ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

World Markets: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม 2560 07:35:12 น.
ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 13 ธ.ค. 2560

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% ตามคาดในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมกับปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐทั้งในปีนี้และปีหน้า อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 ปิดตลาดในแดนลบ เนื่องจากหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง หลังจากคณะกรรมการเฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 3 ครั้งในปีหน้า ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้



ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,585.43 จุด เพิ่มขึ้น 80.63 จุด หรือ +0.33% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,875.80 จุด เพิ่มขึ้น 13.48 จุด หรือ +0.20% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,662.85 จุด ลดลง 1.26 จุด หรือ -0.05%

-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งของอิตาลีในปีหน้า ซึ่งส่งผลให้ดัชนี FTSE MIB ตลาดหุ้นอิตาลีร่วงลงอย่างหนักถึง 1.4% ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงจากความกังวลดังกล่าวเช่นกัน นอกจากนี้ นักลงทุนยังชะลอการซื้อขายก่อนที่จะทราบผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการไปก่อนที่คณะกรรมการเฟดจะแถลงมติการประชุม

ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.2% ปิดที่ 390.70 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,125.64 จุด ลดลง 57.89 จุด หรือ -0.44% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,399.45 จุด ลดลง 27.74 จุด หรือ -0.51% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,496.51 จุด ลดลง 3.90 จุด หรือ -0.05%

-- ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) หลังสหราชอาณาจักรเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่า อัตราค่าจ้างในอังกฤษยังคงถูกกดดันอย่างต่อเนื่อง

ดัชนี FTSE 100 ลดลง 3.90 จุด หรือ -0.05% ปิดที่ 7,496.51 จุด
-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สหรัฐผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 54 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 56.60 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 90 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 62.44 ดอลลาร์/บาร์เรล

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% ตามคาด ในการประชุมเมื่อวานนี้ และส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 3 ครั้งในปีหน้า ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 6.9 ดอลลาร์ หรือ 0.56% ปิดที่ระดับ 1248.60 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 20.1 เซนต์ หรือ 1.28% ปิดที่ 15.869 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 30 เซนต์ หรือ 0.03% ปิดที่ 875.40 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 1.70 ดอลลาร์ หรือ 0.2% ปิดที่ 1,004.05  ดอลลาร์/ออนซ์

-- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อที่สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% พร้อมกับส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีหน้า ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้

ยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1789 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1739 ดอลลาร์ ขณะที่ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเยน ที่ระดับ 112.83 เยน จากระดับ 113.55 เยน

ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 6,875.80 จุด เพิ่มขึ้น 13.48 จุด, +0.20%
ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 24,585.43 จุด เพิ่มขึ้น 80.63 จุด, +0.33%
ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 2,662.85 จุด ลดลง 1.26 จุด, -0.05%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,399.45 จุด ลดลง 27.74 จุด, -0.51%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,125.64 จุด ลดลง 57.89 จุด, -0.44%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,496.51 จุด ลดลง 3.90 จุด, -0.05%
ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 33,053.04 จุด ลดลง 174.95 จุด, -0.53%
ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 3,468.77 จุด เพิ่มขึ้น 3.23 จุด, +0.09%
ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดที่ 1,737.66 จุด เพิ่มขึ้น 8.09 จุด, +0.47%
ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 6,054.60 จุด เพิ่มขึ้น 22.23 จุด, +0.37%

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 29,222.10 จุด เพิ่มขึ้น 428.22 จุด, +1.49%
ดัชนี VN ตลาดหุ้นเวียดนามปิดที่ 924.40 จุด ลดลง 2.85 จุด, -0.31%
ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 8,359.61 จุด เพิ่มขึ้น 25.55 จุด, +0.31%

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดวันนี้ที่ 3,303.04 จุด เพิ่มขึ้น 22.23 จุด, +0.68%

ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 2,480.55 จุด เพิ่มขึ้น 19.55 จุด, +0.79%
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 22,758.07 จุด ลดลง 108.10 จุด, -0.47%
ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 10,470.70 จุด เพิ่มขึ้น 27.42 จุด, +0.26%
ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 6,021.80 จุด เพิ่มขึ้น 8.60 จุด, +0.14%

ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 6,103.10 จุด เพิ่มขึ้น 10.00 จุด, +0.16%

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย คมปทิต สกุลหวง/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq20/2754247

 

World Today: สรุปข่าวประเด็นน่าติดตามประจำวันที่ 14 ธันวาคม 2560

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม 2560 09:00:56 น.
-- คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.25-1.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ พร้อมกับส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2561 และอีก 3 ครั้งในปี 2562 ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากคาดการณ์ก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะแตะ 2.8% ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยระยะยาว



ขณะเดียวกัน เฟดปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐสู่ระดับ 2.5% ในปีนี้ จาก 2.4% ซึ่งเป็นตัวเลขคาดการณ์ในเดือนก.ย. ส่วนในปี 2561, 2562 และ 2563 อยู่ที่ระดับ 2.5%, 2.1% และ 2.0% จากคาดการณ์เดิมที่ 2.1%, 2.0% และ 1.8% ตามลำดับ ขณะที่อัตราการขยายตัวในระยะยาวอยู่ที่ระดับ 1.8%

-- ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ซึ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อวานนี้ (13 ธ.ค.) ว่า ข้อมูลที่ได้รับนับตั้งแต่ที่คณะกรรมการ FOMC ประชุมกันในเดือนพ.ย.บ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานยังคงมีความแข็งแกร่ง และกิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวขึ้นในระดับที่แข็งแกร่งเช่นกัน โดยแม้ว่าเกิดผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคน แต่ตัวเลขการจ้างงานโดยเฉลี่ยปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และอัตราว่างงานยังคงปรับตัวลดลง ขณะที่การใช้จ่ายภาคครัวเรือนมีการขยายตัวปานกลาง และการขยายตัวด้านการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของภาคธุรกิจเริ่มกระเตื้องขึ้นในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา

-- นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐเมื่อวานนี้ว่า "โดยทั่วไปแล้ว กรรมการเฟดมองว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีมีแนวโน้มที่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจให้ขยายตัวขึ้นเล็กน้อย ขณะที่กรรมการเฟดหลายคนมองว่า นโยบายภาษียังคงอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน"

นอกจากนี้ นางเยลเลนยังได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสกุลเงินบิตคอยน์ว่า "บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่มีการเก็งกำไรสูง และมีบทบาทน้อยมากต่อระบบการชำระหนี้ นอกจากนี้ บิตคอยน์ยังเป็นสกุลเงินที่ไม่มีเสถียรภาพ"

-- สำหรับความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐ นายออร์ริน แฮทช์ ประธานคณะกรรมาธิการการเงินประจำวุฒิสภาสหรัฐ กล่าวเมื่อคืนนี้ว่า สมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐและวุฒิสภา สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีแล้ว

ทั้งนี้ ต่อข้อถามที่ว่า สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐและวุฒิสภาสามารถบรรลุข้อตกลงในการขจัดความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของทั้ง 2 สภาใช่หรือไม่ นายแฮทช์กล่าวว่า ใช่ และผมคิดว่าเราได้ข้อตกลงแล้ว

-- มูลค่าตลาดของสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมดในระบบพุ่งทะลุ 5 แสนล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกเมื่อคืนนี้ ซึ่งสูงกว่ามูลค่าตลาดของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ของนายวอร์เรน บัฟเฟทท์ ซึ่งอยู่ที่ระดับ 4.91 แสนล้านดอลลาร์ และมากกว่ามูลค่าตลาดของซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โกรวมกัน ซึ่งมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ระดับ 2.01 แสนล้านดอลลาร์ และ 2.97 แสนล้านดอลลาร์ตามลำดับ

-- รัฐบาลเกาหลีใต้จัดการประชุมฉุกเฉินเมื่อวานนี้ โดยรัฐบาลระบุว่ากำลังพิจารณาจัดเก็บภาษีกำไรจากการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล และประกาศห้ามผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทำการเปิดบัญชีกับตลาดซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล

นอกจากนี้ รัฐบาลจะยังคงคำสั่งห้ามสถาบันการเงินทำการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล
ขณะเดียวกัน ตลาดซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลในเกาหลีใต้จะต้องปฏิบัติตามกฎข้อบังคับในการปกป้องนักลงทุน และทำการเปิดเผยคำสั่งเสนอซื้อ/เสนอขายทุกรายการ

อย่างไรก็ดี คำสั่งดังกล่าวของรัฐบาลยังคงต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐสภาเกาหลีใต้
-- เจ้าหน้าที่จากกรมสรรพากรของอินเดียบุกตรวจค้นสำนักงานของตลาดซื้อขายบิตคอยน์ทั่วประเทศเมื่อวานนี้ เนื่องจากต้องสงสัยว่าทำการเลี่ยงภาษี

เจ้าหน้าที่ได้บุกตรวจค้นตลาดซื้อขายบิตคอยน์อย่างน้อย 8 แห่งในหลายเมือง เช่น นิวเดลี เบงกาลูรู ไฮเดอร์ราบัด และโคชิ ซึ่งแม้เจ้าหน้าที่ไม่ได้จับกุมตัวผู้ใด แต่ก็มีการยึดเอกสารจำนวนหนึ่ง เพื่อตรวจสอบว่าตลาดเหล่านี้ละเมิดกฎหมายของอินเดีย และหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีหรือไม่

-- องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ได้จัดการประชุมฉุกเฉินเมื่อวานนี้ที่เมืองอิสตันบูลของตุรกี โดยที่ประชุมได้ออกปฏิญญาประกาศรับรองให้กรุงเยรูซาเลมฝั่งตะวันออกเป็นเมืองหลวงของปาเลสไตน์ และได้เชิญชวนให้ทุกประเทศให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์ ซึ่งมีกรุงเยรูซาเลมฝั่งตะวันออกเป็นเมืองหลวง

นอกจากนี้ ปฏิญญาดังกล่าวยังระบุว่า การที่สหรัฐตัดสินใจให้การรับรองกรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า สหรัฐได้ถอนตัวจากการมีบทบาทเป็นผู้สนับสนุนกระบวนการสันติภาพในตะวันออกกลาง

-- กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ย. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากขยับขึ้น 0.1% ในเดือนต.ค.

ทั้งนี้ ดัชนี CPI ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน ขณะที่ราคาอาหารทรงตัวเป็นเดือนที่ 2

-- จับตาธนาคารกลางฟิลิปปินส์ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย เวลา 15.00 น. ของวันนี้ตามเวลาไทย และธนาคารกลางอินโดนีเซียประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย เวลา 16.00 น. ของวันนี้

-- จับตาธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ยวันนี้เวลา 19.45 น. ตามเวลาไทย คาดว่าการประชุมดังกล่าวจะมีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการที่ทาง ECB จะปรับลดปริมาณการซื้อสินทรัพย์รายเดือนลง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในช่วงเดือนม.ค. 2561

สำหรับการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อเดือนต.ค. ที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.4% และได้คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%

ขณะเดียวกัน ECB  ระบุว่า จะต่อเวลาโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ไปจนถึงเดือนก.ย.ปีหน้า แต่จะลดวงเงินลงสู่ระดับ 3 หมื่นล้านยูโร/เดือน จากระดับปัจจุบันที่ 6 หมื่นล้านยูโร/เดือน โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่เดือนม.ค. ปีหน้าเป็นต้นไป

-- จับตาธนาคารกลางอังกฤษประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย เวลา 19.00 น. ของวันนี้ตามเวลาไทย

สำหรับการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อเดือนพ.ย. ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติด้วยคะแนนเสียง 7-2 เห็นพ้องให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.50% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงิน

การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี หลังจากที่ BoE ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในเดือนก.ค.2550

-- จับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจจากประเทศต่างๆในวันนี้ โดยทางการจีนมีกำหนดการรายงานตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย. และยอดค้าปลีกเดือนพ.ย. เวลา 09.00 น. ของวันนี้ตามเวลาไทย และตัวเลขการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเดือนพ.ย. เวลา 09.30 น.

-- ทางการญี่ปุ่นเตรียมเปิดเผยตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค. เวลา 11.30 น. ของวันนี้ตามเวลาไทย

-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยุโรป ฝรั่งเศสเตรียมรายงานอัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย. เวลา 14.45 น. ของวันนี้ตามเวลาไทย ตามมาด้วยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต-บริการเบื้องต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต เวลา 15.00 น.

รายงานล่าสุดอย่างเป็นทางการระบุว่า ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการของฝรั่งเศสเดือนพ.ย.อยู่ที่ 60.3 เพิ่มขึ้นจากระดับ 57.4 เมื่อเดือนต.ค.

-- เยอรมนีเตรียมรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต-บริการเบื้องต้นเดือนธ.ค. เวลา 15.30 น. ของวันนี้ตามเวลาไทย

รายงานล่าสุดอย่างเป็นทางการระบุว่า ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการเดือนพ.ย.ของเยอรมนีอยู่ที่ 57.3 เพิ่มขึ้นจากระดับ 56.6 เมื่อเดือนต.ค.

-- ยูโรโซนเตรียมรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต-บริการเบื้องต้นเดือนธ.ค. เวลา 16.00 น. ของวันนี้ตามเวลาไทย

รายงานล่าสุดอย่างเป็นทางการระบุว่า ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการเดือนพ.ย.ของยูโรโซนอยู่ที่ 57.5 เพิ่มขึ้นจากระดับ 56.0 เมื่อเดือนต.ค. แต่ทรงตัวเมื่อเทียบกับตัวเลขเบื้องต้นที่ 57.5

-- จับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ย., ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเบื้องต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต, สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค., ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนธ.ค.จากเฟดนิวยอร์ก และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย กนิษฐนุช สิริสุทธิ์/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq29/2754331

เยลเลน เผยนโยบายภาษีช่วยหนุนเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อย ชี้บิตคอยน์เป็นสกุลเงินที่ไม่มีเสถียรภาพ

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม 2560 08:49:28 น.
นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐเมื่อวานนี้ว่า "โดยทั่วไปแล้ว กรรมการเฟดมองว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีมีแนวโน้มที่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจให้ขยายตัวขึ้นเล็กน้อย ขณะที่กรรมการเฟดหลายคนมองว่า นโยบายภาษียังคงอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน"



สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในระหว่างการแถลงครั้งนี้ นางเยลเลนได้กล่าวอย่างระมัดระวังว่า การแสดงความเห็นครั้งล่าสุดนี้ไม่ควรถูกนำไปตีความว่าเป็นการประเมินเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายภาษี พร้อมกับเน้นย้ำว่า ผลกระทบดังกล่าวยังคงไม่แน่นอน

นางเยลเลนยังกล่าวด้วยว่า กรรมการเฟด ซึ่งรวมถึงตัวเธอเองด้วยนั้น เชื่อว่านโยบายภาษีจะช่วยหนุนตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ให้ขยายตัวขึ้น "เพียงเล็กน้อย" ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้านี้ และด้วยการคาดการณ์ดังกล่าว ทำให้เฟดยังคงระดับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ และคงระดับการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมเช่นกัน

ทั้งนี้ เฟดคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐจะขยายตัว 1.7% ในปี 2560 และขยายตัว 1.9% ในปี 2561 นอกจากนี้ เฟดยังส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปี 2561 ซึ่งตัวเลขคาดการณ์ทั้งหมดนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้คาดการณ์ไว้ในเดือนก.ย.

นางเยลเลนตั้งข้อสังเกตว่า อัตราเงินเฟ้อที่ซบเซาถือเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดกำลังเผชิญอยู่ อย่างไรก็ตาม นางเยลเลนกล่าวว่า กรรมการเฟดยังคงเชื่อว่าปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวซึ่งจะกดดันอัตราเงินเฟ้อให้อ่อนแรงลงในปีนี้ จะเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว โดยกรรมการเฟดยังคงคาดการณ์ว่า ในระยะกลางนี้ อัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%

นอกจากนี้ นางเยลเลนยังได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสกุลเงินบิตคอยน์ว่า "บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่มีการเก็งกำไรสูง และมีบทบาทน้อยมากต่อระบบการชำระหนี้ นอกจากนี้ บิตคอยน์ยังเป็นสกุลเงินที่ไม่มีเสถียรภาพ"

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/ปรียพรรณ โทร.02-2535000 ต่อ 338 อีเมล์: preeyapan@infoquest.co.th--

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq27/2754325

ภาวะตลาดหุ้นไทย: แกว่งตัว ลดความผันผวนหลังเฟดขึ้นดบ.ตามคาด-หวังแรงซื้อ Big cap หนุนดัชนีทดสอบ 1,711-1,715 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม 2560 08:55:35 น.
นักวิเคราะห์ฯคาดดัชนีหุ้นไทยเช้านี้แกว่งตัว ลดความผันผวนหลังจากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามตลาดคาดการณ์ ขณะที่ยังมีเม็ดเงินจากกองทุน LTF/RMF เข้ามาลงทุนต่อเนื่อง รวมถึงแรงซื้อหุ้นในขนาดใหญ่น่าจะหนุนให้ดัชนี SET50 มีโอกาสทะลุ 1,107 จุด ทำระดับสูงสุดใหม่ ผลักดันให้ดัชนี SET มีโอกาสทดสอบ 1,711-1,715 จุดได้ หลังตัวเลขเศรษฐกิจของไทยยังมีแนวโน้มเป็นบวก รวมถึงการปรับพอร์ตลงทุนหลังตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศรายชื่อหุ้นที่ใช้สำหรับคำนวณดัชนี SET50 ดัชนี SET100 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 61 และการจะทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่จะใช้ในการคำนวณ FTSE SET Index พร้อมให้แนวต้านที่ระดับ 1,711-1,715 จุด และแนวรับที่ 1,700 และ 1,695 จุด



นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยเช้านี้แกว่งตัว แต่มีความผันผวนลดลงหลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด พร้อมส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 61 ซึ่งสอดคล้องกับของโนมูระฯ ที่คาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีหน้าเช่นกัน หลังแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐยังมีทิศทางเป็นบวก ขณะที่ตลาดหุ้นภูมิภาคเช้านี้เคลื่อนไหวในทิศทางที่เป็นบวก แต่ไม่หวือหวามากนัก

สำหรับปัจจัยในประเทศยังมีทิศทางที่ดี จากตัวเลขเศรษฐกิจที่เป็นบวก และกองทุนในประเทศยังคงซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย จากเม็ดเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่มีเข้ามาต่อเนื่อง แม้นักลงทุนต่างชาติยังอยู่ในทิศทางการขายสุทธิก็ตาม

ทั้งนี้ ต้องจับตามแรงซื้อที่มีเข้ามาในหุ้น Big Cap ว่าจะสามารถผลักดันให้ดัชนี SET50 ทะลุ 1,107 จุด ซึ่งจะเป็นระดับ All Time High หลังจากในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมาเริ่มมีแรงซื้อในหุ้นขนาดใหญ่เข้ามา เช่น กลุ่มสื่อสาร โดยหากดัชนี SET50 ทะลุระดับ 1,107 จุด ก็จะช่วยหนุน Sentiment เชิงบวกผลักดันให้ดัชนี SET ปรับขึ้นทดสอบระดับ 1,711-1,715 จุด ขณะที่คาดว่าจะมีการปรับพอร์ตการลงทุน หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ใช้สำหรับคำนวณดัชนี SET50 ดัชนี SET100 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 61 ออกมาแล้ว และจับตาการทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่จะใช้ในการคำนวณ FTSE SET Index ซึ่งจะมีผลในกลางเดือนธ.ค.นี้

พร้อมให้แนวรับบริเวณ 1,700 และ 1,695 จุด และแนวต้าน 1,711-1,715 จุด
--อินโฟเควสท์ โดย วิลาวัลย์ พงษ์พิทักษ์/เสาวลักษณ์ โทร.02-2535000 ต่อ 353 อีเมล์: saowalak@infoquest.co.th--

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq05/2754327

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

ข่าวในพระราชสำนัก วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2560

Hua Seng Heng Morning News 15-12-2017HSHsocial

เฮฮาภาษาทอง by Ylg 15-12-2560Ylg Bullion

Morning Report Gold Investment 15-12-17YLGResearch

---

บทวิเคราะห์ Daily Comment
ประจำช่วง Day Session
วันที่ 15 ธันวาคม 2560

ราคาทองโดนกดดันในช่วงแรกจากตัวเลขเศรษฐกิจ แต่ดีดกลับได้ช่วงท้ายตลาดจากความกังวลเรื่องแผนปฏิรูปภาษี
ราคาทองคำปิดปรับตัวลดลง 2.59 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หรือคิดเป็น -0.21% โดยปิดที่ 1,252.78 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ โดยราคาเมื่อวานนี้เคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1,249.85 – 1,259.11 ดอลลาร์ เช้านี้ราคาทองเคลื่อนไหวในแดนบวกอยู่บริเวณ 1,255 เหรียญ ราคาทองปรับตัวลดลงในเมื่อคืนนี้หลังจากตัวเลขภาคค้าปลีกของสหรัฐฯ ประกาศออกมาเติบโตต่อเนื่องเป็นผลให้กดดันราคาทองและหนุนค่าเงินดอลลาร์ แต่ในช่วงท้ายตลาดนั้นประเด็นเรื่องแผนปฏิรูปภาษีที่เริ่มมีความสั่นคลอน จากสมาชิกนิติบัญญัติสองรายต้องการเปลี่ยนแปลงร่างกฏหมายปฏิรูปภาษี และการเลือกตั้งวุฒิสภาในรัฐอลาบามานั้นได้ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ส่งผลให้เสียงข้างมากของพรรครีพับลิกันลดลง ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลถึงความล่าช้าของแผนการปฏิรูปภาษี ซึ่งกดดันค่าเงินดอลลาร์และกลับมาหนุนราคาทอง โดยภาพเทคนิคทองคำนั้น ราคาทองได้ลงมาทดสอบแนวรับบริเวณ 1,252 เหรียญที่ให้ไว้ และลงไปทำจุดต่ำสุดบริเวณ 1,250 เหรียญ และกลับมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1,255 เหรียญ ไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ ทำให้คาดว่าราคาทองมีโอกาส sideway up ขึ้นได้

แนะนำ ผู้ที่เปิดสถานะซื้อเมื่อวานตามที่แนะนำ ถือเพื่อรอทะลุ 1,259 เหรียญ และให้จุด stoploss บริเวณ 1,246 เหรียญ ผู้ที่ไม่มีสถานะหาจังหวะเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาย่อตัวลง แต่ต้องไม่หลุดแนวรับบริเวณ 1,250 เหรียญ

สามารถติดตามบทวิเคราะห์ทั้งหมดได้ที่
http://www.classicgold.co.th/…/filestrategy1512201710214843…

สนใจลงทุนทองคำกับ Classic Gold
ทองคำแท่ง : 02-225-7770
เว็บไซต์ : www.classicgold.co.th

No automatic alt text available.
----

YLG GOLD DAILY UPDATE 15-12-60
• ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวลดลง 2.59 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยได้รับแรงกดดันหลังดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นจากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ดีเกินคาด 
• อย่างไรก็ตามดอลลาร์ลดช่วงบวกหลังวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน 2 คนออกมากล่าวว่ายังไม่ตัดสินใจว่าจะโหวตร่างกฏหมายภาษีฉบับสุดท้ายหรือไม่ ซึ่งอาจเพิ่มความยากลำบากหากการเจรจายืดเยื้อไปถึงปีหน้าเพราะพรรครีพับลิกันเพิ่งเสียที่นั่งให้แก่เดโมแครตในการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกในรัฐอลาบามา
อ่านฉบับเต็ม :https://goo.gl/AB3bGD
บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
Line ID : @ylgbullion
Facebook : YLG Group
เว็ปไซต์ : www.ylgbullion.co.th

#YLG #GOLD #ทองคำ #เทรดทองออนไลน์ #YLGBULLION #บทวิเคราะห์ราคาทอง #กราฟเทคนิค #ราคาทองคำ

No automatic alt text available.
 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:)

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อนเทียบสกุลเงินหลัก กังวลร่างกม.ปฏิรูปภาษีเผชิญอุปสรรค

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560 06:58:51 น.
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (14 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า การผลักดันร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของคณะทำงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ อาจเผชิญอุปสรรค หลังจากวุฒิสมาชิก 2 รายจากพรรครีพับลิกันได้ออกมาส่งสัญญาณว่าจะไม่ลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับนี้ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น ขานรับรายงานยอดค้าปลีกของอังกฤษที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนพ.ย.



ยูโรแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.1799 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1789 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.3441 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3368 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 0.7676 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7624 ดอลลาร์

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 112.12 เยน จากระดับ 112.83 เยน แต่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9871 ฟรังก์ จากระดับ 0.9865 ฟรังก์

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี หลังจากนายมาร์โค รูบิโอ และนายไมค์ ลี สองวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันได้เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า พวกเขาจะไม่ลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับนี้ หากไม่มีการเพิ่มวงเงินในการลดหย่อนภาษีเพื่อการสังเคราะห์บุตร โดยที่ผ่านมานั้น นายรูบิโอและนายลีได้พยายามผลักดันให้ครอบครัวชาวอเมริกันที่มีรายได้น้อย สามารถรับประโยชน์จากมาตรการลดหย่อนภาษีให้มากที่สุด

ความเคลื่อนไหวของวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันทั้ง 2 รายนี้มีขึ้นในช่วงเวลาที่สมาชิกสภาคองเกรสกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาเพื่อลงมติร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี ก่อนที่จะส่งต่อให้กับปธน.ทรัมป์เพื่อลงนามรับรองเป็นกฎหมายก่อนวันคริสต์มาสนี้

นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังคงได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า ตัวเลขเงินเฟ้อที่ซบเซาของสหรัฐอาจเป็นอุปสรรคขัดขวางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีหน้า โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ย. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ขยับขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนพ.ย. หลังจากดีดตัวขึ้น 0.2% ในเดือนต.ค.

ส่วนสกุลเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกของสหราชอาณาจักรพุ่งขึ้น 1.6% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยยอดค้าปลีกดังกล่าว รวมถึงยอดขายในวัน Black Friday ซึ่งตรงกับวันที่ 24 พ.ย.

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนธ.ค.จากเฟดนิวยอร์ก และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq21/2754807

 

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 76.77 จุด วิตกร่างกม.ปฏิรูปภาษีเผชิญอุปสรรค

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560 06:31:44 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (14 ธ.ค.) จากความวิตกกังวลที่ว่า การผลักดันร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของคณะทำงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ อาจเผชิญอุปสรรค หลังจากวุฒิสมาชิก 2 รายจากพรรครีพับลิกันได้ออกมาส่งสัญญาณว่าจะไม่ลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับนี้ โดยความกังวลในเรื่องดังกล่าวได้สกัดปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกที่พุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนพ.ย.



ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,508.66 จุด ลดลง 76.77 จุด หรือ -0.31% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,652.01 จุด ลดลง 10.84 จุด หรือ -0.41% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,856.53 จุด ลดลง 19.27 จุด หรือ -0.28%

นักลงทุนเริ่มกลับมาวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี หลังจากนายมาร์โค รูบิโอ และนายไมค์ ลี สองวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันได้เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า พวกเขาจะไม่ลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับนี้ หากไม่มีการเพิ่มวงเงินในการลดหย่อนภาษีเพื่อการสังเคราะห์บุตร โดยที่ผ่านมานั้น นายรูบิโอและนายลีได้พยายามผลักดันให้ครอบครัวชาวอเมริกันที่มีรายได้น้อย สามารถรับประโยชน์จากมาตรการลดหย่อนภาษีให้มากที่สุด

ความเคลื่อนไหวของวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันทั้ง 2 รายนี้มีขึ้นในช่วงเวลาที่สมาชิกสภาคองเกรสกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาเพื่อลงมติร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี ก่อนที่จะส่งต่อให้กับปธน.ทรัมป์เพื่อลงนามรับรองเป็นกฎหมายก่อนวันคริสต์มาสนี้

ทั้งนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีได้บดบังปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกเดือนพ.ย.ที่เพิ่มขึ้น 0.8% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% ขณะที่จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกอยู่ที่ระดับ 225,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 239,000 ราย โดยตัวเลขผู้ที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงอยู่ต่ำกว่า 300,000 ราย เป็นสัปดาห์ที่ 145 ติดต่อกัน ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2513

ดัชนีหุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพร่วงลง 1.1% นำโดยหุ้นเวเลียนท์ ฟาร์มาซูติคัลส์ ร่วงลง 11%

หุ้นแซนเดอร์สัน ฟาร์มส์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตและจำหน่ายสัตว์ปีก ดิ่งลง 13%  หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสที่น้อยกว่าตัวเลขคาดการณ์

หุ้นเทวา ฟาร์มาซูติคอล อินดัสตรีส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาสามัญรายใหญ่ที่สุดในโลก ทะยานขึ้น 10% หลังจากบริษัทประกาศแผนปรับโครงสร้างบริษัทเป็นเวลา 2 ปี พร้อมกับปลดพนักงานจำนวน 14,000 คนทั่วโลก หรือมากกว่า 25% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด และระงับการจ่ายเงินปันผล เพื่อลดค่าใช้จ่าย 3 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2562

หุ้นทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ พุ่งขึ้น 6.5% ขณะที่หุ้นวอลท์ ดิสนีย์ ดีดตัวขึ้น 2.8% หลังจากวอลท์ ดิสนีย์ ประกาศเข้าซื้อธุรกิจส่วนใหญ่ในทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ในข้อตกลงวงเงินมากกว่า 5.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในรูปหุ้น โดยภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ดิสนีย์จะได้ครอบครอง เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค, สตาร์ทีวี, สตูดิโอภาพยนตร์ของฟ็อกซ์, หุ้นในสกาย รวมทั้งเครือข่ายกีฬาในภูมิภาค

ทั้งนี้ การที่ดิสนีย์ซื้อธุรกิจบันเทิงของฟ็อกซ์นั้น จะช่วยสนับสนุนแผนการของดิสนีย์ในการเป็นผู้ให้บริการแพลทฟอร์มระบบ streaming และจะเป็นคู่แข่งสำคัญของ Netflix โดยเมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ดิสนีย์ประกาศว่าทางบริษัทจะเริ่มให้บริการ streaming แบบ standalone และจะถอดภาพยนตร์ของบริษัทออกจาก Netflix โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2562

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น โดยหุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ขยับขึ้น 0.8% หุ้นอเมซอนดอทคอม ปรับตัวขึ้น 0.9% และหุ้นทวิตเตอร์ พุ่งขึ้น 4.3%

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนธ.ค.จากเฟดนิวยอร์ก และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq18/2754802

(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับขึ้น รับผลบวกเม็ดเงิน LTF/RMF ซื้อต่อเนื่อง-ราคาน้ำมันฟื้น,จับตาร่างกม.ปฏิรูปภาษีสหรัฐฯ

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560 09:42:56 น.
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหว Sideway Up ต่อเนื่อง แม้ช่วงเช้าอาจจะแกว่งตัวหลังจากที่ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับลดลง จากความกังวลเรื่องร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ แต่เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะยังคงสามารถปิดทำการในแดนบวกได้ และดัชนียังมีโอกาสทดสอบระดับ 1,720 จุด จากราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวขึ้น



นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากการลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่ยังมีเข้ามาต่อเนื่องในช่วงปลายปี รวมถึงการปรับพอร์ตของกองทุนต่าง ๆ หลังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ใช้สำหรับคำนวณดัชนี SET50 ดัชนี SET100 ชุดใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 61 และการทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่จะใช้ในการคำนวณ FTSE SET Index ซึ่งจะมีผลในวันที่ 18 ธ.ค.นี้

อย่างไรก็ตามยังต้องจับตาความคืบหน้าของร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯว่าจะผ่านได้ในสัปดาห์หน้าตามที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้หรือไม่ ขณะที่การลงทุนของต่างชาติในช่วงนี้อาจไม่ได้มีนัยสำคัญมากนัก แม้จะยังมีแรงขายต่อเนื่องแต่ก็เริ่มเห็นการชะลอตัวลงหลังเข้าใกล้ช่วงสิ้นปี

พร้อมให้แนวรับบริเวณ 1,710 และ 1,707 จุด ส่วนแนวต้าน อยู่ที่ 1,722 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (14 ธ.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,508.66 จุด ลดลง 76.77 จุด (-0.31%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,652.01 จุด ลดลง 10.84 จุด (-0.41%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,856.53 จุด ลดลง 19.27 จุด (-0.28%)

- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 73.09 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 18.91 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 20.80 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.94 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 166.27 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 4.91 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 19.49 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 35.40 จุด

- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (14 ธ.ค.60) 1,714.99 จุด เพิ่มขึ้น 8.06 จุด (+0.47%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 603.98 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.61 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (14 ธ.ค.60) ปิดที่ระดับ 57.04 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 44 เซนต์ หรือ 0.8%

- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (14 ธ.ค.60) ที่ 7.44 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

- เงินบาทเปิด 32.50 กลับมาอ่อนค่าหลังมีแรงซื้อดอลล์ มองกรอบวันนี้ 32.45-32.55
- "ประชารัฐ" เตรียมเดินหน้าเฟส 2 ปี 2561 ชูกรอบดำเนินงาน 3 เรื่อง มุ่ง 4.0-ลดเหลื่อมล้ำ-พัฒนาคุณภาพคน เตรียมสรุปการทำงาน ตัวชี้วัดเสนอนายกฯ "กอบศักดิ์" เผย"สมคิด"เตรียมเรียกประชุมทุกเดือน  เอกชนเสนอ 7 โครงการนำร่อง เร่งพ.ร.บ.วิสาหกิจเพื่อชุมชน โครงการไบโอ อีโคโนมี ส.อ.ท.แนะเร่งพัฒนามาตรฐานเอสเอ็มอีเจาะตลาดโลก

- เลขาธิการ EEC แจงร่าง พ.ร.บ. EEC พร้อมตอบโจทย์ผลกระทบทุกมิติ ดูแลทั้งสิ่งแวดล้อม ชุมชน ผังเมือง ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่ 3 จังหวัดดีขึ้นได้แน่ ย้ำที่ผ่านมาเปิดรับฟังความเห็นคนในพื้นที่แล้วไม่น้อยกว่า 11 ครั้ง แถมแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินก็พิจารณา อย่างรอบด้าน นำข้อคิดเห็นมาปรับใช้ในขณะที่พิจารณากฎหมายในชั้นกฤษฎีกา

- ก.ล.ต.ยื่น พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ จัดตั้งกองทุน CMDF ให้คลังพิจารณาแล้ว หลังเปิดรับฟังความคิดเห็น (เฮียริ่ง) เพิ่มเติมเรื่องการปรับปรุง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) เพื่อสนับสนุนทางการเงินกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ตามความจำเป็น

- ภาพรวมการแปลงสภาพกองทุนอสังหาริมทรัพย์เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือรีท ซึ่งจะครบกำหนดภายในสิ้นปีนี้ พบว่าทั้งมีกองทุนที่ยอมแปลงสภาพ ไม่เกิน 4 กองทุนหรือคิดเป็น 10% ของ กองทุนอสังหาฯที่มีประมาณ 40 กองทุน

-  มูดี้ส์ อินเวสเตอร์เซอร์วิส บริษัทจัดอันดับเครดิตชั้นนำของโลก ได้เปิดเผยรายงานระบบธนาคารในเอเชีย-แปซิฟิก ว่า ในปี 2561 ธนาคารในเอเชีย-แปซิฟิกโดยรวมมีความมั่นคง ธนาคารในประเทศพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนา ได้แก่ จีน อินเดีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และมองโกเลีย กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้แก่ ออสเตรเลีย ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้ ได้รับการจัดอันดับมุมมองแนวโน้มมีเสถียรภาพ ระบบการธนาคารในอินโดนีเซียและเวียดนามมีแนวโน้มในเชิงบวก ในขณะที่ประเทศศรีลังกาเป็นลบ

- บอร์ดรฟม.ไฟเขียว ดึงรถไฟฟ้าสีเขียวคืนจากกทม. หลังเจรจาโอนหนี้สินและทรัพย์สินไม่คืบ กทม.ยันให้รัฐรับภาระหนี้ทั้งหมด เล็งเปิดประมูลให้เอกชนร่วมทุนเดินรถ เผยอาจเจรจาโดยตรงบีทีเอสให้เดินรถต่อเนื่อง หวั่นเปิดใช้ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ไม่ทันธ.ค.2561

*หุ้นเด่นวันนี้
- PLAT (เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมาย 9.20 บาท แม้ปรับลดประมาณการลงสะท้อนการเลื่อนเปิดโรงแรมและอาคารสำนักงาน แต่ยังคาดว่า PLAT จะมีอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 17.3% ในช่วง 6 ปี (ปี 2560-2565) เนื่องจากการทยอยเปิดโครงการศูนย์การค้า โรงแรม และอาคารสำนักงาน อีกทั้งมีการปรับขึ้นค่าเช่าโครงการเดิม โดยประเมินราคาเป้าหมายใหม่โดย Rollover ไปเป็นปีหน้าที่ 9.20 บาท จากเดิม 8.50 บาท แนะนำ ซื้อลงทุนระยะยาว โดยคาดกำไรปี 2561 เติบโตไม่มากแต่จะโดดเด่นในปี 2562

- PT (ฟันันเซีย ไซรัส) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 8.80 บาท โดยคาดกำไรสุทธิทำจุดสูงสุดใหม่ตั้งแต่ 4Q60 ที่ 69 ล้านบาท +48% Q-Q จากการเร่งปิดงานไอทีของลูกค้าเพื่อนำค่าใช้จ่ายไปหักก่อนคำนวณภาษี 1.5 เท่า ทำให้กำไรทั้งปีนี้พลิกมาโต 4% Y-Y ที่ 170 ล้านบาท ก่อนจะโตอีก 10% Y-Y อยู่ที่ 187 ล้านบาท ในปีหน้า จากการเร่งลงทุนด้านไอทีของกลุ่มแบงก์ ขณะที่ราคาหุ้นเริ่มสะท้อนแนวโน้มผลประกอบการได้ดีขึ้น แต่เมื่อคิดเป็น PE2561 ยังต่ำเพียง 10 เท่า และปันผลยังสูง 5% ต่อปี อีกทั้ง ถ้าเทียบกับ AIT ที่ทำธุรกิจ SI เหมือนกัน ถือว่ายัง laggard โดย PT +17% YTD น้อยกว่า AIT ที่ +21% YTD

- MINT (เอเอสแอล) แนะ"ซื้อ" ให้มูลค่าหุ้นเหมาะสมเฉลี่ยที่ 50 บาท โดยราคาหุ้น MINT ปรับตัวลงในช่วงต้นเดือนธ.ค.ที่ผ่านมานับเป็นโอกาสลงทุนโดยหุ้นขนาดกลาง-ใหญ่เริ่มมี Fund Flow กลับเข้ามาอีกครั้งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุนระยะสั้น

ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 เดือนแรกที่ยังเพิ่มขึ้นกว่า 8.7% YoY ขณะที่ MINT จะได้รับประโยชน์จากการเข้าสู่ช่วง High Season ทั้งในและต่างประเทศของธุรกิจโรงแรมและอาหารทำให้มุมมองกำไร 4Q60 จะสามารถเติบโตเพิ่มขึ้น หนุนด้วยมาตรการภาครัฐ

--อินโฟเควสท์ โดย วิลาวัลย์ พงษ์พิทักษ์/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq05/2755004

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $8.5 รับเงินดอลล์อ่อน, ECB คงดอกเบี้ย

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560 07:12:47 น.
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ย พร้อมส่งสัญญาณว่าอาจขยายวงเงิน QE หากมีความจำเป็น นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และการปรับฐานลงของตลาดหุ้นสหรัฐ ยังส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย



สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 8.5 ดอลลาร์ หรือ 0.68% ปิดที่ระดับ 1257.10 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 6.5 เซนต์ หรือ 0.41% ปิดที่ 15.934 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 5.8 ดอลลาร์ หรือ 0.66% ปิดที่ 881.20 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค. พุ่งขึ้น 24.66 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 1,028.70 ดอลลาร์/ออนซ์

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาทองคำปรับตัวขึ้นหลังจากที่ประชุม ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.4% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%

ขณะเดียวกัน ECB ระบุว่า ธนาคารอาจจะขยายเวลาโครงการซื้อพันธบัตรเกินกว่าเดือนก.ย.ปีหน้า หากมีความจำเป็น และอาจมีการขยายวงเงิน QE หากแนวโน้มเศรษฐกิจย่ำแย่ลง โดยธนาคารจะใช้มาตรการ QE จนกว่าภาวะเงินเฟ้อมีทิศทางดำเนินไปอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ การปรับฐานลงของตลาดหุ้นสหรัฐยังส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ขณะที่การอ่อนค่าของดอลลาร์ก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาทองคำเช่นกัน โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.01% สู่ระดับ 93.418 เมื่อคืนนี้

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq31/2754808

 

World Today: สรุปข่าวประเด็นน่าติดตามประจำวันที่ 15 ธันวาคม 2560

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560 08:44:08 น.
-- ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จัดการประชุมนโยบายการเงินเมื่อวานนี้ โดยที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.4% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%

ขณะเดียวกัน ECB ประกาศคงวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 6 หมื่นล้านยูโร/เดือนจนถึงสิ้นปีนี้ และลดลงสู่ระดับ 3 หมื่นล้านยูโร/เดือน โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่เดือนม.ค.ปีหน้าจนถึงเดือนก.ย.ปีหน้า



อย่างไรก็ดี ECB ระบุว่า ธนาคารอาจจะขยายเวลาโครงการซื้อพันธบัตรเกินกว่าเดือนก.ย.ปีหน้า หากมีความจำเป็น และอาจมีการขยายวงเงิน QE หากแนวโน้มเศรษฐกิจย่ำแย่ลง โดยธนาคารจะใช้มาตรการ QE จนกว่าภาวะเงินเฟ้อมีทิศทางดำเนินไปอย่างยั่งยืน

-- ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ 9-0 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันนี้ ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

-- เมื่อวานนี้ ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยโครงการเงินกู้ระยะกลาง (MLF) และอัตราดอกเบี้ย reverse repo ขึ้น 0.05% หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในคืนก่อนหน้านั้น

ธนาคารกลางจีนได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยข้อตกลงซื้อพันธบัตรโดยมีสัญญาขายคืน (reverse repo) ประเภท 7 วัน สู่ระดับ 2.5% จากระดับ 2.45% และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย reverse repo ประเภท 28 วัน สู่ระดับ 2.8% จากระดับ 2.75%

นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีนยังได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย MLF ประเภท 1 ปี สู่ระดับ 3.25% จากระดับ 3.20%

-- ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐเริ่มปรากฏให้เห็นอุปสรรค หลังจากวุฒิสมาชิก 2 รายจากพรรครีพับลิกันได้ออกมาส่งสัญญาณว่าจะไม่ลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับนี้

นักลงทุนเริ่มกลับมาวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี หลังจากนายมาร์โค รูบิโอ และนายไมค์ ลี สองวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันได้เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า พวกเขาจะไม่ลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับนี้ หากไม่มีการเพิ่มวงเงินในการลดหย่อนภาษีเพื่อการสังเคราะห์บุตร โดยที่ผ่านมานั้น นายรูบิโอและนายลีได้พยายามผลักดันให้ครอบครัวชาวอเมริกันที่มีรายได้น้อย สามารถรับประโยชน์จากมาตรการลดหย่อนภาษีให้มากที่สุด

ความเคลื่อนไหวของวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันทั้ง 2 รายนี้มีขึ้นในช่วงเวลาที่สมาชิกสภาคองเกรสกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาเพื่อลงมติร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี ก่อนที่จะส่งต่อให้กับปธน.ทรัมป์เพื่อลงนามรับรองเป็นกฎหมายก่อนวันคริสต์มาสนี้

-- นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า ECB ได้ทำการปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนสู่ระดับ 2.4% ในปีนี้ และ 2.3% ในปีหน้า ส่วนการขยายตัวในปี 2562 และ 2563 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.9% และ 1.7%

นายดรากียังกล่าวว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่ ECB ได้รับ สร้างความเชื่อมั่นว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวไปสู่ตัวเลขเป้าหมายของ ECB ซึ่งอยู่ต่ำกว่า 2% เพียงเล็กน้อยในระยะกลาง

ขณะเดียวกัน ECB ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในยูโรโซน สู่ระดับ 1.4% ในปีหน้า และคาดว่าจะแตะระดับ 1.5% และ 1.7% ในปี 2562 และ 2563 ตามลำดับ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงราคาน้ำมัน และอาหารที่ดีดตัวขึ้น

-- บริษัทวอลท์ ดิสนีย์ ประกาศเมื่อวานนี้ว่า ทางบริษัทจะซื้อธุรกิจส่วนใหญ่ในบริษัททเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ในข้อตกลงวงเงินมากกว่า 5.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในรูปหุ้น

ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ดิสนีย์จะได้ครอบครอง เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค, สตาร์ทีวี, สตูดิโอภาพยนตร์ของฟ็อกซ์, หุ้นในสกาย รวมทั้งเครือข่ายกีฬาในภูมิภาค

การที่ดิสนีย์ซื้อธุรกิจบันเทิงของฟ็อกซ์จะช่วยสนับสนุนแผนการของดิสนีย์ในการเป็นผู้ให้บริการแพลทฟอร์มระบบ streaming และจะเป็นคู่แข่งสำคัญของ Netflix

-- บริษัทเทวา ฟาร์มาซูติคอล อินดัสตรีส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาสามัญรายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของอิสราเอล ประกาศแผนปรับโครงสร้างบริษัทเป็นเวลา 2 ปี พร้อมกับปลดพนักงานจำนวน 14,000 คนทั่วโลก หรือมากกว่า 25% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด และระงับการจ่ายเงินปันผล เพื่อลดค่าใช้จ่าย 3 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2562 ขณะที่บริษัทมีหนี้สูงถึง 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์

-- ริพเพิล ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัล พุ่งขึ้น 37.5% แตะระดับสุงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวานนี้ที่ 51.37 เซนต์ ส่งผลให้ริพเพิลมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 1.823 หมื่นล้านดอลลาร์ แซงหน้าไลท์คอยน์ และกลายเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก

ริพเพิลทะยานขึ้นมากกว่า 7,000% จากต้นปีนี้ ซึ่งขณะนั้นมีมูลค่าเพียง 0.65 เซนต์
สกุลเงินดิจิทัลมีมากกว่า 1,000 สกุลทั่วโลก และขณะนี้ต่างก็ดีดตัวขึ้น โดยได้อานิสงส์จากการที่คณะกรรมาธิการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ (CFTC) ของสหรัฐ มีมติอนุมัติให้เปิดการซื้อขายสัญญาบิตคอยน์ในตลาด CBOE Global Markets Inc และ Chicago Mercantile Exchange (CME) ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนพ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนต.ค. กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกอยู่ที่ระดับ 225,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจปรับตัวลง 0.1% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน

ขณะเดียวกัน ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ร่วงลงแตะระดับ 53.0 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน จากระดับ 54.5 ในเดือนพ.ย.

-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยแล้วเช้านี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ของญี่ปุ่น (ทังกัน) ประจำไตรมาส 4/2560 ในวันนี้ โดยระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงบริษัทผลิตรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์นั้น อยู่ที่ระดับ +25 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/2560 ซึ่งอยู่ที่ระดับ +22

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นในไตรมาส 4/2560 อยู่ในระดับสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์สำนักข่าวเกียวโดคาดว่าจะอยู่ที่ +24

-- นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ได้แก่ ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนธ.ค.จากเฟดนิวยอร์ก และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย. ซึ่งจะมีการเปิดเผยเวลา 20.30 น. และ 21.15 น. ของวันนี้ตามเวลาไทย

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย กนิษฐนุช สิริสุทธิ์/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq29/2754972

 

ภาวะตลาดเงินบาท: เปิด 32.50 กลับมาอ่อนค่าหลังมีแรงซื้อดอลล์ มองกรอบวันนี้ 32.45-32.55

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560 09:13:18 น.
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 32.50 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่า



จากเย็นวานนี้ที่ปิดตลาดที่ระดับ 32.45 บาท/ดอลลาร์
"เช้านี้ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าขึ้นมาเนื่องจากมีแรงซื้อดอลลาร์กับเข้ามาในตลาด เมื่อคืนตัวเลขยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ

ออกมาดีกว่าคาด"นักบริหารเงิน กล่าว
ส่วนทิศทางค่าเงินบาทวันนี้คาดว่าจะทรงๆ ในกรอบ 32.45-32.55 บาท/ดอลลาร์
THAI BAHT FIX 3M (14 ธ.ค.) อยู่ที่ระดับ 0.75418% ส่วน THAI BAHT FIX 6M (14 ธ.ค.)อยู่ที่ระดับ

1.10655%
* ปัจจัยสำคัญ
- เงินเยนอยู่ที่ 112.27 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่อยู่ที่ระดับ 112.76 เยน/ดอลลาร์

- ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ 1.1781 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานนี้ที่อยู่ที่ระดับ 1.1820 ดอลลาร์/ยูโร

- อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 32.4870  บาท/

ดอลลาร์
- รมช.คลัง เปิดเผยในการเปิดประชุมสัมมนาทางวิชาการประจำปี 60 ว่า สำนักงบประมาณได้ร่วมกับ องค์การเพื่อ

ความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) เพื่อปรับรูปแบบจัดสรรงบประมาณของประเทศสมาชิกเอเชียให้สอดคล้องกับทิศ

ทางของกระแสโลก โดยในการทำงบปี 62 ไทยจะมุ่งจัดสรรงบประมาณรองรับสังคมผู้สูงอายุ ตามโครงสร้างประชากร รวมถึงออก

มาตรการส่งเสริมผู้สูงอายุหลังเกษียณให้มีงานทำ เพราะยังมีศักยภาพ
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ที่มีมติ 7 ต่อ 2 เสียง ให้ปรับขึ้น

อัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ช่วง 1.25-1.50% โดยเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 3 ของปี และเฟดคงประมาณการว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 3

ครั้ง ทั้งในปี 2561 และปี 2562 ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายแตะระดับ 2.8% ทั้งนี้ผลจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดส่งผล

ให้ค่าเงินบาทเปิดตลาดแข็งค่าสู่ระดับ 32.53 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และในปีนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นแล้วกว่า 10.0% ซึ่งแข็งค่าเป็น

อันดับสองของเอเชียรองจากเงินวอนเกาหลีใต้
- เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า กรณีที่กระทรวงการ

คลังให้ ก.ล.ต.เปิดรับฟังความคิดเห็น (เฮียริ่ง) เพิ่มเติมเรื่องการปรับปรุง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เฉพาะใน

ประเด็นเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) เพื่อสนับสนุนทางการเงินกับตลาดหลักทรัพย์

แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ตามความจำเป็น โดยหมดระยะเวลาเฮียริ่งเมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา และ ก.ล.ต.ได้เสนอให้

กระทรวงการคลังแล้วเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2560
- ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จัดการประชุมนโยบายการเงินเมื่อวานนี้ โดยที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่ง

เป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้

กับ ECB ที่ระดับ -0.4% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%
ขณะเดียวกัน ECB ประกาศคงวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 6 หมื่น

ล้านยูโร/เดือนจนถึงสิ้นปีนี้ และลดลงสู่ระดับ 3 หมื่นล้านยูโร/เดือน โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่เดือนม.ค.ปีหน้าจนถึงเดือนก.ย.ปีหน้า

อย่างไรก็ดี ECB ระบุว่า ธนาคารอาจจะขยายเวลาโครงการซื้อพันธบัตรเกินกว่าเดือนก.ย.ปีหน้า หากมีความจำเป็น

และอาจมีการขยายวงเงิน QE หากแนวโน้มเศรษฐกิจย่ำแย่ลง โดยธนาคารจะใช้มาตรการ QE จนกว่าภาวะเงินเฟ้อมีทิศทางดำเนิน

ไปอย่างยั่งยืน
- ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ 9-0 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ

0.50% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันนี้ ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนพ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนต.ค.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ย.
- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (14 ธ.ค.)

เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า การผลักดันร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของคณะทำงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ อาจเผชิญ

อุปสรรค หลังจากวุฒิสมาชิก 2 รายจากพรรครีพับลิกันได้ออกมาส่งสัญญาณว่าจะไม่ลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับนี้ ขณะที่

เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น ขานรับรายงานยอดค้าปลีกของอังกฤษที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนพ.ย.

- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศคงอัตรา

ดอกเบี้ย พร้อมส่งสัญญาณว่าอาจขยายวงเงิน QE หากมีความจำเป็น นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และการปรับฐานลง

ของตลาดหุ้นสหรัฐ ยังส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

- นักลงทุนเริ่มกลับมาวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี หลังจากนายมาร์โค รูบิโอ และนาย

ไมค์ ลี สองวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันได้เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า พวกเขาจะไม่ลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับนี้ หากไม่มี

การเพิ่มวงเงินในการลดหย่อนภาษีเพื่อการสังเคราะห์บุตร โดยที่ผ่านมานั้น นายรูบิโอและนายลีได้พยายามผลักดันให้ครอบครัว

ชาวอเมริกันที่มีรายได้น้อย สามารถรับประโยชน์จากมาตรการลดหย่อนภาษีให้มากที่สุด
- นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีภาคการผลิต (Empire State

Manufacturing Index) เดือนธ.ค.จากเฟดนิวยอร์ก และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq03/2754991

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บทวิเคราะห์ราคาทองคำและ Gold Futures โดยคุณณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ ประจำศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560 (ภาคเช้า)

ข่าวหุ้น-การเงิน ThaiPR.net -- ศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560 10:57:23 น.
กรุงเทพฯ--15 ธ.ค.--MTS Gold Group
ทิศทางราคาทองคำ
ราคาทองคำมีการทรงตัวเหนือ 1,250 เหรียญ ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาดีขึ้นเกินคาดโดยเฉพาะข้อมูล Retail Sales อย่างไรก็ตาม ยังพบว่าดัชนีดอลลาร์มีการอ่อนค่าลงเล็กน้อยมาที่ระดับ 93.59 จุดในเช้านี้ ทางด้านกองทุนทองคำ SPDR ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม ปัจจุบันถือครองทองคำที่ระดับ 844.29 ตัน สำหรับคืนนี้ต้องติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ได้แก่ Empire State Manufacturing Index และIndustrial Production ที่คาดว่าจะออกมาแย่ลง



วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิค
ในเชิงเทคนิคระยะสั้นราคามี Technical Rebound ขึ้นมาทดสอบแนวต้านด้านบน 1,260 เหรียญ โดยที่ภาพรวมราคาเป็นลักษณะการแกว่งตัวค่อนข้างมา ซึ่งทองคำจะมีแนวต้านสำคัญ 1,270 เหรียญ วันนี้คาดว่าราคาจะแกว่งตัวในกรอบแนวรับ 1,240 เหรียญ และมีแนวต้านแรก 1,260 เหรียญ ทางด้านทองคำไทยทรงตัวระดับล่างบริเวณ 19,200 บาท/บาททองคำ ดังนั้น คาดว่าทองคำจะ มีแนวรับ 19,100 บาท/บาททองคำ และมีแนวต้าน 19,400 บาท/บาททองคำ

การลงทุน Gold D
คาด Gold-D จะเคลื่อนไหวในกรอบตามทิศทางของราคาทองคำต่างประเทศ โดย GDH18 จะมีแนวรับ 1,240 เหรียญ และมีแนวต้าน 1,262 เหรียญ

โดยย้ำนักลงทุนว่า ราคาจะแตกต่างกันประมาณ 2 – 5 เหรียญ ดังนั้น การวิเคราะห์หรือ Arbitrage จะต้องใช้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้
เล่นเก็งกำไรระยะสั้นในกรอบ 1,240 – 1,260 เหรียญ
- นักลงทุนที่ถือ Long Position
เน้นเล่นสั้นเก็งกำไรในกรอบ
- นักลงทุนที่ถือ Short Position
หาจังหวะปิดสถานะเพื่อลดความเสี่ยง
กลยุทธ์สำหรับนักลงทุน Weekly Trading
ทยอยเข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว เน้นปรับพอร์ตการลงทุนให้สมดุลกับสภาวะการแกว่งของตลาด

Gold Futures Z17 จะมีแนวรับที่ระดับ 19,240 บาท และแนวต้านที่ระดับ 19,440 บาท
Gold Futures G18 จะมีแนวรับที่ระดับ 19,290 บาท และแนวต้านที่ระดับ 19,490 บาท
บทวิเคราะห์ข้างต้น ยึดหลักตาม Technical Analysis บริษัทไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ต่อการวิเคราะห์ข้างต้นและโปรดระลึกเสมอว่าการลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณในการลงทุนด้วยตัวของท่านเอง

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/prg/2755040

No automatic alt text available.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
MTS GOLD is live now.
22 mins · _Y91QzmaslR.pngคลิป

เตรียมตัวให้พร้อมแล้วมาพบกับการวิเคราะห์กราฟสดๆ ข้อมูลร้อนๆ จากผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดของเราได้เลย กับรายการ MTS LIVE วันที่ 15 ธันวาคม 2560

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พร้อมใช้งาน! เรือขนเหล็กยักษ์สัญชาติจีนของออสเตรเลีย

ชมภาพความอลังการของ “มาทิลดา” เรือขนาดยักษ์ที่อู่ต่อเรือนานาชาติกว่างโจว (GSI) ได้สร้างให้แก่บริษัทฟอร์เทสคิว เมทัล กรุ๊ป (Fortescue Metals Group) ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 3 ของออสเตรเลีย โดยเรือลำนี้สามารถบรรทุกเหล็กที่มีน้ำหนักรวมได้ประมาณ 261,000 ตัน และมีดาดฟ้าเรือที่กว้างใหญ่เทียบเท่า 2 สนามฟุตบอล

ความสำเร็จของโครงการก่อสร้างครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของความร่วมมือทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดระหว่างสองชนชาติอีกด้วย

เอลิซาเบธ เกนส์ ซีอีโอของบริษัทฟอร์เทสคิว เมทัล กรุ๊ป ได้กล่าวในงานเปิดตัวเรือขนส่งสินค้าครั้งนี้ว่า “เรามีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จต่อไป ขณะเดียวกันก็สร้างความร่วมมือกับจีนต่อไปเรื่อยๆ ในโครงการนี้”

--

ไม่เปลี่ยนแปลง! ปูตินลั่นจีนจะยังเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญ ไม่ว่าการเมืองรัสเซียจะเป็นเช่นไร

วานนี้ (14 ธ.ค.) ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย กล่าวในงานแถลงข่าวประจำปีว่ารัสเซียและจีนจะยังคงเป็น “หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์” ในระยะยาวต่อไป ไม่ว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียซึ่งเตรียมจัดขึ้นในเดือนมี.ค. ปีหน้า จะปรากฏออกมาในรูปแบบใดก็ตาม

“ผมมั่นใจมากว่าการพัฒนาความสัมพันธ์กับจีนจะยังเป็นฉันทามติร่วมกันของระชาชนชาวรัสเซีย และไม่ว่าผลการเลือกตั้ง (ประธานาธิบดีรัสเซีย) จะเป็นอย่างไร รัสเซียกับจีนยังคงเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ ผู้ร่วมสร้างสรรค์สายธารประวัติศาสตร์อันกว้างใหญ่”

ปูตินสำทับว่าแผนริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ของจีนสอดประสานกับการพัฒนาสหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย (EAEU) และการเป็นหุ้นส่วนกับชาติต่างๆ ในเอเชีย โดยจีนและรัสเซียได้ร่วมดำเนินโครงการขนาดใหญ่ด้านพลังงาน การรถไฟ เทคโนโลยีระดับสูง อวกาศ และวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทางทะเลเหนือ

เมื่อกล่าวถึงการเติบโตอันรวดเร็วของเศรษฐกิจจีน ปูตินชี้ว่าการตัดสินใจที่เกิดขึ้นในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ครั้งที่ 19 ได้สะท้อนทิศทางเชิงบวกในการพัฒนาประเทศของจีน ซึ่งสอดคล้องต้องกันกับแนวทางการพัฒนาประเทศของรัสเซีย

“เห็นได้ว่าจีนมุ่งมั่นสร้างความมั่นคง พัฒนาประเทศ และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในเวลาเดียวกัน” ปูตินกล่าว “ทั้งหมดจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวดต่อรัสเซีย เพราะจีนเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจและการค้ารายใหญ่ของรัสเซีย รวมถึงเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ในมิติที่กว้างที่สุดบนโลกใบนี้”

อนึ่ง ปริมาณการค้าระหว่างจีนกับรัสเซียได้แตะหลัก 61,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2017 ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 22.4 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบปีต่อปี

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Hua Seng Heng News Update 15-12-2560 โดยคุณอภิสรา เหลาเจษฎา
http://yt2fb.com/hua-seng-heng-news-update-15-12-2017/

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

+_____+

ข่าวในพระราชสำนัก วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2560สํานักข่าวไทย TNAMCOT

ลำปางหนาวเย็น "ตูน" อบอุ่นจากกำลังใจตลอดทาง

Hua Seng Heng Morning News 18-12-2560HSHsocial

Morning Report Gold Investment 18-12-17YLGResearch

เจาะลึกเศรษฐกิจ by Ylg 18-12-2560Ylg Bullion

เฮฮาภาษาทอง by Ylg 18-12-2560Ylg Bullion

Spotlight: สภาทองคำโลกคาด ราคาทองมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอีกในปี 2561

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2560 10:38:27 น.
สภาทองคำโลก (WGC) เปิดเผยรายงานว่า ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นกว่า 9% นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 3 ครั้งในปีนี้ ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ในทิศทางขาขึ้น บวกกับกระแสความร้อนแรงของบิตคอยน์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยลบต่อทองคำก็ตาม โดย WGC คาดการณ์ด้วยว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2561 เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนมากมาย



ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX อยู่ที่ระดับ 1,257.50 ดอลลาร์/ออนซ์ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (15 ธ.ค.) เพิ่มขึ้น 9.19% จาก ณ สิ้นปี 2559

นายจอห์น รี๊ด หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดแห่งสภา WGC กล่าวว่า "ราคาทองคำได้พุ่งขึ้นอย่างน่าสนใจในรอบปีที่ผ่านมา เมื่อพิจารณาจากปัจจัยที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้ง และตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ในทิศทางขาขึ้น ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อราคาทองคำ"

ที่ผ่านมานั้น ราคาทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยสำหรับนักลงทุน ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งจากสถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีและตะวันออกลาง บวกความไม่แน่นอนจากการเจรจา Brexit ระหว่างสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป (EU) รวมถึงภัยก่อการร้ายในเมืองใหญ่ๆของยุโรป

สำหรับทิศทางทองคำในปี 2561 นั้น นายรี๊ดระบุว่า นโยบายการเงินของประเทศต่างๆทั่วโลกจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนอุปสงค์ทองคำ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของหลายประเทศยังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับเป้าหมาย ดังนั้นเราจึงอาจเห็นประเทศต่างๆใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารกลางสหรัฐมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเป็นครั้งที่ 3 และครั้งสุดท้ายของปีนี้ พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีหน้า ไม่ใช่ 4 ครั้งตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ซึ่งนับเป็นนโยบายขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ

นอกจากนโยบายการเงินแล้ว นักวิเคราะห์ยังมอง 2 ปัจจัยอื่นๆที่มีความสำคัญต่อทองคำในปีหน้าด้วย โดยปัจจัยแรกมาจากตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในทิศทางขาขึ้นด้วยแรงหนุนจากนโยบายปรับลดภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่า 4,800 จุดในปีนี้ และการพุ่งของดัชนีตลาดหุ้นก็ส่งผลให้นักลงทุนลดความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยลง ดังนั้น หากทิศทางขาขึ้นสิ้นสุดลงเมื่อใด ก็อาจปัจจัยกระตุ้นอุปสงค์ทองคำให้ฟื้นตัวอีกครั้งก็เป็นได้

ปัจจัยต่อมาคือ ทิศทางการเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยนายรี๊ดกล่าวว่า "หากปี 2560 เป็นปีสิ้นสุดเทรนด์การแข็งค่าของดอลลาร์ที่ดำเนินต่อเนื่องมาหลายปี ก็อาจถือเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำเช่นกัน"

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังกล่าวเสริมว่า ปัจจัยขับเคลื่อนทางกายภาพอื่นๆก็ไม่อาจถูกมองข้ามเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องการเติบโตของรายได้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยขับเคลื่อนอุปสงค์ทองคำที่สำคัญ

สภา WGC ระบุในรายงานด้วยว่า "ภาพรวมราคาทองคำยังอยู่ในทิศทางบวก ด้วยรายได้ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดทองคำรายใหญ่ของโลก รวมถึงจีน"

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย คมปทิต สกุลหวง/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq29/2755896

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คลังชงผลิตเหรียญใหม่เปิดประมูลที่ราชฯ3แห่ง

ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- จันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2560 00:00:35 น.
กาญจนบุรี * "ธนารักษ์" ชง ครม.ผลิตเหรียญหมุนเวียนเริ่มใช้ปีหน้ามี 9 ชนิดราคา คาดได้ใช้ปีหน้า พร้อมเปิดประมูลหาเอกชนพัฒนาที่ราชพัสดุเขตเศรษฐกิจพิเศษ 3 จังหวัด "ตาก-กาญจนบุรี-นครพนม"

นางนงลักษณ์ ขวัญแก้ว รองอธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 19 ธันวาคม 2560 กรมจะเสนอคณะรัฐมน ตรี (ครม.) เห็นชอบกฎกระ ทรวง ซึ่งออกตาม พ.ร.บ.เงินตรา ในการผลิตเหรียญกษาปณ์ หมุนเวียนชุดใหม่ โดยที่ผ่านมาได้รับพระบรมราชานุญาตให้ดำเนินการผลิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าเหรียญกษาปณ์ หมุนเวียนชุดใหม่จะเริ่มทยอยออกใช้หมุนเวียนในระบบได้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2561 เพื่อทด แทนเหรียญที่มีอยู่ในระบบเดิม



ทั้งนี้ คาดว่าเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในระบบแบบเดิมจะทยอยหมดไปจากระบบภายใน 5-10 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาปกติในการออกเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชุดใหม่เพื่อใช้แทนชุดเก่า

สำหรับรูปแบบเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชุดใหม่ เบื้องต้นทั้ง 9 ชนิดราคา ตั้ง แต่เหรียญ 10 บาทไปจนถึงเหรียญ 1 สตางค์ โดยลวดลายด้านหน้า และด้านหลังของเหรียญจะเหมือนกันทั้งหมด สำหรับด้านหน้าเหรียญ จะเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 และด้านหลังของเหรียญ จะเป็น ตราพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. ใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ และมีอักษรชนิดราคากำกับที่เหรียญ โดยเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชุดใหม่มีการใช้โลหะในการผลิตและมีขนาด รูปทรงเหมือนเหรียญชุดเก่าทุกประการ

พร้อมกันนี้ภายในเดือนม.ค.2561จะสามารถเปิดให้ เอกชนเข้าประมูลเพื่อพัฒนาพื้น ที่ราชพัสดุเขตเศรษฐกิจพิเศษใน 3 จังหวัด ได้แก่ จ.ตาก พื้นที่กว่า 1.5  พันไร่, จ.กาญจนบุรี พื้นที่กว่า 2.9 พันไร่ และ จ.นครพนม พื้นที่กว่า 1.3 พันไร่ รวมกว่า 5.8 พันไร่ โดยเชื่อว่าในแต่ละพื้นที่ จะได้รับความสนใจจากภาคเอกชนในการเข้ามาลงทุนเป็น อย่างดี และคาดว่าเมื่อได้ผู้ ชนะการประมูลแล้ว จะสามารถเดินหน้าการลงทุนได้อย่างเร็วที่สุดภายในกลางปี 2561 หรืออย่างช้าที่สุดไม่เกินช่วงไตรมาส 3 ของปีหน้า.

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/tpd/2755667

 

ภาวะตลาดเงินบาท: เปิด 32.50  ก่อนอ่อนค่ามาที่ 32.56 หลังดอลล์แข็ง จับตาร่างกม.ปฏิรูปภาษีสหรัฐฯสัปดาห์นี้

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2560 09:40:41 น.
นักบริหารเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 32.50 บาท/ดอลลาร์ แข็ง

ค่าจากเย็นวันศุกร์ที่ปิดตลาดที่ระดับ 32.54 บาท/ดอลลาร์
ล่าสุดเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับ 32.56 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น โดยได้รับแรง

หนุนที่สำคัญหลังมีข่าวว่าทั้ง ส.ส.และ ส.ว.สหรัฐฯ มีจำนวนเสียงเพียงพอที่จะโหวตให้ผ่านมาตรการปฏิรูปภาษี เพื่อให้ทันเป็นของ



ขวัญในเทศกาลคริสต์มาส
"หุ้นสหรัฐก็ดีดตัวขึ้น รับข่าวดีดังกล่าว ทำให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นในวงกว้าง ส่วนบาทนั้นคาดว่าจะสามารถยืนเหนือ

ระดับ 32.50 บาทได้ และยังเป็นแนวรับที่สำคัญ" นักบริหารเงินระบุ
นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบที่ 32.50-32.60 บาท/ดอลลาร์

THAI BAHT FIX 3M (15 ธ.ค.) อยู่ที่ระดับ 0.72862% ส่วน THAI BAHT FIX 6M (15 ธ.ค.) อยู่ที่ระดับ

1.08282%
* ปัจจัยสำคัญ
- เช้านี้เงินเยนอยู่ที่ระดับ 112.66 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวันศุกร์ที่ระดับ 112.16 เยน/ดอลลาร์

- ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1752 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวันศุกร์ที่ระดับ 1.1796 ดอลลาร์/ยูโร

- อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 32.5380 บาท/

ดอลลาร์
- ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทสัปดาห์นี้ (18-22 ธ.ค.)ที่ 32.50-32.80 บาทต่อ

ดอลลาร์ฯ โดยจุดสนใจในประเทศน่าจะอยู่ที่ผลการประชุมกนง. และมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2561 ของธปท. ขณะที่

ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย ผลสำรวจกิจกรรมการผลิตของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย และดัชนีความเชื่อ

มั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค. ยอดขายบ้านใหม่/บ้านมือสอง ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน การเริ่มสร้างบ้าน/การอนุญาตก่อสร้าง ข้อมูลรายได้/

การใช้จ่ายส่วนบุคคล และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก Core PCE Price Index เดือนพ.ย. ดัชนีราคาบ้านเดือนต.ค. และตัวเลขจีดีพี

ประจำไตรมาส 3/60 นอกจากนี้ ตลาดอาจรอติดตามความคืบหน้าของแผนปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ และการประชุมนโยบายการเงินของ

ธนาคารกลางญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50%

ต่อเนื่องในการประชุม กนง. รอบสุดท้ายของปี 2560 ในวันที่ 20 ธ.ค. 2560 นี้ แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะปรับขึ้นอัตรา

ดอกเบี้ยมาอยู่ในระดับเดียวกัน เนื่องจากภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเกิดขึ้นไม่เต็มที่ ขณะที่ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

ในปีหน้า คงพึ่งพาแรงหนุนจากการลงทุนมากขึ้น ซึ่งการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายคงน่าจะเป็นแรงส่งที่ดีในการสนับสนุนการฟื้นตัวของ

เศรษฐกิจไทยในปีหน้า
- การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า การเดินทางท่องเที่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 29 ธ.

ค. 2560-2 ม.ค.2561 คาดว่า จะใช้จ่ายสะพัดวงเงิน 15,567.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

-  ทิสโก้ชี้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ไต้หวันและไทยมีลุ้นเงินไหลเข้า ทำให้ดัชนีไปต่อ หลังเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่ารับข่าว

เฟดขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป ให้จับตาปีหน้าเฟดขึ้นดอกเบี้ยปรับขึ้นอีก 4 ครั้ง คาดสิ้นปีเงินบาทแข็งค่าที่ 32 บาทต่อดอลลาร์

สหรัฐ
- บมจ. บัตรกรุงไทย (KTC) เปิดเผยภาพรวมยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา น่าจะเติบ

โตได้ถึง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีปัจจัยมาตรการช็อปช่วยชาติเข้ามา สนับสนุน ทำให้คนส่วนหนึ่งที่วาง

แผนซื้อของขวัญในช่วงเดือน ธ.ค.เลื่อนขึ้นมาซื้อในช่วงเดือน พ.ย.แทน
- นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศจุดยืนที่ชัดเจนว่า รัฐบาลอังกฤษจะยังคงเดินหน้าทำตามหน้าที่พื้นฐานของตนต่อไป ใน

การตอบรับกับความประสงค์ของชาวอังกฤษที่ได้ลงประชามติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU)
- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (15 ธ.ค.)

จากการที่นักลงทุนส่วนใหญ่มีมุมมองที่เป็นบวกว่า คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะสามารถผลักดันร่างกฎหมายดังกล่าว

ให้มีผลบังคับใช้ได้สำเร็จ
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อวันศุกร์ (15 ธ.ค.) โดยบรรยากาศการซื้อขายในตลาด

ทองคำได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ การที่ตลาดหุ้นสหรัฐทะยานขึ้นทำนิวไฮ ยังส่งผลให้นักลงทุนลด

การถือครองทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
- นักลงทุนจับตาพรรครีพับลิกันซึ่งเตรียมเปิดเผยร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้ายที่ผ่านการรวมเนื้อหาของร่างกฎหมาย

ของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรในวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐ ขณะที่สื่อต่างประเทศรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี

ดังกล่าวจะปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงสู่ระดับ 21% จากระดับ 35% โดยมีผลบังคับใช้ทันทีในปีหน้า แทนที่จะชะลอออกไปอีก 1 ปี

ตามร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของวุฒิสภา
- ประธานคณะกรรมาธิการภาษีประจำวุฒิสภาสหรัฐ กล่าวว่า วุฒิสภาจะลงมติในวันที่ 18 ธ.ค.ต่อร่างกฎหมายปฏิรูป

ภาษีขั้นสุดท้ายฉบับดังกล่าว และจากนั้นสภาผู้แทนราษฎรจะลงมติในวันที่ 19 ธ.ค.
- นักลงทุนจับตาสหรัฐและอังกฤษเตรียมเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส

3/2560 โดยสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายของ GDP ไตรมาส 3/2560 ในวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่อังกฤษเปิดเผย

ข้อมูลดังกล่าวในวันศุกร์นี้
- จับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันพฤหัสบดีนี้ รวมทั้งการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน

ของนายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการ BOJ
--อินโฟเควสท์ โดย กษมาพร กิตติสัมพันธ์/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq03/2755822

 

World Today: สรุปข่าวประเด็นน่าติดตามประจำวันที่ 18 ธันวาคม 2560

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2560 08:54:07 น.
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาตามเวลาสหรัฐ พรรครีพับลิกันได้เปิดเผยรายละเอียดขั้นสุดท้ายของร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี ซึ่งมาจากการรวมเนื้อหาของร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีที่ผ่านการอนุมัติของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรก่อนหน้านี้ โดยร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีดังกล่าวระบุว่า ให้คงจำนวนขั้นบันไดของการคำนวณภาษีไว้ที่ 7 ขั้น ขณะเดียวกันจะปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงสู่ระดับ 21% จากระดับ 35% โดยมีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ 1 ม.ค.ปีหน้า แทนที่จะชะลอออกไปอีก 1 ปีตามร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของวุฒิสภา



นอกจากนี้ เนื้อหาของร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับนี้ยังระบุว่า จะเพิ่มเงินลดหย่อนภาษีเพื่อสงเคราะห์บุตรเป็นสองเท่า สู่ระดับ 2,000 ดอลลาร์สำหรับบุตรที่มีอายุต่ำกว่า 17 ปี  และเพิ่มการหักลดหย่อนภาษีสำหรับเด็ก สู่ระดับ 1,400 ดอลลาร์ จากระดับ 1,100 ดอลลาร์

นายออร์ริน แฮทช์ ประธานคณะกรรมาธิการภาษีประจำวุฒิสภาสหรัฐ กล่าวว่า วุฒิสภาจะลงมติในวันที่ 18 ธ.ค.ต่อร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้ายฉบับดังกล่าว และจากนั้นสภาผู้แทนราษฎรจะลงมติในวันที่ 19 ธ.ค.

-- นายจอห์น คอร์นิน และนายเควิน แบรดี้ สองแกนนำของพรรครีพับลิกัน ได้แสดงความเชื่อมั่นว่า สภาคองเกรสสหรัฐจะลงมติผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีในสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะส่งให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามเพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ก่อนช่วงสุดสัปดาห์นี้ หลังจากพรรครีพับลิกันได้เปิดเผยรายละเอียดขั้นสุดท้ายของร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาตามเวลาสหรัฐ

-- นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ประกาศแสดงจุดยืนอย่างแข็งกร้าวเกี่ยวกับการเดินหน้ากระบวนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยเธอระบุว่า รัฐบาลอังกฤษจะยังคงเดินหน้าทำตามหน้าที่พื้นฐานของตนต่อไป ในการตอบรับกับความประสงค์ของชาวอังกฤษที่ได้ลงประชามติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU)

นางเมย์ได้มีถ้อยแถลงลงบทความในหนังสือพิมพ์เทเลกราฟฉบับวันอาทิตย์ว่า "แม้มีสิ่งรบกวนจากทุกสารทิศ แต่เรายังคงทำหน้าที่ต่อไป และสำหรับผู้ที่ต้องการให้อังกฤษยอมจำนน ต้องขอบอกว่าขณะนี้เรากำลังบรรลุข้อตกลง Brexit ที่ดีและยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับทั่วทั้งสหราชอาณาจักร"

-- นักลงทุนจับตาสหรัฐและอังกฤษเตรียมเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2560 โดยสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายของ GDP ไตรมาส 3/2560 ในวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่อังกฤษเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันศุกร์นี้

สำหรับการประมาณการครั้งที่ 2 ของตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของสหรัฐนั้น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า GDP ขยายตัวที่ระดับ 3.3% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ระดับ 3.0%

ส่วนการประมาณการครั้งที่ 2 ของ GDP ไตรมาส 3 ของอังกฤษนั้น สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) เปิดเผยเมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า GDP ขยายตัว 0.4% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการครั้งที่ 1

-- กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดส่งออกเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 16.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี ทำสถิติขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 12 โดยได้ปัจัยหนุนจากอุปสงค์สินค้าญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 17.2%

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นมียอดเกินดุลการค้าในเดือนพ.ย.ทั้งสิ้น 1.134 แสนล้านเยน
-- จับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันพฤหัสบดีนี้ รวมทั้งการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนของนายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการ BOJ

สำหรับการประชุมครั้งหลังสุดซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมานั้น ที่ประชุม BOJ มีมติด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 1 ให้คงนโยบายผ่อนคลายทางการเชิงรุก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในปีงบประมาณ 2560 ขึ้นสู่ระดับ 1.9% จากที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนก.ค.ที่ระดับ 1.8% พร้อมกับคงการประเมินภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของญี่ปุ่น โดยระบุว่า เศรษฐกิจภายในประเทศ "ขยายตัวปานกลาง"

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม BOJ ในเดือนต.ค. ได้ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อสำหรับปีงบประมาณ 2560 ลงสู่ระดับ 0.8% จากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 1.1% เนื่องจากการขยายตัวของค่าจ้างและการอุปโภคบริโภคในภาคเอกชนยังคงซบเซา แม้เศรษฐกิจขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นก็ตาม

-- ธนาคารกลางออสเตรเลียมีกำหนดประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ยในวันพรุ่งนี้

ส่วนในการประชุมเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น  ธนาคารกลางออสเตรเลียมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในการประชุมวันนี้ เนื่องจากค่าจ้างยังคงมีความซบเซา ขณะที่เงินเฟ้อก็ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายของธนาคารกลาง นอกจากนี้หนี้สินยังอยู่ในระดับสูงด้วย

-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศต่างๆซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ได้แก่ จีนจะเปิดเผยราคาบ้านเดือนพ.ย., ยูโรสแตทจะเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย.ของอียู และสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) จะเปิดเผย ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเบื้องต้นเดือนธ.ค.

ส่วนในวันพรุ่งนี้ เกาหลีใต้จะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ย., สถาบัน Ifo จะเปิดเผยความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนธ.ค. และสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนพ.ย.

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th-

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq29/2755767

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บทวิเคราะห์ Daily Comment
ประจำช่วง Day Session
วันที่ 18 ธันวาคม 2560

ราคาทองปรับขึ้นทะลุ 1,260 เหรียญ แต่ยังไม่สามารถยืนได้
ราคาทองคำปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.40 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หรือคิดเป็น +0.19% โดยปิดที่ 1,255.18 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ โดยราคาเมื่อวานนี้เคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1,251.86 – 1,261.81 ดอลลาร์ เช้านี้ราคาทองเคลื่อนไหวในแดนบวกอยู่บริเวณ 1,254 เหรียญ ราคาทองได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นและทะลุแนวต้านบริเวณ 1,260 เหรียญขึ้นไปได้ แต่ราคาทองก็ไม่สามารถยืนได้ เนื่องค่าเงินดอลลาร์เริ่มฟื้นตัวหลังจากนักลงทุนยังเชื่อว่าแผนการปฏิรูปภาษีจะสามารถบรรลุได้ภายในสิ้นปี้ ซึ่งส่งผลให้เม็ดเงินไหลกลับเข้าตลาดหุ้น รวมทั้งค่าเงินดอลลาร์และค่าเงินดิจิตอลอย่างเช่นบิทคอยน์ที่ให้ยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ราคาทองเริ่มแกว่งตัวในกรอบประมาณ 1,250 – 1,260 เหรียญในช่วงนี้ และรอปัจจัยที่สำคัญอีกครั้ง โดยสัปดาห์นี้ติดตามการประชุมของทางฝั่งธนาคารกลางญี่ปุ่นและตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ ที่คาดว่าอาจจะมีผลต่อภาพรวมตลาดการเงินได้ ส่วนในภาพเทคนิคราคาทองคำนั้นเริ่มแกว่งออกข้าง และคาดว่าในสัปดาห์นี้ปริมาณการซื้อขายอาจจะเบาบางลงเนื่องจากใกล้วันหยุดยาวคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่

แนะนำ ผู้ที่มีสถานะซื้อ ถือต่อ หรือทยอยปิดกำไรเมื่อทดสอบแนวต้านบริเวณ 1,260 เหรียญ และขยับจุด stop loss ขึ้นมาบริเวณ 1,250 เหรียญ ผู้ไม่มีสถานะ ฝั่งซื้อภาพรวมดูดี แต่อาจจะขาดเรื่องปริมาณการซื้อขายที่เบาบางทำให้การหยุดรอก็น่าสนใจเช่นกัน

สามารถติดตามบทวิเคราะห์ทั้งหมดได้ที่
http://www.classicgold.co.th/…/filestrategy1812201794309438…

สนใจลงทุนทองคำกับ Classic Gold
ทองคำแท่ง : 02-225-7770
เว็บไซต์ : www.classicgold.co.th

Image may contain: text

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

MTS GOLD was live.
1 hr · _Y91QzmaslR.pngคลิป

เตรียมตัวให้พร้อมแล้วมาพบกับการวิเคราะห์กราฟสดๆ ข้อมูลร้อนๆ จากผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดของเราได้เลย กับรายการ MTS LIVE วันที่ 18 ธันวาคม 2560

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: เงินดอลล์อ่อน หนุนทองคำปิดบวก 8 ดอลลาร์

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 19 ธันวาคม 2560 07:16:08 น.
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (18 ธ.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากสัญญาทองคำปิดในแดนบวกติดต่อกัน 3 วันทำการก่อนหน้านี้

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 8 ดอลลาร์ หรือ 0.64% ปิดที่ระดับ 1265.50 ดอลลาร์/ออนซ์



สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. ขยับขึ้น 14.2 เซนต์ หรือ 0.88% ปิดที่ 16.205 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. พุ่งขึ้น 23.8 ดอลลาร์ หรือ 2.68% ปิดที่ 913.2 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 3.35 ดอลลาร์ หรือ 0.3% ปิดที่ 1,012.05 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาทองคำปิดตลาดดีดตัวขึ้น เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ช่วยให้สัญญาทองคำซึ่งซื้อขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐนั้น มีราคาที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.24% สู่ระดับ 93.706 เมื่อคืนนี้

สำหรับปัจจัยที่ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงนั้น มาจากความกังวลที่ว่า ถึงแม้สหรัฐจะผลักดันมาตรการปฏิรูปภาษีจนเป็นผลสำเร็จ แต่ก็อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐได้ไม่มากเท่าที่รัฐบาลคาดหวังไว้

ทั้งนี้ สภาคองเกรสสหรัฐมีกำหนดลงมติรับรองร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้ายอย่างเร็วที่สุดภายในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ ก่อนที่จะส่งต่อไปให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามรับรองเป็นกฎหมายก่อนวันคริสต์มาส โดยร่างกฎหมายดังกล่าวมุ่งลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงเหลือ 21% จากระดับ 35% ในปัจจุบัน

นักลงทุนจับตากระทรวงพาณิชย์สหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยการประมาณการครั้งสุดท้ายของ GDP ประจำไตรมาส 3/2560 ในวันพฤหัสบดีนี้ ส่วนการประมาณการครั้งที่ 2 ซึ่งได้เปิดเผยไปเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมานั้น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า GDP ขยายตัวที่ระดับ 3.3% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ระดับ 3.0%

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq31/2756324

ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ 14 เซนต์ จากแรงขายทำกำไรก่อนสัญญาเดือนม.ค.ครบกำหนดส่งมอบ

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 19 ธันวาคม 2560 06:54:28 น.
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (18 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรก่อนที่สัญญาน้ำมันดิบ WTI เดือนม.ค.จะครบกำหนดส่งมอบในวันอังคารที่ 19 ธ.ค. อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงเพียงเล็กน้อย เพราะตลาดได้แรงหนุนจากข่าวการปิดท่อส่งน้ำมันในทะเลเหนือ และการผละงานประท้วงของคนงานน้ำมันในไนจีเรีย



สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 14 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 57.16 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 18 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 63.41 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดขยับลงสู่แดนลบ เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรก่อนที่สัญญาน้ำมันดิบ WTI เดือนม.ค.จะครบกำหนดส่งมอบในวันอังคารที่ 19 ธ.ค.

อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบ WTI ขยับลงเพียงเล็กน้อย ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ดีดตัวขึ้นปิดในแดนบวก เนื่องจากบรรยากาศการซื้อขายได้รับปัจจัยหนุนจากข่าวการปิดท่อส่งน้ำมันโฟร์ตี้ส์ในทะเลเหนือ ซึ่งเดิมมีกำหนดส่งน้ำมัน 450,000 บาร์เรล/วันในเดือนนี้ หลังจากที่มีการพบรอยแตกของท่อส่งน้ำมัน

ขณะเดียวกัน คนงานในอุตสาหกรรมน้ำมันในไนจีเรียประกาศผละงานประท้วงเมื่อวานนี้ หลังจากไม่ประสบความคืบหน้าในการเจรจากับรัฐบาล

นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยบวกหลังจากเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนลดลง 4 แท่น สู่ระดับ 747 แท่นในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 6 สัปดาห์

นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ของสหรัฐ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันพรุ่งนี้ เวลา 22.30 น.ตามเวลาไทย

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq35/2756317

World Markets: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 19 ธันวาคม 2560 07:32:04 น.
ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 18 ธ.ค. 2560

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (18 ธ.ค.) โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีปิดทำนิวไฮ ขานรับความหวังที่ว่า สภาคองเกรสสหรัฐจะผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้ายในสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะส่งต่อไปให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามรับรองเป็นกฎหมายก่อนวันคริสต์มาส นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากรายงานที่ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้สร้างบ้านของสหรัฐพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 18 ปี ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2560 ของสหรัฐในวันพฤหัสบดีนี้



ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,792.20 จุด พุ่งขึ้น 140.46 จุด หรือ +0.57% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,690.16 จุด เพิ่มขึ้น 14.35 จุด หรือ +0.54% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,994.76 จุด เพิ่มขึ้น 58.18 จุด หรือ +0.84%

-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ (18 ธ.ค.) โดยดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ ขานรับความเชื่อมั่นที่ว่า สภาคองเกรสสหรัฐจะผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้ายในสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะส่งต่อไปให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามรับรองเป็นกฎหมายก่อนวันคริสต์มาส

ดัชนี Stoxx Europe 600 พุ่งขึ้น 1.2% ปิดที่ 392.66 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย.

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,312.30 จุด พุ่งขึ้น 208.74 จุด หรือ +1.59% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,420.58 จุด เพิ่มขึ้น 71.28 จุด หรือ +1.33% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,537.01 จุด เพิ่มขึ้น 46.44 จุด หรือ +0.62%

-- ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ (18 ธ.ค.) ขานรับความหวังที่ว่า สภาคองเกรสสหรัฐจะผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้ายในสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะส่งต่อไปให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามรับรองเป็นกฎหมายก่อนวันคริสต์มาส

ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 46.44 จุด หรือ +0.62% ปิดที่ 7,537.01 จุด
-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (18 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรก่อนที่สัญญาน้ำมันดิบ WTI เดือนม.ค.จะครบกำหนดส่งมอบในวันอังคารที่ 19 ธ.ค. อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงเพียงเล็กน้อย เพราะตลาดได้แรงหนุนจากข่าวการปิดท่อส่งน้ำมันในทะเลเหนือ และการผละงานประท้วงของคนงานน้ำมันในไนจีเรีย

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 14 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 57.16 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 18 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 63.41 ดอลลาร์/บาร์เรล

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (18 ธ.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากสัญญาทองคำปิดในแดนบวกติดต่อกัน 3 วันทำการก่อนหน้านี้

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 8 ดอลลาร์ หรือ 0.64% ปิดที่ระดับ 1265.50 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. ขยับขึ้น 14.2 เซนต์ หรือ 0.88% ปิดที่ 16.205 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. พุ่งขึ้น 23.8 ดอลลาร์ หรือ 2.68% ปิดที่ 913.2 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 3.35 ดอลลาร์ หรือ 0.3% ปิดที่ 1,012.05 ดอลลาร์/ออนซ์

-- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (18 ธ.ค.) ขณะที่นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนต่างๆที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิรูประบบภาษีของสหรัฐ

ยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1783 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1759 ดอลลาร์ ในขณะที่ปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะ 1.3385 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3325 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 0.7667 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7648 ดอลลาร์

ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเยน ที่ระดับ 112.56 เยน จากระดับ 112.62 เยน และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9860 ฟรังก์สวิส จากระดับ 0.9907 ฟรังก์สวิส

ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 6,994.76 จุด เพิ่มขึ้น 58.18 จุด, +0.84%
ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 24,792.20 จุด เพิ่มขึ้น 140.46 จุด, +0.57%
ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 2,690.16 จุด เพิ่มขึ้น 14.35 จุด, +0.54%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,420.58 จุด เพิ่มขึ้น 71.28 จุด, +1.33%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,537.01 จุด เพิ่มขึ้น 46.44 จุด, +0.62%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,312.30 จุด เพิ่มขึ้น 208.74 จุด, +1.59%
ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 33,601.68 จุด เพิ่มขึ้น 138.71 จุด, +0.41%
ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 3,414.82 จุด ลดลง 2.12 จุด, -0.06%
ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดที่ 1,751.64 จุด ลดลง 1.43 จุด, -0.08%
ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 6,133.96 จุด เพิ่มขึ้น 14.54 จุด, +0.24%

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 29,050.41 จุด เพิ่มขึ้น 202.30 จุด, +0.70%
ดัชนี VN ตลาดหุ้นเวียดนามปิดที่ 958.06 จุด เพิ่มขึ้น 22.90 จุด, +2.45%
ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 8,422.82 จุด เพิ่มขึ้น 85.78 จุด, +1.03%

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดที่ 3,267.92 จุด เพิ่มขึ้น 1.78 จุด, +0.05%
ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 2,481.88 จุด ลดลง 0.19 จุด, -0.01%
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 22,901.77 จุด เพิ่มขึ้น 348.55 จุด, +1.55%

ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 10,506.52 จุด เพิ่มขึ้น 15.08 จุด, +0.14%
ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 6,038.90 จุด เพิ่มขึ้น 41.90 จุด, +0.70%

ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 6,130.00 จุด เพิ่มขึ้น 42.90 จุด, +0.70%ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดวันนี้ที่ 6,130.00 จุด เพิ่มขึ้น 42.90 จุด, +0.70%

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย คมปทิต สกุลหวง/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq20/2756381

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อนค่าเทียบเงินสกุลหลัก นลท.วิตกความไม่แน่นอนในมาตรการปฏิรูปภาษีสหรัฐ

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 19 ธันวาคม 2560 06:57:31 น.
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (18 ธ.ค.) ขณะที่นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนต่างๆที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิรูประบบภาษีของสหรัฐ

ยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1783 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1759 ดอลลาร์ ในขณะที่ปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะ 1.3385 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3325 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 0.7667 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7648 ดอลลาร์



ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเยน ที่ระดับ 112.56 เยน จากระดับ 112.62 เยน และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9860 ฟรังก์สวิส จากระดับ 0.9907 ฟรังก์สวิส

ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.24% สู่ระดับ 93.706 เมื่อคืนนี้

สภาคองเกรสสหรัฐมีกำหนดลงมติรับรองร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้ายอย่างเร็วที่สุดภายในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ ก่อนที่จะส่งต่อไปให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามรับรองเป็นกฎหมายก่อนวันคริสต์มาส โดยร่างกฎหมายดังกล่าวมุ่งลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงเหลือ 21% จากระดับ 35% ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนเกิดความกังวลว่า ถึงแม้สหรัฐจะผลักดันมาตรการปฏิรูปภาษีจนเป็นผลสำเร็จ แต่ก็อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐได้ไม่มากเท่าที่รัฐบาลคาดหวังไว้

นักลงทุนยังจับตาสภาคองเกรสสหรัฐซึ่งเตรียมอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณระยะสั้น เพื่อให้รัฐบาลมีงบประมาณในการใช้จ่ายจนถึงเดือนม.ค.2561 โดยสภาคองเกรสจำเป็นต้องอนุมัติงบประมาณดังกล่าวให้ทันเส้นตายภายในวันศุกร์นี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐ หรือชัตดาวน์

ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตากระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่เตรียมเปิดเผยการประมาณการครั้งสุดท้ายของ GDP ประจำไตรมาส 3/2560 ในวันพฤหัสบดีนี้ ส่วนการประมาณการครั้งที่ 2 ซึ่งได้เปิดเผยไปเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมานั้น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า GDP ขยายตัวที่ระดับ 3.3% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ระดับ 3.0%

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนพ.ย., ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 (ประมาณการครั้งสุดท้าย), ดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนพ.ย.จากเฟดชิคาโก, ดัชนีการผลิตเบื้องต้นเดือนธ.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ย., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย., ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ย.

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย คมปทิต สกุลหวง/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq21/2756318

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...