ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

ตัวเลขการลงทุนใน Fixed Asset ก็คงทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ ลงทุนน้อยลง เพราะอาจกลัวว่าเศรษฐกิจไม่ดี กำเงินสดดีกว่า

การขยายตัวเศรษฐกิจ ก็ลดลง กำเงินสดดีกว่า

ยอดการผลิตด้านอุตสาหกรรม ลดลง คนไม่ซื้อของ กำเงินสด

ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น ประเด็นนี้ อาจเกิดจากเทศกาลฯ แต่ปรับขึ้นน้อย

 

พอกำเงินสด ถือเงินหยวนกันมาก ค่าเงินหยวนแข็งค่า ส่งผลไปที่ ดอลล์สหรัฐ อ่อนค่าลง >>>>>>>> ������������������������������ จึงเดาว่า ทองยังมีจังหวะ ปรับขึ้น

ชอบครับ มีแนวทาง ชัดเจน

 

ขอบคุณป๋านะครับ ที่กลับมาให้พวกเรา หายคิดถึง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สภาทองคำโลกชี้อุปสงค์ทองคำใน “จีน” จะเพิ่มขึ้น 20% ภายในปี 2017

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 เมษายน 2557 12:11 น.

557000004351201.JPEG

 

สภาทองคำโลกชี้อุปสงค์ทองคำใน “จีน” จะเพิ่มขึ้น 20% ภายในปี 2017

เอเอฟพี – สภาทองคำโลก (World Gold Council – WGC) ชี้ความต้องการซื้อทองคำในจีนต่อปีอาจเพิ่มขึ้นถึง 20% ภายในปี 2017 เนื่องจากบรรดาเศรษฐีแดนมังกรแสวงหาช่องทางใหม่ๆ ที่จะทำกำไรมากยิ่งขึ้น

557000004351203.JPEG

ตัวเลขคาดการณ์จาก WGC มีขึ้น หลังจากที่จีนกลายเป็นผู้บริโภคทองคำอันดับ 1 ของโลกในปี 2013 โค่นบัลลังก์แชมป์เก่าอย่างอินเดีย

 

อุปสงค์ทองคำในรูปเครื่องเพชร, เหรียญ และทองคำแท่งในจีน มีแนวโน้มจะเพิ่มเป็น “1,350 ตันเป็นอย่างน้อย “ในปี 2017 หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ใน 5 จากสถิติการบริโภคทองคำสูงสุด 1,132 ตันเมื่อปีที่แล้ว

557000004351202.JPEG

“วัฒนธรรมของชาวจีนที่ชื่นชอบทองคำ ประกอบกับผู้บริโภคมีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับราคาทองคำ อาจทำให้อุปสงค์จากภาคเอกชนเพิ่มขึ้นเป็น 1,350 ตันในปี 2017” WGC ซึ่งมีฐานที่กรุงลอนดอน แถลงในรายงานวันนี้(15)

 

การที่นักลงทุนส่วนใหญ่หันไปซื้อหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์อื่นๆที่มีความเสี่ยงสูงกว่า ส่งผลให้ราคาทองคำปีที่แล้วดิ่งลงเกือบ 1 ใน 3 ขณะที่อุปสงค์เครื่องทองรูปพรรณกลับพุ่งสูงสุดในรอบ 16 ปี เนื่องจากผู้บริโภคในเอเชียและตะวันออกกลางต่างฉวยโอกาสทุ่มซื้อในช่วงที่ราคาทองตกต่ำ

 

ในส่วนของจีน ตลาดทองคำยังได้ปัจจัยหนุนจากสัดส่วนชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงปริมาณเงินออม และข้อจำกัดในการลงทุนด้านอื่นๆ

 

สภาทองคำโลกชี้อุปสงค์ทองคำใน “จีน” จะเพิ่มขึ้น 20% ภายในปี 2017

กระนั้นก็ดี WGC เตือนว่า นโยบายเศรษฐกิจของจีนซึ่งจะลดพึ่งพาการส่งออก อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการซื้อทองคำ

 

“จีนกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ในการปรับนโยบายเศรษฐกิจซึ่งเน้นการลงทุนและส่งออกไปสู่เศรษฐกิจที่มีความสมดุล ซึ่งการบริโภคภาคเอกชนจะมีส่วนสำคัญมากยิ่งขึ้น”

 

“แม้เราไม่ควรมองข้ามความสุ่มเสี่ยง แต่กระบวนการสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจก็อาจกระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมเครื่องประดับและทองรูปพรรณ”

 

อลิสแตร์ ฮิววิตต์ หนึ่งในผู้เขียนรายงานฉบับนี้ชี้ว่า อุปสงค์ทองคำในจีนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัวในช่วง 1 ทศวรรษจนถึงปี 2013 และคาดว่าตลาดทองคำแดนมังกรจะยังเติบโตต่อเนื่องในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยมีปัจจัยหนุนจากวัฒนธรรมจีนที่เชิดชูคุณค่าของทองคำ, รายได้ที่เพิ่มขึ้นของประชากรจีน ตลอดจนการสนับสนุนจากรัฐบาล

 

ราคาทองคำพุ่งสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ครึ่งมาอยู่ที่ 1,330.59 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ในวันจันทร์(13) เนื่องจากนักลงทุนพากันหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากวิกฤตการเมืองยูเครน

 

http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000042027

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แรงขายทำกำไรเขย่าราคาทองคำผันผวน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 เมษายน 2557 11:57 น.

557000004352701.JPEG

 

แรงขายทำกำไรเขย่าราคาทองคำผันผวน

ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา ราคาทองคำในประเทศไทย และในตลาดต่างประเทศยังทรงตัวอยู่ได้ โดยราคาทองคำในประเทศมีระดับราคาต่ำสุดที่ 19,600-19,700 บาทต่อน้ำหนักทอง 1 บาท และสูงสุดที่ 19,500-20,000 บาทต่อน้ำหนักทอง 1 บาท

 

สาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำกลับมาสูงขึ้น มาจากความตึงเครียดในยูเครนตะวันออก เพราะประชาชนเชื้อสายรัสเซียประท้วงต้องการแยกตัวเป็นอิสระจากยูเครน เช่นเดียวกับไครเมีย ที่ไปขึ้นตรงกับรัสเซีย ทำให้นักลงทุนกลับมากังวลว่าจะเกิดวิกฤตการเมืองระหว่างประเทศอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เมื่อราคาทองคำขยับสูงขึ้นก็เผชิญกับการขายทำกำไรทำให้ราคาอ่อนตัวลงมาเล็กน้อย

 

ทั้งนี้ คาดว่าราคาทองคำในตลาดต่างประเทศน่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 1,280-1,310 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และในระยะสั้นอาจแตะที่ระดับ 1,275.52 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และสูงสุดที่ 1,312.52 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศจะอยู่ที่ระดับ 19,400-19,500 บาทต่อน้ำหนักทอง 1 บาท และสูงสุดที่ 20,200-20,300 บาทต่อน้ำหนักทอง 1 บาท โดยนักลงทุนต้องคำนึงด้วยว่าช่วงเวลา 1-2 สัปดาห์นี้จะเป็นวันหยุดยาดทั้งในประเทศคือ เทศกาลสงกรานต์ และในต่างประเทศคือ เทศกาลอีสเตอร์ ธนาคาร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลาดทองคำ และตลาดฟิวเจอร์ปิดทำการ ดังนั้น จึงแนะนำให้นักลงทุน “ปิดสถานะ” ของตนเองป้องกันความเสี่ยง

 

ในช่วงระยะเวลาที่การค้าทองคำแท่ง และทองรูปพรรณลดลง ร้านค้าทองขนาดเล็กโดยเฉพาะย่านฝั่งธนฯ ที่เปิดเป็นห้องแถวมักอ้างว่าเป็นร้านค้าส่งทองรูปพรรณ ทั้งที่จริงแล้วเป็นร้านค้าปลีก โดยพฤติกรรมจะให้ลูกค้าที่สั่งทองโอนเงินเข้าบัญชีก่อนส่งทองไปให้ ซึ่งช่วงแรกก็ส่งทองไปให้ตามปกติ แต่เมื่อทำธุรกรรมไประยะหนึ่งจะปิดกิจการหายไปทำให้มีผู้เสียหายหลายราย เช่นเดียวกับผู้ประกอบการที่โฆษณาว่าทำธุรกรรม On Line 24 ชั่วโมง นักลงทุนต้องสังเกตุว่าราคาทองที่เข้าลงทุนเป็นราคาที่สามารถอ้างอิงได้ตามราคาตลาดหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่จะหลอกลวงว่า “เป็นราคาในตลาดต่างประเทศ” ระยะแรกของการลงทุนก็ดูเหมือนจะได้กำไร แต่พอลงทุนไประยะหนึ่งก็จะต้อง “ตัดขาดทุน” จนถึงปิดกิจการหนี้ไป สร้างความเสียหายรวมถึงเสียชื่อเสียงด้วย

 

มีตัวเลขดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐฯ หรือ ISM ปรับตัวสูงขึ้นมา 0.5 จุดอยู่ที่ 53.7 จุดในเดือนมีนาคม จากเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 53.2 ซึงปรับตัวขึ้นจากการเติบโตของภาคการผลิตและยอดสั่งซื้อสินค้า ประกอบกับตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐฯ เดือนมีนาคมทรงตัวอยู่ที่ 6.7% เนื่องจากการจ้างงานที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นการจ้างงานแบบชั่วคราวไม่ใช่งานประจำ แสดงให้เห็นว่าภาคเอกชนสหรัฐฯ ยังไม่มีความมั่นใจในการขยายกิจการอย่างเต็มที่ จึงพยายามตัดค่าใช้จ่ายลง ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ยังคงเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง และคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำ 0-0.25% ไว้ต่อไปอีกระยะเวลาหนึ่ง

 

หันมาดูกลุ่มยูโรโซน ซึ่งมีสมาชิกถึง 17 ประเทศ ในปี 2013 GDP ติดลบอยู่ที่ 0.3% และคาดว่าในปี 2014 GDP จะขยายตัวได้ถึง 1% แต่หากพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อเดือนมีนาคมที่เพิ่มขึ้นเพียง 0.5% ห่างไกลจากที่คาดการณ์ไว้ที่ 2% เป็นอย่างมาก สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวลง และเมื่อหันมาดูตัวเลขคนว่างงานที่ยังสูงถึง 19 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 11.9% ในเดือนกุมภาพันธ์ ส่งผลให้ธนาคารกลางยุโรปตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำ 0.25% และตลาดทุนเริ่มกังวลต่อสภาพวะเงินฝืด ทำให้ต้องมีการดำเนินมาตราการผ่อนคลายทางการเงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินทรัพย์ตามแบบสหรัฐฯ และญี่ปุ่น

 

ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF เตือนธนาคารกลางยุโรปให้เร่งจัดการปัญหาเงินฝืดโดยเร็ว เพราะจะกระทบต่อการบริโภคสินค้า การผลิต และกระทบต่อการจ้างงาน โดยแนะนำให้ธนาคารกลางยุโรปใช้มาตรการผ่อนคลายทางการรเงิน หรือมาตราการ QE

 

ในขณะที่รัสเซีย กำลังเผชิญกับการต่อต้านจากนานาประเทศในการรับไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่ง จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของรัสเซีย รัฐบาลรัสเซียออกกฎหมายด้านภาษีฉบับใหม่ กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดเล็ก หรือ SME ที่มีลูกจ้างน้อยกว่า 15 คนมีผลประกอบการรายปีอยู่ที่ 60 ล้านรูเบิล และมีสินทรัพย์ที่ต่ำกว่า 100 ล้านรูเบิล ต้องเสียภาษี เช่น ภาษีเงินได้ ภาษีอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อใดที่ประธานาธิบดีปูติน ลงนามอนุมัติร่างกฎหมายภาษีฉบับดังกล่าว ผู้ประกอบการ SME จะมีต้นทุนเพิ่มถึง 2 เท่า โดยเฉพาะภาษีอสังหาริมทรัพย์ ในกรุงมอสโกที่สูงถึง 50% ทำให้ผู้ประกอบการ SME ในพื้นที่ดังกล่าวต้องแบกรับภาระเพิ่มถึง 3 เท่าทันที

 

หลังจากที่จีนเผชิญกับ “หนีเสีย” พุ่งสูงที่สุดในรอบ 2 ปี รัฐบาลจีนโดยธนาคารกลางเตรียมทดสอบฐานะการเงินภาคธนาคาร ตลอดจนส่งสัญญาณให้ธนาคารระงับการปล่อยกู้ให้แก่รัฐบาลท้องถิ่น ภาคอุตสาหกรรมที่มีการผลิตมากเกินไป ภาคอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทค้าเหล็ก ด้วยการตั้งคณะกรรมการกฎระเบียบภาคธนาคาร ทำการทดสอบฐานะทางการเงินของธนาคาร เพื่อให้สถาบันธนาคารมีฐานะทางการเงินที่เหมาะสมที่จะเผชิญความเสี่ยงด้านต่างๆ ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนต้องเดินหน้าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการออกพันธบัตรมูลค่า150,000 ล้านหยวน เป็นการระดมเงินไปใช้ในการปรับปรุงเส้นทางรถไฟ ตลอดจนเตรียมจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนามูลค่า 2-3 แสนล้านหยวน เป็นช่องทางเพิ่มปริมาณเงินที่จะใช้เป็นทุนในการสร้างระบบรถไฟระยะทาง 6,600 กิโลเมตร ให้เชื่อมภาคกลาง และภาคตะวันตกของจีนเข้าด้วยกัน ตามแนวทางการพัฒนาความเป็นเมืองของรัฐบาลจีน โดยจัดตั้งเป็นหน่วยงานพิเศษขึ้นมาดูแลการออกพันธบัตรโดยเฉพาะ

 

ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 57 เป็นต้นมา ประเทศญี่ปุ่น ปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT จาก 5% เป็น 8% ส่งผลให้ราคาสินค้าในประเทศปรับสูงขึ้นทุกชนิด ผู้บริโภคเริ่มจับจ่ายใช้สอยลดลง ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นในรอบ 6 ปี และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นจากระดับ +16 เป็น +17 เพราะเริ่มมีความหวังในสถานะธุรกิจ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในญี่ปุ่นยังไม่สามารถวางใจได้เพราะสถานการณ์เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ เงินเยนยังคงอ่อนค่าลงจนฉุดกำลังการบริโภคในประเทศไม่ขยับ เกิดการขาดดุลทางการค้า และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ลดลง 2.3% จากเดือนก่อนหน้า ในขณะที่ปัจจุบัน รัฐบาลญี่ปุ่น มีหนี้สาธารณะสูงถึง 245% ของ GDP ซึ่งถ้าไม่มีการหารายได้เพิ่มนอกเหนือจากการเก็บภาษี คาดว่าฐานะการคลังของญี่ปุ่นจะเข้าสู่ภาวะวิกฤต เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นมีภาระสูงมากในการเลี้ยงผู้สูงอายุในประเทศญี่ปุ่น

 

 

http://manager.co.th/iBizchannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000042022

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แรงขายทำกำไรเขย่าราคาทองคำผันผวน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 เมษายน 2557 11:57 น.

557000004352701.JPEG

 

แรงขายทำกำไรเขย่าราคาทองคำผันผวน

ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา ราคาทองคำในประเทศไทย และในตลาดต่างประเทศยังทรงตัวอยู่ได้ โดยราคาทองคำในประเทศมีระดับราคาต่ำสุดที่ 19,600-19,700 บาทต่อน้ำหนักทอง 1 บาท และสูงสุดที่ 19,500-20,000 บาทต่อน้ำหนักทอง 1 บาท

 

สาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำกลับมาสูงขึ้น มาจากความตึงเครียดในยูเครนตะวันออก เพราะประชาชนเชื้อสายรัสเซียประท้วงต้องการแยกตัวเป็นอิสระจากยูเครน เช่นเดียวกับไครเมีย ที่ไปขึ้นตรงกับรัสเซีย ทำให้นักลงทุนกลับมากังวลว่าจะเกิดวิกฤตการเมืองระหว่างประเทศอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เมื่อราคาทองคำขยับสูงขึ้นก็เผชิญกับการขายทำกำไรทำให้ราคาอ่อนตัวลงมาเล็กน้อย

 

ทั้งนี้ คาดว่าราคาทองคำในตลาดต่างประเทศน่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 1,280-1,310 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และในระยะสั้นอาจแตะที่ระดับ 1,275.52 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และสูงสุดที่ 1,312.52 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศจะอยู่ที่ระดับ 19,400-19,500 บาทต่อน้ำหนักทอง 1 บาท และสูงสุดที่ 20,200-20,300 บาทต่อน้ำหนักทอง 1 บาท โดยนักลงทุนต้องคำนึงด้วยว่าช่วงเวลา 1-2 สัปดาห์นี้จะเป็นวันหยุดยาดทั้งในประเทศคือ เทศกาลสงกรานต์ และในต่างประเทศคือ เทศกาลอีสเตอร์ ธนาคาร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลาดทองคำ และตลาดฟิวเจอร์ปิดทำการ ดังนั้น จึงแนะนำให้นักลงทุน “ปิดสถานะ” ของตนเองป้องกันความเสี่ยง

 

ในช่วงระยะเวลาที่การค้าทองคำแท่ง และทองรูปพรรณลดลง ร้านค้าทองขนาดเล็กโดยเฉพาะย่านฝั่งธนฯ ที่เปิดเป็นห้องแถวมักอ้างว่าเป็นร้านค้าส่งทองรูปพรรณ ทั้งที่จริงแล้วเป็นร้านค้าปลีก โดยพฤติกรรมจะให้ลูกค้าที่สั่งทองโอนเงินเข้าบัญชีก่อนส่งทองไปให้ ซึ่งช่วงแรกก็ส่งทองไปให้ตามปกติ แต่เมื่อทำธุรกรรมไประยะหนึ่งจะปิดกิจการหายไปทำให้มีผู้เสียหายหลายราย เช่นเดียวกับผู้ประกอบการที่โฆษณาว่าทำธุรกรรม On Line 24 ชั่วโมง นักลงทุนต้องสังเกตุว่าราคาทองที่เข้าลงทุนเป็นราคาที่สามารถอ้างอิงได้ตามราคาตลาดหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่จะหลอกลวงว่า “เป็นราคาในตลาดต่างประเทศ” ระยะแรกของการลงทุนก็ดูเหมือนจะได้กำไร แต่พอลงทุนไประยะหนึ่งก็จะต้อง “ตัดขาดทุน” จนถึงปิดกิจการหนี้ไป สร้างความเสียหายรวมถึงเสียชื่อเสียงด้วย

 

มีตัวเลขดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐฯ หรือ ISM ปรับตัวสูงขึ้นมา 0.5 จุดอยู่ที่ 53.7 จุดในเดือนมีนาคม จากเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 53.2 ซึงปรับตัวขึ้นจากการเติบโตของภาคการผลิตและยอดสั่งซื้อสินค้า ประกอบกับตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐฯ เดือนมีนาคมทรงตัวอยู่ที่ 6.7% เนื่องจากการจ้างงานที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นการจ้างงานแบบชั่วคราวไม่ใช่งานประจำ แสดงให้เห็นว่าภาคเอกชนสหรัฐฯ ยังไม่มีความมั่นใจในการขยายกิจการอย่างเต็มที่ จึงพยายามตัดค่าใช้จ่ายลง ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ยังคงเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง และคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำ 0-0.25% ไว้ต่อไปอีกระยะเวลาหนึ่ง

 

หันมาดูกลุ่มยูโรโซน ซึ่งมีสมาชิกถึง 17 ประเทศ ในปี 2013 GDP ติดลบอยู่ที่ 0.3% และคาดว่าในปี 2014 GDP จะขยายตัวได้ถึง 1% แต่หากพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อเดือนมีนาคมที่เพิ่มขึ้นเพียง 0.5% ห่างไกลจากที่คาดการณ์ไว้ที่ 2% เป็นอย่างมาก สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวลง และเมื่อหันมาดูตัวเลขคนว่างงานที่ยังสูงถึง 19 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 11.9% ในเดือนกุมภาพันธ์ ส่งผลให้ธนาคารกลางยุโรปตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำ 0.25% และตลาดทุนเริ่มกังวลต่อสภาพวะเงินฝืด ทำให้ต้องมีการดำเนินมาตราการผ่อนคลายทางการเงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินทรัพย์ตามแบบสหรัฐฯ และญี่ปุ่น

 

ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF เตือนธนาคารกลางยุโรปให้เร่งจัดการปัญหาเงินฝืดโดยเร็ว เพราะจะกระทบต่อการบริโภคสินค้า การผลิต และกระทบต่อการจ้างงาน โดยแนะนำให้ธนาคารกลางยุโรปใช้มาตรการผ่อนคลายทางการรเงิน หรือมาตราการ QE

 

ในขณะที่รัสเซีย กำลังเผชิญกับการต่อต้านจากนานาประเทศในการรับไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่ง จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของรัสเซีย รัฐบาลรัสเซียออกกฎหมายด้านภาษีฉบับใหม่ กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดเล็ก หรือ SME ที่มีลูกจ้างน้อยกว่า 15 คนมีผลประกอบการรายปีอยู่ที่ 60 ล้านรูเบิล และมีสินทรัพย์ที่ต่ำกว่า 100 ล้านรูเบิล ต้องเสียภาษี เช่น ภาษีเงินได้ ภาษีอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อใดที่ประธานาธิบดีปูติน ลงนามอนุมัติร่างกฎหมายภาษีฉบับดังกล่าว ผู้ประกอบการ SME จะมีต้นทุนเพิ่มถึง 2 เท่า โดยเฉพาะภาษีอสังหาริมทรัพย์ ในกรุงมอสโกที่สูงถึง 50% ทำให้ผู้ประกอบการ SME ในพื้นที่ดังกล่าวต้องแบกรับภาระเพิ่มถึง 3 เท่าทันที

 

หลังจากที่จีนเผชิญกับ “หนีเสีย” พุ่งสูงที่สุดในรอบ 2 ปี รัฐบาลจีนโดยธนาคารกลางเตรียมทดสอบฐานะการเงินภาคธนาคาร ตลอดจนส่งสัญญาณให้ธนาคารระงับการปล่อยกู้ให้แก่รัฐบาลท้องถิ่น ภาคอุตสาหกรรมที่มีการผลิตมากเกินไป ภาคอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทค้าเหล็ก ด้วยการตั้งคณะกรรมการกฎระเบียบภาคธนาคาร ทำการทดสอบฐานะทางการเงินของธนาคาร เพื่อให้สถาบันธนาคารมีฐานะทางการเงินที่เหมาะสมที่จะเผชิญความเสี่ยงด้านต่างๆ ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนต้องเดินหน้าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการออกพันธบัตรมูลค่า150,000 ล้านหยวน เป็นการระดมเงินไปใช้ในการปรับปรุงเส้นทางรถไฟ ตลอดจนเตรียมจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนามูลค่า 2-3 แสนล้านหยวน เป็นช่องทางเพิ่มปริมาณเงินที่จะใช้เป็นทุนในการสร้างระบบรถไฟระยะทาง 6,600 กิโลเมตร ให้เชื่อมภาคกลาง และภาคตะวันตกของจีนเข้าด้วยกัน ตามแนวทางการพัฒนาความเป็นเมืองของรัฐบาลจีน โดยจัดตั้งเป็นหน่วยงานพิเศษขึ้นมาดูแลการออกพันธบัตรโดยเฉพาะ

 

ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 57 เป็นต้นมา ประเทศญี่ปุ่น ปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT จาก 5% เป็น 8% ส่งผลให้ราคาสินค้าในประเทศปรับสูงขึ้นทุกชนิด ผู้บริโภคเริ่มจับจ่ายใช้สอยลดลง ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นในรอบ 6 ปี และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นจากระดับ +16 เป็น +17 เพราะเริ่มมีความหวังในสถานะธุรกิจ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในญี่ปุ่นยังไม่สามารถวางใจได้เพราะสถานการณ์เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ เงินเยนยังคงอ่อนค่าลงจนฉุดกำลังการบริโภคในประเทศไม่ขยับ เกิดการขาดดุลทางการค้า และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ลดลง 2.3% จากเดือนก่อนหน้า ในขณะที่ปัจจุบัน รัฐบาลญี่ปุ่น มีหนี้สาธารณะสูงถึง 245% ของ GDP ซึ่งถ้าไม่มีการหารายได้เพิ่มนอกเหนือจากการเก็บภาษี คาดว่าฐานะการคลังของญี่ปุ่นจะเข้าสู่ภาวะวิกฤต เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นมีภาระสูงมากในการเลี้ยงผู้สูงอายุในประเทศญี่ปุ่น

 

 

http://manager.co.th/iBizchannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000042022

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

น้ำมันลง-หุ้นสหรัฐฯขึ้น ทองคำดิ่งแรงหลังดอลล์แข็งค่า

blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 เมษายน 2557 05:23 น.

 

 

blank.gif 557000004371601.JPEG blank.gif เอเอฟพี/มาร์เก็ตวอชต์ - ราคาน้ำมันดิบวานนี้(15) ขยับลงเล็กน้อย ภายใต้แรงกดดันจากลิเบียที่ส่งสัญญาณว่าจะคืนสู่การส่งออกเร็ววันนี้ ส่วนวอลล์สตรีท แกว่งตัวปิดในแดนบวก จากรายงานผลประกอบการของบริษัท ขณะที่ทองคำลงแรง หลังดอลลาร์แข็งค่าขึ้น

 

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม ลดลง 30 เซนต์ ปิดที่ 103.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 33 เซนต์ ปิดที่ 108.74 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

นักลงทุนจับตาไปที่สถานการณ์ลิเบีย ที่ใกล้กลับมาส่งออกน้ำมันสู่ตลาดโลกอีกครั้ง หลังฝ่ายกบฏบรรลุข้อตกลงกับรัฐบาล ยอมให้มีการส่งออกน้ำมันดิบจากคลังเชื้อเพลิง 2 แห่งเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน

 

โดยในวันอังคาร(15) บริษัทน้ำมันแห่งชาติบอกว่ารถบรรทุกเชื้อเพลิงใกล้จะเริ่มลำเลียงน้ำมันดิบ เพื่อการส่งออก ออกจากคลังอัล-ฮาริกาแล้ว นับเป็นคลังน้ำมัน 1 จาก 2 แห่งที่ฝ่ายกบฏยอมเปิดทางให้กลับมาปฏิบัติการได้ดังเดิม หลังจากดำเนินการปิดกั้นมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีก่อน อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากนั้น ฝ่ายกบฏยังคงปิดกั้นคลังเชื้อเพลิงอื่นๆอีก 2 แห่ง

 

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้(15) ซื้อขายผัวผวน จากแรงฉุดของกลุ่มเทคโนโลยี ทว่าก็ยังสามารถปิดบวก หลังได้ผลประกอบการของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เป็นปัจจัยหนุน

 

ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 89.20 จุด (0.55 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 16,262.44 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 12.36 จุด (0.68 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,842.97 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 11.47 จุด (0.29 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,034.16 จุด

 

ตลาดเปิดซื้อขายในแดนบวกอย่างแข็งแกร่ง หลังได้ปัจจัยหนุนจากรายงานผลประกอบการของบริษัทดังอย่างจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และโคคา-โคลา อย่างไรก็ตามถูกฉุดรั้งโดยความกังวลต่อสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครน แต่ก็ยังดีที่ฟื้นตัวกลับมาปิดบวกได้สำเร็จ

 

ส่วนราคาทองคำวานนี้(15) ดิ่งลงกว่าร้อยละ 2 เหตุดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ประกอบกับนักลงทุนขายทำกำไร หลังหนึ่งวันก่อนหน้านี้พุ่งขึ้นพอสมควร โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 27.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,300.30 ดอลาร์ต่อออนซ์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตัวเลขการลงทุนใน Fixed Asset ก็คงทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ ลงทุนน้อยลง เพราะอาจกลัวว่าเศรษฐกิจไม่ดี กำเงินสดดีกว่า

การขยายตัวเศรษฐกิจ ก็ลดลง กำเงินสดดีกว่า

ยอดการผลิตด้านอุตสาหกรรม ลดลง คนไม่ซื้อของ กำเงินสด

ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น ประเด็นนี้ อาจเกิดจากเทศกาลฯ แต่ปรับขึ้นน้อย

 

พอกำเงินสด ถือเงินหยวนกันมาก ค่าเงินหยวนแข็งค่า ส่งผลไปที่ ดอลล์สหรัฐ อ่อนค่าลง >>>>>>>> ���������� จึงเดาว่า ทองยังมีจังหวะ ปรับขึ้น

ขอบคุณค่ะ คุณป๋า ก็เพราะอย่างงี้ไงละ พวกเราจึงชอบฟังการบ่นของป๋ามากๆๆๆๆๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ฝรั่งเดาทองบอกว่า แนวรับ 1299 ราคาทองอยู่ระดับนี้ 1303 เสียวโว้ย ที่จะร่วงต่อ พร้อมแนวทางดังนี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

น้ำมัน-ทองคำทรงตัว หุ้นสหรัฐฯพุ่งแรงจากผลประกอบการยาฮู

 

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 เมษายน 2557 05:27 น.

 

 

 

 

เอเอฟพี/รอยเตอร์ส - ราคาน้ำมันทรงตัววานนี้(16) สต๊อกเชื้อเพลิงสำรองสหรัฐฯช่วยกลบความกังวลทางอุปทานเกี่ยวกับภาวะความตึงเครียดในยูเครน ส่วนวอลล์สตรีทปิดบวก 3 วันติด จากผลประกอบการบริษัทยักษ์ใหญ่ ขณะที่ทองคำก็ขึ้น หลังประธานเฟดยืนยันคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ

 

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 1 เซนต์ ปิดที่ 103.76 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 24 เซนต์ ปิดที่ 109.60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

วิกฤตการเมืองในยูเครนผลักให้ราคาน้ำมันขยับขึ้นในช่วงต้นของการซื้อขาย แต่ตลาดนิวยอร์กแกว่งตัวลงมาปิดบวกในกรอบแคบๆ หลังกระทรวงพลังงานสหรัฐฯเผยข้อมูลสต๊อกเชื้อเพลิงสำรองที่พบว่าคลังน้ำมันดิบของประเทศในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 11 เมษายน เพิ่มขึ้นถึง 10 ล้านบาร์เรล เหนือกว่าที่ประมาณการณ์ไว้อย่างมาก

 

ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้(16) ขยับขึ้นเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน จากข้อมูลบวกทางเศรษฐกิจและรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาดหมายของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างยาฮู

 

ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 162.29 จุด (1.00 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 16,424.85 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 19.33 จุด (1.05 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,862.31 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 52.06 จุด (1.29 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,086.23 จุด

 

รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่ดีเกินคาดหมายของยาฮู ส่งผลให้หุ้นของบริษัททะยานขึ้นถึงร้อยละ 6.3 ส่วนหุ้นของกูเกิล ก็ปรับขึ้นร้อยละ 3.8 หลังมีผลประกอบการระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม 3,450 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดีกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 32

 

ส่วนราคาทองคำวานนี้(16) ปิดบวกเล็กน้อย หลังนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ย้ำถึงคำมั่นจะยังคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำต่อไป โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 3.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,303.50 ดอลาร์ต่อออนซ์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐกล่าวว่า รัสเซียจะต้องเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมอีกหากยังคงให้การสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในยูเครนตะวันออก

 

ผู้นำสหรัฐให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ซีบีเอสว่า การกระทำของรัสเซียสั่นคลอนเสถียรภาพของยูเครน และละเมิดอธิปไตย ซึ่งจะต้องได้รับผลที่ตามมา ประธานาธิบดีโอบามา พูดถึงวิกฤติในยูเครนโดยกล่าวโทษรัสเซียโดยตรงก่อนการหารือที่นครเจนีวาซึ่งประกอบด้วยรัสเซีย ยูเครน สหรัฐ และสหภาพยุโรปที่พยายามคลี่คลายสถานการณ์ เจ้าหน้าที่สหรัฐกล่าวว่า เตรียมมาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่อรัสเซียแล้ว หากการเจรจาล้มเหลวไม่สามารถบรรเทาความขัดแย้งลงได้ ประธานาธิบดีโอบามา กล่าวว่า การตัดสินใจของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินผู้นำรัสเซีย ไม่ได้ส่งผลร้ายต่อยูเครนเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลเสียต่อรัสเซียในระยะยาวด้วย และเชื่อว่ารัสเซียไม่คิดที่จะเผชิญหน้าทางทหารกับสหรัฐซึ่งมีกองทัพที่มีแสนยานุภาพเหนือกว่า.

 

ที่มา : สำนักข่าวไทย (วันที่ 17 เมษายน 2557)

 

ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นลงแตกต่างกันเมื่อเทียบสกุลเงินหลักเมื่อคืนนี้ (16 เม.ย.) ท่ามกลางการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐและความคิดเห็นจากนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

 

ค่าเงินยูโรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.3821 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3809 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์ปรับขึ้นสู่ระดับ 1.6799 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.6703 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 102.26 เยน จากระดับ 101.83 เยน และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.8814 ฟรังค์ จากระดับ 0.8804 ฟรังค์

 

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.9383 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9355 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ประธานเฟดกล่าวที่สโมสรเศรษฐกิจของนิวยอร์กว่า เฟดมีพันธสัญญาต่อเนื่องที่จะหนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

 

ขณะเดียวกันเงินเยนอ่อนค่าลงเทียบสกุลเงินหลัก อันเนื่องมาจากข้อมูลการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนที่ดีเกินคาด โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยวานนี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ช่วงไตรมาส 1/2557 ขยายตัว 7.4% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินไว้ว่า จีดีพีของจีนในช่วงไตรมาสแรกปีนี้จะขยายตัว 7.3%

 

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐนั้นออกมาในทิศทางที่แตกต่างกัน โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.8% มาอยู่ที่ 946,000 ยูนิตในเดือนมี.ค. ขณะที่การอนุญาตก่อสร้าง ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงการก่อสร้างในอนาคต ปรับตัวลดลง 2.4% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบกับเดือนก.พ. สู่ระดับ 990,000 ยูนิต

 

ทางด้านเฟดรายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดการผลิตของภาคโรงงาน เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค ขยายตัว 0.7% ในเดือนมี.ค. ส่งสัญญาณว่าภาคอุตสาหกรรมเริ่มฟื้นตัวขึ้นหลังจากเผชิญสภาพอากาศที่หนาวเย็นรุนแรง ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 0.4% แตะ 79.2% ในเดือนมี.ค.

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 17 เมษายน 2557)

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...