ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

c5c7ba2a8d2229f122701e500ec82539.gif

กระทู้คุณNextเสริมสร้างความรู้จริงๆ

เอาไปเลยครับกระทู้ยอดเยี่ยมแห่งปี+1

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พอมีเวลาว่างจะไปซื้อ ดันขึ้นมาอีก เฮ้อ ผันผวนจริงๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ybull.jpg

 

 

 

สิบปี (TEN)

 

คราวก่อนพูดถึง ความพยายามของธนาคารกลาง(Central Bank) ที่จะกดราคาทองคำให้ ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

สาเหตุก็เพราะ ทุกครั้งที่ทองคำ ขึ้นเร็วและแรงเกินไป มัน “เตะตาคน”

 

เค้ารู้อยู่แก่ใจว่า “ทองคำคือเงินที่แท้จริง” แต่หน้าที่เค้าคือ เชิดชู ระบบธนบัตร (Fiat Currency)

ทุกครั้งที่ทองคำขึ้นราคา(ความจริงคือเงินเสื่อมค่าลง)

มันทำให้พวกเค้านั้นดูไม่ดี ถือว่าทำหน้าที่ได้แย่

 

เพราะเป้าหมายของธนาคารกลางก็คือ สิ่งที่ทุกคนควรยึดถือ คือ “กระดาษ” ไม่ใช่ “ทองคำ”

(ก็น่าแปลกที่ทำสำเร็จมาหลายปีจนถึงทุกวันนี้?)

 

เมื่อเค้าเลือกที่จะจัดการกับทองคำโดยตรง การกด-การเทขายทอดตลาด จึงเกิดขึ้นกินระยะเวลายาวนานหลายปี

ทองคำสำรองในธนาคารกลางต่างๆทั่วโลก เริ่มลดลงๆ แต่ปริมาณทองคำที่ถือครองโดยนักลงทุนเริ่มจะเพิ่มขึ้นๆ

อภิมหาดอย ของทองคำใน ปี 1980 (จาก 850$ ลงไปถึง 250$)

ทำให้นักลงทุน เข็ดขยาด กับการลงทุนในทองคำ

จริงครับหากคุณลงทุน ในปีนั้น คุณติดดอย แต่มองในมุมกลับ

หากคุณลงทุนตั้งแต่ 35$ ในปี 1970 ล่ะ ?? ปี1980 มันเป็นโอกาสทอง ชัดๆ

 

แม้ว่ากระทิงทอง ตัวเก่าถูกฆ่าตายไปด้วยน้ำมือของ พอล วอร์คเกอร์

(โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปถึงระดับ 20%)

แต่ลูกกระทิงก็ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่

 

การฆ่าตัวพ่อรวมถึงการกดหัวตัวลูกที่ยังเล็กไว้ได้อยู่หมัดนานหลายปี ทำให้พวกเค้า

 

ย่ามใจ ........

 

 

การจัดสรรงบประมาณทำได้โดย สะดวก ไม่ต้องอ้างอิงกับระบบมาตราฐานทองคำ

ประชาชนในประเทศมหาอำนาจ อยู่กันอย่างสุขสบาย

สวัสดิการจากรัฐ เพียบพร้อม สมบูรณ์ พูนสุข ดูแลตั้งแต่เกิดยันตาย

 

การปล่อยสินเชื่อทำได้ โดยง่าย การอนุมัติโครงการเมกะโปรเจค ทั้งหลายก็ ตวัดปากกา แค่แกร๊กเดียว !

ประชาชนในประเทศ ตะวันตก ใช้ชีวิต อย่างหรูหราฟู่ฟ่า ทำงานบ้างเที่ยวบ้าง เวลาที่เหลือช้อปปิ้ง

อัพเกรดมือถือทุกปี มีรถบ้านละ สอง-สาม คัน...... รูดบัตรเครดิต สร้างหนี้ สร้างสิน

 

สหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จในการชักจูง ให้ทั้งโลกเชื่อถือใน “ดอลล่าห์” ว่านี่คือเงิน

สมควรที่ทุกประเทศควรเก็บไว้เป็นทุนสำรอง ??

 

เวลาแห่งความสุขของประชาชนชาวอเมริกัน คงอยู่เนิ่นนานผ่านไปหลายสิบปี

 

พร้อมๆกับที่ "ลูกกระทิง" ก็เริ่ม จะโตขึ้น ทุกวันๆ

 

...............................................

 

ประเภทของการก่อหนี้

 

ประเทศ สหรัฐอเมริกา ขาดดุลงบประมาณ มากขึ้นเรื่อยๆๆ จากประเทศ เจ้าหนี้ รายใหญ่ที่สุดในโลก (World’s largest creditor nation)

ผันตัวเองกลายเป็น ลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดในโลก (World’s largest debtor nation)

เป็นหนี้แม้แต่ประเทศที่ยากจนที่สุด

ก่อนหน้านั้น สหรัฐ ก็ขาดดุลงบประมาณ แต่ประเภทของการก่อหนี้ นั้นไม่เหมือนกัน

 

:angry: บรรพบุรุษ นั้น สร้างหนี้ สร้างสินเอามาลงทุน ซื้อเครื่องจักร ตั้งโรงงาน ทำงานกันหนัก ส่งออกสินค้า Made in USA.

หนี้ประเภทนี้เป็น หนี้ที่ดี เพราะเอามา “ลงทุน” จะสร้างผลตอบแทนมากเกินพอที่จะใช้หนี้รวมดอกเบี้ยได้

 

B)แต่รุ่นหลังๆประชาชนชาว เมกา สร้างหนี้ สร้างสิน เอาไปซื้อทีวีจอแบน อัพเกรดรถยนต์และขนเฟอร์นิเจอร์ใหม่เข้าบ้าน

ช้อปปิ้งสินค้า Made in China, Made in Japan

หนี้ประเภทนี้เป็นหนี้ที่เลว เพราะเอามา “ใช้จ่าย” ไม่ก่อรายได้

การจะใช้หนี้คืนทำได้โดยการก่อหนี้ใหม่มาโปะหนี้เก่า ตราบใดที่เจ้าหนี้ยอมให้กู้เพิ่ม วงจรนี้จึงจะยังคงอยู่ได้

 

 

แต่นอกจาก การใช้จ่ายที่ไม่มีวินัยว่าร้ายแรงแล้ว สหรัฐอเมริกายังก้าวพลาด ลงทุนผิดประเภท อีกด้วย ....

 

ฟองสบู่ดอทคอม (Dot-com bubble)

 

การฟอร์มตัวของฟองสบู่ มักจะมีรูปแบบที่ไม่ต่างกัน เริ่มจากมีธุรกิจที่ดี มีความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า

บริหารงานอย่างมีวินัย ผลิตสินค้าชนิดใหม่ เป็นเจ้าแรกๆออกสู่ตลาด บริษัทประเภทนี้จะสร้างผลกำไรมหาศาล (Good Investment)

ดึงดูดคนอื่นๆ ให้พยายามจะทำตาม กระโดดร่วมวงไป -ขอรวย- ด้วยคน จนเปิดกันมากขึ้นเป็นดอกเห็ด (Bad Investment)

พอมากๆเข้าๆ ก็

 

................โพ๊ละ ฟองสบู่ก็จะแตก

 

กลไกตลาดจะทำการกวาด Bad Investment หรือ พวกที่มาทีหลังหวังเกาะกระแสรวยทางลัด

ให้ออกไปจากตลาด ในปลายทศวรรษที่ 90 มีธุรกิจพวก Dot-com เกิดใหม่มากมาย เข้ามาเทรดในตลาดหุ้น

ธุรกิจประเภทนี้ “บูม” เกินเหตุ บริษัทอย่าง Enron, Worldcom, หรือ Global Crossing อันโด่งดัง

ราคาหุ้นพุ่งทะยานฟ้า แต่ภายหลังก็ตกลงมา จนต้องปิดตัวลงอย่างเจ็บปวด.

 

หากเรามองกันให้ดีๆ จะพบว่า ฟองสบู่แตก ไม่ใช่ “ปัญหา” แต่มันคือ “การแก้ไข”

แก้ไขในส่วนที่มัน "พอง" เกินพอดี มันถึงต้องจบลงด้วยการแตก แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ ........

 

 

หากใครอ่านบทความผมมาตั้งแต่ต้น คงจำเรื่อง “ไม่มีใครอยากเป็นจิ๋ว” ได้ (บทความ:QE2 กำลังจะมา) แน่นอนว่า..ในยุคบิลคลินตัน ภาวะ Dot.com

ทำให้การบริหารประเทศของบิล ดูดี ศก.ฟูฟ่อง

 

แต่เมื่อถึงคราว จอช บุช (จูเนียร์)

ขึ้นมาฟองสบู่ดันมาแตก หากเป็นแบบนี้ใครๆ ก็ต้องโทษหาว่า การบริหารประเทศของเค้านั้น สู้คนก่อนไม่ได้

จอช บุช กับ อลัน กรีนแสปน (Alan Greenspan)ประธานธนาคารกลางของสหรัฐที่มารับช่วงงานบริหารต่อในตอนนั้น

จึงมองว่าการที่ฟองสบู่แตกนั้นแหละคือ “ตัวปัญหา” !!!

 

เมื่อฟองสบู่ Dot-com แตกในปี 2000 (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Dot – Bomb) :lol:

ทำเอาตลาด Nasdaq ร่วงไม่เป็นท่า

ตามมาด้วยปี 2001 ยังถูกซ้ำด้วยเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ 9/11 การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อวินาศกรรม

รวมถึงการตามล่าตัว บินลาเดน จำเป็นต้องใช้ “งบประมาณ”

 

การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบ ในปริมาณมหาศาล + การลดอัตราดอกเบี้ยลงจาก 6.5% เหลือ 1% !!

จึงเริ่มขึ้น......

วัตถุประสงค์ก็เพื่อปลุก ศก. ที่กำลังถดถอยและซบเซาให้ตื่น หารู้ไม่ว่าการทำแบบนี้ เป็นการปลุกกระทิงทองคำ

 

........... ให้เริ่มตื่นด้วยเช่นกัน

 

 

ทองคำจึงเริ่มจะขยับตัวสูงขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี จากระดับ 250$ ในปี 2000

ค่อยๆใช้เวลาไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ปีละนิดๆ ต่อเนื่อง จนไปสูงถึง 500$ (เท่าตัว)ภายในระยะเวลา 5 ปี

พร้อมๆกับ ดอลล่าห์ (USDX) ที่ค่อยๆลดต่ำลงๆ

 

 

การเริ่มต้นของตลาดกระทิง ในช่วงแรกนั้นยังไม่เป็นที่สังเกตุ ของนักลงทุนโดยทั่วไป มีเพียงแต่

นักลงทุนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น (Smart money) ที่เริ่มจะสัมผัสได้ถึง การเคลื่อนไหวรอบใหม่ที่กำลังจะมา

เค้าเหล่านี้ จึงค่อยๆทยอยสะสมทองคำ ......ในขณะที่คนส่วนใหญ่ที่ถือครองทองคำเห็นว่าเริ่มมีกำไรกลับค่อยๆทยอยขาย

ความสามารถในการกดราคาทองคำมาตลอด 25 ปีของธนาคารกลางและสถาบันการเงินขนาดใหญ่

เริ่มอ่อนกำลังลง มิหนำซ้ำปริมาณการผลิตทองคำ (Gold Supply) จากแต่ละเหมืองไม่ว่าจากออสเตรเลีย, ซิมบับเว, หรือ แอฟริกาใต้

ก็เริ่มผลิตเพิ่มได้ในอัตราที่น้อยลงทุกปีๆ คงจะมีเพียงสิ่งเดียวที่เร่งสปีดผลิตไม่หยุดคือ “ดอลล่าห์”

 

ราคาทองคำจึงปรับระดับขึ้นทดสอบราคา 850$ ได้อีกครั้ง เป็นการส่งกระเช้าไปรับชาวดอยเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี

พร้อมๆ กับคำเตือนจากหลายสำนักให้ระวังเรื่องฟองสบู่

แต่คราวนี้ทองคำไม่หยุดอยู่แค่นั้น ราคาปรับตัว ทิ้งเลข 3 หลักขึ้นทำสถิติใหม่ที่ระดับ 1000$ เป็นครั้งแรกในปี 2008

 

 

ฟองสบู่ อสังหาริมทรัพย์ (Housing Bubble)

 

การอัดฉีดเม็ดเงินและการลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 1% ของ จอช บุช กับ อลัน กรีนแสปน (Alan Greenspan)

แม้จะช่วยผ่อนคลายภาวะ ศก ที่ตรึงเครียดในขณะนั้นได้ แต่ก็เป็น การแก้ไขที่ผิด

 

เหมือนนักฟุตบอล ขาหัก แทนที่จะปล่อยให้พัก กลับฉีดมอร์ฟีนเข้าแข้ง แม้จะรู้สึกสบาย

และลงไปวิ่งต่อได้ แต่ผลสุดท้าย “ขาจะพัง”

 

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน ต้องใช้คำว่า ลดต่ำเกินไปและนานเกินไป (Too Low & Too Long)

ผลจากดอกเบี้ยถูก 1% ก่อให้เกิด ฟองสบู่ลูกใหญ่กว่าเดิม ที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์

การกู้ยืมเพื่อซื้อบ้านทำได้สะดวกสบาย หนำซ้ำยังได้รับการสนับสนุน จากรัฐบาล ปธน.บุช

ในขณะนั้นภายใต้แนวความคิดที่ว่า บ้าน คือ ความฝันของชาวอเมริกันทุกคน (American’s Dream)

 

คุณสามาถซื้อบ้านได้ โดยแทบไม่ต้องจ่ายเงินดาวน์ จากที่เคยซื้อเพื่ออยู่อาศัย

ขยายวงกว้างออกเป็นการซื้อเพื่อเก็งกำไร

 

:excl: ประชาชน ชาวเอเชียเรา หางาน - ทำงานเก็บเงิน เพื่อ ซื้อบ้าน

 

:excl: ประชาชนชาวอเมริกัน ทำย้อนกลับ ซื้อบ้าน ก่อนเลย แล้วเอาบ้านนี้จำนอง ได้เงินมาใช้ (Home equity loan)

แถมได้เก็งกำไรจากราคาบ้านที่สูงขึ้นทุกวันๆ ไม่ต่างจากการใช้ บ้านเป็นตู้ ATM ไม่ต้องทำงาน

 

 

แนวคิดที่ว่า ราคาบ้านที่ดินจะสูงขึ้นทุกวันๆ ไม่ต่างจากแนวคิดที่ว่า หุ้น Dot-com จะสูงขึ้นทุกวันๆ ไม่มีวันลง

จริงอยู่ที่ว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ สูงขึ้นทุกปีๆ แต่ถ้าคุณได้เห็นสถิติราคา จะเห็นว่า หลายปีที่ผ่านมาราคามันขึ้นเหมือนคนขึ้นบรรได ค่อยๆไต่ๆ

แต่ในช่วงปีนั้น ราคามันขึ้นเหมือนติดจรวด พรวดเดียวจนเกินมูลค่า

 

กระแส ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ที่บูมสุดขีด เหมือนฟองสบู่ ที่ฟูฟ่องได้ที่ก็ถึงเวลาที่มัน......จะต้องแตก

 

 

โอบาม่า (Obama) กับ เบน เบอร์นันเก้ (Ben Bernanke)ตบเท้าเข้าทำเนียบ

 

หมดสมัย จอช บุช และ อลัน กรีนแสปน ก็มาถึงยุคของ โอบาม่า เจ้าของ สโลแกน “Change”

เหตุการณ์ ไม่มีอะไรที่ซับซ้อน หนังม้วนเดิมกลับมาฉายใหม่ ในสมัย บุช ทุกคนอยู่ในโลกของ “American Dream”

ประชาชนมีความสุข โอบาม่าขึ้นมาในจังหวะเวลาที่ ฟองสบู่ อสังหาริมทรัพย์แตก เค้าไม่อยากเป็น “จิ๋ว” ครับ

ทุกคนต้องมีความสุข มากกว่าเดิมสิ ไม่ใช่เค้าเข้าทำเนียบมาแล้ว ศก. พัง …

 

เค้าจึงไม่ได้ Change สมดังสโลแกน ที่ใช้ตอนหาเสียง เพราะทางแก้ของเค้าก็ไม่ได้ ต่างไปจาก บุช เพียงแต่

ฟองสบู่ลูกนี้มันใหญ่กว่าลูกเก่า ลูกเก่ากระทบแค่คนใน Wall Street ขาดทุนก็เงินของตัวเอง แต่คราวนี้ คนใน Main Street ทั่วไป

โดนกันหมด หนำซ้ำ ยังไม่ใช่เงินของตัวเอง เป็นเงินกู้ ทั้งนั้น พาลทำเอาสถาบันการเงินที่ค้ำประกัน

ล้มต่อเนื่องกันเป็น โดมิโน่ ยาที่ฉีดเข้าแข้ง ในตอนนั้น จึงต้องใช้ “ยาขนานที่แรงกว่าเดิม”

 

 

โอบาม่าและเบนเบอร์นันเก้

อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบอีกครั้งแต่ในปริมาณมหาศาลมากกว่าบุช และ หั่นอัตราดอกเบี้ยที่เหลือ แค่ 1% อยู่แล้ว ให้กลายเป็น 0%!!!

 

อุ้มสถาบันการเงิน ไม่จะเป็น Bear Stern, AIG, GM ซื้อหนี้เน่าจาก Fannie mae & Freddie mac สารพัด

โดยให้เหตุผลว่า “บริษัทพวกนี้ ใหญ่เกินกว่าจะปล่อยให้ล้มได้” (Too Big Too Fail)

 

สร้างบรรทัดฐานใหม่ ให้กับการทำธุรกิจ นั่นคือ เมื่อคุณบริหารงาน ดำเนินธุรกิจ ผิดพลาด

ปล่อยสินเชื่อไม่ดูตาม้าตาเรือ ลงทุนผิดประเภท แทนที่คุณ จะสมควรโดนลงโทษ

กลับกลายเป็นไม่ต้องห่วง รัฐบาล จะช่วยอุ้มพวกคุณเอง (Bail out)

 

เงินดอลล่าห์ที่พิมพ์ออกจากอากาศ รัฐบาลไม่ได้เป็นคนจ่าย ประชาชนชาวอเมริกันทุกคนต่างหากที่

ต้องจ่าย “ภาษีล่องหนนี้” (ย้อนอ่านบทความ “เงินเฟ้อ คืออะไร?”)

 

เศรษฐกิจของอเมริกา เริ่มฟื้นตัวขึ้นได้อีกครั้งนึง แต่มันเป็นเพราะฤทธิ์จากยาที่ฉีด ไม่ได้มาจาก สุขภาพที่ดี

เมื่อหมดฤทธิ์ยาก็จำเป็นต้องฉีดกันอยู่เรื่อยๆ ในปริมาณที่มากขึ้นๆ จนกว่าจะ Overdose ตายกันไป

“การซื้อเวลา เลื่อนปัญหาให้พ้นจากสมัยตัวเองไปก่อน เพื่อไปเจอปัญหาที่หนักกว่า แต่เกิดในสมัยของรัฐบาลคนอื่น”

เป็นการกระทำที่น่าละอาย ขี้ขลาดและไม่ยอมรับความจริง

สิ่งที่รัฐบาลอเมริกาทำต่อเนื่องกันมานานหลายปี จะส่งผลร้ายในท้ายที่สุด

 

:wacko: จาก Dot-com ผู้เสียหาย คือ คนใน (Wall Street)

 

:wacko: จาก Housing Bubble ผู้เสียหายคือ ประชาทั่วไปใน อเมริกัน (Main Street) และ ตลาดหุ้น ทั่วโลก

 

:wacko: ที่กำลังจะมาถึง คือ “Currency Crisis” ผู้เสียหายจะกระจายไปทั่วโลก (Global)

สำหรับผู้ที่ไม่รู้เท่าทันและไม่ได้เตรียมพร้อม

 

..................................

 

ทองต่ำกว่า “หมื่น”

 

จากกราฟ เหตุการณ์นี้เกิดในช่วงพื้นที่สีฟ้า ….

 

6untitled-1.jpg

 

 

จากเหตุการณ์ ในครั้งนั้น เมื่อ ฟองสบู่ อสังหาริมทรัพย์แตก ในปี 2008

- ตอนนั้นในหลายๆประเทศเรียกว่า “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger Crisis)

 

ตลาดแตกตื่นและตกใจ เทขายสินทรัพย์เสี่ยงทิ้งทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ทองคำ น้ำมัน ราคาร่วงชนิดหาคนซื้อไม่เจอ

ประชาชนทุกคน เลือกที่จะถือ “เงินสด” โดยเชื่อว่าการถือ “ดอลล่าห์” ในขณะนั้นปลอดภัยที่สุด

 

ทองคำ ถูก เทขายออกอย่างรุนแรง ร่วงจากระดับ 1000$ ลงสู่ระดับ 712$

ในขณะนั้น ทองคำจากบาทละกว่า 15,000 ร่วงลง เหลือที่ระดับ 12,000

กระทิงเหมือนจะถูก น็อค อีกครั้ง เสียงจากนักวิเคราะห์ ทั้งไทยและต่างประเทศ ต่างออกมาร้องเตือน

ถึง การล่มสลายของตลาดทองคำ

ถึงขนาดมีนักวิเคราะห์ที่มีชื่อเสียงของไทยเราคนนึง เขียนบทความออกมาทำนองว่า

ผมยอมเปลืองตัวออกมาเตือนพวกคุณว่า ทองคำกำลังเจอประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนเมื่อปี 1980 ระวังกันให้ดีๆ ทองคำจะลดลงไปต่ำกว่า “หมื่น”

(สุดท้ายก็ได้เปลืองตัวจริงๆ แต่ก็ต้องขอนับถือที่อย่างน้อยก็กล้ามาออกฟันธง)

 

เราต้องมาย้อนดูกัน ว่าสาเหตุที่ทองคำถูกเทขาย นั้นไม่ได้ มาจากตัวของทองคำเอง

แต่เป็นเพราะตลาดตอนนั้นตกใจกับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และ ในขณะนั้น ทุกคนยังไม่รู้ว่า โอบาม่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง?

สินทรัพย์เสี่ยงทุกชนิดจึงเกิดการเทขาย

ไม่ใช่เฉพาะแต่ทองคำ

 

:excl: น้ำมันลดราคาลง 70%

 

:excl: ตลาดหุ้น S&P ลดลง 50%

 

:excl: สินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ไม่รวมหมวดพลังงาน ลดลง 40%

 

:excl: ในขณะที่ทองคำลดน้อยที่สุด 30%

 

แต่เมื่อตลาดได้รับรู้ถึงวิธีการแก้ปัญหา ของ โอบาม่า และ เบน เบอร์นันเก้ ว่าจะอัดฉีดเงินเข้าระบบ (QE1)

ตลาดจึงฉุกคิดได้ว่า หากแก้ไขแบบนี้ ดอลล่าห์ก็จะอ่อนค่าลงไปอีกมาก ทองคำจึงน่าจะเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า

 

ราคาทองคำนอกจากจะไม่ลดลงต่ำกว่าหมื่นแล้ว ยังดีดตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ระดับ 1000$ ซึ่งเป็นแนวต้านทางจิตวิทยาคราวนี้ไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้อีกต่อไป

(ไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1200$ ภายในปีต่อมา 2009)

เท่ากับว่า ทองคำลงไป 30% (น้อยที่สุดในบรรดาสินทรัพย์ที่ถูกเทขาย) แต่ขึ้นสวนกลับมาได้ถึง 70% ทำสถิติใหม่ (New record high)

 

......... ในขณะที่ สินทรัพย์เสี่ยงกลุ่มอื่นๆ ทุกวันนี้ ยังหาทางกลับไปยืนที่เดิมไม่เจอ

 

 

กระทิงทอง ผ่านบททดสอบครั้งใหญ่มาได้ และ ยังเดินหน้าทำสถิติ ต่อเนื่องจากวันนั้นถึงทุกวันนี้ 1300$ 1400$

แม้จะเลยสถิติเก่าที่กระทิงตัวเก่าเคยทำได้มาไกลระดับนึง แต่ผมบอกได้เลยว่า

 

กระทิงตัวนี้ ยังหนุ่มยังแน่นครับยังโตไม่เต็มวัย ต่อไปจะแข็งแรงกว่า และ ฉลาดกว่า กระทิงตัวเก่ามากมาย

เมื่อถึงเวลาที่มันพร้อมที่สุดและสมบูรณ์ที่สุด พวกเราจะขี่หลังกระทิงตัวนี้แหละครับ ไปสู่ โอกาส “ทอง” (จริงๆ)

 

 

---------------------------------------------------------------------------

 

-_- ขอจูนกันก่อนจะไปต่อ.

 

1980-1985 จิมมี่คาร์เตอร์ (ปธน.) ประสานงานกับ พอล วอร์เกอร์ (ประธาน FED) เลือกใช้เครื่องมือ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

แก้ไขปัญหา ศก. ผลที่ตามมาประชาชนอยู่ในภาวะ ยากลำบาก แต่ก็ฟื้นขึ้นมาได้ในภายหลัง ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง

 

2000-2004 จอช บุช (ปธน.) ประสานงานกับ อลัน กรีนแสปน (ประธาน FED) เลือกใช้เครื่องมือ พิมพ์เงินเพิ่ม และ ลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 1 %

ถือเป็นทางเลือกที่ผิด และ ก่อให้เกิด ฟองสบู่ อสังหาริมทรัพย์

 

2008-2010 โอบาม่า (ปธน.) ประสานงานกับ เบน เบอร์นันเก้ (ประธาน FED) เลือกใช้เครื่องมือ พิมพ์เงินเพิ่ม ในปริมาณมหาศาลยิ่งกว่า บุช

และ ลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0% ถือเป็นทางเลือกที่ผิดซ้ำซ้อน และกำลังจะก่อให้เกิด วิกฤติการเงินครั้งยิ่งใหญ่ไปทั่วโลก

 

-_- ขอจูนกันก่อนจะไปต่อ.

 

การเห็นทองคำที่ระดับราคา 850$ ว่าแพงเมื่อ 30 ปีก่อน แล้วมาเห็นอีกครั้ง จึงคิดว่าทองคำ “แพง” และ “ฟองสบู่”

นั้นเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะ ของอะไรก็ตามที่เคยแพงเมื่อ 30 ปีก่อน จะมากล่าวหาและถือว่า แพงในสมัยปัจจุบัน

มันคงจะดูไม่ยุติธรรมสำหรับของสิ่งนั้น

สิ่งที่ควรจะต้องนำมาคิดคำนวณด้วย คือ “อัตราเงินเฟ้อ”

นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ทองคำที่ระดับราคา 850$ ในภายหลังนั้นถือว่า “ถูกมาก”

ทองคำจึงสามารถเดินหน้าขึ้นทำสถิติใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง

 

-_- ย้อนดูซักนิดก่อนจะไปต่อ

 

ทองคำในรอบสิบปีที่ผ่านมา 2000-2009 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่าตัว สำนักข่าว Bloomberg

จึงยกให้การลงทุนใน “ทองคำ” เป็นการลงทุนที่ดีที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา (The Golden Decade)

 

holmes123009a.gif

 

 

จากกราฟจะเห็นว่า วิธีการตัดสินนั้นไม่ยากเลย คือ เริ่มต้นทศวรรษ เอาเงิน 100$ เท่าๆกัน

ไปลงทุน ใน “หุ้น” ใน “น้ำมัน” ใน “พันธบัตร และ สินค้าโภคภัณฑ์ ตัวอื่นๆ”

สิบปีให้หลังปรากฎว่า “เงินเพิ่มพูน” จากการลงทุนในทองคำมากที่สุดครับ.

 

...............................

 

บทความของเราเริ่มเดินทางมาตั้งแต่ยุคโบราญ จนมาถึงปัจจุบัน เรียบร้อยแล้วนะครับ

เรากำลังก้าวเข้าสู่ ทศวรรษ ใหม่ครับ 2010-2019

ผมเชื่อว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก จะมีความเปลี่ยนแปลง และ ผันผวนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

แน่นอนว่า ไม่มีใครที่จะมีลูกแก้ววิเศษ มองเห็น “อนาคต” ได้ แต่สิ่งนึงที่เราดูได้แน่นอนคือ “อดีต”

หากความผิดพลาดหรือเหตุจาก “อดีต” เคยส่งผลไว้อย่างไร

มีความเป็นไปได้สูงมากว่า หากทำผิดซ้ำแบบเดิมอีก ผล ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นคงไม่ต่างกัน

 

ปัจจัยต่างๆที่ทำให้ ทองคำ ขึ้นราคามาตลอดสิบปี ถึงทุกวันนี้ “ยังอยู่ครบทุกประการ”

หนำซ้ำปัจจัยเหล่านั้น ยังยกระดับความเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำไป……

 

ไว้จะได้มาพูดถึงในรายละเอียดกันต่อครับ.

 

ถูกแก้ไข โดย Nexttonothing

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

3e5fcd190e1205563276bcc077a8a9e2.gif3e5fcd190e1205563276bcc077a8a9e2.gif3e5fcd190e1205563276bcc077a8a9e2.gif3e5fcd190e1205563276bcc077a8a9e2.gif3e5fcd190e1205563276bcc077a8a9e2.gif

 

กระทู้คุณ Next ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งแห่งปีแน่เอาไปเลย+1

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
d5f02ecd.gif ขอบคุณคุณเน็กมากค่ะ เขียนได้เข้าใจและมองเห็นภาพ ขนาดเราไม่ค่อยเข้าใจเรื่องระบบเศรฐกิจ อ่านแล้วต้องขอชื่นชมค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

+1 ครับคุณ Next อ่านเข้าใจง่าย ขอชื่นชมและรออ่านตอนต่อไปครับ :D :D :D :D :D :D :D :D

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณค่า ได้รู้ที่มาที่ไปดีมากกเลยค่า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...