ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ให้คะแนนยังไงน้า?

อยาก แจกคะแนนคุณฝน ที่มาช่วยลง แต่ไหนๆแล้ว ก็แจกให้ครบทุกคนเลยละกัน เดี๋ยวมีน้อยใจกัน

 

ว่าแต่ยังแจกไม่เป็นนะสิ

 

ใครสอนวิธีแจก ให้ 2 คะแนน กะให้คุณฝน 2 คะแนน ฮิฮิ

 

SET น่าสนนะ เดี๋ยวลุยเพิ่ม

 

 

:blink: :blink: ขอบคุณค่ะ กำลัง งง เหมือนกันว่าคือเลขอารายอ่า :lol: :lol:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณค่ะ !thk

ให้คะแนนนักข่าวคุณฝน + 1 ที่มีข่าวมานำเสนอทุกวันค่ะ วันนี้มีแค่ 1 คะแนนเอง ทำไมน้อยจัง !hh

 

!_087 !_087 !_087

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณพี่ตวนมากๆค่ะ ฝนจะเป็นนักเรียนที่ดี อิอิ จะตั้งใจเรียน สัญญาม่ายหลับ :D :D

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เฮอ เฮอ อยากอ่านก็อยากอ่าน อยากดูโปรตุเกส กับบราซิลก็อยากดู :unsure: :unsure:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แวบไปดูอีกคู่เป็นระยะๆ สงสารเกาหลีเหนือรอบที่แล้ว

เลยแอบเชียร์นิดๆ (ขอแค่ไม่ให้จบน่าเกลียดนัก)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข่าว TRUBB

 

TRUBBสวยเด้งรับสตอรี่เพียบ

 

TRUBB พุ่งทะยานขึ้นชนเพดานสวนตลาด ก่อนซื้อขายราคาพาร์ใหม่ในวันจันทร์หน้า แถมข่าวดีเพียบ จ่ายปันผลทั้งหุ้นและเงินสด รวม 0.667 บาท วันที่ 20 ก.ค. ด้าน TRUBB รับผลงาน Q2/53 อ่อนตัวลงจาก Q1/53 เหตุเป็นไปตามฤดูกาล แต่ทั้งปีมั่นใจรายได้-กำไร ดีกว่าปีก่อน หลังQ1/53มีกำไรแล้ว 195.16 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีกำไร119.14ล้านบาทขณะที่โบรกเกอร์คาดปีนี้จะทำกำไรสูงสุด ตั้งแต่ตั้งบริษัทรับราคายางพาราขาขึ้น ธนชาต ประเมินเบื้องต้นราคาก่อนแตกพาร์ 140-160 บาท Upside 70% ขณะที่ CGS-CNS แนะหลีกเลี่ยง เหตุราคาพุ่งแรง ด้าน CNS ให้แนวต้าน 120-130 บาท

 

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) หรือ TRUBB พุ่งสวนตลาด หลังมีข่าวดีเพียบ ทั้ง ไฟเขียวแตกพาร์เหลือพาร์ละ 1 บาท พร้อมปันผลเป็นหุ้นและเงินสด รวม 0.667บาท

 

หลังที่ประชุมผู้ถือหุ้น TRUBB วันที่ 22 มิ.ย. 2553 มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผล และหุ้นปันผลระหว่างกาลจากกำไรสะสมของบริษัท ในอัตราหุ้นละ 0.66666667 บาท(คำนวณจากจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเปลี่ยน แปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้เป็นหุ้นละ 1.-บาทแล้ว) โดยจ่ายเป็นหุ้นปันผลและเงินสดปันผลดังต่อไปนี้

 

-จ่ายเป็นหุ้นปันผลในอัตรา 5 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 3 หุ้นสามัญใหม่หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 0.60 บาทต่อหุ้น โดยคำนวณจากมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1.- บาท ในกรณีที่มีเศษของหุ้นต่ำกว่า 5 หุ้น ให้จ่ายปันผลเป็นเงินสดแทนในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท

 

- จ่ายเป็นเงินสดปันผลในอัตราหุ้นละ 0.06666667 บาท เพื่อรองรับภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่เกิดจากการจ่ายหุ้นปันผล โดยคำนวณจากมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1.-บาท

ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นจะได้รับปันผลในรูปหุ้นและเงินสดรวมเป็นเงิน 0.66666667 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินที่บริษัทต้องจ่ายในครั้งนี้จำนวนทั้งสิ้น 181,754,040 บาท โดย

 

- จ่ายจากกำไรสะสมที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 25 และบริษัทจะหักภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับเงินได้จากการได้รับหุ้นปันผล และเงินสดปันผลในอัตราร้อยละ 10 โดยจะ

หักเงินจากเงินปันผลที่จ่ายเป็นเงินสด

กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับหุ้นปันผลและเงินสดปันผลในวันที่ 2 กรกฎาคม 2553 และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ โดย

วิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 5 กรกฎาคม 2553 และกำหนดจ่ายหุ้นปันผลและเงินสดปันผลในวันที่ 20 กรกฎาคม 2553

 

ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ(ตลท.)ได้แจ้งว่า ตามที่ บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) หรือ TRUBB ได้เปลี่ยนแปลงราคาพาร์จากเดิมหุ้นละ 10 บาทเป็นหุ้นละ 1 บาทนั้น บัดนี้ ตลท.ได้รับแจ้งว่าบริษัทได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นที่ เรียบร้อยแล้ว จึงเห็นควรให้หลักทรัพย์TRUBB มีการซื้อขายในระบบซื้อขายหลักทรัพย์ตามราคาพาร์ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย.53

 

ส่งผลให้ ราคาหุ้น TRUBB วานนี้ (24 มิ.ย.)พุ่งทะยานชนซิลลิ่งสวนทิศตลาด ปิดตลาดที่ 117.00 บาท เพิ่มขึ้น 27.00 บาทหรือ 30% มูลค่าการซื้อขาย 443.34 ล้านบาท อย่างไรก็ตามพบว่าราคาหุ้น TRUBB ปรับขึ้นติดต่อกันถึง 4 วันทำการ โดยเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 53 ราคาหุ้นปิดตลาดที่ 68.25 บาท จนถึงวันที่ 24 มิ.ย. 53 ปิดตลาดที่ระดับ 117.00 บาท เพิ่มขึ้น 48.75 บาท หรือคิดเป็น 71.43%

 

ขณะที่ SET Index ปิดที่ 793.19จุด ลดลง 13.33จุด หรือ 1.65% มูลค่าการซื้อขาย 30,735.27ล้านบาท

 

 

* ธนชาต แนะเก็งกำไรให้ราคาประเมินก่อนแตกพาร์ 140-160 บาท Upside 70%*

 

ด้านบทวิเคราะห์ บล.ธนชาต แนะนำ"เก็งกำไร" ประเมินราคาเหมาะสมเบื้องต้นก่อนจะแตกพาร์อยู่ที่หุ้นละ 140-160 บาท Upside 70%และคาดกำไรปีนี้มีโอกาสทำสถิติสูงสุด นับแต่ก่อตั้งบริษัทมา 25 ปีเนื่องจากทิศทางราคายางพาราเป็นขาขึ้น เพราะความต้องการเพิ่ม แต่ผลผลิตเท่าเดิม หรือลดลง เหตุเป็นผู้ผลิตน้ำยางข้น (ที่ใช้ในอุตฯ ยานยนต์ & เครื่องมือแพทย์) รายใหญ่สุดของโลก

 

ทั้งนี้ นับแต่ต้นปี (ytd) ราคายางลาเท็คซ์พุ่ง 53% เป็น 72 บาท/กก. (vs.เฉลี่ย 47 ปีที่แล้ว) ย้อนกลับไป 1 ปี ราคาหุ้นวิ่งกว่า 5x จาก 14 ถึง90 บาท แต่เชื่อยังสะท้อนข่าวดีไม่หมด

ขณะเดียวกันในวันที่ 28 มิ.ย.นี้หุ้น TRUBB จะแตกพาร์ ซึ่งจะเพิ่มสภาพคล่องให้หุ้นอีก และในวันที่ 29 มิ.ย.จะขึ้น XD เพื่อแจกปันผลพิเศษ ทั้งเงินและหุ้น รวม 0.667

บาท Yield 7% ส่วนด้านปัจจัยด้านเทคนิค ราคามีทิศทางเป็นขาขึ้น

 

 

*CNS มองข่าวดีแตกพาร์ แถมจ่ายปันผล สะท้อนผลงานฟื้นตัวให้แนวต้าน 120-130 บาท*

 

นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน เปิดเผยว่า หลังจากที่ราคาหุ้น บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอเรชั่น(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า ประเมินว่าราคาหุ้นฟื้นตัวมาจากปัจจัยกรณีที่บริษัทฯจะแตกพาร์ ประกอบกับประเด็นการจ่ายปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นตัวสะท้อนว่าผลประกอบการของบริษัทฯที่ทำเกี่ยวกับธุรกิจยางที่จะ ฟื้นตัวดีขึ้นในอนาคต

 

สำหรับคำแนะนำนักลงทุนที่กำลังจะเข้าไปพิจารณาลงทุนหุ้นดังกล่าวควรแนะนำ หลีกเลี่ยง ซึ่งหากประเมินสัญญาณทางเทคนิคแล้วราคาน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแนวรับที่ 90-95 บาท และแนวต้านที่ 120-130 บาท

 

*CGS เตือนระวังแรงเทขาย หลังราคาพุ่ง 4 เท่า*

 

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป กล่าวว่า จากรณีที่ราคาหุ้น บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอเรชั่น(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยเบื้องต้นประเมินว่ามาจากประเด็นแผนเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จาก เดิมหุ้นละ 10 บาท เป็นมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาเข้าเทรดวันแรกที่ 30 บาท เพิ่มขึ้นจนถึงปัจจุบันที่ 111.50 บาท หรือประมาณ 4 เท่า โดยเชื่อว่าต่อไปจะโดนแรงเทขายทำกำไรออกมาจากนักลงทุนที่ซื้อไปก่อนหน้านี้ แล้ว ดังนั้น นักลงทุนที่กำลังจะเข้าไปซื้อหุ้นดังกล่าวควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง เพราะเสี่ยงต่อการขาดทุนสูง

 

 

*TRUBB รับผลงาน Q2/53 อ่อนตัวลงจาก Q1/53 เหตุเป็นไปตามฤดูกาล แต่ทั้งปีมั่นใจรายได้-กำไร ดีกว่าปีก่อน*

 

แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอเรชั่น(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) :(TRUBB) กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่า คาดการณ์ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2553 อ่อนตัวลง เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2553 เพราะเป็นไปตามฤดูกาลที่ในปกติจะอ่อนตัวลงในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ขณะที่ในไตรมาส 1 และไตรมาส 4 จะเป็นช่วงที่ดีที่สุด

 

แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งปีคาดว่ารายได้ และกำไรในปีนี้จะดีกว่าในปีก่อน โดยในส่วนกำไรนั้น เชื่อว่าน่าจะดีกว่าปีก่อนที่ทำได้ 119.14 ล้านบาท เพราะในไตรมาสแรกมีกำไรแล้ว 195.16 ล้านบาท ขณะเดียวกัน อัตรากำไรขั้นต้น ก็จะดีขึ้นตามราคายางที่สูงขึ้น

 

ทั้งนี้ TRUBB ประกาศผลการดำเนินงาน ไตรมาส 1/2553 มีกำไรสุทธิ 195.16 ล้านบาทจาก เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 151.55 ล้านบาท ซึ่งมีกำไรอยู่ที่ 43.62 ล้านบาท

 

ทั้งนี้บริษัทชี้แจงว่า ภาวการณ์โดยรวมของการดำเนินธุรกิจในไตรมาสที่ 1/2553 ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีของประเทศสหรัฐอเมริกาและการขยายตัวของ เศรษฐกิจของประเทศจีน เป็นผลให้ปริมาณความต้องการใช้ยางพาราปรับตัวสูงขึ้น โดยประเทศไทยมีการขยายตัวของปริมาณการส่งออกยางพาราในมาอยู่ที่ 763,211 ตัน ในไตรมาสที่ 1/2553 หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.37 และเช่นเดียวกัน ทิศทางของราคายางพาราได้ปรับตัวสูงขึ้นตามปริมาณความต้องการยางพารามาอยู่ ที่ราคาเฉลี่ย 105.12 บาท/กก. ในไตรมาสที่ 1/2553 หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 98.38 ที่ผ่านมาในไตรมาสที่ 1/2553 บริษัทได้เน้นถึงการบริหารสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพและการเพิ่มมูลค่า การแปรรูปยางพาราเป็นสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งในไตรมาสนี้บริษัทได้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมากในการดำเนินธุรกิจ โดยบริษัทสามารถทำผลกำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น ร้อยละ 77.28

 

ผลการดำเนินงานของบริษัท ในไตรมาสที่ 1/2553 เกิดรายได้จากการขายและบริการ จำนวน 3,077.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,488.09 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 93.63

จากงวดเดียวกันของปีก่อน ต้นทุนขายและบริการมีจำนวน 2,714.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,329.98ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 96.05 เป็นผลทำให้มีกำไรในขั้นต้นจำนวน 362.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 158.11 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 77.28

 

ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ค่าใช้จ่ายอื่น ค่าใช้จ่ายทางการเงิน และภาษีเงินได้นิติบุคคลมีจำนวน 200.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.39 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 13.83ซึ่งเกิดขึ้นตามกิจกรรมการขายที่เพิ่มขึ้น ด้านรายได้อื่นมี จำนวน 34.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.92 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 109.27 เป็นผลให้บริษัทสามารถมีผลกำไรสุทธิจำนวน 195.17 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 347.41 หรือ คำนวณเป็นกำไรต่อหุ้น 7.16 บาท

 

อนึ่งในปี 2552 มีรายได้ 7,978.14 ล้านบาท กำไร 119.14 ล้านบาท

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข่าว LHK

 

ลือหึ่ง‘LHK’ถูกแจ็กพ็อต ญี่ปุ่นหอบเงินร่วมทุนธุรกิจ

 

 

ทันหุ้น-กระฉ่อนวงการยานยนต์ LHK รับทรัพย์ก้อนโตหลังญี่ปุ่นดอดเจรจาร่วมทุนสานต่อธุรกิจท่อไอเสีย หลังมองอนาคตสดในผลการดำเนินงานแกร่ง –ยอดขายทะยานสอดคล้องตลาดยานยนต์โลกผงาด วงในฟันธงเป็นขุมทองแห่งใหม่ของ LHK คาดครองตลาดส่งออกสำคัญหนุนยอดขายท่อรถยนต์ จักรยานยนต์ยนต์พุ่ง แถมข่าวดีระลอกสองบุกอินเดีย-จีนเสริมเขี้ยวเล็บ

แหล่งข่าววงการยานยนต์ เปิดเผยถึง ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บริษัท โลหะกิจ เมททอล จำกัด(มหาชน) LHK ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นท้ายตลาดก่อนปิดทำการวานนี้( 24 มิ.ย.2553 ) 3.00 บาทเ พิ่มขึ้น 0.10 บาท มูลค่าการซื้อขายรวม 22.81 ล้านบาทว่าอาจมาจากกระแสข่าวลือว่าช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาผู้บริหารระดับ ใหญ่ของ LHK ได้บินตรงเพื่อเดินทางไปเจรจาธุรกิจระดับยักษ์ใหญ่กับนักธุรกิจในประเทศ ญี่ปุ่นเพื่อหารือถึงประเด็นการร่วมทุนกันในอนาคต

นอกจากนี้นักธุรกิจจากประเทศดังกล่าวมีความสนใจที่จะร่วมทุนในธุรกิจยาน ยนต์ของบริษัทหลังจากบริษัทได้รับความประสบความสำเร็จอย่างสูงในการทำ ธุรกิจท่อไอเสีย อีกทั้งพื้นฐานของ LHK ยังมีความแข็งแกร่ง และมีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง หลังจากธุรกิจยานยนต์มีทิศทางขาขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2554 ทำให้ธุรกิจท่อไอเสียของบริษัทเติบโตสูงมาก

“ ไม่น่าแปลกใจที่ LHK จะเป็นที่จับตาต้องใจของนักลงทุนในหลายประเทศ เพราะ ต้องยอมรับว่าขณะนี้ธุรกิจที่เจิดจรัสสุดในยามนี้คงไม่พ้นยานยนต์ที่ทั่ว โลกมีความต้องการค่อนข้างมาก เห็นได้จากผลงานในช่วงไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียนทุกบริษัทที่ล้วนแล้วแต่ ทำผลงานออกมากำไรสูงมากไม่เว้นแม้แต่บริษัทเดียว” แหล่งข่าวกล่าว

อย่างไรก็ตามบริษัทที่ได้รับอานิสงส์จากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ขยายตัวยังคง หนีไม่พ้น LHK ที่ประกอบธุรกิจท่อไอเสียและถือเป็นองค์ประกอบหลักที่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์

รุกตลาดอินเดีย-จีน

ส่วนแผนธุรกิจของบริษัท คงไม่หยุดอยู่แค่นี้เพราะยังมีแผนในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการวางแผนในการรุกประเทศอินเดีย เพราะมองว่ามีช่องทางการเติบโตสูง ทั้งท่อไอเสียรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ จากประชากรจำนวนมากที่ยังมีความต้องการยานยนต์ในประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้ดีลสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีแล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการจับมือกันพันธมิตรอินเดียเพื่อตั้งบริษัทยานยนต์ใน ประเทศดังกล่าว ร่วมถึงแนวทางต่างๆที่ส่งผลให้การทำธุรกิจลุล่วงไปได้ด้วยดี

นอกจากนี้ LHK ยังมีแผนการหาช่องทางเจาะตลาดในประเทศจีนที่ถือเป็นประเทศที่สำคัญอันดับ ต้นๆของโลก ที่มีการเติบโตด้านยานยนต์ค่อนข้างสูง ซึ่งบริษัทคาดการณ์ว่าการเจรจาดีลนี้ให้สำเร็จได้นั้น จำเป็นต้องหาพันธมิตรร่วมธุรกิจซึ่งก็คาดว่า จะใช้ระยะเวลาภายใน 6 เดือนในการหาพันธมิตร และต่อจากนั้นก็สามารถเข้าสู่ขบวนการเจรจาแผนธุรกิจได้ทันที

“ ทุกสิ่งที่อย่างของ LHK วันนี้ เชื่อว่าได้มาด้วยความยากลำบากที่ผ่านมาได้พบปะพูดคุยกับผู้บริหาร LHK ซึ่งผู้บริหารบอกว่ายากแสนยากในการเจาะตลาดในประเทศให้ได้อย่างใจที่ต้อง การทุกอย่าง เพราะกว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้ ต้องงัดทุกกลเม็ดมาบริหารงานให้ประสบความสำเร็จ”แหล่งข่าวกล่าว

ผลงานโตวันโตคืน

อย่างไรก็ดีวันนี้สามารถพิสูจน์ผลการดำเนินงานได้อย่างดีว่า LHK เป็นบริษัทที่แข็งแกร่งจริงๆ เพราะเมื่อดูจากผลการดำเนินงานย้อนหลังแล้วพบว่า ปี 2553 (เม.ย. 52-มี.ค 53) สามารถทำกำไรได้ถึง 101 ล้านจากปี 2552 ที่ขาดทุน 52 ล้านบาท ถือว่าพลิกเป็นกำไรมหาศาล และหากมองแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2554 (เม.ย.53-มี.ค.54) คาดว่าจะเติบโตได้ดีต่อเนื่อง เพราะขณะนี้ธุรกิจยานยนต์ยังเติบโตไม่หยุด อีกทั้งวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ยังปรับเป้าหมายยอดการผลิตรถยนต์ขึ้นเป็น 1.6 ล้านคันในปีนี้

ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ(ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สัญญาณเทคนิคหุ้น LHK ยังเป็นขาขึ้น โดยหากราคาหุ้นสามารถยืนเหนือแนวรับที่ 2.80 บาทได้ เชื่อว่าเป็นสัญญาณบวก โดยให้แนวต้านที่ 3.10 บาท

 

 

LHK:โลหะกิจฯ เผยบริษัทผลิตท่อสเตนเลสรายใหญ่จากญี่ปุ่น สนใจร่วมทุนในบ.ย่อย

 

กรุงเทพฯ--25 มิ.ย.--รอยเตอร์

 

 

บมจ.โลหะกิจ เม็ททอล(LHK) ซึ่งทำธุรกิจศูนย์บริการผลิตภัณฑ์สเตนเลส จัดหา แปรรูป

 

และจำหน่ายสเตนเลสรีดเย็นชนิดม้วนและแผ่น เผยบริษัทผู้ผลิตท่อสเตนเลสรายใหญ่จากญี่ปุ่น

 

สนใจเข้ามาร่วมลงทุนในบริษัทย่อย

 

นายประสาน อัครพงศ์พิศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ LHK กล่าวในเอกสารเผยแพร่ว่า

 

บริษัท Mory Industries Inc. ซึ่งเป็นผู้ผลิตท่อสเตนเลสรายใหญ่จากญี่ปุ่น และเป็น

 

ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการผลิตท่อสเตนเลส ที่ใช้ในอุตสาหกรรมท่อไอเสีย สำหรับรถยนต์

 

และมอเตอร์ไซด์ ได้แสดงความสนใจและแจ้งความจำนง เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ที่จะเข้ามา

 

ร่วมลงทุน ในบริษัทออโต้เม็ททอล จำกัด(AMT) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ LHK

 

เขากล่าวว่า บริษัทมีความยินดี และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการเจรจา เพื่อนำไป

 

สู่ขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้ ของการเข้ามาถือหุ้นใน AMT

 

สำหรับสาเหตุที่ Mory Industries Inc. สนใจเข้ามาร่วมทุน เพราะแนวทางธุรกิจ

 

ของ AMT มุ่งทำธุรกิจกับลูกค้าในกลุ่มยานยนต์ ซึ่งมีการเติบโตควบคู่กับอุตสาหกรรมยานยนต์

 

ของไทย ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

ทั้งนี้ AMT ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายท่อสเตนเลส สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์

 

ได้แก่ท่อไอเสียรถยนต์ ท่อไอเสียรถจักรยานยนต์

 

ส่วนรายละเอียดในสัดส่วนการถือหุ้น ระยะเวลาที่จะเข้ามา เงื่อนไขต่างๆ รวมถึง

 

ราคาหุ้นที่เหมาะสมของ AMT คงต้องใช้เวลากับผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินมูลค่าที่ทาง

 

Mory Industries Inc. ให้เป็นผู้มาทำการประเมินราคาหุ้นเสียก่อน คาดจะใช้เวลาไม่เกิน

 

60-90 วันนับจากนี้

 

นายประสาน กล่าวว่า ปัจจุบัน Mory Industries Inc. มีการทำข้อตกลงกับทาง

 

LHK เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคโนโลยี โดยส่งผู้เชี่ยวชาญมาประจำในประเทศไทย

 

นอกจากนี้ LHK และ Mory Industries Inc.ยังมีการร่วมทุน จัดตั้งบริษัท โมรี่

 

โลหะกิจ(ประเทศไทย) จำกัด ทำหน้าที่เป็นบริษัทการค้าติดต่อ หาลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรม

 

ยานยนต์

 

ราคาหุ้น LHK ช่วงบ่ายไม่เปลี่ยนแปลง อยู่ที่ 3 บาท

 

 

(โดย วิรัช บูรณกนกธนสาร เรียบเรียง--วพ--)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข่าว PDI

 

"ผาแดง" เทรดสนั่น ขานรับเหมืองใหม่

Monday, 31 May 2010 14:46

ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น "ผาแดง" (PDI) ตลอดวันที่ผ่านมา มีการปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นหลังจากผูั้บริหารได้ประกาศคว้างานเหมืองแร่ แห่งใหม่ที่สหภาพพม่า และ สปป.ลาว ในฐานะประเทศที่ร่ำรวยไปด้วยทรัพยากรใต้ดินนับมหาศาล ยังผลให้นักวิเคราะห์และนักลงทุนรายใหญ่ต่างมองเห็นอนาคตระยะไกลของหุ้น ร้อนตัวล่าสุด

 

โดย ณ เวลา 14.50 น. ราคาหุ้น PDI ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 23.40 บาท บวกขึ้นมาแล้ว 11.43% โดย มร​. ​อังเดร์​ ​วัน​ ​แดร์​ ​เอเดน​ ​กรรมการ​ผู้​จัดการ​ ​บริษัท​ ​ผา​แดง อินดัสทรี​ ​จำ​กัด​ (มหาชน) ​เปิดเผยว่า​โครงการสำ​รวจแหล่งแร่​ใน​ประ​เทศสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว​จะ​เป็น​ภารกิจที่สำ​คัญของบริษัท​ใน​ระยะ​ 2-3 ​ปี ข้างหน้า​ ​โดย​บริษัท​ได้​เริ่มทำ​การสำ​รวจ​ใน​พื้นที่ภาคเหนือของแขวง​ ​เวียงจันทน์​ ​ผลการเจาะสำ​รวจขั้นต้นพบว่ามี​แนวโน้มสูงที่​จะ​พบแร่สังกะสีปริมาณ​ 1 ​ล้าน เมตริกตัน​

 

มร​. ​อังเดร์​ ​กล่าวเพิ่มเติมว่าบริษัท​ยัง​ได้​ทำ​สัญญา สิทธิ​ใน​การทำ​เหมือง​กับ​ผู้​ถือสัมปทานเหมือง​ใน​ประ​เทศพม่า​ใกล้​อำ​ เภอ แม่สอด​ ​จังหวัดตาก​และ​คาดว่า​จะ​สามารถ​เริ่มดำ​เนินการผลิต​ได้​ภาย​ใน​ปี​ 2553 ​นี้​

 

ใน​ส่วน​ของการปิด​และ​ฟื้นฟู​เหมืองแม่สอด​นั้น​ ​บริษัท​ได้​ดำ​เนิน การฟื้นฟูสภาพแวดล้อม​ใน​ส่วน​พื้นที่สิ้นสุดการทำ​เหมือง​ ​โดย​ได้​ริ​เริ่ม โครงการปลูกหญ้า​แฝกเพื่ออนุรักษ์ดิน​และ​น้ำ​ของเหมืองแม่สอดมาตั้งแต่ปี​ 2546 ​โดย​ได้​ใช้​หญ้า​แฝก​เป็น​พืชเบิกนำ​เพื่อ​ช่วย​ปรับปรุงสภาพดินก่อน​จะ​ ปลูก ต้นไม้ยืนต้น​ ​จน​ถึง​ปัจจุบันมีจำ​นวนหญ้า​แฝกที่ปลูกไป​แล้ว​ 13 ​ล้าน ต้น​ ​ส่งผล​ให้​เหมืองแม่สอด​เป็น​แหล่งปลูกหญ้า​แฝกที่​ใหญ่​ที่สุดแห่ง หนึ่ง​ใน​ไทย​

 

สำ​หรับผลการดำ​เนินงานของบริษัท​ใน​ปี​ 2552 ​บริษัท มีกำ​ไรสุทธิ​ 296 ​ล้านบาท​ ​เพิ่มขึ้น​จาก​ปี​ 2551 ​ซึ่ง​มีกำ​ไรสุทธิ​ 265 ​ล้านบาท​ ​คิด​เป็น​กำ​ไรสุทธิต่อหุ้น​เท่า​กับ​ 1.31 ​บาท​ ​เมื่อ เทียบ​กับ​ 1.17 ​บาท​ใน​ปี​ 2551 ​โดย​บริษัทมีกำ​หนดจ่ายเงินปันผล​ 0.92 ​บาท ต่อหุ้น​ ​ใน​วันพฤหัสบดีที่​ 20 ​พฤษภาคม​ 2553

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

FTA : โอกาสของสินค้าไทยในอาเซียน/อินเดีย/ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์”

ณ จังหวัดเชียงราย

 

นายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เปิดเผย

ว่า กรมการค้าต่างประเทศได้จัดสัมมนาเรื่อง “FTA : โอกาสของสินค้าไทยในอา

เซียน/อินเดีย/ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์” ในวันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน 2553

ณ โรงแรมดุสิต ไอส์แลนด์ รีสอร์ท เชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยมีวัตถุประสงค์

เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการและผู้สนใจได้รับความรู้ ความเข้าใจ

เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากความตกลง ตลอดจนมาตรการและความช่วยเหลือผู้ได้

รับผลกระทบจากการเปิดเสรี (กองทุน FTA) ซึ่งการสัมมนาดังกล่าวมีผู้ผลิต ผู้

ประกอบการ และผู้ส่งออกในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง ให้ความสนใจเข้า

รับฟังการสัมมนาในครั้งนี้กว่า 150 คน

นายมนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า โดยที่จังหวัดเชียงรายเป็นจังหวัดที่มีความ

สำคัญทางเศรษฐกิจจังหวัดหนึ่งของภาคเหนือ ที่สามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อน

บ้านในด้านการคมนาคมทั้งทางบกและทางน้ำสู่กลุ่มประเทศ อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

และจีนตอนใต้ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเขตการค้า

เสรีหรือ FTA ที่เชียงรายในวันนี้ เป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการที่จะเสริม

ศักยภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจ สามารถขยายการส่งออกสินค้าไปต่าง

ประเทศ อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านให้ขยายตัวมากขึ้น

เขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) ได้ลดภาษี

นำเข้าระหว่างกันเป็นศูนย์แล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 โดยสมาชิกทั้ง 10

ประเทศ จะเป็นฐานการผลิตและเป็นตลาดเดียวกันที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

และจะก้าวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic

Community หรือ AEC) ในปี 2558 หรือในอีก 5 ปี ข้างหน้า อาเซียนจึงนับเป็น

ตลาดส่งออกสำคัญของไทย โดยในปี 2552 มีมูลค่าประมาณ 32,000 ล้านเหรียญ

สหรัฐฯ และหากพิจารณาในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2553 (ม.ค. – เม.ย.) ไทยส่งออก

ไปอาเซียน มีมูลค่า 13,760 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน

ของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่า 8,462 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ถึงร้อยละ 62 สำหรับมูลค่าการ

ใช้สิทธิพิเศษภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน มีมูลค่า 4,257.32 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 74.58 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่า 2,438.61 ล้าน

เหรียญสหรัฐฯโดยสินค้าสำคัญที่มีการใช้สิทธิสูง ได้แก่ รถยนต์บุคคล เครื่องปรับอากาศ

มันสำปะหลัง ส่วนประกอบยานยนต์ เครื่องจักรโรงงาน ข้าวโพด อาหารปรุง

แต่ง ฯลฯ นอกจากอาเซียนแล้ว ไทยยังได้ทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน -

อินเดีย (ASEAN- India Free Trade Agreement : AIFTA) โดยมีผลบังคับใช้แล้ว

เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ไทยได้ทำ FTA สองฝ่ายกับอินเดีย แต่

ครอบคลุมสินค้าเพียง 82 รายการ ที่สองประเทศเห็นว่าควรจะเร่งลดภาษีเป็นศูนย์

ก่อน การที่ไทยได้ขยายการทำความตกลง FTA เป็นอาเซียน- อินเดีย โดยครอบ

คลุมสินค้ากว่า 4,700 รายการ จึงนับเป็นการเพิ่มโอกาสในการขยายการค้า เนื่องจาก

อินเดียเป็นตลาดใหญ่ที่มีประชากรกว่าพันล้านคน โดยในปี 2552 มีมูลค่าการค้า

ระหว่างกันกว่า4,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และหลังจากความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-

อินเดีย มีผลบังคับใช้ มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับอินเดีย ในช่วง 4 เดือนแรกของปี

2553 (ม.ค. – เม.ย.) มีมูลค่าการค้าระหว่างกันกว่า 2,187 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยาย

ตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งมีมูลค่า 1,314 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิด

เป็นร้อยละ 66 สินค้าสำคัญที่จะได้รับประโยชน์ ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์

และของใช้ตกแต่งบ้าน อัญมณีและเครื่องประดับ ด้ายและเส้นใยสังเคราะห์ เป็นต้น

สำหรับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

(ASEAN-Australia-New Zealand Free Trade Area : AANZFTA) ซึ่งจะมีผลบังคับ

ใช้แล้วเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ที่ผ่านมา จะทำให้ไทยได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจากการ

ที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เปิดตลาดเพิ่มมากขึ้น/เร็วขึ้น จากที่ได้ เปิดตลาดภาย

ใต้ FTA ไทย-ออสเตรเลีย และไทย-นิวซีแลนด์ ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้า

สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า กระเป๋าหนัง ชิ้นส่วนยานยนต์ เคมีภัณฑ์และ

อุปกรณ์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

ยังช่วยให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกที่จะนำเข้าวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำจาก 12 ประเทศ

คือ อาเซียน 10 ประเทศและออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ มาขอใช้สิทธิภาษีนำเข้าเป็น

ศูนย์ได้

นายมนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2553 กรมการค้าต่างประเทศมี

โครงการที่จะเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โดยการจัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่

ผู้ประกอบการในการใช้สิทธิประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการที่ประเทศคู่ค้าได้เปิด

ตลาดภายใต้ความตกลง FTA ต่าง ๆ ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ ผู้

ประกอบการและผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการสัมมนาได้ที่ www.dft.go.th

หรือสอบถามที่สำนักสิทธิประโยชน์ทางการค้า กรมการค้าต่างประเทศ ผ่านทางสาย

ด่วน 1385

 

 

 

 

 

เรียบเรียง โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน

อนุมัติ โดย ดวงสุรีย์ วายุบุตร์

อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com

ถูกแก้ไข โดย TOUNE

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บาท/ดอลลาร์ภาคบ่ายแข็งค่า หลังแกว่งแคบรอดูทิศทางศก.โลก

 

กรุงเทพฯ--25 มิ.ย.--รอยเตอร์

 

*บาท/ดอลลาร์ภาคบ่ายแข็งค่าเล็กน้อย ขณะที่ภาพรวมเป็นการแกว่งตัวแคบ

 

หลังตลาดขายปัจจัยบวก และยังกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจโลก

 

*เงินวอนเกาหลีใต้ นำสกุลเงินเอเชียอ่อนค่าในวันนี้ จากความกังวลต่อการ

 

ฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งเป็นผลจากแรงซื้อที่มีกลับเข้ามาในดอลลาร์

 

หลังจากที่ถูกขายไปในช่วงก่อนหน้านี้

 

*ดอลลาร์ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนไม่แน่ใจในการฟื้นตัวทาง

 

เศรษฐกิจของสหรัฐ ขณะที่ เยนอยู่ใกล้จุดสูงสุดรอบ 1 เดือนเทียบกับดอลลาร์

 

โดยได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อชดเชย และความต้องการขายสินทรัพย์เสี่ยง

 

*รายงานเศรษฐกิจสหรัฐ เกี่ยวกับตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก

 

รายสัปดาห์ และคำสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ค.เมื่อวานนี้ ค่อนข้างแข็งแกร่ง

 

แต่ไม่สามารถขจัดความซบเซาในตลาดได้

 

*เยนยังได้รับแรงหนุนจากแถลงการณ์ของ ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ซึ่งมีส่วน

 

ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ที่ต่ำอยู่แล้วนั้น ลดลงไปอีก โดย

 

เมื่อวันพุธ เฟดให้สัญญาณอีกครั้งว่า จะตรึงดอกเบี้ยที่ระดับต่ำมากต่อไปอีก

 

ระยะหนึ่ง แต่ยอมรับว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ กำลังชะลอตัวลง

 

*ดอลลาร์ออสเตรเลียขยับลงเล็กน้อย ขณะที่นักลงทุนทำกำไรในสกุลเงินที่ให้

 

ผลตอบแทนสูง หลังการทะยานขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์นี้

 

*16.47 น. บาท/ดอลลาร์ อยู่ที่ 32.38/43 จาก 32.42/47 ช่วงเช้า

 

ขณะที่ในตลาด offshore อยู่ที่ 32.40/42 จาก 32.41/45 ช่วงเช้า

 

*เยน/ดอลลาร์ อยู่ที่ 89.63/66 จาก 89.60/62 ช่วงเช้า

 

*ยูโร/ดอลลาร์ อยู่ที่ 1.2268/71 จาก 1.2327/30 ช่วงเช้า

 

"วันนี้ไม่ค่อยมีอะไร ตลาดคงรอดู จี20 ว่าจะเป็นยังไง ทั้งในเรื่องของยุโรป

 

และก็ค่าหยวน ว่าจะมีอะไรออกมาอีกหรือเปล่า" ดีลเลอร์ กล่าว

 

เขา กล่าวว่า เงินบาทวันนี้ปรับตัวไม่มากนัก ขณะที่สกุลเงินภูมิภาคถูกกดดัน

 

จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยนักลงทุนจะติดตามดูผลการประชุมกลุ่ม

 

ประเทศ จี20 ในสุดสัปดาห์นี้ ว่าจะมีแนวทางอย่างไร ต่อการดูแลปัญหาหนี้ในยุโรป

 

ขณะที่ปัจจัยเรื่องค่าเงินหยวน แม้ลดน้ำหนักลงไปแล้ว แต่ก็ต้องติดตามว่า

 

จีนจะดำเนินการอะไรออกมาอีกหรือไม่--จบ--

 

(โดย สะตะวสิน สถาพรชาญชัย รายงานและเรียบเรียง-บร--)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ธปท.มองการส่งออกไทย H2/53 ยังโตต่อเนื่อง, ตลาดภูมิภาคเอเชียหนุน

 

(เพิ่มรายละเอียด)

 

กรุงเทพฯ--25 มิ.ย.--รอยเตอร์

 

ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มองแนวโน้มการส่งออกของไทยในครึ่งหลังปีนี้

 

ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวลงบ้าง แต่คาดว่าการส่งออกในภูมิภาค

 

เอเชีย จะเข้ามาทดแทนได้

 

"ดู momentum ตัวเลขเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มีความไม่แน่นอน การส่งออก

 

ก็ยังโต ซึ่งก็น่าจะต่อเนื่องได้ในช่วงครึ่งปีหลัง แต่จะมากจะน้อย ก็ขึ้นกับ

 

เศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ" นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ธปท.กล่าวกับผู้สื่อข่าว

 

เมื่อสัปดาห์ก่อน กระทรวงพาณิชย์เผยตัวเลขการส่งออกเดือน พ.ค.53 มี

 

มูลค่า 16,556 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 42.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นการ

 

เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นตัวเลขสองหลักเป็นเดือนที่ 7 และสูงสุดในรอบ 22 เดือน ตาม

 

เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ฟื้นตัว

 

ส่วนการส่งออก 5 เดือนแรกปีนี้โต 34.5% รวมมูลค่า 75,028 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ คาดก่อนหน้านั้นว่า มูลค่าการส่งออกปี 53 จะเพิ่มขึ้นราว 14%

 

นายบัณฑิต กล่าว การส่งออกของไทยยังไปได้ในทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดสหรัฐ

 

ยุโรป และเอเชีย ซึ่งหากตลาดยุโรปชะลอตัว ก็มองว่ายังมีตลาดอื่นสามารถทดแทนได้

 

ซึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ตลาดจีน และภูมิภาคเอเชีย ที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น

 

โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหญ่อันดับหนึ่งของไทย โดยมีสัดส่วนประมาณ 11-12%

 

ในส่วนภาคการท่องเที่ยว เขา ระบุว่า ในเดือนมิ.ย. มีการปรับตัวใน

 

ทิศทางที่ดีขึ้น และเร็วกว่าที่ธปท.คาดไว้ โดยเมื่อดูจากในแง่จำนวนนักท่องเที่ยว

 

เฉลี่ยต่อวัน สัปดาห์ที่ 21-31 พ.ค.มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเฉลี่ย 1.5 พันคน/วัน

 

แต่ในระหว่างวันที่ 11-20 มิ.ย.จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 พันคน/วัน

 

ขณะที่อัตราการจองห้องพักล่วงหน้า ก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน จากที่ลดลงมากใน

 

เดือนพ.ค.ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี จากเดิมที่ธปท.มองว่า ภาคการท่องเที่ยวจะได้รับผล

 

กระทบมากที่สุด จากเหตุการณ์ทางการเมือง

 

อย่างไรก็ตาม แม้มีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ก็ต้องดูความต่อเนื่อง

 

ว่าจะมากน้อยแค่ไหน ซึ่งคาดว่าการท่องเที่ยว ยังต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัว

 

"ภาวะการท่องเที่ยวเริ่มเห็นการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เร็วกว่าที่คาดไว้

 

ช่วงมิถุนาฯ ก็เริ่มดีขึ้นแล้ว แต่ต่อเนื่องแค่ไหนต้องตามดู" นายบัณฑิต กล่าว

 

นายบัณฑิต กล่าวด้วยว่า ความเข้มแข็งในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ยังเป็น

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ที่หลายประเทศให้ความสำคัญ โดยในส่วนของธปท.ก็มองว่าการฟื้นตัว

 

ของเศรษฐกิจโลก ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม เพื่อใช้ในการประเมินเศรษฐกิจ

 

ในช่วงครึ่งปีหลัง--จบ--

 

(โดย บุญทิวา วิชกูล รายงาน; สะตะวสิน สถาพรชาญชัย เรียบเรียง--บร--)

 

((satawasin.staporncharnchai@thomsonreuters.com;โทร.0-2648-9717;

 

ReutersMessaging:satawasin.staporncharnchai.reuters.com@reuters.net))

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตื่นเช้าจังค่ะ พี่ตวน ขอบคุณสำหรับข่าวนะคะ :wub:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตื่นเช้าจังค่ะ พี่ตวน ขอบคุณสำหรับข่าวนะคะ :wub:

 

เช้าๆ สมองมันแล่น เหมาะกับการทำงานมากที่สุดจ้า

 

ขอบคุณ สำหรับคะแนนนะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...