ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ส้มโอมือ

ปฏิรูปประเทศ เพื่ออนาคตที่ดีกว่านี้ของประเทศไทย

โพสต์แนะนำ

อยากให้ทุกท่านช่วยเสนอ หรือโพสข้อเสนอที่น่าสนใจที่ไปอ่านเจอ เพื่อการปฏิรูปประเทศไทยเพื่ออนาคตที่ดีกว่า บ้านของพวกเราต้องช่วยกันติช่วยกันก่อครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หยุดสักนิดคิดให้ดีก่อนที่จะจัดให้มีการเลือกตั้ง ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้างกับอเมริกาและประเทศในแถบยุโรป อเมริกามีหนี้สินมากเป็นอันดับ1ของโลก ปัญหาเศรษฐกิจนับตั้งแต่วิกฤติในปี2008จนถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่ดีขึ้นทั้งๆที่ อัดเงินเข้าไปอย่างมหาศาล(ข่าวที่แต่งต่างๆคือดีแล้วฟื้นแล้ว ลองเจาะหาข้อมูลดูครับยังไม่ฟื้นและรอวันล้ม) ส่วนกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรสถานะก็ไม่ต่างจากอเมริกา ใครจะล้มก่อนกันเท่านั้น สิ่งที่ต้องแก้และตีกรอบป้องกันคือเรื่อง ประชานิยม

 

ถ้าการเลือกตั้งปล่อยให้มีประชานิยมแบบเสรี ถึงคุมการซื้อเสียงได้ ประชานิยมแบบเสรีก็ไม่ต่างจากการซื้อเสียงแบบถูกกฎหมาย ใครเสนอประชานิยมมากกว่าก็จะได้รับเลือกตั้ง

 

อาจต้องคุมว่าในการหาเสียง งบในการทำประชานิยมแต่ละพรรคห้ามเกินเท่าไหร่ โครงการไหนใช้เงินส่วนกลางไปเท่าไหรต้องทำให้ชัดเจนก่อนหาเสียง การขึ้นค่าแรงก็หาเสียงได้แต่ห้ามเกินเท่าไหร่ ไม่เช่นนั้นโครงการคล้ายในอดีตจะโผล่ขึ้นมาอีกเช่น ค่าแรง300ทั่วประเทศ ข้าวทั่วประเทศตันละ15,000บาท กองทุนกู้ยืมหมู่บ้านละ1ล้าน โครงการประชานิยมทำได้ครับ แต่คุมว่าทุกโครงการประชานิยมของแต่ละพรรคต้องไม่เกินวงเงินที่กำหนดครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

2475 ปฎิวัติ แล้วได้อะไร แค่เป็นการยึดอำนาจมาจากองค์กษัตริย์ แล้วแค่จัดการเลือกตั้งเท่านั้น ประชาชนไม่รู้ความสำคัญของการเลือกตั้ง จึงมีการซื้อสิทธิขายเสียงมาตลอด ผิดตั้งแต่ตอนนั้น ต้องปฎิรูปประเทศก่อนครับ

 

---เคยมีคนโพสว่า ถ้ามีระเบิดลงทำเนียบในเวลาประชุมสภา แล้วส.ส.ตายหมดทั้งสภา ประเทศเราจะสูงขึ้นทันที มีคนเคยพูดว่าประเทศเราเดินหน้ามาได้ทุกวันนี้ เป็นเพราะข้าราชการนักธุรกิจและประชาชน(แต่ที่ล้าหลังประเทศอื่นเพราะนักการ เมือง) ผมมองว่าจริง ลองดูว่าประเทศเราเคยมีรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ที่ในชีวิตรู้จักแค่ยาพาราเซตามอลและแอนตาซิลเท่านั้น เราเคยมีรัฐมนตรีกระทรวงการคลังที่ไม่รู้ว่าขาดดุลบัญชีเดินสะพัดคืออะไร

 

---เรายังไม่ต้องรีบร้อนเลือกตั้งก็ได้ แต่ละหน่วยงานมีข้าราชการในหน่วยงานอยู่แล้ว แต่ละหน่วยงานรับผิดชอบกันไปก่อน เรื่องที่ต้องให้รัฐมนตรีเซน ให้ผ่านการประชุมของคณะกรรมการของหน่วยงานนั้นก่อน แต่ต้องมีบันทึกการประชุมอย่างชัดเจน ว่าใครเลือกแบบไหน ลงให้ละเอียด ไม่ต้องกลัวโกง เพราะแก้กฎหมายให้อายุคอร์รับชั่นไม่มีอายุความ เรื่องที่ต้องทำอันดับแรกก่อนการเลือก ตั้ง คือให้ข้อมูลกับประชาชน ว่าการเลือกตั้งสำคัญอย่างไร แลัวส่งผลเสียอย่างไร วิธีการทำไง ผมคิดมาบ้างแล้ว ลองอ่านดูครับว่าใช้ได้มั้ย ต้องแก้ไขอะไร

 

-----ตั้งงบประมาณเพื่อให้ข้อมูลว่าการเลือกตั้งสำคัญอย่าไร ถ้าได้คนไม่ดี เขาและประเทศจะเสียหายมากมายขนาดไหนอย่างไร สอนให้รักชาติ เอาพระกรณีกิจที่พระองค์ท่านลำบากลำบนในช่วงต่างๆในอดีต มาฉายให้ดู จัดเป็นการอบรม3-5วัน ไม่มีการบังคับ คนที่เข้ารับการอบรมจะได้เงินวันละ300-500บาท/วัน(สำหรับคนที่มีสิทธิเลือก ตั้งแล้ว) จัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ จัดหลายรอบในแต่ละพื้นที่ 1คนเข้ารับการอบรมได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น โดยใช้บัตรประชาชนเป็นหลักฐาน ใช้ระบบคอมช่วยตรวจสอบการเข้าฟังซ้ำ

 

---งบประมาณหาจากไหน ทำไมที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เคยแจกเงินให้ประชาชนคนละ2,000บาท(สำหรับคนที่มี รายได้ไม่เกิน15,000บาทมาแล้ว) ยังทำได้มาแล้ว เงินกู้2ล้านล้านบาทที่ยังไม่มีแผนงานชัดเจนยังอนุมัติได้เลย เอามาจากงบพัฒนาจังหวัดของส.ส.ก็น่าจะได้นะ

 

---เงินส่วนนี้ถ้าคุมการรั่วไหลดี ผมว่าไม่กี่หมื่นล้านก็น่าจะได้ผลระดับนึงเลย หนึ่งหมื่นล้าน/2500บาท(500 บาท5วัน) อบรมได้ถึง4ล้านคนเลยครับ คนไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ยังไม่ต้องอบรมเพราะตอนนี้รีบ คนมีรายได้สูงกว่า500 ก็คงไม่สนใจมาอบรม ผมถึงว่าไม่กี่หมื่นล้านก็น่าจะพอครับ โครงการนี้จบแล้วค่อยจัดให้มีการเลือกตั้ง

 

---ส่วนเรื่องการปฎิรูปการศึกษา ผมมองว่าต้องเริ่มจากคุณครูก่อนครับ สำคัญที่สุดคุณครู้ต้องเป็นคนรักเด็ก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ปฏิรูปประเทศ เรื่องgmosเนี่ย น่าห่วงมาก ต้องหาวิธีป้องกัน ไม่งั้นเกษตกรล่มจมแน่

 

 

 

เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เตือน พืช GMO อันตราย

 

 

 

blank.gif blank.gif มกุฎ ราชกุมารแห่งเวลส์ทรงเตือน "พืชจีเอ็มโอ" อาจก่อมหันตภัยใหญ่หลวง ชนิดที่ไม่เคยประสบกันมาก่อนแก่โลก และทรงเป็นห่วงเกษตรกรรายย่อย เมื่อต้องใช้เมล็ดพันธุ์ตัดต่อ อาจต้องรับเคราะห์ เพราะโดนบริษัทยักษ์ใหญ่แย่งที่ดินทำกิน และครอบครองพื้นที่เกษตรกรรมแต่เพียงผู้เดียว

 

หนังสือพิมพ์เดอะเดลีเทเลกราฟ (The Daily Telegraph) ของอังกฤษ ฉบับวันที่ 13 ส.ค.51 ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์พิเศษ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมารแห่งเวลส์ ซึ่งทรงแสดงความกังวลว่า พืชดัดแปลงพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) อาจก่อให้เกิดปัญหา ในเรื่องของความปลอดภัยด้านอาหาร และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างใหญ่หลวง รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทยักษ์ใหญ่ เข้าครอบครองการทำเกษตรกรรม และสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรรายย่อยทั่วโลก

 

ปัจจุบัน พืชดัดแปลงพันธุกรรม ได้ถูกพัฒนาขึ้นอย่างมากมาย แพร่หลายทั่วโลก ประกอบกับปัญหาผลผลิตทางการเกษตร ก็ได้รับความเสียหายจากโรค แมลง และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ จนนำไปสู่ความกังวลในเรื่องภาวะขาดแคลนอาหาร ซึ่งก็เริ่มมีสัญญาณจากราคาผลิตผลทางการเกษตร ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ทรงเป็นห่วงว่า หากยังคงแก้ปัญหาดังกล่าว ด้วยการโดยใช้พืชจีเอ็มโอ อาจทำให้เกิดมหันตภัยใหญ่หลวง ต่อสิ่งแวดล้อมได้ในอนาคต และหากการผลิตอาหาร ยังอยู่ในครอบครองของบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ แต่เพียงผู้เดียว ก็จะทำให้เกิดหายนะโดยสมบูรณ์แบบ

 

อีกทั้ง การทดลองโครงการใหญ่ๆ โดยใช้ธรรมชาติและมนุษย์เป็นเครื่องมือ ถือเป็นการทดลองที่เดินผิดทางอย่างร้ายแรง

 

"ตอนนี้เราควรจะมาพูดกัน ถึงเรื่องความปลอดภัยของอาหาร ไม่ใช่ปริมาณของผลผลิต ซึ่งนั่นเป็นประเด็นที่กำลังเกิดขึ้น และเป็นสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ "

 

มกุราชกุมารวัย 59 พรรษา ยังทรงให้สัมภาษณ์อีกว่า การใช้พืชจีเอ็มโอ จะทำให้เกษตรกรรายย่อย ที่มีอยู่ทั่วโลกต้องตกเป็นเหยื่อของบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่จะเข้าไปควบคุมและครอบครองการผลิตอาหารในภาคเกษตรกรรมเกือบทั้งหมด

 

"ถ้าพวกเขาคิดว่านี่เป็นวิธีที่ควร เพราะมียีนที่ดี ที่ได้จากการตัดต่อ เห็นทีบทสรุปของพวกเรา ก็คงต้องลงเอยด้วยการที่เกษตรกรรายย่อยหลายล้านคนทั่วโลก ต้องละทิ้งที่ทำกินของพวกเขา และเผชิญหน้ากับสิ่งที่หาความยั่งยืนไม่ได้ อีกทั้งยังเสื่อมถอยลง โดยที่จะไม่สามารถควบคุม และจัดการมันได้โดยง่ายเหมือนแต่ก่อน" เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ตรัส

 

เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ยังทรงยกตัวอย่างอินเดีย ที่สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย จนได้รับความเสียหายในหลายพื้นที่ อันเนื่องมาจากความเร่งรีบ เพิ่มผลผลิตพืชอาหารจีเอ็มโอมากจนเกินไป อีกทั้งการปฏิวัติเขียว (Green Revolution) เพื่อการเกษตรกรรม ในอินเดียที่เป็นผลดี แต่เพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็หมดไปแล้ว เพราะเปิดรับพืชจีเอ็มโอ

 

"ฉันเคยไปที่ปัญจาบมา ที่นั่นคุณจะเห็นถึงความหายนะ ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการการชลประทานที่มากเกิน อันเนื่องมาจากการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ลูกผสม ที่ต้องการน้ำในปริมาณมากกว่าปกติหลายเท่า ทำให้ต้องประสบกับปัญหาขาดแคลนน้ำ ร่วมกับปัญหาการใช้ยาฆ่าแมลง และอื่นๆ"

 

"ส่วน ในออสเตรเลียทางด้านตะวันตก ต้องประสบกับปัญหาดินเค็มอย่างมาก เนื่องจากว่าเน้นการทำเกษตรกรรมสมัยใหม่ในเชิงรุกมากจนเกินไป" เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ทรงยกตัวอย่าง

 

นอกจากนี้ ยังทรงให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมอีกว่า ถ้าเราทำการเกษตรโดยไม่ใช้ผู้ช่วยตามธรรมชาติ จะก่อให้เกิดปัญหามากมายเกินกว่าที่เราคาดคิด ซึ่งทั้งยากและใช้งบประมาณสูงมากหากจะแก้ไขให้เหมือนเดิมเมื่อครั้งที่ยัง ไม่เกิดปัญหา

 

อย่างไรก็ดี เป็นที่ทราบกันดีว่า มกุฏราชกุมารแห่งเวลส์ทรงให้การสนับสนุนการเกษตรอินทรีย์ ซึ่งคำให้สัมภาษณ์ของพระองค์ต่อเดลี เทเลกราฟ ในครั้งนี้ แสดงพระประสงค์ที่จะต่อต้านการเพาะปลูก และใช้ผลผลิตจากจีเอ็มโอเป็นอาหารโดยตรง.

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การศึกษาไทยต้องปฏิรูป

post-38-0-43684200-1402529876_thumb.jpg

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Paisal Puechmongkol

7 ชั่วโมงที่แล้ว ·

บนฟ้ามีกรมการบินและวิทยุการบิน เขาจัดระเบียบ บนนถนน ถ้า กอรมน จัดระเบียบ ดังว่าแล้วในทะเลละเอาไงดี

ถิ่นทะเลนั้นเป็นแหล่งอาหารนะครับ

ทุกวันเห็นลุงบรรจง นะแส รณรงค์เรื่องการฟื้นความสมบูรณ์ของทะเลทุกวัน ต้านอวนรุนทุกวัน ผมก็ช่วยแชร์ทุกวัน ก็มีน้ำใจเดียวกัน

ทะเลไทยวันนี้ถูกรุกรานโดยพวกอิทธิพลใหญ่มากหลาย ทำลายอาหารของพี่น้องไทยอย่างย่อยยับ กรมประมงได้แต่นั่งมองตาปริบๆ

ยามปกติใช้อวนรุนกวาดสัตว์น้ำวัยอ่อนไม่เลือกหน้า เอาไปขายเข่งทำอาหารสัตว์ ทำลายอาหารคนเอาไปเป็นอาหารสัตว์ ทำให้อาหารคนร่อยหรอ จนทะเลบางที่เหลือแต่น้ำ ยามฟน้าวางไข่ กรมประมงห้าม ก็ยังออกล่า หน้าตาเฉย ที่อุบาทว์หนักคือใช้กระแสไฟฟผ้าชอรตเอาที่ละตารางกิโลเมตร สัตว์น้ำตายเกลี้ยง โชคดีที่อ่าวไทยและอันดามันเป็นทะเลเปิด พระสมุทรจึงยังประทานสัตว์น้ำตามคลื่นเข้ามา เราปล่อยอย่างนี้ไม่ได้หรอกครับ

จัดระเบียบเสียทีเถิด ปกป้องคุ้มครองอาหารของคนไทย แต่ต้องพึุ่งทหารเรือช่วยแหล้วแหละครับ จะทำกันอย่างไรทหารเรือท่านเก่งอยู่แล้ว ขอให้นายบอกว่าเอาจริงเว้ย ก็พอ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไม่ ได้ค้านเรื่องการก่อหนี้ แต่ประเทศเราใช้เกณท์แบบฝรั่งว่ายอดหนี้ไม่เกิน60%ของจีดีพีแล้วปลอดภัยอาจ ไม่จริง บริบทมันต่างกันหลายอย่างครับ ฝากผู้มีอำนาจพิจารณาประกอบการตัดสินใจก่อหนี้

ประการแรก ฝรั่งเก็บภาษีได้ในอัตราสูงกว่าเราราว 2 เท่าตัวฝรั่งโดยทั่วไปเก็บภาษีได้ในอัตราสูงกว่า 30% และประการที่สอง ฝรั่งใช้ภาษีที่เก็บมาได้นั้นหมดไปกับการดำเนินงานรายวันจำพวกค่าน้ำ ค่าไฟ และจ่ายเป็นเงินเดือนราว 60% ส่งผลให้เหลือเงิน 40% ที่สามารถนำไปใช้หนี้หรือลงทุนได้ ส่วนไทยเรานำภาษีที่เก็บได้ไปใช้เพื่อการดำเนินงานรายวันเสีย 80% ทำให้เหลือเพียง 20%

-----------------------------------------------------------------

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ โดย ดร.ไสว บุญมา

แม้ชื่อบทความดูจะเกี่ยวโยงกับไสยศาสตร์ แต่ขอเรียนว่าเรื่องที่จะเขียนต่อไปไม่เกี่ยวกับไสยศาสตร์ แก่นของเนื้อหามาจากแนวคิดของนักวิทยาศาสตร์ไทย

ซึ่งสอนอยู่ในมหาวิทยาแห่งหนึ่งในภาคอีสานและเคยทำงานกับองค์การอวกาศของสหรัฐอเมริกาชื่อ ทวิช จิตรสมบูรณ์

อาจารย์ท่านนี้มีวิธีคิดแบบหนึ่งซึ่งมักจะทะลุออกไปนอกกรอบที่คนทั่วไปใช้ อ้างอิง ผมไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์แต่เคยศึกษาวิถีของนักวิทยาศาสตร์และปราชญ์มาบ้าง ผมมองว่าอาจารย์ทวิชคิดแบบนักวิทยาศาสตร์และปราชญ์ที่แท้จริง การคิดแบบดังกล่าวนี้ในหลายๆ กรณีนำไปสู่การศึกษา ทดลองและวิจัยจนได้ผลอันทรงคุณค่าแก่สังคมมนุษย์ แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น บางทีจะมีผู้ลบหลู่และหัวเราะเยาะ หรือหาว่าคงบ้าไปแล้ว ผมติดตามแนวคิดของอาจารย์ทวิชมาหลายปี ผมมองว่าเรื่องที่จะนำมาเล่านี้อาจมีผู้หัวเราะเยาะ แต่คนไทยควรนำไปพิจารณาโดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจบริหารประเทศและนักเศรษฐศาสตร์ ที่บริการคนเหล่านั้นอยู่

อาจารย์ทวิชมองว่า ตำราฝรั่งเกี่ยวกับการคำนวณภาระหนี้สินของประเทศนั้นใช้กับเมืองไทยไม่ได้ เนื่องจากเมืองไทยเก็บภาษีได้ต่ำกว่าฝรั่งอย่างดินกับฟ้า แต่ใช้จ่ายเงินภาษีที่เก็บมาได้หมดไปในด้านการดำเนินงานรายวันมากกว่าฝรั่ง นักเศรษฐศาสตร์และนักการเมืองมักอ้างกันว่า ถ้าหนี้สินของประเทศอยู่ในอัตราต่ำกว่า 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่เรามักเรียกกันติดปากว่า “จีดีพี” ประเทศจะสามารถชำระหนี้ได้แบบไร้ปัญหา การคิดตามแนวนี้กำลังนำไปสู่การกู้เงินจำนวน 2.2 ล้านล้านบาทเนื่องจากมันจะทำให้ภาระหนี้สินของชาติเพิ่มขึ้นเป็นราว 60% ของจีดีพีพอดิบพอดีจากภาระหนี้ซึ่งมีอยู่ประมาณ 44% ของจีดีพีในปัจจุบัน การที่ตัวเลขถูกดีดออกมาเป็นเช่นนั้นอาจารย์ทวิชตั้งข้อสงสัยอันน่าฟังว่า เพราะรัฐบาลคิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะนำเอาตำราฝรั่งมาอ้างเพื่อกล่อมคนไทยว่า หนี้ใหม่นี้จะไม่เป็นภาระที่สูงเกินไป

ตามแนวคิดของอาจารย์ทวิช เราใช้เกณฑ์ 60% ของจีดีพีไม่ได้ด้วยปัจจัยสองประการ คือ ประการแรก ฝรั่งเก็บภาษีได้ในอัตราสูงกว่าเราราว 2 เท่าตัว และประการที่สอง ฝรั่งใช้ภาษีที่เก็บมาได้นั้นหมดไปกับการดำเนินงานรายวันจำพวกค่าน้ำ ค่าไฟ และจ่ายเป็นเงินเดือนราว 60% ส่งผลให้เหลือเงิน 40% ที่สามารถนำไปใช้หนี้หรือลงทุนได้ ส่วนไทยเรานำภาษีที่เก็บได้ไปใช้เพื่อการดำเนินงานรายวันเสีย 80% ทำให้เหลือเพียง 20% เท่านั้นที่จะนำไปใช้หนี้ หรือเพื่อการลงทุนได้ (อาจารย์ทวิชบอกว่างบประมาณการศึกษาที่ได้ผลอันน่าอับอายของเราใช้เงินใน อัตราสูงเป็นเกือบสองเท่าของชาวโลก) ฉะนั้น ถ้านำตัวเลขคร่าวๆ เหล่านี้มาใช้เป็นเกณฑ์ เมืองไทยไม่ควรมีหนี้สินสูงเกิน 15% ของจีดีพี หรือภาระหนี้ที่อ้างว่า 60% นั้นอันที่จริงเป็น 240%

ขอเรียนว่าตามความเป็นจริง ฝรั่งโดยทั่วไปเก็บภาษีได้ในอัตราสูงกว่า 30% ของจีดีพีโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวียที่มีรัฐสวัสดิการสูงและ คนไทยชอบอ้างว่าอยากทำตามเขาบ้างทั้งที่เราเก็บภาษีได้เพียงเศษของเขาเท่า นั้น นั่นคือ ไทยเก็บภาษีได้ราว 17% ของจีดีพีในขณะที่เดนมาร์กเก็บได้ 49% ฟินแลนด์ 44% นอร์เวย์ 44% และสวีเดน 46% อัตราภาษีของเรานอกจากจะต่ำกว่าของเขามากแล้ว เมื่อได้เป็นเงินออกมาก็ยังต่ำกว่าของเขาแบบเทียบไม่ติดอีกด้วย ทั้งนี้เพราะรายได้ของเราต่ำกว่าของเขามาก อาทิเช่น เรามีรายได้ต่อหัวคนราว 8,600 ดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่เดนมาร์กมีกว่า 40,000 ดอลลาร์ (17% ของ 8,600 คือ 1,462 ดอลลาร์ ส่วน 49% ของ 40,000 คือ 19,600 ดอลลาร์ นั่นหมายความว่าเขาเก็บภาษีเป็นรายคนได้เกินกว่า 13 เท่าของเรา แต่เราทราบดีแล้วว่าการรักษาพยาบาลซึ่งเป็นส่วนสำคัญของรัฐสวัสดิการนั้นใช้ เงินไม่ต่างกันมากนักเนื่องจากต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือแบบทันสมัยคล้าย กัน ฉะนั้น โบราณจึงเตือนว่าเมื่อเห็นช้างถ่าย ไม่ควรพยายามทำตามมัน)

สำหรับในด้านภาระหนี้สิน จะเห็นว่าญี่ปุ่นมีหนี้สูงถึงกว่า 235% ของจีดีพี แต่ญี่ปุ่นยังไม่ล้มละลายเพราะสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดเวลา อาจจำกันได้ว่าประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป 4 ประเทศที่ล้มละลายและต้องไปขอความช่วยเหลือจากภายนอกได้แก่ไอร์แลนด์ โปรตุเกส กรีซและไซปรัส ประเทศเหล่านี้มีภาระหนี้สินระหว่าง 87% ถึง 170% ของจีดีพี ตัวเลขเหล่านี้ชี้บ่งว่า ตัวที่จะชี้ว่าประเทศเสี่ยงต่อการล้มละลายหรือไม่มิใช่มีเพียงตัวเดียวเท่า นั้น ซึ่งอาจารย์ทวิชพยายามจะบอก และเราอย่าไปลอกของเขามาทั้งดุ้นเนื่องจากภาวะของเราต่างกับของเขามาก

นอกจากนั้น อาจารย์ยังพูดถึงเรื่องอื่นที่มีความสำคัญยิ่ง อาทิเช่น ความคุ้มค่าของการลงทุน การรั่วไหลของเงินกู้และความจำเป็นเร่งด่วนมีหรือไม่ แม้จะไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ แต่อาจารย์ทวิชพูดถึงเรื่องเหล่านี้ได้ดีกว่านักเศรษฐศาสตร์ของรัฐบาลเสีย อีก ทั้งนี้คงเพราะนักเศรษฐศาสตร์บางคนเป็นจำพวกเมธีบริกรที่มักบิดเบือนหลัก วิชาการเพื่อเอาใจเจ้านายในวงการเมือง

โดยสรุป รัฐบาลไม่ควรยึดตัวเลขในตำราฝรั่งเป็นเกณฑ์สำหรับประเทศไทย หากใช้วิธีคิดที่อาจารย์ทวิชเสนอ ส่วนเกณฑ์ที่ได้ออกมาอาจไม่ตายตัวนัก แต่หากคิดกันแบบตรงไปตรงมา เงินกู้นำไปลงทุนแบบคุ้มค่า จัดเรียงตามลำดับเวลาก่อนหลังอย่างเหมาะสมโดยปราศจากความฉ้อฉล ผลย่อมออกมาดี ในด้านส่วนตัว ผมมีข้อสังเกตว่าการศึกษาความคุ้มค่าของโครงการลงทุนและความจำเป็นก่อนหลัง ยังมิได้ทำกัน ฉะนั้น กฎหมายกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทเป็นเสมือนการเซ็นเช็คเปล่าให้ฝ่ายบริหารซึ่งย่อมผิดทั้งหลักการ บริหารและหลักการพัฒนาประเทศแน่นอน

ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/

ทราบไหมครับว่า ประเทศไทยที่มีพลเมืองกว่า 60ล้านคน มีคนไทยราว 2ล้านคนเท่านั้นที่เสียภาษีเงินได้ มีคนที่ศรัทธารัฐบาลชุดนี้มากมากที่อ้างว่า ประเทศชาติจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกหลายทางจากโครงการอภิมหากู้นี้

ลองพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะสามารถคุ้มทุนใน 50 ปี โดยใช้ข้อมูลจากไทยวีกิ

สถานีกลางบางซื่อ และ สถานีรถไฟเชียงใหม่ ระยะทาง: ประมาณ 679 กิโลเมตร มูลค่าการลงทุนรวม: ราว 387,821 ล้านบาท รถไฟขนความเร็วสูงขนคนเที่ยวละ800คน ตีว่าวิ่งไปกลับวันละ5เที่ยว ค่าโดยสารคนละ1,500บาท จะมีรายได้ปีละ4,400ล้าน (ยังไม่คิดต้นทุนค่าบริหาร ค่าเชื้อเพลิง ค่าซ่อมบำรุง ดอกเบี้ย) 50ปี เ็ป็นเงิน2.19แสนล้านบาท (เป็นรายได้ที่ยังไม่หักต้นทุน)

ผมสนับสนุนการลงทุนในส่วนของรถไฟรางคู่ทั่วประเทศก่อน พร้อมทั้งศึกษาเรื่องของรถไฟความเร็วสูงควบคู่ไปด้วย ให้ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน (นายประภัสร์ จงสงวนจากพรรคเพื่อไทยเอง) จัดการการรถไฟให้ไม่ขาดทุนการบริการเป็นที่ยอมรับ คนขึ้นรถไฟมากขึ้น ตอนนั้นยังทำรถไฟความเร็วสูงยังทัน และสามารถใช้เวลาน้อยกว่านี้อีกด้วยความทันสมัยของเทคโนโลยีการก่อสร้าง

โดย สิงห์นอกระบบ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การปฏิรูปประเทศฝากเรื่องนี้ด้วยครับ เพราะเกี่ยวข้องกับสุขภาพของคนทั้งประเทศ และลดปัญหาความเจ็บป่วย

***การเปลี่ยนมาทำการเกษตรแบบไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชจะต้องอาศัยเวลาใน การปรับหน้าดินให้ดีขึ้นถึง 3 ปี แต่ละ อบต.จะต้องช่วยเกษตรกร โดยจัดตั้งกองทุนขึ้นและคิดดอกเบี้ยในราคาถูกหรือไม่คิดเลย รวมถึงต้องดึงคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ให้หันกลับมาเป็นทำการเกษตร เป็นพ่อค้าแม่ค้าขายผักออแกนิกก็จะสามารถช่วยได้อีกทางหนึ่ง อย่าง อบต.แม่ทา ก็ดำเนินการด้วยวิธีการดังกล่าว พบว่า สุขภาพของคนในพื้นที่ดีขึ้น ที่สำคัญเกษตรกรหันกลับมาทำการเกษตรแบบยั่งยืนไร้สารพิษกว่า 70-80% แล้ว

 

 

ไทยนำเข้ายาฆ่าหญ้ามากสุดในภูมิภาค เหตุขี้เกียจกำจัดเอง

 

ไทย นำเข้ายาฆ่าหญ้ามากสุดในภูมิภาค เหตุขี้เกียจกำจัดเอง อึ้ง! ฉีดพ่นยาฆ่าแมลง 100 กก.โดนแมลงแค่ 1 กก.ที่เหลือฟุ้งในอากาศ สะสมในพืช ดิน น้ำ และร่างกาย นักวิชาการระบุแบนสารเคมียากเหตุข้อมูลสุขภาพไม่เพียงพอ ภาคเอกชนชี้แบนแล้วโดนดันเข้าตลาดมืดทันที แล้วแอบมาขายให้เกษตรกร

น.ส.แสงโฉม ศิริพานิช นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการพิเศษ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวระหว่างการเสวนา “ระดมพลังร่วมกันยกเลิกสารเคมีกำจัดศัตรูพืช อันตราย!!!” ในเวทีสานงาน เสริมพลัง ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระหว่างวันที่ 28-29 พ.ค. 2556 เนื่องในโอกาสครบรอบ 12 ปีการดำเนินงานของ สสส.ว่า ประเทศไทยนำเข้าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะยาฆ่าหญ้าที่มีการนำเข้ามากกว่าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชชนิดอื่น และประเทศอื่นในภูมิภาคโดยรอบ อาทิ พม่า กัมพูชา เวียดนาม อินเดีย จีน ปากีสถาน และเนปาล เป็นต้น เนื่องจากต้องการเน้นความสะดวกสบายและความรวดเร็วในการฆ่าหญ้า ทั้งนี้ ใน การฉีดสารเคมีกำจัดศัตรูพืชครั้งหนึ่งจำนวน 100 กิโลกรัม พบว่า มีโอกาสฉีดถูกแมลงเพียง 1 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนอีก 99 กิโลกรัมที่เหลือจะปลิวไปในอากาศ 30 กิโลกรัม ระเหยไป 10 กิโลกรัม พลาดแมลงเป้าหมาย 15 กิโลกรัม และตกค้างอยู่บนพืช อยู่ในดิน ในน้ำ อีก 41 กิโลกรัม ทำให้เกษตรกรได้รับสารเคมีเข้าสู่ร่างกายเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ทุกวันนี้ลูกหลานของเกษตรกรจำนวนหนึ่ง ประสบปัญหาทางด้านสุขภาพตั้งแต่แรกคลอด เนื่องจากมีการถ่ายทอดสารพิษจากแม่ไปยังลูก

 

น.ส.แสงโฉม กล่าวอีกว่า สำหรับปัญหาในการยกเลิกการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือ เจ้าหน้าที่รัฐยังมีข้อมูลสุขภาพที่ไม่เพียงพอ ยกตัวอย่าง แลนเนท ที่มักปรากฏเป็นข่าวหลายครั้งจากการนำมาใช้ฆ่าตัวตาย ทำร้ายผู้อื่น หรือเกิดอุบัติเหตุระหว่างใช้งาน แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะไม่พยายามผลักดันให้ยกเลิกสารเคมีตัวนี้ แต่เนื่องจากมีข้อมูลสุขภาพที่ไม่เพียงพอ เช่น คนที่มาแจ้งว่าใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชแล้วเกิดผลเสียต่อสุขภาพก็ไม่สามารถ ระบุได้ว่าเกิดการใช้จากสารเคมีชนิดใด ทางบริษัทจึงสามารถขายสารเคมีกำจัดศัตรูพืชดังกล่าวต่อไปได้ เพียงแต่ระบุว่าจะใส่สีลงไป เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุจากการใช้งาน

 

นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่า การยกเลิกสารเคมีกำจัดศัตรูพืชได้มีการขับเคลื่อนมานานแล้ว โดยเฉพาะสารเคมีที่มีอันตรายสูง 4 ชนิด คือ คาร์โบฟูราน ไดโครโตฟอส อีพีเอ็น และเมโทมิล แต่พบว่ายังไม่มีความคืบหน้า เนื่องจากคณะอนุกรรมการพิจารณาข้อมูลและกลั่นกรองความเป็นอันตรายของวัตถุ อันตรายชนิดต่างๆ ได้แจ้งกลับมายังกรมวิชาการเกษตรที่เสนอให้ยกระดับสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทั้ง 4 ชนิดดังกล่าวให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 จะต้องมีการประเมินความเสี่ยงตามสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่ง ชาติ รวมถึงให้ผู้ขอขึ้นทะเบียนทำการประเมินความเสี่ยงมาก่อน ทำให้ยังไม่สามารถยกระดับเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ได้ ทั้งที่มีการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นแล้ว

 

ที่สำคัญต่างประเทศล้วนยกเลิกการใช้ สารเคมีกำจัดศัตรูพืชทั้ง 4 ชนิดนี้แล้ว หากไทยสามารถยกเลิกการใช้สารเคมีดังกล่าวได้ จะช่วยให้ลดปัญหาการส่งออกผลผลิตทางการเกษตรได้ถึง 1 ใน 3 และหากสามารถจัดการสารทั้ง 4 ตัวนี้ได้เชื่อว่าสารตัวอื่นก็จะทำได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม พบว่า สารที่กำลังจะถูกแบนอย่างคาร์โบฟูราน บริษัทสารเคมีจะส่งสารอีกตัวที่คล้ายกันมาขายแทน เช่น คาร์โบซัลแฟน” ผอ.มูลนิธิชีววิถี กล่าว

 

นายชูศักดิ์ ชื่นประโยชน์ สภาหอการค้าไทย กล่าวว่า สภาหอการค้าไทยไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องปัญหาสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เพราะในฐานะที่เป็นผู้บริโภคก็ไม่อยากให้เกิดอาหารที่ไม่ปลอดภัยขึ้น แม้เราจะสนับสนุนการยกเลิกสารเคมีกำจัดศัตรูที่อันตราย แต่เบื้องต้นควรที่จะให้ความรู้ในการใช้สารเคมีแก่เกษตรกรก่อน เพราะทุกวันนี้เกษตรกรไม่มีองค์ความรู้เลย โดยหน่วยงานที่ต้องเข้ามาแก้ปัญหาคือภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งต้องกลับมาตั้งคำถามว่าทุกวันนี้เจ้าหน้าที่รัฐอ่อนแอหรือไม่ ดำเนินการอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง หากรัฐทำหน้าที่เหล่านี้ได้ไม่สมบูรณ์ควรให้ภาคเอกชนเป็นผู้ดำเนินการเรื่อง ความปลอดภัยแทนหรือไม่ เพราะต่างประเทศก็ให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการภายใต้การควบคุมทางกฎหมายของภาค รัฐอีกทีหนึ่ง อาจจะทำให้ความปลอดภัยในการใช้สารเคมีเพื่อการเกษตรมีความปลอดภัยมากขึ้นใน ระดับสากล

 

หากแบนสารเคมีเลยอาจมีความเสี่ยง มากกว่า เพราะสารเคมีที่ถูกแบนจะถูกส่งเข้าตลาดมืดทันที แล้วแอบนำเอามาบรรจุขวดขายให้แก่เกษตรกร ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่เคยควบคุมเรื่องนี้ได้เลย นอกจากนี้ ควรที่จะให้ข้อมูลเรื่องอาหารปลอดภัยแก่ผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก เช่น ทำคิวอาร์โค้ด ติดบนอาหารปลอดภัย เมื่อผู้บริโภคจะเลือกซื้อก็สามารถสแกนและทราบได้เลยว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมา จากแหล่งผลิตใด ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรผู้ผลิตปฏิวัติตัวเองด้วยการไม่ใช้สารเคมีมากขึ้น” นายชูศักดิ์ กล่าว

 

ด้าน นายกนกศักดิ์ ดวงแก้วเรือน นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ทา จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า การจะเปลี่ยนให้เกษตรกรหันมาทำการเกษตรแบบยั่งยืน ไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย เช่น หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ต้องให้ข้อมูลสุขภาพแก่ประชาชนอย่างสม่ำเสมอว่า สารเคมีจะก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายอย่างไร เพื่อให้เกษตรกรกลัวการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ทั้ง นี้ การเปลี่ยนมาทำการเกษตรแบบไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชจะต้องอาศัยเวลาในการ ปรับหน้าดินให้ดีขึ้นถึง 3 ปี แต่ละ อบต.จะต้องช่วยเกษตรกร โดยจัดตั้งกองทุนขึ้นและคิดดอกเบี้ยในราคาถูกหรือไม่คิดเลย รวมถึงต้องดึงคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ให้หันกลับมาเป็นทำการเกษตร เป็นพ่อค้าแม่ค้าขายผักออแกนิกก็จะสามารถช่วยได้อีกทางหนึ่ง อย่าง อบต.แม่ทา ก็ดำเนินการด้วยวิธีการดังกล่าว พบว่า สุขภาพของคนในพื้นที่ดีขึ้น ที่สำคัญเกษตรกรหันกลับมาทำการเกษตรแบบยั่งยืนไร้สารพิษกว่า 70-80% แล้ว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ปฏิรูปประเทศ ฝากคุมเรื่องฟอร์มาลีนด้วยครับ

---ส่วนตัวเวลาจะซื้อปลาสลิดที่ตลาดในกรุงเทพ เดินดูต้องนานสุดท้ายไม่ได้ซื้อ ก็แมลงวันมันยังไม่ตอมเลย เลยไม่กล้าซื้อ อดกินของอร่อยเลย

 

“ฟอร์มาลีน” ภัยร้ายในอาหารสด

 

ASTVผู้จัดการออนไลน์

ข่าวเรื่องการพบสารเคมีปนเปื้อนอยู่ในอาหารนั้นมีมานานแล้ว ซึ่งสารเคมีที่พบอยู่ในอาหารนั้น บางชนิดก็เป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว อย่างล่าสุดนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาบอกว่า ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2557 มีรายงานการสุ่มตรวจประเมินอาหารปลอดภัยของกรมอนามัย ในตลาดที่ จ.นครสวรรค์ 5 แห่ง โดยมีการเก็บอาหารตรวจทั้งหมด 275 ตัวอย่าง

 

ผลที่ได้นั้นน่าตกใจมาก เพราะมีการพบการใช้สารฟอร์มาลินกับอาหารสด เพื่อไม่ให้เน่าเสียง่าย โดยใน 5 แห่งนี้ ตรวจพบ 102 ตัวอย่าง เฉลี่ยร้อยละ 25 แต่บางแห่งเช่นในตลาดสดขนาดใหญ่ในเมือง พบร้อยละ 59 ซึ่งอาหารที่ตรวจพบได้แก่ กุ้ง ปลาหมึก หมึกกรอบ ขิงหั่นฝอย กระชายหั่นฝอย เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหอมสด ถั่วฝักยาว สไบนาง (ผ้าขี้ริ้ว)

 

ทางด้าน ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า อาหารในกลุ่มที่ตรวจพบฟอร์มาลินนั้น ที่ผ่านมามักจะตรวจพบสารฟอกขาว ซึ่งการที่ตรวจพบฟอร์มาลินสูงขึ้นอาจจะเป็นเพราะพ่อค้าแม่ค้าเปลี่ยนจากการ ใช้สารฟอกขาวมาใช้ฟอร์มาลินแทน ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศฉบับที่ 93 พ.ศ.2528 เรื่องวัตถุห้ามใช้ในอาหาร ผู้ใดละเมิดใส่ในอาหารต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ฐานผลิตอาหารไม่บริสุทธิ์

 

สำหรับ “ฟอร์มาลิน” นั้น เป็นสารเคมีชนิดหนึ่ง อยู่ในรูปของ “สารละลายฟอร์มัลดีไฮด์” ซึ่งหากอยู่ในสถานะก๊าซจะมีชื่อเรียกว่า “ฟอร์มัลดีไฮด์” ใน ทางการแพทย์จะใช้ฟอร์มาลินในการดองศพไม่ให้เน่าเปื่อย ใช้ฆ่าเชื้อโรค ฆ่าเชื้อรา และทำความสะอาดห้องผู้ป่วย ส่วนในอุตสาหกรรมสิ่งทอจะใช้เป็นน้ำยาอาบผ้าไม่ให้ย่น นอกจากนี้คุณสมบัติที่ช่วยฆ่าเชื้อโรคและเชื้อรา ยังถูกนำไปใช้ในการเก็บรักษาธัญพืชหลังการเก็บเกี่ยวและใช้เพื่อป้องกันแมลง แต่ไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร

 

ด้วยคุณสมบัติต่างๆ เหล่านี้ จึงมีคนหัวใสนำฟอร์มาลินมาราดใส่ลงในอาหารสดเพื่อให้คงความสดได้นาน ไม่เน่าเสียเร็ว ซึ่งอาหารที่มักจะพบว่ามีฟอร์มาลินอยู่ อาทิ อาหารทะเลต่างๆ โดยเฉพาะปลาหมึก เนื้อสัตว์ต่างๆ ผักสด เช่น ถั่วฝักยาว หน่อไม้ ยอดมะพร้าว ผักกาดขาว ฯลฯ

 

ดังที่บอกว่าฟอร์มาลินนั้นเป็นสารเคมีที่มีพิษ ซึ่งหากสูดดมฟอร์มาลินเข้าไปจะมีผลต่อระบบหายใจ คือ แสบจมูก เจ็บคอ ไอ หายใจไม่ออก หากสูดดมในปริมาณมากอาจทำให้ปอดอักแสบ น้ำท่วมปอด และอาจเสียชีวิตได้ ส่วนผลต่อระบบผิวหนังคือ ทำให้เกิดผื่นคัน จนถึงผิวหนังอาจไหม้ หรือเปลี่ยนเป็นสีขาวได้หากสัมผัสกับฟอร์มาลินโดยตรง

 

ในส่วนของการนำฟอร์มาลินมาใช้กับอาหาร หากบริโภคอาหารที่ถูกปนเปื้อนเข้าไปในปริมาณมาก จะเกิดพิษต่อระบบทางเดินอาหาร อาจมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ปวดท้อง ในปากและคอแห้ง หัวใจเต้นเร็ว แน่นหน้าอก อาจมีอาการถ่ายท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะไม่ออกหรือปัสสาวะเป็นเลือด มีอาการเพลีย เหงื่อออก ตัวเย็น คอแข็ง และเคยมีรายงานว่ามีผู้กินฟอร์มาลิน 2 ช้อนโต๊ะเพื่อฆ่าตัวตาย พบว่าตายในเวลา 3 ชั่วโมงหลังจากได้รับสารดังกล่าว และเมื่อผ่าศพชันสูตรพบแผลไหม้ในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก

 

นอกจากผลที่เกิดขึ้นในระยะสั้นที่ปรากฏอาการให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ยังมีรายงานผลจากฟอร์มาลินในระยะยาว โดยสารฟอร์มัลดีไฮด์ซึ่งเป็นสารประกอบของฟอร์มาลิน เป็นสารกระตุ้นที่ทำให้เกิดมะเร็งได้อีกด้วย

 

การหลีกเลี่ยงฟอร์มาลินที่ปนเปื้อนในอาหาร อาจจะดูเป็นเรื่องยากหากต้องซื้อหาผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ต่างๆ จากท้องตลาดทั่วไป ผู้บริโภคควรจะต้องอาสัยการสังเกตลักษณะของอาหารว่ามีความแตกต่างจากปกติ หรือไม่ อาทิ เนื้อสัตว์ หากวางขายอยู่นาน ถูกแดดถูกลมแล้วก็น่าจะมีลักษณะเหี่ยวลง ดูไม่สดเหมือนเดิม แต่ถ้ายังดูมีความสดมากๆ แม้จะวางขายอยู่นานแล้ว หรือหากมีกลิ่นฉุนๆ แสบจมูก ก็ไม่ควรซื้อมาบริโภค

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ช่วงนี้ต้องดูแลสุขภาพกันเองไปก่อนครับ

 

วิธีการล้างผักผลไม้ให้ปลอดภัย/ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล

blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

 

ในขณะที่มีการรณรงค์ให้ผู้คนรับประทานผักและผลไม้เพื่อสุขภาพ และในขณะเดียวกัน ที่มีข่าวของสารตกค้างที่มีอยู่ในผักและผลไม้ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีจากยาฆ่า แมลง เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส หรือสารโลหะหนักอื่นๆ ที่ปะปนมากับผักและผลไม้ ซึ่งสารเหล่านี้จะสามารถก่ออันตรายต่อสุขภาพมากกว่าที่จะได้รับประโยชน์เสีย ด้วยซ้ำไป

 

โรคที่มากับผักและผลไม้ที่มีสารพิษปะปน อยู่มีได้ทั้งโรคชนิดเฉียบพลันและโรคเรื้อรัง อาการเฉียบพลัน เช่น อาเจียน คลื่นไส้ ปวดหัว หน้ามืด หายใจไม่ออก ปวดท้อง เป็นไข้ ชา หรือแม้แต่หมดสติไป เช่นบางคนไปกินราดหน้าที่มีผักคะน้าเป็นส่วนประกอบจะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือเรียกว่าอาหารเป็นพิษเป็นต้น ส่วนโรคเรื้อรังของการได้รับสารพิษที่มาจากผักและผลไม้ ส่วนมากจะมาจากการได้รับสารจากยากำจัดศัตรูพืช เช่น การเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร การเกิดโรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ การเจริญเติบโตผิดปกติในเด็กและการเกิดความเครียด

 

จากข้อมูลการสำรวจของเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN : Thailand Pesticide Alert Network) ร่วมกับนิตยสารฉลาดซื้อทำการสุ่มตรวจผัก 7 ชนิด ประกอบด้วย กะหล่ำปลี คะน้า ถั่วฝักยาว ผักกาดขาว ผักบุ้งจีน ผักชี และพริกจินดา ที่ขายในตลาดสดทั่วไปและรถเร่ พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างเกินมาตรฐาน 38.1% และผัก 3 ชนิดที่มีสารพิษตกค้างมากที่สุด คือ ผักชี ถั่วฝักยาว พริกจินดา และ จากการสุ่มตัวอย่างตรวจของคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พบว่าผักสดที่สุ่มเก็บจากตลาดสดที่มีสารพิษตกค้างมากที่สุด ได้แก่ คะน้า กะหล่ำดอก และ ต้นหอม ส่วนตัวอย่างที่สุ่มเก็บจากซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีสารพิษตกค้างมากที่สุด ได้แก่ คะน้า มะเขือพวง และพริกไทย เมื่อพิจารณาดูแล้วจะเห็นว่าผักเหล่านี้เป็นผักที่เราคุ้นเคยและกินอยู่เป็น ประจำ ดังนั้น เราจึงเสี่ยงต่อการที่จะได้รับสารพิษตกค้างที่มีอยู่ในผักได้

 

ดังนั้น เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการรับประทานผักให้ปลอดภัย ก่อนนำไปรับประทานหรือปรุงประกอบอาหาร ต้องล้างผักให้สะอาดเสียก่อน ในปัจจุบันมีวิธีการล้างผักอยู่หลายวิธีเพื่อลดปริมาณสารพิษที่ตกค้างมากับ ผักให้ลดน้อยลง แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดอยู่ซึ่งจะใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสม

 

การใช้น้ำส้มสายชูที่มีกรดน้ำส้มความเข้ม ข้น 5%ของกรดน้ำส้ม ผสมน้ำในอัตราส่วน 1:10 แช่นาน 10-15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด สามารถลดปริมาณสารพิษลงร้อยละ 60-84 ข้อจำกัดคือ ผักอาจมีกลิ่นของน้ำส้มสายชูติดมา และผักบางอย่างเช่นผักกาดขาว ผักกาดเขียว อาจมีการดูดรสเปรี้ยวจากน้ำส้มสายชูทำให้รสชาติเปลี่ยนไป และภาชนะที่ใส่ผักล้างไม่ควรเป็นพลาสติก

 

การใช้ด่างทับทิม (Potassium Permanganate) มีลักษณะเป็นเกล็ดแข็ง สีม่วง สามารถละลายได้ในน้ำ ให้สีชมพู หรือม่วงเข้ม เป็นสารประกอบประเภทเกลือ โดยใช้ปริมาณ 20-30 เกล็ด ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดสามารถลดสารพิษลงได้ร้อยละ 35-43 ข้อจำกัดคือการใช้ด่างทับทิมในปริมาณที่มากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อระบบทาง เดินอาหาร และหากสูดดมไอระเหยของด่างทับทิมเข้าไปมากก็จะทำให้ระบบทางเดินหายใจมีปัญหา ได้ รวมถึงหากเข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้

 

ล้างผักโดยน้ำไหลผ่าน โดยเด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะแกรงโปร่งเปิดน้ำให้แรงพอประมาณ ใช้มือช่วยคลี่ใบผักและถูไปมาบนผิวใบของผักผลไม้นานประมาณ 2 นาที สามารถลดสารพิษลงได้ร้อยละ 25-63 วิธีนี้เป็นวิธีที่เรียกได้ว่าดีมากวิธีหนึ่งแต่มีข้อเสียอยู่ว่าใช้เวลานานในการล้างและใช้น้ำปริมาณมาก

 

ใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 10 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดสามารถลดสารพิษลงได้ร้อยละ 27-38 วิธีการนี้ลดปริมาณได้ไม่มากและอาจมีเกลือและรสเค็มไปอยู่ในผักหรือผลไม้

 

ใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต (เบกกิ้งโซดา) 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอุ่น 1 กะละมัง (20 ลิตร) แช่นาน 15 นาที แล้วนำไปล้างด้วยน้ำสะอาด ลดปริมาณสารพิษลงได้ถึงร้อยละ 90-95 ข้อจำกัดของการใช้เบกกิ้งโซดาคือมีส่วนผสมของโซเดียมอยู่และอาจดูดซึมเข้า สู่ผักหรือผลไม้ และหากล้างไม่สะอาดการได้รับเบกกิ้งโซดาในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้ท้องเสีย ได้

 

วิธีการต้มหรือลวกผักด้วยน้ำร้อน ลดปริมาณสารพิษได้ ประมาณร้อยละ 50 วิธีการนี้เป็นอีกวิธีที่ดีและปลอดภัยแต่จะทำให้ผักหรือผลไม้ เสียคุณค่าทางอาหารไปกับน้ำและความร้อน เช่น วิตามินซี วิตามินบี 1 ไนอะซิน

 

การปอกเปลือกหรือการลอกชั้นนอกของผักออก เช่น กะหล่ำปลี ถ้าลอกใบชั้นนอกออกจะปลอดภัยมากกว่า แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดจะช่วยลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 27-72

 

วิธีการแช่ผักในน้ำยาล้างผักที่มีวาง ขายอยู่โดยใช้ความเข้มข้นประมาณ 0.3% ในน้ำ 4 ลิตร แช่ผักนานประมาณ 15 นาที จะลดปริมาณสารพิษฆ่าแมลงได้ร้อยละ 25-70 แต่วิธีนี้ต้องทำด้วยความระมัดระวังต้องดูให้ดีว่าน้ำยาล้างผักมีส่วนประกอบ ด้วยอะไรบ้าง เพราะในบางครั้งน้ำยาล้างผักจะแทรกซึมเข้าไปในผักซึ่งอาจเป็นอันตรายได้

 

จะได้เห็นแล้วว่า แต่ละวิธีสามารถช่วยลดปริมาณของสารตกค้างที่อยู่ในผักและผลไม้ได้แต่ว่าจะ เลือกวิธีไหนก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน ปริมาณและชนิดของผัก-ผลไม้ที่ต้องการจะล้าง และเวลาที่มีอยู่ และที่สำคัญคือพยายามรับประทานผัก-ผลไม้ให้หลากหลายอย่ากินซ้ำๆกันเกินไป และเปลี่ยนร้านที่ซื้อผัก-ผลไม้บ้าง เนื่องจากหากมีพิษ หรือสารตกค้างในผักก็จะได้ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายมากนัก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอเสนอเรื่อง ต้นไม้ ในเมืองครับ

สถานที่ที่ทำให้ผมสลดใจมาก คือ บริเวณทางเท้า หน้าวังสวนจิตรลดา ถนนราชวิถีครับ

 

ตัดต้นไม้ใหญ่กลางลำต้นเลย ตั้งแต่ปีที่แล้ว ไม่ใช่การตัดแต่งแน่นอน

 

ตอนนี้มีใบแตกบ้าง แต่บางต้นก็เกือบตาย ความสวยงามไม่ต้องพูดถึง ทั้งๆที่เป็นหน้าวังแท้ๆ

ไม่รู้หน่วยงานไหน ควรรับผิดชอบด่วน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

10338763_725204014203749_5607373301226256566_n.png

 

ผูกปิ่นโตข้าว

 

14 มิถุนายน · แก้ไขแล้ว

 

อีกสถิติหนึ่งคือ

คนไทยเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็ง เป็นอันดับ 1 (มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ)

และสาเหตุหนึ่งของโรคมะเร็งคือ สารพิษที่อยู่ในอาหารการกิน

 

คุณสามารถเลือกได้ ที่จะให้ตัวเองและครอบครัวห่างไกลจากความเสี่ยงนี้

การรับประทานข้าวอินทรีย์/เลิกเคมี เป็นอีกทางหนึ่งที่สำคัญ

เพราะช้อนที่ตักข้าว ตักเข้าปากคุณวันละ 3 มื้อนะคะ

 

ผูกปิ่นโตข้าวกับชาวนาที่เลิกใช้เคมีอย่างเด็ดขาดกันวันนี้

เพื่อคุณ เพื่อเขา เพื่อดินน้ำและข้าวของเราทุกคน

 

กรอกใบสมัครได้ที่นี่ค่ะ https://docs.google.com/forms/d/1QR7o7Sz2jov2XgVBYuPuPwUw5DhQyH7EFWyx3t7CPAw/viewform

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เรามีโอกาสเป็นได้สักครึ่งของญีปุ่นมั้ย

---ฝากโรงเรียนทุกโรงเรียน เข้มงวดกับเข้าคิวด้วยครับ

---ฝากปลูกจิตสำนึกที่ดีในหลักสูตรการเรียการสอนด้วยครับ

 

10464386_858740144169598_6113563060688156124_n.jpg

 

Von Richthofen

 

การปลูกฝังของคนต่างกันมาก วันนี้ผมเห็นภาพคนเข้าคิวกันแต่เช้าเพื่อรับตั๋วหนังฟรี แต่มีพวกมาสายไม่เข้าคิว แถมยังเข้าไปป่วนคิวคนที่เขามารออย่างคนที่เจริญแล้วถล่มคิวเสียเละไปหมด บางโรงถึงกับแย่งตั๋วหนังจากมือทหารที่ยืนแจกเลยก็มี บางคนก็ไม่สนใจบุกเข้าไปแย่งที่นั่งคนมีตั๋วอย่างหน้าตาเฉย ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อน

 

เมื่อสองปีก่อนตอนหลังจากเกิดซึนามิเมื่อสองปีก่อนผมยังอยู่ที่ญี่ปุ่น ตอนทุ่มกว่าๆของทุกคืนไปอีกสัปดาห์กว่าๆยังมีอาฟเตอร์ช็อกเหมือนตั้งเวลาเอาไว้ ตอนนั้นที่ฟูกุชิม่ะยังมีรังสีรั่วอยู่ ที่นั่นทุกคนเข้าแถวรับอาหารไปพอกินแต่ละมื้อแม้จะต้องเข้าแถวรอกันชั่วโมงกว่าทั้งสองรอบก็ตาม ร้านค้าที่อยู่ลึกเข้ามาจากทะเลที่ยังไม่โดนน้ำเข้ามาพังที่ยังพอมีของขายก็เปิดขายคนที่อยากจะซื้อก็ต้องเดินมาไกลมากไปกลับสิบกิโลเมตรก็มี ทุกคนซื้อขอเท่าที่จำเป็นต้องใช้วันนั้น ใช้หมดก็มาซื้อใหม่ไม่มีใครซื้อตุนของ เพราะคนอื่นก็ต้องการซื้อเหมือนกัน ร้านค้าก็ไม่กักตุนหรือขึ้นราคาขาย ของหมดแล้วก็หมดกัน

 

ตามสนามกีฬาหรือหอประชุมของโรงเรียนก็มีคนญี่ปุ่นที่ไร้บ้านไปนอน ต่างก็ไม่มีใครไปนอนเปล่าๆ ใครช่วยงานอะไรกันได้ก็ทำไม่มีนั่งเฉยๆ ทั้งเด็กทั้งคนแก่ใครทำอะไรได้ก็ช่วยกันทำ ถ้าวันนั้นไม่มีงานทำแล้วก็แยกย้ายกันออกไปหาเศษไม้จากบ้านที่พังมาเป็นฟืนให้ความอบอุ่นแก่คนอื่นๆในคืนนั้น ทำให้ผมเห็นภาพที่แตกต่างระหว่าตอนน้ำท่วมใหญ่ที่คนไร้บ้านย้ายมาอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสนามกีฬาชลบุรีที่ไม่คิดจะทำอะไรเลย มีแต่จับกลุ่มบ่นพวกที่เอาอาหารมาส่งว่าส่งช้า บ่นว่ายุงเยอะทำไมไม่มีคนมาฉีดยุง รถขนอาหารและสิ่งของมาให้ก็ไม่ออกมาช่วยขนของลงจากรถ นั่งๆนอนๆดูอาสาสมัครทำงานเหมือนไม่รู้ร้อนหนาวทั้งที่สิ่งนั้นมันคือสิ่งที่ตัวเองได้ฟรีทั้งนั้น งานในครัวไม่ลงมาช่วย กินอิ่มแล้วจานชามก็ไม่ล้าง อาสาสมัครทำงานเหมือนทาสแต่คนพวกนี้กลับไม่มีสามัญสำนึกเลยแม้แต่น้อย

 

ผมไม่อยากจะด่าคนไทยด้วยกันเองหรอกนะ แต่ผมเห็นเหตุการณ์มากับตา เห็นแล้วรู้เลยว่าคุณภาพในการเป็นมนุษย์ การอบรมสั่งสอนสั่งสอนมันต่างกัน เหตุการณ์ในเมืองไทยวันนี้มันเพียงแค่แจกตั๋วหนังไม่ดูก็ไม่ถึงกับตาย แต่อีกเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นมันคือชีวิตและปากท้องของครอบครัวลูกเมียที่ถึงกับอดตาย ใครยังพอเดินได้ก็ต้องเดินฝ่าความหนาวอุณหภูมิเลขตัวเดียวทั้งที่เสื้อผ้าไม่พร้อมรับมือกับความหนาวออกไปรับแจกอาหารแต่ละมื้อ แต่เขาก็มีวินัยจับมือกอดคอช่วยกันกันผ่านเหตุการณ์มาได้ มันกันมันเทียบกันไม่ได้เลยจริงๆกับภาพน่าสังเวชวันนี้

 

ตอนมีลุงแก่ๆคนหนึ่งเข้ามาคุยกับผมแล้วโค้งทำความเคารพผม แล้วบอกว่าขอบคุณมากที่คนไทยรักญี่ปุ่นและไม่ทอดทิ้งคนญี่ปุ่น ผมน้ำตาจะไหลออกมาให้ได้

 

เครดิตภาพ โพสทูเดย์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เราควรนับ1เรื่องนี้ได้แล้ว

 

Ben's Thought

9 ชม. · Prachachat ·

 

สาเหตุหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ มันเป็นวัฒนธรรมในสังคมญี่ปุ่น ถูกสอนตั้งแต่สมัยอนุบาลศึกษา ทั้งพ่อแม่ ทั้งครู และทั้งบรรดาผู้ใหญ่จะดุเด็กๆ ที่แซงคิวหรือไม่เข้าคิว ดังนั้น ตั้งแต่สมัยเด็ก เราก็เข้าใจว่า การแซงคิวนั้นเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ที่นี่ขอสังเกตว่า นี่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับดีหรือไม่ ดีครับ แต่อยู่ที่ว่า ทำได้หรือทำไม่ได้ เนื่องจากว่า ทุกครั้งพยายามจะแซงคิว เด็กๆ จะโดนผู้ใหญ่ดุ และไม่มีผู้ใหญ่ที่แซงคิว ทำให้เด็กรู้ว่า ฉันก็ทำไม่ได้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Punyalat Suksanguan

17 mins ·

หลวงปู่พุทธะอิสระ เผย วัดพระธรรมกาย ขยายพื้นที่ไปทั่วทุกภูมิภาคมีนักการเมืองเบื้องหลัง พร้อมเรียกร้องให้ คสช.ส่งคนช่วยพระพุทธศาสนา เข้าไปตรวจสอบเงินนับหมื่นหมื่นล้าน หมุนเวียนในวัด

วันนี้ 17 มิ.ย.57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลวงปู่พุทธะอิสระ อดีตแกนนำ กปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่าเห็นป้ายโฆษณาของธรรมกายร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและคณะ สงฆ์ จัดบวชพระภิกษุแสนรูปแล้วทำให้นึกขึ้นได้ค.ส.ช.ช่วยส่งคนที่ไว้ใจได้ ไปตรวจสอบเงินงบประมาณแผ่นดิน ที่วัดธรรมกายได้รับจากรัฐบาลคุณปูโดยผ่านสำนักนายกบ้าง ผ่านกระทรวงวัฒนธรรมและความมั่นคงของมนุษย์ผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่ง ชาติบ้าง

ลองตรวจดูหน่อยว่าวัดธรรมกายได้ไปเท่าไรแต่ละปี ทำไมวัดในประเทศไทยมีตั้ง 35,000 วัดถึงไม่ได้บ้าง จะอ้างว่าเพราะวัดธรรมกายทำโครงการอบรมในงานต่างๆ ให้รัฐบาล อยากจะบอกว่าวัดอื่นๆในประเทศไทย จัดอบรมไม่ได้ยังงั้นหรือ เด็กนักเรียนอยู่เชียงใหม่ อยู่ใต้ อยู่ตะวันออก อยู่อีสาน ต้องเดินทางมาที่รังสิตวัดธรรมกายเพื่อเข้าอบรม แล้ววัดข้างโรงเรียนของเด็กนักเรียนเหล่านั้นไม่มีพระอบรมให้แล้วหรือ

ซึ่งหลายโรงเรียนเป็นโรงเรียนวัด เด็กนักเรียนต้องไปกินอาหารกลางวันจากวัด แต่เวลาวัดนั้นๆจะได้งบประมาณอบรมบ้าง ข้าราชการ ครูโดยกระทรวงศึกษาและกระทรวงวัฒนธรรม กลับเกณฑ์ให้เด็กต้องนั่งรถไปที่วัดธรรมกายรังสิต ซึ่งบางครั้งถึงตายกลางทางเพราะประสบอุบัติเหตุ

ยิ่งสองปีที่ผ่านมาวัดธรรมกายกำเริบใหญ่ ถึงขนาดขยายอาณาจักรไปทั่วทุกภูมิภาค โดยการอาศัยบารมีนักการเมืองในฟากรัฐบาลสนับสนุน ได้งบประมาณจากรัฐบาลจุนเจือ ได้พลังมวลชนผู้ศรัทธาเป็นฐานเสียงให้พรรคการเมือง ได้อำนาจรัฐจากข้าราชการตาขาวสนับสนุน บางพื้นที่ก็บุกรุกพื้นที่สาธารณะ เช่นในจังหวัดอุดร ยึดเอามาสร้างอาณาจักรของตน แม้ที่สุดก็บุกรุกป่าสงวน กว้านซื้อที่ดินจากชาวไร่ชาวนาผู้ยากจน ซึ่งในใต้แผ่นดินที่ซื้อมามีขุมเหมืองแร่ทอง เงิน และอื่นๆที่มีค่า โดยชาวบ้านไม่รู้ ขายให้สำนักนี้ราคาถูก ข้อมูลแร่ใต้ดินนี้หากไม่มาจากภาครัฐ แม้ฉันเองก็ยังไม่รู้ หากคนในรัฐบาลไม่สนับสนุนร่วมมือ เรื่องเหล่านี้มีอยู่ในศาสนาพุทธในเมืองไทย ยุคสมัยตระกูลชินและนายกทักษิณเรืองอำนาจ

ค.ส.ช.ลองส่งคนไปตรวจสอบบัญชี และยอดเงินงบประมาณที่หลั่งใหลเข้าไปในวัดธรรมกายแห่งนี้ดูหน่อยดีไหม รวมทั้งเหตุการเงินของกลุ่มสหกรณ์ยูเนี่ยนสูญหายไปเป็นหมื่นๆล้าน ซึ่งประธานกลุ่มยูเนี่ยนได้เป็นศิษย์ใกล้ชิด เป็นกรรมการบริหารของวัดนี้ด้วย ฉันได้กลิ่นมาว่าเงินสหกรณ์บางส่วนได้ใหลเข้ามาเล่นแร่แปรธาตุในวัดนี้มากโข ลองตรวจดูหน่อยน่าจะดี หากไม่มีสิ่งผิดปกติ จักได้แก้ข้อสงสัยทำให้พระศาสนาและวัดผุดผ่องด้วย

พระพุทธศาสนามีหลักคิดว่า กระบวนการตรวจสอบต้องถือว่าเป็นหลักที่จะทำให้สังฆมณฑลเป็นปึกแผ่นมั่นคง บริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นที่ยอมรับศรัทธาของกันและกันในสังฆมณฑล ดูตัวอย่างพระสงฆ์ต้องลงอุโบสถสังฆกรรมตรวจทานศีลของตน และปลงอาบัติ ประกาศเจตนาที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัยแก้ไขพฤติกรรมได้ตลอดเวลา

หากสังคมสามารถทำได้เช่นนี้ คนชั่วคนผิดคนไม่ดี ก็ไม่มีสิทธิ์ลอยนวลอยู่ได้ทุกวันนี้ แต่เดี๋ยวนี้นักบวชด้วยกันเอง ต่างเกรงกลัวการตรวจสอบเหมือนกัน จนสังฆมณฑลกลายเป็นที่ซ่องสุมของคนบาปใจทรามเต็มไปหมด พระศาสนาจึงกลายเป็นแดนสนธยามืดมนกันอยู่ทุกวันนี้

ค.ส.ช.คุณประยุทธ์ช่วยทำบุญให้พระพุทธศาสนาด้วยก็น่าจะดียิ่ง

พุทธะอิสระ

...............................................

ข่าวจาก Mthai

Cr.มาริโอ เมากาว

 

10407508_884040528279256_2078805386017626605_n.jpg

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...