ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

tlek

ขาประจำ
  • จำนวนเนื้อหา

    22
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

คะแนนนิยม

6 ปานกลาง

เกี่ยวกับ tlek

  • คะแนนนิยม
    น้องใหม่

Profile Information

  • เพศ
    ไม่บอก
  • ที่อยู่
    กรุงเทพมหานคร
  1. ไม่รู้มีใครไปอ่านมารึยัง "Jesse Livermore นักเก็งกำไรบันลือโลก" from thaivi.com กฎและกลยุทธการเก็งกำไรของ J.L. นั้นสามารถสรุปอย่างย่อ ๆ ได้ดังต่อไปนี้ 1) อย่าขาดทุน นักเก็งกำไรที่ไม่มีเงินก็เหมือนกับเจ้าของร้านที่ไม่มีสินค้าอยู่ในสต็อก ดังนั้นถ้าคุณไม่มีเงิน คุณก็จะไม่มีธุรกิจ เก็งกำไรไม่ได้ J.L. บอกว่าการซื้อหุ้นเต็มจำนวนในคราวเดียวที่ราคาเดียวนั้นอันตราย คุณควรทยอยซื้อเมื่อแน่ใจว่าสิ่งที่คิดไว้ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการซื้อ 1000 หุ้น คุณควรจะเริ่มที่ 200 หุ้น ซื้อแล้วดูว่าราคาขึ้นหรือไม่ ถ้าใช่ ทยอยซื้อเพิ่มอีก 200 หุ้น แล้วก็รอดูว่าขึ้นไหม ถ้าใช่ก็ซื้ออีก 200 หุ้น และถ้าขึ้นอีก คราวนี้ให้ซื้อไปอีก 400 หุ้นจนเต็ม 1000 หุ้น สรุปก็คือ ทยอยซื้อเมื่อราคาขึ้น ห้ามซื้อเฉลี่ยเมื่อหุ้นลง 2) กำหนดจุดตัดขาดทุน ถ้าซื้อหุ้นแล้วขาดทุน ต้องกำหนดว่าจะยอมขาดทุนได้ไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ สำหรับเขาจะไม่ยอมให้ขาดทุนเกิน 10% เพราะเขาคิดว่าเวลาขาดทุนนั้น การจะเอาทุนคืนได้จะต้องกำไรมากกว่าเปอร์เซ็นต์ที่ขาดทุนจึงจะเสมอตัว เช่น ถ้าขาดทุน 50% กว่าจะคืนทุนก็ต้องกำไร 100% อีกอย่างก็คือ ถ้าซื้อแล้วหุ้นลงแสดงว่าสิ่งที่คุณคิดไว้คงผิด อย่าไปฝืนกระแส ตัดขาดทุนเสียแล้วไปเล่นตัวใหม่เมื่อเห็นโอกาส 3) จะต้องมีเงินสดสำรองเสมอ เงินสดนี้จะมีความสำคัญมากเมื่อถึงจุดที่โอกาสในการเก็งกำไรเปิด และเมื่อมีโอกาสดี เราก็จะต้อง “อัด” หรือลงเงินให้เต็มที่ J.L. เชื่อว่าคุณไม่จำเป็นต้องลงทุนตลอดเวลาและไม่ควรลงตลอดเวลา จะเล่นต่อเมื่อมีโอกาสเท่านั้น 4) อย่ารีบทำกำไร หรือ Let Profit Run นั่นคือ ถ้าหุ้นยังวิ่งไปเรื่อย ๆ อย่ารีบขายเสียก่อน ตรงกันข้าม ถ้าซื้อหุ้นแล้วขาดทุน หุ้นตกลงไปเร็ว อย่ารอหรือพยายามหาเหตุผลที่มันตก ต้องรีบขายทันที เขาบอกว่า “กำไรดูแลตัวมันเองได้ แต่ขาดทุนไม่เคย” อย่างไรก็ตาม การ Let Profit Run ไม่ได้แปลว่าซื้อแล้วถือแบบนักลงทุน เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องขาย 5) เมื่อได้กำไรต้องเก็บเป็นเงินสด เช่น ถ้าได้กำไรมาร้อยเหรียญ ก็ต้องเก็บเป็นเงินสดไว้ในแบ็งค์ 50 เหรียญ อย่าจมอยู่ในหุ้นหรือไปเล่นต่อทั้งหมด นี่ก็เหมือนกับเวลาเล่นไพ่ ถ้าได้กำไรก็เก็บเงินเข้ากระเป๋าเอาทุนคืนมาก่อน และนี่ก็เป็นกฏที่ J.L. บอกว่าตนเองผิดพลาดที่ไม่ได้ทำเท่าที่ควร ทำให้เงินที่ได้มามาก ๆ ในที่สุดก็เสียคืนกลับไปหมด สู้ๆ น่ะครับทุกๆ คน
  2. ขอบคุณ !thk คุณตวน คุณฝน คุณไนซ์ คุณโอเค ค่ะ
  3. ขออนุญาติคุณตวน แปะบทความดี ๆ ค่ะ ไม่เกี่ยวกับหุ้นน่ะ กฏ 10 ข้อ ของผู้บริหารชื่อ "ซิกเว่ เบรกเก้" อดีตผู้บริการ DTAC 10 กฎทองของ “ซิกเว่ เบรกเก้” ซิกเว่บอกว่าเขามักจะนำมาใช้เสมอๆ ทั้งในดีแทค และในขีวิตประจำวันของเขาเอง (ใครจะเอาไปใช้ต่อนั้น ซิกเว่บอกว่าเขาิยินดีมากๆ) 1. Have a vision ไม่ใช่เรื่องผิดเลยถ้าคุณจะมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ในเวลาที่ John K. Kennedy ประกาศ ในปี 1962 ว่าเขาจะส่งคนไปดวงจันทร์ให้ได้ภายใน 10 ปี เวลานั้นทุกคนมองว่าเขาไม่มีทางที่จะทำได้ ใครจะไปรู้ว่าอีกเพียง 7 ปีต่อมา นั่นคือปี 1969 โลกเราก็มีมนุษย์คนแรกที่ไปเหยียบดวงจันทร์ได้สำเร็จ และเร็วกว่าที่เขาประกาศไว้ถึง 3 ปี! “อย่าไปตั้งวิสัยทัศน์หรือแผนการที่มันธรรมดาๆ เกินไป ตั้งให้สุดๆ ไปเลย” ซิกเว่บอก 2. Mindset Matters ซิกเว่บอกว่าเรื่องของ “วิธีในการคิด” นั้นสำคัญ และมีพลังมากกว่า “ทักษะ” หรือความรู้ความสามารถที่คนๆ นั้นมีเสียอีก 3. Lead Crisis Company เขา ได้ยกตัวอย่างว่า ถ้าให้เลือกระหว่างการบริหารบริษัทที่ดีไม่มีปัญหาใดๆ กับบริษัทที่กำลังอยู่ในวิกฤติ เขาเลือกที่จะบริหารบริษัทหลังดีกว่า (รู้แล้วว่าทำไมเขามาบริหารดีแทค) “การ บริหารบริษัทที่กำลังอยู่ในช่วงวิกฤติ จะทำให้เราได้ใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีออกมาสู้แบบหลังชนฝา เราไม่มีทางเลือก ทางเลือกที่มีคือต้องสู้่เท่านั้น” 4. Embrace Change ยอมรับความเปลี่ยนแปลงให้ได้ และกระตือรือร้น ที่จะแสวงหาความเปลี่ยนแปลงเสมอๆ 5. Be Opposite หากบริษัท ฉินคอร์ป (อันนี้ยกตัวอย่างเองนะคะ แหะๆ ) เป็นบริษัทอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมเดียวกับเรา แน่นอนว่าเราึคงอยากรู้วิธีการว่าเขาทำอย่างไร เพื่อที่จะได้นำมาเป็น benchmark ให้เราพัฒนาตัวเองต่อๆ ไป “แต่วิธีการนี้มันผิด!!!!!” ซิกเว่บอกด้วยน้ำเสียงขึงขัง “อย่าไปทำตามใครสิ การ copy benchmarking ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย เพราะแต่ละคนมีดีไม่เหมือนกัน วิธีที่ดีที่สุดคือทำในแบบของเราเอง… Let’s Sing Your Own Song!!!” 6. Take Risks and Make Failure ทำผิดเข้าไว้ จะได้เรียนรู้วิธีการที่ถูก เพื่อที่จะได้ไม่ผิดอีก และนี่คือสิ่งที่ซิกเว่บอกลูกน้องของเขาเสมอๆ “อย่าง ที่ดีแทคนี่ ถ้าพนักงานคนไหนทำผิด ผมมีรางวัลให้เลยนะ ผมจะบอกพวกเขาทุกวันว่าควรทำผิดบ้าง จะได้เรียนรู้ ถ้าไม่ผิดเลยก็ไม่ได้บทเรียนอะัไรเลย บริษัทก็จะไม่เติบโต ถ้าไม่อนุญาตให้มีการทำความผิดพลาด” 7. Be Uncomfortable อย่าสบายจนติดเป็นนิสัย เรื่องนี้ซิกเว่บอกว่าสำคัญมาก ถ้าเราเคยชินกับอะไรที่สบายมากเกินไป เราก็จะหมด “แรงจูงใจ” ที่จะผลักหันตัวเองให้ค้นหาสิ่งใหม่ๆ หรือความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เป็น ต้นว่าหากเราต้องเดินไปบนไม้แคบๆ เราจะต้องพยุงและทรงตัวตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ล้มและข้ามแม่น้ำไปได้ และหากเราต้องเดินแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ เราก็จะเดินได้คล่องแม้ว่าทางเดินนั้นจะอันตรายเพียงใด ต่างจากการที่เราเดินแบบสบายๆ สักวันเราต้องมาเดินบนไม้นี้ เราก็จะเดินไม่ได้ และไำม่สามารถข้ามฝั่งไปหาสิ่งที่เราต้องการได้ “จงอยู่ใน Uncomfortable Zone ตลอดเวลา” นี่คือสิ่งที่เขาแนะนำ 8. Positive Attitude ทัศนคติที่ดี สำคัญกว่าความสามารถที่เรามี “สำหรับผม พนักงานของผมไม่ต้องมี skill ที่หรูหรามากก็ได้ แต่ขอให้มีทัศนคติที่ดีเป็นพอ เพราะผมมองว่าทัศนคติที่ดีนั้นสำคัญกว่า” 9. Always Under Promise and Over Deliver อย่าไปสัญญาหรือให้ความคาดหวังกับลูกค้ามากจนเกินไป เพราะหากทำตามนั้นไม่ได้ เราเองที่จะเสีย “แทน ที่จะทำแบบนั้น เราก็รับปากลูกค้าน้อยๆ แต่ให้ลูกค้ามากกว่าสิ่งที่เราสัญญาไว้ ดีกว่าการไปรับปากแล้วทำให้ไม่ได้ตามที่ลูกค้าต้องการ” 10. Before you are a leader, success is to grow yourself. After you become a leader, success is to grow others. “ก่อน ที่คุณจะเป็นผู้นำ ความสำเร็จของคุณคือการทำให้ตัวเองเติบโต แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณเป็นผู้นำแล้ว ความสำเร็จของคุณก็คือการทำให้คนอื่นเติบโต” นี่คือข้อคิดดีๆ ที่ซิกเว่นำมาฝากในวันนั้น และดิฉันยังคงจำได้ดีถึงวันนี้ หลายข้อที่ตรงกับใจ โดยเฉพาะ Be Uncomfortable ยอมรับว่ามีส่วนมากๆ...หากเราสบายจนเคยตัว ไฟในตัวเราก็จะมอดไหม้ไปตามกาลเวลา...
  4. ขอบคุณค่ะ !01 มีเวลาจะอ่านย้อนอีกครั้งค่ะ อาจข้ามไปตอนไม่ได้เข้ามาหลายวัน !45 อิจฉาจัง 30% !87 ตอนนี้ดูกราฟแล้วก็ไล่มาดูรายละเอียด !_Rd เลยช้าไปหลายตัว !Hot
  5. คุณ toune ตอนนี้มีหุ้นตัวไหนน่าสนใจบ้างไหมค่ะ จะรอเก็บหลังทีปันผลออก เก็บยาวค่ะ !Announce (เดือนนี้เป็นเดือนที่มีปันผลออกมาเยอะ ก็เลยอยากจะหาตัวที่เก็บหลังปันผล ) เคยเก็บตัว DSGT ตามที่คุณตวนแนะนำ แต่ใจไม่นิ่งปล่อยไปตั้งแต่ 10.20 (20 %) พอปล่อยวันนั้น ราคาวิ่งไป 12.0 เลยค่ะ ตอนนี้ใน port มี AIT TNH MCS DELTA GLOW STPI SITHAI KYE SUC TOP PTTCH SSI PS มีเขียว-แดงคละกันไป !v@ ตัวเหล่านี้ราคาช่วงนี้วิ่งให้อยากปล่อยจัง แต่ก็เก็บไว้พอเห็นราคาลงก็หวั่นไหวเหมือนกัน ส่วน SSSC มองตอนที่ 20.0 รอย่อ ไม่ย่อซะที เก็บตอนนี้ยังทันไหม มี PTL ฝาก คุณtoune ดูค่ะ ไม่รีบนะ ตอนนี้ราคาแต่ละตัวกลัวเข้าไปแล้วหาทางลงไม่เจอ
  6. ขอบคุณค่ะ !thk คุณ toune จะเรียนรู้การวิเคราะห์ฺจากคุณตวนน่ะค่ะ !gd ส่วนกราฟเรียนมาจากคุณkeepแล้ว ยังต้่องเรียนรู้อีกมากเลยค่ะ !031 ตอนหุ้นขึ้นไม่ขาย ตอนลงไปใจแป้ว !034 ต้องฝึกอีกนาน
  7. สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่2(F45-3) บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) สอบทาน (หน่วย : พันบาท) สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน งบการเงินรวม ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน ปี 2553 2552 2553 2552 กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 1,394,832 344,539 2,494,783 559,240 กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 1.39 0.34 2.49 0.56 งบการเงินเฉพาะกิจการ ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน ปี 2553 2552 2553 2552 กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 1,073,387 303,936 1,743,569 661,817 กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 1.07 0.30 1.74 0.66 -------------------------------------------------------------------------------------
  8. ขอบคุณ !thk ทุก ๆ ข่าวและบทความค่ะ จะเข้ามา + คะแนนให้ทุกวันค่ะ หมุนเวียนกันไป จริงแล้วอยากให้หมดทุกข้อความเลย !v@ แต่มีแค่วันละ 2 เอง คุณ toune รบกวนวิเคราะห์ หุ้น PAP หน่อยค่ะ
  9. "C-A-N-S-L-I-M" 7 เคล็ดลับ "วิลเลียม โอนิล" วิลเลียม โอนิล (William O’Neil) เริ่มงานเป็นนายหน้าขายหลักทรัพย์ในปี 1958 สามปีที่เขาทำงานกับบริษัทนี้ โอนิล ได้เลียนแบบการลงทุนแบบนี้ ภายในหนึ่งปีผ่านไปเขาสามารถเพิ่มเงินของเขาจาก 5,000 เหรียญ เป็น 200,000 เหรียญ เขาเป็นผู้จัดการกองทุนที่จัดว่ามีผลการดำเนินงานดีเด่นในยุค 60 เลยทีเดียว และเป็นผู้บุกเบิกการเลือกหุ้นโดยอาศัยข้อมูลทางสถิติ และบริษัทของเขาก็ยังคงให้บริการข้อมูลเหล่านี้แก่ผู้ลงทุนจนทุกวันนี้ ผลการดำเนินงานของเขามีทั้งขึ้นและลงโดยเฉพาะในช่วงที่หลังการปรับตัวที่ดีของตลาดหุ้นในช่วงยุค 60 ผลตอบแทนที่ได้รับจะอยู่ในอัตราเฉลี่ย 40% ในรอบสิบปี หุ้นที่เขาลงทุนแล้วประสบความสำเร็จอย่างมากเป็นหุ้นบริษัทยาซินเท็ค (SYNTEX) บริษัทนี้เป็นบริษัทแรกที่ผลิตยาคุมกำเนิด ขณะนั้นบริษัทประกาศผลกำไรโตขึ้นถึง 300% ราคาหุ้นปรับตัวจาก 100 เหรียญ เป็น 550 เหรียญ ทำให้เขามีกำไรมากพอที่จะเริ่มธุรกิจส่วนตัว ปัจจุบันเขาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทที่ปรึกษาของเขาเองตั้งอยู่ที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา วิธีการและแนวทางการลงทุนของเขาคล้ายๆ กับ จิม สแลตเตอร์ เขาให้ส่วนผสมของข้อมูลเชิงคุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณเป็นเกณฑ์ในการเลือกหุ้นลงทุน แนวคิดที่สำคัญในการลงทุนคือ “มองหาหุ้นที่โตเร็วที่มีศักยภาพในการที่ราคาจะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง” นั้นคือ ซื้อหุ้นเมื่อบริษัทแข็งแกร่ง ขายออกเมื่อบริษัทอ่อนแอลงเขาแนะนำนักลงทุนให้ใช้แนวทาง 7 ประการในการลงทุน โดยมีตัวย่อ C-A-N-S-L-I-M ดังนี้ C = ผลกำไรไตรมาสก่อน (Current quarterly earnings) มองหาบริษัทที่เพิ่งประกาศผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 40-500% A = กำไรต่อปีเพิ่มขึ้น (Annual earnings increases) มองหาบริษัทที่มีความเติบโตติดต่อกัน 5 ปี โดยมีอัตราเติบโตที่ไม่ต่ำกว่า 25% ต่อปี ถ้าหุ้นมีลักษณะอย่างนี้เราไม่จำเป็นต้องสนใจ P/E Ratio ซึ่งช่วงของ P/E อาจจะอยู่ที่ 20 ขึ้นไป N = สินค้าใหม่ ทีมบริหารใหม่ จุดสูงสุดใหม่ (New products, new management, new highs) หุ้นที่ดีมักจะมีเรื่องราวใหม่ๆ อยู่เบื้องหลังมัน เช่น สินค้าใหม่ที่น่าสนใจ หรือ ผู้บริหารคนใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดจุดสูงสุดใหม่ S = อุปสงค์ และ อุปทาน (Supply and demand) หากหุ้นที่มีขนาดเล็กมีปริมาณการซื้อขายสูงๆ จะทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นจะถูกขับเคลื่อนสูงขึ้นได้ L = ผู้นำ และ ผู้ตาม (Leaders and laggards) เลือกลงทุนในหุ้นที่มีความเข้มแข็งในอันดับต้นของหมวดนั้นๆ สัก 2-3 บริษัท หุ้นเหล่านี้มักจะปรับตัวดีกว่าหุ้นอื่นๆ ในหมวดเดียวกันในอัตรา 80-90% ภายใน 12 เดือน อยู่ให้ห่างหุ้นที่ปรับตัวแย่ลงในระยะ 7 เดือน I = ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนสถาบัน (Institutional sponsorship) หาให้ได้ว่าหุ้นตัวใดที่นักลงทุนสถาบันนิยมซื้อ หากเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนดีและนักลงทุนสถาบันยังมีอยู่น้อย เราอาจจะนำมาเป็นหุ้นที่เราจะเข้าซื้อ M = ทิศทางของตลาด (Market direction) ตรวจสอบตลาดทุกวันเพื่อหาสัญญาณของการปรับตัวลง และให้ระวังการเข้าซื้อในขณะนั้น เขาแนะนำให้ทำการขายหุ้นตัดขาดทุนเมื่อหุ้นนั้นตกลงต่ำกว่า 7-8% จากราคาที่ซื้อมาโดยไม่ต้องมีคำถาม และให้ขายหุ้นที่ขึ้นไม่ถึง 20% ภายใน 13 สัปดาห์ ให้ถือหุ้นที่ขึ้นเกิน 20% ภายใน 4-5 สัปดาห์ หุ้นพวกนี้มักจะเป็นหุ้นที่ทำกำไรมากที่สุด ในกรณีที่หุ้นที่ซื้อมาและมีการปรับตัวขึ้น 25% อย่างรวดเร็วภายใน 1-2 สัปดาห์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าอาจจะมีข่าวดีทำให้นักลงทุนในตลาดแห่กันเข้าเก็บหุ้นอย่างเร่งร้อน เราควรรีบทำกำไรเช่นเดียวกัน ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/viboon/20100531/118027/C-A-N-S-L-I-M-7-%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1-%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A5.html
  10. ขอบคุณข่าวทุกเช้าค่ะ คุณฝน มุมมองหุ้นไทยสไตล์ Rockriverarms http://www.rockontheset.com/aug/monday02_08.html
  11. หลากหลุมพราง ทำให้นักลงทุนล้มเหลว ทำไมนักลงทุนจำนวนไม่น้อยจึง "ล้มเหลว" และเดินไปไม่ถึง "เส้นชัยแห่งการลงทุน" บางคนอาจจะคิดว่าเพราะโชคไม่ดี ดวงไม่เฮง มือไม่ขึ้น แต่ลองนั่งทบทวนดูให้ดี คุณจะพบว่ามีหลุมพรางการลงทุนมากมาย ที่คุณพลาดท่าเดินตกลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้คุณไม่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนสักที อาจจะมีหลายสาเหตุผสมผสานปนเปกัน ทำให้คุณขาดทุนบ้าง บาดเจ็บบ่อย แต่อาจจะมีอีกหลายสาเหตุที่คุณยังนึกไม่ถึง ดังนั้น จะขอหยิบหลุมพรางทางการลงทุนมาบอกเล่า คุณจะได้รู้ว่าที่ผ่านมามีหลุมพรางไหนบ้างที่ทำให้คุณยังไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน ไม่ใส่ใจหาความรู้- ซื้อขายบ่อยเกินไป เมื่อตัดสินใจลงทุน นักลงทุนทุกคนย่อมหวังที่จะได้รับผลตอบแทนสูง และมีความเสี่ยงในการลงทุนต่ำแต่มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถบรรลุ สิ่งที่หวัง หรือแม้กระทั่งนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ก็ยังอาจจะพลาดพลั้งได้บางครั้ง อะไรบ้างที่น่าจะเป็นเหตุของความผิดพลาดนั้น ซึ่งหากทราบแล้ว ก็จะได้พยายามหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด จึงได้รวบรวมความเห็นของคนในแวดวงการเงิน ถึงหลุมพรางทางการลงทุน ที่ทำให้นักลงทุนหลายต่อคนล้มเหลว @ไม่ทำความรู้จักกับตัวเอง "ดร.สันติ กีระนันทน์" ผู้จัดการตลาดตราสารหนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ทัศนะว่าประเด็นแรกเลยที่ทำให้นักลงทุนล้มเหลวเพราะไม่ทำความรู้จักกับ ตัวเอง อาจจะรู้สึกแปลกๆ แต่เป็นความจริง ทั้งนี้ เพราะนักลงทุนหลายคน ใช้แนวทางของผู้อื่นที่ประสบความสำเร็จเป็นต้นแบบการลงทุนของตัวเอง โดยไม่แยกแยะความแตกต่างของต้นแบบกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความทนได้ต่อความผันผวน วิธีการตัดสินใจ เวลาที่มีติดตามการลงทุนของตัวเอง เป็นต้น ซึ่งความแตกต่างเหล่านั้น ทำให้เกิดความแตกต่างของผล แม้ว่าจะพยายามเลียนแบบวิธีการของผู้ที่ประสบความสำเร็จก็ตาม @เล็งผลเลิศมากเกินไป อีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนล้มเหลว ดร.สันติ บอกว่า เป็นเพราะนักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนที่มากเกินไป ซึ่งเป็นธรรมชาติของนักลงทุนที่ย่อมต้องการซื้อที่ราคาต่ำสุด และขายที่ราคาที่สูงสุด แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีใครที่จะทราบได้ว่าเมื่อไรที่ราคาจะสูงสุดหรือเมื่อไรที่ราคาจะต่ำสุด หรือราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดอยู่ที่ไหน ทางที่อาจจะปลอดภัยกว่าก็คือ การประมาณราคาซื้อขายที่ยอมรับได้ (ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับในกำไร หรือขาดทุนที่จะเกิดขึ้นก็ตาม) แล้วก็ปฏิบัติตามกรอบที่กำหนดไว้ โดยอาจจะต้องกำหนดระยะเวลาที่ยอมรับไว้ด้วย และเมื่อตัดสินใจไปแล้ว ไม่ต้องเสียใจมากเกินไป หากผลที่ได้นั้น ไม่ได้เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด @ไม่ใส่ใจหาความรู้ ดร.สันติ ยังบอกอีกว่า ผู้ที่เรียกตัวเองว่านักลงทุน จำนวนไม่น้อย ไม่ค่อยใส่ใจทำการบ้านคือ การศึกษาให้ได้ข้อมูลที่เพียงพอเกี่ยวกับหลักทรัพย์ หรือสินทรัพย์ที่ตนเองจะลงทุน แต่คอยสังเกตคนอื่น และบางครั้งก็ทำ "ตามแห่" คนอื่นไป ในเรื่องนี้ ต้องระลึกถึงเสมอว่า เรากำลังตัดสินใจบนการได้มาหรือเสียไปซึ่ง "เงิน" ของเรา ถ้าเราไม่ระวังเงินของเราเอง ใครจะมาระวังเงินของเราแทนตัวเรา นอกจากนั้น การเกิดขึ้นของทางเลือกในการลงทุน และเครื่องมือที่ใช้บริหารการลงทุนใหม่ๆ มีอยู่เรื่อยๆ หากไม่ศึกษาให้รู้จักสิ่งเหล่านั้น ก็นับว่านักลงทุนจะเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย @ติดตามดูมากเกินไป ในข้อนี้ ตรงข้ามกับข้อที่ 3 ดร.สันติ บอกว่านักลงทุนบางคน มีสัมมนาอะไรที่ไหน มีเรื่องอะไรที่ไหน จะต้อง "ตามไปดู" ทุกที่ แต่ก็เป็นเพียงแค่ "ดู" โดยไม่ "คิด" เรื่องนี้สำคัญมาก หากยอมเสียเวลาที่จะไปหาความรู้จากแหล่งต่างๆ จากผู้รู้มากหลายแล้ว สิ่งสำคัญคือ ต้อง "คิด" ตามไปด้วย เพราะไม่มีใครที่สามารถให้สูตรสำเร็จการลงทุนใดๆ ได้ ต้องศึกษาให้เข้าใจและคิดวางแผนด้วยตัวเอง @ไม่ไว้ใจตัวเอง หลายครั้งที่นักลงทุนจะตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว (หลังจากที่ได้ศึกษาข้อมูลดีแล้ว) กลับลังเล ไม่กล้าตัดสินใจ ดร.สันติ แนะว่าต้องพยายามหาความเห็นของคนอื่นประกอบ หากการหาความเห็นประกอบนั้น ทำอยู่ในกรอบที่เหมาะสม ก็จะเป็นการปรึกษาหารือที่ดี แต่บางคนก็ทำมากเกินไป จนกระทั่งได้ความเห็นที่แตกต่างหลากหลายขัดแย้งกัน จนไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลย นักลงทุนบางคนเคยตัดสินใจผิดพลาดมาในอดีต ทำให้ไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเองอีก เพราะกลัวผิดซ้ำซาก ต้องไปคอยถามความเห็นของผู้อื่นจนไม่เป็นตัวของตัวเอง อย่าลืมว่า"ทั้งหมดนั้น จะเห็นได้ว่า การทำอะไรมากเกินไป เป็นเหตุให้เกิดความผิดพลาดได้เสมอ ควรจะพยายามทำทุกอย่างให้อยู่ในความพอดีก็จะผิดพลาดน้อยลง"ดร.สันติ ให้ทัศนะ @ไม่ได้ใส่ใจลงทุนอย่างจริงจัง "ดร.สมจินต์ ศรไพศาล" กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ ให้เหตุผลที่ทำให้นักลงทุนล้มเหลวจากการลงทุนว่าบางคนอาจจะเกิดจากไม่ได้ออม จึงไม่ได้ลงทุน หรือบางคนได้ออมแต่ไม่ได้ใส่ใจลงทุนอย่างจริงเป็นจัง ก็เลยได้ดอกเบี้ยเล็กๆ น้อยๆ จากเงินฝาก ไม่ได้สร้างความมั่งคั่งเป็นเรื่องเป็นราว เขาบอกว่า ทางแก้ทางหนึ่งก็คือ ลงทุนให้เป็นอัตโนมัติเสียเลยอย่างพวกโครงการรวยอัตโนมัติ หรือ Automatic Millionair program (AMP) ก็จะช่วยได้ดี @มองอดีตมากกว่ามุ่งอนาคต นอกจากนี้ ดร.สมจินต์ ยังบอกว่า ถ้านักลงทุนได้ลงทุน และมองอดีตมากกว่ามุ่งอนาคต ชอบลงทุนแบบตามๆ กระแส ก็อาจจะล้มเหลวได้ ทางที่ดีควรตั้งสติให้ดี ยืนทวนกระแสได้ในเวลาที่ควรด้วยการพยายามมองแบบมุ่งอนาคต มองกว้างครอบคลุมทางเลือกการลงทุน ทั้งหุ้น ทั้งตราสารหนี้ ทั้งเงินฝาก เป็นต้น @ซื้อขายบ่อยเกินไป ชนวนแห่งความล้มเหลวของการลงทุนอีกประการหนึ่ง คือ ซื้อขายบ่อยเกินไป โดยเฉพาะขายเร็วเมื่อกำไรเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าขาดทุนมักถือนานเพราะทำใจไม่ได้ ซึ่งดร.สมจินต์ กล่าวความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราซื้อหุ้นได้ถูกต้องแล้วบริษัทดีจริง มีกำไรควรจะถือให้นานตั้งใจเป็นเจ้าของจริงจัง แต่ถ้าซื้อผิดควรตัดใจกำจัดจุดอ่อนเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่า @ดูปัจจัยพื้นฐานน้อยเกินไป อีกประเด็นหนึ่ง ดร.สมจินต์ บอกว่าที่นักลงทุนล้มเหลวก็เพราะหวังจับกระแสการเข้าออกของเงินมากเกินไป ดูปัจจัยพื้นฐานน้อยเกินไป หุ้นขึ้นลงด้วยสองปัจจัยเสมอ คือ ปัจจัยแรก คือ ความสามารถในการทำกำไร ซึ่งคือปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของหุ้น ปัจจัยที่สอง คือ กระแสเงินเข้าออกของตลาดหุ้นโดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติ หากเราจะคาดเดาต่างชาติมากเกินไปจะลำบากมาก เพราะเป็นการยากเหลือเกินหรืออาจเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำไปที่จะทำเช่นนั้น ดังนั้น จึงควรดูเรื่องความสามารถในการทำกำไรเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ แล้วดูระดับราคาที่เหมาะสมเป็นหลัก แล้วพิจารณาเรื่องกระแสเงินลงทุนต่างๆเป็นองค์ประกอบ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ เมื่อเราลงทุนเพราะปัจจัยพื้นฐานดีราคาเหมาะสมแล้ว หากราคาจะผันผวนด้วยเพราะกระแสเงินต่างชาติบ้าง เราก็จะไม่ตกใจ @ความโลภและความกลัว ประการสุดท้าย ในมุมมองของ ดร.สมจินต์ เขาคิดว่า ความโลภและความกลัว เป็นต้นเหตุของการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้เสมอ หากความผันผวนของหุ้นเป็นตัวมากเกินไปสำหรับนักลงทุนบางคน การลงทุนแบบที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างดีอย่าง TDEX (ThaiDEX SET50 ETF) ก็เป็นทางเลือกที่จะลดความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี @ลงทุนไม่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยง "อดิศร เสริมชัยวงศ์"กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ ให้ทัศนะถึงเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนล้มเหลวจากการลงทุนว่า ก่อนที่จะพูดถึงสาเหตุที่จะทำให้การลงทุนล้มเหลวนั้นอยากจะให้ทุกคนให้เวลา ศึกษาและพิจารณา ถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้กระจ่างถ่องแท้เสียก่อน โดยที่ปัจจัยแรกที่สุดที่เราจะต้องคำนึงถึงนั้น ก็ง่ายและอยู่ใกล้ตัวมากที่สุดก็คือ ความต้องการของตัวเอง หรือการวางแผนทางการเงินให้กับตัวเองก่อนนั่นเอง เมื่อวางแผนแล้วถึงค่อยมาพิจารณาเรื่องการลงทุนต่อไป เพราะว่าถ้าขาดการวางแผนอย่างรอบคอบแล้ว เราคงไม่สามารถที่จะวางเป้าหมาย วัตถุประสงค์ของการลงทุนที่เหมาะสม ซึ่งก็คงทำให้เราไม่สามารถจะประเมินได้ว่า การลงทุนที่ทำไปสำเร็จหรือล้มเหลว "การวางแผนทางการเงินจะว่าง่ายก็ง่ายนะแต่ไม่ค่อยจะมีใครทำกันนะ เริ่มต้นจริงๆ ก็คือ การทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายให้เป็นประจำ นี่คือ จุดเริ่มต้นของการออมเงินอย่างมีวินัย เพราะถ้าไม่ออม ล้มเหลวในการลงทุนแน่ๆ เพราะคงจะไม่มีเงินให้ลงทุนและนำไปสู่การลงทุนอย่างมั่นคง หลังจากนั้นก็เริ่มมองออกไปในอนาคต กลับมาดูแผนการในชีวิตของเราอีกครั้งว่า เราฝันที่จะมี จะใช้ จะเที่ยว จะทำ หรือมีภาระ ต้องสำรองเงินเผื่อ ต้องใช้จ่ายดูแลในเรื่องใดๆ บ้าง และที่สำคัญอย่าลืมกันเงินออมไว้ใช้ตอนเกษียณอายุด้วย มาถึงตรงนี้เราก็จะมีภาพคร่าวๆ ว่า ในช่วงเวลา 4-5 ปี ข้างหน้า เราควรจะมีเงินออมเท่าไร และเมื่อไรต้องใช้เงิน หรือส่วนไหนเก็บออม ลงทุนระยะยาวๆ ได้ ส่วนไหนเผื่อไว้ต้องใช้ในอนาคตอันใกล้ " ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อจะนำเข้ามาถึงความผิดพลาดอันแรกของผู้ลงทุนทั่วไป คือ จัดการแบ่งการลงทุนไม่เหมาะสมกับเป้าหมายการออม และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ บางคนนำเงินที่รู้ว่าจะต้องใช้ใน 3-4 เดือนข้างหน้าไปลงทุนในหุ้น บางคนนำเงินที่เก็บไว้ใช้ตอนเกษียณไปฝากประจำ 3 เดือน เกือบทั้งหมด จะเร็วจะช้าก็จะพบว่าเราไม่พอใจเลยกับการลงทุนที่มีอยู่ เพราะผลที่ได้จะไม่ตอบสนองสอดรับกับแผนชีวิตที่วางไว้ หรือความจำเป็นที่เกิดขึ้น @ขาดการศึกษาข้อมูลลงทุนอย่างถี่ถ้วน อีกประการที่อดิศรมองว่าทำให้นักลงทุนล้มเหลว เพราะไม่ค่อยได้ทำกัน ก็คือ การตั้งเป้าหมายผลตอบแทนในการลงทุนที่สมเหตุสมผล ถ้าไม่มีการตั้งเป้าหมายในส่วนของผลตอบแทน เราจะประเมินผลได้อย่างไร อันนี้ทำให้เราประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนไม่ได้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ต้องลงทุนอะไรบ้างเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามที่ตั้งใจ ก็เลยทำให้จัดแบ่งการลงทุนผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น สาเหตุหลักของข้อผิดพลาดในจุดนี้ก็คือ ขาดการศึกษาข้อมูลของตลาดการลงทุนและทางเลือกต่างๆ อย่างถี่ถ้วน รับฟังข้อมูลเพียงผิวเผิน และขาดการติดตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างเป็นประจำ นอกจากศึกษาภาวะตลาดการลงทุนแล้ว ก็น่าจะต้องมาดูรายละเอียดของการจัดสรรสัดส่วนในการลงทุนว่าเหมาะสมกับความ เสี่ยงที่เรายอมรับได้ไหม ในแต่ละช่วงเวลา และให้ผลตอบแทนเพียงพอหรือไม่ ในจุดนี้เราอาจจำเป็นที่จะต้องคอยกลับมาดูแผนชีวิตหรือผลตอบแทนที่ คาดหวังด้วยว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนให้พอเพียงหรือไม่หลายครั้งอาจจะต้อง ปรับลดลง เพราะเราไม่อยากให้ความเสี่ยงของการลงทุนมีมากไป ซึ่งพอมาถึงตรงนี้ก็ชวนให้พูดถึงความผิดพลาดอีกประการที่เป็นกันมากคือ ปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำเหตุผล เช่น แทนที่จะปรับเป้าหมายผลตอบแทนลงตามภาวะการลงทุนที่เปลี่ยนแปลง เวลาดอกเบี้ยปรับตัวลง กลับไปเพิ่มการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูงเข้าไป หรือพอเห็นการลงทุนบางอย่างลงไปแล้วให้ผลตอบแทนดีก็เพิ่มสัดส่วนไปจนเกิน สมควรด้วยความหวังว่าจะได้กำไรมากๆ ก็ต้องระมัดระวัง และเตือนตัวเองให้กลับไปดูวัตถุประสงค์ในการออมเงินและความเสี่ยงที่เรารับ ได้อยู่ตลอดเวลา "จากที่ผมพูดมาทั้งหมด ก็อยากจะสรุปว่าการลงทุนไม่ใช่เรื่องยากแต่ต้องมีความรอบคอบ ระมัดระวังและสม่ำเสมอในการดูแลจัดการ" อดิศรให้แง่คิด คุณก็เป็นนักลงทุนที่ถึงเส้นชัยแห่งการลงทุนได้ ถ้ารู้ให้เท่าทันหลุมพรางที่คอยจ้องจะลากเราลงไป พอรู้แล้วว่ามีกับดักอยู่ตรงไหนบ้าง คราวนี้หลบให้พ้นละกัน #เครดิต >>> เรื่อง : กาญจนา หงษ์ทอง
  12. ขอบคุณค่ะ !thk !gd จะลองนำไปใช้กับห้นรายตัวดูค่ะ คะแนน +2 เลย ค่ะ
  13. ขอบคุณ !thk คุณตวน คุณฝน คุณงูดิน คุณพี่ไนซ์ ค่ะ !gd
×
×
  • สร้างใหม่...