ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

มติที่ประชุมเฟดลดระดับQEแค่เล็กน้อย ดันหุ้นมะกันทุบสถิติ-ทองคำบวก น้ำมันขยับขึ้น

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 ธันวาคม 2556 04:31 น.

 

เบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) แถลงถึงมติของที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายที่ตัดสินใจลดระดับกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

เอเอฟพี/เอพี - ธนาคารกลางสหรัฐฯแถลงเมื่อวันพุธ(18) จะเริ่มต้นลดระดับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลงเดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนหน้า หลังพบเห็นการฟื้นตัวในเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน แต่ก็ยังคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำเพื่อหนุนการฟื้นตัวต่อไป ทั้งนี้เหตุผลของการฟื้นตัวนี้เองที่ปัดเป่าความกังวลของนักลงทุนเป็นผลให้วอลล์สตรีทพุ่งแรงจนทุบสถิติสูงสุดตลอดกาลรอบใหม่ ส่วนทองคำก็บวก ขณะที่น้ำมันขึ้นเล็กน้อย จากข้อมูลคลังเชื้อเพลิงสำรองของอเมริกา

 

 

 

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ(FOMC) ระบุในถ้อยแถลงหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายเป็นเวลา 2 วันเมื่อวันพุธ(18) ว่าทางเฟดจะเข้าซื้อพันธบัตรรายเดือนเหลือเดือนละ 75,000 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นไป ลดลงจากการเข้าซื้อเดือนละ 85,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงราว 1 ปีที่ผ่านมา ในความพยายามกดให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวลดต่ำลงเพื่อกระตุ้นการเติบโตและการจ้างงาน

 

"เนื่องจากมีพัฒนาการมากขึ้นในการมุ่งสู่การจ้างงานสูงสุดและในแนวโน้มของการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดของสภาวะตลาดแรงงาน ทางคณะกรรมการจึงตัดสินใจลดระดับอัตราการเข้าซื้อสินทรัพย์ลงเล็กน้อย" FOMC ระบุในถ้อยแถลง

 

หากไม่นับรวมการตัดลดรายจ่่ายของรัฐบาลกลางแล้ว ทางคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดบอกว่านับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการเข้าซื้อพันธบัตรปัจจุบัน พวกเขาพบเห็นการฟื้นตัวอย่างมั่นคงในกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสภาวะของตลาดแรงงาน ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ด้วยการเติบโตนั้นตอกย้ำถึงความเข้มแข็งในเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง

 

ขณะเดียวกันทางเฟด ยังได้ประมาณการณ์ทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ ด้วยคาดคะเนว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) น่าจะเติบโตระหว่างร้อยละ 2.8 ถึง 3.2 จากเดิมที่เคยประมาณการณ์ไว้เมื่อเดือนกันยายนว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 2.9-3.1 ส่วนในตลาดแรงงานนั้น ประมาณการณ์ว่าอัตราคนว่างงานที่อยู่ในระดับร้อยละ 7.0 ในปัจจุบัน จะลดลงสู่ระดับระหว่างร้อยละ 6.3-6.6 ในช่วงสิ้นปีหน้า ดีขึ้นจากการคาดคะเนคราวก่อนว่าจะอยู่ราวๆร้อยละ 6.4-6.8

 

นอกจากนี้แล้ว ก็เป็นไปตามคาดหมายว่าเฟดตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำที่ 0.0 ถึง 0.25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นอัตราที่คงมาเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างมั่นคง

 

การปรับลดโครงการเข้าซื้อพันธบัตรสู่เดือนละ 75,000 ล้านดอลลาร์ แม้จะเป็นก้าวย่างเล็กๆแต่ก็มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เพราะนั่นหมายความว่าเหล่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด ได้ส่งสัญญาณพร้อมผ่อนคลายมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจพิเศษนี้นับตั้งแต่ภาวะถดถอยรุนแรงเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 6 ปีก่อน

 

โรเบิร์ต เพอร์ลี อดีตนักเศรษฐศาสตร์ของเฟด ซึ่งตอนนี้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยนโยบายทางการเงินของคอร์เนอร์สโคน มาร์โก ให้ความเห็นว่า "ความเคลื่อนไหวนี้ได้กำจัดความไม่แน่นอนว่าเฟดจะลดระดับกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อไหร่และมากน้อยแค่ไหน และเปิดโอกาสให้ตลาดเพ่งเล็งไปยังประเด็นที่แท้จริงอื่นๆ นั้นคือแนวโน้มของเศรษฐกิจ" อย่างไรก็ตามนายเพอร์ลี เน้นว่าเฟดยังไม่ได้ถอนการสนับสนุนเศรษฐกิจไปเสียทั้งหมด ด้วยการยังคงอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดในประวัติศาสตร์เอาไว้

 

เบื้องต้นถ้อยแถลงของธนาคารสหรัฐฯฉุดให้วอลล์สตรีท ขยับลงทันทีหลังจากทราบข่าว อย่างไรก็ตามจากนั้นก็ดีดตัวขึ้นแรง ด้วยดาวโจนส์ปิดบวกกว่า 200 จุด ทุบสถิติสูงสุดตลอดกาลรอบใหม่เช่นเดียวกับเอสแอนด์พี เนื่องจากในการตัดสินใจลดระดับการกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟด ได้อ้างเหตุผลถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

 

ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 292.71 จุด (1.84 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 16,167.97 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 29.65 จุด (1.66 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,810.65 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 46.38 จุด (1.15 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,070.06 จุด

 

นักลงทุนเฝ้ารออย่างกังวลมานานหลายเดือนว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯจะแข็งแกรงพอที่จะเติบโตเองโดยไม่ต้องรับความช่วยเหลือจากเฟดหรือไม่ และการขยับขึ้นของตลาดในช่วงบ่ายก็ตอบคำถามนั้นได้เป็นอย่างดี "นักลงทุนต่างเห็นว่ามติลดระดับกระตุ้นเศรษฐกิจคือการโหวตเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจ" คริสตินา ฮูเฟอร์ หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์การลงทุนของอัลลิอันซ์ โกลบอล อินเวสเตอร์สกล่าว

 

อย่างไรก็ตามปัจจัยนี้ส่งผลให้ราคาทองคำวานนี้(18) ปิดบวกแค่เล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนคาดหมายมานานแล้วว่าเฟดจะลดระดับการเข้าซื้อพันธบัตรแค่เล็กน้อย เหลือแค่คำถามที่ว่าจะมีขึ้นเมื่อไหร่เท่านั้น โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 4.90 ดอลลาร์ (0.4 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,235.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

ด้านราคาน้ำมันวานนี้(18) ขยับขึ้นพอสมควร หลังรายงานคลังเชื้อเพลิงสหรัฐฯ บ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่แข็งแกร่งภายในชาติผู้บริโภครายใหญ่แห่งนี้

 

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูด ของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนมกราคม เพิ่มขึ้น 58 เซนต์ ปิดที่ 97.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 1.19 ดอลลาร์ ปิดที่ 109.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันมีขึ้นหลังจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA)ระบุว่าคลังน้ำมันดิบสำรองของประเทศในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 13 ธันวาคม ลดลงถึง 2.9 ล้านบาร์เรล เหนือกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหมายไว้ถึง 200,000 บาร์เรล

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การประชุมเฟด ทำให้รหัส 12,26,9 แบบดั้งเดิม และ รหัส 5,35,9 แบบ Signal เส้นดำเส้นแดง ปรับหัวเข้าหากันจากราคาทองที่แสดง ณ. จุด 1217.80 ตัวเลขนี้ ต้องระวังในความเชื่อด้วยว่า เป็นจริง ถูกต้องตามเหตุและผล เพราะว่า ในช่วงต้นๆ หลังจากผ่านเรื่องที่สำคัญ อย่างเช่นคราวนี้ ประชุมเฟด ความตกใจของนักลงทุนกลุ่มย่อยย่อมมี พอตกใจก็เทขาย เพราะเห็นสิ่งที่เฟดบอกมา ส่วนพวกขาใหญ่ น่าจะอ้ำๆ อึ้งๆ รอตรวจสอบข้อความต่างๆ ให้ถี่ถ้วนก่อนจะกระทำการใดๆๆ ทนได้ทน ไม่อยากทนเพราะเสียวก็ต้อง ตัดขาย ผมทนดีกว่า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รหัส 7,5,2 แบบไวไว ส่งสัญญานลบ ต่อราคาทอง เส้นสีแดงปรากฎด้านล่าง. แต่ผมก็ยังอ้างเหตุผลในความเห็นส่วนตัวแบบโพสต์ข้างบนว่า " เหตุการณ์ตกใจขาย Panic Sale ย่อมเกิดขึ้นได้เพียงชั่วคราว จากบรรดาขาย่อย ในสถานะยอดซื้อขายเบาบาง " ดังนั้น เมื่อขาใหญ่ได้มีการพิจารณามูลเหตุอันถี่ถ้วนของการปรับลดวงเงิน QE คราวนี้ 10,000 ล้านดอลล์ เริ่มเดือนมกราคม 2014 อาจมีความคิดเห็นแต่กต่าง นี่คือ ความคิดเห็นส่วนตัวของเด็กขายของ นะครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ราคาทองคำวานนี้(18) ปิดบวกแค่เล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนคาดหมายมานานแล้วว่าเฟดจะลดระดับการเข้าซื้อพันธบัตรแค่เล็กน้อย เหลือแค่คำถามที่ว่าจะมีขึ้นเมื่อไหร่เท่านั้น โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 4.90 ดอลลาร์ (0.4 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,235.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

 

ธนาคารกลางสหรัฐฯแถลงเมื่อวันพุธ(18) จะเริ่มต้นลดระดับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลงเดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนหน้า หลังพบเห็นการฟื้นตัวในเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน แต่ก็ยังอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำเพื่อหนุนการฟื้นตัวต่อไป

 

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ(FOMC) ระบุในถ้อยแถลงหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายเป็นเวลา 2 วันเมื่อวันพุธ(18) ว่าทางเฟดจะเข้าซื้อพันธบัตรรายเดือนเหลือเดือนละ 75,000 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นไป ลดลงจากการเข้าซื้อเดือนละ 85,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงราว 1 ปีที่ผ่านมา ในความพยายามกดให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวลดต่ำลงเพื่อกระตุ้นการเติบโตและการจ้างงาน

 

 

สภาสูงสหรัฐลงมติผ่านร่างงบประมาณ เลี่ยงภาวะชัตดาวน์

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 ธันวาคม 2556 06:08 น.

 

 

วุฒิสภาสหรัฐฯเมื่อวันพุธ(18) ลงมติผ่านข้อตกลงประนีประนอมงบประมาณสำหรับ 2 ปีข้างหน้า อันลดความเป็นไปได้ที่หน่วยงานภาครัฐอาจต้องปิดทำการอีกครั้ง คาดประธานาธิบดีบารัค โอบามา จะลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายก่อนที่จะเดินทางไปใช้ชีวิตวันหยุดพักผ่อนช่วงคริสต์มาสในวันศุกร์นี้(20)

 

ร่างกฎหมายนี้ ซึ่งผ่านความเห็นชอบด้วยคะแนน 64 ต่อ 36 เสียง จากการยกมือสนับสนุนของส.ว.รีพับลิกัน 9 รายและส.ว.ของเดโมแครตทั้งหมด เป็นการวางกรอบการใช้จ่ายสูงสุดสำหรับปี 2014 และ 2015 ขณะที่มันจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากมาตรการตัดลดรายจ่ายแบบเหมารวมโดยอัตโนมัติที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ 1 มกราคม

 

เป็นที่คาดหมายว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา จะลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายก่อนที่จะเดินทางไปใช้ชีวิตวันหยุดพักผ่อนช่วงคริสต์มาสในวันศุกร์นี้(20) ขณะที่ร่างกฎหมายนี้คือหนึ่งในความสำเร็จสำคัญๆอันท้ายๆของสภาครองเกรสในปี 2013 ซึ่งถือเป็นปีแห่งความทุกข์ยากของเหล่าสมาชิกสภาผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย

 

อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านงบประมาณทั้งจากวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรมีเวลาจนถึงวันที่ 15 มกราคม ในการตัดทอนการใช้จ่ายทั้งหลายให้อยู่ในกรอบภายใต้ข้อจำกัดใหม่ หรือไม่ก็อาจต้องเสี่ยงเจอกับภาวะชัตดาวน์อีกครั้งเหมือนเคยทำให้วอชิงตันเป็นอัมพาตมาแล้วเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 18 ธันวาคม 2556

 

ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 16,167.97 จุด เพิ่มขึ้น 292.71 จุด +1.84%

 

ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 4,070.06 จุด เพิ่มขึ้น 46.38 จุด +1.15%

 

ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 1,810.65 จุด เพิ่มขึ้น 29.65 จุด +1.66%

 

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,109.51 จุด เพิ่มขึ้น 40.87 จุด +1.00%

 

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,181.75 จุด เพิ่มขึ้น 96.63 จุด +1.06%

 

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,492.08 จุด เพิ่มขึ้น 5.89 จุด +0.09%

 

ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 8,349.04 จุด ลดลง 3.89 จุด -0.05%

 

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 5,096.10 จุด ลดลง 7.10 จุด -0.14%

 

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 15,587.80 จุด เพิ่มขึ้น 309.17 จุด +2.02%

 

ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 1,974.63 จุด เพิ่มขึ้น 8.89 จุด +0.45%

 

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดที่ 2,148.29 จุด ลดลง 2.79 จุด -0.13%

 

ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 5,961.55 จุด เพิ่มขึ้น 32.56 จุด +0.55%

 

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 23,143.82 จุด เพิ่มขึ้น 74.59 จุด +0.32%

 

ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 4,196.28 จุด เพิ่มขึ้น 13.93 จุด +0.33%

 

ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดที่ 1,847.50 จุด ลดลง 3.40 จุด -0.18%

 

ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 3,061.78 จุด ลดลง 5.79 จุด -0.19%

 

ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 20,859.86 จุด เพิ่มขึ้น 247.72 จุด +1.20%

 

-- ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ (18 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ลง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ในการประชุมครั้งล่าสุด พร้อมกับแสดงมุมมองที่เป็นบวกว่าเศรษฐกิจและการจ้างงานฟื้นตัวดีขึ้น

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,167.97 จุด เพิ่มขึ้น 292.71 จุด หรือ +1.84% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,070.06 จุด เพิ่มขึ้น 46.38 จุด หรือ +1.15% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,810.65 จุด เพิ่มขึ้น 29.65 จุด หรือ +1.66%

 

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (18 ธ.ค.) ก่อนที่นักลงทุนจะรับทราบผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งนี้

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 4.9 ดอลลาร์ หรือ 0.40% ปิดที่ 1,235 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 21.9 เซนต์ ปิดที่ 20.059 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 1.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 1342.70 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปรับตัวลง 1.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 699.45 ดอลลาร์/ออนซ์

 

-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (18 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ลง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ในการประชุมครั้งล่าสุด นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ยังได้รับแรงหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ร่วงลงเกินคาดในรอบสัปดาห์ที่แล้ว

 

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 58 เซนต์ ปิดที่ 97.8 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 1.19 ดอลลาร์ ปิดที่ 109.63 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

-- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (18 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ลง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ในการประชุมครั้งล่าสุด โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนม.ค.ปีหน้า

 

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 103.60 เยน จากระดับ 102.67 เยน และแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.8884 ฟรังค์ จากระดับ 0.8850 ฟรังค์

 

ยูโรอ่อนค่าลงแตะระดับ 1.3751 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3767 ดอลลาร์สหรัฐ เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะ 1.6422 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6265 ดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะระดับ 0.8872 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8898 ดอลลาร์สหรัฐ

 

-- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (18 ธ.ค) ในขณะที่นักลงทุนจับตาผลการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีกำหนดจะประกาศภายหลังจากที่ตลาดหุ้นลอนดอนปิดทำการไปแล้ว

 

ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 6,492.08 จุด เพิ่มขึ้น 5.89 จุด, +0.09%

-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (18 ธ.ค.) ขณะที่นักลงทุนจับตาดูผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการก่อนที่เฟดจะแถลงมติการประชุม ขณะมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งนี้

 

ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.9% ปิดที่ 313.99 จุด

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,109.51 จุด เพิ่มขึ้น 40.87 จุด หรือ +1.00% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,181.75 จุด เพิ่มขึ้น 96.63 จุด หรือ +1.06% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,492.08 จุด เพิ่มขึ้น 5.89 จุด หรือ +0.09%

 

ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 19 ธันวาคม 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ธนาคารกลางสหรัฐฯ ตัดสินใจลดประมาณการซื้อพันธบัตรลง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน โดยจะเริ่มตั้งแต่ม.ค. ปีหน้า...

 

สำนัก ข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สรุปผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายเป็นเวลา 2 วัน (17-18 ธ.ค.) ในกรุงวอชิงตันดีซี ประกาศแผนชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะลดประมาณการซื้อพันธบัตร ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ลง 1 หมื่นล้านดอลลารห์สหรัฐ โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนม.ค. 2014

 

การตัดสินใจของเฟดชี้ให้เห็นว่า ธนาคารกลางเชื่อมั่นว่าในที่สุดเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็แข็งแกร่งพอ จนได้ต้องการความช่วยเหลืออย่างมากอีกต่อไป โดย เฟด เผยสาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาจากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

 

ขณะเดียวกัน เฟดยังคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้า ว่าสถานการณ์การจ้างงานจะดีขึ้นเร็วกว่าที่เคยคาดเอาไว้ โดยอัตราว่างงานจะลดลงจากปัจจุบันที่ 7% เหลือเพียง 6.3% ในปี 2014

 

ทั้ง นี้ เบน เบอร์นันเก ประธานเฟดซึ่งกำลังจะหมดวาระในเดือน ม.ค. กล่าวในงานแถลงข่าวว่า หากข้อมูลเศรษฐกิจหลังจากนี้สนับสนุน การสนับสนุนการจ้างงานของคณะกรรมการนโยบาล เฟดก็อาจจะลดการซื้อพันธบัตรลงอีกในการประชุมในอนาคต อย่าไรก็ตาม เขาย้ำว่า ยังไม่มีความแน่นอนใดๆในเรื่องนี้ และทุกอย่างขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ตามมา

 

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ (19/12/2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รัฐสภายุโรป บรรลุข้อตกลงทางการเมืองกับผู้นำอียู ตั้งกองทุนค้ำประกันเงินฝาก

 

รัฐสภา ยุโรปแถลงว่า เงินฝากต่ำกว่า 1 แสนยูโร หรือราว 4,110,000 บาท ที่รัฐบาลให้คำมั่นตั้งแต่ปี 2553 จะได้รับการคุ้มครองโดยกองทุนที่ก่อตั้งขึ้นโดยธนาคารเอง ผลที่ตามมาคือผู้จ่ายภาษีไม่ต้องถูกเรียกร้องให้ช่วยเหลือธนาคารที่มีปัญหา อีกต่อไป และอนาคตของของธนาคารที่มีปัญหาเหล่านี้จะมีการถกกันในกรอบสหภาพธนาคารของอี ยู ที่ปัจจุบันกำลังเจรจาเรื่องแนวทางตรวจสอบ ปรับโครงสร้าง และหากจำเป็นก็ต้องปิดธนาคารก่อนสร้างความเสียหายให้เศรษฐกิจในวงกว้าง

 

รัฐสภา ยุโรปแถลงด้วยว่า ข้อตกลงดังกล่าวกำหนดให้รัฐสมาชิกตั้งกองทุนค้ำประกันเงินฝากมูลค่า 0.8% ของเงินฝากที่ต้องปกป้องทั้งหมดภายใน 10 ปี และผู้ฝากเงินจะได้รับเงินของตนภายในเจ็ดวันทำการ ปรับปรุงจากข้อเสนอเดิมที่ 20 วัน

 

คณะกรรมาธิการตลาดการ เงินอียู "นายไมเคิล บาร์เนียร์" ผู้เสนอแนวคิดนี้เป็นคนแรกเมื่อสามปีก่อน ยินดีกับความคืบหน้าในการเพิ่มการคุ้มครองผู้ฝากเงิน และระบุว่าเป็นความก้าวหน้าสำคัญอีกประการหนึ่งที่จะนำไปสู่เสถียรภาพทางการ เงิน

 

ระบบค้ำประกันเงินฝากเป็นแกนหลัก 1 ใน 3 ของสหภาพธนาคาร หลังจากมีการตกลงกันได้เรื่องกลไกดูแล และกำลังหารือกันเรื่องกลไกแก้ปัญหา

 

ที่มา: money channel (วันที่ 19 ธค.56)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

19 ธันวาคม 2556 07:39

เฟดประกาศลดขนาดคิวอี1หมื่นล้านดอลล์

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

เฟดประกาศลดระดับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเดือนละ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ เปิดฉากเดือนม.ค.57 หลังเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มผงกหัว

 

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงเมื่อวันพุธ (18 ธ.ค.) จะเริ่มต้นลดระดับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลงเดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนหน้า หลังพบเห็นการฟื้นตัวในเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน แต่ก็ยังอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำเพื่อหนุนการฟื้นตัวต่อไป

 

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ(FOMC) ระบุในถ้อยแถลงหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายเป็นเวลา 2 วันเมื่อวันพุธ(18) ว่าทางเฟดจะเข้าซื้อพันธบัตรรายเดือนเหลือเดือนละ 75,000 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นไป ลดลงจากการเข้าซื้อเดือนละ 85,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงราว 1 ปีที่ผ่านมา ในความพยายามกดให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวลดต่ำลงเพื่อกระตุ้นการเติบโตและการจ้างงาน

 

http://www.bangkokbiznews.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (18 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ลง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ในการประชุมครั้งล่าสุด โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนม.ค.ปีหน้า

 

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 103.60 เยน จากระดับ 102.67 เยน และแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.8884 ฟรังค์ จากระดับ 0.8850 ฟรังค์

 

ยูโรอ่อนค่าลงแตะระดับ 1.3751 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3767 ดอลลาร์สหรัฐ เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะ 1.6422 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6265 ดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะระดับ 0.8872 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8898 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นหลังจากเฟดมีมติปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิง ปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งล่าสุดซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวานนี้ ด้วยการปรับลดวงเงินการซื้อพันธบัตรลง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน จากเดิมที่ระดับ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน

 

เฟดระบุว่า สาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจปรับลดวงเงิน QE ในครั้งนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้น และตลาดแรงงานฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและตัวเลขการลงทุนทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดที่อยู่อาศัยชะลอตัวลงในบางพื้นที่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

 

สกุลเงินเยนอ่อนค่าลงหลังจากกระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ญี่ปุ่นมียอดขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นแตะ 1.2929 ล้านล้านเยนในเดือนพ.ย. หลังจากยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 21.1% ขณะที่ยอดส่งออกเพิ่มขึ้นเพียง 18.4%

 

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐล่าสุดที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดเงิน นิวยอร์กนั้น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนพ.ย.ขยายตัว 22.7% จากเดือนต.ค. สู่ระดับ 1,091,000 ยูนิต ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และสูงที่สุดในรอบเกือบ 6 ปี โดยได้รับแรงหนุนจากการสร้างบ้านสำหรับครอบครัวเดี่ยวและบ้านสำหรับหลายครอบ ครัวที่ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 19 ธันวาคม 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มติที่ประชุมเฟดลดระดับQEแค่เล็กน้อย ดันหุ้นมะกันทุบสถิติ-ทองคำบวก น้ำมันขยับขึ้น

blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 ธันวาคม 2556 04:31 น.

 

 

blank.gif 556000016265301.JPEG เบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) แถลงถึงมติของที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายที่ตัดสินใจลดระดับกระตุ้นเศรษฐกิจ blank.gif เอเอฟพี/เอพี - ธนาคารกลางสหรัฐฯแถลงเมื่อวันพุธ(18) จะเริ่มต้นลดระดับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลงเดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนหน้า หลังพบเห็นการฟื้นตัวในเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน แต่ก็ยังคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำเพื่อหนุนการฟื้นตัวต่อไป ทั้งนี้เหตุผลของการฟื้นตัวนี้เองที่ปัดเป่าความกังวลของนักลงทุนเป็นผลให้ วอลล์สตรีทพุ่งแรงจนทุบสถิติสูงสุดตลอดกาลรอบใหม่ ส่วนทองคำก็บวก ขณะที่น้ำมันขึ้นเล็กน้อย จากข้อมูลคลังเชื้อเพลิงสำรองของอเมริกา

 

 

 

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ(FOMC) ระบุในถ้อยแถลงหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายเป็นเวลา 2 วันเมื่อวันพุธ(18) ว่าทางเฟดจะเข้าซื้อพันธบัตรรายเดือนเหลือเดือนละ 75,000 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นไป ลดลงจากการเข้าซื้อเดือนละ 85,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงราว 1 ปีที่ผ่านมา ในความพยายามกดให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวลดต่ำลงเพื่อกระตุ้นการเติบโตและการ จ้างงาน

 

"เนื่องจากมีพัฒนาการมากขึ้นในการมุ่งสู่การจ้างงานสูงสุดและในแนว โน้มของการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดของสภาวะตลาดแรงงาน ทางคณะกรรมการจึงตัดสินใจลดระดับอัตราการเข้าซื้อสินทรัพย์ลงเล็กน้อย" FOMC ระบุในถ้อยแถลง

 

หากไม่นับรวมการตัดลดรายจ่่ายของรัฐบาลกลางแล้ว ทางคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดบอกว่านับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการเข้า ซื้อพันธบัตรปัจจุบัน พวกเขาพบเห็นการฟื้นตัวอย่างมั่นคงในกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสภาวะของตลาดแรง งาน ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ด้วยการเติบโตนั้นตอกย้ำถึงความเข้มแข็งในเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง

 

ขณะเดียวกันทางเฟด ยังได้ประมาณการณ์ทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ ด้วยคาดคะเนว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) น่าจะเติบโตระหว่างร้อยละ 2.8 ถึง 3.2 จากเดิมที่เคยประมาณการณ์ไว้เมื่อเดือนกันยายนว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 2.9-3.1 ส่วนในตลาดแรงงานนั้น ประมาณการณ์ว่าอัตราคนว่างงานที่อยู่ในระดับร้อยละ 7.0 ในปัจจุบัน จะลดลงสู่ระดับระหว่างร้อยละ 6.3-6.6 ในช่วงสิ้นปีหน้า ดีขึ้นจากการคาดคะเนคราวก่อนว่าจะอยู่ราวๆร้อยละ 6.4-6.8

 

นอกจากนี้แล้ว ก็เป็นไปตามคาดหมายว่าเฟดตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำที่ 0.0 ถึง 0.25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นอัตราที่คงมาเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างมั่นคง

 

การปรับลดโครงการเข้าซื้อพันธบัตรสู่เดือนละ 75,000 ล้านดอลลาร์ แม้จะเป็นก้าวย่างเล็กๆแต่ก็มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เพราะนั่นหมายความว่าเหล่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด ได้ส่งสัญญาณพร้อมผ่อนคลายมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจพิเศษนี้นับตั้งแต่ภาวะถด ถอยรุนแรงเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 6 ปีก่อน

 

โรเบิร์ต เพอร์ลี อดีตนักเศรษฐศาสตร์ของเฟด ซึ่งตอนนี้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยนโยบายทางการเงินของคอร์เนอร์ส โคน มาร์โก ให้ความเห็นว่า "ความเคลื่อนไหวนี้ได้กำจัดความไม่แน่นอนว่าเฟดจะลดระดับกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อไหร่และมากน้อยแค่ไหน และเปิดโอกาสให้ตลาดเพ่งเล็งไปยังประเด็นที่แท้จริงอื่นๆ นั้นคือแนวโน้มของเศรษฐกิจ" อย่างไรก็ตามนายเพอร์ลี เน้นว่าเฟดยังไม่ได้ถอนการสนับสนุนเศรษฐกิจไปเสียทั้งหมด ด้วยการยังคงอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดในประวัติศาสตร์เอาไว้

 

เบื้องต้นถ้อยแถลงของธนาคารสหรัฐฯฉุดให้วอลล์สตรีท ขยับลงทันทีหลังจากทราบข่าว อย่างไรก็ตามจากนั้นก็ดีดตัวขึ้นแรง ด้วยดาวโจนส์ปิดบวกกว่า 200 จุด ทุบสถิติสูงสุดตลอดกาลรอบใหม่เช่นเดียวกับเอสแอนด์พี เนื่องจากในการตัดสินใจลดระดับการกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟด ได้อ้างเหตุผลถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

 

ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 292.71 จุด (1.84 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 16,167.97 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 29.65 จุด (1.66 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,810.65 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 46.38 จุด (1.15 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,070.06 จุด

 

นักลงทุนเฝ้ารออย่างกังวลมานานหลายเดือนว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯจะแข็ง แกรงพอที่จะเติบโตเองโดยไม่ต้องรับความช่วยเหลือจากเฟดหรือไม่ และการขยับขึ้นของตลาดในช่วงบ่ายก็ตอบคำถามนั้นได้เป็นอย่างดี "นักลงทุนต่างเห็นว่ามติลดระดับกระตุ้นเศรษฐกิจคือการโหวตเชื่อมั่นต่อภาวะ เศรษฐกิจ" คริสตินา ฮูเฟอร์ หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์การลงทุนของอัลลิอันซ์ โกลบอล อินเวสเตอร์สกล่าว

 

อย่างไรก็ตามปัจจัยนี้ส่งผลให้ราคาทองคำวานนี้(18) ปิดบวกแค่เล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนคาดหมายมานานแล้วว่าเฟดจะลดระดับการเข้าซื้อ พันธบัตรแค่เล็กน้อย เหลือแค่คำถามที่ว่าจะมีขึ้นเมื่อไหร่เท่านั้น โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 4.90 ดอลลาร์ (0.4 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,235.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

ด้านราคาน้ำมันวานนี้(18) ขยับขึ้นพอสมควร หลังรายงานคลังเชื้อเพลิงสหรัฐฯ บ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่แข็งแกร่งภายในชาติผู้บริโภครายใหญ่แห่งนี้

 

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูด ของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนมกราคม เพิ่มขึ้น 58 เซนต์ ปิดที่ 97.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 1.19 ดอลลาร์ ปิดที่ 109.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันมีขึ้นหลังจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศ ด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA)ระบุว่าคลังน้ำมันดิบสำรองของประเทศในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 13 ธันวาคม ลดลงถึง 2.9 ล้านบาร์เรล เหนือกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหมายไว้ถึง 200,000 บาร์เรล

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ หลังเฟดมีมติปรับลด QE 1 หมื่นล้านดอลลาร์ เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น

 

ดัชนี MSCI Asia Pacific บวก 0.3% แตะที่ระดับ 138.70 จุด เมื่อเวลา 9.19 น.ตามเวลาโตเกียว

 

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 15,809.43 จุด เพิ่มขึ้น 221.63 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,153.67 จุด เพิ่มขึ้น 5.38 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,404.45 จุด เพิ่มขึ้น 260.63 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 8,400.39 จุด เพิ่มขึ้น 51.35 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,996.79 จุด เพิ่มขึ้น 22.16 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,083.44 จุด เพิ่มขึ้น 21.66 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 6,023.40 จุด เพิ่มขึ้น 61.85 จุด และดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,847.14 จุด ลดลง 0.36 จุด

 

หุ้นโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป บวก 1.3% ในโตเกียว และหุ้นคาลเท็กซ์ ออสเตรเลีย ทะยาน 10% ในซิดนีย์

 

ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งล่าสุดซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวานนี้ ด้วยการปรับลดวงเงินการซื้อพันธบัตรลง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน จากเดิมที่ระดับ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน หลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้น โดยเฟดจะเริ่มดำเนินการดังกล่าวตั้งแต่เดือนม.ค.ปีหน้า

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 19 ธันวาคม 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

::

ขอบคุณค่ะคุณป๋า ตื่นเต้นจัง นำแข็งบนยอดหญ้าเป็นหลอดไม่เคยเห็น แบบนี้อาจมีปรากฎการณ์ที่คาดไม่ถึง เช่นทองพุ่งปรี๊ด อิอิ :uu

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บาทอ่อน : นึกภาพไม่ออกว่า ถ้าอีก 2-3 วันข้างหน้า คนไทยแห่กันไปถอนเงินออกจากธนาคารหนึ่ง ย้ายไปฝากอีกธนาคารแบบหนึ่ง จะเกิดสถานการณ์อะไรขึ้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

3-4 วันนี้ ในกรุงเทพมหานคร โซน ถนนเพชรบุรี ถนนสุขุมวิท ถนนพระราม 4 สีลม เยาวราช จะต้องเผขิญเหตุการณ์ และได้มีคำชี้แจงเพื่อความเข้าใจ -เพื่อนส่งมาให้ ถูกใจมากมาย

 

ขอเขียนครั้งสุดท้าย ถึงผู้รำคาญ

ม๊อบ เพื่อความเข้าใจกันและกัน

 

1. ผมเคารพสิทธิ์พวกคุณ คุณไม่เห็นด้วย ไม่มาสู้กับพวกผมก็ไม่เป็นไร

 

2. พวกผมไม่ได้อยากออกสู่ท้องถนน ใครๆ ก็รู้ นั่ง นอน เที่ยว ดูหนัง ดูคอนเสิร์ต สนุกและสบายกว่าตั้งเยอะ พวกผมไม่ได้ออกมาเพื่อนักการเมือง และนักการเมืองก็ไม่สามารถสั่งพวกผมได้ แต่เราออกมาเพราะบ้านนี้ เมืองนี้ มีรัฐบาลที่ชั่วและไร้สามัญสำนึก ไม่ว่าเป็นพรรคไหน ถ้าทำชั่วเช่นนี้ พวกเราก็จะไล่

 

3. กลไกที่มีอยู่ตามปกติ ไม่สามารถจัดการได้ เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่มีผลใดๆ ยังไงมันก็ยกมือให้พวกเดียวกัน การตัดสินของศาลในทางที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล รัฐบาลก็ยอมรับอำนาจศาล แต่ถ้าตัดสินเป็นโทษต่อรัฐบาล รัฐบาลประกาศไม่ยอมรับ

 

4.พวกผมที่ออกมาเดินตามท้องถนน 10 คนใช้พื้นที่ถนนเท่ากับคุณคนเดียวที่ขับรถออกมาแล้วบ่นว่ารถติด

 

5. สังคมเราใช้คำว่าเป็นกลางอย่าง

พร่ำเพรื่อ โดยไม่ดูบริบท ความเป็นกลางควรมีในกรณีที่เหมาะสม เช่น ศาล ที่ตัดสินคดีระหว่างคู่ขัดแย้ง 2 ฝ่าย ต้องมีความเป็นกลาง, ประธานรัฐสภาที่ควบคุมกาอภิปราย ควรมีความเป็นกลาง แต่ในกรณีของโจรข่มขืน กับ เหยื่อที่กำลังจะโดนข่มขืน เมื่อคุณเห็นเหตุการณ์คุณเป็นกลางไม่ได้ ..ทุกวันนี้คุณก็เห็นๆ กันอยู่ ว่าประเทศโดนข่มขืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนคุณที่ไม่เห็น ถือว่าจบ ..เลิกอ่านไปเลย

 

6. เราใช้คำว่า"เห็นต่าง" อย่างพร่ำเพรื่ออีกเช่นกัน คำว่า"เห็นต่าง"ใช้ในกรณีที่ความเห็นแต่ละฝ่ายไม่ตรงกัน ในเรื่องที่ไม่สามารถตัดสินถูกผิดได้ เช่น แนวทางการรักษาคนไข้ เห็นไม่ตรงกันระหว่างแพทย์ต่างสาขา โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็เจตนาจะช่วยผู้ป่วย แต่ในเรื่องที่มันชัดเจนในตัวอยู่แล้ว เช่น การโกงคะแนนโหวต การเสียบบัตรแทนกัน การปลอมแปลงเอกสาร การออกกฎหมายเพื่อประโยชน์พวกพ้อง การแสดงความไม่ยอมรับกฏหมาย สิ่งเหล่านี้ เราควรจะเห็นตรงกันไม่ใช่เหรอครับ ว่า เราไม่ยอมรับ

 

7. คำว่า"เป็นกลาง" และ คำว่า

"เห็นต่าง" ถูกนำมาบิดเบือนให้เราอยู่เฉยๆ ในเรื่องที่ไม่ควรเป็นกลาง และไม่ควรเฉย

 

8. สังคมไทยถูกปลูกฝัง โดยนักเลือกตั้ง ว่า

เลือกตั้ง = ประชาธิปไตย โดยที่ฝ่ายชนะเลือกตั้ง ไม่สนใจองค์ประกอบสำคัญอื่นๆ ของประชาธิปไตยเลย เช่น การมีส่วนร่วมของประชาชน การถ่วงดุลอำนาจ ความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ การเคารพในเสียงของคนส่วนน้อย

 

9. ถ้ามีรัฐบาลไหน อยากชนะเลือกตั้ง แล้วออกนโยบายประชานิยม เอาใจคนจน เช่น รับจำนำข้าวในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด ชาวนาที่ไหน ก็ต้องเลือก เพราะชาวนาได้ประโยชน์ แต่ประเทศขาดทุนย่อยยับปีละ 2 แสนล้าน โดยที่ระยะยาว ชาวนาไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้เลย คล้ายกับรัฐบาลจับชาวนาเป็นตัวประกัน ว่าเลือกตั้งครั้งหน้า ก็ต้องเลือกพรรคเรานะ ไม่งั้นพวกแกจะไม่สามารถขายข้าว

ได้เงินง่ายๆ แบบนี้อีก ถามว่าคะแนนเสียงที่ได้มาแบบนี้ เอามาอ้างความเป็นประชาธิปไตยได้ด้วยเหรอ

 

10. เมื่อรัฐบาลใช้ประชานิยม มอมเมาประชาชนระดับรากหญ้า ซึ่งมีจำนวนมาก จนเป็นง่อย ไม่สามารถยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ ประชาชนก็จะอยู่ภายใต้การสั่งการ

ของรัฐบาล แต่รัฐบาลจะเอาเงินที่ไหน มาทำแบบนี้ไปได้ตลอด พอใช้เงินมือเติบ ก็จะไปกู้เงินมา 2.2 ล้านล้าน (โดยให้พวกเราทำงาน หาเงิน จ่ายภาษีใช้หนี้ที่พวกเค้าไปกู้) ทั้งๆ ที่ถ้าแค่เลิกโครงการประชานิยมซักโครงการ เช่นโครงการจำนำข้าวที่ขาดทุน

ปีละ 2 แสนล้าน เพียง 11 ปี เราก็จะได้เงิน เท่ากับจำนวนเงินที่รัฐบาล

จะไปกู้ให้เป็นหนี้นานไม่น้อยกว่า 50 ปี เงินส่วนต่างที่ไม่ต้องเสียไปกับการจำนำข้าวนี้สามารถนำมาพัฒนาการศึกษา พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้มากมาย แต่รัฐบาลไม่มีวันเลิกโครงการนี้ เพราะเค้าไม่ได้เห็นประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้งเค้าเห็นแต่ประโยชน์ของตนเอง

 

11. รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนี้

ไม่ใช่เหรอที่ลักหลับประชาชน

ออกกฎหมายล้างผิดให้พวกพ้องตน

ตอนตี4 รัฐบาลที่มาจากการ

เลือกตั้งนี้ ไม่ใช่เหรอ ที่ดาหน้าออกมาประกาศไม่ยอมรับคำตัดสินศาล รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนี้

ไม่ใช่เหรอ ที่จับประชาชนเป็นตัวประกันไว้กับโครงการประชานิยม เพื่อให้ประชาชนเป็นทาสเค้า และเลือกเค้าตลอดไป รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนี้ไม่ใช่เหรอ ที่แก้รัฐธรรมนูญเอื้อให้พรรคพวกตัวเอง สามารถสมัคร สว. ซ้ำได้โดยไม่ต้องเว้นวรรค และยังให้สังกัดพรรคการเมืองได้ ดังนั้น ถ้าแค่ยุบสภา แล้ว เลือกตั้งใหม่ มันจะต่างอะไรกับตอนนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องการปฏิรูปการเมือง ให้มันสะอาดกว่านี้

 

12. ถึงข้อนี้แล้ว ถ้าคุณยังเห็นว่ารัฐบาลยังควรอยู่ในตำแหน่งต่อไป ก็จบครับ ไม่ต้องอ่านต่อ.. แต่ถ้าคุณก็รู้สึก ว่า รัฐบาลนี้ มันเกินไปแล้วจริงๆ ควรแสดงความรับผิดชอบ ก็ออกมาร่วมกันขับไล่มันครับ

 

13. ถ้าคุณเห็นว่า รัฐบาลควรออกไป แต่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม กรุณาให้แนวทางอื่นที่เป็นไปได้ด้วยครับ ว่า จะให้ทำยังไง

 

14. ถ้าคุณยังคิดคำตอบข้อ 13 ไม่ออก ก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะมันไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้แล้วจริงๆ

ทางนี้ เจ็บน้อยที่สุด และ หวังประโยชน์ได้สูงสุดแล้วครับ

 

15. สำหรับท่านที่รอพึ่งกฎแห่งกรรม คิดไปว่าเดี๋ยวนักการเมืองชั่ว ก็จะได้รับผลกรรมเอง เดี๋ยวพระสยามเทวาธิราชจะลงโทษพวกมันเอง ผมอยากฝากไว้ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นั้น จริงครับ แต่อย่าลืมครับว่า ทำเฉยก็ได้เฉยครับ ถ้าเราอยากมีสังคมที่ดีขึ้น ต้องช่วยกันลงมือทำเองครับ อย่ารอสิ่งศักดิ์สิทธิ์

 

16. ข้อนี้เพิ่มเข้ามาใหม่ เดิมทีว่าจะไม่เขียน แต่คิดว่าสำคัญและจำเป็นต้องเขียน คือคำว่า "รักพ่อ สงสารพ่อ อย่าทะเลาะกัน" อันนี้ถูกครับ แต่อย่าเอามาแปลใช้ในทางที่ผิด ทุกคนในประเทศนี้เกือบทั้งหมด รักพ่อพระองค์เดียวกัน เพิ่งมีไม่นานมานี้ ที่มีคนเลวกลุ่มหนึ่งได้กระทำการปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชัง เกิดการหมิ่นสถาบันอย่างไม่เคยมีมาก่อน ผมคาดว่า สาเหตุจูงใจที่คนกลุ่มนี้ ทำแบบนี้ เพราะเค้ามองว่าสถาบันกษัตริย์ เป็นอุปสรรคในการยึดครองประเทศของเค้า เนื่องจาก พ่อของเรา ทรงตรากตรำเพื่อลูกๆ มาเกือบ 70 ปี เพื่อให้ลูกๆ ของพระองค์พึ่งพาตัวเองได้ ทั้งการพัฒนาดิน การพัฒนาแหล่งน้ำน้ำ การคิดฝนเทียมตามหลักวิทยาศาสตร์ การส่งเสริมสหกรณ์เพิ่มความเข้มแข็งของชุมชน พระราชทานองค์ความรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ พระราชทานปรัชญาความพอเพียง เพื่อให้ลูกๆ ของพระองค์พึ่งพาตนเองได้ จะได้ร่วมกันพัฒนาชาติ และ"ไม่ตกเป็นเครื่องมือของใคร" ทรงเป็นศูนย์รวมความรักและสามัคคีของคนในชาติ เมื่อมีกลุ่มคนที่ต้องการหลอกใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ ต้องการกดประชาชนไว้ให้ตกเป็นทาสในคราบคำว่าประชาธิปไตย สิ่งที่เค้าต้องทำคือ แจกประชานิยมมอมเมาคนจน ขัดขวางการพัฒนาการศึกษาและศีลธรรมเพื่อให้คนเหล่านี้ ไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปาก สร้างนิสัยผิดๆ เช่น เอาเงินไปให้ เอาสิ่งสำเร็จรูปไปให้ สร้างความเกลียดชังและแตกแยก ด้วยการปลุกปั่นเรื่องชนชั้นไพร่ อำมาตย์ รวมถึงสร้างข่าวเท็จเพื่อทำลายสถาบันสูงสุด คนกลุ่มนี้ต้องการแค่มวลชนที่ว่าง่ายเป็นฐานสนับสนุน จัดมวลชนของตัวเอง มาปะทะกับฝ่ายที่ต่อต้านตัวเอง ยิ่งแตกแยก คนกลุ่มนี้ยิ่งได้ประโยชน์ เพราะเค้าไม่แคร์คนที่รู้ทันเค้าอยู่แล้ว ถ้าจะบอกว่ารักพ่ออย่าทะเลาะกัน งั้นตำรวจก็คงไม่ต้องสู้กับคนร้ายสิครับ, เห็นผู้หญิงกำลังจะโดนข่มขืน เราก็ไม่ต้องไปทะเลาะกับโจรใช่มั้ยครับ เพราะเรารักพ่อ ก็เลยต้องไม่ทะเลาะกัน การใช้คำว่า "รักพ่อ อย่าทะเลาะกัน" ต้องใช้ให้ถูกสถานการณ์ ซึ่งควรหมายถึง ประชาชนอย่างเราๆ อย่ามาทะเลาะกัน อย่ามาแตกความสามัคคีกัน เพียงเพื่อปกป้องนักการเมืองชั่วๆ และปกป้องเศษผลประโยชน์ที่นักการเมืองแบ่งปันให้พวกตน ซึ่งสิ่งที่พวกผมออกมาสู้ตามท้องถนน เราไม่ได้ต้องการสู้กับคนไทยด้วยกัน เราออกมาสู้กับโจรที่มันครองอำนาจรัฐ ช่วงแรกๆ พวกผมออกมา และส่งเสียงไปหารัฐบาล ขอการแสดงความรับผิดชอบจากรัฐบาล แต่รัฐบาลหน้าด้าน อ้างเสียงเลือกตั้งเท่านั้น จึงมีการยกระดับการกดดัน นอกจากคำว่ารักพ่ออย่าทะเลาะกัน อย่าลืมพระบรมราโชวาท ที่สำคัญ และเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้ คือ "ในบ้านเมือง มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ แต่ต้องส่งเสริมคนดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจมาก่อความเดือดร้อนวุ่นวายไ้ด้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...