ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

เนื้อหาช่วงหลังๆสนุกมากเลยครับ เดี๋ยวเสาร์นี้ผมขอยืมบทความของคุณ Next ไปทำโครงงานแข่งนะครับ !v@

 

 

หากเป็นประโยชน์ก็ยินดีครับ ขอให้ชนะนะครับ :rolleyes:

 

สู้ๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สุดยอดมากกกก

ขอบคุณมากครับที่มาบอก"อะไรดีๆ ที่ทำให้ในตอนนี้คุณและผมก็รู้เหมือนกัน"

 

ปล.ไม่รุ้ว่าผมจะแฟนตาซีมากไปหรือเป่า แต่ผมกะลังรุ้สึกเหมือนต่อสู้อยุ่กะเหล่าร้าย(ขาใหญ่)เลยคับ

 

 

 

อืมม ไม่หรอกครับ... โลกแห่งความจริง เลยล่ะครับ งานนี้

พวก "ขาใหญ่" นั้นร้ายกาจจนน่าเจ็บใจจริงๆครับ :angry: :angry:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สุดยอดและยอดเยี่ยมมากๆๆครับ ขอบคุณคุณNextมากๆๆครับ กดบวก 5 เหมือนเดิมครับผม

post-929-038315500 1290622012.gif

post-929-003536300 1290622045.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

pot-of-gold.jpg

 

ว่ากันด้วยเหตุผล (The Reason)

 

ที่จริงผมเขียนเรื่อง ที่ผมอยากจะเขียนวันนี้ตั้งแต่วันแรก

ก็คงจะจบไม่มีอะไร ถือว่าเข้าเรื่องกันไปเลย แต่ที่ผมต้องอธิบายและปูพื้นฐานมาก่อน

ตั้งหลายๆ บทความก็เพื่อทำให้สิ่งที่ผมจะพูดในวันนี้

 

มีน้ำหนัก

 

หากคุณติดตามอ่าน บทความ โอกาส “ทอง”จริงๆ มาตั้งแต่ต้น ผมคิดว่า

คุณคงจะเข้าใจว่าผมต้องการสื่อถึงอะไร แต่ถ้าคุณเพิ่งมาอ่านบทความวันนี้เป็นวันแรกมีโอกาสลองย้อนอ่านดูหน่อยนะครับ

 

.......................................................................

 

วันนี้ ผมจะพูดถึงเรื่องที่หลายๆคนสงสัยนั่นก็คือ

ทำไมต้องซื้อทอง ? ทำไมทองจะขึ้นอีก ?(ทั้งๆที่มันขึ้นมาเยอะแล้ว?)อะไรที่จะทำให้ทองขึ้น ?

แล้วทำไม ต้องเชื่อด้วย ?

เราลองมาพิจารณากันดูครับ

 

:excl: เหตุผลข้อที่ 1 : ธนาคารกลางซื้อทอง (Central Banks are net buyers)

 

จริงๆ เหตุผลข้อนี้เพียงข้อเดียวก็ชัดเจนและเพียงพอที่คุณจะขับรถไปเยาวราชได้แล้ว

ถ้าคุณจำได้ในบทความก่อนหน้านี้ หน้าที่ของ ธนาคารกลาง ทั่วโลก คือกดราคาทองคำให้ต่ำที่สุด

เพื่อทำให้ ระบบ ธนบัตรนั้น “ดูดี” แต่เมื่อไม่นานมานี้ มันช่างตลกสิ้นดีที่ธนาคารกลางเข้า “ซื้อทอง”

มันผิดวิสัยของเค้าอย่างมาก !!

 

หน้าที่ของเค้าคือ “ขาย-ไม่ใช่ซื้อ” และตลอด 20 ปีที่ผ่านมาเค้าก็ไม่เคยซื้อ

มีแต่ขายทอดตลาด ต่อเนื่องมาโดยตลอด

 

จนกระทั่งปี 2009

 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้ว ตอนนั้นทองคำแตะระดับ 16,000 เป็นครั้งที่ 3

ก่อนหน้านั้น 2 ครั้งเมื่อทองคำแตะระดับ 16,000 ทองคำ โดนเทขายทำกำไร มาโดยตลอด

ทำให้ราคาที่ระดับ 16,000 ในขณะนั้น กลายเป็นราคาจิตวิทยาที่ ทุกๆคนมองว่า “แพง”

 

ดังนั้นเมื่อทองคำปรับฐานเสร็จแล้ว ดีดกลับขึ้นมาที่ระดับ 16000 อีกครั้งทุกคนจึงแห่กัน “ขายทอง”

 

-คนมีทองเส้นเล็กเส้นน้อย เก็บมาตั้งแต่บาทละไม่กี่พัน ก็ตัดสินใจ ขาย

-เข็มขัดนาค แหวน กำไล ต่างหู ทองมรดก เก่าๆ ก็ตัดสินใจ ขาย

-นักลงทุน GF ก็ตัดสินใจ เปิด สถานะ Short

 

แต่คราวนี้ เหตุการณ์ กลับไม่เป็นเหมือนอย่างทุกครั้ง

คนที่ใช้ “ประสบการณ์“ มาลงทุนในครั้งนี้กลับกลายเป็นได้ “บทเรียน” กลับไปแทน

 

ทองคำกระชากตัวเองไปถึงระดับ 19000 ภายในเวลาไม่กี่เดือนหลังจากนั้น

สาเหตุหลักก็มาจาก “ธนาคารกลางอินเดียซื้อทอง จาก IMF 200 ตัน”

(หรือหากมองในมุมกลับคือ IMF ขายทอง)

 

ทุกครั้งที่มีข่าว IMF ขายทอง ราคาทองคำจะถูกกดดันให้ร่วงทุกครั้งไป

แต่ที่ครั้งนี้แตกต่างจากทุกๆครั้ง เพราะ “คนซื้อ” คือ ธนาคารกลาง

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ธนาคารกลางหลายๆ ประเทศเริ่มตบเท้า ตามอินเดีย ไม่ว่าเป็น

 

-ธนาคารกลางศรีลังกา

-ธนาคารกลางรัสเซีย

-ธนาคารกลางฟิลลิปปินส์

-ธนาคารกลางจีน

-ธนาคารกลางบังคลาเทศ

-ธนาคารกลางคาซัคสถาน

-ไม่เว้น แม้แต่ ประเทศไทย !!

 

(ซึ่งเป็นข่าวเล็กๆในไทยแต่เป็นข่าวใหญ่ในต่างประเทศ ไทยเข้าซื้อ 15 ตัน ที่ระดับราคาตลาดในตอนนั้นคือ 1250$

ต้องขอชื่นชมผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ที่อาศัยจังหวะเงินบาทแข็งเข้าซื้อทองคำสะสมเพิ่ม)

 

นี่คือจุดเริ่มต้น “การเปลี่ยนเกมส์” (Game Changing)ของระบบการเงินโลก

เพราะเป็นครั้งแรกที่ ธนาคารกลาง ซื้อทองคำในรอบ 20 ปี

 

ธนาคารกลางเหล่านี้ ซื้อทองที่ระดับราคาสูงๆกันทำไม ? ไม่แพงไปเหรอ?

ทำไมไม่ซื้อทองที่ระดับราคาต่ำกว่า 1000$ หรือ รอให้ราคาทองคำลงเยอะๆก่อนแล้วค่อยซื้อไม่ดีกว่าหรือ?

คุณคิดว่าเค้าซื้อไป เพราะคิดว่าราคาทองคำในอนาคตมันจะขึ้นหรือมันจะลง ?

 

มันชัดเจนอยู่แล้ว ธนาคารกลางทั่วโลกรู้อะไรดีๆบางอย่าง ที่ในตอนนี้คุณและผมก็รู้เหมือนกัน !

 

การเข้าซื้อทองคำที่ระดับ 1050$ ของอินเดียทำให้ราคาทองคำไม่ลงต่ำกว่าระดับนั้นอีกเลยจนถึงทุกวันนี้

เช่นเดียวกับที่ระดับ ราคา 1250$ ที่ไทยและบังคลาเทศเข้าซื้อ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

ก็ยังไม่เห็นลงไปเทสที่ระดับราคาดังกล่าวอีก จริงๆ ต้องบอกว่าตั้งแต่ระดับราคา

ทะลุ 1300$ ขึ้นมาเราก็ไม่ได้เห็นระดับราคา 12xx$ อีกเลยด้วยซ้ำ

(แต่ได้เห็น 1400$ กว่าๆ)

 

ผมมีความเชื่อว่า ที่ระดับราคา 1250$ คือ “พื้น” ของราคาทองคำ ณ. ขณะนี้

และประโยคนึงที่ผมมักจะพูดกับคนรอบข้างๆอยู่เสมอๆนั่นก็คือ

“ที่ราคาบาท 19,000 จะเป็นเหมือน บาทละ 16000 ที่ทุกคนเคยคิดว่ามันแพง

แต่เมื่อมันผ่านจุดนี้ไปแล้วเราก็จะไม่ได้เห็นมันอีกเลย”

 

:excl: เหตุผลข้อที่ 2 : เหมืองทองแต่ละแห่ง เริ่มจะ “เหนื่อย” (Mine supply declining )

 

ในโลกเรามี เหมืองที่ผลิตทองคำหลักๆ อยู่ทั้งหมด 4 แห่ง

คือที่ แอฟริกาใต้ , อเมริกา, แคนาดา และ ออสเตรเลีย

ทั้ง 4 แห่ง เลยจุดอิ่มตัวและมีอายุมากกันแล้วทั้งนั้น

ขุดกันลึกจนหย่อนตึกใบหยกลงไปได้ทั้งตึก แต่ก็ยังหาทองได้ ยากขึ้นเรื่อยๆ

 

wgpro.jpg

 

จากกราฟจะเห็นว่า ปี 2001 เป็นปีที่ผลผลิตทองคำสูงที่สุดทำสถิติ

เราเรียกเหตุการณ์ในปีนี้ว่า “Peak Gold”

นั่นคือเลยจุดสูงสุดของการผลิตไปเรียบร้อยแล้ว จากนี้ไปทองคำจะผลิตได้ลดลงๆ เรื่อยๆ

(บริเวณสีเหลืองอ่อนลายตารางคือการคาดการณ์ กำลังการผลิต ที่จะลดต่ำลงในอนาคต)

 

สำหรับผู้ที่ลงทุนในน้ำมัน ตัวของน้ำมันก็เลย Peak Oil มาแล้วเหมือนกันนะครับ

ปัจจัยพื้นฐานยังแกร่งครับ ลงทุนได้เช่นกัน .

ในขณะที่เหมืองเกิดใหม่ ใน จีน หรือ รัสเซีย ต้องใช้เวลาพัฒนากันอีกหลายปี

ไม่สามารถมาชดเชยกำลังการผลิตที่ ลดลงอย่างรวดเร็วได้ ปริมาณที่มีจำกัดนี่เองที่จะทำให้ทองคำนั้นมีคุณค่า

 

:excl: เหตุผลข้อที่ 3 : ปริมาณเงินในระบบ (Money Supply)

 

ในขณะที่

แหล่งผลิต “ทองคำ” (เงินที่แท้จริง) อ่อนกำลังลง เรื่อยๆ เหมืองใหม่ก็ต้องใช้เวลาพัฒนาไปอีก 5-10 ปีกว่าจะโตเต็มที่

แหล่งผลิต “ธนบัตร” (ตัวแทนเงิน) กลับเร่งเครื่อง “เต็มอัตรา”

 

ทั่วทั้งโลกเกิดเงินเฟ้อมาโดยตลอด สาเหตุหลักที่ทุกประเทศมีเงินเฟ้อก็เพราะทุกประเทศมี นักการเมือง

ลองนึกภาพดูว่า หากมีนักการเมือง สองคน

 

:rolleyes: คนที่ 1

นโยบาย คือ “รัดเข็มขัด” ลดการใช้จ่ายของรัฐบาลลง

สวัสดิการช่วยเหลือที่ รัฐเคยมีให้ หากผมได้รับเลือก : จะลดให้หมด

เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายของรัฐ ประชาชนควรจะต้องทำงานให้หนักขึ้น

ขยันขึ้น เก็บออมกันให้มากขึ้นเพื่ออนาคตที่ดีของประเทศเรา

 

:rolleyes: คนที่ 2

นโยบาย คือ “ประชานิยม” หากผมได้รับเลือก : จะเพิ่มสวัสดิการให้ประชาชนทุกอย่าง

เรียนฟรี รักษาพยาบาลฟรี รถไฟ รถเมล์ ขึ้นฟรี ค่าน้ำ ค่าไฟ ก็ฟรี ทุกอย่าง ฟรีๆๆ

เงินเดือนข้าราชการขึ้นให้หมด ลดภาษี แจกให้ฟรีอีก คนละ 2 พัน ????

 

คุณคิดว่าประชาชนจะเลือกใคร ???

ไม่ยากเลยใช่มั๊ยครับ ? ไอ้คนที่ 1 ไม่เคยชนะเลยครับ สอบตกทุกสมัย

 

เมื่อนักการเมืองคนที่ 2 เข้ารับตำแหน่งก็ต้องทำในสิ่งที่เค้าสัญญาไว้กับประชาชนเพื่อรักษาฐานเสียง

โครงการต่างๆทยอยถูกจัดสรรงบประมาณออกมา ปริมาณเงินในทุกประเทศจึงถูกผลิตเพื่อ

อัดฉีดเข้าไปในระบบความจริงข้อนึงที่ทุกคนควรเข้าใจคือ

 

นักการเมืองไม่มีพลังวิเศษ ที่จะเนรมิตหรือแจกอะไรให้ใครฟรีๆได้ สิ่งที่นักการเมืองทำได้คือ

“เอา” (Take) จากคนกลุ่มหนึ่ง ไป “มอบ” (Give) ให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง

เท่านั้นเอง(บางครั้งก็เข้ากระเป๋าตัวเอง)

 

การมอบ (Give) เงินส่วนที่จัดสรรใหม่ ให้คนกลุ่มนึง

เงินชุดใหม่จะเข้าไปเจือจางเงินในระบบที่อยู่ในกระเป๋า

ของคนอีกกลุ่มนึง (Take) (ที่ไม่ได้รับการจัดสรร) ให้มีค่าเท่าเทียมกัน

 

แบงค์ 1000 ที่พิมพ์ออกมาสดๆใหม่ๆ จึงมีมูลค่าเท่า แบงค์ 1000 เก่า

แต่มูลค่าของทั้งสองแบงค์ลดลงเมื่อต้องนำไปซื้อ “สินค้าและบริการ”

เป็นไปตามกระบวณการทำงานของเงินเฟ้อ

 

ยิ่งไปกว่านั้น สถาณะการณ์วิกฤต เศรษฐกิจ ในประเทศตะวันตก ยิ่งทำให้ ปริมาณเงิน

นั้นถูกผลิตออกมามากมาย ในระดับ Trillion (ล้านล้าน)

ตั้งแต่ปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศในกลุ่มยุโรป (PIGS) กรีซ เสปน โปรตุเกส ไอร์แลนด์

ที่เล่นงานทำเอาค่าเงินยูโร เกือบจะไปไม่รอด ก็เลือกทางแก้ปัญหาด้วยการ รับเงินช่วยเหลือ สนับสนุน

จากทั้ง IMF และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB)

 

ปัญหาเรื้อรังในสหรัฐ มาตั้งแต่สมัย จอช บุช ก็แก้ปัญหาด้วยการอัดฉีด กันมานาน เปลี่ยนคำศัพท์ไปเรื่อยๆ

ตั้งแต่ Stimulus package, Bailout plan, ล่าสุด Quantitative easing (QE)

แต่ก็ต้องพิมพ์อีก จนไม่รู้จะใช้คำไหนแล้ว เลยใช้ว่า Quatitative easing ภาค 2 (QE2)

ไม่ว่าคำพูดสวยหรูขนาดไหนมันก็คือ

 

“การพิมพ์เงิน”

 

(ผลที่ตามมาจากการพิมพ์เงินมากๆ จะเป็นอย่างไรดูย้อนหลังได้ในกรณี “ซิมบับเว”)

เมื่อเงินในระบบยังคงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆทั่วทั้งโลก ในขณะที่อัตราการเพิ่มของทองคำลดลง

ย่อมส่งผลให้ราคาทองคำ ยังคงต้องปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เช่นกัน

 

:excl: เหตุผลข้อที่ 4 : จีน! (China)

 

ความเจริญจากโลกตะวันตกกำลังจะโยกมาฝั่งตะวันออก ปัญหาและความวุ่นวายในยุโรปและสหรัฐ

เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเจริญเติบโตในหลายๆ ประเทศฝั่งเอเชีย

นำทีมมาโดย “พญามังกรจีน”

 

ถามว่าจีนรวยหรือไม่ ? บอกได้เลยว่ารวยมาก แต่เราต้องดูให้ลึกครับว่าเค้ารวยอะไร ?

หากเราลองมองเข้าไปในทุนสำรองของจีน จะพบความจริงที่น่าตกใจว่า มีแต่ดอลล่าห์เต็มไปหมด

 

เยอะขนาดที่ว่าหากประธานาธิบดีหูจินเทาของจีนจะไปหยิบเงินดอลล่าห์ในคลังมาใช้ ต้องหยิบปึกบนเท่านั้น

หากหยิบปึกล่าง อาจจะทำให้ปึกบนๆ ถล่มลงมาทับถึงตายได้ :lol:

 

สินทรัพย์ของจีนรายการอื่นๆ เทียบเป็นสัดส่วนกันแล้ว ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับ ดอลล่าห์

ในขณะที่ดอลล่าห์เสื่อมค่าลงทุกวันๆ จึงเป็นการบีบให้จีน ต้องเร่งระบายดอลล่าห์ออกเพื่อไปถือครองสินทรัพย์ประเภทอื่น

สิ่งที่จีนเลือกก็คือ ทองคำ

 

china2.jpg

 

จากกราฟจะพบว่า จีนนั้น มีทองคำสำรอง อยู่ไม่ถึง 2% เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วยังถือว่าน้อยเอามากๆ

ในขณะที่จีนนั้นกลับถือครอง ดอลล่าห์ มากที่สุดในโลก !!

(ตัวเลขล่าสุดถือครอง พันธบัตรสหรัฐถึง 8.835 แสนล้านเหรียญ)

 

อย่างไรก็ตามตัวเลขจากกราฟเป็นปี 2009 พอหลังจากนั้นจีนเห็นท่าไม่ดี

จึงทำการระบายดอลล่าห์อย่างรวดเร็วแล้ว เพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำทันที !!

 

china.jpg

 

จากกราฟจะเห็นว่าในช่วงปีหลังๆที่ผ่านมา ทุนสำรองทองคำของจีน เด้งขึ้นเหมือนติดสปริง

จากผู้ถือครองทองคำอันดับ 5 ของโลก ปรากฎว่า ล่าสุดจีนได้ขยับขึ้นมาเป็น อันดับ 2 เป็นที่เรียบร้อย

รองก็แต่ สหรัฐอเมริกา ประเทศเดียว

(ตัวเลขล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา จีนถือครองทองคำ ณ ตอนนี้กว่า 4000 ตัน !)

แต่ถึงเพิ่มขนาดนั้น จีนก็ยังถือครองทองคำแค่เพียง 6% ของทุนสำรองทั้งหมด

ยังมีดอลล่าห์ มีเยอะที่จะต้องระบาย

 

แต่จีนนั้นนอกจากรวยแล้วยังฉลาด

 

ที่ผ่านมาเค้าไม่ได้ซื้อในปริมาณมากๆทีเดียวเพราะจะทำให้ราคาตลาดเสีย

แต่ใช้วิธีแอบซื้อทยอยสะสมไม่ให้เป็นข่าว ในบางครั้ง “อยากจะซื้อใจจะขาด”

แต่แกล้งออกมาให้ข่าวทำนองว่าไม่อยากซื้อ

“ทองคำนั้นไม่ดี มีน้อยไม่เหมาะจะเป็นทุนสำรอง จีนไม่สนใจ

ทองคำ ยังไงดอลล่าห์ก็ถือว่าดีที่สุด สารพัด”

 

........หัวการค้ามั๊ยล่ะครับ ?

 

อยากบอกว่าไม่ต้องไปฟังที่เค้าพูดครับ ให้ดูสิ่งที่เค้าทำ

ลับหลังเค้าลดการซื้อพันธบัตรสหรัฐลงอย่างฮวบฮาบ และ ในเมื่อหาซื้อทองได้ไม่ทันใจ

ก็ทำเหมืองทองคำเองซะเลย

อะแฮ่ม…หนำซ้ำทองคำและแร่เงิน ที่ผลิตได้ในจีนนั้น จะไม่มีการส่งออกเด็ดขาด

 

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังเชิญชวนและส่งเสริมให้ประชาชนในประเทศ ลงทุนในทองคำ และ แร่เงิน !!

(ลองนึกภาพ นายกอภิสิทธิ์ ออกมาเชิญชวนให้พวกเรา ซื้อทองคำ กันเถอะ คุณว่ามันดูแปลกๆ มั๊ยครับ ??)

 

จีนนั้นรู้อะไรดีๆ ที่ในตอนนี้คุณและผมก็รู้เหมือนกัน

 

:excl: เหตุผลข้อที่ 5 : การปิดสถานะช๊อต (Short Squeeze)

 

สำหรับผู้ที่เล่น GF คงเข้าใจดี แต่หากคุณไม่ได้เล่น ผมขออนุญาติอธิบายให้ฟังครับ

ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ หรือ ตลาดโลหะ สิ่งที่กำหนดราคาไม่ใช่ตัวของมันเองครับ

 

ผมจะยกตัวเลขง่ายๆ อย่างนี้นะครับเช่นในตลาดทองคำ

คนซื้อเครื่องประดับ ทองรูปพรรณนั้น น้อยกว่าคนที่ซื้อทองแท่ง หากวัดกันเป็นน้ำหนักทองแล้ว

คงน้อยกว่ากันเป็น 100 เท่าแต่คนซื้อทองกระดาษนั้นมากกว่า

คนซื้อทองแท่งจริงๆ อีก 100 เท่า !!

 

เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำหนดราคาทองคำ จริงๆ คือ ตลาดทองกระดาษ (Paper Gold) ครับ !!!

(ไม่ใช่ทองคำจริงๆ กำหนดราคากระดาษ แต่มันตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง)

นี่เป็นสาเหตุให้ ธนาคารกลางและสถาบันการเงินขนาดใหญ่ สามารถกดราคาทองคำจริงๆ ไว้ได้ เป็นเวลานาน

 

วิธีการก็คือ........

 

ธนาคารกลางนั้น จะให้ ธนาคารพาณิชย์ (Bullion Bank) ยืมทองคำออกไปขายทอดตลาด

โดยทำสัญญากันว่า จะซื้อกลับมาใช้คืนในภายหลัง : การให้ยืมขายออกไปก่อนแล้วสัญญาว่าจะซื้อมาคืนในภายหลัง คือการเปิดสถานะ Short นั่นเอง

Bullion Bank จะได้ประโยชน์เมื่อราคาทองคำลง

เพราะเค้าจะได้ซื้อกลับมาคืนในราคาที่ถูกกว่าที่ ขายออกไป

แต่จะเจ็บตัวหากราคาทองคำขึ้น ไปเรื่อยๆ

 

ในขณะที่ สถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่ร่วมมือกับ รัฐบาล เช่น Jp Morgan ในสหรัฐ

(โปรดจำชื่อนี้ไว้ให้ดีครับ ไว้มีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ) ก็ทำการเปิด

สถานะ Short ทองคำกระดาษในปริมาณมหาศาล อีกเช่นกัน

 

ถามว่า หาก ระดับบิ๊กๆ เค้ากดราคาทองคำอยู่ แล้วเราจะไปซื้อทำไม?

คำตอบคือ ยิ่งต้องซื้อครับ เพราะเค้า “กด” ทำให้เราซื้อได้ถูก

หากเค้า “ปั่น” ให้แพงผมจะแนะนำให้ขายครับ

 

เพราะสัญญา Short ทองคำกระดาษปริมาณมหาศาลนี้ ไม่ได้มีทองคำรองรับอยู่จริงๆ

วันนึง วงจรอุบาทว์นี้จะถึงกาลอวสาน วันนึงมันต้องจบ…..

 

เมื่อแรงกดที่มีต่อทองคำเริ่มผ่อนลง (อย่างที่เราๆเริ่มจะเห็น ในช่วงปีสองปีนี้ )

ราคาทองคำจึงเริ่มจะขยับสูงขึ้นๆ โดยตลอด ทำให้ พวกขาใหญ่ เริ่มจะขาดทุน

เมื่อถึงจุดนึงที่เค้าจำเป็น ต้อง “คัทลอส” (Cut loss)

เพื่อป้องกันไม่ให้ ขาดทุนมากไปกว่านี้ เค้าจะไล่ซื้อ ทองคำคืน เพื่อปิดสถานะทุกสถานะที่เค้าเปิดไว้

ไม่ว่า ณ ตอนนั้นมันจะราคาเท่าไหร่ก็ตามเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องล้มละลาย

 

สถานะการณ์แบบนี้เรียกว่า “บีบสถานะช๊อต” (Short Squeeze )

หากเกิดขึ้น ราคาทองคำจะพุ่งทะยานฟ้า ได้ถึง 100-200$ ภายในชั่วข้ามคืนอย่างง่ายดาย

 

..........................................................

 

หลายๆเหตุผลหลายๆปัจจัย ที่เป็นตัวผลักดันให้ราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้น

บัดนี้มาเรียงหน้ากระดาน ต่อหน้าต่อตาพวกเราเรียบร้อยแล้ว

ปัจจัยพื้นฐานของทองคำ แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

พร้อมๆกับ “ศัตรู” ที่คอยขัดขวางการขึ้นราคาของทองก็อ่อนกำลังลงเช่นกัน

 

เป็น โอกาสที่ดี เป็น โอกาส“ทอง”ครับ :excl:

 

หากคุณยังไม่ได้มีทองคำไว้ในพอร์ทของคุณ

อีกไม่กี่ปีจากนี้ไป คุณจะมองย้อนกลับมาในปี 2010 แล้วบอกกับตัวเองว่า

ทองที่ระดับราคา 19000 นี่มันช่างถูกแสนถูกจริงๆ เรามัวไปทำอะไรอยู่ตอนนั้น ? ทำไมเราถึงไม่ซื้อ ??

 

 

ขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนทุกท่านครับ

 

ปล.ในตอนหน้าห้ามพลาด (Must Read)เลยนะครับเราจะมาเจาะลึกกันว่า โอกาส “ทอง”

จริงๆที่เราเล็งเอาไว้ หน้าตา มันเป็นยังไง?

ขอบคุณคุณ NEXT สำหรับสิ่งดี ๆ ที่มีให้ค่ะ โชคดีที่ได้อ่านบทความดี ๆ เจอคนเก่งแบบนี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

pot-of-gold.jpg

 

ว่ากันด้วยเหตุผล (The Reason)

 

ที่จริงผมเขียนเรื่อง ที่ผมอยากจะเขียนวันนี้ตั้งแต่วันแรก

ก็คงจะจบไม่มีอะไร ถือว่าเข้าเรื่องกันไปเลย แต่ที่ผมต้องอธิบายและปูพื้นฐานมาก่อน

ตั้งหลายๆ บทความก็เพื่อทำให้สิ่งที่ผมจะพูดในวันนี้

 

มีน้ำหนัก

 

หากคุณติดตามอ่าน บทความ โอกาส “ทอง”จริงๆ มาตั้งแต่ต้น ผมคิดว่า

คุณคงจะเข้าใจว่าผมต้องการสื่อถึงอะไร แต่ถ้าคุณเพิ่งมาอ่านบทความวันนี้เป็นวันแรกมีโอกาสลองย้อนอ่านดูหน่อยนะครับ

 

.......................................................................

 

วันนี้ ผมจะพูดถึงเรื่องที่หลายๆคนสงสัยนั่นก็คือ

ทำไมต้องซื้อทอง ? ทำไมทองจะขึ้นอีก ?(ทั้งๆที่มันขึ้นมาเยอะแล้ว?)อะไรที่จะทำให้ทองขึ้น ?

แล้วทำไม ต้องเชื่อด้วย ?

เราลองมาพิจารณากันดูครับ

 

:excl: เหตุผลข้อที่ 1 : ธนาคารกลางซื้อทอง (Central Banks are net buyers)

 

จริงๆ เหตุผลข้อนี้เพียงข้อเดียวก็ชัดเจนและเพียงพอที่คุณจะขับรถไปเยาวราชได้แล้ว

ถ้าคุณจำได้ในบทความก่อนหน้านี้ หน้าที่ของ ธนาคารกลาง ทั่วโลก คือกดราคาทองคำให้ต่ำที่สุด

เพื่อทำให้ ระบบ ธนบัตรนั้น “ดูดี” แต่เมื่อไม่นานมานี้ มันช่างตลกสิ้นดีที่ธนาคารกลางเข้า “ซื้อทอง”

มันผิดวิสัยของเค้าอย่างมาก !!

 

หน้าที่ของเค้าคือ “ขาย-ไม่ใช่ซื้อ” และตลอด 20 ปีที่ผ่านมาเค้าก็ไม่เคยซื้อ

มีแต่ขายทอดตลาด ต่อเนื่องมาโดยตลอด

 

จนกระทั่งปี 2009

 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้ว ตอนนั้นทองคำแตะระดับ 16,000 เป็นครั้งที่ 3

ก่อนหน้านั้น 2 ครั้งเมื่อทองคำแตะระดับ 16,000 ทองคำ โดนเทขายทำกำไร มาโดยตลอด

ทำให้ราคาที่ระดับ 16,000 ในขณะนั้น กลายเป็นราคาจิตวิทยาที่ ทุกๆคนมองว่า “แพง”

 

ดังนั้นเมื่อทองคำปรับฐานเสร็จแล้ว ดีดกลับขึ้นมาที่ระดับ 16000 อีกครั้งทุกคนจึงแห่กัน “ขายทอง”

 

-คนมีทองเส้นเล็กเส้นน้อย เก็บมาตั้งแต่บาทละไม่กี่พัน ก็ตัดสินใจ ขาย

-เข็มขัดนาค แหวน กำไล ต่างหู ทองมรดก เก่าๆ ก็ตัดสินใจ ขาย

-นักลงทุน GF ก็ตัดสินใจ เปิด สถานะ Short

 

แต่คราวนี้ เหตุการณ์ กลับไม่เป็นเหมือนอย่างทุกครั้ง

คนที่ใช้ “ประสบการณ์“ มาลงทุนในครั้งนี้กลับกลายเป็นได้ “บทเรียน” กลับไปแทน

 

ทองคำกระชากตัวเองไปถึงระดับ 19000 ภายในเวลาไม่กี่เดือนหลังจากนั้น

สาเหตุหลักก็มาจาก “ธนาคารกลางอินเดียซื้อทอง จาก IMF 200 ตัน”

(หรือหากมองในมุมกลับคือ IMF ขายทอง)

 

ทุกครั้งที่มีข่าว IMF ขายทอง ราคาทองคำจะถูกกดดันให้ร่วงทุกครั้งไป

แต่ที่ครั้งนี้แตกต่างจากทุกๆครั้ง เพราะ “คนซื้อ” คือ ธนาคารกลาง

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ธนาคารกลางหลายๆ ประเทศเริ่มตบเท้า ตามอินเดีย ไม่ว่าเป็น

 

-ธนาคารกลางศรีลังกา

-ธนาคารกลางรัสเซีย

-ธนาคารกลางฟิลลิปปินส์

-ธนาคารกลางจีน

-ธนาคารกลางบังคลาเทศ

-ธนาคารกลางคาซัคสถาน

-ไม่เว้น แม้แต่ ประเทศไทย !!

 

(ซึ่งเป็นข่าวเล็กๆในไทยแต่เป็นข่าวใหญ่ในต่างประเทศ ไทยเข้าซื้อ 15 ตัน ที่ระดับราคาตลาดในตอนนั้นคือ 1250$

ต้องขอชื่นชมผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ที่อาศัยจังหวะเงินบาทแข็งเข้าซื้อทองคำสะสมเพิ่ม)

 

นี่คือจุดเริ่มต้น “การเปลี่ยนเกมส์” (Game Changing)ของระบบการเงินโลก

เพราะเป็นครั้งแรกที่ ธนาคารกลาง ซื้อทองคำในรอบ 20 ปี

 

ธนาคารกลางเหล่านี้ ซื้อทองที่ระดับราคาสูงๆกันทำไม ? ไม่แพงไปเหรอ?

ทำไมไม่ซื้อทองที่ระดับราคาต่ำกว่า 1000$ หรือ รอให้ราคาทองคำลงเยอะๆก่อนแล้วค่อยซื้อไม่ดีกว่าหรือ?

คุณคิดว่าเค้าซื้อไป เพราะคิดว่าราคาทองคำในอนาคตมันจะขึ้นหรือมันจะลง ?

 

มันชัดเจนอยู่แล้ว ธนาคารกลางทั่วโลกรู้อะไรดีๆบางอย่าง ที่ในตอนนี้คุณและผมก็รู้เหมือนกัน !

 

การเข้าซื้อทองคำที่ระดับ 1050$ ของอินเดียทำให้ราคาทองคำไม่ลงต่ำกว่าระดับนั้นอีกเลยจนถึงทุกวันนี้

เช่นเดียวกับที่ระดับ ราคา 1250$ ที่ไทยและบังคลาเทศเข้าซื้อ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

ก็ยังไม่เห็นลงไปเทสที่ระดับราคาดังกล่าวอีก จริงๆ ต้องบอกว่าตั้งแต่ระดับราคา

ทะลุ 1300$ ขึ้นมาเราก็ไม่ได้เห็นระดับราคา 12xx$ อีกเลยด้วยซ้ำ

(แต่ได้เห็น 1400$ กว่าๆ)

 

ผมมีความเชื่อว่า ที่ระดับราคา 1250$ คือ “พื้น” ของราคาทองคำ ณ. ขณะนี้

และประโยคนึงที่ผมมักจะพูดกับคนรอบข้างๆอยู่เสมอๆนั่นก็คือ

“ที่ราคาบาท 19,000 จะเป็นเหมือน บาทละ 16000 ที่ทุกคนเคยคิดว่ามันแพง

แต่เมื่อมันผ่านจุดนี้ไปแล้วเราก็จะไม่ได้เห็นมันอีกเลย”

 

:excl: เหตุผลข้อที่ 2 : เหมืองทองแต่ละแห่ง เริ่มจะ “เหนื่อย” (Mine supply declining )

 

ในโลกเรามี เหมืองที่ผลิตทองคำหลักๆ อยู่ทั้งหมด 4 แห่ง

คือที่ แอฟริกาใต้ , อเมริกา, แคนาดา และ ออสเตรเลีย

ทั้ง 4 แห่ง เลยจุดอิ่มตัวและมีอายุมากกันแล้วทั้งนั้น

ขุดกันลึกจนหย่อนตึกใบหยกลงไปได้ทั้งตึก แต่ก็ยังหาทองได้ ยากขึ้นเรื่อยๆ

 

wgpro.jpg

 

จากกราฟจะเห็นว่า ปี 2001 เป็นปีที่ผลผลิตทองคำสูงที่สุดทำสถิติ

เราเรียกเหตุการณ์ในปีนี้ว่า “Peak Gold”

นั่นคือเลยจุดสูงสุดของการผลิตไปเรียบร้อยแล้ว จากนี้ไปทองคำจะผลิตได้ลดลงๆ เรื่อยๆ

(บริเวณสีเหลืองอ่อนลายตารางคือการคาดการณ์ กำลังการผลิต ที่จะลดต่ำลงในอนาคต)

 

สำหรับผู้ที่ลงทุนในน้ำมัน ตัวของน้ำมันก็เลย Peak Oil มาแล้วเหมือนกันนะครับ

ปัจจัยพื้นฐานยังแกร่งครับ ลงทุนได้เช่นกัน .

ในขณะที่เหมืองเกิดใหม่ ใน จีน หรือ รัสเซีย ต้องใช้เวลาพัฒนากันอีกหลายปี

ไม่สามารถมาชดเชยกำลังการผลิตที่ ลดลงอย่างรวดเร็วได้ ปริมาณที่มีจำกัดนี่เองที่จะทำให้ทองคำนั้นมีคุณค่า

 

:excl: เหตุผลข้อที่ 3 : ปริมาณเงินในระบบ (Money Supply)

 

ในขณะที่

แหล่งผลิต “ทองคำ” (เงินที่แท้จริง) อ่อนกำลังลง เรื่อยๆ เหมืองใหม่ก็ต้องใช้เวลาพัฒนาไปอีก 5-10 ปีกว่าจะโตเต็มที่

แหล่งผลิต “ธนบัตร” (ตัวแทนเงิน) กลับเร่งเครื่อง “เต็มอัตรา”

 

ทั่วทั้งโลกเกิดเงินเฟ้อมาโดยตลอด สาเหตุหลักที่ทุกประเทศมีเงินเฟ้อก็เพราะทุกประเทศมี นักการเมือง

ลองนึกภาพดูว่า หากมีนักการเมือง สองคน

 

:rolleyes: คนที่ 1

นโยบาย คือ “รัดเข็มขัด” ลดการใช้จ่ายของรัฐบาลลง

สวัสดิการช่วยเหลือที่ รัฐเคยมีให้ หากผมได้รับเลือก : จะลดให้หมด

เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายของรัฐ ประชาชนควรจะต้องทำงานให้หนักขึ้น

ขยันขึ้น เก็บออมกันให้มากขึ้นเพื่ออนาคตที่ดีของประเทศเรา

 

:rolleyes: คนที่ 2

นโยบาย คือ “ประชานิยม” หากผมได้รับเลือก : จะเพิ่มสวัสดิการให้ประชาชนทุกอย่าง

เรียนฟรี รักษาพยาบาลฟรี รถไฟ รถเมล์ ขึ้นฟรี ค่าน้ำ ค่าไฟ ก็ฟรี ทุกอย่าง ฟรีๆๆ

เงินเดือนข้าราชการขึ้นให้หมด ลดภาษี แจกให้ฟรีอีก คนละ 2 พัน ????

 

คุณคิดว่าประชาชนจะเลือกใคร ???

ไม่ยากเลยใช่มั๊ยครับ ? ไอ้คนที่ 1 ไม่เคยชนะเลยครับ สอบตกทุกสมัย

 

เมื่อนักการเมืองคนที่ 2 เข้ารับตำแหน่งก็ต้องทำในสิ่งที่เค้าสัญญาไว้กับประชาชนเพื่อรักษาฐานเสียง

โครงการต่างๆทยอยถูกจัดสรรงบประมาณออกมา ปริมาณเงินในทุกประเทศจึงถูกผลิตเพื่อ

อัดฉีดเข้าไปในระบบความจริงข้อนึงที่ทุกคนควรเข้าใจคือ

 

นักการเมืองไม่มีพลังวิเศษ ที่จะเนรมิตหรือแจกอะไรให้ใครฟรีๆได้ สิ่งที่นักการเมืองทำได้คือ

“เอา” (Take) จากคนกลุ่มหนึ่ง ไป “มอบ” (Give) ให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง

เท่านั้นเอง(บางครั้งก็เข้ากระเป๋าตัวเอง)

 

การมอบ (Give) เงินส่วนที่จัดสรรใหม่ ให้คนกลุ่มนึง

เงินชุดใหม่จะเข้าไปเจือจางเงินในระบบที่อยู่ในกระเป๋า

ของคนอีกกลุ่มนึง (Take) (ที่ไม่ได้รับการจัดสรร) ให้มีค่าเท่าเทียมกัน

 

แบงค์ 1000 ที่พิมพ์ออกมาสดๆใหม่ๆ จึงมีมูลค่าเท่า แบงค์ 1000 เก่า

แต่มูลค่าของทั้งสองแบงค์ลดลงเมื่อต้องนำไปซื้อ “สินค้าและบริการ”

เป็นไปตามกระบวณการทำงานของเงินเฟ้อ

 

ยิ่งไปกว่านั้น สถาณะการณ์วิกฤต เศรษฐกิจ ในประเทศตะวันตก ยิ่งทำให้ ปริมาณเงิน

นั้นถูกผลิตออกมามากมาย ในระดับ Trillion (ล้านล้าน)

ตั้งแต่ปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศในกลุ่มยุโรป (PIGS) กรีซ เสปน โปรตุเกส ไอร์แลนด์

ที่เล่นงานทำเอาค่าเงินยูโร เกือบจะไปไม่รอด ก็เลือกทางแก้ปัญหาด้วยการ รับเงินช่วยเหลือ สนับสนุน

จากทั้ง IMF และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB)

 

ปัญหาเรื้อรังในสหรัฐ มาตั้งแต่สมัย จอช บุช ก็แก้ปัญหาด้วยการอัดฉีด กันมานาน เปลี่ยนคำศัพท์ไปเรื่อยๆ

ตั้งแต่ Stimulus package, Bailout plan, ล่าสุด Quantitative easing (QE)

แต่ก็ต้องพิมพ์อีก จนไม่รู้จะใช้คำไหนแล้ว เลยใช้ว่า Quatitative easing ภาค 2 (QE2)

ไม่ว่าคำพูดสวยหรูขนาดไหนมันก็คือ

 

“การพิมพ์เงิน”

 

(ผลที่ตามมาจากการพิมพ์เงินมากๆ จะเป็นอย่างไรดูย้อนหลังได้ในกรณี “ซิมบับเว”)

เมื่อเงินในระบบยังคงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆทั่วทั้งโลก ในขณะที่อัตราการเพิ่มของทองคำลดลง

ย่อมส่งผลให้ราคาทองคำ ยังคงต้องปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เช่นกัน

 

:excl: เหตุผลข้อที่ 4 : จีน! (China)

 

ความเจริญจากโลกตะวันตกกำลังจะโยกมาฝั่งตะวันออก ปัญหาและความวุ่นวายในยุโรปและสหรัฐ

เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเจริญเติบโตในหลายๆ ประเทศฝั่งเอเชีย

นำทีมมาโดย “พญามังกรจีน”

 

ถามว่าจีนรวยหรือไม่ ? บอกได้เลยว่ารวยมาก แต่เราต้องดูให้ลึกครับว่าเค้ารวยอะไร ?

หากเราลองมองเข้าไปในทุนสำรองของจีน จะพบความจริงที่น่าตกใจว่า มีแต่ดอลล่าห์เต็มไปหมด

 

เยอะขนาดที่ว่าหากประธานาธิบดีหูจินเทาของจีนจะไปหยิบเงินดอลล่าห์ในคลังมาใช้ ต้องหยิบปึกบนเท่านั้น

หากหยิบปึกล่าง อาจจะทำให้ปึกบนๆ ถล่มลงมาทับถึงตายได้ :lol:

 

สินทรัพย์ของจีนรายการอื่นๆ เทียบเป็นสัดส่วนกันแล้ว ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับ ดอลล่าห์

ในขณะที่ดอลล่าห์เสื่อมค่าลงทุกวันๆ จึงเป็นการบีบให้จีน ต้องเร่งระบายดอลล่าห์ออกเพื่อไปถือครองสินทรัพย์ประเภทอื่น

สิ่งที่จีนเลือกก็คือ ทองคำ

 

china2.jpg

 

จากกราฟจะพบว่า จีนนั้น มีทองคำสำรอง อยู่ไม่ถึง 2% เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วยังถือว่าน้อยเอามากๆ

ในขณะที่จีนนั้นกลับถือครอง ดอลล่าห์ มากที่สุดในโลก !!

(ตัวเลขล่าสุดถือครอง พันธบัตรสหรัฐถึง 8.835 แสนล้านเหรียญ)

 

อย่างไรก็ตามตัวเลขจากกราฟเป็นปี 2009 พอหลังจากนั้นจีนเห็นท่าไม่ดี

จึงทำการระบายดอลล่าห์อย่างรวดเร็วแล้ว เพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำทันที !!

 

china.jpg

 

จากกราฟจะเห็นว่าในช่วงปีหลังๆที่ผ่านมา ทุนสำรองทองคำของจีน เด้งขึ้นเหมือนติดสปริง

จากผู้ถือครองทองคำอันดับ 5 ของโลก ปรากฎว่า ล่าสุดจีนได้ขยับขึ้นมาเป็น อันดับ 2 เป็นที่เรียบร้อย

รองก็แต่ สหรัฐอเมริกา ประเทศเดียว

(ตัวเลขล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา จีนถือครองทองคำ ณ ตอนนี้กว่า 4000 ตัน !)

แต่ถึงเพิ่มขนาดนั้น จีนก็ยังถือครองทองคำแค่เพียง 6% ของทุนสำรองทั้งหมด

ยังมีดอลล่าห์ มีเยอะที่จะต้องระบาย

 

แต่จีนนั้นนอกจากรวยแล้วยังฉลาด

 

ที่ผ่านมาเค้าไม่ได้ซื้อในปริมาณมากๆทีเดียวเพราะจะทำให้ราคาตลาดเสีย

แต่ใช้วิธีแอบซื้อทยอยสะสมไม่ให้เป็นข่าว ในบางครั้ง “อยากจะซื้อใจจะขาด”

แต่แกล้งออกมาให้ข่าวทำนองว่าไม่อยากซื้อ

“ทองคำนั้นไม่ดี มีน้อยไม่เหมาะจะเป็นทุนสำรอง จีนไม่สนใจ

ทองคำ ยังไงดอลล่าห์ก็ถือว่าดีที่สุด สารพัด”

 

........หัวการค้ามั๊ยล่ะครับ ?

 

อยากบอกว่าไม่ต้องไปฟังที่เค้าพูดครับ ให้ดูสิ่งที่เค้าทำ

ลับหลังเค้าลดการซื้อพันธบัตรสหรัฐลงอย่างฮวบฮาบ และ ในเมื่อหาซื้อทองได้ไม่ทันใจ

ก็ทำเหมืองทองคำเองซะเลย

อะแฮ่ม…หนำซ้ำทองคำและแร่เงิน ที่ผลิตได้ในจีนนั้น จะไม่มีการส่งออกเด็ดขาด

 

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังเชิญชวนและส่งเสริมให้ประชาชนในประเทศ ลงทุนในทองคำ และ แร่เงิน !!

(ลองนึกภาพ นายกอภิสิทธิ์ ออกมาเชิญชวนให้พวกเรา ซื้อทองคำ กันเถอะ คุณว่ามันดูแปลกๆ มั๊ยครับ ??)

 

จีนนั้นรู้อะไรดีๆ ที่ในตอนนี้คุณและผมก็รู้เหมือนกัน

 

:excl: เหตุผลข้อที่ 5 : การปิดสถานะช๊อต (Short Squeeze)

 

สำหรับผู้ที่เล่น GF คงเข้าใจดี แต่หากคุณไม่ได้เล่น ผมขออนุญาติอธิบายให้ฟังครับ

ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ หรือ ตลาดโลหะ สิ่งที่กำหนดราคาไม่ใช่ตัวของมันเองครับ

 

ผมจะยกตัวเลขง่ายๆ อย่างนี้นะครับเช่นในตลาดทองคำ

คนซื้อเครื่องประดับ ทองรูปพรรณนั้น น้อยกว่าคนที่ซื้อทองแท่ง หากวัดกันเป็นน้ำหนักทองแล้ว

คงน้อยกว่ากันเป็น 100 เท่าแต่คนซื้อทองกระดาษนั้นมากกว่า

คนซื้อทองแท่งจริงๆ อีก 100 เท่า !!

 

เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำหนดราคาทองคำ จริงๆ คือ ตลาดทองกระดาษ (Paper Gold) ครับ !!!

(ไม่ใช่ทองคำจริงๆ กำหนดราคากระดาษ แต่มันตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง)

นี่เป็นสาเหตุให้ ธนาคารกลางและสถาบันการเงินขนาดใหญ่ สามารถกดราคาทองคำจริงๆ ไว้ได้ เป็นเวลานาน

 

วิธีการก็คือ........

 

ธนาคารกลางนั้น จะให้ ธนาคารพาณิชย์ (Bullion Bank) ยืมทองคำออกไปขายทอดตลาด

โดยทำสัญญากันว่า จะซื้อกลับมาใช้คืนในภายหลัง : การให้ยืมขายออกไปก่อนแล้วสัญญาว่าจะซื้อมาคืนในภายหลัง คือการเปิดสถานะ Short นั่นเอง

Bullion Bank จะได้ประโยชน์เมื่อราคาทองคำลง

เพราะเค้าจะได้ซื้อกลับมาคืนในราคาที่ถูกกว่าที่ ขายออกไป

แต่จะเจ็บตัวหากราคาทองคำขึ้น ไปเรื่อยๆ

 

ในขณะที่ สถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่ร่วมมือกับ รัฐบาล เช่น Jp Morgan ในสหรัฐ

(โปรดจำชื่อนี้ไว้ให้ดีครับ ไว้มีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ) ก็ทำการเปิด

สถานะ Short ทองคำกระดาษในปริมาณมหาศาล อีกเช่นกัน

 

ถามว่า หาก ระดับบิ๊กๆ เค้ากดราคาทองคำอยู่ แล้วเราจะไปซื้อทำไม?

คำตอบคือ ยิ่งต้องซื้อครับ เพราะเค้า “กด” ทำให้เราซื้อได้ถูก

หากเค้า “ปั่น” ให้แพงผมจะแนะนำให้ขายครับ

 

เพราะสัญญา Short ทองคำกระดาษปริมาณมหาศาลนี้ ไม่ได้มีทองคำรองรับอยู่จริงๆ

วันนึง วงจรอุบาทว์นี้จะถึงกาลอวสาน วันนึงมันต้องจบ…..

 

เมื่อแรงกดที่มีต่อทองคำเริ่มผ่อนลง (อย่างที่เราๆเริ่มจะเห็น ในช่วงปีสองปีนี้ )

ราคาทองคำจึงเริ่มจะขยับสูงขึ้นๆ โดยตลอด ทำให้ พวกขาใหญ่ เริ่มจะขาดทุน

เมื่อถึงจุดนึงที่เค้าจำเป็น ต้อง “คัทลอส” (Cut loss)

เพื่อป้องกันไม่ให้ ขาดทุนมากไปกว่านี้ เค้าจะไล่ซื้อ ทองคำคืน เพื่อปิดสถานะทุกสถานะที่เค้าเปิดไว้

ไม่ว่า ณ ตอนนั้นมันจะราคาเท่าไหร่ก็ตามเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องล้มละลาย

 

สถานะการณ์แบบนี้เรียกว่า “บีบสถานะช๊อต” (Short Squeeze )

หากเกิดขึ้น ราคาทองคำจะพุ่งทะยานฟ้า ได้ถึง 100-200$ ภายในชั่วข้ามคืนอย่างง่ายดาย

 

..........................................................

 

หลายๆเหตุผลหลายๆปัจจัย ที่เป็นตัวผลักดันให้ราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้น

บัดนี้มาเรียงหน้ากระดาน ต่อหน้าต่อตาพวกเราเรียบร้อยแล้ว

ปัจจัยพื้นฐานของทองคำ แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

พร้อมๆกับ “ศัตรู” ที่คอยขัดขวางการขึ้นราคาของทองก็อ่อนกำลังลงเช่นกัน

 

เป็น โอกาสที่ดี เป็น โอกาส“ทอง”ครับ :excl:

 

หากคุณยังไม่ได้มีทองคำไว้ในพอร์ทของคุณ

อีกไม่กี่ปีจากนี้ไป คุณจะมองย้อนกลับมาในปี 2010 แล้วบอกกับตัวเองว่า

ทองที่ระดับราคา 19000 นี่มันช่างถูกแสนถูกจริงๆ เรามัวไปทำอะไรอยู่ตอนนั้น ? ทำไมเราถึงไม่ซื้อ ??

 

 

ขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนทุกท่านครับ

 

ปล.ในตอนหน้าห้ามพลาด (Must Read)เลยนะครับเราจะมาเจาะลึกกันว่า โอกาส “ทอง”

จริงๆที่เราเล็งเอาไว้ หน้าตา มันเป็นยังไง?

ขอบคุณคุณ NEXT สำหรับสิ่งดี ๆ ที่มีให้ค่ะ โชคดีที่ได้อ่านบทความดี ๆ เจอคนเก่งแบบนี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทองค่อยๆ น้อยลงในตลาด

เงินค่อยๆ มากขึ้นในตลาด

เห็นภาพชัดเจนมากครับ

 

อ่านเรื่องซิมบับเวแล้วยิ่งกว่านิยายเลยครับ

ไม่รู้ตอนนี้นายกเค้าเป็นไงบ้าง ยังอยู่ดีรึเปล่า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เหตุการณ์นี้น่ากลัวนะครับ

มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆมั้ย หลังจากอ่านบทความแล้ว ก็หวั่นๆ

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขออนุญาตเอาข่าวจากคุณส้มโอมือมาแปะนะครับ ผมอ่านแล้วนึกถึงคุณเน๊กซ์น่ะครับ

 

บอกลา “ดอลลาร์$” จีนจับมือรัสเซีย ค้าขายใช้เงินตัวเอง

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 พฤศจิกายน 2553 19:54 น.

 

 

 

 

 

 

นายกรัฐมนตรีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย (ซ้าย) จับมือกับนายกรัฐมนตรีจีน เวิน จยาเป่า (ขวา) เนื่องในโอกาสเยือนเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของรัสเซีย เมื่อวันอังคาร (23 พ.ย.) (ภาพเอเอฟพี)

 

 

ไชน่า เดลี่ - นายกรัฐมนตรีจีน เวิน จยาเป่า และนายกรัฐมนตรีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ประกาศ ณ เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของรัสเซีย ว่าจะใช้สกุลเงินตราของตนเองในการค้าแบบทวิภาคี แทนที่เงินดอลลาร์สหรัฐ (23 พ.ย.)

 

ผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจของจีนเผยว่า ข้อตกลงดังกล่าวสะท้อนความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างจีน-รัสเซีย โดยไม่ได้ประสงค์จะต่อต้านท้าทายเงินดอลลาร์สหรัฐ เพียงแต่ทำเพื่อปกป้องเศรษฐกิจภายในของจีนและรัสเซีย

 

นายกฯ ปูติน ชี้ว่า “ในระดับทวิภาคี เรา (จีน-รัสเซีย) ได้ตัดสินใจใช้สกุลเงินของพวกเราเอง”

 

นานมาแล้วที่ทั้งจีนและรัสเซียต่างก็ใช้สกุลเงินตราต่างประเทศในการค้าทวิภาคี โดยเฉพาะเงินดอลลาร์สหรัฐ จนกระทั่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งจีนและรัสเซีย ก็เริ่มพิจารณาว่า นอกจากการพึ่งพาเงินดอลลาร์แล้ว จะมีความเป็นไปได้อื่น ๆ อีกหรือไม่

 

ปูตินกล่าวว่า ขณะนี้ได้เริ่มมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินหยวนกับเงินรูเบิลของรัสเซียระหว่างธนาคารในจีนแล้ว ขณะที่เงินหยวนก็จะได้รับอนุญาตให้เข้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยนกับเงินรูเบิลในประเทศรัสเซียได้ในไม่ช้านี้

 

รายงานข่าวกล่าวว่า นายกเวินและปูตินลงนามในเอกสารความร่วมมือ 12 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมความร่วมมือด้านพลังงาน การบิน การสร้างรถไฟ ภาษีศุลกากร การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และวัฒนธรรม ตลอดจนออกแถลงการณ์ร่วมอื่น ๆ อย่างไรก็ตามรายละเอียดของเอกสารขณะนี้ยังไม่เปิดเผย

 

ปูตินกล่าวว่าข้อสัญญาที่สำคัญระหว่างจีนและรัสเซียประการหนึ่ง คือโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เถียนวัน ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ก้าวหน้าที่สุดของจีน ได้ขอซื้อเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์จากรัสเซีย 2 เครื่อง

 

เมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีดมิตรี เมดเวเดฟ ของรัสเซีย ได้เดินทางเยือนจีนโดยได้ตกลงกับประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ของจีน ในการวางท่อขนส่งแก๊สธรรมชาติ เชื่อมผู้ผลิตกับผู้บริโภคแก๊สธรรมชาติรายใหญ่สุดของโลกเข้าด้วยกัน

 

นายกฯ เวิน กล่าวในงานแถลงข่าวว่า ความร่วมมือระหว่างจีนและรัสเซีย ก้าวสู่ระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน และสองประเทศซึ่งไม่เคยเป็นศัตรูของกันและกันนี้ กำลังตัดสินใจปกป้องผลประโยชน์ร่วมกัน โดยจีนจะดำเนินหนทางการพัฒนาอย่างสันติอย่างแน่วแน่ และจะสนับสนุนการฟื้นตัวของมหาอำนาจรัสเซีย

 

เวินกล่าวว่า จีนเต็มใจที่จะฟื้นความร่วมมือกับรัสเซีย ให้กลายเป็นองค์การร่วมมือระหว่างประเทศขนาดใหญ่ เพื่อสร้างระเบียบใหม่ที่เป็นธรรมและมีเหตุผล ในระบบเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ

 

ซุน จ้วงจื้อ นักวิจัยอาวุโสของ ศูนย์เอเชียกลางศึกษา สำนักสังคมศาสตร์จีน เผยว่าข้อตกลงการค้าชุดใหม่ระหว่างจีนและรัสเซีย เกิดขึ้นตามกระแสเศรษฐกิจโลก หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจได้เผยความล้มเหลวของระบบเงินดอลลาร์ที่คุมระบบการเงินโลกมานาน

 

ดร.ผัง จงอิ้ง ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยประชาชนจีน กล่าวว่า ข้อตกลงนี้ไม่ได้ต้องการท้าทายเงินดอลลาร์ แต่เพื่อต้องการลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจมากกว่า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณสำหลับข้อมูลดีๆ ของคุณnextอ่านแล้วให้ความรู้และมีกำลังใจมากๆขอบคุณ ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สุดยอดและยอดเยี่ยมมากๆๆครับ ขอบคุณคุณNextมากๆๆครับ กดบวก 5 เหมือนเดิมครับผม

 

 

เป็นกำลังใจที่ดีครับ ขอบคุณครับ :rolleyes:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข่าว "จีนกับรัสเซีย" คงต้องขอเคลียร์กันหน่อย

 

เดี๋ยวเย็นๆมาคุยกันครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เหตุการณ์นี้น่ากลัวนะครับ

มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆมั้ย หลังจากอ่านบทความแล้ว ก็หวั่นๆ

 

 

 

ขอบคุณค่ะmrballz แปลไม่ออก แค่ดูภาพก็น่ากลัวแล้ว คุณnext เอาเรื่องนี้ด้วยนะคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รู้สึกเป็นคนโชคดีจังเลยค่ะ ที่มีโอกาสได้รู้ "อะไรดีดี"

ขอบคุณค่ะ .. รอติดตามตอนต่อไปค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณ..คุณ NEXT มากๆ สำหรับคำตอบ

ต่อไปนี้จะประหยัดและเก็บเงินให้มากขึ้น เพื่อน้องทอง(แท่ง)

นึกว่าทองแท่งจะมีแต่ 5 บาทขึ้นไปซะอีก

เพราะถามร้านทองแถวบ้านก็มีแต่ 5 บาท

เค้าบอกว่า 1 บาท มันแท่งเล็กเค้าไม่ทำกัน

เป็นไปได้มั้ย ที่ 1-2 สลึงจะมีแต่ที่ กทม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

farmer.jpg

 

แอปเปิ้ล VS. ส้ม (Apple versus Orange)

จาก Crash Proof 2.0

แปลและเรียบเรียงใหม่โดย Nexttonothing

 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว............

 

มีชาวสวนอยู่สองคน เฮียหลิวปลูกสวนส้ม ส่วนมิสเตอร์ทอมปลูกแอปเปิ้ล

ทั้งสองต่างนำผลผลิตที่เหลือ ของแต่ละคนมาแลกกัน(Trade)

จึงได้กินทั้งแอปเปิ้ลและส้มที่มีคุณภาพ เพราะแบ่งงานกันทำตามที่ตนถนัด

 

เป็นแบบนี้อยู่หลายปี..............

 

จนมีอยู่วันนึง มิสเตอร์ทอม เกิดโชคร้าย พายุฝนถล่มสวนแอปเปิ้ล ทำให้ผลผลิตเสียหาย

ปีนั้นทอมจึงไม่มีแอปปิ้ลเพื่อจะเอาไปแลกกับส้มของเฮียหลิว แต่ด้วยความที่ยังอยากจะกินส้มอยู่

ทอมจึงเสนอออก “ตั๋วสัญญาค้างแอปเปิ้ล”ให้กับเฮียหลิวแทน

โดยใจความในสัญญาคือ ในปีหน้าจะนำแอปเปิ้ลมาคืนให้ พร้อมกับแถมให้อีก 10 ผลฟรีๆ(ดอกเบี้ย)

 

เฮียหลิวเห็นเป็นคนกันเอง ค้าขายกันมานาน หนำซ้ำหากไม่ขายให้ทอม

ตัวเองก็กินส้มไม่หมดอยู่ดี จึงตัดสินใจรับ “ตั๋ว” นั้นไว้

 

การออกตั๋วของ มิสเตอร์ทอม ไม่ใช่การ”จ่าย” ค่าส้มอย่างแท้จริง

แต่เมื่อในอนาคต เฮียหลิวเอาตั๋วมาคืนพร้อมรับแอปเปิ้ลที่ค้างพร้อมดอกเบี้ยไปนั่นแหละ

“การแลกเปลี่ยนถึงจะเรียกว่า สมบูรณ์”

 

แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น

ปีถัดมา คราวนี้ “น้ำท่วม” สวนแอปเปิ้ลของมิสเตอร์ ทอม อีกครั้ง เหมือนเดิม..

ทอมเสนอ ตั๋วใบที่สองให้ เฮียหลิว ส่วนเฮียหลิวก็มอบส้มให้กับทอม

 

ทอมยังได้กินส้มเป็นปกติทุกปี แต่ตอนนี้เฮียหลิว เก็บ ตั๋วสัญญาค้างแอปเปิ้ลไว้เป็น 2 ใบแล้ว

 

cartoon-farmer-drawing.jpg

 

ปีต่อๆมาเกิด แผ่นดินไหว ปีต่อๆมา เกิด โรคระบาด ปีต่อๆมา เกิดศัตรูพืช

ถล่ม สวนมิสเตอร์ทอม จนไม่เหลือซาก

ทอม ก็ออกตั๋วใบใหม่ เฮียหลิวก็มอบส้มให้อีก

 

ทอมเองแทนที่จะเครียด กลับ รู้สึกสบายที่หลายๆ ปีที่ผ่านมา นอกจากไม่ต้องเหนื่อยทำสวนแล้ว

ก็ยังมีส้มให้กินทุกปี จึงตัดสินใจเปลี่ยนสวนของตัวเองให้กลายเป็น สนามกอลฟ์

ขายเครื่องมือทำสวนทุกอย่างทิ้ง ซื้อ อุปกรณ์เล่นกอลฟ์แทน

หลังจากนั้นก็เล่นกอลฟ์ มันทุกวัน สบายใจ เหนื่อยๆก็กินส้ม ที่เฮียหลิว มอบให้

 

หนักเข้าไปอีก ทอม ยังไปคุยในหมู่เพื่อนฝูงอีกว่า ตั๋วของตนนั้นดี ตั๋วของตนนั้นแน่

ดูสิ ! ขนาดเฮียหลิว ยังยอมรับเลย

 

ตรงกันข้าม

 

เฮียหลิว ยังง่วนอยู่กับการ ปลูกส้ม ไม่มีเวลาเล่นอะไร วันๆทำมาหากิน

 

ภูมิใจกับ ตั๋วหลายๆใบที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าตัวเองร่ำรวยขึ้นจาก จำนวนตั๋วที่หนาขึ้นๆ

เวลามันทำให้ลืมไปแล้วว่า ที่ตัวเองต้องการจริงๆ มันคืออะไร?

 

ยุ่งซะจนไม่ได้ดูเลยว่า สวนแอปเปิ้ล กลายเป็น สนามกอลฟ์ไปแล้ว !!

ตั๋วนั้นไม่ได้มีค่าในตัวของมันเอง(No intrinsic value)

หากปราศจากแอปเปิ้ล สิ่งที่ เฮียหลิวต้องการคือ แอปเปิ้ล ไม่ใช่กระดาษ!!!

 

แต่คนเราวันนึงก็ต้องหูตาสว่าง เฮียหลิวกว่าจะรู้ตัว ในบ้านก็เต็มไปด้วยตั๋วเรียบร้อยแล้ว

จะเอาไปแลกก็ไม่รู้จะแลกอะไร จะโวยวายก็กลัวว่า ที่ทำงานเหนื่อยยาก เก็บตั๋วมาตลอดหลายปีจะถูกเบี้ยว

 

อยู่ในภาวะ เป็นเจ้าหนี้ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เฮียหลิว ตัดสินใจไม่รับตั๋วเพิ่ม

แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเที่ยวบอกคนอื่นว่า ตั๋วนี้ดีๆ เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของตั๋วเอาไว้

 

งานนี้จบไม่สวยแน่ๆ

 

ท้ายที่สุดเมื่อ เฮียหลิวเหลืออด เฮียหลิวจึงใช้ตั๋วที่มีทั้งหมด ยึดครองสนามกอลฟ์ ของทอม

บ้านทรัพย์สิน อุปกรณ์กอลฟ์ทั้งหมดตกเป็นของเฮียหลิว และแล้วก็ถึงวันที่เฮียหลิวจะได้พักผ่อนบ้าง

ส่วนทอม กลายเป็น ลูกจ้างที่จะต้องคอยเก็บส้มให้เฮียหลิวกินแทน

 

............................................................

 

 

นี่คือเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นระหว่าง จีน และ อเมริกา

ทุนสำรองดอลล่าห์ของจีนเพิ่มขึ้นทุกปีๆ ประชาชนชาวอมเริกาใช้จ่าย อยู่กินกันอย่างสุขสบาย

ในขณะที่แรงงานจีนผู้น่าสงสาร ก้มหน้าก้มตา ทำงานหามรุ่งหามค่ำผลิตสินค้าเพื่อส่งออก

 

เมกา เอาสินค้าไปก็พิมพ์จ่ายเป็นดอลล่าห์มา ไม่เห็นยาก??

 

รัฐบาลจีนเริ่มที่จะรู้ตัว จึงลดการซื้อพันธบัตรสหรัฐ และพยายามหาทางที่จะ ระบายดอลล่าห์เก่าไปเป็นสินทรัพย์อื่น

ในขณะเดียวกันกลับต้องตีหน้า ชื่นชมดอลล่าห์ ให้ชาวโลกได้รับรู้

ว่าดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ไม่เช่นนั้นจะกระทบทุนสำรองที่เหลืออยู่ทั้งหมด

(ทุกวันนี้ดอลล่าห์เสื่อมค่าลงทุกวันๆ ก็เครียดหนักอยู่แล้ว)

 

สหรัฐเองก็รู้จุดอ่อนข้อนี้ จึงไม่กลัวจีน บีบบังคับให้ จีนพยายามจะรับ “ตั๋ว” เพิ่ม

เป็นการบอกกลายๆว่า ไม่งั้น ตั๋วที่สะสมมาทั้งหมด ก็จบนะ

วันนึงจีนจะเหลืออด วันนึงจีนจะยอมเจ็บเพื่อหยุด สุดท้ายคนที่เจ็บที่สุดก็คือ สหรัฐ

เมื่อจีน เริ่มทิ้งดอลล่าห์ ก็ได้แต่ภาวนาว่า สหรัฐ จะยอมรับความจริง

และไม่ใช้กำลังทางทหารเข้ากลบเกลื่อนปัญหานี้

 

เมื่อถึงวันที่ จีนตัดสินใจ คำถามคือ วันนั้นพวกคุณพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้วหรือยัง ?

 

:excl: มิถุนายน 2553

 

จีนลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐลง 24 พันล้านดอลล่าห์ และหันไปถือครองพันธบัตรญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น

 

:excl: พฤศจิกายน 2553 (เมื่อวานซืน)

 

จีนตกลงจับมือร่วมกับรัสเซีย เลิกใช้เงินสกุลดอลล่าห์ ในการซื้อขายระหว่างกัน

โดยนำ เงินหยวนและเงินรูเบิ้ลมาเป็นสื่อกลางแทน พร้อมอ้างว่าไม่ได้ท้าทายดอลล่าห์

แต่ทำเพื่อป้องปกระบบเศรษฐกิจภายในของตนเอง

แม้จะอ้างว่าไม่ได้ท้าทายแต่การทำแบบนี้ไม่ต่างจาก ตบหน้าสหรัฐอย่างแรง !

 

..........................................

 

 

สรุปส่งท้าย

 

จากเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า มีคนมากมายวัดความร่ำรวยของตัวเองด้วย

จำนวน “ตั๋วกระดาษ” และทำงานเพื่อมัน หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว

สิ่งที่ตัวเองต้องการคือ “แอปเปิ้ล” เมื่อ คุณมอบของบางอย่าง

เพื่อแลกกับ “ตั๋ว” การแลกเปลี่ยนยังไม่สิ้นสุด มันมาแค่ ครึ่งทางเท่านั้น

มันจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อ คุณนำตั๋วไปใช้แลกเอาสิ่งที่คุณต้องการ จริงๆ กลับมา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...