกระตุ้น อาจจะได้ฐานเลยก็ได้แต่ถ้าเป็นผมงบน้อยๆ จะรอราคาเลยแท่งแดงใหญ่ซักคลึ่งหนึ่งก่อนแล้วใส่ตามครับ
-
ดูๆไปลักษณะราคากำลังกลับลงมาเข้าเทรนเดิมที่เคยวิ่งมาทุกปีครับ รูปแบบนี้อาจมีลงถึง 149X ได้ครับ ตามที่เคยบอกราคาน่าจะทำคลื่น b เป็น b จริงๆครับ ราคาตอนนี้ทำเวฟ C อยู่ครับ สู้ๆกันนะครับ
-
ตามปกติเมื่อเกิดรุปสามเหลี่ยมขึ้้น โดยมากมักจะไปตามราคาก่อนหน้านั้นคือว่า ถ้าก่อนหน้าขึ้นมัคจะขึ้นในทางกลับกันถ้าลงก็จะลง
-
ราคาเกิน 1750 น่าจะได้เวลาตามเก็บกันแล้วครับโดยมีเป้าแถว 1800 เป็นอย่างน้อยครับ