ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

นั่นซิคับ..GF หรือ ทองกระดาษ เป็นการซื้อขายสัญญาทองที่ไม่มีทองซื้อขายเกิดขึ้นจริง

ซื้อขายไปมา เกิดมันมากกว่าปริมาณsupplyทองที่มีอยู่จริงในโลก มันจะไม่เรียกว่าเกิดฟองสบู่เหรอ

อยากรู้คับ อยากรู้

 

..ขอบคุณมากครับคุณเน็ก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

forex.jpg

 

ในขณะที่ตลาดกำลังคึกคักจากราคาทองคำที่พุ่งสูงในวันนี้

 

อยากให้ลองสังเกตเป็นกรณีศึกษาครับ

 

ทองคำ ...........

 

ทำสถิติสูงสุดตลอดกาลในรูปของสกุลเงินดอลล่าห์ทะลุ 1400$ ทั้งๆที่ USDX แข็งค่าดีดกลับไปยืนเหนือ 77 ได้

 

ทำสถิติสูงสุดตลอดกาลในรูปของสกุลเงินบาทไทย 19700 บาท ทั้งๆที่ เงินบาท 29.59 ทำสถิติแข็งค่าใหม่ในรอบนี้

 

ขึ้นทั้งๆที่เงินดอลล่าห์และเงินบาทแข็งพร้อมๆกัน

นี่เป็นหลักฐานยืนยันในสิ่งที่ ผมย้ำเสมอว่า ไม่มีเงินสกุลใด ที่จะสามารถแข็งค่ากว่า "เงินที่แท้จริง" (Real Money)

อย่างทองคำได้ ....

 

ปล.บทความตอนต่อไปจะโพสคืนนี้นะครับ รับรองว่าคืนนี้ "ไม่เข้มข้นเราไม่นอน" ครับ :lol:

 

 

 

ขอบคุณ มากๆ ครับ

 

!01 !01 !01

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ชอบ logo ที่เอามาใช้ในแต่ละครั้งจังเลย จะรออ่านบทต่อไป "ไม่เข้มข้น เราไม่นอน"

 

ขอบคุณอีกครั้ง ที่มาแบ่งปัน สิ่งดี ๆ ให้กับพวกเราค่ะ !01 !01 !01 !01

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เข้ามาจองที่นั่งแถวที่ 2 จากด้านหน้า(แถวหน้าสุดเต็มแล้ว :D ) รออ่านด้วยคนครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

GoldBar.jpg

 

หลังจากนั้น......(Then)

 

 

วิวัฒนาการของระบบการเงิน อย่างที่ผมเคยพูดเสมอๆ ว่ามันไม่มีอะไรซับซ้อน

เริ่มจากเราใช้ทองคำ ใช้แร่เงิน (Real Money)

จากนั้นทุกคนพยายามเข้ามาจัดการให้มันง่ายขึ้นโดยการพิมพ์ “ตั๋วทองคำ” (Representative Money)

สะดวกในการใช้จ่าย, พกพา พอระบบนี้เป็นที่นิยม “รัฐบาล” ก็เข้ามาจัดการพิมพ์

ให้เป็นรูปแบบเดียวกันเพื่อความเป็นมาตราฐานแล้วเรียกมันว่า “ธนบัตร” (Currency)

ส่วนทองคำ ถูกใส่กุญแจล็อคขังไว้ในคลังทำหน้าที่เป็นแค่ทุนสำรอง

แต่ที่ปัญหามันเกิดก็เพราะ รัฐบาล

 

 

“ไม่เคยที่จะหยุดพิมพ์”

 

 

ประชาชนเองก็หลงลืมและคุ้นชินคิดไปว่า ธนบัตรกระดาษพิมพ์สีนั่นแหละ คือ “เงินที่แท้จริง”

แต่เมื่อความจริงปรากฎ ทุกคนได้รับรู้และเข้าใจ เกิดแรงกระเพื่อม

ทองคำก็จะปรับราคาของตัวเอง ให้เทียบเท่าปริมาณตั๋วทุกใบที่พิมพ์ออกมาเกินจริง(จนเกิดเป็น โอกาส “ทอง”)

เป็นแบบนี้อยู่ทุกครั้งไป

หากคุณศึกษาประวัติศาสตร์จะพบว่า แม้แต่ในสมัยโรมัน นักการเมืองทุจริตในสมัยโบราญ

ก็เคย พยายามนำเหรียญทองคำ มาหลอมแล้วเติมส่วนผสมอื่นเจือจางเข้าไปให้กลายเป็น เหรียญทองไม่บริสุทธิ์

เพื่อจะได้เพิ่มจำนวนเหรียญ ให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มปริมาณเงินในระบบ

สุดท้ายระบบการเงิน ของอาณาจักรที่แสนจะยิ่งใหญ่อย่างโรม ก็พังไม่เป็นท่า

เข้าอีหรอบเดียว กับ การพิมพ์ธนบัตรดอลล่าห์และเงินสกุลอื่นๆ (เช่นในอาเจนตินา ยูโกสลาเวีย และ ซิมบับเว)

มากเกินจริงในยุคสมัยนี้ ไม่มีอะไรต่างกัน .....

 

หากใครก็ตามที่ไม่รู้จักเรียนรู้ จากความผิดพลาดในอดีต มีเปอร์เซนต์สูงมาก ที่จะทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ในอนาคต

 

........................................................................................

 

 

เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนวันนี้ ผมขอนำเสนอ “กราฟ” ครับ

 

กราฟนี้ไม่ใช่กราฟ อีเลียตเวฟ (EW) ไม่มี ขา A,B,C

 

ไม่มีแนวรับ-แนวต้าน ไม่มีโบลิงเจอร์แบนด์

 

ไม่มี STO, RSI, Indicator ใดๆทั้งสิ้น (เรื่องพวกนั้นต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญครับ)

 

กราฟนี้ไม่มีดู รายชั่วโมงหรือรายสัปดาห์ เพราะ เราดูกันทีเดียว “ราย 200 ปี!” ไปเลยครับ

 

 

 

historicalgold.jpg

 

 

จากกราฟ

 

:excl: ช่วง A กินเวลานานกว่าช่วงชีวิตคนๆนึงเลยครับใครลงทุนทองคำในช่วงนี้

เก็งราคาตั้งแต่เด็กยันแก่ก็ไม่ได้กำไรครับ ราคาไม่ขยับ นิ่งสนิท ทองคำไม่ใช่ตัวเลือกในการลงทุน

แต่ทองคำในช่วงนั้นได้ทำหน้าที่ ที่มันสมควรจะได้รับครับ นั่นคือ เป็น

“สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน” อย่างแท้จริง

 

รุ่นคุณทวดพวกเรา เค้ายึดมั่นและเชื่อถือใน “ทองคำ” วัดความร่ำรวยกันที่ “ปริมาณ” ทองคำที่ถือครอง

ไม่ได้วัดกันที่ “ราคา” ทองที่ขึ้นลง

 

:excl: จุด B คือจุดกำเนิดของระบบเบรตตัน (Bretton woods system)

ทองคำขยับราคาสูงขึ้น แต่ก็ถูกตรึงไว้ที่ 35$/oz

 

:excl: จุด C คือจุดการล่มสลายของระบบ เบรตตัน จากคำประกาศ ของริชาร์ด นิกสัน ปี 1971

 

:excl: จุด D คือโอกาส “ทอง” (จริงๆ) ครั้งที่ 1 ทองคำทะยานฟ้าแตะระดับ 850$/oz

 

จากจุด C เรื่อยไปจนถึงปัจจุบันเป็นยุคของพวกเราครับ

ดูจากกราฟแล้ว ทำไมชะตากรรมของพวกเรามาเกิดในยุคที่ ราคาทองคำมัน วุ่นวาย จริงๆ ไม่นิ่งเลย

มีพุ่งขึ้นแรง ปักหัวลงแรง พุ่งแรงขึ้นไปอีก ซิกแซก ไปมาจนคิดว่า การลงทุน ทองคำมีความเสี่ยง มีขึ้น-มีลง ???

 

หากคุณคิดว่า ราคาทองคำมี ขึ้นมีลง เป็นเรื่อง “ปกติ” หากมันนิ่งๆ สิ “แปลก”

 

คุณลองดูกราฟใหม่ ไล่ตั้งแต่ต้น ดูเหมือนว่าถ้าราคามันนิ่งๆน่าจะเรียกว่า “ปกติ” มากกว่า แต่ในยุคของพวกเราที่ราคา สวิงไปมาแบบนี้ สิ ถึงควรจะเรียกว่า “แปลกและผิดปกติอย่างมาก!!”

 

เกิดอะไรขึ้น ???

 

จุด ABCD ผมพูดถึงไปหมดแล้ว ในบทความก่อนหน้านี้ วันนี้ผมจะพูดถึง E ครับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมราคาทองที่พุ่งพรวดขึ้นไปสูงถึงขนาดนั้น

ถึงดิ่งเหวลงมาแล้วไม่ได้ โงหัวขึ้นไปอีกเลย กินเวลานานเกือบ 30 ปี

 

ถือเป็น อภิมหาดอย ที่รอคอยการลงดอย ที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์ของทองคำ หากคุณเคยซื้อทองแล้วติดดอย ว่าไปก็เหมือนเป็นแค่เนินดิน เมื่อเทียบกับดอยลูกนี้ …..

 

มาย้อนดูกันครับ …………….

 

ใน ทศวรรษที่ 70 ไม่เพียงแต่ราคาทองคำเท่านั้นที่พุ่งทะยานฟ้า ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ราคาน้ำมัน ก็ขยับตัว ขึ้นโดยตลอด จากราคา 3$ per barrel ในปี 1972 ขึ้นไปสูงถึง 35$ per barrel ในปี 1981 กว่า 10 เท่าตัว

สาเหตุหลักๆก็มาจาก การปฏิวัติในอิหร่าน (Iranian Revolution) และก่อให้เกิดสงครามระหว่าง อิรัค และ อิหร่าน ในเวลาต่อมา

(ขอไม่ลงลึกในรายอะเอียดนะครับ)

 

จิ๊บๆ โดยไม่ต้องใช้วีโก้ สำหรับคนที่ถือครองทองคำ เพราะในช่วงเวลาเดียวกัน ราคาทองคำเพิ่มขึ้น 25 เท่าตัว เท่ากับได้เติมน้ำมันในราคาที่ถูกลงด้วยซ้ำไปเพราะ “ราคาทองคำ Out perform ราคาน้ำมัน”

 

แต่ไม่จิ๊บๆ สำหรับคนส่วนใหญ่ ผู้ที่ถือครอง “ดอลล่าห์” เพราะ อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง สินค้าอุปโภค บริโภค ขึ้นราคา เกิดยุคข้าวยากหมากแพง ข้าวสาร ถั่ว เมล็ดกาแฟ น้ำมันพืช ขึ้นราคาตลอด ทำให้เกิดการซื้อ กักตุน

ยิ่งซื้อกักตุน สินค้าก็ ยิ่งขึ้นราคาหนักเข้าไปอีก ยิ่งใช้จ่าย ปริมาณเงินในระบบก็เพิ่มขึ้น

ก็ยิ่งเฟ้อไปอีก 1 เด้ง ประชาชนชาวอเมริกัน เห็นเงินในกระเป๋าตัวเองในวันนี้

ซื้อของได้น้อยลงกว่าเดิมในวันพรุ่งนี้ จะให้กักเก็บสินค้าอุปโภคบริโภคไว้ให้เยอะที่สุดก้เป็นไปไม่ได้ เพราะ

 

:excl: เปลืองเนื้อที่เก็บ

 

:excl: มีวันหมดอายุ เน่าเสีย

 

ประชาชนจึงเลือกที่จะซื้อทองคำเก็บเอาไว้แทน เพื่อป้องกัน อำนาจการซื้อ (Purchasing power) ของตัวเองที่ลดลงๆ

รัฐบาลอเมริกา ในสมัยนั้น ประกาศ กฎหมายควบคุมราคาสินค้า (Price control) แต่ก็ล้มเหลว

จึงจำเป็นต้องใช้มาตราการทางการเงินเข้าแทรกแซง

 

อาวุธคู่กายของธนาคารกลางทุกประเทศ มีแค่สองอย่าง

 

1 พิมพ์เงินเพิ่ม

 

2 อัตราดอกเบี้ย

 

ในเมื่อปัญหาคือเงินเฟ้อ สินค้าขึ้นราคาทางแก้ก็มีแค่สองทาง

 

1.พิมพ์เงินเพิ่ม ยัดใส่มือคนอเมริกา เพื่อจะได้เอาไปใช้จ่ายซื้อสินค้ากันไหว ------ ทางเลือกนี้ผิด

 

2.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อดูดเงินออกจากระบบ ------ ทางเลือกนี้ถูก

 

นายพอล วอร์คเกอร์ (Paul Vocker) ประธานธนาคารกลางของสหรัฐในสมัยนั้น เลือกทางออกที่ถูกต้อง !!!

หากช่วงที่ผ่านมาคุณได้ข่าวการปรับขึ้นของธนาคารกลาง ประเทศต่างๆ เช่น ออสเตรเลีย, จีน, อินเดีย ทีละ 0.25 -0.5%

พอล วอร์คเกอร์ ไม่มีเวลามาหน่อมแน้มแบบนั้นครับ เค้าปรับขึ้น ไปสูงถึง 20% !!!!

 

ทำไม ต้องสูงขนาดนั้น ??

 

ก็เพราะอัตราเงินเฟ้อในตอนนั้น 13.5% !!!! ครับ จะเอาให้อยู่ ต้อง เล่น “ยาแรง”

ได้ผลครับ หยุดการเดินทางไปยังโลกพระจันทร์ของราคาทองคำ ได้สำเร็จ พร้อมกับกดอัตราเงินเฟ้อลงมา

อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ที่ 3.2% ใน3 ปี ต่อมา.....ปั๊มหัวใจ ให้ดอลล่าห์ ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ จากที่เจียนไปเจียนอยู่

 

ราคาทองร่วงดิ่งลงเหว อย่างรุนแรง จากการเทขายทองคำทำกำไร แล้วเงินที่ได้ก็ถูกดูดออกจากระบบ นำไปฝากธนาคาร ซื้อพันธบัตรรัฐบาลกินดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก

รวมถึงการซื้อ-ขาย สัญญาล่วงหน้าของพวกเหมืองทองคำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการลดราคา ทำให้ทองคำในตอนนั้น “ดูไม่จืด”

 

อีกตัวการนึงที่สำคัญในการทุบทอง คือ “ธนาคารกลางต่างๆ ทั้งในยุโรปและอเมริกา”

หลังจากเห็นเหตุการณ์ อาละวาด ของราคาทองคำ ที่พุ่งสูงขึ้นถึง 25 เท่าตัวอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด

รัฐบาลและธนาคารกลางจึงได้บทเรียน

 

บทเรียนที่ควรจะได้คือ ต้องยึดถือ “ระบบมาตราฐานทองคำ” (Gold Standard) หรือหากจะใช้ “ระบบ เบรตตัน” (Bretton woods system) ก็ห้าม “โกง” พิมพ์เยอะ เกินทองคำที่มีอยู่จริงในคลัง

เพราะการ “โกง” ทำให้ดอลล่าห์ขาดความน่าเชื่อถือ จนทำให้เกิดปัญหา

 

ขอย้ำว่า นี่ คือบทเรียนที่รัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลก “ควรจะได้รู้และเข้าใจ”

แต่เปล่าเลย ???!!

 

บทเรียนที่เค้าเข้าใจ กลับกลายเป็น “เราคงต้องโกงให้แนบเนียนขึ้นมากกว่าเดิม”

 

เค้าเลือกที่จะเชิดชู และรักษา ระบบธนบัตรที่ไม่อิงกับทองคำ (Fiat currency) เอาไว้ เพราะระบบนี้ “รัฐบาลและธนาคารกลาง”

ได้ประโยชน์ครับ หากจะย้อนกลับไปใช้ ระบบเก่า ที่ต้องมีทองคำควบคุมปริมาณการพิมพ์เงิน

การจัดสรรงบประมาณ เมกะโปรเจค แบ่งเค้ก กันให้ลงตัวคงจะติดๆ ขัดๆ

 

“ทองคำต้องขุด ต้องสกัด มันพิมพ์ออกมาไม่ได้ จำนวนมันจำกัดเกินไป แต่ธนบัตรจะพิมพ์เอากี่ปึกขอให้บอก”

 

เป้าหมายคือ : ทำยังไงก็ได้ ให้คนยังเชื่อถือและศรัทธาในดอลล่าห์ ให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกอยู่

 

 

จากบทเรียนในอดีตสอนว่า ทองคำ คือตัวที่ “ฟ้อง” และทำให้ความน่าเชื่อถือ

ในระบบธนบัตรเสื่อมลง วิธีการก็แค่ “ปิดปาก” ทองคำซะ

 

ตั้งแต่นั้นมากระบวณการ ทุบ และ กดราคาทองคำจึงเริ่มขึ้น……. :excl: :excl: :excl:

 

 

ธนาคารกลางทั้งในยุโรป (ECB)และอเมริกา พร้อมใจกันทยอยเทขายทองคำในคลัง ออกสู่ตลาดทุกปี !

(30 ปีที่แล้วจากที่เคยถือครองทองคำกว่า 20% เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทั้งหมด

ทุกวันนี้ จากการตรวจสอบล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วของ World gold council เทขายจนเหลือสัดส่วนการถือครอง ไม่ถึง 2%)

 

ขาใหญ่และกองทุนต่างๆ ก็ร่วมด้วยช่วยกันทำการเปิดสัญญา Short

ปริมาณมหาศาลทั้ง “Gold and Silver”

 

ทุบราคาให้ ราคาทองคำต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

เหตุการณ์ ครั้งที่ชัดเจนที่สุด ในการขายทองคำของธนาคารกลางเกิดขึ้นที่ อังกฤษ

สมัยที่ กอร์ดอน บราวน์ (Gordon Brown) ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ปี 1999

 

อังกฤษ มีทองคำในคลังเท่าไหร่ เค้าตัดสินใจ ขายออก ครึ่งนึง !!! คิดเป็นน้ำหนักทองคำ ในตอนนั้นคือ 400 ตัน !!!

 

หนำซ้ำก่อนจะทำการขาย ยังมีประกาศล่วงหน้าอีก ต่างหาก ทำให้เค้าขายทองคำได้ในราคาเพียง 250$/oz

ซึ่งถือเป็นราคาที่ต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี ของราคาทองคำในขณะนั้น!!!

 

นี่คือการปล่อยหมูครั้งที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่ผมเคยเห็นมา เพราะหลังจากนั้น 10 ปี

ราคาทองคำปรับขึ้นถึงกว่า 5 เท่าตัว

เป็นความความผิดพลาดของ กอร์ดอน บราวน์ หรือ ว่านี่คือความตั้งใจ????

 

(แต่หากเป็นผม ถ้าคิดจะขายทองคำทิ้งถึง 400 ตัน ผมคงจะไม่พูดออกสื่อหรือประกาศล่วงหน้าให้ ราคามันเสีย ก่อนผมขายเด็ดขาด)

หลังจากนั้นทองคำก็หงอยและซึมเรื่อยมา

 

ปี 1980 ใครที่ลงทุนทองคำแล้วขายไม่ทัน กลายเป็นคนที่ติดดอยอย่างยาวนานที่สุด

และเป็นเหตุการณ์ ที่ใครหลายคนมักใช้ เป็นข้ออ้างในการโจมตี “ทองคำ” ว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงและไม่คุ้มค่า

 

………………………………………………….

 

รัฐบาล ธนาคารกลาง และ สถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่ถูกรัฐใช้เป็นเครื่องมือ ประสบความสำเร็จในการกดราคาทอง

ได้ยาวนานหลายสิบปี

 

แต่เปรียบไปก็เหมือนการ เอามือกดลูกบอลในสระว่ายน้ำ เมื่อแรงกดลดลงหรือเอามือออก

ลูกบอลจะพุ่งขึ้นสู่เหนือผิวน้ำ อย่างรวดเร็ว

 

หลังจากนั้น..........

 

:excl: เมื่อทองคำกลับมายืนเหนือระดับ 700$ อีกครั้ง 30 ปีให้หลัง ---------- ทองคำก็ถูกโจมตีว่า เริ่มจะถึงจุดอิ่มตัวอีกแล้ว

 

:excl: เมื่อทองคำกลับมาแตะระดับ 850$ อีกครั้ง ------------ นักลงทุน ถูกแนะนำให้เทขายทิ้งให้หมดระวังประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย

 

:excl: แต่แล้วทองคำก็ ขยับตัวขึ้น ต่อเนื่องทะลุ 1000$ ------------ นักเศรษฐศาสตร์และกูรู ที่ไม่รู้จริงต่าง ออกมาเตือนให้ระวังฟองสบู่ ๆๆ

 

1100$ ก็แล้ว 1200$ ก็แล้ว 1300$ ก็แล้ว 1400$ ก็แล้ว

ทองคำก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลง คำเตือนเรื่องฟองสบู่จากกูรูกลายเป็นแค่ฟองน้ำลายที่ไร้เหตุผล..

 

อะไร ทำให้ทองคำกลับมาได้ ? แล้วการขึ้นของทองคำจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน โปรดติดตามตอนต่อไป ...........

 

- การตัดสินใจอนุมัติขายทองคำของ กอร์ดอน บราวน์ ถูกสอบสวนในภายหลัง

และถูกใช้เป็นการโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม ในการแข่งขันเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีเมื่อครั้งล่าสุดที่ผ่านมา.

 

- ปลายเดือนที่แล้ว (ตุลาคม 2010) คณะกรรมการ CFTC

(Commodity Futures Trading Commission) ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลเกี่ยวกับการเทรดซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์

สินค้าโภคภัณฑ์ทุกชนิดรวมทั้งทองคำ กำลังจะทำการเปิดสำนวนไต่สวน

เรื่องการบิดเบือนราคาทองคำจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ (สัญญา Short ปริมาณมหาศาล)

ในตลาดทองคำและเงิน Gold and Silver

 

....... เรื่องนี้กำลังจะถูกเปิดเผย ต่อสาธารณะชนต่อไป

 

 

 

 

 

ปล. เรามากันได้ไกลระดับนึงแล้วนะครับสำหรับ บทความเรื่องโอกาส “ทอง” (จริงๆ)

แม้ทองคำจะขึ้นมาตลอดสิบปีที่ผ่านมา แต่ผมบอกได้เลยว่า “ของจริง”

ยังไม่มาครับ ใครที่คิดว่าที่ผ่านมาเสียดาย “ตกรถ”

แล้วที่ไม่ได้ซื้อทอง ผมอยากบอกว่าไม่หรอกครับ แนะนำให้รีบตีตั๋วกันนะครับ

ก่อนจะ “ตกจรวด” :)

 

 

โชคดีและร่ำรวยในการลงทุนทองคำทุกท่านครับ ^_^

ถูกแก้ไข โดย Nexttonothing

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอนั่งรอ คุณ NEXT ด้วยคนค่ะ !_09

หรือว่า คืนนี้ บทความมาพร้อม น้องทอง 1440 ค่ะ !ee !ee

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณค่ะคุณnext ตื่นเต้น ๆๆ รอบทต่อไปค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณ NEXT ค่ะ อ่านแล้ว มันส์ สุด ๆ เลยค่ะ เยี่ยม มาก ๆ เลยค่ะ

!thk !10 !031 !gd !57 !57

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เข้มข้น สมกับที่รออ่านคืนนี้ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

+1 ค่ะคุณ next ขอบคุณมากค่ะ ข้อมูลเข้มข้นดี ติดตามต่อไป !thk !thk !thk

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

e90bc4075379a7ff3c98b5af26036493.jpg

c5c7ba2a8d2229f122701e500ec82539.gifเสริมสร้างความรู้มากมายนี่คือโอกาส"ทอง" (จริงๆ)

กระทู้นี้ของแท้ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณคับคุณเน็กซ์ ใช้สำนวนการเขียนและการเรียบเรียงได้น่าติดตามมากครับ แอบอ่านมาตั้งแต่บทความแรกๆแล้ว ขอให้เขียนตอนใหม่ออกมาไวๆนะครับ แฟนคลับทุกๆคนจะได้ไม่ต้องรอนาน อิอิ :lol:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...