ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

วรวรรณ ธาราภูมิ

 

Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง

 

6 ธันวาคม 2556

 

“บ้านเมืองของเรานั้น เป็นสุขเสมอมาช้านาน เพราะเรามีความปึกแผ่นในชาติ และต่างบำเพ็ญกรณีกิจตามหน้าที่ให้สอดคล้องเกื้อกูลกัน เพื่อประโยชน์ของชาติ คนไทยทุกคนจึงควรจะตระหนักในข้อนี้ให้มาก และตั้งใจประพฤติตัว ปฏิบัติงาน ให้สมฐานะและหน้าที่ เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวมคือความมั่นคง ปลอดภัย ของชาติบ้านเมืองไทย”

 

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

5 ธันวาคม 2556

 

General News

----------------

 

• นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า พร้อมพิจารณาหากจีนสนใจลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมระหว่างกรุงลอนดอนกับตอนเหนือของอังกฤษ มูลค่า 43,000 ล้านปอนด์ ภายใต้รหัสโครงการว่า "เอชเอส2"

 

• Bitcoin ซึ่งเป็นเงิน Digital ถล่มลงมา 30% จากจุดสูงสุดที่ $1,240 ลงมาเหลือพียง $870 หลังจากจีนประกาศมิให้ธนาคารของจีนรับเงินประเภทนี้ นอกจากนี้ อดีตประธาน FED คือ Alan Greenspan ยังระบุว่า Bitcoin เป็นฟองสบู่ ซึ่งทำให้มีผู้โกรธเคืองและวิจารณ์ว่าเชื่อถือไม่ได้เพราะ Greenspan เคยผิดพลาดในช่วงที่เขาเป็นประธาน FED ที่มองไม่เห็นฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์และฟองสบู่ดอทคอมมาแล้ว

 

• ผลสำรวจล่าสุดของศูนย์วิจัยพิว ชี้ว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ 53% มองว่าสหรัฐมีบทบาทและอำนาจในฐานะผู้นำโลกน้อยลงจากเมื่อ 10 ปีก่อน เป็นสัดส่วนที่สูงสุดครั้งแรกในรอบเกือบ 40 ปี โดยคนอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าสหรัฐควรจะต้องสนใจกิจการภายในประเทศตัวเองมากขึ้น พร้อมกับตำหนินโยบายต่างประเทศของ ประธานาธิบดี บารัก โอบามา

 

• ข้อมูล Beige Book ของ FED ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ แต่อยู่ในระดับพอประมาณถึงปานกลาง ไม่ถึงขั้นแข็งแกร่ง ขณะที่การจ้างงานยังไม่สดใส เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในแค่ 5 ภูมิภาค จากทั้งหมด 12 ภูมิภาค

 

• บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐ รายงานว่า ยอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้น 8.9% ในเดือน พ.ย. สูงที่สุดในรอบ 6 ปีครึ่ง โดยกลยุทธ์การลดราคาอย่างหนัก และความนิยมต่อเนื่องต่อรถกระบะขนาดใหญ่ช่วยทำให้ยอดขายสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้

 

• ส.สถิติแห่งชาติบราซิล รายงานว่า เศรษฐกิจหดตัวลง 0.5% ในเดือน ก.ค.-ก.ย. เทียบกับ 3 เดือนก่อนหน้า และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 0.2% โดยตลาดแรงงานยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แต่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคขยับขึ้นเร็วกว่าค่าจ้างเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ผู้คนไม่ค่อยอยากจับจ่าย เห็นได้จากยอดบริโภคเบียร์และยอดขายรถยนต์ที่ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี

 

• รัฐบาลของญี่ปุ่น นำโดยนายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ อนุมัติงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ $182 พันล้าน เพื่อให้ญี่ปุ่นพ้นจากภาวะเงินฝืด โดยคาดว่าจะช่วยชดเชยการขึ้นภาษีการขายในเดือนเม.ย.ปีหน้า กับทำให้ GDP เพิ่มขึ้นได้อีก 1% และเพิ่มตำแหน่งงานอีก 250,000 ตำแหน่ง

 

• ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JBIC) ปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนของไทยขึ้นเป็นอันดับ 3 จากอันดับ 4 ในปีที่แล้ว โดยอันดับ 1, 2 เป็นของอินโดนีเซีย และอินเดีย ตามลำดับ ในขณะที่อันดับของจีนร่วงลงมาอยู่ในอันดับ 4 เนื่องจากปัญหากรณีข้อพิพาทดินแดน หลังจากที่จีนติดอันดับ 1 นับตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจในปี 1992

 

• กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ คาดว่า ผลผลิตข้าวฟิลิปปินส์จะลดลง 3-4% ในปีนี้ เนื่องจากซูเปอร์ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนได้สร้างความเสียหายให้จังหวัดวิซายาสทางภาคตะวันออกของประเทศและจังหวัดใกล้เคียง ทำให้โครงสร้างพื้นฐานและเกษตรกรรมเสียหาย ส่งผลให้แนวโน้มอัตราการผลิตข้าวจะปรับลดลงมากขึ้นเป็น 4-5% ในสามปีข้างหน้า

 

• ธปท. เผยว่า ยอดขอเปิดสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างชาติในไทยมีเล็กน้อย ส่วนหนึ่งอาจเพราะเศรษฐกิจโลกยังมีปัญหา โดยกลุ่มที่ยื่นขอใบอนุญาตเข้ามาส่วนใหญ่เป็นธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย และอาเซียน ยังไม่มีการยื่นขอจากธนาคารฝั่งตะวันตก

 

• นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ ก.คลัง สภาพัฒน์ฯ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปศึกษามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก่อนจะประกาศมาตรการครั้งใหญ่ในสิ้นปีนี้ หรือต้นปีหน้า เพื่อส่งเสริมการลงทุนการจ้างงาน และเรียกความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย

 

Equity Market

---------------

 

• SET Index ในวันที่ 4 ธันวาคม ปิดที่ 1,376.63 จุด ลดลง 7.26 จุด (-0.52%) ด้วยมูลค่าซื้อขาย 27,334 ล้านบาท เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับภูมิภาคเอเชีย และนักลงทุนยังคงรอความชัดเจนในเรื่องของการเมือง หลังจากแกนนำ กปปส.ย้ำชัดว่าจะต่อสู้ทางการเมืองอีกครั้งหลังวันที่ 5 ธ.ค.

 

ยอดสุทธิการซื้อขายของแต่ละกลุ่ม (4 ธ.ค.)

-----------------------------------------------

(ล้านบาท)

 

นักลงทุนสถาบัน +2,103.49

บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ +624.74

นักลงทุนต่างชาติ -2,846.39

นักลงทุนทั่วไป +118.16

 

• ตลาดหุ้นในเอเชียในวันที่ 5 ธันวาคม ปิดกันในแดนลบ โดย Nikkei ที่ญี่ปุ่น -1.50%, KOSPI ของเกาหลีใต้ -0.10%, Hang Seng ของฮ่องกง -0.07% ในขณะที่ตลาดยุโรปมีทั้งบวกและลบ

 

Fixed Income Market

------------------------

 

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงระหว่าง -0.10% ถึง +0.01% โดยพันธบัตรอายุ 7-14 ปี ปรับลดลงแรงในช่วงระหว่าง -0.10% ถึง -0.05%

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอรบกวนพื้นที่ห้องนี้อีกครั้งนะครับ ผมมีความคิดทั้งหมด3เรื่อง เป็นข้อเสนอสำหรับประเทศของเราเรื่องที่2 ช่วยติช่วยก่อเพื่อให้ดีขึ้น เพราะอาจนำไปใช้ได้บ้าง ใครเห็นว่าความคิดนี้ใช้ได้ ช่วยแชร์ด้วยครับ

---การศึกษาของประเทศเราจะดีได้ ที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ว่าจะต้องมีอาจารย์ที่เก่งมาก อาจารย์แค่มีความรู้ปานกลางก็รับได้แล้ว แต่ที่สำคัญที่สุดอาจารย์ต้องมีใจรักเด็ก สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้การศึกษาของเราเดินหน้าไปได้ดีกว่าที่ผ่านมา

---ผมเสนอว่าการรับอาจารย์ทุกระดับชั้น อนุบาล ประถม มัธยม หรือแม้แต่อาจารย์ในมหาวิทยาลัย ต้องมีการทดสอบว่าผ่านเกณฑ์หัวข้อมีใจรักเด็กมั้ย ทดสอบโดยให้ไปอยู่กับเด็กอนุบาลทั้งวัน เป็นเวลา3-5วัน มีกล้องวงจรปิดสังเกตพฤติกรรมได้ตลอด ใครไม่ผ่านเกณฑ์นี้ก็แนะให้ไปทำอาชีพอื่น วิธีนี้ผมไม่เชื่อว่าจะกรองได้ทั้งหมด แต่น่าจะกรองที่ไม่ใช่ออกไปได้พอสมควร สำหรับความคิดนี้ผมอยากให้โรงเรียนเอกชนบางแห่งช่วยนำร่องไปก่อน จะได้มีข้อมูลว่ามีอุปสรรคอะไรบ้าง ผลที่ได้เป็นไงเพื่อที่จะเป็นแนวทางให้โรงเรียนของรัฐ

---คนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาก็ต้องทดสอบเกณฑ์นี้เหมือนกัน

---อาจต้องมีการปรับฐานเงินของอาจารย์สูงขึ้น เพื่อให้คนจำนวนมากสนใจมาเป็นอาจารย์ เพื่อที่จะได้มีโอกาสเลือกคนที่รักเด็กและมีความรู้มาเป็นแม่พิมพ์ของชาติ

 

---อาจารย์และข้าราชการในกระทรวงศึกษาธิการเดิมๆที่ทำงานมาก่อนระเบียบเรื่องนี้ ก็ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร แต่ถ้าจะขึ้นสายบริหารเช่น จะเป็นผอ.โรงเรียน จะเป็นศึกษาธิการ เป็นคณะบดี เป็นอธิการบดี หรือตำแหน่งต่างๆ ต้องให้ไปอยู่กับเด็กอนุบาล3-5วัน ถ้าไม่ผ่านเกณฑ์ก็ขึ้นไม่ได้ ส่วนคนที่ผ่านก็ไม่ได้คะแนนบวกอะไร แค่บอกว่าผ่านการประเมินเรื่องนี้ ต้องยอมรับว่าการใช้วิธีนี้กับผู้ที่ผ่านงานมานานจนใกล้จะขึ้นสายบริหาร ผู้ทดสอบอาจจะเก่งมากจนเอาตัวรอดผ่านเกณฑ์ไปได้ แต่ผมเชื่อว่าการได้อยู่กับเด็กเล็กๆเป็นเวลานาน น่าจะช่วยทำให้เขามีใจรักเด็กเพิ่มกว่าเดิมครับ

 

เห็นด้วยครับ แต่ควรเพิ่มเติมความรู้เชิงวางแผนและพัฒนาเข้ามาด้วย เพราะผมว่าัรักเด็กอย่างเดียวคงไม่พอ การให้การศึกษาต้องมีการวางแผนพัฒนาเด็กอย่างเป็นระบบทั้งตัวเด็กรวมทั้งผู้ปกครองด้วยครับ และก็ทดสอบความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่เด็กด้วยครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

Democratic Revolution by WE THE THAI PEOPLE

November 30, 2013 at 11:45pm

 

1425661_10201548059476881_2043236902_n.jpg

 

ไม่ว่าเหตุการณ์ประท้วงรัฐบาลครั้งนี้จะไปจบที่ไหน อย่างไร ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนทุกคน (เน้นคำว่า “ประชาชน” ซี่งจากนี้ไปจะหมายถึงคนไทยทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเหลือง เสื้อแดง เสื้อฟ้า เสื้อหลากสี เสื้อกากี หรือไม่มีสีจะต้องมองข้ามความขัดแย้งนี้ และออกมาร่วมกันปฏิรูปประเทศกัน (หรือต้องใช้คำว่า “ปฏิวัติ”?) ... จะด้วยวิธีการใดก็ไม่ทราบ ... รู้อยู่อย่างนึงว่าถ้ามีการตั้งสภาปฏิรูปหรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียกชื่อ จะต้องไม่มีนักการเมืองเป็นผู้นำ ... นักการเมืองจะเป็นส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ส่วนใหญ่ ...“ประชาชน” จะต้องเป็นผู้นำ เพราะเราคือ “ผู้มีอำนาจ” ที่แท้จริง

 

“ประชาชน” จะเสนอหลักการ วิธีการ และเรื่องต่างๆ มาให้พิจารณากันเพื่อออกเป็นมติมหาชนให้นักการเมือง และผู้มีอำนาจไปจัดการแก้รัฐธรรมนูญ กฎหมาย กฎกระทรวง ฯลฯ ให้เป็นไปตามที่เราระบุไว้ ... ในการเลือกตั้งคราวหน้า พรรคการเมืองไม่ต้องมาบอกว่าจะให้อะไรเรา ... เราจะ “สั่ง” พรรคการเมืองว่าหลังเลือกตั้งแล้วเขาจะต้องไปทำอะไรให้เราบ้าง

 

หลายคนได้เสนอไปบ้างแล้วว่าควรปฏิรูปอะไรบ้าง สำหรับผม ผมจะเสนอเรื่องให้สภาปฏิรูปพิจารณาเป็นมติมหาชนซัก 5 ข้อดังนี้ครับ

 

1) “ประชาชน” จะต้องเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ของประเทศโดยตรง สส. สว. และ ครม. จะไม่มีอำนาจนี้อีกต่อไป ... “เรื่องสำคัญ” นี้จะรวมอะไรบ้างคงต้องมาตกลงกัน แต่อย่างน้อยต้องรวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ไม่ว่าจะมาตราไหนก็ตาม) การอนุมัติงบประมาณรายรับรายจ่ายประจำปีของประเทศ การลงทุนในโครงการที่เกิน 1,000 ล้านบาท ... วิธีการคือต้องมาทำประชามติในเรื่องดังกล่าวนี้ทุกครั้ง ดังนั้นปีนึงอาจต้องมีประชามติซัก 4-5 ครั้ง

 

บางคนอาจบอกว่ามันเสียเงิน และเสียเวลาเกินไป แต่ผมว่านี่แหละคือวิธีการทำให้ “ประชาชน” มีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ใช่แค่การหย่อนบัตรเลือกตั้งเลือกสส. ทุก 4 ปีเท่านั้น แล้วเราก็ต้องมานั่งฟังนักการเมืองพล่ามว่าเขาได้รับเสียงส่วนใหญ่มาแล้ว ... เราเสียค่าใช้จ่ายในเรื่องอื่นๆ ได้ ทำไมจะเสียอีกซักหมื่นล้านบาทต่อปีเพื่อสร้างความเป็นเจ้าของประเทศร่วมกันไม่ได้

 

หลายคนจะบอกว่า แล้วคนที่ไม่รู้เรื่องจะลงมติได้หรือ ไม่ก็คิดว่าเดี๋ยวก็มีคนรับเงินมาลงมติให้หรอก ... ผมว่าถ้าเขาเหล่านั้นได้มีโอกาสแสดงสิทธิ์ได้บ่อยๆ เขาก็จะสามารถรับฟังข้อมูลรอบด้าน วิเคราะห์ และตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ปีนี้ไม่รู้เรื่อง ปีหน้าก็จะรู้มากกว่าปีนี้ มันจะมาจากประสบการณ์ครับ ... แล้วคนที่คิดจะจ่ายเงินซื้อเสียงก็ต้องเตรียมเงินไว้เยอะหน่อยนะ เพราะต้องจ่ายบ่อยขึ้น

 

2) ผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศจะต้องมีความโปร่งใส ต้องเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สิน หนี้สิน ตำแหน่งกรรมการ ฯลฯ ทั้งหมดของตนเอง และครอบครัว ให้ประชาชนรับทราบ ... ผู้มีอำนาจนี้นอกเหนือจาก ครม. สส. สว. แล้ว จะรวมถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ (เช่น ซี 9 ขึ้นไป) ทุกคนด้วย (รวมทั้งศาล ทหาร ตำรวจ)

 

3) การสื่อสาร ประชาสัมพันธ์กับประชาชนจะต้องมีความหลากหลาย ... สถานีโทรทัศน์ของรัฐทุกสถานีจะต้องมีเวลาให้ผู้นำฝ่ายรัฐบาล และผู้นำฝ่ายค้านสื่อสารกับประชาชนได้อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งชั่วโมงในช่วง 18:00-19:00 น.

 

4) กระบวนการยุติธรรมจะต้องมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากกว่านี้ ... จะต้องไม่มีคดีไหนที่จะใช้เวลาเกิน 4 ปี ตั้งแต่เรื่องถึงศาลชั้นต้นจนไปถึงการตัดสินโดยศาลฎีกา ... ถ้าตำรวจ DSI หรืออัยการทำงานช้า ผู้เสียหาย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำคดีขึ้นถึงศาลได้โดยตรง ... บทลงโทษที่เป็นตัวเงินของการคอรัปชั่นคือ 200% ของจำนวนเงินที่ได้ไปโดยมิชอบ

 

5) สส. และ สว. จะไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครองการกระทำผิดกฎหมายอีกต่อไป

 

มาครับ มาช่วยกันออกความเห็นเพิ่มกัน ... ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ “ประชาชน” อย่างคูณกับผมจะต้องเป็นผู้นำการปฏิรูปประเทศในครั้งนี้ ... เราปล่อยอำนาจของเราไปให้นักการเมืองมานานเกินพอแล้ว

 

เรืองวิทย์ นันทาภิวัฒน์

30 พฤศจิกายน 2556

 

https://www.facebook.com/notes/reungvit-nandhabiwat/democratic-revolution-by-we-the-thai-people/620949027950798

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตอบแล้วเน่า............ตอบ คห. คุณ WCG นะครับ

 

 

ตามความเห็นของคุณ WCG ผมขอเสนอข้อคิดเห็นหรือจะเรียกว่าทักท้วงก็ได้ครับ ผิดถูกค่อยว่ากันอีกที (^ ^)</p>

 

 

- รัฐบาลหรือกระทรวงพลังงานอุ้มน้ำมันสามชนิดตามเลยนั้นครับ คือ ดีเซล E20 E85 ซึ่งปัจจุบันแต่ละชนิดเค้าอุ้มด้วยเหตุผล(ของเค้า)ตามนี้ครับ</p>

 

- ดีเซล : สาเหตุที่รัฐอุ้มหรือหนุนราคาดีเซลเป็นเพราะกว่าครึ่งในภาคขนส่งใช้น้ำมันดีเซลครัช โดยเฉพาะการส่งสินค้า รัฐจึงพยายามควบคุมราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้มันขึ้นสูงเกินไปมากกว่าที่มาอุ้มน้ำมันชนิดอื่นครับ , ปัจจุบันรัฐบาลเลิกอุ้มน้ำมันดีเซลมานานพอสมควรแล้วครับ แต่ที่ดีเซลยังถูกอยู่เพราะรัฐเก็บภาษีน้ำมันส่วนนี้น้อยมาก(เกือบจะไม่เก็บเลย)ด้วยเหตุผลข้างต้นครับ</li>

- แก๊สโซฮอล E20 , E85 : ตามที่กระทรวงพลังงานและรัฐบาลว่าไว้คือ เพือให้คนมาใช้น้ำมันสองชนิดนี้มากขึ้น ลดการนำเข้ามาน้ำมันจากต่างประเทศ , ปัจจุบันยังอุ้มสองชนิดอยู่โดยเฉพาะ E85 นี่หนุนเกือบ 10 บาทและเก็บภาษีสรรพสามิตน้อยมาก ส่วน E20 นี่ไม่ถึง 1 บาทแต่เก็บภาษีอัตราปกติ</li>

- ค่าการตลาด นี่ยังไม่ใช่กำไรสุทธิของ ปั๊มครับ มันรวมถึง ค่าใช้จ่ายบริหารจัดการน้ำมัน ค่าใช้จ่ายการขนส่งน้ำมัน ค่าบริหารปั๊ม ค่าใชจ่ายพนักงาน ค่าแรง และก็บวกกำไร ตรงนี้ก็ตอบไม่ได้ครับว่าค่าการตลาด 1 บาทเป็นกำไรเท่าไหร่ (^ ^) อาจจะ 1 บาทเต็มเลยก็ได้ <a href="http://www.shell.co.th/th/products-services/on-the-road/fuels/fuel-pricing/country-pricing.html">http://www.shell.co.th/th/products-services/on-the-road/fuels/fuel-pricing/country-pricing.html</a></li>

 

 

 

- กองทุนน้ำมัน

 

- ที่มาคงไม่ย้อนหลังพูดถึงนะครับ เอาคร่า่วๆล่าสุดที่ถูกนำมาใช้ด้วยเหตุผลเพื่อป้องกันความผันผวนของราคาน้ำมันในระยะสั้นๆ โดยรัฐจ่ายเงินผ่านกองทุนน้ำมันให้ส่วนนึงก่อนเพื่อไม่ให้ราคามันปรับขึ้นมากเกินไป แล้วก็มาเก็บเข้ากองทุนน้ำมัน(่ผ่านการปรับขึ้นลงโครางสร้างราคาน้ำมันนั่นล่ะครับ)หลังราคาน้ำมันมันลดลงมาแล้ว </li>

- ส่วนกองทุนน้ำมันจะเป็นเครื่องมือ"บิดเบือน"ราคา หรือ "ยาชา" รึเปล่านั้น ตอบยากครับ แต่ลองมาดูเหตุและผลของมันประกอบการตัดสินใจตอบคำถามนี้กันครับ</li>

- เราน่าจะได้ยินข่าวได้ฟังมากันมาพอควรแล้วนะครับเรื่องราคาน้ำมันกับเงินเฟ้อ คือเงินเฟ้อมักจะปรับขึ้นตามราคาน้ำมัน ซึ่งตาม(ตำรา)หลักเศรษฐศาสตร์ ราคาน้ำมันจะส่งผลกระทบสองรอบ คือ First Round กับ Second Round หรือรอบแรกกับรอบสอง</li>

- รอบแรก = ผลกระทบโดยตรงครับ คือ น้ำมันขึ้น เราเติมน้ำมันขับรถไปทำงาน โดยผลกระทบเต็มๆเพราะน้ำมันราคาขึ้น</li>

- รอบสอง = ผลกระทบทางอ้อม คือ น้ำมันไปทำให้ต้นทุนสินค้า หรือต้นทุนการผลิตขึ้น เค้าก็เลยขึ้นราคาสินค้า เราเลยโดนผลกระทบทางอ้อม ด้วยเหุตผลที่ว่าของขึ้นเพราะน้ำมันแพง</li>

- ที่รัฐบาลกังวลก็คือผลกระทบจาก Second round effect หรือผลกระทบรองสองครับ เพราะถ้าปล่อยให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆโดยไม่ควบคุม มันจะทำให้มีปัญหาเงินเฟ้อจากผลกระทบรอบนี้ครับ คือของมันขึ้นเพราะบอกว่าน้ำมันแพง แต่พอน้ำมันราคาลดลงไอ้ของที่ขึ้นเพราะบอกว่าน้ำมันแพงมันดันไม่ลดลงมาด้วยนี่ซิครับ สุดท้ายก็จะเกิดภาวะเงินเฟ้อเกินจำเป็น</li>

- และด้วยเหตุผลด้านบนนี่ล่ะครับ กระทรวงพลังงาน รัฐบาล ถึงอุดหนุนและจัดเก็บภาษีน้ำมันดีเซลน้อยกว่า เพราะประเทศไทยโดยเฉพาะภาคการขนส่งใช้น้ำมันดีเซลเป็นหลักและส่งผลต่อผลกระทบรอบสองมากกว่าเบนซิน แต่ปัจจุบันกองทุนน้ำมันก็ไม่ได้อุดหนุนน้ำมันดีเซลแล้วครับแต่ยังเก็บภาษีน้อยกว่าและไม่ได้เก็บเข้ากองทุนน้ำมันครับ</li>

- ภาษีนี่เก็บตามกฎหมายครับ คือ เก็บสองส่วนคือภาษีสรรพสามิต (จากการทีสารที่ก่อให้เกิดการทำลายชั้นบรรยากาศ) และก็ vat ตามโครงสร้างและนโยบายครับ จะเรียกว่า"บิดเบือน"อาจไม่ตรงซะทีเดียว ส่วนภาษีที่เก็บก็เข้ารัฐล้วนๆล่ะครับ แล้วก็เอาไปโกงกินเอ้ยเอาทำประโยชน์ด้านอื่นเพือเราๆท่านๆ........</li>

- เงินกองทุนน้ำมันปัจจุบันน่าจะเน้นหนักไปที่การอุดหนุนราคา LPG กับ E85 ครับ</li>

 

 

 

- ตอบจากข้อสังเกตุของคุณ WCG

 

- ผู้กุมอำนาจ สามารถบิดเบือนราคาพลังงานได้ด้วยเครื่องมือ ๓ ชิ้น ... ภาษี, กองทุนน้ำมัน, ค่าการตลาด //// สามส่วนนี้เลย ภาษี กองทุนน้ำมัน ค่าการตลาด แต่ที่เยอะและส่วนต่อราคามากสุดคือ ภาษีสรรพสามิต และกองทุนน้ำมันครับ</span></li>

- อัตราภาษีกำหนดแล้ว เปลี่ยนได้ยาก //// ถ้า vat นี่ยากครับ ส่วนภาษีสรรพสามิตก็ขึ้นอยู่กับนโยบายถ้าจะเปลี่ยนหรือปรับตรงนี้ง่ายและกระทบน้อยกว่าครับ</li>

- กองทุนน้ำมันเป็นเรื่องแหกตา เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาราคาน้ำมันดิบแพงได้อย่างยั่งยืน (อย่างเก่งก็เป็นแค่ยาชา) //// ไม่ครับ ถ้าบอกว่าแหกตาก็เกินไป เพราะกองทุนนี้ประสบความสำเร็จมากๆในปี 2546 ก่อนเอาตัวไม่รอดในปี 2547</li>

- หน้าที่กองทุนน้ำมันที่แท้จริง คือการให้ความสะดวกผู้กุมอำนาจ "บิดเบือนราคา" ได้บ่อยๆ เช่น วันนี้น้ำมันโลกลง แต่ฉันจะเพิ่มราคาน้ำมัน ก็ไปเพิ่มที่ "กองทุนน้ำมัน" เอา ฯลฯ ///// อันนี้น่าจะผิดเลยครับ (^ ^) </li>

- จาก กระแสโลก ที่ผมได้ติดตามมานั้น "กองทุนอนุรักษ์" ก็จะทำหน้าที่ไม่ต่างกับ "ภาษี" ชนิดหนึ่ง แต่เงิน "ภาษี" ชนิดนี้ ไม่อยู่ในความควบคุมของรัฐโดยตรงแบบภาษีทั่วไป เป็นช่องทางผลักเงินเข้ากระเป๋ากลุ่มทุนได้ง่ายกว่ามาก (อัลกอร์ เคยบอกไว้ว่า กระแสโลกเขียว มีช่องทางให้หากำไรอีกเยอะ) ///// <a href="http://envfund.onep.go.th/index.php">http://envfund.onep.go.th/index.php</a> ดูในนี้ก็ได้ครับ ผมก็ไม่รู้ว่าเค้าทำอะไรยังไงเหมือนกัน แต่เงินที่เก็บมันเข้า</li>

- กระแส "โลกเขียว" ที่มีอยู่ในตอนนี้ เป็นเรื่องแหกตา ... เพราะถ้าอยากจะ "ประหยัด" พลังงานจากรถยนต์จริงๆ รถขนาดเล็ก/กลาง ที่เป็นดีเซล จะได้รับการสนับสนุนมากกว่านี้ เพราะเดินทางได้ไกลกว่า ในปริมาณน้ำมันที่เท่ากัน เครื่องยนต์สมัยใหม่บางรุ่น ควันพิษปลายท่อ น้อยกว่าเบนซินเสียอีก (ลองหารถยนต์นั่งบุคคล เครื่องดีเซล ราคาต่ำกว่าล้าน ในไทยดู ว่าหาได้กี่คัน) คุยกับเพื่อนๆ คนนึงขับเบนซ์ดีเซล คนนึงขับยาริส ... วิ่งเท่ากัน จ่ายค่าพลังงานพอๆกัน(บางครั้งเบนซ์ถูกกว่าอีกนะ) ... ///// ผมไม่มีความรู้เรื่องรถนะครับว่าแบบไหนดีกว่าน้ำมันอันไหนดีกว่ากัน แต่ประเทศไทยใช้น้ำมันดีเซลเป็นหลักในภาคขนส่งหรือมากกว่าครึ่งใช้น้ำมันดีเซล ถ้าน้ำมันดีเซลใช้โครงสร้างราคาน้ำมันเหมือนเบนสิน ก็ต้องยอมรับราคาสินค้าและบริการที่แพงขึ้นครับ (^ ^)</li>

- ถ้าอยากจะเทียบ บริษัท ป. ของรัฐสารขัน กับบริษ้ท ป. ของมาเลย์ -- ต้องเทียบที่ราคาหน้าโรงกลั่น ว่าใคร "ฟัน" ลูกค้าแรงกว่ากัน</span></strong></span> จะได้เอาเรื่องภาษี/กองทุนฯ มาแก้ต่างไม่ได้ (มาเลย์ก็มีเงินอุดหนุนพลังงานเหมือนกัน) //// ส่วนนี้ยังไงบริษัท ป.ของประเทศสารขันก็ต้องมากกว่าอยู่แล้วครับ เพราะซื้อน้ำมันเค้่่ามากลั่นอีกที ต้นทุนของบ.ที่ขุดน้ำมันได้เองกับบ.ที่ต้องซื้อเข้ามากลั่นอยู่แล้วครับ ลองเอาราคาหน้าโรงกลั่นประเทศไทยมาคำนวณด้วยโครงสร้างภาษีประเทศอื่น ราคาน้ำมันก็จะใกล้เคียงกับประเทศนั้นๆครับ (^ ^)</li>

 

 

 

 

- คหสต. ของผม

 

- บริหารประเทศมันยากครับ (ฮา) แต่ เน้นย้ำว่า น้ำมันบ้านเราแพงเพราะโครงสร้างราคาน้ำมัน ไม่ใช่เพราะ ปู่เต่าทึ่ม

- กองทุนน้ำมัน ทุกวันนี้ เก็บเบนซิน(10บาท) 95(3 บาท) 91(1.2 บาท) มาอุดหนุน LPG E20(1.3 บาท) E85(11.6 บาท) ด้วยเหตุผลด้านบน และเหตุผลที่ว่าอุดหนุน E20 E85 เพราะช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศ และสิ่งแวดล้อม อันนี้ผมก็ตอบไม่ได้อีกว่ามันดีหรือไม่ดีกันแน่..... หรือว่ารัฐหรือปู่เต่าทึ่มมีอะไรทับซ้อนกับ E85 ก็ต้องลองหาคำตอบกันดูครับ

- คำถามที่มักจะโดนถามเสมอคือ ถ้า ปู่เ้ต่าทึ่ม ขายน้ำมันแพง ทำไมบริษัทต่างชาติอย่าง Shell ป.ณ มาเลย์ เอสโซ่ ทำไมไม่ลดราคาให้ต่ำกว่า ปู่เต่าทึ่ม ล่ะครับ ^ ^

ถูกแก้ไข โดย หมีน้ำ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

....

 

• Bitcoin ซึ่งเป็นเงิน Digital ถล่มลงมา 30% จากจุดสูงสุดที่ $1,240 ลงมาเหลือพียง $870 หลังจากจีนประกาศมิให้ธนาคารของจีนรับเงินประเภทนี้ นอกจากนี้ อดีตประธาน FED คือ Alan Greenspan ยังระบุว่า Bitcoin เป็นฟองสบู่ ซึ่งทำให้มีผู้โกรธเคืองและวิจารณ์ว่าเชื่อถือไม่ได้เพราะ Greenspan เคยผิดพลาดในช่วงที่เขาเป็นประธาน FED ที่มองไม่เห็นฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์และฟองสบู่ดอทคอมมาแล้ว

 

.....

 

ขอเสริม .. แม้ว่าจีนจะห้ามสถาบันการเงินมายุ่งกับบิทคอยน์ แต่ก็ยังได้บอกต่อด้วยว่า ประชาชนสามารถใช้บิทคอยน์ได้ โดยที่จะต้องแบกรับความเสี่ยงไว้เอง (ซึ่งส่วนตัว ผมว่าก็ดีแล้ว)

 

ตอนนี้มีคนใช้ "บิทคอยน์" ซื้อรถยนต์แล้วนะครับ

 

http://www.zerohedge.com/news/2013-12-05/california-tesla-has-now-been-bought-bitcoin

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

- -* อ้างถึงเจ๊งซะงั้น หรือผมใช้ไม่เป็น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

attj_561205.jpg

 

http://program.thaip...rticle41826.ece

 

เทปล่าสุดเมื่อวานนี้

 

น่าจะเป็นคำตอบที่หลายคนตั้งคำถามในกระทู้นี้ที่ชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรมขึ้นเรื่อยๆ

ฟังตอนท้ายๆ น้ำตาซึมเลยครับ เพิ่งรู้ว่าตอน 60 พรรษา ในหลวงทรงคิดจะบวช

 

-คนยังไม่มีจะกินเลย จะลงทุนล้านล้าน

-เมื่อคนมีเสรีภาพจากความจน ถึงจะไม่มีใครมาจูงเขาได้

-ฝรั่ง 90% โง่ เอามาเป็นครูได้ไง

-พูดภาษาบ้านๆ สังคมไทยเป็นสังคมตอแหล มันจึงยังไม่เจอของจริง

-คนจะมีความพอเพียงได้ ต้องมี ความรู้ + คุณธรรม

ถูกแก้ไข โดย milo

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

http://www.chaopraya...B8%8D%E0%B8%8D/

 

...ในหลวงมีโครงการเป็นร้อย เป็นพันโครงการ มีเวลาไปกินข้าวกับแม่ สัปดาห์ละ 5 วัน พวกเรา ชี 7 ชี 8 ชี 9 ร้อยเอก พลตรี อธิบดี ปลัดกระทรวง ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่ บอกว่างานยุ่ง แม่บอกว่า ให้พาไปกินข้าวหน่อย บอกว่าไม่มีเวลา จะไปตีกอล์ฟ ไม่มีเวลาพาแม่ไปกินข้าว แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ เห็นตัวเองหรือยัง

พ่อแม่ พอแก่แล้วก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ฝนตก น้ำเซาะ อีกไม่นานก็โค่น พอถึงวันนั้น เราก็ไม่มีแม่ให้กราบแล้ว ในหลวงจึงตัดสินพระทัย ไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ 5 วัน เมื่อตอนที่สมเด็จย่าอายุ 93 สัปดาห์หนึ่ง มี 7 วัน ในหลวงไปกินข้าวกับแม่ 5 วัน อีก 2 วัน ไปไหนครับ ดร.เชสว์ ณ ศีลวันต์ องคมนตรี บอกว่า ในหลวงถือศีล8 วันพระ ถือศีล 8 นี่ยังไง ต้องงดข้าวเย็น เลยไม่ได้ไปหาแม่ วันนี้ เพราะถือศีล อีกวันหนึ่งที่เหลือ อาจจะกินข้าวกับพระราชินี กับคนใกล้ชิด แต่ 5 วัน ให้แม่ เห็นภาพแล้วใช่ไหม...

ถูกแก้ไข โดย milo

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ให้ตายเถอะ.. "ปู่เต่าทึ่ม" นี่เป็นชื่อที่ผมชอบจริงๆ ๕ ๕ ๕ ๕

 

ขอบคุณสำหรับความรู้ และข้อคิดครับคุณหมีน้ำ

 

- กรณี "บิดเบือน" ราคาน้ำพลังงาน จุดนี้เราอาจจะมองไม่เหมือนกัน แต่ผมมองว่า นโยบายภาษี และกองทุนน้ำมัน เอาไว้ใช้บิดเบือนราคาเป็นหลัก (ส่วนจะบิดเบือนเพื่อเหตุผลดี หรือไม่ดี อันนี้เป็นอีกเรื่อง) แต่เมื่อมีการบิดเบือนแล้ว ไม่ใช่ตลาดเสรีแน่นอนครับ

- กรณีกองทุนน้ำมัน ก็เป็นอย่างที่คุณหมีน้ำว่าครับ ว่ามันเคยใช้ได้ผลจริง (ซึ่งผมมองว่าเป็นยาชา) แต่พอเจอเทรนด์หนักๆ ยาชาก็เอาไม่อยู่ครับ

- ผมดูข้อมูลของวันที่ ๔ วันเดียว (ไม่ได้ดูเป็นซีรี่ส์) ไม่เห็นกองทุนน้ำมันมาอุดหนุน กาซธรรมชาตินะครับ แถมมีต้องจ่ายเข้ากองทุนเสียด้วย พลังงานที่ได้รับการอุดหนุนจากกองทุนฯ คือ ดีเซล อี๒๐ และ อี๘๕ เท่านั้นครับ

- เห็นด้วยครับ ว่านโยบายฯเป็นตัวทำให้น้ำมันแพง ... แต่ผมก็ได้สรุปไว้ว่า ถ้าอยากเทียบว่า ป. ไหนโขกลูกค้ามากกว่ากัน... ต้องเทียบราคาหน้าโรงกลั่นระหว่าง ๒ บริษัท เพราะจะปราศจาก ค่าโสหุ้ยต่างๆ

- อย่างไรก็ตาม ถ้ามีประเด็นเรื่องที่ มาเลย์ สามารถผลิตน้ำมันได้มากกว่าใช้ ... แต่ถ้าน้ำมันที่ผลิตได้ ต้องคิดตามราคาตลาดโลกเป็นมาตรฐาน แบบที่ปู่ฯ เขาว่าไว้ ราคาหน้าโรงกลั่นของทั้งสอง ป. ไม่น่าจะหนีกันมากนะครับ

- สำหรับคำถามสุดท้าย ที่ว่า ถ้าปู่ขายแพง ทำไมต่างชาติไม่ขายให้ถูกกว่าไปเลยหล่ะ ผมขอตอบตามข้อเท็จจริงที่ผมทราบตามนี้ครับ

 

๑ - ข้อมูล ณ ปี ๒๐๐๘ ไทยมีโรงกลั่น ๗ โรง (ที่มา)

๒ - แม้จะดูเยอะ แต่ ปู่ถือหุ้นใหญ่อยู่ ๕ โรง, ต่างชาติหุ้นใหญ่ ๑ โรง, วิชัย ทองแตง หุ้นใหญ่ ๑ โรง (ดูภาพประกอบ)

๓ - ถ้ามองเฉพาะผู้ถือหุ้นใหญ่ ปู่ฯ มีกำลังการผลิต ร้อยละ ๘๒ ๖๙ , ต่างชาติ ร้อยละ ๑๖ ๒๙, ทองแตง ร้อยละ ๑.๕

๔ - หากปู่โก่งราคาจริง ... กำลังการผลิตเพียงร้อยละ ๑๕ ๒๙ ของต่างชาติ (เอกซอน,เชฟรอน,ปู่) ไม่สามารถทุบราคาได้อย่างมีนัยสำคัญ

๕ - หากผมเป็นเอกซอน, เชฟรอน, หรือทองแตง และมีต้นทุนในการผลิตต่ำกว่าจริง... ผมก็คงคิดราคาเท่าปู่ เพื่อที่จะได้กำไรเยอะขึ้น (จะบื้อขายถูกทำไม ในเมื่อตั้งราคาแพงก็ขายได้)

 

post-2564-0-97511700-1386348429_thumb.png

 

ผมไม่อาจทราบได้ว่าปู่ โก่งราคาตามที่มีคนกล่าวอ้างหรือเปล่า .. เพราะผมพยายามหาราคาหน้าโรงกลั่นของมาเลย์แล้ว แต่หาไม่เจอ แต่จากข้อมูลโรงกลั่นในไทย ทำให้ผมตอบได้อย่างมั่นใจพอควรว่า ปู่ผูกขาดโรงกลั่น และมีอิทธิพลเบ็ดเสร็จในการกำหนดราคาในตลาด

 

จากเหตุผลดังกล่าว ผมจึงมองคำถามที่ว่า ถ้าปู่ขายแพงนัก ทำไมคนอื่นไม่ตัดราคาสู้ปู่ เป็นการเบี่ยงเบนประเด็น มากกว่าการถามเพื่อหาคำตอบ ว่าตกลงปู่โขกจริงหรือไม่

 

สุดท้ายนี้ ผมขอยืมคำพูดของชายเชื้อสายจีน "แซ่ลิ้ม" คนหนึ่ง ที่ได้พูดไว้หลายปีก่อน มาฝากไว้ให้คิดเล่นๆก็แล้วกัน

เขาพูดในทำนองที่ว่า .... ถ้าให้เขาซื้อน้ำมันจากโรงกลั่นนอกประเทศ มาขายในไทยได้ โดยที่โดนโครงสร้างภาษีเดียวกัน เขาสามารถขายน้ำมันได้ถูกกว่าเพื่อน

(ภาษีมูลค่าเพิ่ม, สรรพสามิตร, กองทุน, ฯลฯ... แต่อย่าเก็บภาษีนำเข้านำมันที่กลั่นแล้วนะ)

 

ผมได้แนบแหล่งที่มาของข้อมูล และเสปรดชีท ในการคำนวณตัวเลขด้านบนมากับโพสท์นี้ด้วย

หากมีความผิดพลาด หรือผมเข้าใจอะไรผิด กรุณาทักท้วง เพื่อที่ผมจะได้แก้ไข และปรับความเข้าใจให้ถูกต้องต่อไป

(ข้อมูลผู้ถือหุ้นใหญ่ นำมาจาก เวบไซท์ตลาดหลักทรัพย์ ดึงข้อมูลวันที่ ๖ ธ.ค., สำหรับ SPRC จากข่าว เชฟรอนถือหุ้นใหญ่ และปู่ถือหุ้นที่เหลือ)

 

สเปรดชีทแรก ที่มองผิดพลาดว่าปู่ถือหุ้นใหญ่ใน SPRC refineries.zip

สเปรดชีทสอง แก้ไข ให้เชฟรอน ถือหุ้นใหญ่ใน SPRC แล้วrefineries-v2.zip

ภาพเก่า ที่มองผิดพลากว่าปู่ถือหุ้นใหญ่ใน SPRC

post-2564-0-09761300-1386343972_thumb.png

 

แก้ไข ๒๓:๔๙ -- จากข่าว SPRC มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือเชฟรอน, ส่วนที่เหลือ ปู่เป็นคนถือ (ไม่ใช่ปู่ถือหุ้นใหญ่ อย่างทื่ผมเข้าใจในตอนแรก)

ถูกแก้ไข โดย wcg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับ เรื่องน้ำมันซับซ้อนจนผมงง

 

ปู่ผูกขาดโรงกลั่น และมีอิทธิพลเบ็ดเสร็จในการกำหนดราคาในตลาด

อันนี้เป็นผลมาจากการเป็นรัฐวิสาหกิจเดิมมั้งครับ อำนาจเบ็ดเสร็จเอาไปใช้ดีก็ดี เอาไปใช้เลวก็เลว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทำไมจึงเรียกว่า กำนันสุเทพ

 

http://trachoo.com/

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับ เรื่องน้ำมันซับซ้อนจนผมงง

 

 

อันนี้เป็นผลมาจากการเป็นรัฐวิสาหกิจเดิมมั้งครับ อำนาจเบ็ดเสร็จเอาไปใช้ดีก็ดี เอาไปใช้เลวก็เลว

 

เป็นได้ ผมไม่ทราบรายละเอียดธุรกิจน้ำมันในไทยลึกๆ

เพียงแต่ลองหาข้อมูลเท่าที่หาได้ มาต่อๆ แล้วตีความตามที่สติปัญญาพอเอื้ออำนวยครับ

 

อำนาจนั้นจะได้มาด้วยวิธีการใด อาจจะไม่สำคัญเท่ากับว่า คนที่มีอำนาจ มีคุณธรรมขนาดไหนครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มาเรื่องทองกันบ้างนะครับ

Alex Stanczyk ให้สัมภาษ สถานการณ์สกัดทองในสวิสเซอร์แลนด์

http://www.ingoldwetrust.ch/alex-stanczyk-physical-supply-never-been-tighter

 

- ตลอดปีมานี้ โรงงานสกัดทองที่ใหญ่ที่สุดในสวิส ทำงาน 3 กะ 24 ชั่วโมง รีบแร่งสกัดทอง จากเหมืองแร่, ทอง 96.5% จาก LBMA

- ของที่ผลิตส่วนใหญ่ เป็นทอง 99.99% 1 กิโล ปริมาณกว่า 70% ส่งไปจีน

- โรงงานนี้มีกำลังผลิต 10 ตันต่อสัปดาห์ ปีละประมาณ 500 ตัน

- ในสวิสมีโรงงานใหญ่ ๆ แบบนี้ 4 โรง, รวมแล้วสวิสมีกำลังสกัดทองได้ 2000 ตัน

- คนสกัด บอกว่าไม่เคยเห็นความต้องการสูงแบบนี้มาก่อน ในการทำงานมานาน 37 ปี

- ทองจาก LBMA (Goods delivery bar) ตอนนี้เป็นทองที่อยู่มุมใน ๆ ของห้องนิระภัยแล้ว เพราะตัวทองแท่งนั้นผลิตตั้งแต่ยุค 1960

- มีความต้องการเพิ่มจาก ตะวันออกกลางด้วย อาจเป็นเพราะซาอุเอาใจออกห่างอเมริกา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

อำนาจนั้นจะได้มาด้วยวิธีการใด อาจจะไม่สำคัญเท่ากับว่า คนที่มีอำนาจ มีคุณธรรมขนาดไหนครับ

 

:gd

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

(^ ^) ร่วมด้วยช่วยกันครับคุณ WCG ทองมันช้ำเปลี่ยนมาหาเรื่องอื่นคุยกันบ้าง

 

 

 

- เรื่องโครงสร้างราคาน้ำมัน โดยเฉพาะภาษีกับกองทุนน้ำมันผมก็ไม่ได้เห็นด้วยกับเค้าทั้งหมดหรอกครับ แต่พยายามอธิบายว่าในมุมมองของรัฐเค้ามองและคิดอย่างไรถึงทำอย่างนี้ ส่วนจะถูกหรือผิดนี่คนตัดสินคงต้องเป็นเราๆนี่ล่ะครับ (^ ^) รัฐบาลจะไม่เก็บภาษีน้ำมันก็ได้ถ้าจะทำ แต่ถ้าทำก็ต้องไม่ไปเก็บภาษีส่วนอื่นที่เกี่ยวเนื่องในลักษณะเดียวกันด้วย ทั้ง vat หรือ ภาษีสรรพสามิต จริงมั้ยครับ แล้วถ้าไม่มีก็ต้องมาปรับขึ้น LPG ครับ

- ส่วนเรื่องกองทุนน้ำมันอย่างว่าล่ะครับ มันเหมือนไม้ตาย เคยทำสำเร็จอย่างงดงามมา่ครั้งนึง แต่คนเราพออะไรที่เคยใช้ได้ผลครั้งนึง พอมีเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันก็มักจะเอามาใช้อีก แต่โลกเรามันก็แบบนี้ล่ะครับ รอบสองมักไม่เหมือนรอบแรก ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ และสุดท้ายกองทุนน้ำมันก็ถูกเอามาหนุน LPG

- อย่างที่บอกด้านบนครับ จุดประสงค์ที่งัดเอากองทุนน้ำมันมาใช้ครั้งแรก คือเพื่อป้องกันการเกิด second round effect หรือง่ายๆก็คือ การขึ้นราคาของสินค้าตามราคาน้ำมัน แต่พอน้ำมันลงราคาสินค้ามันไม่ลงตาม ส่วนมีแล้วดีหรือไม่มีนั้นผมก็ไม่มีความเห็นครับ (ฮา) แต่สำหรับผมมันเหมาะสำหรับการที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นระยะสั้นๆและปรับลงมาเท่าเดิม

- ลองมาคิดกลับอีกมุมครับ ถ้าไม่มีกองทุนน้ำมัน(ตอนนั้นและตอนนี้)และสินค้าขึ้นตามราคาน้ำมันแต่พอน้ำมันลงมันไม่ลงตามจริงๆ ???????? ทำไงดีครับ ถ้าเอาคำตอบส่วนมากเค้าก็มักจะใช้นโยบายในการตรึงราคาสินค้าไว้ก่อนชั่วคราว ด้วยการจ่ายส่วนต่าง รับประกันราคา ต้นทุนสินค้า (พวกเราเห็นบ่อยๆนะครับ) แต่ถ้าน้ำมันมันขึ้นต่อไม่หยุดต้นทุนไม่ลด สุดท้ายรัฐบาลก็ไม่น่าจะแบกรับไหวถูกมั้ยครับ และตอนนี้ถ้าไม่มีกองทุนน้ำมัน LPG ก็จะขาดเงินอุดหนุน และราคาก๊าซหุงต้มก็จะต้องปรับขึ้นด้วยใ่ช่มั้ยครับ

 

- ข้อมูลวันที่ 4 ตามนั้นครับคือหนุน ดีเซล E20 E85 ส่วน LPG เค้าหนุนผ่านราคาหน้าโรงแยกก๊าซหรือโรงกั่นครับ ถ้าดูในตารางจะเป็นตัวหน้าสุดที่ 10.571 นั่นล่ะครับ มันเท่ากับ 333US/ton ซึ่งเป็นราคาที่รัฐบาลบังคับให้โรงแยกขาย ทั้งที่ปัจจุบันราคาหน้าโรงแยกก๊าซอยู่ที่ 875us/ton ส่วนต่าง 875-333 หรือ 542US/ton นั่นล่ะครับ เค้าเอาจากกองทุนน้ำมันมาชดเชย

- ส่วนที่จ่ายเข้ากองทุนน้ำมันเพิ่มของ LPG สองรับ รอบแรกเก็บเท่ากันทุกส่วนเพื่อให้ราคาหน้าคลังเท่ากันทั่วประเทศครับจะเอาส่วนนี้มาเป็นค่าใช้จ่ายขนส่ง ส่วนที่สองด้านหลังจะไม่เท่ากันครับแต่จะนำไปชดเชยให้จากส่วนต่างข้างต้นและการนำเข้านั่นล่ะครับ

 

 

- ปู่ผูกขาดโรงกลั่น จริงแท้แน่นอนครับ นั่นล่ะคือประเด็นหลักที่ควรนำมางัดปู่ มากกว่าด้านราคาน้ำมัน ส่วนเรื่องการกำหนดราคาผมว่ามีส่วนน้อยถึงน้อยมากครับ

 

 

- ส่วนประเด็นชายเชื้อสายจีนแซ่ลิ้มที่บอกว่า ถ้าให้ซื้อน้ำมันจากโรงกลั่นนอกประเทศ มาขายในประเทศไทยได้ โดยโครงสร้างภาษีเดียวกัน เขาสามารถขายน้ำมันได้ถูกว่าเพื่อนบ้าน ผมว่าคำพูดนี้กล่าวเกินจริงไปพอสมควรเลยครับ ทำไมผมถึงคิดแบบนั้นลองมาวิแคะกันครับ

- ลองคิดแบบง่ายๆเลยครับ คิดราคาน้ำมันแบบตัดภาษี ตัดกองทุน ตัดทุกอย่างออกหมดเลยนะครับ ขายแบบไม่เอากำไรเลยด้วย ถ้าแบบนั้น ราคาขายน้ำมัน = ราคาน้ำมันสำเร็จรูป+ต้นทุนการแปรสภาพ+ค่าขนส่ง กรณีของประเทศไทย ราคาน้ำมัน = ราคาน้ำมันสำเร็จรูป ณ สิงคโปร์ + ต้นทุนการแปรสภาพ + ค่าขนส่ง เพราะฉะ้นั้นเต็มที่ที่จะขายถูกสุดในประเทศไทยคือขายเท่ากับราคาน้ำมันสิงคโปร์ครับ

- เผื่อคนจะถามว่าทำไมเราต้องอิงราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์ เพราะราคาตลาดสิงคโปร์เป็น Fair Price (ราคาที่สมเหตุสมผลนะครับ ไม่ใช่ราคายุติธรรม) เพราะเป็นทั้งศูนย์กลา่งและผู้ส่งออกน้ำมันสูงสุดในภูมิภาคนี้

- และด้วยเหตุผลที่เราซื้อหรือนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงคโปร์ ถ้าราคาน้ำมันสำเร็จรูปในไทยกับสิงคโปร์ไม่เท่ากันจะเป็นอย่างไร 1.ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในไทยถูกกว่าสิงคโปร์ โรงกลั่นก็ไม่อยากขายให้ปั้มในประเทศส่งออกไปขายสิงคโปร์ดีกว่ากำไรเยอะกว่า(นอกจา่กโรงกลั่นทั้งหมดจะยอมกลั่นแบบการกุศลไม่คิดกำไรเลย) สุดท้ายปั้มก็ต้องซื้อน้ำมันราคาสิงคโปร์มาขายอยู่ดีถูกมั้ยครับ 2.ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในไทยแพงกว่าสิงคโปร์ ปั้มก็ไม่อยา่กซื้อจากโรงกลั่นในไทย หันไปนำเข้าจากสิงคโปร์ทั้งหมด สุดท้ายโรงกลั่นก็ต้องลดราคามาเท่ากับสิงคโปร์อยู่ดี สุดท้ายราคาขายถูกสุดในประเทศแบบตัดทุกอย่างออกก็จะเท่ากับสิงคโปร์อยู่ดีครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...