ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
perfection

อ้่านตำรา ลอกการบ้าน มาฟันธง

โพสต์แนะนำ

มาคนเดียวค่ะ ทีมงาน ไม่มี แต่ขยันอ่าน ขยันลอกการบ้านค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ลอกตำราแรก ศัพท์ ลอกจาก สาวกคุณ next สิงหา2011

 

ดอย = ราคาทองคำขึ้นสูงแล้วตกลงมา

 

ติดดอย = ซื้อทองตอนที่ราคาสูง แล้วยังขายขาดทุนไม่ได้ ต้องรอจนราคาขึ้นมาอีกรอบจึงค่อยขาย

 

โดมิโน่ = ทองคำแท่งประมาณ 5-10 บาท เพราะมีขนาดใกล้เคียงกัน แต่ทองคำหนักกว่ามาก

 

พอร์ต = สัดส่วนการลงทุนประเภทต่าง ๆ

 

Bull = ตลาดทองคำที่ราคากำลังแพงขึ้น เปรียบเสมือนกระทิงที่ดุร้าย

 

Bear = ตลอดทองคำที่ราคากำลังตกลง เปรียบเสมือนหมีจำศีล

 

จรวด = ราคาทองคำที่กำลังพุ่งพรวด ราวกับจรวดกำลังทะยาน slope อยู่ในแนวดิ่ง

 

ตาโป๊งเหน่ง = นายเบอร์นันเก้ ผู้ทำหน้าที่ดูแลการคลังของ US Treasury

 

QE = Quantitative Easing หมายถึงการพิมพ์เงินกระดาษออกมาเพิ่ม โดยไม่ได้อ้างอิงกับจำนวนทองคำ

 

ย่อ = ปรับฐาน = ราคาทองคำตกลงมาจากเดิม

 

buy the dip = รอซื้อเมื่อราคาตกลงมาจากเดิม ส่วนซื้อที่เท่าไรก็สุดแล้วแต่ละคนตัดสินใจ

 

เหว = ราคาทองคำตกลงดิ่งมากกว่าคาดไว้ หรือหมายถึงจุดต่ำสุด

 

sideway = ราคาทองคำทรงตัว ราคาขึ้นลงไม่มาก ปกติถ้าทองคำราคาบาทละ 25000 บาท อาจขึ้นลง 100-200 บาทต่อวันเป็นปกติ

 

ผันผวน = ราคาขึ้นลงในแต่ละวันแตกต่างกันมาก เช่น 500-1000 บาทต่อวัน

 

คลื่น Elliot = การขึ้นลงของราคาทอง 5 จังหวะ 1-3-5 ขึ้น 2-4 ลง โดยนิยมเริ่มต้นซื้อที่ 3 และราคาไปไกลสุดที่ 5 จากนั้นราคาจะตกลงมามากเพื่อเริ่มต้นคลื่นใหม่

 

Mania Phase = ช่วงเวลาที่คนตื่นทอง ไปซื้อทองเพิ่มทั้ง ๆ ที่ราคาทองแพงสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลายคนคาดว่าช่วงเวลาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 คือจุดเริ่มต้น

 

ฟองสบู่ = ราคาทองสูงเกินจริงและพร้อมที่จะตกลงกลับมาสู่ราคาจริงของมัน

 

SPDR = กองทุนทองคำใหญ่ที่สุดในโลก ที่เอาเงินคนซื้อกองทุนไปซื้อทองแท่งแล้วเก็บไว้ที่ธนาคารในสหรัฐหรือฮ่องกง เมื่อมีคนซื้อเพิ่มหรือขายออก กองทุนก็จะมีการซื้อขายตาม

 

กองทุนทองคำ = กองทุนในตลาดหุ้นสิงคโปร์หรือนิวยอร์กหรือลอนดอนที่หาซื้อได้จากธนาคารต่าง ๆ โดยมักเอาเงินเราไปซื้อกองทุน SPDR อีกต่อหนึ่ง

 

Fort Knox = สถานที่เก็บทองคำแท่งของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งได้ชื่อว่ามีมากที่สุดในโลก แต่หลายคนวิจารณ์ว่าที่นี่ไม่มีทองคำจริง ๆ อยู่

 

 

hinalove พูดว่า:

จริง ที่เราใช้กัน แบบไม่เป็นทางการใน web นี้ได้แก่

1.ติดดอย คืออาการของคนที่ซื้อ ณ ราคาสูงโดยคาดว่าราคาจะขึ้น แล้วปรากฎว่าราคาลง กรณีที่เป็นการลงครั้งแรกๆ ราคาต่างจากที่ซื้อไม่มาก เราจะเรียกว่าเนินดอย ครับผม

แต่ถ้าลงมากๆ หลายๆครั้งอย่างต่อเนื่อง จากเนิน ก็จะกลายเป็นดอยในทันที

 

 

2.ขายหมู กรณีที่ เราซื้อในราคาต่ำ แล้วคาดการณ์ว่ามันจะขึ้น แล้วมันก็ขึ้นไปนิดเดียว แล้วมันลงมานิดหน่อย แล้วเราขายเพราะกลัวว่ามันจะลงเยอะ เราจะได้กำไรนิดเดียว แต่พออีกซักพักหนึ่ง ราคาขึ้นแบบสูงมากๆ แต่นั่นเสียดายว่า ถ้ารออีกหน่อย กำไรเยอะกว่า เรียกว่าขายหมูครับ

 

3.ตกรถ กรณีที่เราคาดว่า ราคาจะลงต่ำอีก ในขณะที่คนอื่นเขาซื้อกันแล้ว แต่เราคิดว่าราคาจะลงต่ำอีก เลยรอที่จะซื้อ แต่ปรากฎว่าราคามันวิ่งไปสูงมากๆ จนเราไม่อยากจะซื้อ ดังนั้นรอบที่มันขึ้นนั้น คนอื่นเขาขายได้กำไร แต่เราไม่มีของให้ขาย เรียกว่าตกรถครับ

 

4.พิสูจน์ราคาฐาน ส่วนใหญ่ที่เราเรียกกันในเว็บนี้ จะเรียกว่าทดสอบราคาฐาน ไม่เรียกว่าพิสูจน์ราคาฐาน แต่น่าจะเป็นคำเดียวกัน คือการที่เมื่อวัดจากทฤษฎี Elliot Wave

โดยปกติ คนที่มีความรู้ทางด้านเทคนิคของกราฟ จะมีอีก 2 คำที่ควรรู้คือ

แนวต้าน คือ ระดับราคาสุงสุดที่คาดว่ากราฟจะวิ่งขึ้นไปทดสอบ ซึ่งจะแบ่งเป็นแนวต้านย่อยๆ ตามทฤษฏี Elliot Wave แบ่งได้เป็นด่าน คือ ต้าน 1,ต้าน 2,ต้าน 3

แนวรับ คือ ระดับราคาต่ำสุดที่คาดว่ากราฟจะวิ่งลงมาทดสอบ ซึ่งจะแบ่งเป็นแนวรับย่อยๆ ตามทฤษฏี Elliot Wave แบ่งได้เป็นด่านๆ คือ รับ 1,รับ 2,รับ 3

กรณีที่กราฟวิ่งขึ้นแล้วไปทดสอบแนวต้าน ที่คาดไว้ คือวิ่งไปแล้วเด้งกลับ ทั้งขาขึ้นและขาลง เรียกว่าทดสอบแนวต้านหรือแนวรับไม่ผ่าน มีโอกาสที่จะกลับทิศได้ เช่นทดสอบแนวต้านไม่ผ่านมันจะเด้งลงมา ถ้าเด้งลงไม่แรงก็อาจจะไปทดสอบแนวต้านครั้งที่ 2 แสดงว่ามีแรงเทขายทำให้ราคาเด้งกลับลงมา

กรณีที่กราฟวิ่งลงแล้วทดสอบแนวรับ คือลงไปแล้วเด้งกลับขึ้นมา คือทดสอบแนวรับไม่ผ่าน กรณีที่ทดสอบแล้วเด้งขึ้นนิดหน่อย อาจจะมีการลงไปทดสอบอีกหลายรอบ หรืออาจจะกลับตัวเป็นขาขึ้นเลยก็ได้ อันนี้ต้องดูกราฟและวิเคราะห์ทางเทคนิค

ซึ่งแนวต้านแนวรับ ของแต่ละท่านจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับมุมมอง และประสบการณ์ของแต่ละท่าน

 

5.ออกข้าง หรือ side way คือเกิดจากกรณีที่ กราฟทดสอบแนวรับ และแนวต้านแล้วไม่สามารถออกนอกกรอบ แนวต้านแนวรับ มันจะเป็นรูปฟันปลา คือขึ้นสลับลง เรียกว่าออกข้าง

 

6.การซ๊อต (short)ใช้กับตลาดอนุพันธ์ (ตลาดล่วงหน้า) คือกรณีที่เราไม่มีของในมือ และเราคาดว่าราคาจะลงเราจะทำการขายทอง ณ วันที่ปัจจุบัน ขณะที่ยังไม่มีของ แล้วไปซื้อ พอราคาต่ำลงในวันข้างหน้า เราจะได้ส่วนต่างกำไรจากการ ขายล่วงหน้า

 

7.ลอง (long)ใช้กับตลาดอนุพันธ์ (ตลาดล่วงหน้า) คือกรณีที่เราไม่มีของในมือง และเราคาดว่าราคาจะสูงขึ้นในวันข้างหน้า ณ วันที่ปัจจุบัน เราจะทำการซื้อล่วงหน้า ในลักษณะของสัญญา พอถึงกำหนดสัญญา คืออีก 3 เดือนราคาที่เราซื้อล่วงหน้าต่ำกว่า ราคา realtime เราจะได้กำไรจากส่วนต่างการซื้อล่วงหน้า

 

8.คัดลอส (cut loss) คือใช้ตอนขาลงของทอง คือทองลงแล้วเราคาดว่า ทองจะลงอีกมากๆ ถ้าเราขายขาดทุน ณ ปัจจุบัน กรณีที่มันลงต่อเนื่อง เราอาจจะขาดทุนน้อยกว่า รอให้มันลงไปเรื่อยๆ การตัดขาดทุนเรียกว่า cut loss

 

9.กลับตัว คือกรณีที่เป็นขาขึ้นแล้วกำลังจะกลับเป็นขาลง หรือกรณีขาลงแล้วจะกลับเป็นขาขึ้น (ต้องวิเคราะห์ตามทฤษฏี Elliot Wave)

 

10.พอร์ต คือกรณีที่เรามีเงินที่จะลงทุนอยู่จำนวน 100% แล้วเราเอามาแบ่งเป็นย่อยๆ เพื่อที่จะสามารถซื้อได้หลายๆครั้ง เพื่อความปลอดภัย

บางท่านอาจจะแบ่งเป็น 25% 25% 25% 25% แล้วเข้าซื้อทีละครั้ง ได้ 4 ครั้งเรียกว่า 4 พอร์ต เข้าซื้อครั้งละ 25% ได้ 4 ครั้ง

บางท่านอาจจะแบ่งเป็น 40% 30% 20% 10% แล้วเข้าซื้อทีละครั้ง ได้ 4 ครั้งเรียกว่า 4 พอร์ต เข้าซื้อตามที่แบ่งได้ 4 ครั้งเช่นกัน

กรณีที่เดิมทีคาดว่า จะแบ่งแค่ 4 พอร์ต แล้วซื้อตามสูตรแล้ว ปรากฎว่าติดดอยหมดทุกพอร์ต อาจจะมีการขยายพอร์ตการลงทุน คือเพิ่มไปอีก 100% จากของเดิมที่ติดดอย แล้วเอามาแบ่งเพื่อเข้าซื้ออีก เรียกว่าขยายพอร์ต

การแบ่งพอร์ตของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เพราะบางคนอาจจะแบ่ง 2 พอร์ตใหญ่ และใน 2 พอร์ตมีพอร์ตย่อยอีก 3 หรือ 4 หรือ 5 ก็ได้ ขึ้นอยู่กับเงินลงทุน

และอาจจะมีการปรับพอร์ต ณ เวลาที่เปลี่ยนไป ขึ้นอยู่กับเงินลงทุนของแต่ละคนครับ

 

11.เฉลี่ยดอย กรณีที่ เราเข้าซื้อในระดับราคาสูง แล้วปรากฏว่าราคาทองลงมามาก แล้วมีเงินในพอร์ตเหลือ ต้องการให้ราคาที่ซื้อในราคาสูง(ติดดอย) ต่ำลงมาเราจะนำพอร์ตที่เหลือ (เงินที่เหลือทำการซื้อเพิ่ม) แล้วเราราคาที่ซื้อสูง และราคาต่ำมารวมแล้วหารตามจำนวนทองที่ซื้อ ราคารวมมันก็จำต่ำลงเรียกว่าเฉลี่ยดอย

เช่น ครั้งแรกเราซื้อที่ 14000 ต่อบาททอง จำนวน 10 บาททอง

ครั้งทีสองเราซื้ออีกที่ 12000 ต่อบาททอง จำนวน 10 บาททอง

ต้นทุนเฉลี่ยของทองจะเหลือแค่ 13000 บาทต่อบาททอง เรียกว่าซื้อ ณ ราคาต่ำเพื่อเอามาเฉลี่ยดอย

 

อ้างถึง

ภาวะกระทิง กับภาวะหมี

มันเป็นเรื่องที่ตอบยากพอกับการนับคลื่น Elliot Wave ของผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์ครับผม คือความหมายเดิม ภาวะกระทิงมาจากสัญลักษณ์ของกระทิงที่ขวิดขึ้น และภาวะหมีมาจากหมีที่ตบลง หรือความหมายแฝงหมายถึงกรทิงที่คึกคัก หรือหมีที่จำศีล

 

ดังนั้นภาวะกระทิงจึงหมายถึง การขึ้นของหุ้น หรือทองคำอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้นภาวะหมีจึงหมายถึง การลงของหุ้น หรือทองคำอย่างต่อเนื่อง

แล้วถ้ามันเกิดเป็นกระทิงอยู่ คือขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วลงมา 1 ครั้ง แล้วขึ้นต่อเราจะเรียกมันว่าภาวะกระทิงหรือภาวะหมี โดยปกติเราก็เรียกมันว่าภาวะกระทิง เพราะเหมือนกับการลงมาพักนิดหนึ่งแล้วไปต่อ ทีนี้ในคลื่น Elliot Wave เวลาเราจะวิเคราะห์ รูปแบบคลื่น เราจะต้องดูเป็นรายชั่วโมง รายสี่ชั่วโมง รายวัน รายเดือน รายปี ซึ่งถ้าใช้มุมมองที่ต่างกัน การจะกำหนดภาวะว่าเป็นกระทิง หรือภาวะหมี นั้นก็ต้องแล้วแต่การวิเคราะห์ ของนักวิเคราะห์แต่ละคน เช่น รายวันของเดือนอาจจะอยู่ในภาวะหมี แต่รายเดือน กับรายปีอาจจะยังคงอยู่ในภาวะกระทิง

ซึ่งจะให้กำหนดว่าภาวะกระทิงหรือภาวะหมี คงไม่มีใครบอกได้จริงๆ ในระยะอันใกล้หรอกครับ โดยส่วนใหญ่ ถ้าภาวะที่ indicator ทุกตัวทั้งรายชั่วโมง รายสี่ชั่วโมง รายวัน รายเดือน รายปี และรายสิบปี เป็นไปในทิศทางที่ขึ้นอย่างต่อเนื่องก็จะระบุเป็นภาวะกระทิง แต่ในทางกลับกัน indicator ทุกตัวทั้งรายชั่วโมง รายสี่ชั่วโมง รายวัน รายเดือน รายปี สนับสนุนให้ราคาสู่ภาวะซบเซา ก็จะกำหนดภาวะให้เป็นตลาดหมี ดังนั้นจะเป็นแบบหนึ่ง หรือแบบ 2 มันต้องดูว่าเขาดูภาพแคบ หรือภาพกว้าง ภาพแคบอาจจะเป็นหมี ภาพกว้างอาจจะเป็นกระทิง ก็ได้

 

ถ้าให้นักวิเคราะห์มานั่งคุยกัน คนหนึ่งอาจจะเห็นว่าลงแค่ช่วงเวลา 1 เดือน แล้วขึ้นต่อไปเป็นกระทิง คนหนึ่งอาจจะบอกว่ามันคงไม่ขึ้นแล้วเป็นหมีไปแล้ว คนหนึ่งบอกว่ากระทิงมันแค่หลับ 1 เดือนเดี๋ยวมันตื่นขึ้นมาขวิดต่อ ดังนั้นมันก็ไม่มีอะไรตายตัวเหมื่อนคลื่น Elliot Wave ดังนั้นจะเรียกอะไรแล้วแต่มุมมองของนักวเคราะห์

ดังนั้นมันก็ไม่พ้นสัจจะธรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 

//////////////////////////////////////////////////////////////////

โพสต์ 07 มิถุนายน 2010 - 16:30

 

ปุยเมฆ พูดว่า:

 

STOP LOSS คือการหยุดการเสียหาย หรือการขายเพื่อกันการขาดทุน เป็นการลดความเสี่ยงโดยแท้จริง

CUT LOSS คือการลดการขาดทุน

 

ไก่บ้าน: stop loss คือการหยุดการเสียหายครับ คือเราต้องการ สู้แค่ไหน เช่น ถ้าผมลงทุนไป 100บาท ผมยอมขาดทุนแค่ 20บาท ผมก็ตั้งไว้เลย ว่าจะยอมขาดทุนแค่ 20บาท

ไก่บ้าน: การ cut loss เกิดจาก การที่เราต้องรู้แน่ว่า มันลงยาวและหนักจริงๆ และสามารถ ซื้อกลับมาในราคาที่ทำกำไรได้จริงๆ ครับ

 

 

////////////////////////////////////////////////////////////////////////

 

เรื่่องที่ 2

 

เรื่องสาเหตุแนวโน้มทองขาขึ้นในปี 2554 ลอกจาก เตรียมทัพ จับทอง พร้อมลงสนาม (ฉบับนักค้าทอง)โดย จูกัดเหลี่ยง

 

 

แนวโน้มทองขาขึ้นในปี 2254 มาจาก

  1. การปรับเพิ่มขึ้นของปริมาณเงิน (สภาพคล่องในระบบ) ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ด้วย QE2 (Quantitative easing Package 2) ก่อนปี 2554 ธนาคารกลางสหรัฐได้ดำเนินการเข้าซื้อใน QE1 แล้วกว่า 1.7 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ --ยังมีการพูดกันถึง QE3 ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปียังคงไม่เป็นที่น่าพอใจ ทำให้แนวโน้มของปริมาณดอลล่าร์ในระบบยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
  2. แนวโน้มเพิ่มเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากราคาสินค้าเกษตรและราคาพลังงานเป็นสำคัญ จะเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อโดยรวมกับราคาทองคำมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ประกอบกับความเชื่อของนักลงทุนในตลาดที่คิดว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ จึงทำให้เวลาที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญก็จะทำให้นักลงทุนสะสมทองคำเพิ่มเติมและส่งผลต่อราคาอย่างเลี่ยงไม่ได้
  3. ความต้องการทองคำในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งในประเด็นนี้ก็ต้องแบ่งออกเป็น 3 ส่วน

  1. ภาคธนาคารกลางเริ่มมีการกลับมาสะสมทองคำเพิ่มขึ้น โดยถ้าเรามองย้อนหลังไป 10-20 ปีก่อนหน้าจะเห็นว่าภาคธนาคารกลางมีการขายทองคำออกอย่างต่อเนื่อง
  2. การเพิ่มขึ้นของราคาทองคำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีค่าเฉลี่ยผลตอบแทนที่สูงมาก โดยเมื่อเทียบราคาเปิดในช่วงต้นปี 2550 ที่ระดับ 636 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ กับราคาปัจจุบันแถว 1,360 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ หรือ 114% ในช่วงเวลาเพียง 4 ปี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีผู้สนใจเข้ามาลงทุนในทองคำเพิ่มขึ้น
  3. ความต้องการใช้ทองคำทั้งหมด แต่กลับเพิ่มขึ้นมาในช่วงปี 2552 อยู่ที่ประมาณ 40% สะท้อนให้เห็นได้ชัดความพฤติกรรรมของผู้ลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงไป และปัจจัยสุดท้ายมาจากความต้องการทองคำจากการใช้จริงทั้งในด้านของการใช้เป็นเครื่องประดับ ซึ่งการเพิ่มขึ้นมาจากกลุ่มประเทศเกิดใหม่อย่างจีนและอินเดีย

 

4. ความเสี่ยงในตลาดการลงทุน โดยเฉพาะประเด็นปัญหาหนี้ในยุโรปที่เชื่อว่าจะยังคงสร้างแรงกดดันต่อตลาดการลงทุน และสกุลเงินยูโรต่อเนื่องไป เนื่องจากปัญญานี้ค่อนข้างลึกอยู่ทีเดียว เนื่องจากเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้าง การใช้เวลาในการแก้ไขอาจจะกินเวลานาน 2-3 ปี

 

 

เรื่องที่ 3

 

หลักการคิดวิเคราะห์ทองคำ ลอกจาก คุณพ่อมือใหม่

 

 

1. ภาพเล็กคลุมภาพใหญ่ หมายถึง ดูกราฟช่วงเวลาเยอะ เป็นหลักว่าเทรนขึ้น หรือลง เป็นหลักก่อน แล้ว ค่อยๆ หาจุดที่เราคิดว่า เราจะเข้าซื้อ หรือเราจะ take profit อาจจะดูกราฟราย 30 นาที ,กราฟราย 1 ชม.,กราฟราย 4 ชม.เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ

 

2. ตัวช่วยตัดสินใจ คือ indicator และ ประสพการณ์ ข่าว ค่าเงินบาท การไหลเข้าออกของเงินบาท

 

3. มั่นสังเกต และจดบันทึกทุกครั้งที่ทำการซื้อขาย ว่าเราซื้อหรือขายอะไร ตอนนั้นอินดี้ แต่ละตัวอยู่ตำแหน่งไหน ทำไมเราถึงคิดทำการตัดสินใจซื้อขาย

 

4.หาข้อผิดพลาดของตัวเองให้เจอเผื่อสร้างเป็นระบบให้กับตัวเอง บางคนเขามีระบบของตัวเอง โดยที่ไม่ได้ใช้อินดี้ใดๆ เลย ก็มี มีเพื่อนคนนึงเขาเคยพูดกับผมว่า ไม่มีอินดี้ตัวได้ที่ฉลาดและวิเคราะห์ได้ถูกหมด เพราะหากมีจริงคนที่ทำราคาหรือรายใหญ่ซื้อทอง เขาก็เจ๊งให้กับรายย่อยแบบเราหมดน่ะสิ มีแต่ประสพการณ์ ที่จะช่วยให้รายย่อยอย่างเราเอาตัวรอดได้ในตลาด

 

5.ต้องมีระเบียบวินัย รู้ว่าผิดต้องถอย อย่าดื้อรั้น เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย

 

นี่คือ แนวความคิดและใช้วิเคราะห์ในการซื้อทองครับ

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

 

เรื่องที่4 การเกิดของธนบัตร ตั๋วเงิน บทความดีจาก ห้องโอกาศจริงๆ ค่ะ

 

dollar-roll.jpg

 

 

เงินคืออะไร? (What is money?)

บางคนเข้าใจผิด คิดว่าผมเป็น “กูรู” เอ …. อันนี้ไม่แน่ใจนะครับว่า ถึงขนาดนั้นหรือเปล่า

เพราะสำหรับผม คำว่ากูรูนี่ฟังดู มันล้ำมากๆเลย แต่สิ่งที่ผมรู้และเข้าใจนั้น ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อนเลยครับ

สังเกตุว่า ภาษาและเนื้อหาที่ใช้นั้น บางครั้งจะเป็นแบบ “บ้านๆ” ซะด้วยซ้ำ

 

หากว่าจะมีบางอย่างที่ผมพอจะรู้และเข้าใจ สิ่งนั้นน่าจะเป็น “เศรษฐศาสตร์และการเงินขั้นพื้นฐาน” (Basic Economy) แค่นั้นเองครับ

แต่อะไรที่มันเป็น “พื้นฐาน” นี่แหละครับ ผมอยากจะบอกว่า สำคัญมากๆ เพราะหากคุณเข้าใจพื้นฐานอย่างถ่องแท้

ต่อให้มีข้อมูลอะไรมั่วๆ มึนๆ เข้ามาก็ทำให้คุณงงได้ยากครับ

หากคุณเคยค้นคว้าหาความรู้จากหลายๆแหล่ง ที่มีเนื้อหาที่มันดู ซับซ้อน ศัพท์เทคนิคเยอะแยะมากมาย เพราะคิดว่า ข้อมูลต่างๆที่มันดูล้ำลึกเหล่านั้น

นั่นแหละถึงจะเป็นข้อมูลที่ดี ผมว่าพวกเราลองมามองอะไรที่มันเป็นเบสิคๆ กันก่อนดีกว่ามั๊ยครับ ?

 

 

วันนี้ผมจะพูดคุยกับเพื่อนๆสมาชิก เรื่อง “เงินที่อะไร ?” (What is money?) ครับ

- คนเราทำงานทุกวันนี้ก็เพราะอยากได้ “เงิน”

- นักเรียน นักศึกษาตั้งใจเรียนทุกวันนี้ก็เพราะอยากมีอาชีพการงานที่ดีในอนาคต จะได้”เงินเดือน” สูงๆ

- นักลงทุน ทุกคนลงทุนกันก็เพราะอยากได้ “กำไร”

ใครหลายๆ คนวางเป้าหมายเอาไว้ที่ “เงิน” แต่ คนส่วนใหญ่ ผมขอยืนยันครับว่า 99% เลยครับที่ ไม่รู้จัก “เงิน” อย่างแท้จริง

 

เพื่อเพิ่มความตื่นเต้น ไม่น่าเบื่อ ก่อนจะอ่านต่อ เวลาผมเล่าหรืออธิบายเรื่องพวกนี้ให้เพื่อนๆฟัง

ผมชอบพูดถึง ภาพยนต์ เรื่องนึง ดังมากกก ชื่อเรื่อง “The Matrix”

จะมีอยู่ฉากนึงครับ ที่พระเอก (พนักงานออฟฟิศ ที่ชีวิตสุดแสนจะธรรมดา) จะต้องตัดสินใจ เลือกกินยา ระหว่าง oยาเม็ดแดง กับ oยาเม็ดสีฟ้า

หากพระเอกเลือกกินยาเม็ดสีฟ้า เค้าก็จะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติดังเดิม

แต่หากเค้า เลือกยาเม็ดสีแดง เค้าจะหลุดออกจากโลกแบบเดิมๆ แล้วออกไปสู่โลกที่แท้จริง พร้อมกับพบความจริงว่า โลกที่เค้าเคยอยู่และรับรู้มาโดยตลอดนั้นคือ “The Matrix”

 

ในโลกของการเงินนั้นก็มี The Matrix ครับ ......................

 

 

 

เรามาลองย้อนดูกันครับ....

โอกาส “ทอง” จริงๆ ครั้งนี้เป็นโอกาสของการลงทุนในทองคำอย่างที่เคยเกริ่นไว้นะครับ พูดถึง ทองคำ ต้องพูดถึง เงิน ก่อนครับ

เหตุที่ต้องพูดถึงเรื่องเงิน เพราะในสมัยโบราญนั้น “ทองคำ” กับ “เงิน” นั้นมันเคยเป็น ของอย่างเดียวกันครับ

 

ในชั่วชีวิตคนเรานั้น ไม่คุ้นเคยกับการ ใช้ทองคำเพื่อไปจ่ายตลาด หรือ เติมน้ำมัน แต่ในอดีตนั้น ใช้กันอย่างแพร่หลาย

แถมใช้มาเป็น พันๆ ปีเลยทีเดียว กว่าจะมาเปลี่ยนเป็นระบบ ธนบัตรกระดาษ หรือแม้แต่ บัตรเครดิต พลาสติกแบบในปัจจุบัน

ดูเหมือนพวกเราทันสมัยครับ พกธนบัตรเบาๆ จับจ่ายใช้สอย สะบาย-สะดวก ส่วนคนโบราญเป็นพันๆปีนั้นเชย หิ้วทองไปหิ้วทองมา หนักก็หนัก ไม่เวิร์ค.....

 

...........ไม่เวิร์ค จริงหรือ ????..........

 

ระบบเงินตราที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน บอกได้เลยครับว่าระบบนี้ มีอายุประวัติความเป็นมาไม่ถึง 50 ปีเท่านั้นเองครับ (เริ่มต้นในปี คศ.1971)

หากเทียบกับอายุ ของระบบเงินตรารุ่นเก่า อย่างทองคำ ที่ได้รับความนิยมมา 5000 กว่าปีแล้วนั้น เทียบกันไม่ติดครับ...

แต่ อายุแค่ 50 ปี นั้นก็เพียงพอครับ ที่จะทำให้ คนทั้งโลก ชิน และ ยอมรับ กับระบบนี้

เพราะ อายุขัย เฉลี่ยของคนเราทั้งโลก ก็ ไม่เกิน 60 ปีหรอกครับ นั่นหมายความว่า

หากเราอายุ 50 ปี หรือ ต่ำกว่า เราใช้เงินอยู่ในระบบนี้มาตั้งแต่เกิด ครับ นั่นทำให้เรารู้สึกว่า ระบบนี้มัน ธรรมดา และเป็นปกติ

................... แล้วก่อนพวกเราเกิดล่ะ ?

บอกได้เลยครับ เป็นพันๆ ปีมาแล้วเค้าใช้ระบบ เงินตราแบบอื่นกันครับ

หากเราคิดว่า ที่ผ่านมา พันๆปี ระบบเงินตราที่ใช้กันมาไม่ดีไม่เหมาะสม แต่ ระบบเงินตราที่พัฒนามาให้เราใช้กันอยู่ ซึ่งมีอายุได้แค่ ไม่ถึง 50 ปีถูกต้องเหมาะสมกว่า

เราอาจจะต้องคิดใหม่ครับ…

 

 

ประวัติศาตร์และวิวัฒนาการ ด้านการเงิน (ฉบับย่อ)

ก่อนหน้านั้นมันไม่มีอะไร ซับซ้อนเลยครับ มนุยษ์เรานั้นไม่ใช้เงินด้วยซ้ำ ทุกคน ต่างหาอาหาร ประทังชีวิต ปัจจัยสี่ อยู่ตามธรรมชาติ ออกล่าสัตว์

ประดิษฐ์เสื้อผ้า อยู่กระท่อม ต้นไม้ใบหญ้ารอบๆกายคือสมุนไพรชั้นดี จับปลาก่อกองไฟกันไป จนเริ่มได้คิด ……

หากเราคนเดียวทำทุกอย่างด้วยตัวเราเอง มันก็คงจะทำได้ไม่ดี มนุษย์เรานั้นเป็นสัตว์สังคมครับ มองหน้าเพื่อนซ้ายขวา กันไปมา อย่ากระนั้นเลยเรามาแบ่งงานกันทำจะดีกว่าไหม? เธอล่าสัตว์ ฉันปลูกผัก เธอสร้างบ้าน ฉันก่อกองไฟ เธอหาสมุนไพร ฉันเอาใบไม้มาทำเสื้อผ้า ปรากฎว่า “เข้าท่าครับ”

เมื่อแต่ละคนไม่ต้องทำทุกอย่าง ทำเฉพาะที่ตนเองถนัด งานก็ออกมาดี เอาของมาแลกกัน ก็เป็นของที่คุณภาพดี สังคมเริ่มมีการขยายตัว

คนจับปลาเริ่ม ประดิษฐ์แห จับได้ทีละมากๆ คนปลูกผักเลี้ยงสัตว์เริ่ม ทำในลักษณะเป็นฟาร์ม เศรษฐกิจเริ่มจะดี GDP เริ่มจะโต ….

คนปลูกผักเอาผักไปแลกหมูจากคนเลี้ยงหมู คนเก็บสมุนไพรก็เอาไปแลกกับเสื้อผ้า คนปลูกมะกรูดไปแลกมะนาว คนมีลูกสาวเอาไปแลกลูกชาย ….เกิดเป็นระบบบาร์เตอร์ (Barter system) ของเธอแลกของฉัน อยู่กันแบบสุขสรร มาได้ระยะหนึ่งครับ แต่ …..

 

ซักพักปัญหาเกิด…

เกิดปัญหา ว่าคนปลูกผักจะเอาผักไปแลกหมูแต่ละที ต้องหา เจ้าของหมู ที่กำลังอยากจะได้ผักพอดี กันด้วย อยากได้ของเค้า

แต่เค้าเองก็ต้องอยากได้ของเรา การแลกเปลี่ยนถึงจะเกิด มันไม่สะดวก หนำซ้ำ ผักแค่ไหนแลกหมูได้เท่าไหร่ ?

ถึงจะยุติธรรม ผักยังปลูกไม่โต แต่อยากกินหมูแล้ว ต้องรอให้ถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวก่อนอีก ….. เครียดครับ

 

กำเนิด “สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน” (Medium of exchange)

 

การไม่มีสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมันไม่สะดวกเอามากๆเลยครับ เราคงพอจะนึกภาพออก เราต้องการอะไรซักอย่างที่สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนได้

เพื่อให้สามารถเอาไปแลกกับสินค้าที่เราต้องการอะไรก็ได้ คำถามคือ เอาอะไรดี ??

มนุษย์เราเคยใช้ เปลือกหอย ครับแลกกันไปแลกกันมา บิ่นมั่ง หักมั่ง หนำซ้ำเวลา มีซึนามิมาที เปลือกหอย เต็มหาดเลย ….. แบบนี้ ไม่มีมาตราฐาน

มนุษย์เราเคยใช้ ใบชา, ใช้วัว, ใช้ข้าวเปลือก ครับ ลองสารพัดอย่าง มาแล้ว ไม่เข้าท่าซักอย่าง

แต่ได้คอนเซปต์แล้วครับ ว่าในช่วงที่เอาเปลือกหอยแลกเปลี่ยนกัน มันสะดวกขึ้นกว่า เอาของแลกกันจริงๆ ที่เหลือก็แค่ หาสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม

…หากเราจะเรียกเปลือกหอย ใบชา ในช่วงลองผิดลองถูกว่า “เงิน (Money)” ก็คงไม่ผิดครับ

มันเป็นเป็นเงิน ในสังคมๆหนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่งก็แค่ยังไม่เหมาะสมที่สุด เท่านั้นเอง

...... งานนี้เลยต้องมีการคัดสรรกันหน่อยครับ

 

เกณฑ์การประกวด

1. พกพาสะดวก ติดตัวได้ (Transportability)

2. แบ่งแยกเป็นหน่วยย่อยๆได้ (Divisibility)

3. ใครๆก็ยอมรับและรู้จัก (Recognizability)

4. ทำปลอมยาก (Resistance to counterfeiting)

5. มีลักษณะ เป็นมาตราฐานและเหมือนกันทุกหน่วย (Homogeneity)

6. หายาก (Scarcity)

7. ทน (Durability)

8. มีคุณค่าในตัวเอง (Intrinsic Value)

 

ยิ่งกว่าประกวดนางสาวไทยอีกครับ หลังจากการคัดแล้วคัดอีก ลองผิดลองถูก เฟ้นหาจนได้ ผู้เข้ารอบสุดท้าย ได้แก่ “หมวดโลหะ (Metal)” ครับ

แต่เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ทั้งหมด คัดแล้วเหลือผู้ชนะได้ แก่ “ทองคำ, แร่เงิน, และทองแดง (Gold, Silver, and Copper)”

ได้สายสะพาย อันดับ 1 รองอันดับ 1 รองอันดับ 2 ตามลำดับครับ กลุ่มนี้คือกลุ่ม “โลหะมีค่า (Precious metal)” ครับ...

เหมาะสมหรือไม่ ? เหมาะสมตรงไหน ?

 

ธรรมชาติสร้างสรรทุกอย่างให้มีความหมายอย่างน่าประหลาดครับ ไม่มีอะไรที่ไร้ประโยชน์ เพียงแต่ประโยชน์ของแต่ละอย่างนั้นต่างกัน

มีลักษณะเฉพาะตัว มีหน้าที่ที่เหมาะสมต่างกัน เหล็กและหินเหมาะกับการก่อสร้าง ไม้เหมาะกับทำฝืน หรือ เฟอร์นิเจอร์

ผมเชื่อครับว่า ธรรมชาติ กำหนดมาแล้วครับว่า หน้าที่ของทองคำและแร่เงิน (Gold and Silver) คือ เงิน (Money) ครับ!

 

 

หากพิจารณาจากเกณฑ์การประกวดข้างต้น

 

- ทองคำสะดวกที่จะพกครับ ไม่หนักเกินไปที่จะพาติดตัวไปด้วยได้

- แบ่งแยกย่อยได้อย่างไม่น่าเชื่อ

- เราสามารถหลอมรวมเป็นก้อนเป็นเหรียญ หรือ ตีแผ่เป็นแผ่นบางเฉียบ ทำเป็นเส้นยาวก็ได้

- หนำซ้ำ ทองคำแต่ละหน่วยที่แยกย่อย ยัง มีความบริสุทธิ์ ของเนื้อในเท่ากันอีกด้วย

(พูดง่ายๆคือ หากมีทองแท่ง หัวแท่งกับ ท้ายแท่ง ทุกจุดของทองคำเนื้อในมันเหมือนกันเปี๊ยบครับ)

- ทำปลอมก็ยาก หาก็ยาก สกัดจากหินดินทรายน้ำหนักเป็น ตัน เพื่อให้ได้ทองคำ หนักแค่ไม่กี่ กรัม

- ความเฉื่อยของโลหะทองคำ ทำให้มันไม่ทำปฏิกิริยากับอากาศไม่เกิดสนิม คงทนผ่านกาลเวลา แวววาวสวยงาม เอามาทำเครื่องประดับก็เหมาะ

 

 

หากมีทองคำแท่งอยู่ที่บ้านแนะนำให้ ลองเอามาหยิบจับไว้ในมือ รู้สึกถึงความ “แพง” ในตัวของมันเองไหมครับ?

ความหนักความหน่วงของมัน ความแวววาว ของมัน แสดงถึงความมั่งคั่ง ของผู้ที่ได้เป้นเจ้าของ

ลองพิจารณามองดูมันดีๆเราอาจจะได้คิด ได้เข้าใจ ว่าเหตุใด

 

คนสมัยก่อนถึงกับต้องก่อสงคราม ฆ่ากันตายมาแล้วเพียงเพราะต้องการครอบครองและแย่งชิงมัน !

 

ยามเมื่อทองคำได้รับตำแหน่งนี้แล้ว ถึงคราวปฏิบัติหน้าที่ ร่วมกับรองอันดับ 1 (แร่เงิน) และ 2 (ทองแดง) ก็เยี่ยม! ครับ

ทำให้เกิดความคล่องตัวในการซื้อขาย เศรษฐกิจเริ่มจะดี GDP เริ่มจะโต.....

 

ทุกคนยอมรับทองคำ สินค้าเมื่อทำการวัดมูลค่าด้วยทองคำเกิดความยุติธรรม และ สะดวกในการซื้อขาย ของมูลค่าสูงใช้ทอง

มูลค่ารองๆ ลงมาก็ ใช้แร่เงินและทองแดง ควบคู่กันไป เกิดระบบทองคำ (Gold money) ใช้ทองซื้อของ ระบบนี้ อยู่มาได้เป็นร้อยเป็นพันปีครับ

 

 

.... ซักพักใหญ่ๆปัญหาเกิดอีก

 

 

 

TO BE CONTINUED :)

 

Stack-Of-100-Dollar-bill-psd5131.png

 

 

 

เงินคืออะไร? (What is money?) ต่อ

ความเป็นสากลของทองคำ ทำให้การค้าขยายตัวอย่างรวดเร็ว ความสะดวกในการทำการค้า ทำให้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่หมู่บ้านแต่

ขยายไปถึง ต่างเมือง จากซื้อ-ขายเพื่อยังชีพซื้อกันเหรียญสองเหรียญ เริ่มทำกันเป็นลักษณะธุรกิจ

ซื้อกันเยอะๆ ขายกันเยอะๆ การพกพาทองคำไปนู่นนี่เริ่มไม่สะดวก พกไปเยอะๆ

ก็กรุ๊งกริ๊งๆ กันใหญ่ในกระเป๋า หนักอีกต่างหาก

คงต้องหาระบบที่เหมาะสมกว่านี้ครับ

 

 

กำเนิดตั๋วทอง (Gold Ticket)

เรื่องง่ายๆ เริ่มจะมีความซับซ้อนมากขึ้น นิดนึงครับเพราะ ระบบเศรษฐกิจมันขยายตัว เข้าทำนอง "มากคนก็มากความ"

เพื่อให้ง่าย ผมขอสมมุติเหตุการณ์เพื่อประกอบการอธิบายนะครับ

กาลครั้งหนึ่งมีพ่อค้าหัวใสชื่อ “หม่ำ” เดินทางไปค้าขายยังต่างเมือง

หอบทองล่องเรือไป 1 หีบเพื่อไปจับจ่ายซื้อสินค้าเพื่อ อิมพอร์ท(Import)มาขายยังเมืองตัวเอง

เมื่อเดินทางไปถึง การหอบเอาทองคำติดตัวไปไหนมาไหน ไม่ง่ายเลย ดังนั้นเมื่อไปถึงที่แรกที่แวะไปก่อนเลยคือ

 

บ้านช่างทอง “เท่ง” อันเป็นบ้านช่างทองชื่อเสียงโด่งดังประจำเมืองนี้

 

หม่ำทำการฝากทอง 1 หีบไว้กับเท่ง ใน “1 หีบบรรจุทองไว้ ทั้งหมด 50 ก้อน”

 

หม่ำจึงขอให้ เท่ง ออกใบรับฝากทองให้กับตน “50 ใบ (1 ใบแทน 1 ก้อน)”

 

หลังจากนั้น หม่ำนำตั๋วที่ได้ ไปซื้อสินค้าที่ร้านของ “โหน่ง” แต่แทนที่จะชำระเป็นทองคำ

กลับนำตั๋วมอบให้ โหน่ง โดยอ้างว่า สามารถนำตั๋วนี้ไปขึ้นทองคำ กับบ้านช่างทองเท่งได้ มีลายเซนต์กำกับจาก ช่างทองเท่ง เป็นประกัน

เชื่อถือได้ โหน่งเห็นเป็นลายมือของช่างทองเท่งจริงก็เชื่อถือว่าใช้ได้

โหน่งจึงรับตั๋วไว้ แล้วจึงนำตั๋วไปขึ้นทองคำจากเท่งภายหลัง

 

:excl: หม่ำได้ซื้อสินค้าจ่ายโดยตั๋วทองคำ

 

:excl: โหน่งได้ขายสินค้าแล้วค่อยเอาตั๋วไปแลกทองจริงจากช่างทองเท่ง

 

:excl: หม่ำมอบเศษทอง พอเป็นสินน้ำใจ ค่าบริการให้กับช่างทองเท่ง

 

 

 

โป๊ะเช๊ะ ลงตัว ..... การค้าครบขั้นตอน ทุกฝ่ายได้ประโยชน์

หลังจากนั้น เมื่อดินทางมาถึง หม่ำจะนำทองไปฝากช่างทองเท่งทุกครั้งก่อนเดินทางไปช้อปปิ้งในเมือง

ไปซื้อสินค้าจาก ร้านของ “ตุ๊กกี้” หรือร้านของ “ส้มเช้ง”

ก็พกแค่ ตั๋ว สำหรับการชำระค่าสินค้า มันช่างสะดวก จริงๆ

 

 

ตุ๊กกี้ และ ส้มเช้ง ก็สบายใจที่จะรับพราะไม่ต้องกลัวทองปลอมหรือ เปอร์เซนต์ ทองไม่ได้มาตราฐานจากต่างเมือง

เพราะช่างทองเท่ง การันตี หลังจากนั้นไม่นาน ระบบการค้าแบบนี้ก็แพร่สะพัด

ไปยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง

ทั่วทั้งเมือง เวิร์คพอยท์

(ชื่อตัวละครและชื่อเมือง เหตุการณ์ทั้งหมดเป็นเรื่องสมมุติเพื่อให้ง่ายต่อการ อธิบายไม่ได้มีตัวตนจริง ใดๆทั้งสิ้น.......... เชื่อผมเถอะ) :D

การค้าขายภายในเมืองที่มีความสะดวกเช่นนี้ นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เมืองเพิ่มขึ้นแบบทะลุเพดาน

เกิดการเอาอย่าง กันในระดับ “มหกรรม” ของบ้านช่างทองอื่นๆ รวมไปถึงต่างเมือง

 

 

 

กำเนิดธนาคารอย่างง่าย (Simple banking)

เมื่อช่างทองเท่ง มีผู้มาฝากทองจำนวนมาก หนำซ้ำ ผู้ขายสินค้าบางคน เมื่อได้รับตั๋วก็ยังไม่นำตั๋วมาขึ้นทองคำ

ในทันที แต่เลือกเก็บสะสมตั๋วไว้หลายๆใบค่อยมาแลกทีเดียวไม่เสียเที่ยว ทำให้ช่างทองเท่งมี ทองคำเก็บไว้ในสต็อคจำนวนมาก

 

ช่างทองเท่งผู้หัวใส จึงคิดค้น บริการ รูปแบบใหม่ นั่นคือ ให้ “กู้ยืมทอง” ไปใช้ก่อนได้

 

โดยคิดค่าบริการเพิ่มเวลานำมาชำระคืน ไม่ต่างจากการกู้ยืมที่ต้องมีดอกเบี้ย

 

ปรากฎว่า บริการนี้ ฮิตติดลมบนอีกเช่นกัน มีผู้มากู้ยืมทองจำนวนมากไป

เพื่อไปซื้อสินค้ามาดำเนินธุรกิจ หรือใช้จ่าย เมื่อค้าขายได้มีกำไรก็ค่อยนำทองมาคืน พร้อมดอกเบี้ยเป็นเศษทองเล็กน้อย

 

ไม่ต้องมีทองคำของตนเองไว้ลงทุน การเพิ่มทุนหรือ ขยายกิจการ กลายเป็นเรื่อง จิ๊บๆ

ช่างทองเท่ง นอกจากจะได้ ค่าบริการจากผู้ที่นำทองมาฝาก ยังได้ดอกเบี้ยจาก ผู้ที่มากู้ยืมทองออกไปด้วย สองเด้ง ร่ำรวยๆกันถ้วนทั่ว....

 

แต่ เมื่อเรื่องไปเข้าหู ผู้ฝากทองคำกับช่างทองเท่ง ว่าได้มีการนำทองที่ตนเองไปฝากเอาไว้หรือยังไม่ไปเอา

ไปให้คนอื่นยืมต่อแถมยังเก็บดอกเบี้ย อีกด้วย จึงเกิดความไม่พอใจ เดือดร้อนถึงช่างทองเท่ง

 

ที่รู้ว่าหากแม้น ผู้ฝากทุกคนไม่พอใจ มาขอไถ่ถอนทองคำออกไปพร้อมๆกันในทีเดียว

คงถึงคราวอวสารของบ้านช่างทองเราเป็นแน่ เปิดใจคุยกัน หากไม่มีบ้านช่างทองเท่ง ผู้ทำการค้าก็ลำบาก เพราะคุ้นชินกับระบบ ตั๋วทองคำ

 

จึงทำการเจรจา ตกลงกัน ยกเลิกการเก็บค่าบริการ ให้กับผู้มาฝากทอง แถมยังจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้มาฝากอีกด้วย

โดยจะจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้มาฝากน้อยกว่าดอกเบี้ยที่คิดจากผู้มากู้ยืม ส่วนต่างคือ รายได้ของบ้านช่างทองเท่ง

 

ก่อกำเนิดระบบธนาคารอย่างง่าย .............. ก้าวสู่การพัฒนาอีก 1 ขั้นของระบบการเงินการธนาคาร

 

 

 

กำเนิดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างง่าย (Exchange rate)

อย่างที่บอกครับ การค้าขายระบบนี้เริ่มจะขยายตัวไปยังต่างเมือง แต่ละเมืองก็มีบ้านช่างทองที่ออกตั๋วโดยช่างทองแต่ละคน

ตั๋วจากบ้านช่างทองของเมืองนึงต่างกันกับอีกเมืองหนึ่ง บางบ้านประทับตราหน้าเจ้าของบ้านช่างทอง ไว้เป็นหลักฐาน บางบ้านใช้หมึกสี แบบพิเศษ

บางบ้านใช้ลายเซนต์การันตี แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันก็คือ ทองคำของทุกๆบ้าน เหมือนกันครับ

ยังไงทองคำก็ยังเป็นทองคำ แต่สิ่งที่ต่างคือตั๋ว

เมื่อการซื้อขาย เปลี่ยนมาใช้ระบบตั๋วกระดาษ แทนทองคำ

จึงเกิดการเปรียบเทียบ แลกเปลี่ยนกันระหว่างตั๋ว เช่น

 

ตั๋วทองคำจากบ้านช่างทองเท่ง 1 ใบแทนด้วยทองคำ 1 ก้อน

ตั๋วจากบ้านช่างทอง โก๊ะตี๋ 1 ใบแทนด้วยทองคำแค่ ½ ก้อน

 

หากอยากจะแลกกับตั๋วทองจากบ้านช่างทองเท่ง1 ใบต้องใช้ตั๋วจากบ้านช่างทองโก๊ะตี๋ 2 ใบ

เกิดเป็นระบบ อัตราแลกเปลี่ยน (Currency exchange) ขึ้น สะดวก สบายยิ่งขึ้นไปอีกครับ

 

ทีนี้พกกันแต่ตั๋ว แลกกันระหว่างตั๋ว ซื้อขายต่างเมืองก็ใช้ตั๋ว ได้ตั๋วก็เอาไปซื้ออย่างอื่น ทุกอย่างมีแต่ ตั๋วๆๆ กระดาษๆๆๆ

ที่ออกโดย บ้านช่างทอง ไม่ต้องไปแลกเป็นทองก่อน แล้วไปฝากที่ใหม่ เพื่อรับตั๋วใหม่.... ใช้กันจนคุ้นชิน

...........หลงลืมอะไรกันไปหรือเปล่า ?...................

ทองคำจึงเหลือหน้าที่แค่นอนอยู่ในตู้เซฟ เฉยๆ.............. แต่ระบบนี้ก็ใช้กันมาได้เป็นร้อยๆปีครับ

เรื่องราวเริ่มจะมีมิติ มากขึ้น ก็ด้วยความฉลาดหลักแหลมของสติ ปัญญาของมนุษย์ครับ

การมีจินตนาการแบบที่สิ่งมีชีวิตแบบอื่นๆไม่มี มีการสื่อสารที่ ซับซ้อน และ น่าทึ่ง

แต่สิ่งหนึ่งที่ติดตัวมนุษย์มาด้วยนั่นก็คือ ด้านมืด ของจิตใจครับ......

 

ความโลภ, ไม่ซื่อตรง, หลอกลวง สิ่งเหล่านี้นำปัญหาที่ยิ่งใหญ่ตามมา ในโลกการเงินของพวกเราอย่างไม่จบไม่สิ้น

 

ปล.ในตอนหน้า วิวัฒนาการทางการเงินจะเริ่มเดินทางเข้าสู่ระบบการเงินสมัยใหม่มากขึ้น มีความละเอียดซับซ้อนมากขึ้นไปอีก

 

และเป็นตอนที่ผมจะต้องพยายามอธิบายอย่างระมัดระวังที่สุด เพราะ มันคือพื้นฐานปูทางไปสู่ โอกาส"ทอง"(จริงๆ)

 

 

ฟันธง โอกาสทองจริงๆ ////เค้าเยี่ยมนะค่ะ ยิ่งปี2013 มีทั้ง เฟค ทั้งห้องโอกาศ เราขาดเค้าไม่ได้จริงๆ เยี่ยมจริงๆค่ะถ้ามีโอกาศมีความรู้มากหมายที่ห้อง โอกาศทองจริงๆ ศึกษาง่าย ค้นง่ายมีลิงค์ไว้เลยจะดูหรือสนใจหัวข้อไหนไปหาความรู้ได้นะค่ะ

ถูกแก้ไข โดย perfection

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ท่านลงทำนายราคาทองไว้ในปี2010 ลอกจาก heng heng 24-6-2010

 

ท่านที่ 1

นาย Arnold Bock นักวิเคราะห์ที่มีชื่อเสียง (เขาอ้างไว้อย่างนั้น) เค้าทำนายไว้ว่าทองจะถึง 10,000 USD ภายในปี 2010 ครับทุกท่าน !!!

โดยเค้าให้เหตผลไว้ดังนี้

  • ภาวะเงินเฟ้อและการเสื่อมค่าของเงินตราทั่วโลก
  • สภาวะการเก็งกำไรในราคาทองคำเอง
  • ปริมาณของทองคำในตลาดโลกที่อาจไม่เพียงพอต่อความต้องการครอบครอง
  • ทุกคนนต้องการโยกเงินหนีมาที่ safe heaven (ตลาดทองคำ)
  • และด้วยเหตผลข้างบน กราฟราคาทองจะตั้งชันอย่างที่คาดไม่ถึง
     
     
    ท่านที่ 2
    นาย Peter Cooper ผู้แต่งหนังสือ "Dubai Sabbatical: The Road to $5,000 Gold" (พักร้อนที่ดูไบ : เส้นทางสู่ทอง 5000 USD)
     
    โดยเขาให้เหตผลไว้ว่า

  • ปัจจุบันรัฐบาลทั่วโลกถูกบังคับให้ดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำ เพื่อต่อกรกับสภาวะตกต่ำทั่วโลก
  • ซึ่งดอกเบี้ยต่ำหมายถึง ราคาของพันธบัตรรัฐบาลที่ราคาสูง (Low interest rates mean high bond prices ผมแปลถูกมั้ยเนี่ย)
  • ซึ่งในที่สุดแล้ว ทุกๆ รัฐบาลทั่วโลกต้องขึ้นดอกเบี้ยอยู่ดี ไม่ช้าก็เร็ว
  • ซึ่งดอกเบี้ยที่สูงขึ้นหมายถึง ราคาของพันธบัตรรัฐบาลที่ราคาถูกลง
  • เมื่อพันธบัตรรัฐบาลราคาถูกลง นักลงทุนส่วนใหญ่จะโยกเงินออกจากพันธบัตรรัฐบาลเพราะให้ผลตอบแทนที่น้อย
  • ตลาดพันธบัตรรัฐบาลเงินมีขนาดใหญ่กว่าตลาดทองคำหลายเท่าตัวมากนัก
  • หากเพียงนักลงทุนโปรยเงินบางส่วนจากตลาดพันธบัตรรัฐบาลมาลงที่ตลาดทองคำราคาก็จะพุ่งไปถึง 5,000 USD
  • "อันนี้เป็นการวิเคราะห์แบบ ไม่ประมาทแล้วนะ จริงๆน่าจะไปกว่านี้" เค้าว่าไว้อย่างนั้น

ท่านที่ 3

นาย Peter Krauth นักวิเคราะห์ที่มีชื่อเสียง และผู้เชี่ยวชาญด้านการคาดการณ์ราคาโลหะมีค่าต่างๆ เค้าว่า 5 เหตุผลที่ทองควรขึ้นไปถึง 5,000 USD

 

  • สภาวะเงินเฟ้อในปี 2001 ที่อัตรา 2.5% ทำให้ราคาทองขึ้นไปถึง 400%
    ปัจจุบันนี้ธนาคารกลางได้ดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำมาก ซึ่งเท่ากับเปิดประตูกว้างเชื้อเชิญสภาวะเงินเฟ้ออีกครั้ง
    และธนาคารกลางของสหรัฐบังพิมพ์เงินออกมามากถึง 1,200,000,000,000,000 USD(12 พันล้าน ล้าน) ซึ่งเงินนี้กำลังถูกใช้จ่ายอยู่โดยรัฐบาลสหรัฐ
    นั่นหมายถึงสภาวะเงินเฟ้อที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในมุมมองของนาย Peter
  • สภาวะการตื่นตัวอย่างมากในการลงทุนในตลาดการเงินต่างๆ
    ตามรายงานของ Wolrd Gold Concil ได้บอกว่าสถาบันการเงินขนาดใหญ่ กลุ่มทุนขนาดใหญ่ต่างๆ หรือแม้แต่นักลงทุนบุคลต่างๆ ได้หันมาลงทุนในตลาดทองคำมากขึ้นถึง 15% ภายในไตรมาสที่ 2-3 ของปี 2009
    โดยเฉพราะนักลงทุนส่วนบุคคล (อย่างเราๆ ท่านๆ )ได้หันมาลงทุนในทองมากขึ้นเพราะมีเงินเก็บเหลือมากขึ้น (เนื่องมาจากภาวะเงินเฟ้อ)จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ดันราคาทองคำให้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพราะการลงทุนและเก็งกำไร
  • ธนาคารกลางของสหรัฐหันมาซื้อทองคำเป้นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ตั้งแต่ปี 2009
  • ปัญหาการเงินลูกใหม่ในยุโรป หรือ PIGS (Portugal, Italy, Greece and Spain) หรือ PIIGS หากรวม Ireland เข้าไปด้วย ประเทศเหล่านี้กำลังตกที่นั่งลำบากในเรื่องสภาวะการเงิน
    นอกจากประเทศข้างบนนี้ประเทศ Iceland เน่าไปแล้วในสายตาของนาย Peter
    การเงินของ USA และ England นั้นก็ไม่ได้แข็งแกรงอย่างที่คิด
    และด้วยความจริงเกี่ยวกับสถานะการณ์ข้อนี้ นักลงทุนจะเริ่มกังวลเกี่ยวกับค่าเงินต่างๆ ที่มี USD เป็นตัวหนุนหลังอีกที (fait currencies)
    และภายใต้สภาวะตื่นกลัวนั้นทองจะเป็นสวรรค์แห่งเดียวที่สามารถปกป้องกำลังซื้อของพวกเขาได้
  • ยังมันยังไม่จบแค่นั้น ราคาทองคำเริ่มเข้าสู่สภาวะฟองสู่บในสามขั้นตอน
    ขั้นที่ 1 เมื่อค่าเงินทั่วโลกเข้าสู่สภาวะเสื่อมค่า
    ขั้นที่ 2 นักลงทุนหันมาลงทุนในทองคำ
    ขั้นที่ 3 สภาวะการเก็งกำไร ราคาทองคำจะสูงขึ้นไปจนถึงชั้นบรรยากาศ (สูงมาก )
    "ขีดเส้นใต้ของผมไว้เลย ไม่ผิดแน่นอน" นาย Peter เค้าว่าไว้อย่างนั้น ซึ่งราคาจะถึง 5,000 USD ก็ในขั้นที่ 3 สุดท้ายนี่แหละ

ตอนแรกอ่านแล้วขำมากนะครับ ใครบ้าที่ไหนฟ่ระ ทำนายว่าทองจะไป 10,000 USD

แต่ก็น่าคิดนะครับ ปัจจัยต่างๆ ที่ยกมาอ้างอิงก็มีเหตผลที่มองข้ามไม่ได้เลย โดยเฉพาะปัจจัยที่ว่า ขนาดของตลาดทองคำนั้นเล็กและปริมาณทองคำจริงๆ ในโลก(physical gold)ที่มีน้อยนั้นอาจจะบีบให้ราคาสูงได้อย่างรวดเร็วก็เป็นได้

 

ฟันธง ฝรั่ง3คนโกหก ปี2010 ทองไม่ถึง10,.000 ยูเอส ต่อออนซ์ ค่ะ

ถูกแก้ไข โดย perfection

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทองคำจะมีค่าถึง 3,500$ เป็นไปได้ ดูอาทิตย์หน้าป้วนเปี้ยนลงซัก 4 วัน แล้วขึ้นแบบไม่หยุด 30 เดือน

ถูกแก้ไข โดย fairy

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทองคำจะมีค่าถึง 3,500$ เป็นไปได้ ดูอาทิตย์หน้าป้วนเปี้ยนลงซัก 4 วัน แล้วขึ้นแบบไม่หยุด 30 เดือน

 

คุณแฟร์ทำไมเดาเหมือนผมเลย

 

เสาร์อาทิตย์22-23 มิถุนา ผมไปดูประวัติศาสตร์การลงของทองว่ามีช่วงเวลาใดบ้างที่ใกล้เคียงปัจจุบันก็พบว่ามีส่วนใกล้เคียงมากในราว 1988 ถึง 1990

ประวัติศาสตร์ในช่้วงเวลานั้นได้บันทึกไว้ว่า

 

ทองลง จาก 500 มา 330 คิดเป็น 42 เปอร์เซนต์เป็นเวลา ตั้งแต่ มกราคม 1988 ถึง มิถุนายน 1990 โดยเฉพาะ 4 เดือนสุดท้ายลง ถึง 20 เปอร์เซนต์คือจาก 420 มา 330

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เปรียบเทียบในปัจจุบัน ทองเคยสูงสุดราคา 1895 เมื่อ 6กันยา 2011 มาวันนี้ 20 มิถุนายน 2013 ก็ประมาณได้ว่า ประมาณ สองปี ลงมา จาก 1895 มายัง

1269 คิดได้เป็น 40 เปอร์เซนต์ ถ้าตรงตามอตีต 42 เปอร์เซนต์ ตรงกับราคา 1235 และ 4 เดือนสุดท้ายก็ลงแรงเหมือนกัน คือ กุมภา ถึง มิถุนา ลงจาก 1550 มา 1297คิดได้เป็น 16 เปอร์เซนต์ //// 20 เปอร์เซนต์คือได้ 1236 (ทองขึ้นมา18ปี คิด 10 เปอร์เซนต์จาก 1895 จะได้ที่ 157จุด)

ถ้าล้ออดีตเลยทองก็ต้องมาหยุดประมาณ 1236 ครับ ผมล้ออดีต ตัวเลขเล่นๆนะ

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

แล้วประวัติศาสตร์เกิดอะไรขึ้น เมือถึงจุดต่ำสุดในปี 1990 ทองขึ้นจาก 330 มา 420 ภายใน 1 เดือน มาล้อปัจจุบัน ทองก็จะขึ้นจาก 1236 ไป1เดือนที่ 1550

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ต่อไปล่ะ อะไำรเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ทองคำซึมยาวไป 8 ปี เลย 1993-2001 จาก 420 มา 260 แล้วก็มายุคใหม่ที่มา500มา1000 มา1500 อย่างที่เราเราเห็นครับ

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผมว่าทองปี 08 มันสูงครั้งแรก 1032$ แล้วลงมา 681$ = 34%

พอครั้งที่สอง มันสูงสุด 1921$ แล้วลงมา 1269$ =34%

แล้วครั้งที่สามหละ คอยดูมันขึ้นไป 3455.91$

มันจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า?

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณทุกข้อมูลที่มีประโยชน์ค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มาคนเดียวค่ะ ทีมงาน ไม่มี แต่ขยันอ่าน ขยันลอกการบ้านค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ

วันก่อนได้อ่านข้อความตรงๆของคุณที่เขียนถึงน้องท่านนึง อ่านแล้วยิ้มเลย...ตรงมากกกก..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เหตุผลทองขึ้นลง ลอกมาจาก คุณ zagio ฟันธง ดีมากค่ะ จะบอกหนูว่าหากินง่าย ลอกตำราคนอื่นมา ก็ยอมรับค่ะ ก็ บทความเค้าดีนิค่ะ

 

ก่อนอื่นต้องขออภัยทุก ๆ ท่านที่ถือทองคำไว้มาก ๆ กับ long GF ไว้ก่อนนะครับ

 

นี่เป็นการมองด้านกลับเพื่อความไม่ประมาทในชีวิต

 

ทองคำ มาจาก 250 เหรียญ หากจะกลับไปสัก 400-500 เหรียญก็คงไม่น่าแปลก

 

 

 

เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า ได้ไปค้นหาข้อมูลดูว่า ทองจะเป็นฟองสบู่ได้หรือไม่

 

ปรากฎว่า มีนักลงทุนท่านหนึ่ง ที่ชอบเล่นสวนกระแส ได้กล่าวว่า

 

ถ้าเป็นปีนี้ ผมจะขายหุ้น ขายทอง แล้ว ค่อยไปเปิดบัญชีเงินสกุลดอลล่าห์แทน

(นักลงทุนท่านนี้บอกว่าตอน 400 น่าซื้อหุ้น)

 

ทำให้ผมกลับมานั่งคิดว่าสถานการณตอนนี้ ก็คล้าย ๆ กับน้ำมัน เหตุผลคล้าย ๆ กัน

 

กล่าวคือ

 

เหตุผลในการขึ้น

 

1.ทองมีจำกัด ตอนนั้นน้ำมันก็มีจำกัด

 

2.ทองจะไป 2000 เหรียญ 5000 เหรียญ ตอนนั้น น้ำมันก็จะไป 200-500 เหรียญ

 

3.จีนซื้อทอง ทุกคนซื้อทอง ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ซื้อทอง ราคาทองจาก 1000 ขึ้นไป ถึงประมาณ 1400-1430 ถึง 3-4 รอบ ขนาดไทยยังซื้อ

 

4.ไม่มีให้เหตุผลว่าทองจะลง คนเชียร์ขึ้นเสียงดังสุด ๆ

 

5.คนเข้าคิวกันไปซื้อทอง

 

อย่าลืมนะครับว่า นี่ไม่ใช่เฉพาะทองคำเท่านั้น ยังมีพวกอนุพันธ์ต่าง ๆ มาก ๆ

มันมีผลประโยชน์ซ้อนทับมากมาย

 

เหตุผลในการลง

จะค่อย ๆ ตามมาหลังจากที่ราคาเริ่มลง

 

1.ดอกเบี้ยขึ้นราคา กลับไปสัก 5 % ทองคำ จริง ๆ ก็คือโลหะเครื่องประดับ ขนาด บัฟเฟต์ยังไม่ซื้อทองสักบาทเดียว เพราะมันกินไม่ได้

 

เอาเงินไปซื้อหุ้น หรือไปฝากธนาคารกินดอกดีกว่า

 

2.เงินดอลล่าห์แข็งค่าขึ้น usd กลับไป 100-120

 

3.บริษัทหุ้นอเมริกาเติบโตดีมาก โดยเฉพาะ Goldmansach JP morgan เพราะช็อตทองกับเงิน ไว้มาก หลายแสนสัญญา กำไรมากมายมหาศาล

 

ช่วงก่อนได้ยินว่า ถ้า silver ไปถึง 35 ทอง 1450 -2 บริษัทนี้จะเจ็งทันที

 

4.อสังหาเริ่มฟื้น คนต้องการใช้เงินมากขึ้น

 

น้ำมันไม่มีทางลงยังลงมาแล้ว ทองคำปั่น

 

ถ้าจะลงได้ก็เพราะมี GF เนี่ยแหละครับ

 

ใครมีอะไร comment ได้ครับ ช่วยกัน share ครับ ติชมได้แต่อย่าต่อว่านะครับ

 

คิดสวนกระแสน่ะครับ

 

 

 

อันนี้ของพี่zagioก็ดีมากค่ะ

 

snapback.pngzagio, เมื่อ 27 มกราคม 2011 - 15:44, พูดว่า:

 

10 Signs That Gold Is In A Bubble That Is Going To Burst

 

Read more: http://www.businessi...3#ixzz1CDs3n2jx

 

1.It has very few industrial uses.

 

2.Gold has no dividend yield.

 

3.Gold has no earnings yield.

 

4.The US should start selling its gold to pay down its debt.

อันนี้ก็น่ากลัว พี่มีทองอยู่ 8000 ตัน เอามาขายสัก 1000 ทองคงร่วงกรู

 

5.Interest rates are at zero and the Fed is printing money.

หมายถึงว่า ขนาดเฟดปั้มเิงิน+ ดอกเบี้ย 0%

 

ถ้าเฟดหยุดพิมพ์เงินปุ้บ + ขึ้นดอกเบี้ยสัก 2-3% ทองก็น่ามืด

 

6.Soros has even begun reducing his position in the gold ETF, GLD. He also reduced his position in Novagold (NG)

คงรวมถึง SPDR ด้วย

 

7.Gold production is rising. in 2009

ถามใจจริง ๆ ว่าหากไม่มีเงิน ใครจะขุด

 

8.Gold sentiment is at an all-time bullish high.

 

9.Assets in the GLD ETF, the ETF which tracks gold, are also reaching a level usually associated with a top:

 

10.Warren Buffett ไม่ซื้อทอง จากเหตุผลข้อ 2-3

แต่เหตุผลเค้าดีนะ บอกว่า ระหว่างให้ซื้อทอง ขอซื้อเป็นบริษัทที่มี productivity ดีกว่า

เป็นเหตุผลคล้าย ๆ ว่า ทองกินไม่ได้

 

**********************************************************************************************************************************

อันนี้ลอกมาจาก เด็กขายของค่ะ เรื่องเมืองจีน เพราะช่วยนี้ดูเมืองจีนจะมีปัญหา ดอกเบี้ย อินเตอร์แบงค์ระยะสั้นขึ้นไปมาก

หลายคนบอกว่าจะมีปัญหาแบบ สหรัฐ ข่าวบอกมาว่า จีนให้เอกชนกู้200เปอร์เซนต์ของ จีดีพี (ไทยน้อยกว่า100เปอร์เซนต์)

มาดูแต่ก่อนจีนเป็นอย่างไร

 

 

กลยุทธ์ปั้นโลก ทุ่มหยวนสร้างโครงข่ายพญามังกร

ต้อนรับสู่ยุคเครือข่ายเศรษฐกิจจีน...!”

 

...ทีมข่าวต่างประเทศ

 

 

 

FF23FC0A600C426DBB93FA8C5B0ACC90.jpg

 

ต้อนรับสู่ยุคเครือข่ายเศรษฐกิจจีน...!”

 

อาจจะไม่ผิดนักถ้าจะกล่าวเช่นนี้ เพราะเมื่อพิเคราะห์ถึงยุคนี้ ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็จะเห็นความเชื่อมโยงของหลายๆ สิ่งที่ล้วนพุ่งบรรจบเข้าหาจีนทั้งสิ้น

 

หลังก้าวพ้นจากวิกฤตการเงินโลก จีนมานะพยายามสร้างหน้าใหม่ของบันทึกความเคลื่อนไหวของโลกในหลายๆ ทาง ทั้งด้านการเงิน การค้า แม้กระทั่งการเมือง ให้ปักกิ่งเป็นดั่งศูนย์กลางการบรรจบของทุกๆ สิ่ง

 

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ รัฐบาลหลายประเทศได้พบความจริงที่ว่า จีนเป็นพันธมิตรทางการค้าที่สำคัญมากกว่าสหรัฐ การสร้างสัมพันธ์ด้วยการเป็นคู่ค้า เป็นเพียงกลยุทธ์พื้นฐาน

 

ในวิถีแห่งพญามังกร การสร้างโครงข่ายทางเศรษฐกิจของพญามังกรมีใช้หลากหลายกลยุทธ์มากกว่าแค่สัมพันธ์ซื้อขาย

 

จีนลั่นปืนใหญ่ทางการเงินด้วยการหยิบยื่นความช่วยเหลือทางการเงินให้กับหลายประเทศ เพื่อพันผูกความสัมพันธ์ของจีนกับประเทศนั้นๆ ให้หยั่งรากลึกเพิ่มขึ้น นั่นถือเป็นกลยุทธ์หนึ่ง

 

ล่าสุด ยอดเงินปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งชาติจีน (China Development Bank) และธนาคารเพื่อการนำเข้าส่งออกจีน (China ExportImport Bank) สองธนาคารใหญ่ของจีนให้กับประเทศกำลังพัฒนาในช่วง 20092010 มีมูลค่าถึง 1.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่ามูลค่าการปล่อยกู้ของธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์)

 

ทั้งที่ในอดีตจีนคือประเทศที่รับเงินกู้ยืมจากธนาคารโลกมากที่สุดประเทศหนึ่ง แต่ในวันนี้กลยุทธ์ในการปั้นโลกในแบบของมังกรทำให้ โรเบิร์ต โซลลิก ประธานธนาคารโลก ต้องเอ่ยหารือและร่วมปันประสบการณ์ในการสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาจากจีนเมื่อครั้งที่โซลลิกเดินทางเยือนจีนเมื่อปีที่แล้ว

 

สะท้อนให้เห็นถึงภาพของความพยายามในการกำกับรูปแบบและทิศทางโลกให้เป็นรูปแบบของจีน

 

ในเวลาเดียวกัน ปักกิ่งกำลังสร้างพื้นฐานและบทบาทของสกุลเงินหยวนในระบบตะกร้าการเงินสากลระหว่างประเทศ

 

หยวน มีอิทธิพลในเชิงการค้าและกระจายวงกว้างมากขึ้นชัดเจน

 

จีนเปิดเวทีการค้ากับหลายประเทศในโลกมากขึ้น โดยประเทศคู่ค้าของจีนได้รับการผลักดันภายใต้เงื่อนไขการซื้อขายและการชำระเงินด้วยสกุลเงินหยวน ไม่ว่าจะเป็นการค้าระหว่างจีนกับอาร์เจนตินา มาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย

 

ล่าสุด แบงก์ ออฟ ไชนา ธนาคารรายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของจีน ตามมูลค่าของสินทรัพย์ยังเปิดโอกาสให้การเข้าถึงเงินหยวนเป็นเรื่องง่ายขึ้นในสหรัฐ ด้วยการเปิดให้มีการแลกเปลี่ยน ฝาก ถอน ด้วยสกุลเงินหยวนผ่านสาขาธนาคารในนิวยอร์ก และลอสแองเจลิส แม้จะถูกมองว่าเป็นเพียงก้าวเล็กๆ บนหนทางที่สุดแสนยาวไกลก็ตาม

 

ทว่า สิ่งนี้ทวีภาพที่หลายฝ่ายเคยปรามาสว่าเป็นเพียงความฝันลางๆ ให้ความชัดเจนมากขึ้นว่า สกุลเงินหยวนจะกลายเป็นสกุลเงินที่สำคัญติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลกภายในปี 2012 ด้วยมูลค่าการทำธุรกรรมทางการค้าแต่ละปีราว 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ตามที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้

 

กลยุทธ์การสร้างโครงข่ายทางเศรษฐกิจในรูปแบบที่สาม คือ การความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนที่ไม่ใช่แค่เพียงการขายเสื้อผ้า สินค้าอุปโภคบริโภค หรืออุปกรณ์ด้านเทคโนโลยีเท่านั้น

 

แต่เป็นการกระโดดเข้าไปช่วยขยายระบบสาธารณูปโภค และพลังงานในประเทศกำลังพัฒนาในหลายรูปแบบ ซึ่งมองเผินๆ แล้วแนวทางเหล่านั้นก็เป็นการสนับสนุนการค้าทั้งสองฝ่าย และเกี่ยวโยงสัมพันธ์กับปักกิ่งแน่นเฟ้นยิ่งขึ้น

 

ทว่า บนความสัมพันธ์และแรงผลักดันด้วยเงินจำนวนมหาศาล ย่อมหมายถึงการคำนวณและชั่งตวงถึงผลตอบแทนในระยะยาว ไม่ต่างจากแนวคิดและการหยิบยื่นของมหาอำนาจทางฝั่งตะวันตก

 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การลงทุนสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติคู่ขนานไปกับท่อส่งน้ำมันดิบระยะยาวกว่า 1,200 ไมล์ จากท่าเรือจ้าวผิ่ว ในอ่าวเบงกอล ทางออกสู่ทะเลอันดามัน ซึ่งอยู่ทางด้านชายฝั่งด้านใต้ของพม่า เชื่อมเข้าสู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ทางคุนหมิง ในมณฑลยูนนาน

 

ซึ่งสอดคล้องกับแผนการก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเข้าสู่พม่าเชื่อมต่อจากพื้นที่ตอนใต้ของจีนด้วย

 

พันธสัญญานี้ไม่เพียงทำหน้าที่เป็นประตูสู่การนำน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากตะวันออกกลางเข้าสู่จีน โดยที่สามารถย่นย่อระยะทางได้มากกว่าครึ่ง แต่เป็นการกรุยทางรอให้นักธุรกิจจีนเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ในดินแดนที่ยังคงด้วยผลประโยชน์อย่างพม่า

 

อีกทั้งยังแฝงไว้ด้วยกลยุทธ์ทางภูมิศาสตร์การเมือง เลี่ยงไม่ให้ใครมาปิดทางนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสู่จีนได้ ในกรณีที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไม่ปกติ

 

นอกจากนี้ จีนยังร่วมทำสัญญากับบังกลาเทศ ร่วมลงทุนสร้างทางรถไฟเชื่อมระหว่างคุนหมิงและท่าเรือน้ำลึกคอกซ์บาซา ซึ่งรัฐบาลบังกลาเทศเองก็มีท่าทีกระตือรือร้นในการร่วมเซ็นสัญญาดังกล่าว ดั่งได้โชค โดยประกาศจะดันโครงการดังกล่าวให้เสร็จสิ้นในปี 2014 ด้วยมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 260 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

เช่นเดียวกันกับลาว โครงการที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “สัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์อันแนบแน่นของจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

 

ลาว ที่กำลังเป็นลูกค้ารายสำคัญของจีน เมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา สภาแห่งชาติลาวได้อนุมัติโครงการสร้างรถไฟความเร็วสูงมูลค่าการก่อสร้างกว่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เชื่อมระหว่างคุนหมิงไปยังเวียงจันทน์ เมืองหลวงของลาว โดยรัฐบาลลาวยอมรับข้อเสนอด้วยการปล่อยให้จีนถือครองผลประโยชน์ในอัตราส่วน 70% ขณะที่ลาวถือหุ้นอยู่เพียง 30% เท่านั้น

 

กรณีดังกล่าวเป็นตัวอย่างหนึ่งของความมุมานะในการสร้างเครือข่าย และนิยามของการลงทุนที่ต้องมีผลประโยชน์ หรือผลตอบแทน...!

 

ขณะที่ชาวลาวกำลังตื่นเต้นกับการพัฒนาสาธารณูปโภคครั้งใหญ่ภายในประเทศที่มังกรหยิบยื่นให้ แต่ในสายตาประชาคมโลกกลับกำลังกังวลถึงผลประโยชน์ที่จีนกำลังได้จากข้อตกลงเหล่านั้น

 

โครงการสร้างรถไฟความเร็วสูงของลาวถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟความเร็วสูงที่ทางรัฐบาลไทยอยู่ในระหว่างการพิจารณาด้วยเช่นกัน ซึ่งไทยตั้งเงื่อนไขว่า สัดส่วนการถือหุ้นระหว่างไทยและจีนที่จะต้องไม่น้อยไปกว่า 51:49

 

ทั้งการควักกระเป๋าให้กู้ การผลักเงินหยวนเข้าสู่ตลาดการค้าโลก และการร่วมสร้างสาธารณูปโภคและพลังงาน ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่จีนพยายามแทรกซึม สร้างเครือข่าย ที่เมื่อพลิกปูม รื้อเบื้องลึกแล้ว จะเห็นถึงวิถีการกรุยทางในสไตล์ของพญามังกรที่ฝังรากลึกของผลลัพธ์ให้วิ่งเข้าหาประเทศทั้งสิ้น

 

ท้ายที่สุด แม้ต้องยอมรับว่า อารยธรรมการสร้างเครือข่ายของพญามังกรจะส่งผลดีต่อประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งไทย แต่ “ของฟรีไม่มีในโลก” สัจธรรมอย่างหนึ่งที่ยังคงเป็นอมตะ โดยเฉพาะในธุรกิจ และเงินๆ ทองๆ ก็เป็นเรื่องที่ควรพึงระลึกไว้เสมอ

 

ถูกแก้ไข โดย perfection

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ประวัติราคาทอง. ลอกมาจากคุณบอนไซ8-4-56

 

อ่านไปเรื่อย เผื่อมีไอเดียดีดี

 

 

 

ภาพทองการขึ้นลงในอดีต

1976-1980

การขี้น 1 *******ผมของสรุปภาพใหญ๋1976 – 1980 (5 ปีขึ้น จาก 110 มา 840 ขึ้นมาถึง 580-600 เป็นภาพการขี้นภาพใหญ่ที่ 1******

 

1980-1985

การลง 2 **************ขอสรุปภาพใหญ่ การลง1 ตั้งแต่ 840 จุด มา 280 จุด กินเวลา 5 ปั ลงมา 400 เปอร์เซ็นต์*******************

 

1985 - 1987

การขึ้น 2 **************ขอสรุปภาพใหญ่ การขึ้น2 ตั้งแต่ 1985 มา 1987 ประมาณ 2 ปี จาก 280 – 500 ขึ้น 90เปอร์เซ็นต์*****************

 

1987 – 1993

การลง 2 *********** 500 ลงมา 330 ตั้งแต่ มกราคา 1988 ถึง มิถุนายน 1990 มีสัญญาณผิดปกติการลงรุนแรงสุดท้ายประมาณ กุมภาถึง มิถุนายน 1990 จาก 420 เหรียญ มา 340 เหรียญ และสัญญานผิดปกติขี้นรุนแรงกลับคืนทันไปที่เดิม 420 กินเวลา เพียง 1 เดือน

หลังจากนั้นทองลงมาเรื่อยๆถึงเมษา 1993 กินเวลา 5 ปี จาก 500 เหรียญ มา 330 เหรียญ คิดเป็น 70 เปอร์เซ็นต์************

 

1993มกราคม – 1993 มิถุนายน 1993

การขึ้น 3 ******************การขึ้นที่ผมคิดว่าสำคัญตอบสนแงการลง 5 ปี คือ การขึ้น 6 เดือน กลับไปเกือบที่เดิมเลยคือจาก 330มา 410 แนวการแบบนี้ในอตีต ณ เวลานั้นยิ่งใหญ่มาก**********************

 

1993 ถึง 2001(เมษายน)

การลง 3 ******************เป็นขาลงที่ซึ่มเศร้า ยาวนาน กินเวลาประมาณ 8 ปีเต็ม ทองลงจาก 410 มา ถึง 260 เหรียญ ผมยังจำได้ไม่ลืม ประเทศอังกฤษได้ขายทองในคลังสำรองประเทศในช่วงทองตกต่ำสุดและกล่าวว่า ทองคำในอนาคต จะมีค่า ด้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะในโลกเรามีการสำรองเงินตราต่างประเทศในรูปแบบอื่นๆ ไม่ได้มีการนำเอาทองคำมาเป็นเงินทุนสำรองประเทศกันแล้ว**********************

 

2001 - 2007

การขึ้น 4 *****************จาก 260 แนวต้านก็ปราฎเรื่อยๆ มีแนวต้านที่สำคัญคือ ที่ 500 แต่ก็ไม่รุนแรง มาที่แนวต้าน 1000จุด ทองจะถึง 1000 ตอนนี้นทุกคนไม่มีใครเชื่อทั้งวงการทอง ถ้ามากู ขาย มีทองเท่าไร กูก็จะขาย กูเบื่อขายทองแล้ว มีร้านทองก็จะบอกว่า เลิกร้านตอนองมาไต่ระดับ 1000 ดอลลาร์ ราคาทองมาใต่ระดับ 1000 ประมาณ 2 ครั้ง ในเดือน มีนา 2007 (ทดสอบครั้งที่ 1) และมิถุนายน 2007 (ทดสอบครั้งที่2)

 

การขึ้นครั้งนี้ขึ้นจาก 260 มา 1000 กินเวลา 6 ปี คิดเป็นการขึ้น 370-400 เปอร์เซ็นต์

 

 

มกราคม 2008 - กันยายน 2008

 

การลง 4 ****************กลางปีมีเหตุผิดปกติคือ มีเหตุการณ์ขีนไป100 เหรียญ แต่ก็มาลงต่อจนถึง 750 ทองจาก 1000 ลงมา 730 เหรียญ กินเวลา 1 ปี การขึ้นด้วยความผิดปกติในเดือนกันยายน 2508 จาก 750 เป็น 930 กลางเดือนตุลา 2008 ลงต่ำสุด 730 จุด

 

สรุป การลงครั้งนี้ กินเวลา 1 ปี จาก 1000 – 730 คิดเป็นการลงครั้งนี้ 26 เปอร์เซ็นต์

 

 

ตุลาคม 2008 - กันยายน 2511

การขึ้น 5 ***************ด้วยความผิดปกติในเดือนกันยายน 2008 จาก 750 เป็น 930 และใต่ระดับเป้าหมาย 1000 จุด และ ในปี 2008 มีนาคม ทดสอบ 1000 จุด (ครั้งที่ 3) อีกครั้ง จน ถึงต้นเดือนกันยายน 2008 (ทดสอบ 1000 จุดเป็นครั้งที่ 4) ///// ในวันที่ 5-9 กันยา 2009 ขั้น 1000 เป็น 1050 (ผิดปกติ) ////// 2-6 คุลาคม 2009 ขี้น จาก 1060 มา 1100 (ผิดปกติ) ///// แล้วอะไรอะไรก็ผ่านไป 1000 จุด อตีตแล้ว ทองเดินหน้าที่แนวต้าน 1200 เป็นจิตวิทยา สำคัญ มากที่สุด

 

ในเดือนธันวาคม ปี 2009 ปี2010 ขี้นทั้งปี ทองขึ้นทั้งปีและยังขึ้นต่อเนื่องใน เดือน มกรา ถึง มิุุถุนายน 2011 (1ปี หกเดือน ขึ้นไป ราว 400 จุด)

 

กรกฎา ถึง กันยา 2011 1500 ไป 1800 ในสามเดือน ราคาทองรุนแรงมาก ขึ้น ลง 30 จุด 50 จุด เป็นเรื่องปกติ

(ผู้เขียนขอให้ช่วงนี้ผิดปกติมากที่สุดตั้งแต่ทองขี้นมาตอน 1993 ซึ่งตอนนั้นทองตำสุดที่ 260 เหรียญ ต่อออนซ์)

 

 

ผิดปกติแล้วยังไง

 

 

6 กันยายน 2011 ทองคำโลกทำประวัติศาสตร์ที่เคยมีมามูลค่า สูงสุดที่ 1895 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

สรุป ขี้นครั้งที่ 5 จาก 750 จุด มา 1895 จุด กินเวลา 4 ปั ( ตุลา2008 ถึง 6 กันยา2011)

 

 

 

ต้องสรุปภาพแห่งทศวรรษว่า จาก 270 ยูเอสดอลลาร์ต่อ ออนซ์ มา 1895

 

กินเวลา ตั้งแต่ 1993 ถึง กันยายน 2011 18ปี คิดเป็นการขึ้น 700 เปอร์เซ็นต์

 

 

 

 

การลง 6 ไฮไลน์มาแล้ว ค่อยๆอ่านนะครับ

 

เป็นความจริงในตอนแรก 2011. - 2013 ก่อน สงกรานต์

จะทำนาย ในอนาคต คั้งแต่ หลังสงกราต์ 2556 ครับ

 

---ทองลง จาก วันที่ 5 กันยายน จากราคา 1895 จุด ถึง 25 กันยายน 2011 ราคา 1620 จุด

---ทองขึ้น จาก วันที่ 25 กันยายน จากราคา 1620 จุด ถึง 7 พฤศจิกายน 2011 ราคา 1800 จุด

--- ทองลง จาก วันที่ 7 พฤศจิกายน 1800 จุด ถึง 25 พฤศจิกายน 2011 ราคา 1680 จุด

---ทองขึ้น จาก วันที่ 25 พฤศจิกายน 1680 จุด ถึง 2 ธันวาคม 2011 ราคา 1750 จุด

...................................................................................................................................................................

---ทองลง จาก วันที่ 2 ธันวาคม 1750 จุด ถึง 29 ธันวาคม2011 ราคา 1540 จุด (ผิดปกติ)

---ทองขึ้น จาก วันที่ 29 ธันวา 2011 1540 จุด ถึง 28 กุมภา2012 ราคา 1780 จุด (ผิดปกติ)

 

(คำ ว่า ผิดปกติ ของผมที่เล่ามาตั้งแต่ต้น ผมหมายถึง การมีคนปั่นราคา หรือ กองทุน หรือ ประเทศทำ order หรือมีเหตุการ

รุนแรงในโลกโดยไม่เดาคิด ซึ่งอย่างสุดท้ายเกิดขี้นได้น้อยมากๆเช่น สงครามอ่าว- 911 ตึก เวลเทรด )

 

---ทองลง จาก วันที่ 28 กุมภา 2012 1780 จุด ถึง 27 มิถุนายน 2013 ราคา 1550 จุด

( ลงเยอะแต่ไม่ผิดปกติ เป็นคนต้องการของตลาดโดยแท้จริงไม่ได้ข้ามคืนเป็นการซึมแบบสะท้อนสภาพตลาดอย่างแท้จริง )

..............................................................................................................................................................

---ไม่ขึ้น ไม่ลง ไปเรื่อย 13 พฤษภาคม 2012 /// ถึง 19 กันยายน ทองอยู่ 1600 ยิ่งย้ำ ถึงความมีเสถียรภาพของราคา

 

หมายเหต1 สรุป ปี 2012 ช่วง มกราคม ถึง มิถุนายน 1780- 1550 ทองก็ทยอยลงสะท้อนราคาตลาด และ ช่วงมิถุนายนถึง 19 สิงหา 2012 ก็ปกติ ขึ้น จากวิ่ง ขึ้นเล็กน้อย ระหว่าง 1550-1620 จะยิ่งย้ำ ถึงความมีเสถียรภาพของราคาทองคำ ในตลาดโลก

 

----15-25 สิงหา 2012 ทองขึ้น 1600- 1670 ขึ้น10 วันหลังมาสงบมา 8 เดิอน เป็นความ (ผิดปกติ) กันยาก็ขึ้นต่อทั้งเดือน ขึ้นถึง 5 ตุลาคม 2012 รวม 2 เดือน ขึ้น 1600-1800 (200 จุด)

 

----แล้วก็วิ่ง 1700-1800 คั้งแต่ สิงหา 2012 ถึง สิ้นปี 31 ธันวาคม 2012 รวมเวลา 4 เดือน

 

หมายเหตุ 2 สรุป สิงหา 2012 วิ่งจาก 1600-1800 แล้วผลลัพธ์ของการที่กองทุนมาทำราคาทอง ท ำ ให้ทองกลับมาวิ่ง 1700 - 1800 ประมาณ 4 เดือน

 

บทเรียน ที่จะบอก คือ ทุกครั้งที่ ผิดปกติ โดยการปั่น ขึ้น และ ลง จะมีผลในอนาคตของทอง เสมอ

 

---- ในวันที่ 2 มกราคม 2556 มีความ ผิดปกติ เกิดขึ้นกับ ราคาทอง 1700 ลง 1650 มีวัตถุประสงค์ให้ทองลงแต่ไม่สำเร็จ ทองขึ้น ต้าน มาถึง วันที่ 21 มกราคม 2556 เกิดความผิดปกติอีก ปั่นรอบสอง จาก 1700 ลง 4 วัน 50 เหรียญ แค่ไม่สำเร็จ แต่ก็ บอกถึง แม้ไม่สำเร็จ แต่ ทอง ก็ต้าน ธรรมดา แต่ไม่ได้ย้อนขี้น

 

---- ตั้งแต่ 21 มกราคม 56 ทอง 1685 มีการทยอยลงมาเรื่อยๆ ในวันที่ 14 กุมภา 56 เกิดเรื่อง ผิดปกติ อีก ครั้ง มีการปั่นทองให้ ลง 7 วัน ถึง 21 กุมภา 56 ลงมาถึง จาก 1640 ลงมาที่ 1580

 

---- แล้วหลังจาก 21 กุมภาพันธิ์ 56 ทองไม่ขึ้นไม่ลง ถึง 11 มีนาคา 56 และ ต่อมาก็ทยอย ปรับ ตัว ขึ้น เล็กน้อย จากเดิม 1580 ขี้นมาในวันที่ 21 มีนาคม 2556

 

----- 21 มีนา ถึง 7 เ มษายน 2556 ปรับลงเล็กน้อย มาสร้าง นิวโลค์ 1545

 

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

 

เกร็ดความรู้ ท้ายบทความลำดับความมีอิทธิพลต่างๆที่จะทำให้ทองขึ้นหรือลง

1. ใหญ่สุด รายย่อยรวมกันให้ขึ้นลงเพราะเหตุการณ์ในโลกที่สำคัญ (เช่น นิวเครียร์ ะเป็นเหตุการณ์ ที่มี อิทธพลที่ยากที่จะเกิด)

2. กองทุน ไอ้ประเภทนี้ ตัวแสบมาก ไอ้ทองที่ขึ้นลงเราเจ๋งๆกันเพราะไอ้กองทุนนี่ล่ะ บางกองทุน

ก็มีประเทศแอบ backup อยู่แบบแอบแอบ

3. ประเทศ ประเทศหนึ่งมีทองเยอะ แต่โดยภาพรวม แม้จะใหญ่ แต่ก็ไม่เคยปั่นราคาทอง ไม่เคยทำลาย ตลาดทองคำ

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

 

ตามมาตั้งนานเนื่อยยัง เบื่อยังครับ บอนไซมาเล่าประวัติศาสตร์อีกแล้ว ต่อไปนี้ อนาคตแล้วนะครับ

 

 

มหัศจรรย์ที่ 1 (ราคาเป็นอย่างไรในอนาคต)

 

ที่ผ่านมา ตั้งแต่ ทองทำ นิวไฮ ตั้งแต่ปี 2011 จะกล่าวได้ว่า ยังไม่มีสัญญานทอง คำ ที่จะเดินต่อทำ นิว ไฮ ใหม่ ผมเชื่อทองจะต้องลงมาถึง ประมาณ 25 เปอร์ เซนต์ ไม่ว่าจะไปต่อ (ขึ้นต่อ) หรือจะ ลง ต่อไป

 

**ตั้ง 1895 เท่ากับ 100 เปอร์เซนต์

**นับ 210 เท่ากับ 0 เปอร์เซนต์ 20 เปอร์เซนต์ เท่ากับ 1348 ///// 25 เปอร์เซนต์ เท่ากับ 1263

** นับ 110 เท่ากับ 0 เปอร์เซนต์ 20 เปอร์เซนต์ เท่ากับ 1428 ///// 25เปอร์เซนต์ เท่ากับ 1338

 

 

บอนไซ เมษา2556

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดูแล้วน่าจะลงต่อ งั้นเสกให้ลงไป 1258.55$ เลยแล้วกัน เพราะค่าเงินบาทกำลังทำตัวน่ารัก

:047 :gvme :57

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สุดยอดเลยไปค้นเก่าๆที่มีประโยชน์ แพราะเคยอ่านแล้วลืมแล้ว ขอบคุณนะจะได้เตือนใจตนเอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...