ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ทองกระดาษมีปริมาณเท่าไหร่ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทองกระดาษมีปริมาณเท่าไหร่ครับ

เท่าที่เคยอ่านเจอมา รู้สึกว่าจะประมาณ 100เท่าของทองจริงครับ

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

“โซนี่” ยักษ์ใหญ่อิเล็กทรอนิกส์แดนปลาดิบ มีกำไรหนแรกใน 5 ปี blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 พฤษภาคม 2556 15:15 น.

 

 

blank.gif 556000005795801.JPEG blank.gif เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - โซนี่ คอร์ป ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่นประกาศในวันพฤหัสบดี (9) โดยระบุบริษัทกลับมามีผลกำไรสุทธิได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ถือเป็นการส่งสัญญาณแห่งความหวังให้กับโซนี่ หลังต้องเผชิญวิกฤตต่อเนื่องนานหลายปี

 

คำแถลงของโซนี่ระบุว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 43,030 ล้านเยน (ราว 12,820 ล้านบาท) ในปีการเงินที่สิ้นสุดไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังจากที่เคยขาดทุนยับถึง 456,660 ล้านเยน (ราว 136,060 ล้านบาท) ในปีการเงินก่อนหน้า

 

สาเหตุสำคัญของการกลับมามีกำไรเป็นเพราะค่าเงินเยนที่อ่วนยวบลง ช่วยกระตุ้นยอดขายของสินค้าส่งออก “เมดอินเจแปน” ให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้มากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ จนยอดขายเพิ่มสูงขึ้น 4.7 เปอร์เซ็นต์

 

คาซูโอะ ฮิราอิ ประธานและซีอีโอ วัย 52 ปีของโซนี่ คอร์ป แสดงความมั่นใจว่าในปีการเงินปัจจุบันซึ่งจะสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคมปีหน้า ทางบริษัทน่าจะมีผลกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 50,000 ล้านเยน (ราว 14,900 ล้านบาท)

 

นอกจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงไปมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่มีส่วนสำคัญต่อการกลับมามีกำไรของโซนี่เป็นหน แรกในรอบ 5 ปียังเกิดจากความสำเร็จของแผนปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ทั้งการปลดพนักงานออกหลายพันตำแหน่งเพื่อลดค่าใช้จ่าย รวมถึงการขายทิ้งสินทรัพย์ที่ไม่จำเป็น เช่น อาคารสำนักงานในแมนฮัตตัน และกรุงโตเกียว

 

ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่นประสบปัญหาเรื้อรังมานานหลายปี จากการที่ยอดขายในตลาดสำคัญๆ ทั่วโลกต่างปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และยังต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างดุเดือด จากสินค้าคู่แข่งจากเกาหลีใต้และจีนที่มีราคาจำหน่ายต่ำกว่า ส่งผลให้บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งโซนี่ พานาโซนิค และชาร์ป ต่างต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด

556000005795802.JPEG คาซูโอะ ฮิราอิ ประธานและซีอีโอ วัย 52 ปีของโซนี blank.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มีแต่รายงานของขาด แต่สต๊อกใน COMEX , GLD(SPDR) ยังมีเยอะอยู่

แสดงว่าต้องมีคอขวด ที่ไหนสักแห่ง ทำให้การส่งมอบมาที่จีน อินเดียทำได้ช้ามาก

ผมลองเดา ๆ ดูตามนี้นะครับ

1) ทองแท่งในลอนดอน (GLD) มีขนาด 400ออนซ์ แต่ความบริสุทธิ์ 99.5% ดังนั้นถ้าจะส่งไปขายในเอเชีย ทำเครื่องประดับ ก็ต้องเอามาสกัดอีกครั้งให้ได้ 99.99% คิดว่าส่วนใหญ่สกัดในสวิส โรงงานคงมีกำลังผลิตจำกัด

 

2) ทองแท่งในตลาด COMEX มีความบริสุทธิ 99.99% อยู่แล้ว แต่จะส่งมอบเมื่อ คนซื้อรอจนสัญญาหมดเวลา คนขายถึงส่งมอบให้ สัญญาฟิวเจอร์มีอายุสองเดือน เราจึงเห็นเดือนที่ active กับ non-active สลับกัน ตรงนี้จึงต้องรอสัญญาหมดอายุ

 

3) ต่อให้ส่งมอบได้แล้ว ก็ต้องมีกระบวนการต่าง ๆ กว่าจะส่งมาที่เอเชียได้ ถ้าส่งทางเครื่องบิน ค่าพรีเมียมก็แพง ทางเรือก็ช้าเกิน

 

คิดดูอีกที พวกเราทั้งโลกให้ความสนใจ COMEX เกินไปรึเปล่า ในขณะที่ส่วนใหญ่ ของทองกำลังอยู่ในมือของเอกชน(นายแบงค์)

ทองใน COMEX คิดเป็นแค่ 1% ของทั้งโลก ?

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แบงก์ชาติจีนวุ่น'เงินเฟ้อพุ่ง-ผลิตแย่'ไม่ขยับด/บ ให้รบ.ใช้แผนคลังดันศก. blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 พฤษภาคม 2556 03:16 น.

 

 

blank.gif 556000005825601.JPEG ผู้บริโภคจีนต้องประสบภาวะอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเมื่อเดือนเมษายน blank.gif

รอยเตอร์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - อัตราเงินเฟ้อของเงินที่พุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนเมษายนที่ผ่านมา สวนทางกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมที่กลับยังคงรูดลงติดต่อ กันเดือนที่ 14 ตอกย้ำให้เห็นว่า แบงก์ชาติแดนมังกรกำลังเผชิญภาวะหนีเสือปะจระเข้ในการถ่วงดุลระหว่างการเดิน นโยบายสนับสนุนการเติบโตกับการใช้มาตรการป้องกันการคุกคามของภาวะเงินเฟ้อ

 

ในภาวะที่การเติบโตของเศรษฐกิจโลกกำลังซวนเซ ธนาคารกลางจีนจึงมีช่องทางจำกัด ไม่เหมือนกับเกาหลีใต้และออสเตรเลียที่สร้างความประหลาดใจด้วยการประกาศลด ดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้

 

เหตุผลคือ ถ้าลดอัตราดอกเบี้ย ตลาดอสังหาริมทรัพย์แดนมังกรอาจเผชิญภาวะฟองสบู่ แต่ถ้าคุมเข้มดอกเบี้ย ซึ่งก็คือต้นทุนการกู้ยืม ก็อาจทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่งเริ่มต้นอยู่ในภาวะหยุดชะงักลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่อัตราเติบโตไตรมาสแรกปีนี้ลดลงเกินคาดอยู่ที่ 7.7% จากระดับ 7.9% ในไตรมาสก่อนหน้า

 

ดังนั้น แทนที่จะเน้นให้ธนาคารกลางใช้มาตรการทางการเงิน ก็มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจีนจะต้องหันมาออกโรงรับภาระ ด้วยการใช้มาตรการทางการคลังมุ่งผลักดันการใช้จ่ายด้านการปรับโครงสร้างพื้น ฐาน มาเป็นตัวส่งเสริมให้เติบโตของเศรษฐกิจดำเนินไปอย่างยั่งยืน

 

 

 

สือ หงไช่ (Xu Hongcai) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของไชนา เซนเตอร์ ฟอร์ อินเตอร์เนชันแนล เอ็กซ์เชนจ์ (ซีซีไออีอี) ซึ่งเป็นกลุ่มคลังสมองสำคัญของรัฐบาลแดนมังกร ชี้ว่า จีนไม่สามารถพึ่งพิงธนาคารกลางในการสนับสนุนเศรษฐกิจได้มากนัก แต่รัฐบาลจะหันมาเน้นนโยบายทางการคลังแทนด้วยการเพิ่มการลงทุนด้านโครงสร้าง พื้นฐานและการลดภาษี

 

ในทางกลับกัน นักลงทุนที่เดิมพันว่า จะมีการผ่อนปรนนโยบายดอกเบี้ย ต้องประสบความผิดหวังอย่างแรง หลังจากธนาคารกลางเทขายพันธบัตรระยะ 3 เดือนมูลค่า 10,000 ล้านหยวน (1,630 ล้านดอลลาร์) ในวันพฤหัสบดี (9) ซึ่งเป็นการดำเนินการครั้งแรกนับจากปี 2011 และบ่งชี้ว่า แบงก์ชาติจะพึ่งพิงเครื่องมืออื่นที่ไม่ใช่อัตราดอกเบี้ย

 

ขณะที่ไม่ลดดอกเบี้ย แบงก์ชาติของจีนก็ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะเลือกใช้วิธีคุมเข้มอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (พีเอ็มไอ) ภาคอุตสาหกรรมและบริการ ที่บ่งชี้ว่า กิจกรรมเศรษฐกิจในเดือนที่ผ่านมายังซบเซา

 

ทั้งนี้ โรงงานจีนเอ่อล้นไปด้วยกำลังผลิตล้นเกินเนื่องจากอุปสงค์ตกต่ำ เพิ่มความกดดันด้านลบต่อราคาผู้ผลิตและฉุดผลกำไรลดตามไปด้วย

 

ตงหมิง เซี่ย (Dongming Xie ) นักเศรษฐศาสตร์ของโอซีบีซี แบงก์ ในจีน ชี้ว่า นโยบายสำคัญอันดับแรกของทางการแดนมังกรคือการปฏิรูปอุตสาหกรรมเพื่อจัดการ กับปัญหากำลังผลิตล้นเกิน ดังนั้น จุดมุ่งเน้นจึงเปลี่ยนจากนโยบายมหภาคสู่นโยบายจุลภาค โดยเขาคาดหวังว่า นโยบายการเงินจะยังคงเดิม

 

ทั้งนี้สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า ราคาผู้ผลิตในเดือนเมษายนลดลง 2.6% นับเป็นการลดลงต่อเนื่องเดือนที่ 14 และลดแรงกว่าในเดือนก่อนหน้าที่ขยับลง 1.9%

 

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อจากราคาผู้บริโภคปรับขึ้นจาก 2.1% ในเดือนมีนาคม เป็น 2.4% เมื่อเดือนที่แล้ว สืบเนื่องจากราคาอาหารแพงขึ้น

 

นอกจากนี้ โจว ห่าว (Zhou Hao ) นักเศรษฐศาสตร์จากเอเอ็นแซดในเซี่ยงไฮ้ยังคาดว่า อัตราเงินเฟ้อเดือนนี้อาจเพิ่มขึ้นต่อไปอยู่ที่ราว 3% อย่างไรก็ดี เขาเสริมว่าเป็นที่คาดหมายอย่างกว้างขวางว่า ธนาคารกลางจะคงนโยบายไม่ขยับตัวเรื่องดอกเบี้ยต่อไป โดยอาจเพียงมีการปรับบางอย่างให้เหมาะสมเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจท่ามกลางภาวะ เศรษฐกิจโลกที่ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หลังจากขายมาช่วงใหญ่ วันนี้SPDRเพิ่งซื้อเพิ่มวันแรก ซื้อ2.71 ยอดรวมอยู่ที่1054.18ตัน

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หลังจากขายมาช่วงใหญ่ วันนี้SPDRเพิ่งซื้อเพิ่มวันแรก ซื้อ2.71 ยอดรวมอยู่ที่1054.18ตัน

 

เลยโดนเจ้าฮ่ะเทสั่งสอนซัก :023

ถูกแก้ไข โดย Jocho

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เท่าที่เคยอ่านเจอมา รู้สึกว่าจะประมาณ 100เท่าของทองจริงครับ

ขอบคุณครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โลกอ่วมแผนอัดฉีดก่อชนวนวิกฤการเงินรอบใหม่

  • 10 พฤษภาคม 2556 เวลา 08:30 น.

36E31F702C9B48E7B63C4568E289335B.jpg

 

 

โดย...นงลักษณ์ อัจนปัญญา

 

กลายเป็นความเคลื่อนไหวที่ต้องติดตามชนิดไม่ให้คลาดสายตา สำหรับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

เพราะนอกจากจะขยับปรับตัวขึ้นอย่างคึกคักในแดนบวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในตลาดหุ้นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่จนเปรียบได้กับ เสาหลักของเศรษฐกิจโลกอย่าง สหรัฐ ยุโรป หรือญี่ปุ่นแล้ว ดัชนีสำคัญของตลาดหุ้นเหล่านี้ยังทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ในรอบหลายปี

ไล่เรียงตั้งแต่ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์สหรัฐที่ทะลุ 15,000 จุด เป็นครั้งแรก หรือดัชนีสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ 500 (เอสแอนด์พี 500) ที่ก้าวข้าม 1,600 จุด ในรอบหลายปี ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาตลาดหุ้นทั่วโลกจากดัชนีเอ็มเอสซีไอ ออลคันทรี เวิลด์ อีควิตี้ ซึ่งเป็นดัชนีที่ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์ใน 45 ประเทศ พบว่าดัชนีขยับขึ้นอีก 0.56% เมื่อวันที่ 8 พ.ค. กลายเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี

ทั้งนี้ แม้จะเข้าใจได้ว่าขาขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงไม่กี่สัปดาห์นี้ เป็นผลจากข่าวดีด้านเศรษฐกิจการค้าในหลายประเทศ เช่น การว่างงานของสหรัฐที่ลดเหลือ 7.5% ต่ำสุดในรอบ 5 ปี หรือการส่งออกจีนเดือน เม.ย. ที่ขยายตัวเกินคาดถึง 14.7% และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเยอรมนีในเดือน มี.ค. เพิ่มขึ้น 1.2% มากกว่าที่คาดกันไว้ และเพิ่มติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ของปี

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งกลับเห็นว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นตลาดทุนใน ขณะนี้ไม่ได้เป็นผลจากความแข็งแกร่งของปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของแต่ละ ประเทศอย่างแท้จริง พิสูจน์ได้จากความต้องการจับจ่ายของผู้บริโภคทั่วโลกที่ปรับขึ้นเพียงเล็ก น้อยและเชื่องช้า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะแผนรัดเข็มขัดของภาครัฐ

แต่เป็นผลสืบเนื่องจากสารพัดมาตรการกระตุ้นของธนาคารกลางในประเทศ เศรษฐกิจชั้นนำที่ทำให้มีปริมาณเงินมหาศาลจนเกิดสภาพคล่องล้นระบบ จนกลายเป็นทุนร้อนที่บรรดานักลงทุนทั้งหลายขนไปเก็งกำไรทำเงินในตลาดหุ้น ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่

ความไม่สอดคล้องระหว่างสถานการณ์เศรษฐกิจจริงกับสถานการณ์ของ ตลาดหุ้นข้างต้น ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์หลายสำนักตั้งข้อสังเกตด้วยความวิตกว่า ความผิดเพี้ยนของสภาวะเศรษฐกิจโลกจะนำไปสู่การเกิดวิกฤตทางการเงินครั้งใหญ่ ที่เลวร้ายมากกว่าครั้งใดๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต

เนื่องจากครั้งนี้เป็นวิกฤตที่เกิดจากนโยบายการเงินการคลังของรัฐบาล ไม่ใช่วิกฤตการเงินที่มาจากหนี้และสินเชื่อ

เดวิด รอช นักกลยุทธ์ชั้นนำของโลกจากสหรัฐ และประธานบริษัท อินดิเพนเดนท์ สแตรทเตอร์จี อธิบายว่า หายนะที่จะเกิดขึ้นคราวนี้มีแนวโน้มมาจากตลาดพันธบัตรเป็นหลัก โดยทันทีที่บรรดาธนาคารกลางทั่วโลกยุติการซื้อพันธบัตรผ่านมาตรการอัดฉีด หรือนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน (คิวอี) วิกฤตการเงินจะโหมกระพือขึ้นแน่นอน และจะเลวร้ายรุนแรงมากกว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นในปี 2551

สาเหตุเพราะการใช้มาตรการต่างๆ ข้างต้น ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมของภาครัฐ ได้ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยผลตอบแทนพันธบัตรต่ำกว่าความเป็นจริงของสถานการณ์ ในตลาด

ดังนั้น การยุติมาตรการข้างต้นจึงไม่ต่างอะไรกับการทำให้อัตราดอกเบี้ยผลตอบแทนกลับ คืนสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง และทำให้ภาระหนี้แท้จริงปรากฏโฉมออกมา พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือนักวิเคราะห์ทั้งหลาย รวมถึง รอช เห็นว่าเมื่อธนาคารกลางในซีกโลกตะวันตกเลิกใช้วิธีการคิวอีในการกระตุ้น เศรษฐกิจ ผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐ เยอรมนี และอังกฤษ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงขนาดที่ทำให้เกิดการพังครืนของระบบชนิดฉับพลันทันที

เนื่องจากรัฐบาลของประเทศเหล่านั้นซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะที่คลังขาดดุล อย่างมหาศาลจะไม่สามารถชำระหนี้พันธบัตรได้ ขณะเดียวกันมูลค่าพันธบัตรของตนเองจะลดต่ำลงจนต้องเพิ่มอัตราผลตอบแทนเพื่อ ดึงดูดนักลงทุน ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมของภาครัฐ

ทั้งนี้ ผลลัพธ์ของนโยบายคิวอีทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี ในขณะนี้ร่วงต่ำลงมากกว่า 2% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยอยู่ที่ 1.8% เช่นเดียวกันกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษ (กิลท์ส) และพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนี (บุนด์ส) อายุ 10 ปี ที่ปรับลดต่ำที่สุดเมื่อวันที่ 8 พ.ค. โดยมีอัตราตอบแทนอยู่ที่ 1.8% และ 1.29% ตามลำดับ

และเพื่อรักษาอัตราผลตอบแทนให้อยู่ในระดับต่ำเช่นนี้ต่อไป บรรดาธนาคารกลางย่อมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสนับสนุนให้มีการพิมพ์เงินออกมา มหาศาลเพื่อให้รัฐบาลนำเงินไปซื้อพันธบัตรไปเรื่อยๆ กระทั่งทำให้นักลงทุนเกิดความรู้สึกว่าตลาดพันธบัตรเป็นเสมือนแหล่งพักเงิน ที่ปลอดภัย โดยลืมเลือนไปว่าเมื่อใดก็ตามที่คิวอียุติ อัตราผลตอบแทนย่อมปรับตัวสูงขึ้น และสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือวิกฤตร้ายแรง

นักกลยุทธ์ส่วนใหญ่ รวมถึง รอช กล่าวชัดเจนว่า ผลกระทบจากการพังทลายของแหล่งพักเงินที่ปลอดภัย (เซฟ เฮฟเวน) อย่างตลาดพันธบัตรจะเป็นหายนะใหญ่หลวงสำหรับตลาดการเงินทั่วโลก

เพราะสิ่งที่ทั่วโลกกำลังจะได้เห็นคือการขาดทุนของเงินทุนมหาศาลของ สถาบันการเงินต่างๆ เนื่องจากการปรับมูลค่าตามราคาตลาด (Marktomarket basis)

ขณะที่ประชาชนทั่วไปที่ถือครองพันธบัตรในรูปแบบของการออมเงิน ความผันผวนเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะกระเทือนความเชื่อมั่นในการถือครอง พันธบัตรให้ลดน้อยลง ซึ่งจะกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงได้ เนื่องจากเมื่อผู้บริโภคไม่มั่นใจกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ประกอบกับแหล่งสินทรัพย์ของตนเองเริ่มมีมูลค่าลดน้อยลง เมื่อนั้นผู้บริโภคจะเริ่มหันมาประหยัดอดออมมากขึ้น

ทั้งนี้ ในช่วง 23 ปีที่ผ่านมา บรรดาประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของชาติตะวันตกต่างเริ่มต้นขยายโครงการซื้อ พันธบัตรของตนเองอย่างหนักหน่วง เพื่อพยายามฟื้นการเติบโตของประเทศหลังจากภาวะวิกฤตสินเชื่อมากมาย โดยไม่ได้เอ่ยถึงหนทางหรือแนวทางที่จะยกเลิกมาตรการคิวอีแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม เสียงเรียกร้องให้ธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยุติการใช้คิวอี 3 ในปีนี้เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อการใช้อย่างต่อเนื่องมายาวนานหลายปี โดยมองไม่เห็นผลใดๆ ในการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ เริ่มทำให้สมาชิกคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) วิตกกังวลกันมากขึ้นว่าหากดันทุรังใช้คิวอีต่อไปน่าจะก่อให้เกิดผลเสีย มากกว่าผลดี

เหตุเพราะนักลงทุนและนักธุรกิจจะเริ่มเสพติดกับการช่วยเหลือดังกล่าวจน ไม่เป็นอันคิดแก้ปัญหาใดๆ นอกจากนี้ ความวิตกข้างต้นยังครอบคลุมไปยังประเด็นที่ว่า ตลาดในขณะนี้ยังคงไม่มีการเตรียมการรับมือใดๆ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ธนาคารกลางจะเลิกใช้คิวอีแม้แต่น้อย

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ธนาคารกลางอีกหลายประเทศกำลังเดินตามรอยเฟดและธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) อย่างไม่มีลังเล โดยล่าสุดก็คือธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ที่เพิ่งจะประกาศบังคับใช้แผนอัดฉีดเงินมูลค่า 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เข้าระบบของประเทศเพื่อยุติภาวะเงินฝืด กระตุ้นการเติบโตและการใช้จ่าย

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ต่างชี้ว่า ญี่ปุ่นกำลังเดิมพันด้วยความเสี่ยงครั้งใหญ่กับนโยบายการเงินแบบสุดโต่ง และโครงการกระตุ้นแบบมหาศาลที่ยังไม่มีการรับประกันใดๆ ว่าจะบรรลุผลสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

แน่นอนว่าผลจากแผนอัดฉีดครั้งใหญ่ของรัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายก รัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ได้ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นในปัจจุบันทำสถิติลดต่ำสุด โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี อยู่ที่ 0.61% ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 0.89% นับเป็นการลดลงอย่างฮวบฮาบหลังจากที่เคยมีอัตราผลตอบแทนสูงถึง 8% ในช่วงทศวรรษที่ 1990

หรือจะสรุปได้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นบรรลุเป้าหมายในการกระตุ้นตลาด โดยเฉพาะตลาดหุ้นให้กลับมาคึกคักสดใสได้อีกครั้ง รวมถึงช่วยให้ภาคการส่งออกของประเทศที่ซบเซามานานลืมตาเห็นแสงสว่างได้บ้าง

แต่อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ต่างเตือนว่าวิธีการดังกล่าวอาจทำให้เงินเฟ้อของญี่ปุ่นพุ่ง ขึ้นจนกระทั่งรัฐบาลไม่สามารถชำระหนี้พันธบัตรของตนเองได้ โดยขณะนี้หนี้สาธารณะของรัฐบาลญี่ปุ่นมีปริมาณมหาศาลเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้คาดการณ์ไว้ว่าหนี้ญี่ปุ่นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 245% ต่อจีดีพีภายในปี 2556

ดังนั้น สิ่งที่ทั่วโลกจำต้องลงมือทำขณะนี้ควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงหนีไม่พ้นการเตรียมความพร้อมรับมือกับวิกฤตรุนแรงระลอกใหม่ที่จะกำลังจะ เกิดขึ้นตามมา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ช่วงนี้ข่าวราคาโลหะมีค่านี่ไม่ค่อยน่าพิศมัยเสียเลย ต้องเอาหูไปนา เอาตาไปไร่เสียบ้าง

 

.... แต่ก็อดมาตามเปิดข่าวอ่านเรื่อยๆไม่ได้ ....

 

 

 

มีคนส่งอีเมลล์มาหาลุงจิม

  • สำหรับทองคำ/โลหะเงิน : เป้าหมายต่ำสุด(สุดท้าย) น่าจะเป็นวันที่ ๑๓-๑๔ พ.ค. -- แนะนำให้เข้าวันจันทร์ ถ้าทองคำน่าจะปิดเป็น +l, แต่ถ้าทำท่าจะปิดเป็นลบ เข้าวันอังคาร
  • สำหรับคนที่ซื้อเก็บ ก็อย่าได้ร้อนใจไป การตัดสินใจของคุณจะปลอดภัยไปจนถึงปี ๒๐๒๐ -- ราคาโลหะมีค่าจะขึ้นๆลงๆแบบนี้ไปเรื่อยๆ และมันยังไม่ถึงเวลาของขาขึ้นจนกว่าตลาด(โดยภาพรวม)จะปรับฐานเสียก่อน

http://www.jsmineset.com/2013/05/10/update-on-gold-from-ciga-bo-polny/

 

 

มาร์ติน ตอบคำถาม เรื่องทองคำในคลังของไครม์เม็กซ์ ..

  • ปุจฉา :: เรื่องทองคำในคลังของไครม์เม็กซ์ที่ลดลงนี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญหรือ?
  • วิสัฉนา :: มันไม่ใช่เรื่องเลยหล่ะ ...
    -- ทองคำในคลังมันก็ผันผวนอย่างนี้อยู่แล้ว โดยไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องราคาแม้แต่น้อย อุปทานจะสลับไปมาระหว่างลอนดอน และนิวยอร์ค
    -- สิ่งที่ผมเป็นห่วงมากกว่า คือความพยายามของรัฐบาล ที่จะตัดช่องทางของคนทั่วไป ที่จะใช้ทองคำเป็นการป้องกันตัวเอง เช่น ตอนนี้แคนาดา ก็พยายามหาทางจัดการบิทคอยน์, ส่วนลุงแซม ก็กำหนดข้อบังคับที่โรงหลอมจะต้องรายงานปริมาณของเข้าออกทั้งหมด, ฝรั่งเศส ก็ห้ามซื้อทองคำด้วยเงินสด และลดปริมาณเงินสดที่สามารถถอนได้ในแต่ละวัน
    -- นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ธนาคารทองคำหลายๆที่ เริ่มปฏิเสธที่จะส่งมอบทองคำ และให้เป็นเงินกระดาษแทน
    -- ช่วงเวลาที่คุณสามารถซื้อเหรียญทองคำด้วยเงินสดได้ กำลังจะหมดไปแล้ว

http://armstrongeconomics.com/2013/05/10/gold-inventories/

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แอนดรูว์ แมกไกวร์บอกว่าวันนี้(เมื่อคืนของบ้านเรา) ตอนที่ทองลงต่ำกว่า 1445 มีออร์เดอร์(ของรัฐบาลต่างประเทศ)ที่เฝ้ารอราคาอย่างใจเย็นเข้ามาแล้วซื้อทองแท้ๆไป 40 ตัน

 

นอกจากนี้ยังบอกว่าพรีเมี่ยมที่เซี่ยงไฮ้เมื่อวานขึ้นไปถึง 26 $ ส่วนที่ดูไบพรีเมี่ยมก็ทะลุฟ้า

http://kingworldnews..._Price_Dip.html

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แอนดรูว์ แมกไกวร์บอกว่าวันนี้(เมื่อคืนของบ้านเรา) ตอนที่ทองลงต่ำกว่า 1445 มีออร์เดอร์(ของรัฐบาลต่างประเทศ)ที่เฝ้ารอราคาอย่างใจเย็นเข้ามาแล้วซื้อทองแท้ๆไป 40 ตัน

 

นอกจากนี้ยังบอกว่าพรีเมี่ยมที่เซี่ยงไฮ้เมื่อวานขึ้นไปถึง 26 $ ส่วนที่ดูไบพรีเมี่ยมก็ทะลุฟ้า

http://kingworldnews..._Price_Dip.html

 

เล่นเอาเจ้ามือหลอนเลยมั๊งครับ ทุบทีไรโดนช้อนทุกที คนรู้จักกันบอกจะรอซื้อทองที่บาทละ 15,000 บาท ตามข่าว สงสัยจะรอเก้อ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...