ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
moddang

ข้อคิดคำคม - เกร็ดความรู้

โพสต์แนะนำ

ภรรยา 4 คน ( เรื่องดีดี )

 

:mellow: :blush: :mad: :wub:

 

 

..... ชายคนหนึ่งมีภรรยาอยู่ 4 คน

 

ภรรยาคนที่ 1 เขารักที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตามใจ ตลอด

 

อยากได้อะไร เขาหาให้ ทุกอย่าง

 

ภรรยาคน ที่ 2 เขารักมาก เขาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อภรรยาคน นี้

 

และจะไปหา ภรรยาคนนี้เสมอ

 

ภรรยาคนที่ 3 เขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอควร

 

แวะไปหาบางเป็นครั้ง คราว

 

ภรรยาคน ที่ 4 เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไปหา

 

ไม่คิดถึงเลย ด้วยซ้ำ

 

 

ต่ิอมาชาย คนนี้ไปกระทำความผิดร้ายแรงและถูกจับ

 

ต้องถูก ประหารชีวิต

 

 

ก่อน ที่จะถูกประหาร เขาขอร้อง ว่า

 

เขาขอกลับ บ้านเพื่อไปร่ำลาภรรยาสุดที่รักซักครั้ง

 

ผู้คุมเห็นใจจึง อนุญาต เมื่อกลับ มาถึงบ้าน

 

 

เขารีบตรงไปหาภรรยาคนที่ 1....

 

เล่า เหตุการณ์ต่างๆ ให้ ฟัง และถามภรรยา คนที่ 1 ว่า ถ้าเขาต้องตาย

 

ภรรยาคนที่ 1 จะ ทำอย่างไร?

 

ภรรยาคนที่ 1 ตอบน้ำเสียงที่เย็นชาว่า ถ้าเธอตาย เราก็จบ กัน

 

 

คำตอบที่ได้รับ เหมือนสายฟ้าที่ผ่า เปรี้ยง!! ลงมาที่เขาอย่าง จัง

 

เขารู้สึก เจ็บปวดและเสียใจเป็นอย่าง ยิ่ง นึกเสียดาย ว่าเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้ เลย

 

 

จากนั้นเขาก็ ไปหาภรรยาคนที่ 2 ด้วยอาการเศร้าโศก

 

เล่า เรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง......

 

 

และถามคำถาม เดิมกับภรรยาคนที่ 2 ว่า ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 2 จะทำอย่างไร?

 

ภรรยาคนที่ 2 ก็ ตอบอย่างหน้าตาเฉยว่า ถ้าเธอตาย ฉันจะมี ใหม่

 

เหมือนสาย ฟ้า!! ผ่าลงมาซ้ำที่เขาอย่างจัง เขารู้สึกเสียใจ มาก

 

และนึก เสียดายว่าที่ผ่านมาเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่น กัน

 

 

เขาเดินคอตก

 

มาหาภรรยาคนที่ 3 เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง

 

และถามภรรยา คนที่ 3 ว่า ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 3 จะทำ อย่างไร?

 

ภรรยา คนที่ 3 ตอบว่า ถ้าเธอตาย ฉันจะไป ส่ง

 

ทำให้เขา คลายความเศร้าโศกขึ้นมาได้ บ้าง

 

อย่างน้อยก็ ยังมีภรรยาที่จริงใจกับ เขา

 

ก่อนกลับไป รับโทษ..... :o

 

 

เขานึกขึ้นมาได้ว่ามีภรรยาอีกคนซึ่งไม่ เคยไปหาเลย

 

จึงไป หาภรรยาคนที่ 4 และถามว่า ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 4จะทำอย่าง ไร?

 

ภรรยาคน ที่ 4 ตอบว่า ถ้าเธอตาย ฉันจะตามไป ด้วย

 

แทนที่เขา จะดีใจกลับนึกเสียใจหนักขึ้นไปอีก

 

เพราะ...มัน สายเกินไปเสีย แล้ว

 

ช่วงที่เขา มีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยเห็นค่าของภรรยาคน นี้

 

แต่ภรรยาคน นี้ไม่คิดที่จะทิ้งเขา จะติดตามเขาไปอยู่ ด้วย

 

แล้วชายคน นี้ก็กลับไปรับโทษประหาร และเมื่อเขาตาย ภรรยาคน ที่ 4 ก็ตายตามไปด้วย.....

 

 

เราทุกคนก็มีภรรยา 4 คน นี้

 

มีคำถามว่า ภรรยาทั้ง 4 คนเป็นใคร ?

 

ลองคิดกันก่อน นะ แล้วค่อยดู เฉลย

 

............................................

 

 

ทีนี้เรามาดูกัน ว่า ภรรยาคนที่ 1, 2, 3 และ 4 เป็นใครกัน บ้าง

 

 

ภรรยาคน ที่ 1 = ร่างกายของ เรา

 

เพราะเวลาเรา มีชีวิตอยู่ เราจะบำรุงบำเรอด้วยของสิ่ง ทุกอย่าง

 

อยากได้ อะไรก็หาให้

 

แต่ พอเราตายมันกลับไม่ไปกับ เรา !53

 

 

เมื่อเราตาย ร่างกายมันก็มีค่าเท่ากับท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่า นั้น

 

ภรรยาคนที่ 2 = ทรัพย์ สมบัติ

 

เพราะเวลา เรามีชีวิตอยู่ เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มัน มา

 

แต่พอเราตาย มันกลับไม่ไปกับเรา แต่ไปเป็นของคน อื่น

 

ภรรยาคนที่ 3 = พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติ พี่ น้อง

 

เพราะพอเรา ตาย

 

เขาจะทำศพให้เรา ทำบุญไป ให้

 

แปลว่า เขา แค่ไปส่งเราเท่า นั้น !53

 

 

ภรรยาคนที่ 4 = บุญกับ บาป

 

เมื่อเราตาย ไป เราไม่สามารถเอาอะไรไปด้วย ได้

 

มีเพียงแค่ บุญกับบาปเท่านั้นที่จะตามเรา ไป

 

..... หลังจากอ่านจบแล้วได้แง่คิดอะไรกันบ้าง ?

 

..... จะให้ความ สำคัญกับภรรยาคนไหนมากกว่ากัน?

 

อ่านจบแล้ว สิ้นเดือนนี้ ก็หัดไปเข้าวัดบ้างนะ !17

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จะให้ไปวัดต้องเอาตลับเมตรไปด้วยหรือเปล่าครับ อิอิ:wub:

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

em183.gifเห็นหัวข้อนี้ตั้งแต่ที่บ้านเก่าแล้ว แต่ไม่ได้สนใจเปิด(เพราะไม่มีภรรยาค่ะ)

วันนี้ยังไงไม่รู้เปิดมา อ่านตั้งแต่ต้นไล่ไปเรื่อยๆ บอกคำเดียว"ซึ้ง" ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆนะคะ

 

ตัวเองก็ได้คิดว่ามัวแต่หลง และทุกข์อยู่กับสิ่งที่ไม่ได้เป็นของเรา แต่สิ่งที่จะตามเราไปกลับไม่ค่อยได้ใส่ใจ คิดว่าทำบุญกับคนใกล้ตัวทุกวันๆน่าจะพอฝึกใจได้ (ไปวัดก็ไม่รู้วัดไหนค่ะ อืม มันจะพลอยเกิดอกุศลจิต เลยละก่อน แล้วรู้ตัวเองเมื่อไรคงไปวัด ได้จริงๆ)

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

em183.gifเห็นหัวข้อนี้ตั้งแต่ที่บ้านเก่าแล้ว แต่ไม่ได้สนใจเปิด(เพราะไม่มีภรรยาค่ะ)

วันนี้ยังไงไม่รู้เปิดมา อ่านตั้งแต่ต้นไล่ไปเรื่อยๆ บอกคำเดียว"ซึ้ง" ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆนะคะ

 

ตัวเองก็ได้คิดว่ามัวแต่หลง และทุกข์อยู่กับสิ่งที่ไม่ได้เป็นของเรา แต่สิ่งที่จะตามเราไปกลับไม่ค่อยได้ใส่ใจ คิดว่าทำบุญกับคนใกล้ตัวทุกวันๆน่าจะพอฝึกใจได้ (ไปวัดก็ไม่รู้วัดไหนค่ะ อืม มันจะพลอยเกิดอกุศลจิต เลยละก่อน แล้วรู้ตัวเองเมื่อไรคงไปวัด ได้จริงๆ)

 

 

 

 

ซึ้งแล้วอย่าไปกดลบคะแนน อย่างที่ทำกับตัวเองล่ะ อิอิ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สร้างสุขในบ้าน ด้วยการสื่อสารที่ดี

 

:rolleyes: :rolleyes: :rolleyes:

 

 

"บ้านเราแสนสุขใจ ถึงจะอยู่บ้านไหน ไม่สุขใจเหมือนบ้านเรา"

 

บ้านคือวิมานของทุกคน

ไม่มีที่ใดที่จะให้ความรู้สึกเป็นสุขและอบอุ่นเท่าที่บ้าน แต่ทำไมหลายคน

ไม่พยายามช่วยกันทำบรรยากาศในบ้านให้เป็นสุขอย่างที่ต้องการ

การสื่อสารกันระหว่างคนในครอบครัว

เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้บรรยากาศของบ้านอบอุ่นและเป็นสุข

การพูดจากันเพื่อสร้างสุขในบ้านนั้น ต้องพูดกันในทางบวก ซึ่งทำได้ไม่ยาก

ด้วยวิธีการดังนี้

 

1. พูดกันด้วยถ้อยคำสุภาพ น้ำเสียงนุ่มนวล โดยเฉพาะคนที่มีนิสัยใจน้อย

มักจะทนฟังคำพูดที่ใช้น้ำเสียงห้วนๆ ไม่ค่อยได้ ได้ยินเสียงห้วนๆ แล้ว

จะหงุดหงิดอารมณ์เสีย

2. ขอบคุณ ขอโทษ ไม่เป็นไร ต้องพูดให้ติดปากเป็นนิสัย

อย่าละเลยกับคนในบ้านซึ่งถือว่าเป็นคนที่สำคัญ

อย่าคิดว่าเป็นคนกันเองคงจะไม่เป็นไร

3. ทักทายหยอกล้อกันบ้างตามเวลาและโอกาส เพื่อให้บรรยากาศสดชื่นแจ่มใส

4. พูดแสดงความห่วงใย เอื้ออาทรต่อกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดความรัก

ความผูกพันที่แน่นแฟ้น

5. พูดแสดงความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

เมื่อคนหนึ่งคนใดในครอบครัวมีปัญหา ไม่สบายใจ จะได้คิดถึงบ้านเป็นอันดับแรก

6. พูดอย่างมีอารมณ์ขัน อารมณ์ขันช่วยสร้างสรรค์ให้ชีวิตมีความสุข สนุกสนาน

และทำให้บ้านมีเสียงหัวเราะ

7. พูดอย่างจริงใจ แม้การพูดจะพูดดี พูดหวาน พูดไปในทางบวกแค่ไหน

แต่จะไม่มีความหมายและคุณค่า ต่อผู้ฟังเลย ถ้าคนพูดขาดซึ่งความจริงใจในคำพูด

สุภาษิตบทที่ว่า "อันอ้อยตาลหวานลิ้นก็สิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย"

ยังใช้ได้ดีเสมอ การ สื่อสารด้วยคำพูดที่ดีในครอบครัว

ทำให้ภายในบ้านมีชีวิตชีวา และสามารถป้องกันปัญหานานัปการได้อีกด้วย

 

By: นิตยา เชื้อโชติ พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์

 

...ข้อคิดสะกิดใจ.. :wub: .

 

"เพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตครอบครัว

มีบางครั้งที่เราต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ

มีบ้างบางครั้งที่เราต้องเลิกทำในสิ่งที่ชอบ

เพื่อความก้าวหน้าของชีวิตครอบครัว

มีบ่อยครั้งที่เราต้องรู้จักใช้สติ

ต้องรู้จัก อดทน และให้อภัย

ดูอย่างต้นไม้ซิ

มันไม่เคยที่จะผืนลิขิตของฤดูกาล

มันไม่คิดจะขัดธรรมชาติ

เมื่อถึงคราวต้องทิ้งใบก็ยินยอมแต่โดยดี

อดทนและอดทน

เพื่อผลิใบ และดอกผลเมื่อฝนมา"

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

" 9 คำสอนของพ่อ ."

( พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)

 

!_Rd

1. ความเพียร

 

การสร้างสรรค์ตนเอง

การสร้างบ้านเมืองก็ตาม

มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว

ต้องใช้เวลาต้องใช้ความเพียร

ต้องใช้ความอดทน เสียสละ

แต่สำคัญที่สุดคือความอดทน

คือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม

สิ่งที่ดีงามนั้น ทำมันน่าเบื่อ

บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง

คือดูมันครึทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่า

การทำให้ดีไม่ครึต้องมีความอดทน

เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอน

ในความอดทนของตนเอง

 

พระบรมราโชวาท

พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู

และอาจารย์ในโอกาสเข้าเฝ้าฯ

วันที่ 27 ตุลาคม 2516

 

2. ความพอดี

 

ในการสร้างตัวสร้างฐานะนั้น

จะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป

ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง

และความพอเหมาะพอดี

ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง

หรือทำด้วยความเร่งรีบ

เมื่อมีพื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว

จึงค่อยสร้างค่อยเสริม

ความเจริญก้าวหน้าในระดับสูงขึ้น

ตามต่อกันไปเป็นลำดับผลที่เกิดขึ้นจึงจะแน่นอน

มีหลักเกณฑ์ เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืน

 

พระบรมราโชวาท

ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร

ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น

วันที่ 18 ธันวาคม 2540

 

3. ความรู้ตน

 

เด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว

การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบ

และคนที่มีระเบียบดีแล้ว

จะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆ

ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว จะเป็นคนที่

สร้างความสำเร็จและความเจริญ

ให้แก่ตนเองและส่วนรวม

ในอนาคตได้อย่างแน่นอน

 

พระบรมราโชวาท

พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือ

วันเด็ก ประจำปี 2521

 

4. คนเราจะต้องรับและจะต้องให้

 

คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้

คนเราจะต้องรับและจะต้องให้

หมายความว่าต่อไป และเดี๋ยวนี้

ด้วยเมื่อรับสิ่งของใดมา

ก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้น

ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้าง

ความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ

ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลาย

มีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้

ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย

ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้

 

พระบรมราโชวาท

พระราชทานแก่นักศึกษา

มหาวิทยาลัยขอนแก่น

วันที่ 20 เมษายน 2521

 

5. อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ

 

ในวงสังคมนั้นเล่า ท่านจะต้องรักษามารยาทอันดีงาม

สำหรับสุภาพชน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง

มีความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ

พร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม

 

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร

ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 25 มิถุนายน 2496

 

6. พูดจริง ทำจริง

 

ผู้หนักแน่นในสัจจะพูดอย่างไร ทำอย่างนั้น

จึงได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือ

และความยกย่องสรรเสริญ จากคนทุกฝ่าย

การพูดแล้วทำ คือ พูดจริง ทำจริง

จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณ

ของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี

ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม

 

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร

ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 10 กรกฎาคม 2540

 

7. หนังสือเป็นออมสิน

 

หนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่าง

ที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้

หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นคล้ายๆ ธนาคารความรู้

และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้ มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้

 

พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ

ในโอกาสที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันที่ 25 พฤศจิกายน 2514

 

 

8. ความซื่อสัตย์

 

ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง

เด็กๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเอง

เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประโยชน์ และมีชีวิต

ที่สะอาด ที่เจริญมั่นคง

 

พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์

ในหนังสือวันเด็ก ปี พุทธศักราช 2531

 

9. การเอาชนะใจตน

 

ในการดำเนินชีวิตของเรา

เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใดๆ

ที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่าชั่วว่าเสื่อม

เราต้องฝืนต้องต้านความคิด

และความประพฤติทุกอย่างที่รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ

เราต้องกล้า และบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบ

ว่าเป็นความดีเป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม

ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ ให้ได้จริงๆ

ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้นๆ

ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป

และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ

 

พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่าน

ในพิธีเปิดการประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศ ครั้งที่ 12

ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ 12 ธันวาคม 2513

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ครั้งหนึ่งในชีวิต "พ่อของลูก-ลูกของพ่อ"

 

:rolleyes: :mellow: :wacko:

 

บ่อยครั้งที่ลูกไม่เข้าใจพ่อและในขณะเดียวกันพ่อเองก็ไม่เข้าใจลูก ผมจึงขอนำเรื่องเกี่ยวกับพ่อมาเล่าสู่กันฟัง เป็นเรื่องของคุณพ่อที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นลูก และเมื่อทุกวันนี้เขาเป็นพ่อ บทเรียนชีวิตที่เขาได้พบในต่างกรรมต่างวาระเป็นเรื่องที่จะสอนใจผู้ที่เป็นลูกให้ได้เข้าใจพ่อของตนมากขึ้น และพ่อก็จะได้เข้าใจความสำคัญของการจัดแบ่งเวลาให้กับครอบครัวให้มากขึ้นเช่นกัน

 

เมื่อครั้งเป็นลูก

 

วันนั้นเป็นวันพ่อผมไม่ได้คุยกับพ่อ ได้แต่โทรทางไกลคุยกับแม่ ได้แต่ถามแม่ว่าพ่อสบายดีอยู่ใช่ไหม พยายามจะคุยกับพ่อหลายครั้ง แต่พ่อมักจะไม่ค่อยสบาย ฟังโทรศัพท์ไม่ค่อยได้ยิน พูดเสียงก็เบาเพราะไม่ค่อยมีแรงตะโกน พ่อเกษียณมาหลายปีแล้ว หลังจากทำงานหนักมาตลอด เพื่อมานอนป่วยอยู่ที่บ้านในบั้นปลายของชีวิต ชีวิตที่ทำมาทุก พ่อทำงานหนักหาเงินจนไม่ค่อยมีเวลามาสนิทกับลูก ปล่อยเวลาผ่านไปสิบปี ยี่สิบปี จนอะไรหลายอย่างยากที่จะเปลี่ยน บอกได้เต็มปากเลยว่า ไม่สนิทกับพ่อเลย บ่อยครั้งที่ผมรู้สึกตำหนิพ่อที่ทำไมไม่เหมือนพ่อคนอื่นเขาเลย แต่อย่างไรก็ดีผมรู้แต่ว่าพ่อรักลูกทุกคน ทำทุกอย่างเพื่อลูก และหวังอนาคตที่ดีของลูก เพียงแต่ทำไมพ่อไม่พูด ทำไมพ่อจึงต้องฝากแม่มาพูด แล้วทำไมลูกชายคนนี้ ต้องคุยกับพ่อผ่านทางแม่มาตลอดเวลา พ่อเคยบอกกับแม่เพียงแค่ว่า เราเป็นลูกที่ดี อยู่ในโอวาททุกอย่าง ตั้งใจเรียนหนังสือ ไม่จำเป็นต้องดุด่าว่ากล่าว พ่อไม่รู้เลยหรือว่า ที่ลูกชายคนนี้เป็นคนดีได้เพราะแม่เคยบอกให้ทำตัวดี ตั้งใจเรียน เพื่อพ่อจะได้รักมากๆ (และกลับมาคุยกับลูกแบบที่พ่อลูกคนอื่นเขาเป็นกัน???)

 

ไม่น่าแปลกใจเลย ที่พ่อเป็นคนสุดท้ายในครอบครัวที่ทราบว่า ลูกชายคนนี้สอบชิงทุนได้ และกำลังจะจากไปเรียนต่อเมืองนอกอีกถึง 6-7 ปี ตอนนั้นพ่อก็เริ่มป่วยมากแล้ว ทั้งพ่อและผมต่างก็คิดว่า อาจเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะได้เห็นหน้ากัน หรือพูดกัน คืนสุดท้ายก่อนเดินทาง พ่อมานั่งดูเราจัดกระเป๋าเดินทาง เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่พ่อไม่พูด !!! เหมือนกับตอนที่พ่อนั่งคอยดูผลสอบเอ็นทรานซ์ของเราทางหน้าจอทีวี จนมีชื่อเราขึ้นว่าสอบติด แล้วพ่อก็ไม่พูดอะไร แม้แต่จะแสดงความยินดีด้วย (แต่แม่บอกว่าคืนนั้นพ่อดีใจมาก จนบอกแม่ว่าอยากจะหารถเก่าๆให้เราขับไปเรียนสักคัน)

 

เช้าวันนั้น พ่อไม่ได้ไปส่งที่สนามบิน เพราะพ่อเดินไม่ค่อยไหว ก่อนออกเดินทางรู้สึกอยากกราบลาพ่อมากๆ อยากบอกพ่อว่า "รักพ่อ" คำที่ไม่เคยบอกกับพ่อเลยมาตลอดชีวิต พ่อนั่งอยู่บนเตียง กำลังรอผมอยู่ ผมเข้าไปกราบท่านที่ตักแล้วขอให้ท่าน "อยู่" และรอจนเราเรียนจบ กลับมาจะเอาชุดครุยรับปริญญาเมืองนอกมาถ่ายรูปกับพ่อ แล้วก็เหมือนเช่นทุกครั้ง พ่อไม่พูดอะไร เพียงแค่ลูบหัวตบไหล่ แต่คราวนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เห็นพ่อ...ร้องไห้... ร้องเพราะว่าด้วยสภาพร่างกายของพ่อ เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว แล้วพ่อก็ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้เอาไปอ่านตอนอยู่บนเครื่องบิน ถึงแม้มันจะเป็นจดหมายสั่งสอนอบรมธรรมดา แต่มันลงท้ายว่า "อุ๋ยลูกรัก เรียนจบกลับมาเร็วๆ พ่อจะอยู่รอดูความสำเร็จของลูก" แต่นี่เรายังไม่ได้บอกพ่อเลยว่า "รักพ่อ"

 

เจ็ดปีผ่านไปแล้วตั้งแต่จากมาเรียน กลับไปหาพ่อบ้างสองปีที่แล้ว ใครจะคาดคิดว่าพ่อยังอยู่รอความสำเร็จของลูกคนนี้ แต่ด้วยร่างกายที่ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ พ่อต้องนอนอยู่บนเตียงแทบจะตลอดเวลา ซ้ำร้ายพ่อยังเริ่มความจำเสื่อมด้วยโรคสมองฝ่อ แต่ก็พยายามถามแม่ว่า เมื่อไหร่อุ๋ยจะเรียนจบ เมื่อไหร่อุ๋ยจะกลับมา เพื่อกันลืม แม่บอกว่า บางคืนพ่อมักจะตื่นขึ้นมาแล้วเพ้อถามว่า "ดึกป่านนี้แล้ว ทำไมอุ๋ยยังไม่กลับบ้านอีก" แม่ยังบอกด้วยว่า หลังๆนี้พ่อมักจะพูดบ่นคนเดียวไปเรื่อยๆ ว่า "เมื่อไหร่อุ๋ยจะเรียนจบ เมื่อไหร่อุ๋ยจะกลับมา"

 

วันพ่อปีนั้น ผมเรียนจบพอดี ผมอยากบอกพ่อว่าขอบพระคุณที่อยู่เป็นกำลังใจให้ผม และอยู่เป็นเพื่อนแม่มาตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา แต่ครั้นแม่ถามพ่อว่า "อุ๋ยโทรมาจากอเมริกา จะคุยไหม?"

 

พ่อถามแม่กลับว่า "อุ๋ยนี่มันเป็นใครนะ?" ……………………… อ้าว...โธ่...?!?นี่ผมให้พ่อรอนานจนสายเกินไปที่จะได้พูดคุยกันแล้วหรือ สายเกินไปที่จะบอกพ่อว่า "รักพ่อ" แล้วหรือ? ทำไมผมไม่หาเรื่องคุยปรึกษาหารือกับท่าน? ทำไมผมไม่เล่าเรื่องที่พบเห็นให้ท่านฟัง ทำไมผมรอให้ท่านพูดกับผมก่อนแทนที่ผมน่าจะเป็นฝ่ายพูดกับท่านก่อน? ทำไม? และ ทำไม?……..

 

 

เมื่อครั้งเป็นพ่อ

 

วันนี้วันพ่อแต่คราวนี้ผมเป็นผู้ที่ถูกเรียกว่า “พ่อ” ที่มีลูกซึ่งไม่ค่อยได้มีโอกาสได้พูดคุยกัน และไม่ได้สนิทสนมกัน ผมในฐานะพ่อ เริ่มเข้าใจว่าทำไมคุณพ่อทั้งหลายต้องทำงานหนัก ผมพึ่งได้มีโอกาสเข้าใจพ่อของผม ที่ครั้งหนึ่งท่านคงเคยรู้สึกเหมือนผมในเวลานี้ว่าทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์ทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวให้อยู่สุขสบายยอมสละความสุข ส่วนตัว เอาแต่ทำงานชนิดหามรุ่งหามค่ำ แต่ทำไมบางครั้งลูก ๆ และแม้แต่แม่ของลูก จึงดูว่าไม่ยอมเข้าใจเอาเสียเลย โดยเฉพาะลูก ๆ กลับไปรักแม่ สนิทสนมกับแม่มากกว่าพ่อ มีความลับหรือมีปัญหาคับใจอะไรก็คอยแต่จะปรึกษากับแม่ ไม่ค่อยยอมเข้ามาหาพ่อหรือคลุกคลีกับพ่อให้ชื่นใจ กันบ้างทำให้ผมหวนระลึกถึงครั้งเมื่อผมเป็นลูก และเริ่มเข้าใจพ่อของผมมากยิ่งขึ้นว่า

 

เหตุผลที่ทำให้ลูก ๆ เป็นเช่นนี้ ก็คงเนื่องมาจากสาเหตุสำคัญคือ คุณพ่อมีเวลาให้ลูก ๆ น้อยเกินไปนั่นเอง

 

เป็นธรรมดาที่ลูกย่อมจะรักใคร่สนิทสนมกับฝ่ายที่มีเวลาให้เขา และเห็นความสำคัญของเขามากกว่า เมื่อวันทั้งวันลูกอยู่แต่กับแม่ เช้าขึ้น แม่ก็หาข้าวให้ทาน พาไปส่งที่โรงเรียน บ่ายก็รับกลับบ้าน สอนการบ้านให้ เป็นเพื่อนดูโทรทัศน์ด้วยกัน ฯลฯ ในขณะที่พ่อ เช้าขึ้นก็รีบไปทำงาน ก่อนลูกจะตื่น กว่าจะกลับบ้านก็ค่ำมืด ลูกหลับไปแล้ว จะเป็นเพราะอยู่ทำงานล่วงเวลา หรือไปสังสรรค์เฮฮากับเพื่อนฝูง ก็ตามแต่

 

กรณีอย่างนี้ ลูกย่อมจะรักแม้ไว้วางใจแม่ และสนิทสนมกับแม่มากกว่าพ่อ อย่างแน่นอน

ผมเริ่มเข้าใจว่าทำไมบางวันที่พ่อเกิดกลับบ้านเร็วกว่าปกติ แม่กับลูกจะมีท่าทีประหลาดใจถึงขนาดทำอะไรไม่ถูกเอาเลย ลูกก็ไม่รู้จะวางตัวอย่างไรจึงจะถูกใจพ่อ ตัวพ่อเองก็ไม่รู้จะทักทาย พูดจา หรือหาเรื่องอะไรมาคุยกับลูก จึงจะเข้ากับลูกได้ เพราะพ่อแทบจะไม่รู้เรื่องส่วนตัวของลูกเลย ไม่รู้แม้กระทั่งว่า เพื่อนลูกมีใครบ้าง บางคนลูกเรียนหนังสือชั้นไหน เรียนเกี่ยวกับอะไรบ้างก็ยังไม่รู้เลย พ่อกับลูกจึงแทบจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน

 

ผมเริ่มเข้าใจว่า คุณพ่อผมก็คงอยากจะบอกลูกว่า ที่ทำงานหนักอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อให้แม่และลูกได้อยู่กันอย่างสุขสบาย พ่อเองก็รักลูกเท่า ๆ กับที่แม่รัก เหมือนกัน แต่ถึงจะบอกอย่างไร ลูกก็คงไม่เข้าใจ เพราะการกระทำของพ่อที่มุมานะกับงานนอกบ้านมากเกินไป จนเกิดความห่างเหินกับลูก ย่อม แสดงให้ลูกเห็นว่าพ่อสนใจงานมากกว่าลูกอยู่นั่นเอง

 

มาถึงวันนี้ที่ผมเป็นพ่อ ผมยังได้เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกว่า ในกรณีที่คุณพ่อกับคุณแม่มีปัญหาขัดใจกัน และยังไม่สามารถปรับความเข้าใจกันได้ มีการทะเลาะวิวาทปะทะคารมกัน ทำให้แม่มีความ ทุกข์ใจ ไม่สบายใจ ก็จะหาระบายปรับทุกข์กับลูก เพราะเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิด และเพื่อหาพวกให้กับตัวเอง แม่อาจจะกล่าวหาพ่อให้ลูกฟัง พูดถึงแต่ ความไม่ดีต่าง ๆ นานาของพ่อ เมื่อลูกได้รับฟังบ่อย ๆ ก็จะฝังใจว่าพ่อเป็นคนไม่ดี ลูกจึงเลิกเคารพเชื่อฟังพ่อ ร้ายกว่านั้น คือเลิกศรัทธาพ่อไปเลยก็มี เมื่อพ่อลูกเผชิญหน้ากัน จึงเหมือนคนไม่รู้จักกัน หรือลูกเป็นฝ่ายหลบหน้าพ่อ พ่อเองก็ไม่รู้ตัวว่า ถูกกล่าวหาไว้อย่างไรบ้าง จริงหรือไม่จริง แค่ไหนไม่มีโอกาสแก้ตัวหรือชี้แจงข้อเท็จจริงกับลูกให้เข้าใจกันได้เลย

 

เพราะฉะนั้น ถ้าคุณพ่อทั้งหลายไม่อยากจะประสบกับเหตุการณ์แบบที่ทำให้คุณพ่อต้องรู้สึกเสียใจ หรือน้อยใจว่าลูกไม่รักแล้วละก็ ขอให้คุณพ่อพยายามหาเวลาให้ครอบครัวจะมากหรือน้อยนั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพของความใกล้ชิดที่ให้ อยากให้พ่อแสดงความรักต่อลูก อย่าเขินอายที่จะกอดลูกเพียงวันละครั้ง บอกรักลูก บอกรักภรรยา และอย่ามีความคิดว่าลูกต้องพูดกับพ่อก่อน พ่อถึงพูดด้วย ซึ่งเป็นการสร้างช่องว่างให้ห่างกันออกไปมากขึ้น คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พ่อจะเป็นฝ่ายถามลูก และคุยกับลูกก่อน การแบ่งเวลาให้กับครอบครัวและหมั่นเอาใจใส่ใกล้ชิดกับลูก แสดงให้ลูกรู้ว่าพ่อก็รักเขาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าที่แม่รักเขา ลูกก็ย่อมจะรับรู้ได้แล้วเขาก็คงจะรักพ่อเท่ากับแม่แน่ ๆ ที่ลืมไม่ได้คือจงรักแม่ของลูก ๆ ให้มาก มีปัญหาอะไรก็จงมีสติและใช้การพูดคุยปรึกษาหารือกัน ประนีประนอมเข้าหากัน คงไม่มีความรักและความเข้าใจใดดำเนินไปได้หากปราศการเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ และแม้แต่เสียงพูดปลอบโยนเมื่อยามเศร้าเสียใจ แล้วชีวิตในครอบครัวก็จะเป็นชีวิตที่มีความสุขครับ จงอย่าเสียเวลากับความเงียบไปโดยไร้ประโยชน์เลยเพราะเวลาไม่อาจหวนกลับมาได้อีก

 

By: พี่ชาย

http://www.love4home.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=109786&Ntype=5

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

"การจัดการกับอารมณ์โกรธ"

 

:mad: :mad: :mad:

 

 

เรื่อง ราวเกี่ยวกับความขัดแย้ง การทะเลาะเบาะแว้งทำร้ายร่างกายทั้งผู้อื่นและตนเอง ไปจนถึงการมุ่งร้ายทำลายชีวิตกันในสังคมทุกวันนี้ มักจะมาจากสภาพอารมณ์ที่เรียกว่า " โทสะ" หรือ " อารมณ์โกรธ " ของมนุษย์เรานั่นเอง ความโกรธเป็นหนึ่งใน อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับทุกคน คนธรรมดาเราสามรถรู้สึกได้เมื่อเกิดอารมณ์โกรธ จะมีการเปลี่ยนแปลงสภาวะในร่างกายหลายๆ อย่าง เช่น หัวใจเต้นแรงและเร็ว กล้ามเนื้อตึงเครียด เนื้อตัวสั่น ปั่นป่วนในท้อง ร่างกายเหมือนมีแรงส่งที่สูงขึ้น และพร้อมจะพุ่งพลังออกไป บางคนเปรียบว่า ความโกรธเสมือนหนึ่งเรากำไฟไว้ในมือ คนที่ " เจ้าโทสะ" มักจะทำให้คนอื่นรู้สึกร้อนไม่อยากอยู่ใกล้

 

เมื่อ มีเรื่องไม่ถูกใจ ความโกรธก็มักเผาลนคำพูดให้เชือดเฉือนผู้อื่น หรือแสดงการกระทำที่ก้าวร้าวรุกราน ทำให้มีปัญหาความสัมพันธ์กับผู้อื่น เพราะความรู้สึกไม่เป็นมิตร มักขาดความระมัดระวังและตัดสินใจผิดพลาดก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ง่าย ความโกรธที่เรื้อรังยังเป็นเหตุของปัญหาสุขภาพอาทิ ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคกระเพาะ และอาการปวดศีรษะเป็นประจำ

 

สาเหตุของอารมณ์โกรธ ที่พบได้บ่อยได้แก่

* ความคับข้องใจที่ไม่สามารถทำบางสิ่งบางอย่างได้ดังใจ

* ความรำคาญ หงุดหงิด จากสิ่งแวดล้อมต่างๆ

* ความรู้สึกไม่สะดวกในการดำเนินชีวิตประจำวัน

* การถูกรบกวนความเป็นส่วนตัว

* ความเสียใจ ความกลัวที่แปรเปลี่ยนกลายเป็นความโกรธ

* ความผิดหวัง ความรู้สึกว่าตนเองโชคร้าย ประสบเคราะห์กรรมหรือเผชิญความสูญเสีย

* การถูกคุกคาม รู้สึกถูกเหยียดหยาม ดูหมิ่น ความอิจฉาริษยาผู้อื่น ฯลฯ

 

ถ้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้ก็อาจก่อพฤติกรรมรุนแรง โดยความโกรธนั้นอาจพุ่งเข้าหาตนเองด้วย การทำร้ายตนเอง หรือพุ่งไปสู่คนอื่นก็ได้

วิธีหาทางออกให้กับอารมณ์โกรธ

 

* ยอมรับว่ากำลังรู้สึกโกรธ พิจารณาว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหรือละอายที่รู้สึกโกรธ

* พิจารณาสาเหตุของความโกรธ ที่เกิดขึ้นโดยไม่เข้าข้างหรือตำหนิตนเองเกินเหตุ

* พยายามเปิดความคิดให้กว้างและยืดหยุ่น

* ตัดสินใจทำการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์แล้วลองปฎิบัติ

 

ขั้นตอนที่ควรใช้เพื่อควบคุมอารมณ์

 

ตั้งสติให้มั่นคง ทำใจให้สงบ ระงับอารมณ์ที่พุ่งพล่านก่อนทำความตกลง หรือลงมือทำอะไร เพราะอาจตัดสินใจผิดพลาด หากเจรจาหรือแก้ปัญหาขณะที่กำลังมีอารมณ์ ถามตนเองว่า " กำลังต้องการเอาชนะ " หรือ " ต้องการแก้ปัญหา " ถ้าคำตอบคือ การเอาชนะ ให้หยุดการเจรจาไว้ แล้วหาทางระงับอารมณ์ และความคิดเอาชนะให้ได้ก่อน เพราะไม่มีทางที่คุณจะเอาชนะได้อย่างสันติ

 

แสดงความรู้สึกและความต้องการของตนเองด้วยท่าทีไม่ก้าวร้าว ไม่ข่มขู่ หรือละเมิดสิทธิของคนอื่น

 

หาทางระบายความโกรธออก ถ้าหากคุณไม่สามารถจัดการกับความโกรธของตนเองได้ อย่าอายที่จะพูดคุยความรู้สึกของคุณกับคนที่ใกล้ชิดและเข้าใจ

 

หากทำใจเล่าให้คนอื่นฟังไม่ได้ อาจใช้วิธีเขียนเรื่องที่คุณโกรธลงบนกระดาษ จะทำให้ความโกรธถูกระบายออกมาบ้าง

 

อย่าเก็บความขุ่นมัวโกรธเคืองไว้เงียบๆ ตามลำพัง เพราะจะทำให้คุณเป็นคนเครียดง่าย และมีความอดทนกับเรื่องต่างๆ รอบตัวน้อยลงเรื่อยๆ

 

กิจกรรมที่จะช่วยระงับอารมณ์เมื่อคุณโกรธ

 

กีฬาที่ได้ออกแรง เช่น ตีแบดมินตัน เทนนิส เตะบอล วิ่ง ว่ายน้ำ และอย่าไปเน้นการแข่งขันกับคนอื่น เพราะจะยิ่งเครียดแทนที่จะสงบลง หาทางให้ได้มีการออกแรงที่อัดแน่นออกไปอย่างเหมาะสม การถอนหญ้า ขุดดิน ปลูกต้นไม้ ซ่อมแซมสิ่งของจะช่วยให้ได้ออกแรงระบายอารมณ์ พร้อมกับได้ผลงานที่น่าชื่นชมขึ้นมาแทน

 

ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย ที่เหมาะกับตนเอง เช่น นับตัวเลขในใจ กำหนดลมหายใจ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรืออาจสวดมนต์ ท่องคาถาสั้นๆ ที่เป็นการช่วยคุณผ่อนคลายและ " ตั้งสติ "

 

 

By: สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น กรมสุขภาพจิต

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

"100 คำพูดดีๆ ที่พ่อแม่ควรพูด"

 

glen_chi_0.out.jpg

 

 

ในระยะนี้มีข่าวคราวที่เกี่ยวกับเยาวชนไม่เว้นแต่ละวัน และที่มีอยู่เสมอเป็นระยะคือข่าวนักเรียนนักเลง ที่ตีกันจนมีนักเรียนต้องมาเสียชีวิตไป 1 รายจากการทะเลาะวิวาทกันครั้งนี้ นอกนั้นก็ยังมีข่าวเด็กนักเรียนชั้น ป3-ป6 ทำการสัก เรียนแบบภาพยนต์ไทยเรื่องหนึ่ง

ผมไม่ทราบว่าสมัยนี้ สถาบันครอบครัว ซึ่งเสมือนสถาบันหลักของทุกคน ค่อนข้างอ่อนแอสวนทางกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่ คนในครอบครัวได้พูดคุยกันมากน้อยเพียงไร? หรือที่พูดนั้นมีความจริงใจแค่ไหน อาจจะมีแต่เพียงคำโกหกหลอกลวงกันที่ได้ถูกนำมาพูดให้กันฟังหรือมีเพียงความ เงียบและการหลบหน้ากันเพราะคนพูดไม่อยากจะพูดในขณะที่คนฟังก็ไม่อยากจะฟัง

 

ผมอยากจะบอกว่าคนเราที่เรียกว่าเป็นสัตว์ชั้นสูงมีอารยธรรมก็ตรงที่มีภาษาพูด ภาษาเขียน แต่หากไม่ได้ใช้ภาษาไม่ว่าจะพูดหรือเขียนกันแล้วคนเราจะอยู่ด้วยกันด้วย ความเข้าใจกันได้อย่างไร? หรือหากพูดโดยใช้อารมณ์มากว่าเหตุผล การพูดก็ไรประโยชน์ และที่แย่กว่านั้นก็คือ คนพูดเอาแต่พูดแต่คนฟังไม่อยากจะฝังเพราะเบื่อที่จะฟัง หากเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในครอบครัวแล้ว อนาคตครอบครัวจะเป็นเช่นไร?

 

ผมได้เคยได้อ่านบทความเรื่อง 100 คำพูดที่พ่อแม่ควรพูด และที่ลูกไม่อยากฟัง จึงอยากจะเอามาให้ได้อ่านกัน โดยหวังเพียงให้การพูดคุยกันในระหว่างครอบครัวได้เป็นไปด้วยดี เรียกว่าคนพูดรู้วิธีพูดคนฟังก็อยากจะฝัง อะไรๆก็คงจะดีขึ้นครับ

 

งานวิจัยนี้เป็นของรศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ และคณะจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย งานศึกษาชิ้นนี้บอกทางออกสำหรับการแก้ปัญหา ของครอบครัวอย่างหนึ่ง ซึ่งยุคนี้พ่อแม่ลูกมักคุยกันไม่รู้เรื่อง ด้วยมีปัญหาในการ "สื่อสาร" ให้เข้าใจ มันกลายเป็นว่ามีช่องว่างของวัย และอคติของความรู้ และไม่รู้แฝงอยู่ ทำให้เด็กรุ่นนี้ไม่ค่อยเข้าใจหัวอกพ่อแม่ยุคปัจจุบัน และพ่อแม่ก็ไม่สามารถเข้าถึงความคิด ความรู้สึกของเด็กในยุคนี้ เรียกว่าไปด้วยกันไม่ได้ และผลที่ปรากฎออกมาพบว่า เด็ก เยาวชนที่มีปัญหานั้น ล้วนเป็นปัญหาสังคมที่มีแนวโน้มความเข้มข้นที่รุนแรงขึ้น

 

ดังนั้น เพื่อเป็นวิธีป้องกันปัญหาสังคมด้วยการสร้างสายสัมพันธ์อันดีให้ครอบครัวและสังคม ดร.สมพงษ์ จิตระดับ-พร้อมคณะ ก็ได้สำรวจความคิดเห็นของวัยรุ่นว่า เขาอยากฟังอะไรจากพ่อแม่บ้าง

100 คำพูดดีๆ ที่พ่อแม่ควรพูด 3 อันดับแรกสูงสุดที่เด็กๆ อยากได้ยิน เริ่มตั้งแต่…

 

1. พูดด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ อ่อนหวานน่าฟัง

2. พูดให้กำลังใจ, ไม่เป็นไรทำใหม่ได้ และ

3. ให้คำปรึกษาหารือ เช่น ปรึกษาพ่อแม่ได้นะลูก ทำดีแล้วลูก ดีมากจ้ะ

 

นอกจากนั้นเป็นการแบ่งให้เห็นประเภทกลุ่มคำ

 

ความสัมพันธ์ในครอบครัว

ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น, ให้ความรัก, พ่อแม่ดีใจที่หนูเป็นลูก, ดูแลตัวเองดีๆนะ, มีอะไรให้แม่ช่วยไหม, จำไว้ว่าพ่อเป็นห่วง, รักและหวังดี

 

การให้กำลังใจชมเชย

 

พูดในสิ่งที่ดีกับตัวเรา, หนักแน่น มันจะช่วยให้เข้มแข็งในเวลาที่อ่อนแอ, พยายามเรียนอย่างเต็มที่, ไม่เป็นไรยินดีช่วยเสมอ, ลูกเล่นกีฬาเก่งมาก, ดูแลน้องให้ดี ไม่รังแกน้อง, สู้ต่อไป, จงทำดีเถิด, ค่อยเป็นค่อยไปทำดีที่สุด, ไม่ผิดหรอก, แก้ไขได้, ดีใจด้วย, เรียนเก่งๆนะ, ไม่ดีไม่เป็นไรเริ่มใหม่, อย่าท้อ, เราช่วยกันแก้ปัญหาได้, เวลาทำให้ทุกอย่างดีขึ้น, ทำสิ่งที่อยากทำก่อนถูกผิดไม่เป็นไร ลองทำก่อน, ทำอะไรก็ขอให้สำเร็จ, ลูกสาวพ่อไม่ใช่คนโง่ย่อมรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร, เก่งมากลูก, เก่งจริง, มีพรสวรรค์จริงๆ, คนเก่งไม่ต้องไปกลัว กลัวคนขยันเข้าไว้, แค่นี้ก็ดีแล้ว, คะแนนมากน้อยไม่สำคัญขอแค่อย่าตกก็พอแล้ว

 

การอบรมสั่งสอน

 

อย่าเพิ่งกลับนะมันดึกแล้ว, ไม่เป็นเด็กขโมย, ไม่ไปมั่วสุมยาเสพติด, บอกอะไรควรเชื่อฟัง, ไปไหนระวังตัวด้วยนะลูก, วันนี้รีบกลับนะ, ผิดเป็นครู, ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว, ช่วยทำงานเสร็จแล้วค่อยไปเล่น, พ่อและแม่ไม่อยากให้ลูกลำบาก ขยันเข้าไว้นะ, ที่พ่อแม่ทำโทษเพราะรักลูกนะ อยากทำให้คิด ไม่อยากทำให้โกรธ ไม่ใช่ไม่รัก, ไหนลองยกเหตุผลมาซิ, ตั้งใจเรียนให้เก่ง อย่ามัวแต่เล่นเดี๋ยวเรียนไม่ทันเพื่อน, เพื่ออนาคตลูกต้องตั้งใจเรียน, ลำบากก่อนสบายทีหลัง, การทำสิ่งใดต้องรู้คุณค่าของคน คือความกตัญญู, พ่อแม่ลำบากเพื่อลูก, ลูกต้องลบคำดูถูกของคนทางบ้านเราให้ได้, เพื่อแบบนี้ต้องมีมั่ง อย่าทำอย่างเขาแล้วกัน

 

การแก้ปัญหา การให้คำปรึกษา

 

มีอะไรคุยกันได้ทุกเมื่อ, เงินทองของนอกกายแต่เก็บไว้บ้างก็ดีนะ, ไม่ว่าลูกจะตัดสินใจอย่างไร พ่อแม่หาทางช่วยเหลือหาทางออกให้, ใจเย็นๆทุกอย่างมีทางแก้

 

การถามถึงสารทุกข์

ชวนมากินข้าว, ไปไหนมาลูก, อยากกินอะไรไหม, ทำข้อสอบได้ไหม, ที่ไปเอ็นทรานซ์มาน่ะ ไม่ต้องเครียด, การบ้านทำเสร็จหรือยังลูก ทำให้เสร็จจะได้พัก, ทำไมเหรอ (พ่อ/แม่) อะไร ยังไงคะ

 

การแจ้งให้ทราบ

แม่ซื้อของมาฝาก, แม่จะไปธุระข้างนอก, เดี๋ยวแม่พาไปเที่ยว, พ่อจะเก็บเงินที่ไหนมาไว้ให้, พ่อจะพาพวกเรากลับบ้าน, วันนี้พ่อจะไม่กินเหล้าและเลิก, พ่อจะไปทำงาน (พ่อมีงานทำ), จะพาไปหาหมอ, จะพาไปโรงเรียน, จะหางานทำให้, จะพาไปต่อบัตรประชาชน, จะพาไปเข้าค่าย, ช่วยแม่ทำงานนี้หน่อยสิจ๊ะ

 

ลักษณะการพูดที่ดี

พูดเป็นกันเองไม่ถือตัว, ไม่พูดเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่, เป็นผู้อ่อนน้อม, ไม่ตี ,พูดจริงทำจริง, สั้นๆง่ายๆได้ใจความ, คำพูดที่เข้าใจเราให้ความรู้สึกที่ดี, คำพูดที่ยอมรับไม่ซ้ำเติม, แม่พูดจาดีกับเด็ก, ตั้งใจสนทนา, รับฟังทุกเรื่องราว, ไม่ทำให้หงุดหงิด, ทำให้ความคิดไม่ถูกปิดกั้น, คำพูดมีสาระเนื้อน่าฟัง, ฟังความคิดผู้อื่น, การพูดที่ไม่โต้แย้งกัน, ลงท้ายคำพูด คะ ขา ข่ะ ออ…จ๋า

 

ผมขอฝากคำพูดที่น่าฟังเหล่านี้ไปถึงคุณพ่อ-แม่ทุกคนพูดกับลูกหลาน เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ครอบครัวของทุกๆคน นะครับ

 

คำพูดที่ลูกไม่อยากฟังจากพ่อแม่........

 

เมื่อได้พูดถึงคำพูดที่น่าฟังแล้วและเพื่อสร้างความตระหนักแก่พ่อแม่ ผู้ปกครองทั้งหลายว่า คำพูด หรือการสื่อสารในสิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ก่อน มีผลต่อผู้ฟังอย่างมาก

โดยเฉพาะวัยรุ่นวัยที่แข็งกร้าว ชอบการท้าทาย ซึ่ง ดร.สมพงษ์กล่าวว่า คนเป็นพ่อแม่นั้นอย่าใช้คำว่า "ห้าม" กับลูกวัยรุ่น เพราะผลการศึกษา

เราพบเด็กสารภาพว่า ถ้าการขออนุญาตกระทำสิ่งใดแล้ว พ่อแม่ห้าม เขาจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เพราะอยากท้าทาย และอยากรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร

ดังนั้น พ่อแม่ยุคนี้จึงต้องฟังลูกให้มาก บ่นให้น้อยลง อยู่กับเขาอย่างใจเย็น พูดคุยด้วยการดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม

 

เพื่อเป็นการเตือนตัวเองว่า คำพูดรุนแรง ที่จะสร้างความรู้สึกไม่ดีให้กับลูก 3 อันดับแรกคือ พูดคำหยาบ คำไม่สุภาพ ตามมาด้วย การด่าทอ พูดเสียงดังโหวกเหวก พูดจาแดกดัน ไม่ยอมรับฟังเหตุผล เมื่อจำแยกเป็นประเภท จะได้ดังนี้

 

 

ลักษณะคำพูดที่รุนแรง

พูดบ่อยเกินไปซ้ำๆ ไม่มีสาระ, พูดมะนาวไม่มีน้ำ, รู้อย่างนี้เอาขี้เถ้ายัดปากตั้งแต่เด็ก, ไม่มีความเกรงใจ, ผลาญเงินเท่าไรผลาญไปเลย, ไม่รู้ว่าลับหลังเรามันจะขนาดไหน, อยู่เฉยๆไม่ตอบไม่พูดไม่จา, น้ำเสียงน่ากลัว, คะแนนห่วยแตก, คำพูดที่ทำให้ผู้อื่นเสียใจ

 

พูดดุด่า ด้วยอารมณ์ที่รุนแรง

โตเป็นควาย หมาเลียตูดไม่ถึง ยังทำแบบนี้อีก, ไม่ได้เรื่อง, มึงมีปัญหากับกูรึเปล่า, โง่อวดฉลาด, ไอ้ลูกนอกคอก, เถียงคำไม่ตกฟาก, กลับดึกดื่น ค่ำมืด, เลี้ยงเสียข้าวสุก, เกิดมาทำไมเรื่องมาก วุ่นวาย, ฉันยังเป็นแม่แกอยู่นะ

 

พูดตักเตือน ว่ากล่าว

อะไรเนี่ย อะไรถึงเป็นแบบนี้, หยุดพูดได้แล้ว, ว่ากล่าวตักเตือน, คำสั่งงานต่างๆ, เป็นลูกผู้หญิงไม่เคยช่วยงานพ่อแม่เลย, อย่าเสียมารยาทสิ, คุยอะไร โทรศัพท์บอกให้วาง, ทำไมไม่ระมัดระวังเลย ซุ่มซ่าม

 

พูดห้าม ออกคำสั่ง

อย่าเพิ่งมากวน, นี่อย่าส่งเสียงดังได้ไหม, ขอออกไปข้างนอกบ้าน แต่พ่อแม่ปฏิเสธ "ไม่ต้องไป", จะไปหรือไม่ไป, เป็นเด็กเป็นเล็ก เรื่องผู้ใหญ่อย่ายุ่ง, อย่าทำอย่างนั้นสิ, อย่าออกไปไหนนะ, อย่าทำอีก

 

คำพูดขับไสไล่ส่ง

เอาเงินกับเพื่อนแกโน่น, ตัดลูกตัดแม่กันไปเลย, เดี๋ยวตัดหางปล่อยวัด คำพูดดูถูกประณาม เหยียดหยาม สอนอะไรไม่จำ พูดจนปากเปียกปากแฉะ, ฉันจะดูว่าน้ำหน้าอย่างแกจะไปรอดไหม

 

พูดประชดประชัน

ให้แต่เพื่อน, จะเอาเพื่อนมาเป็นพ่อแม่

 

ลักษณะคำพูดอื่นๆ

อยากอยู่ใกล้ๆเพื่อน, อยากอยู่คนเดียว,พอเราแก่ลงลูกคงไม่เลี้ยงดูเราหรอก

 

คำพูดหลักๆข้างต้นเมื่อพูดไปแล้วส่งผลต่อจิตใจ กระทบความรู้สึกกับผู้ฟัง โดยเฉพาะคนเป็นลูกที่พ่อแม่ควรระวังอย่างยิ่ง

 

 

By: จากหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน 17/3/46 คอลัมน์ โลกวัยใส

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

@ เราสามารถผลิตทั้งสารพิษและยาอายุวัฒนะได้...ในสมองของเรา @

 

 

รายงานโดย :หนูดี - วนิษา เรซ:

 

บท ความดีๆนำมาฝากจาก http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=32148

รู้ไหมคะว่า เราสามารถผลิตทั้งสารพิษและยาอายุวัฒนะได้...ในสมองของเรา

 

เป็นที่ ยอมรับว่า ฮอร์โมนชนิดต่างๆ ที่หลั่งออกมาในสมอง มีผลโดยตรงกับพฤติกรรมของเรา และเราฝึกพฤติกรรมใดบ่อย...

 

สิ่งนั้นก็ สะสมเป็นนิสัย ถ้าเราอยากมีสมองดี เราก็ฝึกพฤติกรรมดีๆ จนติดเป็นนิสัยดีๆ ก็จะช่วยดูแลสมองของเรา...

 

เทคนิคการดูแลสมองมีง่ายๆ เท่านี้เอง

 

นักวิจัยทางสมองก็ค้นพบด้วยความตกใจว่า ฮอร์โมน ที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เช่น คอร์ติซอล เมื่อหลั่งออกมาบ่อยๆ เป็นประจำ ติดต่อกันเป็นเวลายาวนานแล้ว มีผลทำให้เซลล์และเส้นใยสมองถูกทำลายจนเสื่อมคุณภาพ และยิ่งเกิดขึ้นยาวนานเท่าไร การทำลายล้างก็กินวงกว้างและมีผลถาวรมากขึ้นเท่านั้น และที่ควรกังวลก็คือ ส่วนของเซลล์สมองที่ถูกพุ่งเป้าไปทำร้ายโดยฮอร์โมนนี้ มีส่วนของ “ฮิปโปแคมพัส” อยู่ด้วย

 

 

ทำไมเราต้องกังวลกับฮิปโปแคมพัสกันด้วยเล่า...

 

ตอบได้แบบ ง่ายๆ เลยก็คือ ส่วนนี้ของสมองเป็น “เครื่องบันทึกความจำ” ของเราค่ะ

 

ฮิปโป แคมพัสทำหน้าที่บันทึกเรื่องราวที่เราได้เรียนรู้ในระหว่างวันลงสู่ “ความทรงจำระยะยาว” ให้เราในเวลาที่เรานอนหลับ

 

ดังนั้น หาก เซลล์ในนี้ถูกทำลาย ก็หมายได้เลยว่าเราจะเป็นคนจำไม่แม่น เลอะๆ เลือนๆ ลืมนั่น ลืมนี่ เรียนอะไรก็จำไม่ค่อยได้ หรือได้หน้าลืมหลัง

 

ถ้าทำงานก็เหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

 

ทำ กุญแจรถหายเป็นประจำ และอีกสารพัดเรื่องน่าอึดอัดขัดใจที่เป็นคุณสมบัติประจำตัวของ “คนความจำไม่ดี”

 

ใครๆ ก็อยากเป็นคนจำเก่ง จำแม่น เรียนอะไรฟังอะไรครั้งเดียวก็จำได้...

 

และไม่แปลกที่เด็กเรียนเก่ง และคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากๆ นั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนมีความจำดีเลิศทีเดียว...

 

เรื่องการฝึกความจำนั้น เป็นเรื่องที่เราทำได้ และสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ

 

ด้วยการเห็นภัย ของการมีความทุกข์สะสม ต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน

 

เห็นภัยของการกอด ทุกข์ ภัยของความเจ้าคิดเจ้าแค้นและไม่ยอมให้อภัยใคร

 

เรามักคิดว่า “ถ้าเราให้อภัยเขาง่ายๆ เขาก็ไม่ต้องชดใช้ความผิดสิ”

 

แต่ขอให้มองใน มุมกลับกันว่า...

 

ยิ่งเราคิด แค้นเขานานเท่าไร เท่ากับเราไปสร้างโรงงานปล่อยสารพิษ (สารคอร์ติซอล) ออกมาในสมองเรื่อยๆ เพื่อทำลายสมองของตัวเอง...

 

ส่วนอีกคนที่เราโกรธ นอนสบายอยู่ที่ไหนไม่รู้ มีแต่เราที่นอนปล่อยสารเคมีพิษออกมาทำลายเซลล์สมองอันมีค่าไป ทีละเซลล์ ทีละเซลล์

 

ดังนั้น การให้อภัยจึงไม่ใช่เรื่องของการ “ทำดีให้คนอื่น” แต่เป็นการเมตตาสมองก้อนน้อยๆ ของเราเต็มๆ ด้วยการรู้เท่าทันกระบวนการหลั่งสารเคมีตามธรรมชาติของสมอง

 

และไม่ ยอมให้ใครในโลกมาเป็นเหตุให้เราทำลายสมอง ที่เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของเรา

 

เพราะ “ทุกครั้งที่เรายอมให้ทุกข์เกาะกินใจ นั่นคือเราให้ใบอนุญาตร่างกายให้ทำลายสมองทุกๆ นาที”

 

แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้น ความเครียดและความทุกข์ในระยะสั้นๆอาจให้ผลตรงกันข้ามเลยทีเดียว คือ....

 

ยิ่ง ทำให้สมองทำงานได้ดีด้วยซ้ำ เช่น ความเครียดอ่อนๆ ในระยะก่อนสอบ ยิ่งทำให้เราอ่านหนังสือได้ดีขึ้น จำได้แม่นขึ้น

 

เพราะสารเคมีที่หลั่งออกมาสำหรับความเครียดในระยะสั้น นั้น ชื่อว่า “อะดรีนาลิน” ซึ่งเป็นคนละตัวกับฮอร์โมนความเครียดระยะยาว

 

แม้ “อะดรีนาลิน” จะไม่ใช่สารบำรุง แต่ในระยะสั้นก็ช่วยกระตุ้นให้เราทำงานได้เสร็จเร็วขึ้นทันเวลาเส้นตายนะคะ ไม่ดีแต่ก็ไม่ร้าย...มีใช้ชั่วคราวเวลาฉุกเฉินได้ค่ะ

 

เมื่อความทุกข์ ทำให้เราฉลาดน้อยลง แต่เมื่อความสุขบำรุงสมอง...ก็ทำให้เราฉลาดขึ้น

 

 

 

อีกด้านหนึ่งของเหรียญอารมณ์ คือ ความสุข ก็สามารถบำรุงหล่อเลี้ยงให้เราฉลาดขึ้นได้เช่นเดียวกัน

 

คนที่มีความ สุขมากๆ นอกจากหน้าตาแจ่มใส ผิวพรรณดี ดวงตาใสแจ๋วแล้ว...

 

ลึกเข้าไป ในสมองของเขา หากเรามีตาทิพย์เห็นได้เหมือนเครื่องสแกนสมองของโรงพยาบาล

 

เรา ก็จะเห็นว่าภายในนั้นกำลังมีสารเคมีดีๆ หลั่งออกมาบำรุงสมองอยู่เป็นจำนวนมาก

 

โครงสร้างของเส้นใยสมองก็วาง รูปแบบทางเดินใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เรา “อารมณ์ดี”

 

ยิ่งเรา อารมณ์ดีมีสุขนานเท่าไร เราก็ยิ่งมีเส้นใยดีที่ช่วยส่งผ่าน “ข้อมูลความสุข” มากขึ้นเท่านั้น

 

สารอารมณ์ดีเหล่านี้ ทำให้สมองโล่ง ตื่นตัว พร้อมทำงาน...

 

ใครที่ตื่นมาสดชื่น แจ่มใสก็รู้ตัวว่าวันนั้นเขาสามารถทำงานได้ดีกว่าวันที่อารมณ์ขุ่นมัว

 

ยิ่ง เราอารมณ์ดีบ่อยเราก็ยิ่งอารมณ์ดีง่าย และยิ่งเราอารมณ์เสียบ่อยเราก็ยิ่งอารมณ์เสียง่าย...

 

เหตุผล ที่เป็นเช่นนี้อธิบายได้ไม่ยากก็คือ ยิ่งเราทำพฤติกรรมใดบ่อย สมองเราก็ยิ่งสร้างเส้นใยสมองในเรื่องนั้นๆ ออกมาเยอะ ทำให้เราทำเรื่องนั้นได้ง่ายขึ้นในครั้งต่อๆ ไป

 

สังเกตไหมคะว่า คนอารมณ์เสีย ยิ่งนานวันเข้า ยิ่งอารมณ์เสียได้ง่ายขึ้น

 

ในขณะที่คน อารมณ์ดียิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร เขาก็ยิ่งดูอารมณ์ดีมากขึ้นเท่านั้น

 

นั่น เป็นเพราะยิ่งเรามีพฤติกรรมใดบ่อยจนติดเป็นนิสัย ก็ยิ่งทำให้เส้นใยสมองสร้างออกมาเยอะในเรื่องนั้น...และเราก็เป็นคนแบบนั้นใ นที่สุด

 

แล้ววันนี้ ผู้อ่านของหนูดีฝึกพฤติกรรมอะไรจนติดเป็นนิสัยบ้างคะ?

 

433967wefn0qprle.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ได้รับ forward mail ค่ะ ลองพิจารณาเองนะคะ

 

ตำราไม่ล้างไต

 

:huh: :lol:

 

 

สิ่งดี ๆ นำมาฝาก

 

"ช่วยเผยแพร่ เรื่อง ตำราไม่ล้างไต กับ ผู้ป่วยเป็นโรคไต

 

ให้พ้นทุกข์จากการฟอกไตด้วย จะเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง

 

เรื่อง ตำราไม่ล้างไต

 

ถ้าข้าพเจ้าได้รับตำรานี้เมื่อ 25 ปีก่อน ลูก ๆ คงไม่ต้องมาร้องเพลงชื่อ

“คนอื่นมีแม่ ฉันไม่มี”

 

การที่จะเอาเมล็ดลิ้นจี่มาทำยานั้นง่ายมากสำหรับข้าพเจ้าเพราะที่บ้าน

ปลูกต้นลิ้นจี่กว่า 50 ปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันคือยาวิเศษในการรักษาโรคไต

คู่ชีวิตของข้าพเจ้าต้องทรมานเสียเวลา 14 ปีในการฟอกไตและในที่สุด

ก็ต้องจากไป

 

ในไต้หวันมีผู้คนป่วยเป็นโรคไตจำนวนมากที่ต้องทำการฟอกไต

การที่ต้องไปฟอกไตเพราะไตเสื่อมลง จนไม่มาสามารถขัยถ่าย

ของเสียออก บางทีญาติหรือเพื่อนของท่านบางคนกำลังฟอกไตอยู่

จึงอยากให้ท่านช่วยเผยแพร่ตำราวิเศษออกไปให้ทั่ว จะเป็นบุญกุศลยิ่ง

 

คนที่นำไปทดลองใช้จะมีแต่ได้ ไม่มีเสียอย่างแน่นอน ช่วยได้ 1 คน

เท่ากับช่วยทั้งครอบครัว

 

ข้าพเจ้าเป็นโรคไตเพราะเป็นโรคเบาหวานนาน 20 ปี ความเป็นทุกข์

ทรมานนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเบื่อต่อชีวิต และคิดจะจบชีวิตตนเองหลายครั้ง

แต่มาคิดได้ว่า ถ้าเราพ้นทุกข์แล้วทำให้หลายคนต้องรับทุกข์ต่อ ลูก

หลานหลายคนยังเรียนไม่จบ ยังตั้งตัวไม่ได้ เลยรับกรรมไปฟอกไตต่อ

 

มีคนเสนอตำราลับ ตำราวิเศษให้ แต่ไม่เคยเชื่อ ข้าพเจ้าเชื่อแต่แพทย์

แผนปัจจุบัน จึงเดินเข้าห้องฟอกไต ขอสู้กับมัจจุราชต่อไป

 

ข้าพเจ้าเกิดนึกถึงคำพังเพยจีนว่า “ม้าตายแล้ว ให้นึกว่ารักษาม้าเป็น”

บางทีชีวิตนี้อาจมีความหวัง จึงขอทดลอง หลังฟอกไตครั้งที่ 2 แล้ว

คุณน้ามาเยี่ยมถามว่าอยากลองตำราวิเศษไหม รับรองไม่ต้องฟอกไต

อีกต่อไป ข้าพเจ้าก็ตกลงทันที

 

ตอนบ่ายคุณน้านำซุปเส้งจี้มา 1 หม้อแบ่งดื่ม 2 ครั้ง

วันที่ 2 นำมาอีก 1 หม้อ (ราว ชามครึ่ง) พร้อมให้กินเส้งจี้อีก ครึ่งลูก

 

ในวันนั้น ปรากฏว่าการถ่ายปัสสวะดีขึ้น พอวันที่ 3 ซึ่งจะต้องฟอกไต

แต่หมอตรวจแล้วว่าวันนี้ยังไม่ต้องฟอกก่อน

 

ข้าพเจ้าได้ดื่มซุปเส้งจี๊ประมาณ 1 อาทิตย์ ไปตรวจอีก

คราวนี้หมอประหลาดใจมาก แจ้งว่าไตปกติแล้ว ไม่ต้องฟอกแล้ว

 

ตำรา วิเศษมีดังนี้.--

 

เมล็ดลิ้นจี่สด 7 เม็ด ทุบให้แตกแล้วใช้ผ้าขาวอย่างบาง ๆ ห่อไว้

 

ซื้อเส้งจี๊หมู 1 ลูก หั่นเป็นแผ่นบางล้างให้สะอาดตัดเอาเอ็นสีขาวออก

 

เอาน้ำซาวข้าวครั้งที่ 2 จำนวน 2 ชาม นำเข้าใส่ในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า

 

ทำการนึ้งเป็นเวลา 30 นาที เสร็จแล้วให้ดื่มหมดครั้งเดียวก็จะได้ผล

 

ข้าพเจ้าได้พ้นจากฟอกไตเพราะตำรานี้ จึงขอความกรุณาทุกท่าน

 

ช่วยเผยแพร่ตำรานี่แก่ผู้ป่วยเป็นโรคไต ให้พ้นทุกข์จากการฟอกไตด้วย

 

จะเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง

 

ผมพิมพ์และถ่ายให้แม่แล้ว แม่อาจเอาไปแจกให้คนอื่น ก็แล้วแต่ท่าน ส่งเมล์ต่อด้วยนะครับ เป๊กกิ๊ก (เจ้าเก่า)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พรหมลิขิตกับคำว่าเพื่อน

 

1080560xdwgytv1fj.gif

 

คุณเชื่อในพรหมลิขิตมั้ย ?

 

ถ้า ไม่.. แล้วอะไรล่ะ

ที่ทำให้เรามาพบกับคนอีกหลายคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน

ถ้า ไม่.. แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เราถูกชะตาจนเรียกคนๆนั้นว่า เพื่อน

....... เพื่อน..... คนๆนึงที่ครั้งนึงก็เป็นได้แค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง

เวลา ผ่าน เวลา คนแปลกหน้าคนนั้นก็กลับกลายมาเป็นคนที่เรา ไว้ใจ

....... เพื่อน..... คนที่พร้อมอยู่กับเราเสมอๆ

ไม่ว่า สุข ทุกข์ เหงา เศร้า

....... เพื่อน.....

คนที่พร้อมแชร์ความรู้สึกต่างๆโดยไม่เคยเอ่ยปากว่า

ถ้าทำ อย่างนั้นแล้วฉันจะได้อะไร

.

......เพื่อน..... คนที่ไม่เคยสนใจว่าเราจะหน้าตาดี มีสกุล ร่ำรวย

ยากจน สูง ต่ำ ดำ ขาว หรือไม่

.......เพื่อน..... คนที่ไม่เคยเสแสร้ง แกล้งทำ

........ แต่...... เพื่อนตาย หายากเหลือเกิน

 

เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ ว่า คนๆนี้เป็นเพื่อนตายของเราหรือไม่

เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่าคนๆนี้

เป็น คนที่พร้อมจะเคียงข้างเราเสมอไปมั้ย

เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่าคนๆนี้ จริงใจกับเราแค่ไหน

ทั้งหมดนี้ เราใช้ ตา มองไม่เห็น

........ แต่...... ทั้งหมดนี้เราใช้ ใจ มองเห็นได้

 

เมื่อบทความ ล่วงเลยมาถึงตอนนี้ คุณล่ะ ?

ใช้ตามองเพื่อน หรือใช้ใจมองเพื่อน เราบอกไม่ได้ว่าคนๆไหนดี ไม่ดี

จนกว่า... เราจะมีโอกาส รู้จัก กับคนๆนั้น แล้วใช้ใจของเราสัมผัส

การคบใครสักคน คบเพียงกายก็ไร้ประโยชน์ แต่ การคบใครสักคน

จำเป็นต้องคบกันด้วย ใจ

 

วันนี้ คุณ ใช้อะไร คบเพื่อนของคุณ อย่าบอกนะ

ว่าคุณก็เป็นคนที่คบเพื่อนแค่ ตา เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น

คุณก็คงเป็นคนที่ไม่น่าคบคนหนึ่ง

สำหรับคนที่ ได้รับการกระทำเช่นนี้

คุณ..โชคดีจัง ที่มีเพื่อนรักคุณ และ คบคุณด้วยใจ

อย่า ลืม กระทำเช่นนี้ ให้กับเพื่อนที่คุณ รัก ด้วย ใจ

ที่สำคัญ กระทำเช่นนี้กลับไปให้เพื่อนคนที่กระทำเช่นนี้ให้คุณ

 

เพื่อบอกกับ เค้าว่า...... คุณดีใจที่มีเพื่อนอย่างเค้าเช่นกัน......

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

55 วิธีประหยัดเงินแบบไม่ทรมาน (ได้ช่วยชาติประหยัดพลังงานด้วย ;)

 

:rolleyes: :blush:

 

1. ถ้าชอบคุยโทรศัพท์นาน ๆ ลองเปลี่ยนมาใช้ระบบเติมเงิน หรือเปลี่ยนมาใช้ PCT แทน แล้วคุยที่โทรศัพท์บ้านเอา ประหยัดได้เป็นพัน ๆ บาท

 

2. ปิดสวิตช์ตเตารีดก่อนที่จะรีดเสื้อตัวสุดท้าย แต่ต้องพยายามเลือกผ้าที่เนื้อไม่หนามาก เส้นใยผ้าจะได้คลายตัวเรียบได้ง่าย

 

3. ถ้ามีเพื่อนอยู่บ้านทางเดียวกัน ให้ผลัดกันเรารถมาคนละวัน

 

4. ก่อนล้างจาน ใช้ผ้าเช็ดคราบอาหารออกจากจานก่อน จะทำให้ไม่เปลืองน้ำเวลาล้าง

 

5. เวลาไปทานข้าวนอกบ้าน ถ้าทานไม่หมด ให้แพ็คกลับบ้านไปทานมื้อต่อไป

 

6. ใช้เครื่องสำอางให้น้อยลง 50% เช่น จากที่เคยกรีดอายไลเนอร์เต็ม ๆ จากหัวตาไปหางตา ก็กรีดให้เหลือครึ่งเดียว คือจากกลางตาไปหางตา ประหยัดได้ทั้งอายไลน์ เนอร์และอายรีมูฟเวอร์

 

7. พวกเครื่องประดับ ถ้าพัง อย่าเพิ่งทิ้ง รวบรวมได้จำนวนหนึ่งแล้วเอาพวกชิ้นส่วนของแต่ละชิ้นมารวมกัน ทำเป็นเครื่องประดับชิ้นใหม่ได้

 

8. ถ้าชอบดื่มกาแฟ ลองชงกาแฟใส่กระติกเก็บความร้อนมาจากบ้าน หรือซื้อเครื่องชงกาแฟแบบเล็กไว้เครื่องหนึ่งติดโต๊ะ แล้วซื้อกาแฟสด (แนะนำกาแฟสดดอยตุงของไทย ถูกสุดคือถุงละ 95 บาท ดื่มไปได้เกือบเดือน และกลิ่นหอมไม่แพ้เจ้าไหนเลย)

 

9. แทนที่จะซื้อ ก็ไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแทน เอาสมุดไปจดสักเล่ม หรือไม่ก็ยืมมาซีร็อกซ์หน้าสำคัญ ๆ ไว้

 

10. ทำบัตรสมาชิกกับซูเปอร์มาร์เก็ตที่ซื้อประจำ ลดได้ครั้งหนึ่งเกือบสิบบาทแล้ว

 

11. หยอดเศษตังค์ใส่กระปุกวันละสิบบาท ปีหนึ่งได้ตั้ง 3650 บาท

 

12. เล่นเกมทางวิทยุ มีแจกฟรีตั้งแต่ทริปไปต่างประเทศ ต่างจังหวัด คอร์สสปา ดูหนังฟรี ฯลฯ

 

13. ตอบแบบสอบถามจากบัตรเครดิต บางบัตรอาจเสนอให้คะแนนสะสมเพิ่มง่าย ๆ โดยไม่ต้องเสียเงินรูดแม้แต่บาทเดียว

 

14. ก่อนนอน เปิดแอร์ทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมง พออาบน้ำเย็น ๆ เสร็จออกมาก็ปิดได้เลย แล้วเปิดพัดลมต่อ อากาศจะเย็นต่อไปได้ทั้งคืน

 

15. พยายามซื้อคเรื่องสำอางแบบตลับเดียวใช้ได้ทุกอย่างตั้งแต่ตาไปจนถึงปาก แล้วเลือกสีที่ไม่เวอร์ ใช้ได้ทุกโอกาส

 

16. ถ้าซักผ้าด้วยมือ แบ่งซักผ้าขาวและผ้าสี 2 ครั้ง ให้ซักผ้าขาวก่อน แล้วน้ำสุดท้ายของผ้าขาวก็อย่าทิ้ง ให้นำผ้าสีลงซักต่อ ประหยัดน้ำไปกว่า 1 ถัง

 

17. เรียงเสื้อผ้าให้เป็นหมวดหมู่ เช่น หมวดกระโปรง กางเกง เสื้อแขนกุด จะทำให้ชีวติง่ายขึ้น และจะพบว่ามีเสื้เอผ้าน่าใส่อยู่อีกเพียบ ลดแรงบันดาลใจในการซื้อตัวใหม่

 

18. ขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อย่าเหยียบคันเร่งบ่อยนักถ้าไม่จำเป็น จะประหยัดน้ำมันได้หลาย

 

19. เปลี่ยนจากใช้โลชั่นขวดละหลายร้อยมาใช้น้ำมันมะกอกทาผิวแทน สองสามหยดหลังอาบน้ำเสร็จ ผิวจะเนียนไปตลอดวัน

 

20. ลองดัดผมดู ทุกเช้าหลังสระผมเสร็จ ก็แค่ใส่มูสแล้วออกจากบ้านได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาไดร์ผมที่ร้าน หรือเปลืองไฟที่เราไดร์ผมทุกวัน

 

21. ชวนเพื่อนเข้าร้านหนังสือ หุ้นกันซื้อหนังสือที่สนใจตรงกัน แล้วผลัดกันอ่าน

 

22. เวลาได้บัตรส่วนลดต่าง ๆ เอามาเก็นเป็นหมวดหมู่ให้ดี อย่ามิ้ง มันมีค่ากว่านั้นเยอะ

 

23. นิตยสาร Money รายงานว่า เวลาเราใช้บัตรเครดิต แล้วจ่ายไม่ทัน เหมือนต้องเสียเงินเพิ่ม 20% ดังนั้นเวลาซื้ออะไรพยายามใช้เงินสดให้มากที่สุด จะได้ไม่มาติดหนี้ตอนหลัง

 

24. เลิกทานช็อกโกแลตหรูจากสวิส แล้วกลับไปทานช็อกโกแลตที่เคยชอบสมัยเด็กอย่างเซี่ยงไฮ้ กูลิโกะ ประหยัดได้เยอะ

 

25. ถ้าประตูกับหน้าต่างอยู่ตรงกัน เปิดทิ้งสองอย่างทิ้งไว้เลย ลมจะโกรกผ่านเข้ามาโดยไม่ต้องเปิดแอร์

 

26. พยายามอย่าเก็บของไว้ท้ายรถเยอะ ๆ ยิ่งรถหนักมากที่เปลืองน้ำมัน

 

27. ถ้าอาบน้ำฝักบัว ระหว่างอาบน้ำให้รองน้ำเอาไว้ น้ำส่วนนี้นำไปล้างรองเท้าผ้าใบได้สบายมาก

 

28. คาร์ล ลาเกอร์เฟล ดีไซน์เยอร์ของ Chanel บอกว่า "ซื้อเสื้อผ้าถูกไม่ได้หมายความว่าคุณไม่มีเงินใช้นะ สมัยนี้ไม่มีใครสนใจกันแล้วว่าเสื้อผ้าคุณจะแพงหรือถูก"

 

29. เปลี่ยนจากโรลออนเป็นสารส้ม

 

30. ก่อนจะจองทริปไปเที่ยวไหน เช็คก่อนว่ามีวิธีประหยัดอะไรได้บ้าง "ถ้าคุณจองห้องพักล่วงหน้า 14 วัน จะถูกกว่า บางครั้งอาจได้ลดถึง 70% ด้วยซ้ำ" เมลินด้า จาค็อบ พีอาร์ แมแนเจอร์ของ www.wotif.com.au บอกไว้"โรงแรมหลาย แห่งยังรวมอาหารเช้าไว้ให้ด้วยอีก"

31. ถ้าจะเปลี่ยนทรงผม ลองโทรตามโรงเรียนที่สอนตัดผมดู เขาจะมีนักเรียนที่ต้องการแบบตัดผมอยู่เป็นประจำ อันนี้อาจฟรีไปเลย หรือถ้าเสียเงินก็จะถูกมาก ๆ

 

32. หาหนังสือมือสองตามจตุจักร อาจได้อ่านช้าหน่อย แต่จะถูกไปกว่าครึ่ง หรือหาอ่านตามเว็บไซต์ได้

 

33. ชวนน้อง ๆ พี่ ๆ อพยพไปนอนเปิดแอร์ห้องเดียวกับพ่อแม่บ้าง อบอุ่นและประหยัดไฟ

 

34. น้ำส้มสายชู เอามาเช็ดพื้นผิวทั้งหลายจะขึ้นเงาได้ เอามาใส่ขวดสเปรย์ ฉีดโต๊ะกระจกได้เงา

 

35. จัดปาร์ตี้ "ใครไม่ใส่ เอามาแลกกัน" กับกลุ่มเพื่อนสาว บางทียีนส์ตัวนั้นของเพื่อนที่คุณไม่เคยเห็นเพื่อนใส่เลย คุณอาจจะใส่ได้สวยกว่าก็ได้

 

36. ไปซื้อครีมบำรุงผิวกับแม่ คนขายจะสนใจเราได้ด้วย สุดท้ายจะพลอยได้ตัวอย่างผลิตภัณฑ์กลับมาลองได้ด้วยเพียบ

 

37. ก่อนเข้าซูเปอร์มาณ์เก็ต เช็กก่อนว่าสินค้าไหนลดราคา หรือมีแถม จะได้ไม่เสียสิทธิ์

 

38. อย่ารีบซื้อเสื้อผ้านัก เดินหายี่ห้ออื่นดูก่อน อาจเจออะไรที่เหมอืนกันเปี๊ยบ แต่ราคาถูกลงกว่าครึ่ง

 

39. จากส่งไปซักแห้งตลอด หันมาซักด้วยมือเองเถอะ ประหยัดได้เป็นพัน

 

40. อยากเรียนคอร์สอะไร หาเพื่อนหลาย ๆ คนมาเรียนด้วยกัน แล้วต่อรองกับครูสอน จะถูกกว่าแน่นอน

 

41. ถ้าชอบดูหนัง ลองสมัครสมาชิกกับ M Club ได้ส่วนลด 20 บาท 30 ที่นั่ง

 

42. ครีมบำรุงที่เป็นหลอิด ถ้าบีบไม่ออกแล้วเพราะหมด ให้ตัดหลอดครึ่งหนึ่ง แล้วกวาด ๆ ข้างในมาใช้ทาต่อได้อีกหลายวัน

 

43. ถ้าชอบมีผมตรง ลงทุนยืดผมครั้งเดียวไปเลย จะประหยัดค่าไดร์ไปได้ครึ่งปี

 

44. จัดเครื่องสำอางที่มีอยู่แล้วให้เห็นชัด ๆ และใช้ให้หมดก่อนทุกครั้งที่จะซื้อใหม่

 

45. ใช้กระดาษรีไซเคิลให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ลดการใช้กระดาษสิ้นเปลือง ก็เป็นการลดการใช้ต้นไม้ด้วย

 

46. ก่อนโทรศัพท์ทางไกลต่างประเทศ สืบก่อนว่ามีอะไรประหยัดได้อีก ลองหาดูว่าเว็บไหนให้เราโทรได้ถูก ๆ

 

47. ก่อนซื้อเสื้อผ้าต้องลองใส่ก่อน หมุมดูทุกมุม ถ้ามีติดขัดแม้แต่มุมเดียว ก็วางลงซะเถอะ ถ้าซื้อมา คุณอาจจะไม่หยิบมันมาใส่เลยก็ได้

 

48. ถ้าอยากเปลี่ยนสไตล์เสื้อผ้าที่ใส่ ไม่ต้องยกเครื่องซื้อใหม่หมด ลองเปลี่ยนแค่บางอย่าง เช่น รองเท้า เสื้อ ที่เหลือใช้ของเดิม จะดูมีสไตล์น่าสนใจมากขึ้นด้วย

 

49. สร้างบรรยากาศโรงหนังที่บ้านโดยไม่ต้องเข้าโรง ก็แค่ปิดไฟดูหนังเท่านั้น ประหยัดไฟแถมได้บรรยากาศ

 

50. เปลี่ยนจากหลอดไฟธรรมดาเป็นหลอดตะเกียบ

 

51. ถ้าชั้นที่ทำงานหรือโรงเรียนไม่สูงนัก ก็เดินเอาเถอะ ชวนเพื่อนเดินด้วย จะช่วยชาติประหยัดไฟโดยไม่รู้ตัว

 

52. ถ้าเป็นแฟนนิตยสารเล่มไหน หาร้านทำผมที่มีเล่มนี้ให้อ่านดู แล้วไปอ่านตอนทำผม ไม่ต้องซื้อ

 

53. หัดทำขนมพวกคุกกี้แจกเพื่อน ๆ ญาติ ๆ ช่วงปีใหม่แทนของขวัญ จะประหยัดได้มาก

 

54. ทาเล็บนิ้วเว้นนิ้ว ใครถามบอกเป็นเทรนด์ใหม่สั่งตรงจากฮาราจุกุ

 

55. ลองขอร้องให้ช่างมือโปรตามเคานท์เตอร์แต่งหน้าให้แต่งให้เราหน่อย โดยใช้วิธีต่อไปนี้

 

- ไปเคานท์เตอร์เครื่องสำอาง หาพนักงานที่สบตาและยิ้มให้คุณ แล้วเข้าไปคุย

- ชวนเธอสนทนาปัญหาความงามร้อยแปดของคุร เดี๋ยวเธอจะชวนคุณลองผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ

- ต้องสนใจผลิตภัณฑ์ที่เธอเสนอจริง ๆ อยาเสแสร้ง อย่าเดินหนีถ้าเธอบอกว่าจะแต่งหน้าต้องเสียเงิน หยุดฟังแล้วดูว่าเธอจะเสนออะไรก่อน แบรนด์ส่วนมากจะให้คุณซื้อผลิตภัณฑ์ครบกี่บาทก็ว่าไป แล้วจะได้แต่งหน้าฟรี บางท่แค่ตั้งใจฟังได้แต่งให้ฟรีแล้ว

- เลือกเวลาตอนที่แบรนด์นั้นออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เพราะมักมีโปรโมชั่นพิเศษให้คนซื้อเสมอ หรือดูว่าช่วงไหนมีเมคอัพอาณ์ตติสต์มาจากต่างประเทศ แล้วไปซื้อช่วงนั้น ได้แต่งหน้ากับมือโปร เรียนรู้วิธีจากเขาได้อีกด้วย

 

http://www.oknation.net/blog/naisu/2007/11/20/entry-1

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...