ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ส้มโอมือ

ปฏิรูปประเทศ เพื่ออนาคตที่ดีกว่านี้ของประเทศไทย

โพสต์แนะนำ

ฝากให้ คสช. โปรดพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการปฏิรูปประเทศ

 

“ในฐานะกษัตริย์ ข้าพเจ้าคิดว่า พระองค์ควรทรงพูดถึง ยิ้น (เมตตา) กับ หงี (ซื่อสัตย์) มากกว่า” พระเจ้าเนี้ยฮุยอ๊วง ทำท่าไม่เข้าพระทัย เม่งจื๊อจึงต้องกล่าวต่อ

 

“ถ้าพระเจ้าแผ่นดิน ตรัส ทำอย่างไร รัฐของฉันจะได้ประโยชน์ พวกขุนนางก็จะพูดว่า ทำอย่างไร ครอบครัวฉันจะได้ประโยชน์ ประชาชนทั่วไป ก็จะพูดว่า ทำอย่างไร ฉันจึงจะได้ประโยชน์

 

เมื่อต่างคนต่างคิดแต่แสวงหาผลประโยชน์ ก็ย่อมจะเกิดการแก่งแย่งประโยชน์

 

รัฐใด ที่คนทั้งชาติ คิดแต่ฉกฉวยแย่งประโยชน์ ไม่ช้า รัฐนั้นจะถึงความพินาศ”

“ตรงกันข้าม ถ้าประชาชนพลเมืองรัฐใด มีแต่เมตตา และซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน รัฐนั้นจะมีแต่ความสงบสุข”

 

 

“คนพวกที่กินบ้านกินเมือง ทุกวันนี้ มีอาหาร มีเนื้อสัตว์ดีๆกิน ที่คอกม้า ก็มีม้าอ้วนพี ตรงข้ามกับประชาชนภายใต้การปกครอง อดอยากปากหมอง บ้างก็ตายเพราะความอดอยาก

 

หากพวกเจ้าบ้านผ่านเมือง เลี้ยงสัตว์ดีกว่าคน พวกเขาควรเรียกว่า นักปกครองหรือฆาตกร”

ถ้าคิด เหมือนที่เคยคิดกันแต่เดิม บ้านเมืองเรายากจน ต้องไปออกปากชักชวนนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน

 

มีบ่อก๊าซ บ่อน้ำมัน ขุดหากันไม่เป็นก็ต้องชวนฝรั่งมาขุด ใช้วิธีสัมปทาน ลืมมองไปว่าระบบสัมปทานให้บริษัทฝรั่งผูกขาดกินคำใหญ่นั้น ไม่มีชาติไหนในโลก เขายอมกันแล้ว

 

มีที่นา ทำนาอยู่ดี ก็ไปขายให้นายทุนต่างชาติ เอาไปทำสารพัด

 

โรงงาน ถนน ไฟฟ้า สาธารณูปโภคพื้นฐาน ก็ต้องเร่งสร้างประเคนให้พวกเขา

 

การลงทุนยิ่งเพิ่ม การใช้ถนน การใช้ไฟฟ้าก็ยิ่งเพิ่ม พอน้ำท่วมก็จึงนึกขึ้นได้ ถนนกลายเป็นเขื่อนขวางทางน้ำ กระบวนการผลิต ก็ต้องทิ้งกากหรือขยะ...จนวันนี้ ทุกบ้านเมือง กำจัดขยะไม่ไหว มีเรื่องการแอบทิ้งขยะ ให้ตามจับกันทุกวี่ทุกวัน

 

โรงไฟฟ้าในประเทศ เจอกระแสโลกร้อน เอ็นจีโอกับชาวบ้านรวมกันต่อต้าน...ก็ต้องไปยืมที่เมืองลาวเมืองญวน เขาทำ...เขื่อนไชยะบุรี ที่ลาว ถูกร้องเรียน ทำให้น้ำในแม่น้ำโขง ลดลง

 

รวมความว่า...ยิ่งสร้าง บ้านเมืองก็ยิ่งขาดความสงบร่มเย็นเป็นสุข ประเทศยิ่งรวย (ใครรวยก็ไม่รู้) แต่ประชาชนมีชีวิตอยู่กับความทุกข์ กับภาวะแวดล้อมเป็นพิษ

 

สารพันโครงการ ที่ตั้งท่าใช้เงินเป็นแสนล้าน เป็นล้านล้าน...นั้นแน่ใจได้อย่างไร ว่าจะเป็นเหมือนที่โบราณว่า ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน...มองไปทางไหน ก็เห็นแต่ความทุกข์มหึมา คอยท่าอยู่

 

บ้านเมืองที่ประชาชน เมตตา และสัตย์ซื่อต่อกัน เป็นบ้านเมืองที่สงบสุข

 

บ้านเมืองที่คุยว่าจะร่ำรวย หรือรวยกันอยู่ไม่กี่คน แต่ประชาชนส่วนใหญ่จมปลักอยู่กับความทุกข์...นักปกครองบ้านเมืองแบบนั้น เขาเรียกกันว่าฆาตกร.

 

 

รสนา โตสิตระกูล

อ่านบทความเรื่อง "ฆาตกร" ของกิเลน ประลองเชิงในนสพ.ไทยรัฐวันนี้ ( 28 มิถุนายน 2557 )แล้วนึกถึงคำพูดของนพ.ประเวศ วะสี

ที่กล่าวไว้ตั้งแต่เมื่อ วันที่7เมษายน 2554 ว่า ทุกวันนี้ชีวิตของผู้บริโภคเมืองไทย ถูกล้อมไว้ด้วยสารพัดพิษ แผ่นดินของเราประดุจแผ่นดินอาบยาพิษ ที่ทำร้ายทุกชีวิตตั้งแต่อยู่ในมดลูก และการแก้ไขเกิดขึ้นได้ยาก เพราะ

 

" ทุกรัฐบาลมักชอบเข้าข้างผู้ที่ทำร้ายประชาชน"

 

สภาพเช่นนี้ถูกตั้งคำถามมาตั้งแต่อดีตว่า ผู้บริหารบ้านเมืองเลือกเป็น"ผู้ปกครอง"ที่เป็นผู้จัดสรรสิ่งมีคุณค่าและผลประโยชน์ให้กับกลุ่มต่างๆในสังคมอย่างเท่าเทียมกัน หรือ ทำตัวเป็น "ฆาตกร" ในการผ่องถ่ายทรัพยากรไปสร้างความร่ำรวยให้คนกลุ่มน้อยที่เป็นพรรคพวกตน และปล่อยให้ประชาชนส่วนใหญ่ทุกข์ยากแสนเข็ญจากการถูกเอาเปรียบของกลุ่มทุนต่างๆเช่นกลุ่มทุนพลังงาน

 

ฝากให้ คสช. โปรดพิจารณาก่อนที่จะถูกกลุ่มทุนพลังงานชักนำไปสู่พฤติกรรมแบบเดียวกับทุกรัฐบาลที่มักชอบเข้าข้างผู้ที่ทำร้ายประชาชน

 

"ฆาตกร"

 

ศาสดา เม่งจื๊อ ได้ยินข่าวไม่ดีในรัฐงุ่ย จึงเดินทางไปขอเข้าเฝ้า พระเจ้า เนี้ยฮุยอ๊วง กษัตริย์แห่งรัฐงุ่ย ได้ยินชื่อเม่งจื๊อมานาน ดีพระทัย ตรัสปฏิสันถาร (นิทานปรัชญาเต๋า เสฐียรพงษ์ วรรณปก)

 

“ท่านอาจารย์ จาริกมาไกลแสนไกล ข้าพเจ้าเข้าใจ ท่านคงมาแนะประโยชน์ให้รัฐเรา”

 

“ทำไม...พระองค์จึงทรงคำนึงแต่ผลประโยชน์” เม่งจื๊อกราบทูล

 

“ในฐานะกษัตริย์ ข้าพเจ้าคิดว่า พระองค์ควรทรงพูดถึง ยิ้น (เมตตา) กับ หงี (ซื่อสัตย์) มากกว่า” พระเจ้าเนี้ยฮุยอ๊วง ทำท่าไม่เข้าพระทัย เม่งจื๊อจึงต้องกล่าวต่อ

 

“ถ้าพระเจ้าแผ่นดิน ตรัส ทำอย่างไร รัฐของฉันจะได้ประโยชน์ พวกขุนนางก็จะพูดว่า ทำอย่างไร ครอบครัวฉันจะได้ประโยชน์ ประชาชนทั่วไป ก็จะพูดว่า ทำอย่างไร ฉันจึงจะได้ประโยชน์

 

เมื่อต่างคนต่างคิดแต่แสวงหาผลประโยชน์ ก็ย่อมจะเกิดการแก่งแย่งประโยชน์

 

รัฐใด ที่คนทั้งชาติ คิดแต่ฉกฉวยแย่งประโยชน์ ไม่ช้า รัฐนั้นจะถึงความพินาศ”

 

พระเจ้าเนี้ยฮุยอ๊วง ทำท่าจะเข้าใจ เม่งจื๊อ ได้ทีสอนต่อ

 

“ตรงกันข้าม ถ้าประชาชนพลเมืองรัฐใด มีแต่เมตตา และซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน รัฐนั้นจะมีแต่ความสงบสุข” “ท่านอาจารย์พูดถูก” น้ำเสียงเจ้ารัฐงุ่ยเลื่อมใสศรัทธา “โปรดแนะนำข้าพเจ้า”

 

แทนที่จะสอน เม่งจื๊อย้อนถาม

 

“การฆ่าคนด้วยไม้พลอง กับการฆ่าคนด้วยดาบ พระองค์คิดว่าต่างกันหรือไม่”

 

“ไม่ต่างกันเลย” พระเจ้าเนี้ยฮุยอ๊วง ตอบ “เพราะชื่อว่า ฆ่า เขาตายเหมือนกัน”

 

เม่งจื๊อ ถามต่อ “แล้วการฆ่าคนตายด้วยอาวุธ กับการฆ่าด้วยเพทุบาย ต่างกันหรือไม่” “ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน”

 

กษัตริย์รัฐงุ่ย ตอบอย่างนี้ เม่งจื๊อ ได้ทีวิสัชนา

 

“คนพวกที่กินบ้านกินเมือง ทุกวันนี้ มีอาหาร มีเนื้อสัตว์ดีๆกิน ที่คอกม้า ก็มีม้าอ้วนพี ตรงข้ามกับประชาชนภายใต้การปกครอง อดอยากปากหมอง บ้างก็ตายเพราะความอดอยาก

 

หากพวกเจ้าบ้านผ่านเมือง เลี้ยงสัตว์ดีกว่าคน พวกเขาควรเรียกว่า นักปกครองหรือฆาตกร”

 

นิทานปรัชญาเต๋า เรื่องนี้ ทิ้งเงื่อนให้แค่นี้...ประเด็นต่อไป เป็นหน้าที่ของนักปกครองรุ่นใหม่ เอาไปคิดต่อ

 

ถ้าคิด เหมือนที่เคยคิดกันแต่เดิม บ้านเมืองเรายากจน ต้องไปออกปากชักชวนนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน

 

มีบ่อก๊าซ บ่อน้ำมัน ขุดหากันไม่เป็นก็ต้องชวนฝรั่งมาขุด ใช้วิธีสัมปทาน ลืมมองไปว่าระบบสัมปทานให้บริษัทฝรั่งผูกขาดกินคำใหญ่นั้น ไม่มีชาติไหนในโลก เขายอมกันแล้ว

 

เหลือแต่ประเทศชื่อไทย ประเทศเดียว

 

มีที่นา ทำนาอยู่ดี ก็ไปขายให้นายทุนต่างชาติ เอาไปทำสารพัด

 

โรงงาน ถนน ไฟฟ้า สาธารณูปโภคพื้นฐาน ก็ต้องเร่งสร้างประเคนให้พวกเขา

 

การลงทุนยิ่งเพิ่ม การใช้ถนน การใช้ไฟฟ้าก็ยิ่งเพิ่ม พอน้ำท่วมก็จึงนึกขึ้นได้ ถนนกลายเป็นเขื่อนขวางทางน้ำ กระบวนการผลิต ก็ต้องทิ้งกากหรือขยะ...จนวันนี้ ทุกบ้านเมือง กำจัดขยะไม่ไหว

 

มีเรื่องการแอบทิ้งขยะ ให้ตามจับกันทุกวี่ทุกวัน

 

โรงไฟฟ้าในประเทศ เจอกระแสโลกร้อน เอ็นจีโอกับชาวบ้านรวมกันต่อต้าน...ก็ต้องไปยืมที่เมืองลาวเมืองญวน เขาทำ...เขื่อนไชยะบุรี ที่ลาว ถูกร้องเรียน ทำให้น้ำในแม่น้ำโขง ลดลง

 

รวมความว่า...ยิ่งสร้าง บ้านเมืองก็ยิ่งขาดความสงบร่มเย็นเป็นสุข ประเทศยิ่งรวย (ใครรวยก็ไม่รู้) แต่ประชาชนมีชีวิตอยู่กับความทุกข์ กับภาวะแวดล้อมเป็นพิษ

 

สารพันโครงการ ที่ตั้งท่าใช้เงินเป็นแสนล้าน เป็นล้านล้าน...นั้นแน่ใจได้อย่างไร ว่าจะเป็นเหมือนที่โบราณว่า ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน...มองไปทางไหน ก็เห็นแต่ความทุกข์มหึมา คอยท่าอยู่

 

ย้อนไปที่คำสอนของเม่งจื๊อ...บ้านเมืองที่ประชาชน เมตตา และสัตย์ซื่อต่อกัน เป็นบ้านเมืองที่สงบสุข

 

บ้านเมืองที่คุยว่าจะร่ำรวย หรือรวยกันอยู่ไม่กี่คน แต่ประชาชนส่วนใหญ่จมปลักอยู่กับความทุกข์...นักปกครองบ้านเมืองแบบนั้น เขาเรียกกันว่าฆาตกร.

 

กิเลน ประลองเชิง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดาริน กานต์

 

9 ชม. · แก้ไขแล้ว

 

มีคนถามว่า มีช่องทางไหนจะติดต่อกับ คสช.ได้บ้าง....วันนี้ มีช่องทางที่จะติดต่อกับ คสช.เพื่อให้แจ้งข่าวหรือเสนอแนะ เพื่อพัฒนาประเทศไทยของเราได้.....ตามนี้นะคะ..

10462698_894969383851670_6055516101218880231_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ปฏิรูปประเทศ เรื่องนี้ต้องแก้ไข

10404869_10203199279920479_2415954170499816818_n.jpg?oh=96f733256421984374463bbcf5f23a90&oe=5426C236&__gda__=1411043401_254f56066f1f3df41d29d5b954a9de08

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เรื่องปฏิรูปประเทศ เอาพันธ์ตามธรรมชาติกลับคืนมา ส่วนพืชGMO ควรห้ามปลูกในไทย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ปฏิรูปประเทศต้องเริ่มจากปฏิรูปประชาชนของประเทศนั้นให้มีคุณภาพ เยอรมันมีส่วนทีดีที่น่าเอามาเป็นต้นแบบหลายอย่าง

 

วรวรรณ ธาราภูมิ

 

4 ชม.

 

คนเยอรมันเขาเป็นยังไง ถึงได้สร้างชาติได้จากการแพ้สงครามครั้งแล้วครั้งเล่า

-----------------------------------------------------------------

 

►บีบีซีของอังกฤษ ทำการสำรวจชาวเยอรมันทั้งประเทศ เพื่อรู้ว่าทำไมเยอรมันถึงเป็นประเทศเดียวในโลกที่สำเร็จการเป็น Fully industrialized country ประเทศเดียวในโลก คือ ประเทศอุตสาหกรรมสมบูรณ์แบบ อ่านให้จบ ข้อมูลนี้หายาก แล้วถามตัวเองและประเทศเราว่า ทำได้ไหม ใช้สมองนั่งสมาธิ ความกลัวทำให้เสื่อม ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆอย่ากลัว อย่าทำออกนอกทางที่เคยทำ มันจะกลายเป็นพิรุธ อย่าเป็นกระต่ายตื่นตูม

 

►1. ระดับหนี้สินต่อครัวเรือนของคนเยอรมันอยู่ในระดับต่ำมากที่สุดในยุโรป ชาวบ้านทั่วไปนิยมใช้จ่ายด้วยเงินสดมากกว่าบัตรเครดิต

 

►2. ธนาคารไม่อนุมัติบัตรเครดิตให้กันง่ายๆ ในขณะที่ชาวเยอรมันก็ไม่ต้องการได้บัตรเครดิตง่ายๆเช่นกัน

 

►3. คนเยอรมันสามารถออมเงินได้ 10% ของเงินเดือนแทบทุกคน

 

►4. ผู้คนส่วนใหญ่มีเงินฝากในธนาคารเป็นกอบเป็นกำทำให้ระบบการหมุนเวียนของเงินกู้กับเงินฝากสมดุลกันได้ดี

 

►5. คนเยอรมันไม่นิยมเอาบ้านหรือรถยนต์ไปจำนองเพื่อนำเงินมาทำธุรกิจ เพราะถือว่าเป็นความเสี่ยงที่อาจจะสูญเสียทรัพย์สินที่มีอยู่

 

►6. คนเยอรมันใช้เวลาทำงานต่อสัปดาห์น้อยกว่าคนในชาติอื่น ๆ ทั่วโลก แต่ได้ประสิทธิภาพมากกว่า

 

►7. การทำงานล่วงเวลาถูกมองว่าเป็นสิ่งไม่เหมาะสม เนื่องจากการให้เวลากับครอบครัวหลังเลิกงานถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก

 

►8. เวลาแปดชั่วโมงต่อวัน คนเยอรมันทำงานอย่างจริงจังในเวลางาน ไม่เสียเวลาไปกับการพูดคุยเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงาน อีเมลล์ส่วนตัว Facebook และโทรศัพท์มือถือ …เป็นที่รู้กันว่าไม่ควรใช้ในชั่วโมงทำงาน

 

►9. นักข่าวชาวอังกฤษที่ไปทำงานในโรงงาน Faber & Castel ที่เยอรมนี ถูกต่อว่าจากเพื่อนร่วมงานทันทีที่หยิบโทรศัพท์เพื่อต้องการส่ง SMS แค่ครั้งเดียว

 

►10. ชีวิตในที่ทำงานที่นี่เขาจริงจังกันมาก ไม่มีการพูดคุย นินทา ไม่อยากรู้อยากเห็นว่าใครเป็นแฟนใคร ใครเลิกกับใคร ใครจะไปออกเดทกับใคร ไม่แม้แต่จะเล่าเรื่องละครทีวีที่ดูเมื่อคืน เลิกงานแล้วจะไปไหน จะไปทานดินเนอร์กับใคร ก็ไม่มีการพูดคุยกัน

 

►11. การมาทำงานสายจะถูกมองว่าเป็นคนไม่รักษาสัญญา จะมาสายสามนาทีหรือสามสิบนาที ก็ถือว่าเป็นคนไม่มีคุณภาพ เพราะขาดความเคารพต่อตัวเองและองค์กร

 

►12. สองในสามของคุณแม่มือใหม่จะไม่ทำงานนอกบ้าน การบอกว่าเป็น Housewife ในประเทศอื่น ๆ อาจจะรู้สึกเขินอายเหมือนว่าตนเองไม่มีงานทำ แต่ที่นี่มีแต่ความภาคภูมิใจ หากจะได้เป็น Housewife

 

►13. รัฐบาลให้สวัสดิการดีกับคุณแม่ที่ต้องออกจากงาน ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้แม่ได้เลี้ยงดูลูกด้วยตนเอง การให้เวลากับลูกถือเป็นสิ่งสำคัญ

 

►14. ในวันอาทิตย์ ร้านรวงทั่วไปตามแหล่ง Shopping จะปิดเงียบ เพื่อให้ผู้คนส่วนใหญ่มีเวลาอยู่กับครอบครัว เมื่อสถาบันครอบครัวแข็งแรงประเทศชาติก็จะแข็งแรง

 

►15. ในยามยากของเศรษฐกิจ บริษัทส่วนใหญ่ไม่ใช้วิธีการ Lay off พนักงาน ไม่นิยมการปลดคนงานออกแบบกระทันหัน เพื่อความอยู่รอดของบริษัท

 

►16. อาจจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปเสียแล้วที่บริษัทจะเป็นห่วงความอยู่รอดของพนักงานก่อน เพื่อที่จะได้ช่วยกันประคองให้บริษัทอยู่รอด

 

►17. พนักงานยินดีที่จะถูกลดรายได้อย่างพร้อมเพียงกันเพื่อให้ทุกคนอยู่ได้และบริษัทอยู่รอด สิ่งนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงการรักพวกพ้อง รักองค์กร และรักชาติในที่สุด

 

►18. ทีมชาติฟุตบอลของเยอรมนี จะไม่ค่อยมีดาวเด่นที่โด่งดังระดับโลก แต่ก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้ถึง 3 สมัย ด้วยทักษะการเล่นอย่างเป็นทีมเวิร์คมากกว่าความสำเร็จจากความสามารถเฉพาะบุคคล

 

►19. การใช้ชีวิตแบบพอเพียง ประหยัด จริงจังในหน้าที่ มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบสูง รักครอบครัว รักพวกพ้อง รักชาติ เหล่านี้ล้วนเป็นอุปนิสัยขั้นพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่ในเยอรมนีได้ปฏิบัติสืบต่อกันมา

 

เอามาจากเพจพี่ฟองสนานค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ฝาก10ข้อนี้ ในการปฏิรูปการรถไฟ

 

Sakchai Horoungwetkit

 

ติดตาม · 23 ชม. ใกล้ Rayong

 

10 ข้อ "ความไม่พัฒนา" ของรถไฟไทย

------------------------------------

1. ความไม่ปลอดภัยของผู้โดยสารรถไฟไทย ไม่เพียงแต่คดีของเด็กหญิงวัย 13 ปี ที่กำลังเป็นข่าวดังเท่านั้น แต่ที่ผ่านมา ก็มีข่าวผู้โดยสารถูกทำอนาจารบนรถไฟ ข้าวของหายหรือถูกขโมยบนรถไฟ มีทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว

 

2. เจ้าหน้าดูแลความปลอดภัยไม่เพียงพอ เรื่องนี้ ประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยเองก็เคยออกมากล่าวว่า รถไฟบางขบวนเท่านั้นที่จะมีตำรวจรถไฟประจำอยู่ เนื่องจากบุคลากรไม่เพียงพอ

 

3. มารยาทของพนักงานบนรถไฟบางคน เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ได้ยินและถูกร้องเรียนกันเป็นประจำ

 

4. สภาพของขบวนรถไฟและรางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย สภาพขบวนรถที่เก่าเป็นภาพชินตาของรถไฟไทย ประตูรถชำรุดบ้าง หน้าต่างชำรุดบ้าง เครื่องปัดน้ำฝนหรืออุปกรณ์ต่างๆ ชำรุดบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่ความไม่สมประกอบบางอย่างก็ก่อให้เกิดอันตรายกับผู้โดยสาร ดูจากสถิติการเกิดเหตุรถไฟตกราง ตั้งแต่ปี 2553 พบว่า มีเหตุรถไฟตกราง 102 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 107 ราย เสียชีวิต 10 ราย ปี 2554 มีเหตุรถไฟตกราง 113 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 54 ราย เสียชีวิต 4 ราย ปี 2555 มีเหตุรถไฟตกราง 89 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 5 คน ไม่มีผู้เสียชีวิต ปี 2556 เดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน มีเหตุรถไฟตกรางแล้ว 117 ครั้งมีผู้บาดเจ็บ 42ราย เสียชีวิต 3 ราย ซึ่งสาเหตุก็มีต่างๆ นานา ทั้งสภาพทางที่ทรุดโทรม ขบวนรถ รางรถไฟและไม้หมอนอยู่ในสภาพเก่า พนักงานประมาทเลินเล่อ ฯลฯ

 

5.ความล่าช้า ไม่ตรงต่อเวลาของรถไฟไทย “ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง” เป็นคำขวัญประจำรถไฟไทยก็ว่าได้ กำหนดเดินรถไฟน้อยครั้งที่จะถึงหรือออกได้ตรงตามเวลา สายเป็นนาทีถือว่าธรรมดามากๆ เพราะเราว่ากันเป็นชั่วโมง และเมื่อขบวนหนึ่งล่าช้า ขบวนอื่นที่ต้องรอหลีกหรือสับรางในบางช่วงก็ต้องล่าช้าตาม ดังนั้นรถไฟขบวนอื่นๆ ที่ต้องใช้เส้นทางร่วมกันจึงล่าช้าตามกันเป็นพรวน เป็นปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก และคนไทยก็ต้องก้มหน้ายอมรับกันไป

 

6. ความสกปรกภายในขบวนรถ และห้องน้ำบนรถไฟที่ขึ้นชื่อลือชา เมื่อหลายปีก่อนเคยมีข่าวตัวเรือดกัดผู้โดยสารเป็นตุ่มผื่นคันกันหลายราย เมื่อตรวจสอบแล้วก็พบว่าตัวเรือดฝังตัวอยู่ในเบาะเก้าอี้เป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นข่าวดังต้องออกมาทำความสะอาดกันครั้งใหญ่ ส่วนเรื่องห้องน้ำนั้นถ้าใครเคยขึ้นรถไฟก็คงเข้าใจว่ากลิ่นรุนแรงขนาดไหน อีกทั้งยังว่ากันว่าห้องน้ำรถไฟไม่เคยเต็ม นั่นก็เพราะขับถ่ายอะไรก็ลงไปบนราง สร้างความสกปรกไปตลอดเส้นทาง แถมยังมีข้อห้ามว่าไม่ให้ขับถ่ายตอนขบวนรถจอดอยู่ที่ชานชาลา เพราะคนบนชานชาลาจะเห็นหมดว่าถ่ายสิ่งปฏิกูลอะไรลงมาบ้าง แต่คำถามคือ ทำไมการรถไฟจึงไม่พัฒนาห้องน้ำให้มีถังเก็บสิ่งปฏิกูลเหล่านี้แทน

 

7. อาหารบนตู้เสบียงมีราคาแพง เข้าใจได้ว่าอาหารที่ขายบนรถไฟย่อมมีราคาแพงกว่าปกติ แต่ผู้โดยสารที่ใช้บริการตู้เสบียงหลายๆ มักบ่นถึงความคุ้มค่าของอาหารที่ได้รับกับราคาที่จ่ายไปว่าไม่ค่อยสมกันเท่าไร

 

8. เหล้า-เบียร์ เป็นสาเหตุหนึ่งของการขาดสติจนนำไปสู่การก่อเหตุอาชญากรรมเพิ่ม หลายคนจึงมีคำถามถึงเรื่องขายเหล้าเบียร์บนรถไฟว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่

 

9. พ่อแม่ค้าขึ้นไปขายของบนรถไฟ เรื่องนี้บางคนก็ว่าเป็นเรื่องดี เกี่ยวกับความสะดวกของผู้โดยสารที่บางครั้งต้องนั่งรถไฟเป็นระยะทางยาวๆ หลายชั่วโมง จะได้ไม่ต้องซื้ออาหารในตู้เสบียงที่ราคาแพงกว่า แต่จริงๆ แล้วนี่คือความไร้ระเบียบของรถไฟ ที่ปล่อยให้พ่อค้าแม่ค้าเดินขึ้นมาขายของในขบวนรถ โดยเฉพาะในตู้ชั้น 3 ที่คนแน่นอยู่แล้ว ก็ยังต้องถูกเบียดด้วยคนขายของอีก

 

10. การรถไฟแห่งประเทศไทยเป็น“แดนสนธยา” ซึ่งแม้จะเป็นรัฐวิสาหกิจสาธารณูปโภคที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย แต่ขึ้นชื่อว่าขาดทุนมาโดยตลอด แต่ละปีขาดทุนนับพันล้านบาท รวมแล้วจากก่อตั้งมายุคแรกๆ ก็ขาดทุนรวมกว่าแสนล้านบาท ไม่รู้ว่านักการเมือง บอร์ด และผู้บริหารองค์กรที่ได้ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามากำกับดูแลบริหารการรถไฟแห่งประเทศไทยนั้นเข้ามาทำงานให้เจริญขึ้นหรือเจริญลง จนทำให้การรถไฟที่ริเริ่มบุกเบิกมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นั้น กลายเป็น “แดนสนธยา” ที่ยังมืดสลัวไม่มีทางออกจนถึงวันนี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ปฏิรูปท้องทะเลไทย

 

หากขืนปล่อยให้มีการนิรโทษเรืออวนลากที่สวมทะเบียน และเรืออวนลากเถื่อน แล้วให้กลับมาทำการประมงได้ถูกต้องตามกฎหมาย บอกได้คำเดียวว่า ทะเลไทยก็จะย่อยยับมากกว่านี้ เราจะต้องหาทางฟื้นฟูท้องทะเลให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ และหนึ่งในวิธี การที่จำเป็นก็คือ ลดการทำประมงด้วยเครื่องมือประมงแบบทำลายล้างคือ อวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟจับปลากะตัก ไม่ใช่ไปเพิ่มจำนวนให้เพิ่มขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว แล้วชาวประมงชายฝั่ง คนกินปลาจะเหลืออะไร

http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9550000092448

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ปฏิรูปประเทศ ฝากเรื่องคุมกำเนิดโมเดิร์นเทรดด้วยครับ

 

ทำไมฮิตเลอร์ถึงเกลียดยิวนัก ยิวมีธรรมเนียมการทำธุรกิจ แบบที่สมัยนี้หลายประเทศถือว่าผิดกฎหมาย ภัยร้ายที่น่ากลัวจากโมเดิร์นเทรด

 

ชาวยิวทำอย่างไร

สมมติ ชาวยิวกลุ่มหนึ่ง เป็นลูกหลานของกิจการค้าเพชรพลอยที่มั่งคั่ง

กิจการเพชรพลอยร่ำรวย และอิ่มตัวแล้ว ต้องหาทางลงทุนในกิจการอย่างอื่น

กลุ่มนายทุนชาวยิวจะมาประชุมกัน สมมติว่าตกลงจะลงทุนในธุรกิจรองเท้า

 

ชาวยิวจะให้ทุนลูกหลาน คนรุ่นใหม่ ไปลงทุนทำโรงงานรองเท้า

ไม่ทำแค่โรงเดียว แต่จะทำหลายโรงงาน หลายยี่ห้อ พร้อมๆกัน

ตอนแรกจะยอมขาดทุน โดยอาศัยเงินทุนจากกิจการเพชรพลอยหนุนหลัง

เพื่อกดดันให้โรงงานรองเท้าของคนเยอรมันเลิกกิจการ

 

เมื่อโรงงานรองเท้าอื่นเริ่มประกาศขายกิจการ ยิวก็จะเข้าไปซื้อกิจการเพิ่ม

พอยิวมีส่วนแบ่งรวมในตลาดมากพอ ก็จะกดดันร้านขายรองเท้า

โดยสร้างเงื่อนไขว่า ต้องซื้อรองเท้าจากโรงงานของชาวยิวเท่านั้น

ถ้าพบว่าร้านขายรองเท้าแห่งใด ซื้อรองเท้าจากโรงงานของคนเยอรมัน

โรงงานรองเท้าทั้งหมดของยิว จะไม่ยอมขายรองเท้าให้ ด้วยข้ออ้างต่างๆ เช่น ผลิตไม่ทัน

เมื่อยิวบีบให้ร้านขายรองเท้าต้องซื้อรองเท้าจากโรงงานของชาวยิวเท่านั้น

โรงงานรองเท้าของคนเยอรมันที่เหลือ ก็เจ๊งหมด

แล้วยิวก็เข้าไปกดราคาบังคับซื้อเอาถูกๆ

 

พอยิวได้ครอบครองโรงงานรองเท้าทั้งหมด ก็เริ่มตั้งร้านขายรองเท้าของตนเอง

ส่วนคนงานเย็บรองเท้าก็เริ่มถูกกดค่าแรง ไม่มีทางย้ายที่ทำงาน เพราะโรงงานทั้งหมดเป็นของยิว

โรงงานยิว จะขายรองเท้าให้ร้านของชาวยิวในราคาถูกพิเศษ แบบไม่เอากำไร

ทำให้ร้านรองเท้าของชาวยิวสามารถขายปลีกรองเท้าในราคาถูกกว่าร้านของคนเยอรมัน

ร้านขายรองเท้าของเยอรมันก็ค่อยๆทะยอยปิดกิจการลง ยิวก็เข้าไปกดราคาซื้อต่อกิจการ

 

ในที่สุดยิวก็ครอบครองร้านขายปลีกรองเท้าได้ทั้งหมด

เมื่อยิวครอบครองธุรกิจรองเท้าได้ครบวงจรทั้งหมดแล้ว

ถึงเวลาที่ยิวจะขึ้นราคารองเท้า ฟันกำไรชดเชยกับที่ยอมขาดทุนในตอนแรก

 

อุตสาหกรรมทำรองเท้าของคนเยอรมันเจ๊ง

ธุรกิจร้านค้ารองเท้าของขาวเยอรมันเจ๊ง

คนงานที่มีอาชีพเย็บรองเท้าถูกกดค่าแรง

ประชาชนเยอรมันต้องซื้อรองเท้าแพง

 

คนเยอรมันจะรู้สึกอย่างไร

 

ผ่านไปหลายปี บรรดาลูกหลานชาวยิวในธุรกิจรองเท้าเริ่มเติบโต แต่ธุรกิจรองเท้าอิ่มตัวแล้ว

ขาวยิวก็จะประชุมกัน ว่าจะยึดครองการค้าชนิดใดต่อไป

 

บางที ความโลภ และความไร้ยุติธรรม ของชาวยิวนั่นเอง ที่ฆ่าชาวยิว

http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K2837217

 

พาณิชย์เพิ่งตื่นคุมกำเนิดโมเดิร์นเทรดช่วยโชห่วย

 

กระทรวงพาณิชย์เตรียมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการ ควบคุมไม่ให้ห้างสรรพสินค้ากลุ่มโมเดิร์นเทรด เร่งเปิดสาขาในแต่ละจังหวัดจนทำให้ร้านโชห่วยจะต้องปิดกิจการมากกว่านี้อีก เพราะปัจจุบันแม้มีกฎหมายควบคุมแต่ยังมีช่องโหว่ จึงจำเป็นต้องหามาตรการอื่นมาเพิ่มเติม

นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ อธิบดีกรมการค้าภายใน ได้นำข้อร้องเรียนผู้ค้าส่งค้าปลีกดั้งเดิม (โชห่วย) ที่มีตึกแถวขนาด 2-3 คูหา จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคตามแหล่งชุมชนตามตรอกซอกซอยในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากธุรกิจค้าส่งค้าปลีก เพราะห้างสรรพสินค้ากลุ่มโมเดิร์นเทรด เช่น เทสโก้-โลตัส คาร์ฟูร์ บิ๊กซี และอื่น ๆ เปิดสาขาตามต่างจังหวัดมากขึ้น ทำให้โชห่วยในแต่ละพื้นที่ดังกล่าวได้รับผลกระทบจนต้องปิดกิจการจำนวนมาก และขณะนี้แต่ละจังหวัดกลุ่มร้านโชห่วยได้รวมตัวคัดค้านไม่ให้ห้างฯ ดังกล่าวเข้าไปกระจายสาขาในจังหวัดนั้น ๆ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ไม่ได้นิ่งนอนใจจากปัญหาเหล่านี้ และมีการติดตามดูแล

 

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ากฎหมายผังเมืองและระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้อยู่ยังมีช่องโหว่อยู่มาก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง เพื่อหามาตรการที่จะป้องกันไม่ให้กลุ่มธุรกิจร้านโชห่วยได้รับผลกระทบจาก ห้างโมเดิร์นเทรดเร่งเปิดสาขาในแต่ละจังหวัดจนทำให้ร้านโชห่วยจะต้องปิด กิจการมากกว่านี้อีก ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ อยู่ระหว่างพิจารณาว่า การที่บริษัทแม่ของห้างฯ ที่เปิดสาขาในประเทศไทยและมีการกระจายเปิดสาขาในต่างจังหวัด โดยได้นำเงินจากผลกำไรในการดำเนินกิจการไปเปิดสาขา ก็จะเข้าไปพิจารณาว่า อาจให้การเปิดสาขาเพิ่มเติม ควรจะต้องมีการจดจัดตั้งบริษัทใหม่ในแต่ละจังหวัดหรือไม่ และจะเข้าไปพิจารณาถึงขนาดของทุนจดทะเบียน รวมถึงมาตรการอื่น ๆ อีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่กรมการค้าภายในได้สรุปธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสมัยใหม่พบว่ามีการ ขยายตัวสูง โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2544 ที่มีจำนวน 1,821 สาขา เป็น 3,999 สาขาในปี 2549 หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 119.60 มีมูลค่าขายเพิ่มขึ้นจากปี 2544 จำนวน 208,844 ล้านบาท เป็น 335,398 ล้านบาท ในปี 2547 หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 60 ประกอบกับแต่ละห้างฯ ใช้กลยุทธ์กำหนดราคาขายต่ำกว่าร้านโชห่วย

 

นายปรีชา กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางกรมการค้าภายในได้แก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยได้นำกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจค้าส่งค้าปลีกมาใช้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการยกร่างกฎหมาย หากกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ก็จะมีการระบุที่ชัดเจนว่า ต้องมีการขออนุญาตตั้งหรือขยายสาขา และจะมีการกำหนดพื้นที่ ขนาดและจำนวนธุรกิจ ทั้งระบุระยะห่างของร้านค้า รวมทั้งเงื่อนไขที่จำเป็น และขณะนี้ในร่างกฎหมายดังกล่าวมีบางส่วนได้นำกฎหมายว่าด้วยผังเมืองที่มีผล บังคับใช้อยู่แล้วมากำหนด แต่ต้องยอมรับว่ากฎหมายที่ใช้อยู่ยังมีช่องโหว่ จึงจำเป็นต้องหามาตรการอื่นมาเพิ่มเติม โดยเฉพาะการนำแนวทางพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมในธุรกิจส่ง ปลีก โดยอาศัยอำนาจตามบทมติมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 มาบังคับใช้และจัดสัมมนา เพื่อเร่งทำความเข้าใจ

 

นายปรีชา กล่าวว่า ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสมัยใหม่มีการขยายตัวรวดเร็วและต่อเนื่อง และเพิ่มรูปแบบธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กที่สามารถให้บริการแก่ผู้บริโภคได้ อย่างกว้างขวาง โดยกำหนดเวลาให้บริการตลอด 24 ชม. ส่งผลให้ร้านโชห่วยที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันจำกัด ยิ่งได้รับความเดือดร้อนจากธุรกิจค้าส่งปลีกสมัยใหม่รุนแรงมากยิ่งขึ้น

 

กรมการค้าภายในจะใช้มาตรการโดยเร่งรัดการประกาศใช้แนวทางการพิจารณา การปฏิบัติทางการค้าระหว่างผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งปลีกกับผู้ผลิต ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว เพียงรอคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าเห็นชอบ ก็จะสามารถประกาศใช้ได้ทันที รวมถึงจะเร่งผลักดันให้พิจารณาทบทวนนำกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งมาบังคับใช้ที่จะสามารถกำกับดูแลธุรกิจค้าส่งค้าปลีกโดยตรง จะเป็นการกำกับดูแลค้าปลีกค้าส่งให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และจะขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสมัยใหม่แจ้งนโยบายและ แผนการขยายสาขาต่อกรมการค้าภายใน ตลอดจนการขอให้ระงับหรือชะลอการจัดตั้งสาขาในเขตชุมชนไว้ก่อนเพื่อประเมิน สถานการณ์และรอผลกระทบตามข้อเรียกร้องของร้านค้าโชห่วย อีกทั้งจะขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมโยธาธิการและผังเมือง กรุงเทพมหานคร องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล ให้ช่วยยับยั้งหรือชะลอการพิจารณาอนุญาตการจัดตั้งหรือขยายสาขาของผู้ขอ อนุญาตก่อสร้างอาคารที่จะใช้ประกอบกิจการค้าส่งค้าปลีกสมัยใหม่ในเขตชุมชน ต่อไป

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ปฏิรูปประเทศ ปัญหาเรื่องขยะถ้าไม่รีบวางแผนและจัดการอย่างชัดเจน จะสายเกินแก้

 

วันที่ 10 กรกฎาคม 2557 15:35

117วันมลพิษบ่อขยะแพรกษา ผลกระทบที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

 

โดย : ศักรินทร์ เข็มทอง

 

(รายงาน) 117 วันมลพิษบ่อขยะแพรกษา ผลกระทบที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

 

 

นับเป็นเวลา 117 วันแล้วหลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้บ่อขยะแพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา แม้ว่าขณะนี้ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนจะทุเลาเบาบางลงไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าปัญหาจะหมดสิ้นไป เนื่องเพราะ "บ่อขยะ" อันเป็นต้นตอของปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข

สภาพปัญหาที่ยังเกิดขึ้นในพื้นที่ถูกถ่ายทอดในวงสัมมนาเรื่อง "แพรกษาโมเดล? และแนวทางการจัดการปัญหาบ่อขยะในประเทศไทย" ที่สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จับมือกับเครือข่ายภาคประชาสังคม และประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากบ่อขยะแห่งนี้ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

สุชาติ นาคนก ประธานเครือข่ายต่อต้านบ่อขยะแพรกษา เล่าว่า ทุกวันนี้แม้จะไม่มีควันไฟแล้ว แต่ก็ยังได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากการขุดบ่อเพื่อนำขยะขึ้นมา ซึ่งส่งกลิ่นเหม็นรบกวนชาวบ้านเหมือนเดิม

สุชาติ บอกว่า ชาวบ้านแพรกษากว่า 12 หมู่บ้านรอบบ่อขยะยังคงมีความกังวลว่าจะได้รับผลกระทบอยู่ โดยเกรงจะเกิดไฟไหม้ซ้ำขึ้นมาอีก แต่การที่เจ้าของบ่อขยะเตรียมสร้างรั้วรอบพื้นที่นั้น เป็นการแก้ไขปัญหาไม่ถูกจุด และเป็นการปิดบังชาวบ้าน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการตรวจสอบการแก้ไข

จากปัญหาที่ยังดำรงอยู่ เครือข่ายต่อต้านบ่อขยะแพรกษาได้ร่างข้อเสนอจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ เสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ข้อเสนอดังกล่าวมีทั้งหมด 7 ข้อ ดังนี้ 1.ขอให้มีการประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ปนเปื้อนเพื่อการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม 2.ขอให้มีคำสั่งยกเลิกและห้ามออกใบอนุญาตประเภทประกอบธุรกิจบ่อขยะที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมโดยรวม 3.การฟื้นฟูต้องเป็นไปตามหลักวิชาการ โดยให้ผู้ประกอบการและเจ้าของพื้นที่บ่อขยะจัดทำแผนและรับผิดชอบในการดำเนินการฟื้นฟู

4.ผู้ประกอบการจะต้องทำรั้วไม่เกินระดับสายตา 1-2 เมตร เพื่อให้ชุมชนสามารถติดตามตรวจสอบการดำเนินการฟื้นฟูและปรับปรุงพื้นที่ได้ อย่างสะดวกและต่อเนื่อง 5.ขอให้การฟื้นฟูทุกขั้นตอนมีคณะกรรมการกำกับ ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินการดำเนินการ

6.ขอให้มีหลักประกันว่าสวัสดิภาพของเครือข่ายฯ และประชาชนที่ออกมาร้องเรียนทุกคนจะต้องได้รับการคุ้มครอง และ 7.ขอให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศในเรื่อง การกำกับดูแลผู้ประกอบการด้านการดูแลสุขภาพอนามัยของประชาชนจากภัยพิบัติและมลพิษให้มีความทันสมัย สอดคล้องและเท่าทันต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน

รองศาสตราจารย์ เภสัชกร ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ เสนอว่า แนวทางการแก้ไขบ่อขยะนั้น ต้องทำให้เป็นระบบและยั่งยืน รวมทั้งต้องมีการจัดการตั้งกองทุนช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหา โดยเร็ว ไม่ใช่ได้รับเงินหลังจากที่มีการฟ้องร้องกัน ซึ่งล่าสุดทราบว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้า คสช.ได้อนุมัติการจัดตั้งกองทุนลักษณะดังกล่าวแล้ว โดยมีวงเงิน 20 ล้านบาท

"จากเหตุการณ์ที่แพรกษาถึงตอนนี้ยังไม่รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ชาวบ้านยังได้รับผลกระทบอยู่ ซึ่งควรจะต้องมีการช่วยเหลือเงินเยียวยาในทันที"

ขณะที่ ดร.พิชญ รัชฎาวงศ์ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ได้เสนอแนวทางการปรับปรุงและฟื้นฟูบ่อขยะแพรกษา โดยหวังให้เป็นต้นแบบในการจัดการบ่อขยะแห่งอื่น

ดร.พิชญ บอกว่า บ่อขยะแพรกษานั้น ขนาด 150 ไร่ ลึก 50 เมตร และเต็มไปด้วยน้ำ ถ้านำขยะออกมา พื้นที่จะเกิดการทรุดตัวหรือไม่ ดังนั้นแนวทางที่สามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้ อันดับแรกต้องคำนึงถึงสภาพพื้นที่ในเชิงวิศวกรรม รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน

เขายังบอกด้วยว่า ในพื้นที่ควรมีการตั้งโรงบำบัดน้ำเสียจากขยะในบ่อ ซึ่งต้องมาร่วมกันคิดว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ อย่างไร ส่วนแนวทางการปฏิบัตินั้นต้องระบุกลุ่มผู้เกี่ยวข้องในการปรับปรุงฟื้นฟูที่ ชัดเจน ใครเป็นเจ้าภาพรับหน้าที่ดูแล

นอกจากนี้ยังต้องจัดทำงบประมาณในการฟื้นฟู ซึ่งในต่างประเทศรัฐช่วยออกเงินด้วย เพราะถือเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินการ ต้องมีการออกแบบแผนงานที่เป็นระบบ และมีหลักวิชาการที่ถูกต้อง

สุดท้ายต้องมีการวัดผลเป็นระยะและต่อเนื่องเพื่อจะได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและสามารถนำมาปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาต่อไป

สำหรับความคิดเห็นต่างๆ ในวงสัมมนาครั้งนี้ ผู้จัดได้รวบรวมจัดทำเป็นแนวทางการปฏิบัติเพื่อเสนอต่อ คสช. และหน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณาอีกครั้ง

ก็ได้แต่หวังว่าปัญหาเหล่านี้จะได้รับการแก้ไขในเร็ววัน เพื่อให้ประชาชนและชุมชนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ใกล้บ่อขยะได้มีความสุขแบบไร้มลพิษที่เป็นภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานอย่างที่ควรจะเป็น!

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ปฏิรูปประเทศ ศึกษาสิ่งดีๆจากชนชาติอื่น(เอามาแต่สิ่งดีนะสิ่งไม่ดีอย่าเอามา) แล้วนำมาสั่งสอนในเด็กรุ่นใหม่ โรงเรียนและวัดต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก

 

 

 

 

Ohlanor Thailand

1 ชม. ·

 

เปรียบเทียบนิสัยคนชาติต่างๆ กับคนไทย

1. จีน ประหยัด มัธยัสถ์ เอาการเอางาน มีเลือดรักชาติ ทะเยอะทะยาน ไม่กลัวความลำบาก หนักเอาเบาสู้ แข็งแรง มีความคิดสร้างสรรค์ เก่งด้านการค้าขาย กตัญญูรู้คุณ อ่อนน้อมถ่อมตน แต่ขณะเดียวกันก็ไ่ม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร เอาเปรียบ ขี้เหนียว ไม่รู้จักพอ ชอบสูบบุหรี่ ชอบพูดจา โหวกเหวก โวยวาย ขากสเลดบ่อย ชอบกินเสียงดัง เพื่อให้รู้ว่าอร่อย รักครอบครัว ชอบอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน พ่อมักจะเป็นใหญ่มากที่สุดในบ้าน ค่อนข้างเด็ดขาด ไม่ชอบลูกผู้หญิงเท่ากับผู้ชาย

2.ญี่ปุ่น สุภาพเรียบร้อย นิ่มนวล ตัวเองสูง ชอบกดขี่ทางเพศ ชอบอยู่เหนือผู้หญิง ทำตัวเหมือนพ่อ ล้างสมองได้ยาก มีความรับผิดชอบ สูงมาก ชาตินิยม มีระเบียบวินัยในตนเองสูง ตรงต่อเวลา ประหยัด มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบผลิตของแปลกๆ หัวก้าวหน้า เครียด อารมณ์ทางเพศสูง ชอบทำอาหาร ผู้ชายค่อนข้างซาดิสม์ มีความสามัคคี ทรนงตน ไม่ให้ก้มหัวให้ใครง่ายๆ ใจเด็ด

3.อินเดีย ชอบกินอาหารเผ็ดร้อน ประเภทเครื่องเทศ จาปาตี แกงถั่ว พูดเก่ง ตื๊อเก่ง เจรจาการค้าได้เก่ง มีความอดทน ดำเนินธุรกิจบางอย่างที่คนไทยทำ ไม่ค่อยได้ ขยัน ประหยัด มีลูกเล่นแพรวพราว สกปรก

4. เยอรมัน มีนิสัยตรงไปตรงมา จริงใจไม่ ไม่ชอบเอาเปรียบใครและไม่ชอบให้ใครมาเอา เปรียบ รอบคอบในการใช้เงินสูงมากๆ รู้จักใช้รู้จักเก็บ มีการวางแผนชีวิตที่ดี

5.สวิสเซอร์แลนด์ เป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง สันโดษ รักอิสระ ไม่ชอบเป็นลูกจ้าง ใคร ไม่ชอบให้ใครมาบงการ เจ้าระเบียบ ทุกอย่างต้องเป็นระบบ เกลียดความวุ่นวายเข้าไส้

6.อังกฤษ "ตระหนี่ ประหยัด มัธยัสถ์ ถึงขั้นขี้เหนียว"สุขุมนุ่มลึก ขี้เก๊ก ฟอร์มผู้ดีสุดๆ ซีเรียส จริงจังกับชีวิตมากๆ จะบ้า งานมากๆเพราะค่าครองชีพที่บ้านเขาสูง ก็เลยต้องรีบทำงานแข่งกับเวลา เป็นเสือยิ้มยาก หน้าตาเครียดตลอดเวลา แต่ไม่มีอะไร ทำตามฟอร์มเท่านั้น

7.อเมริกัน รักอิสระเหนืออื่นใด อเมริกันมีนิสัยค่อนข้างหลากหลายตามเชื้อชาติของเขา ชอบเฮฮาปาร์ตี้ เปิดเผย พูดตรง เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี มีความรับผิดชอบสูง ตรงต่อเวลา ส่วนข้อเสียของอเมริกันก็คือ เอาแต่ใจตัวเองและมีอีโก้สูงมากๆ อัตตาสุดๆ คิดว่าตัว เองมีดีกว่าคนอื่น ไม่ยอมอ่อนโอนตามอะไรง่ายๆ

8.สวีเดน คล้ายคลึงกับคนไทยมากที่สุด โดยเฉพาะในเรื่องครอบครัวรักพวกพ้อง ดูแลญาติมิตร

9.ฝรั่งเศส มีความรับผิดชอบสูงปรี๊ด เจ้าสำอาง พิถีพิถันในการแต่งตัวเป็นที่สุด แบบที่เสื้อผ้า หน้าผมต้องเข้ากันเป๊ะ มีรสนิยมสูง ชาตินิยม มั่นใจในตัวเองสูง ครอบครัวต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก การกินอาหารนั้น นิยมใช้ขนมปังปาดจานจนเกลี้ยง ส่วนรถก็ใช้คันเล็กๆ เพราประหยัดพลัีงงาน

10.เนเธอแลนด์ "ขี้เหนียว" และฉลาดในการใช้เงิน มีน้ำใจมากๆ อัธยาศัยดี มนุษยสัมพันธ์ดี

11.ออสเตรเลีย เด่นๆเลยคือขี้เหนียว ข้อดีก็คือขยันทำงาน ไม่คิดมาก ดูเหมือนไม่แคร์และไม่แฟร์ ด้วยสิ่งที่ต้องทำใจก็คือ ชาวออสซี่มักไม่เปิดใจยอมรับคนผิวเหลืองสักเท่าไหร่ มีความรับผิดชอบต่อตัวเองและครอบครัว มีความสามารถ ในการประกอบอาชีพ ทำมาหากินเก่ง

12.นิวซีแลนด์ สุภาพ เรียบร้อย อ่อนโยน ไม่หยิ่ง ไม่ถือตัว อัธยาศัยดี รับผิดชอบต่อครอบครัวสูง ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่อวดร่ำอวดรวย รักธรรมชาติ

13.นอร์เวย์ เย็น ชา ไร้อารมณ์ ไม่ชอบแสดงอารมณ์ออกมา กิจกรรมยามว่างก็คือการออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูง หรือแบกเป้ใบเดียวเที่ยวไปทั่วโลก รักสนุก

14.อิตาลี เป็นพวกจริงจัง มุ่งมั่น ทำงานขยันขันแข็ง นิสัยดีมาก คุยตลก สนุกสนาน เป็นกันเอง พูดจาเสียงดังและมักใช้มือประกอบลีลา เป็นคนรักสะอาด มีการวางแผนการใช้จ่ายที่เป็นระบบ มีกฎเกณฑ์ อิตาเลี่ยนมักรักง่ายหน่ายเร็ว จึงเกิดปํญหาการหย่าร้างสูงมาก

15.เดนมาร์ก เป็นพวกอารมณ์ดี มีความสุขตลอดเวลา จัดอยู่ในเกณฑ์ยิ้ม ง่าย ยิ้มอยู่นั่นแหละ เห็นนกก็ยิ้ม เห็นต้นไม้ก็ยิ้ม และมีอารมณ์ขัน ส่วนใหญ่จะรักสันติ หลีกเลี่ยงการปะทะหรือการเผชิญหน้า รักความสนุกสนาน เลยไม่ค่อยพลาดงานเฮอาปาร์ตี้เท่า ไหร่ และที่สำคัญคือรักธรรมชาติมากๆ จนถือได้ว่าเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตัว ยงเลยทีเดียว

16.สเปน นิสัยออกจะทะลึ่งทะเล้นนิดๆ และชอบขี้เล่นไม่ค่อย เครียด ชอบความสนุกสนาน ร่าเริง เฮฮาปาร์ตี้ เอ็นจอยกับ ชีวิตไปเรื่อย เลยอาจทำให้ดูเหมือนพวกรักสนุกไปวันๆ ไม่จริงจังกับชีวิต แต่เวลาทำงานจริงจัง มีนิสัยเป็นกันเอง ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมให้เสียอารมณ์ ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกว่าไม่ชอบ เป็นคนง่ายๆ สบายๆ

17.เบลเยี่ยม สุภาพและเป็นมิตร ถ้าเดือดร้อนเข้าให้(จริงๆ) เขาก็พร้อมจะช่วยเหลือเต็มที่ ขัดกับใบหน้าอันนิ่งเฉยนั้นอย่างแรง การมีอัธยาศัยดี ชอบผูกมิตรกับคนรอบข้าง เรื่องความขยันเอาการเอางานก็ไม่แพ้ชาติไหนโดยเฉพาะเรื่องเกมส์การค้าขาย ไม่เป็นสองรองใครอีกต่างหาก

18. แคนาดา ประเทศแคนาดาเลยมีส่วนผสม ของชนชาติต่างๆ มากมายเต็มไปหมด ซึ่งแม้แต่คนแถบเอเชียเอง อย่างเช่น ฟิลิปปินส์ จีน อ่องกง อินเดีย หรือ ปากีสถาน ฯลฯ ก็เก็บข้าวของไปตั้งรกรากและทำงานที่แคนาดากันมากมาย ขึ้นอยู่กับว่ามีส่วน ผสมของชาติไหนมากกว่ากัน แต่รักสงบ ชอบทำงาน

19.ไต้หวัน นิสัยไต้หวันจะไม่ค่อยแตกต่างกับชาวจีนเท่าไหร่ มีความจริงจัง อารมณ์ร้อนพูดเสียงดัง โวยวาย ขยัน อดทน ทุ่มเททำงาน ทำธุรกิจเก่ง ดื้อรั้น ฉุนเฉียวง่ายห้ามอะไรไม่ค่อยฟัง อัตตาสูง คิดว่าตัวเองเจ๋งสุด การทำงานค่อนข้างมีคุณภาพ

20.เกาหลี ชอบกินกิมจิ ในวงอาหารครอบครัว ผู้ชายต้องเป็นผู้ตักรับประทานก่อนและผู้หญิงถึงได้ตักรับประทาน มีความเป็นผู้นำสูง ให้ความเคารพผู้ที่อาวุโสกว่ามีความรับผิดชอบต่อครอบครัว กล้าคิดกล้าตัดสินใจ ครอบครัวมาก่อนเสมอ เป็นพ่อศรีเรือน พ่อบ้านเกาหลีจะชอบแขวนลูกเล็กๆไว้กับอกแล้วไปไหนมาไหนกันตามประสาพ่อลูก ไม่มีเขินอาย ทำงานบ้านได้ทุกอย่าง แต่ก็อารมณ์ร้อนใช่ย่อยตรงไปตรงมา ชอบแต่งตัว คนเกาหลีไม่รู้จักการขอโทษ ผู้ชายเกาหลีจึงชอบกดขี่ข่มเหงผู้หญิง โดยเฉพาะภรรยา จากการสำรวจพบว่าผู้ชายเกาหลีติดอันดับชอบซ้อมภรรยามากที่สุดในโลก และถ้าแต่งงานกันไปผู้หญิงต้องนับถือญาติฝ่ายชายมากกว่าญาติตัวเอง และต้องทำเสมือนตัดขาดจากครอบครัวตัวเอง

21.ไทย ชอบกินข้าว กินอาหารทุกอย่างที่อร่อย ขอให้เป็นอาหาร แต่ก็กินข้าวเป็นหลัก ชอบกินไปคุยไป สนทนาทุกเรื่องในวงข้าว โดยภาพรวมแล้วคนไทยค่อนข้างดูเป็นมิตร ดูร่าเริง กันเอง อะไรก็ได้ แต่ในสังคมเมืองกรุง เช่น กรุงเทพ พัทยา และภูเก็ต ค่อนข้างจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หากไปแถวๆ ต่างจังหวัดผู้คนจะใจดี เป็นมิตรอย่างมาก เจ้าชู้ ขี้เกียจ รักสบายเกินไป ชอบคุย รักสนุก ชอบเล่นหวยและการพนันสุดยอด เชื่อโชคลาภ ชอบหวังน้ำบ่อหน้า เชื่อคนง่าย เลือกเชื่อในสิ่งที่อยากฟัง ด่วนสรุป ชอบต่างชาติโดยเฉพาะหนุ่มหัวทอง สาวๆ จะชอบมาก แต่ชายไทยจะนิยมสาวเอเชีย ชอบเทียว ชอบช็อปปิ้ง ชอบกิน ชอบซื้อ ซื้อของแบรนด์เนม นิยมหรูหรา การทำงานถ้าเป็นทีมไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จ มีความเก่งเฉพาะตัว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คสช.ประกาศว่าการรัฐประหารของตนเพื่อคืนความสุขให้ประชาชน และจะปฏิรูปเพื่อสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งปัจจุบันช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนห่างกัน15-20 เท่า

 

โครง สร้างทางภาษีจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และสังคมดังโครงสร้างการเก็บภาษีเงินได้บุคคลและนิติบุคคลแบบขั้นบันไดใครมี รายได้มากก็จ่ายมากใครมีน้อยก็จ่ายน้อยหรือได้รับการยกเว้น

 

รัฐบาล ที่ผ่านๆมาเคยมีแนวความคิดจะออกกฎหมายภาษีมรดกภาษีที่ดินแต่ก็มีแค่แนวความ คิดไม่มีผลทางปฏิบัติเพราะกลุ่มทุนมักมีอิทธิพลเหนือนักการเมืองเสมอมา

 

รัฐบาล จึงปล่อยให้มีนายทุนที่ครอบครองที่ดินคนละเป็นหมื่นเป็นแสนไร่ได้โดยไม่มี การเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้าโดยเฉพาะที่ดินที่ถือครองไว้โดยไม่ได้ทำ ประโยชน์ควรมีการเก็บภาษีให้สูงมากๆเพื่อจำกัดการถือครองที่ดินเพราะที่ดิน ไม่สามารถงอกใหม่ได้ในขณะที่ประชากรเพิ่มขึ้นทุกปี

 

การ ถือครองที่ดินมากเกินไปในขณะที่ยังมีประชาชนจำนวนมากที่ไร้ที่ดินทำกินจึง เป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรง รวมทั้งเกิดปัญหาที่ชาวบ้านบุกรุกที่ดินป่าสงวนเพื่อแสวงหาที่ทำกิน ฯลฯ

 

รัฐบาล ส่วนใหญ่มักอุ้มคนรวยเสมอเพราะมีกำลังต่อรองสูงกว่าประชาชนทั่วไป มิเช่นนั้นก็เพราะมีเครือข่ายของตนเองเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่เสียเอง ดังจะเห็นได้ว่ารัฐบาลก่อนก็อุ้มธุรกิจขนาดใหญ่ด้วยการลดสัดส่วนขั้นสูงสุด การเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก30%เป็น23%และปัจจุบันเหลือเพียง20%ซึ่งไม่ ใช่นโยบายที่ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม

 

บริษัท ขนาดใหญ่ยังได้รับการอุ้มชูจากรัฐด้วยการให้BOIเพื่อลดหย่อนภาษีอีกด้วยทั้ง ที่มีกำลังจะช่วยแบ่งเบาภาระให้สังคมได้ตัวอย่างบริษัทปิโตรเคมีขนาดใหญ่ที่ เป็นการควบรวมกิจการของบริษัทเก่าแต่รัฐก็ยังให้BOIที่ไม่ต้องจ่ายภาษีเงิน ได้นิติบุคคล100% เป็นเวลา8ปี และหลังจาก8ปี ก็ยังได้รับการลดหย่อนภาษี50% เป็นเวลาอีก5ปี ทั้งที่ธุรกิจใหญ่โตที่มีกำลังในการจ่ายภาษี แต่กลับได้รับการอุ้มชูจากรัฐบาลในทุกสมัย ยิ่งกว่านั้นยังเป็นกิจการที่ไม่ต้องจ่ายภาษีทุกชนิดตั้งแต่ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล ทั้งที่เป็นอุตสาหกรรมก่อมลภาวะ และสร้างขยะพลาสติกมหาศาล แต่กลับไม่ต้องร่วมรับผิดชอบในการดูแลสังคมเอาเลย

 

แม้รัฐบาลก่อนจะมีแนวความคิดที่จะเพิ่มการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ก็ยังไม่กล้าประกาศดำเนินการ การที่คสช. ไม่ได้ดำเนินการแก้ไขให้มีการเก็บภาษีเพิ่มขึ้น จากกลุ่มทุนและกลุ่มผู้มีอันจะกินในสังคมนี้เสีย ก่อนที่จะมาประกาศขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก7%เป็น 9% ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไปนั้น จึงเป็นเรื่องที่สวนทางจากแนวทางที่จะลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมตามที่ประกาศไว้หรือไม่?

 

ภาษีมูลค่าเพิ่มไม่มีกลไกลดความเหลื่อมล้ำ คนจนหรือคนรวยซื้อสินค้าชิ้นหนึ่ง ก็จ่ายภาษีเท่ากัน การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงเป็นการกระจายภาระลงไปที่คนจน ซึ่งมีฐานกว้างกว่า รัฐได้ภาษีเพิ่มขึ้นง่ายกว่าเพราะแม้ว่าคนจนมีจำนวนมากกว่า แต่ก็เป็นกลุ่มที่ไร้อำนาจต่อรองไม่เหมือนกลุ่มทุน กลุ่มคนร่ำรวยในสังคมที่เสียงดังกว่าเสมอ

 

การเก็บเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยยังคงการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ20% และไม่มีการออกกฎหมายเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า และภาษีมรดกจึงเป็นนโยบายที่ไม่เป็นธรรมต่อประชาชนคนหาเช้ากินค่ำ ที่ปัจจุบันก็รับภาระหนักอึ้งจากค่าครองชีพ และราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นโดยมีแนวโน้มที่คสช.จะทำตามข้อเสนอของกลุ่ม ทุนพลังงานที่เรียกร้องให้ปรับขึ้นราคาดีเซลก๊าซLPGและNGVให้เป็นรายการคืน ความสุขอันดับต่อไปหรือไม่?

ตรงกันข้ามการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอาจจะมีผลให้จัดเก็บภาษีได้น้อยลงเพราะกำลังซื้อและการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศได้เพราะการบริโภคภายในประเทศเป็นตัวสร้างGDP ของประเทศถึง 55%ในขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนทั้งหมดสร้างGDP

เพียง22% เท่านั้น

 

น่าเสียดายที่ วาทกรรมการคืนความสุข และสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ อาจจะถูกมองจากประชาชนได้ว่าเป็นเพียงสโลแกนกลวงๆ ที่ไม่ต่างจากคำหวานที่ทุกรัฐบาลมักหาเสียง และให้สัญญาแบบลมๆแล้งๆกับประชาชนกระมัง?

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1405654900

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีค่ะ คุณส้มโอมือ เรื่องโครงสร้างทางภาษีเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะเป็นเรื่องที่ประชาชนทุกคนต้องเกี่ยวข้องด้วย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พื้นที่ที่มีระบบชลประทานของประเทศเรายังน้อยครับ

 

ปี 2554 ประเทศไทยมีพื้นที่ชลประทาน 29.6 ล้านไร่ และเป็นพื้นที่รับประโยชน์จำนวน 11.6 ล้านไร่ ขณะที่เป็นพื้นที่ที่ไม่มีระบบชลประทานจำนวน

ถึง 279.4 ล้านไร่ โดยจังหวัดที่มีพื้นที่ชลประทานมากที่สุดคือจังหวัดสุพรรณบุรี ทีมีพื้นที่ชลประทานถึง 1.7 ล้านไร่ แต่มีพื้นที่รับประโยชน์เพียง

2.1 แสนไร่เท่านั้น ขณะที่จังหวัดที่มีพื้นที่รับประโยชน์มากที่สุดคือจังหวัดเชียงใหม่ที่มีพื้นที่รับประโยชน์ถึง 7.5 แสนไร่ สำหรับพื้นที่ชลประทาน

และพื้นที่รับประโยชน์แต่ละจังหวัดเป็นดังนี้

พื้นที่ชลประทาน.pdf

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผมว่าชาวโลกโดนอเมริกาหลอกอีกแล้วนะ

ผู้มีอำนาจครับหาทางยกเลิกมติครม. เรื่องนี้เถอะครับ โดนอเมริกาล้วงตับดูข้อมูลแล้วครับ เราเป็นประเทศเอกราชนะครับ ให้ข้อมูลเฉพาะคนที่ถือสัญชาติอเมรกาก็พอแล้ว ใครเคยไปเรียนอเมริกาโดนล้วงตับหมด

 

---งานนี้อเมริกาแอบล้วงความลับทางการเงินของประชาชนชาติอื่นทั่วโลกมากกว่า เช่นนายAเคยได้ทุนAFSไปอเมริกา1ปี ก็จะเข้าข่ายถูกรายงานธุรกรรมทางการเงินให้อเมริกาทราบ ถึงเราให้ข้อมูลในแบบฟอร์มว่าไม่มีธุรกรรมต่างๆกับอเมริกา แต่อเมริกามีรายชื่อคนที่เข้าข่ายทั้งหมดอยู่แล้ว ธนาคารส่งข้อมูลให้อเมริกาแบบถูกต้องตามกฎหมาย

 

---บางรายที่อเมริกาต้องการรู้ธุรกรรมทางการเงินทั้งๆที่ไม่เข้าข่ายที่ กำหนด แค่อเมริกาส่งรายชื่อให้สถาบันทางการเงิน สถาบันคงรีบส่งข้อมูลทางการเงินให้ทันทีโดยไม่เสียเวลาตรวจสอบเลย เป้าใหญ่แอบล้วงความลับคนทั่วโลกมากกว่าครับ

 

---เจ้าสัวใหญ่ๆในเมืองไทย โดนล้วงข้อมูลทั้งหมดแน่ครับ เขาหาเรื่องผูกความสัมพันธ์ได้แน่ครับ

 

 

 

 

 

 

 

Somkiat Osotsapa

 

6 ชั่วโมงที่แล้ว

ตั้งแต่วันที่1 กรกฏาคมที่ผ่านมา คนไทยทุกคนที่จะไปเปิดบัญชีธนาคาร เปิดบัญชีหลักทรัพย์ ลงทุนในกองทุนต่างประเทศ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม ทำประกันกับบริษัท ต้องกรอกแบบฟอร์มว่าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอเมริกาอย่างไรด้วย

 

เป็นข้อบังคับที่อเมริกากำหนดมาตามกฎหมายที่เขาออกเมื่อปี 2510 และรัฐบาลไทยได้ผ่านมติ ครม รับรองแล้ว แต่ยังไม่ได้เจรจา ราว 90% -v'สถาบันการเงินไทยรีบไปตกลงกับกรมสรรพากรสหรัฐเรียบร้อยแล้ว กลัวจะโดนเล่นงานเก็บภาษี 30%

 

จุดมุ่งหมายคือรัฐบาลอเมริกาจะเก็ บภาษีจากชาวอเมริกันทั่วโลก รวมบริษัท กิจการต่างๆด้วย ใครที่มีหุ้นส่วนเป็นอเมริกัน จ้างอเมริกัน ต้องรายงานด้วย แม้จะมิได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทใดก็ตามที่มีอเมริกันลงทุน จนถืงคนและบริษัทที่มีรายได้จากอเมริกาต้องแจ้ง

 

เรื่องนี้เกี่ยวกับทุกสถาบันการเงิน กองทุน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทที่ขายหุ้น คนอเมริกัน คนที่แต่งงานกับอเมริกัน คนที่อยู่ในอเมริกาที่มีสัญชาติ มีกรีนคาร์ด จนถืงบุคคลที่มีสิ่งบ่งชี้ว่าเกี่ยวข้องกับอเมริกา เช่น อยู่เกินกี่วัน มีสถานที่อยู่ที่นั่น มีเบอร์โทรศัพท์

 

งานนี้ส่งผลแรงมากต่อตลาดหุ้น เงินอาจไหลเข้าไทยมาก หรือตลาดหุ้นอเมริกาล้ม ปัญหาว่าเขาเอากม มาใช้ในไทยได้อย่างไร

 

คิดก็เหนื่อยจะเขียนแล้วครับ

อยากฟังรายละเอียดมั้ย

 

FATCA กำหนดข้อบ่งชี้ว่าลูกค้าอาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลอเมริกัน มีดังนี้

 

กรณีบุคคลธรรมดา

 

• มีสัญชาติอเมริกัน / เกิดที่สหรัฐอเมริกา / มีที่อยู่ถาวรในสหรัฐอเมริกา

• มีที่อยู่ปัจจุบัน หรือที่อยู่เพื่อการติดต่อ หรือที่อยู่เพื่อรับส่งไปรษณีย์แทน ในสหรัฐอเมริกา

• มีที่อยู่ชั่วคราวในสหรัฐอเมริกา หรือ เคยอาศัยอยู่ในอเมริกาเกินกว่า 183 วัน

• มีหมายเลขโทรศัพท์ในสหรัฐอเมริกา

• มีการมอบอำนาจให้บุคคลอื่นที่มีที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา ดำเนินการเกี่ยวข้องกับบัญชีแทน

• มีการทำคำสั่งทำรายการโอนเงินเป็นประจำไปยังบัญชีที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา

 

กรณีนิติบุคคล

 

• เป็นบริษัทที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งในสหรัฐอเมริกา

• เป็นบริษัทที่มีข้อมูลบ่งชี้ได้ว่า มีความเกี่ยวพันกับสหรัฐอเมริกาซึ่งมีบุคคลหรือนิติบุคคลอเมริกัน เป็นผู้ถือหุ้นไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ในสัดส่วนของหุ้นรวมกันเกินกว่า 10%

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ปฎิรูปประเทศ ถ้ายังปล่อยให้คนที่โกงแบบหลักฐานชัดเจน ลอยหน้าลอยตาในสังคมอย่างมีความสุข จะเกิดอะไรขึ้นในสังคมประเทศเรา โกงถ้าโดนจับได้ก็คืนสิ่งที่โกงแล้วเรื่องจบๆกันไป การโกงจะกลายเป็นวัฒนธรรมปกติของประเทศเรา เรื่องเกิดตั้งแต่2548-2549 ผู้มีอำนาจคนไหนช่วยเหลือเขาถึงยังลอยหน้าลอยตาในสังคมอย่างมีความสุข

 

 

Supong Chan

 

คดีไร่ส้ม:

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สังคมเคยสนใจ แต่ก็คงจะลืมกันไปแล้ว เท้าความให้ฟังสักนิดว่า เดือนมิถุนายน 2546 บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้ทำสัญญาว่าจ้างนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ให้เป็นพิธีกรแบบรายวันดำเนินรายการ “ถึงลูกถึงคน” ในอัตราค่าจ้าง 5,000 บาท ต่อตอน ต่อมาปรากฏว่ารายการได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้ชมรายการ

หลังจากนั้น เดือนกุมภาพันธ์ 2547 นายสรยุทธ จึงได้ตั้ง บริษัทไร่ส้ม จำกัด โดยมีนายสรยุทธ เป็นกรรมการผู้จัดการ มีนางสาวอังคณา วัฒนมงคลศิลป์ และนางสาวสุกัญญา แซ่ลิ้ม เป็นกรรมการบริษัท และเข้าทำสัญญาร่วมผลิตรายการกับ อสมท

ต่อมาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2549 นางบุญฑนิก บูลย์สิน รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักการตลาด 1 ได้สังเกตพบว่า รายการข่าวเที่ยงคืน มีการออกอากาศล่าช้ากว่าเวลาที่กำหนดจึงได้ทำการตรวจสอบ และได้เรียกนางพิชชาภา มาสอบถามต่อหน้าทุกคนซึ่งนางพิชชาภา ก็ได้รับสารภาพต่อหน้าทุกคนว่า บริษัท ไร่ส้ม จำกัด มีการโฆษณาเกิน และไม่มีการรายงานเพื่อเรียกเก็บเงินจริง และตนได้ใช้น้ำยาลบคำผิดลบเฉพาะคิวโฆษณาเกินเวลาในส่วนของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ในใบคิวโฆษณารวมของ บมจ. อสมท เพื่อปกปิดความผิดที่ได้กระทำขึ้นตามคำแนะนำของนายสรยุทธ และนางสาวมณฑา ธีระเดช พนักงานของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ก่อนที่จะเกิดการตรวจสอบเรื่องนี้ขึ้น

 

บมจ.อสมท จึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยให้ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตสว.เป็นประธาน ผลสอบพบว่า มีการใช้เวลาเกินจริงๆ และมีการโฆษณาเกินกว่าที่ตกลงกันไว้ โดยมิได้นำรายได้ส่งให้แก่ บมจ. อสมท โดยบริษัทไร่ส้มได้โฆษณาส่วนเกินตามสัญญาฯ ในปี 2548 คิดเป็นเงิน 40,110,000 บาท และปี 2549 ตั้งแต่เดือน ม.ค.-มิ.ย. คิดเป็นเงิน 98,680,000 บาท รวมเป็นเงิน 138,790,000 บาท

“...ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2548-31 ก.ค. 2549 บ.ไร่ส้ม จำกัด โดยนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา น.ส.อังคณา วัฒนะมงคลศิลป์ และ น.ส.สุกัญญา แซ่ลิ่ม กรรมการ บริษัท กับ น.ส.มณฑา ธีรเดช เจ้าหน้าที่ บ.ไร่ส้ม จำกัด ได้บังอาจร่วมกันกระทำการโดยทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ต่างกรรมต่างวาระ โดยได้ร่วมกับนางพิชชาภา จัดทำคิวโฆษณาส่วนเกินในรายการ “คุยคุ้ยข่าว” และไม่แจ้งขอซื้อโฆษณาส่วนเกินต่อ บมจ.อสมท อันเป็นประโยชน์แก่ บ.ไร่ส้ม จำกัด โดยได้มอบเงินตอบแทนเป็นรายเดือนแก่นางพิชชาภา อันเป็นประโยชน์แก่ บ.ไร่ส้ม จำกัด ทำให้ บมจ.อสมท ได้รับความเสียหาย ไม่ได้รับเงินค่าโฆษณาส่วนเกินของ บ.ไร่ส้ม จำกัด 138,790,000 บาท แม้ต่อมาจะยินยอมชำระคืนแก่ บมจ.อสมท แต่เป็นผลมาจากการตรวจสอบพบการโฆษณาส่วนเกิน และมีการเรียกร้องให้ บ.ไร่ส้ม จำกัด ชำระเงินค่าโฆษณาส่วนเกินดังกล่าว

ดังนั้น การกระทำผิดของ บ.ไร่ส้ม จำกัด และนางพิชชาภาได้สำเร็จและสร้างความเสียหายร้ายแรงแก่ บมจ.อสมท อันเป็นการกระทำโดยร่วมกันทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่ 3 อันเป็นมูลความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบกับมาตรา 93”

อสมท จึงได้นำเรื่องเข้าแจ้งความและร้องต่อ ป.ป.ช. ให้ดำเนินคดีและตรวจสอบอีกชั้นหนึ่ง

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนของ ป.ป.ช. ปรากฏว่า นางพิชชาภา เอี่ยมสอาด เจ้าหน้าที่ธุรการระดับ 5 สำนักกลยุทธ์การตลาด บมจ.อสมท เป็นผู้รับผิดชอบเพียงผู้เดียวในการจัดทำคิวโฆษณารวมและเป็นผู้รายงานโฆษณา เกินเวลาเพื่อเรียกเก็บเงินจาก บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ได้ให้ความช่วยเหลือ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โดยไม่มีการรายงานการโฆษณาเกินเวลาของ บริษัท ไร่ส้มจำกัด เพื่อเรียกเก็บเงิน ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2549

จากการไต่สวนปรากฏว่า นายสรยุทธ ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คของ ธนาคารธนชาติ สาขาพระราม 4 จ่ายเงินให้นางพิชชาภา โดยมีการทำเอกสารหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้รวม 6 ครั้งเป็นเงิน 739,770.50 บาท เพื่อตอบแทนที่นางพิชชาภา มิได้รายงานการโฆษณาเกินเวลาของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด

หลังจากนั้น บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ได้มีการชำระเงินค่าโฆษณาส่วนเกินให้ บมจ. อสมท ในวันที่ 31 สิงหาคม 2549 และวันที่

15 กันยายน 2549 เป็นเงินจำนวน 103,953,710 บาท โดยบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ขอหักส่วนลด 30% จากยอดทั้งหมดจำนวน 138,790,000 บาท แต่ บมจ. อสมท ไม่ยินยอมให้หักส่วนลด 30% เนื่องจากบริษัทไร่ส้ม จำกัด มิได้ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำกันไว้และไม่ได้ชำระเงินให้ถูกต้องตามสัญญา บมจ. อสมท จึงคิดดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 138,790,000 บาท นับแต่ วันที่ 1 เมษายน 2548 คิดถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2549 เป็นเงินจำนวน 4,464,197.67 บาท พร้อมภาษีมูลค่าเพิ่ม จำนวน 9,715,300 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น จำนวน 152,969,497.67 บาท ซึ่งบริษัท ไร่ส้มจำกัด ก็ยินยอมชำระเงินดังกล่าวให้ บมจ. อสมท. ในวันที่ 20 ตุลาคม 2549

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าการกระทำของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา และนางสาวมณฑา ธีระเดช ซึ่งได้ใช้ให้นางพิชชาภา (นางชนาภา บุญโต) ไม่ต้องรายงานการโฆษณาเกินเวลาที่กำหนดในสัญญาให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และบริษัท ไร่ส้ม จำกัด (ในฐานะนิติบุคคล) มีมูลความผิดฐานสนับสนุนพนักงานกระทำความผิด ตามมาตรา 6, มาตรา 8 และมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

จึงมีมติให้ส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อพิจารณาโทษทางวินัย และให้ส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญากับผู้ถูกกล่าวหาตามฐานความผิดดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม นายสรยุทธได้ย้ายมาทำรายการกับช่อง 3 แม้เมื่อการชี้มูลของ ป.ป.ช. ออกมา และสังคมเรียกร้องให้นายสรยุทธพักบทบาททางหน้าจอลงเพื่อสร้างบรรทัดฐานทาง จริยธรรม กลับได้รับการปฏิเสธทั้งจากนายสรยุทธ์และช่อง 3

ในวันที่ 2 พ.ย.2555 นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ส่งจดหมายเวียน เรื่อง ขอความร่วมมือองค์กรในตลาดหุ้นผนึกกำลัง แก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ถึงกรรมการผู้จัดการของบริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน และสมาคมที่เกี่ยวเนื่องในตลาดทุนทุกแห่ง

เนื้อหาของจดหมายเวียนดังกล่าวได้อ้างถึงกรณีที่นายสรยุทธและบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดในคดียักยอกเงินโฆษณาจากบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ซึ่งสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้ออกแถลงการณ์ว่า แม้พฤติกรรมของผู้ถูกกล่าวหาแม้จะยังไม่มีบทสรุปทางกฎหมาย แต่ในแง่การประกอบวิชาชีพนับว่าไม่เหมาะสม มีการกระทำที่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดจรรยาบรรณแล้ว

“สำนักงาน ก.ล.ต.จึงขอความร่วมมือให้ท่านพิจารณาอย่างรอบคอบและใช้ความระมัดระวังในการ ทำธุรกิจกับบุคคลที่มีพฤติกรรม เข้าข่ายทุจริตคอร์รัปชั่น เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทย”

แต่ยามนั้น ช่อง 3 (ซึ่งเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์) ก็ปฏิเสธ ด้วยการย้ำว่า รอให้คดีมีการตัดสินโดยศาลออกมาให้เป็นที่ยุติเสียก่อน รวมไปถึงในเวลาต่อมา บ.อัมรินทร์ พริ้นติ้ง แอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ก็ยังสนับสนุนบทบาทของนายสรยุทธ ด้วยการจัดพิพม์หนังสือ “กรรมกรข่าว 3” ออกจำหน่าย กลายเป็นหนังสือขายดีของ “ร้านนายอินทร์” ด้วย

จากตรวจสอบของศูนย์ข่าวสืบสวน สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org พบว่านายสรยุทธมีรายได้ผ่านบริษัท ไร่ส้ม จำกัด และ

บริษัท ชัดถ้อยชัดคำ จำกัด ในรอบ 8 ปี กว่า 2,600 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,047 ล้านบาท ในจำนวนนี้มาจากการเป็นคู่สัญญารัฐ อาทิ ธนาคารออมสิน และ ปตท. ในการว่าจ้างประชาสัมพันธ์กว่า 150 ล้านบาท

คนแบบนี้ไม่น่าจะทำงานเกี่ยวกับสังคม เด็กดูก้อจำเป็นไอดอลต่อไป สังคมก้อจะมีแต่คนโกง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...