ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ธันวาคม 25, 2017 (มีการแก้ไข) บอกรักประเทศไทย Merry christmas ดร.ภาธรโพสต์ภาพประทับใจ เมื่อครั้งเข้าเฝ้าฯ "ในหลวง ร.9-สมเด็จพระเทพฯ" เทศกาลคริสต์มาส ดร.ภาธร ศรีกรานนท์ อาจารย์ภาควิชาดนตรี คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสมาชิกวง อ .ส.วันศุกร์ โพสต์ภาพเหตุการณ์ครั้งเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ในวันคริสมาสต์เมื่อปี 2556 ที่โรงพยาบาลศิริราช ในภาพจะเห็นสมเด็จพระเทพทรงใส่ชุดซานต้าครอส ส่วนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรวงสวมหมวกซานตครอส และภายในห้องตกแต่งด้วยต้นคริสมาสต์อย่างงดงาม ก้อย-ตูน koytoonfamily อรุณสวัสดิ์ #ก้าวที่55 ค่ะ ก้าวสุดท้าย...ปลายทางเส้นชัยที่แม่สาย "ซานต้าตูน" มอบความสุขให้คนไทยมาแล้ว 54 วัน #ก้าว มาแล้ว ระยะทาง 2,180.90 กิโลเมตร ยอดบริจาค ณ วันที่ 25 ธันวาคม 2560 เวลา 07.26 น. จำนวน 1,027,912,412.16 ล้านบาท Day55...เมื่อเช้านี้...รัก ภาพโดย @ahakorn #ก้าวที่55 Merry X' Mas from ซานต้า ซานตี้ และ ซานตู้ 🎄🎅 @tutoumumou ขอแชร์นะคะ ถูกแก้ไข ธันวาคม 25, 2017 โดย ginger อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ธันวาคม 25, 2017 LIVE โครงการก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ เบตง - แม่สาย วันที่ 1 พย - 25 ธค 2560 ระยะทาง ระยะทาง 2,191 กม. การวิ่งวันที่ 25 ธันวาคม 2560 Set3 โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่จัน - โรงเรียนบ้านแม่คำ 10km. ช่องทางในการบริจาค... See more อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ธันวาคม 25, 2017 ทรงพระเจริญ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ธันวาคม 25, 2017 การกินผลไม้ในตอนท้องว่าง kk0841405047 | LINE TIMELINE อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ธันวาคม 26, 2017 วันนี้สามารถดู Facebook Live ได้ที่เพจ ไร่เชิญตะวัน 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 5, 2018 สวัสดีปีใหม่ เจริญสุขสวัสดิ์ เบิกบาน แจ่มใส กาย ใจ แข็งแรง ปลอดโปร่ง สมใจ ปลอดภัย โชคดี ginger เที่ยวไทยเท่ 28 December 2017 at 17:30 · เอ้าาา เวลานี้ก็ต้องรีวิวบ้าน บ้าน สิครัชช!! ... วันนี้เสนอตอนนนนน ... "ชุมชนบ้านบางพลับ" จ.สมุทรสงคราม . ชุมชนบ้านบางพลับบอกเลยว่าอัดแน่นไปด้วยชีวิตแบบชาวสวน ทั้งสวน ส้มโอ มะพร้าว และอีกเพียบบ วันนี้จะไปดูกันแบบจัดเต็มทั้ง 5 วิถีเท่ของเรากันเลยฮ่ะ ชม >> ความอร่อยที่สวนส้มโอพันธุ์ขาวใหญ่ ที่มีผลใหญ่มว๊ากก และปลอดสารเคมีด้วยแหละ ชิม >> ก็ไม่พ้นที่จะต้องชิมส้มโอสดๆ จากต้น หวาน กรอบ อร่อย กัดไปคำแรกน้ำแตกซ่านในปากเลยแกรรร และกุ้งแม่น้ำบางพรม โอ้ยยยไปดูกันเอาค่ะ ว่าน่ากินขนาดไหน และสุดท้ายกับผลไม้กลับชาติ เอ๊ะ งงใช่มะคืออะไร? ช้อป >> จะพลาดได้หรอออ ที่นี่คือถ้าไม่ได้ไปซื้อน้ำตาลมะพร้าวคือพลาดมาก และก็ส้มโอสักโล คนที่บ้านประทับใจแน่นวลล ช่วย >> ไปช่วยกันปลูกต้นมะพร้าวคนละต้นสำหรับนักท่องเที่ยว เพื่อเป็นที่ระลึกของการมาเยี่ยมที่บ้านบางพลับ และที่ดีไปกว่านั้นคือ ยังกลับมาเก็บผลที่เราปลูกเองไว้ได้อีกด้วยยยยย แชร์ >> ความสุขของการท่องเที่ยวให้เพื่อนๆ หรือคนสำคัญได้เห็น ได้รู้ เพราะเมืองไทยของเราเท่และมีดีกว่าที่เห็นอีกเยอะเลยยย . รีบไปชมความเท่กันเลย ณ บัด นาววววว #รีวิวบ้านบ้าน #เที่ยวไทยเท่ #บ้านบางพลับ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 5, 2018 สยบภูมิแพ้ด้วยน้ำเห็ดสามอย่าง ข้าวงาด ผู้เขียน: เทียนสี หมวด: How to ใครที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้คงทราบดีถึงความทรมานจากอาการของโรค ที่มีตั้งแต่ระดับสร้างความรำคาญไปจนถึงคุกคามชีวิตเลยทีเดียว คุณชฎาพร แพรแก้ว เป็นคนหนึ่งที่เคยป่วยเป็นภูมิแพ้หนักมาก มีอาการคันตามต่อมน้ำเหลือง ๘ จุดทั่วร่างกาย คันจนนอนไม่ได้ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ต้องกินยาสเตียรอยด์ครั้งละเม็ดวันละสามครั้งต่อเนื่องนานนับสิบปี จนเกือบจะเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือโรคพุ่มพวง เพราะก้นเริ่มลีบ แขนใหญ่ หน้ากลมเป็นพระจันทร์ มีผื่นคันเม็ดเล็กๆ ขึ้นตามผิวหนัง ผมร่วงมาก กระดูกเปราะดังกรอบแกรบ ปวดหลัง ปวดกระดูก ปวดไต ข้อมือและตัวบวม ตาแดงเหมือนคนติดยาเสพติด เบลอ ไม่มีสติ อาการหนักจนเกือบเสียชีวิตไปแล้ว จนวันหนึ่งเธอได้ชมรายการชีวิตชีวา ของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร แนะนำให้กินน้ำเห็ดสามอย่างเพื่อช่วยขจัดสารพิษและฟื้นฟูร่างกาย จนเธอหายจากอาการภูมิแพ้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขในปัจจุบัน น้ำเห็ดสามอย่างคืออัศวินที่คืนชีวิตให้เธอกลับมามีสุขภาพแข็งแรง และบอกเล่าประสบการณ์กับผู้เขียนได้ในวันนี้ เห็ด เป็นอาหารประเภทผักที่ปราศจากไขมัน มีปริมาณน้ำตาลและเกลือค่อนข้างต่ำ ทั้งยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์นานาชนิด ได้แก่ กรดอะมิโนกลูตามิค ที่ช่วยกระตุ้นประสาทการรับรู้รสอาหารของลิ้นให้ไวกว่าปกติ ทำให้เห็ดมีรสชาติคล้ายกับเนื้อสัตว์ มีวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบีรวม (ไรโบฟลาวิน) และไนอาซิน ซึ่งช่วยควบคุมการทำงานของระบบย่อยอาหาร มีเกลือแร่ เช่น ซิลิเนียม ทำหน้าที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน มีโพแทสเซียม ทำหน้าที่ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ รักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทต่างๆ ทั้งยังลดความเสี่ยงในการเกิดโรคความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์ และอัมพาต รวมถึงมีทองแดงที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของธาตุเหล็ก นอกจากคุณค่าทางอาหารแล้ว เห็ดยังมีสรรพคุณทางยาใช้รักษาโรคต่างๆ ได้มากมาย เช่น ช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะสำคัญต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ ปอด ตับ และระบบไหลเวียนของโลหิต ชาวจีนจัดเห็ดเป็นยาเย็น เพราะมีสรรพคุณครอบจักรวาลที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าเห็ดสามารถช่วยลดไข้ เพิ่มพลังชีวิต ดับร้อนใน แก้ช้ำใน บำรุงร่างกาย ลดระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด ลดความดัน ขับปัสสาวะ คลายหงุดหงิด บำรุงเซลประสาท รักษาอาการอัลไซเมอร์ และที่สำคัญยังยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย การนำเห็ดสามอย่างมาต้มรวมกันจะมีค่ากรดอะมิโนที่สามารถลดอัตราการเติบโตของเซลล์มะเร็ง ได้ ทั้งยังช่วยล้างพิษที่สะสมในตับ ทั้งจากอาหารและสารเคมี เช่น พิษจากสุรา สารตกค้างในเนื้อสัตว์ สารเคมีจากเครื่องสำอาง และพิษจากสารอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นยังล้างไขมันในตับ ทำให้ตับแข็งแรง สร้างเม็ดเลือดแดงได้ดี คุณชฎาพรดื่มน้ำเห็ดสามอย่างทุกวันต่อเนื่องเป็นเวลา ๓ เดือน จึงเห็นผลว่าร่างกายค่อยๆ ขับสารพิษและยาที่สะสมอยู่ออกไป อาการเจ็บป่วยต่างๆ ค่อยๆ ลดลงจนหายไปในที่สุด วิธีการต้มน้ำเห็ดสามอย่าง คุณชฎาพรแนะนำดังนี้ค่ะ นำเห็ด ๓ ชนิดในปริมาณเท่าๆ กัน จะเป็นเห็ดฟาง เห็ดหูหนูขาว เห็ดหูหนูดำ เห็ดนางฟ้า เห็ดหอม เห็ดออรินจิ เห็ดเข็มทอง หรือเห็ดอะไรก็ได้ที่เราชอบมาล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เตรียมไว้ จากการทดลองนำเห็ดมาต้มรวมกัน คุณชฎาพรพบว่าควรใช้เห็ดหอม เห็ดเข็มทอง และเห็ดออรินจิ ๓ อย่างนี้จะได้น้ำเห็ดรสชาติดีที่สุด ใส่น้ำประมาณ ๑ ถึง ๑.๕ ลิตร แล้วแต่ปริมาณเห็ด ต้มให้เดือดแล้วหรี่ไฟต้มต่ออีกประมาณ ๑๕ นาที จากนั้นกรองเอาเนื้อเห็ดไปทำอาหาร ส่วนน้ำเห็ดเก็บใส่กระติกเก็บความร้อน ดื่มอุ่นๆ แทนน้ำเปล่าได้ตลอดวัน อาจใส่ใบเตยหรือมะตูมแห้งย่างไฟเพื่อช่วยเพิ่มรสชาติให้หอมดื่มง่ายขึ้น แต่ไม่ควรปรุงแต่งรสชาติด้วยเกลือหรือน้ำตาลค่ะ นอกจากดื่มน้ำเห็ดสามอย่างเป็นประจำแล้ว คุณชฎาพรยังกินข้าวผสมงาดำบดทุกมื้อ โดยนำงาดำที่ยังไม่คั่ว ๑ ถ้วย มาร่อนเอาทรายหรือฝุ่นออกให้สะอาด จากนั้นปั่นให้ละเอียดนำไปหุงรวมกับข้าวกล้อง ๑ ถ้วย ใส่น้ำ ๒ ถ้วย สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มรับประทานอาจใส่งาทีละน้อยก่อนเพื่อให้คุ้นชินกับรสชาติแล้วค่อยเพิ่มปริมาณให้มากขึ้นเท่าที่ตัวเองรับได้ แต่อย่าใส่งามากเกินไปเพราะจะทำให้ข้าวขมไม่อร่อย และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ การกินงาดำป่นนี้คุณชฎาพรกล่าวว่าเคยดูรายการของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรแนะนำให้กินงาดำป่นวันละ ๑ ขีด จะช่วยซ่อมแซมกระดูก บำรุงไต เมื่อเธอกินต่อเนื่องเป็นประจำก็พบว่าอาการปวดกระดูกค่อยๆ หายไป มวลกระดูกเพิ่มขึ้น ไม่มีเสียงดังกรอบแกรบอีก ผมที่ร่วงก็ขึ้นมาดกดำ เงางาม มีน้ำหนัก ผิวพรรณก็เปล่งปลั่งสดใสขึ้น เมื่อพิจารณาคุณสมบัติของงาดำ ซึ่งถือเป็นราชินีแห่งพืชน้ำมัน ราชินีแห่งธัญพืช ก็พบว่างาดำอุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ มีวิตามินบี ๑ บี ๒ บี ๓ บี ๕ บี ๖ บี ๙ แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม โซเดียม ฟอสฟอรัส สังกะสี เหล็ก ที่ช่วยบำรุงร่างกายได้ทุกส่วนตั้งแต่ผม ผิว กระดูก เล็บ ระบบขับถ่าย บำรุงหัวใจ เหมาะกับคนทุกวัยตั้งแต่เด็กจนถึงวัยทอง ทั้งยังช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุนอีกด้วย นอกจากนี้ งาดำยังมีสาระสำคัญ คือ เซซามีน ซึ่งมีประโยชน์มากมาย ช่วยเผาผลาญสลายไขมัน ลดความอ้วน เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ลดการดูดซึมและการสังเคราะห์คอเลสเตอรอล ทำให้ระดับไขมันอยู่ในสัดส่วนพอดี ช่วยการทำงานของวิตามินอี ป้องกันการเสื่อมของเซลในระบบประสาท ต้านการอักเสบ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นสูง สามารถดักจับอนุมูลอิสระสาเหตุของริ้วรอย แก้ปัญหาผิวเหี่ยวย่น และเพิ่มออกซิเจนให้กับผิวอีกด้วย การดื่มน้ำเห็ดสามอย่างเป็นประจำ ควบคู่ไปกับการกินข้าวผสมงาดำป่น บางครั้งคุณชฎาพรก็ใส่ธัญพืชและผักต่างๆ เช่น แครอท ฟักทอง หั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ หรือลูกเดือยต้มสุก ลงไปหุงผสมกับข้าวด้วย และหันมากินผักสด ผลไม้ ให้มากขึ้น ทำให้เธอสามารถหยุดการกินยาสเตียรอยด์ได้อย่างสิ้นเชิง อาหารจากธรรมชาตินี้เองที่ช่วยล้างสารพิษสะสมในร่างกาย และช่วยฟื้นฟูให้เธอหายจากอาการภูมิแพ้ที่หมอแผนปัจจุบันมักจะบอกว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ต้องใช้ยาช่วยประทังไปตลอดชีวิต ใครที่เป็นภูมิแพ้ลองกินน้ำเห็ดสามอย่างและงาดำอย่างคุณชฎาพรดูสักระยะ หากไม่สะดวกหุงข้าวงาดำอาจใช้งาดำป่น ๓-๔ ช้อนชาชงใส่เครื่องดื่มแทนก็ได้ มีน้องคนหนึ่งมารีวิวในอินเทอร์เน็ตว่าเธอกินงาดำป่นวันละ ๓ ช้อนชา สัปดาห์ละ ๖ วัน เป็นเวลา ๓ เดือนครึ่ง พบว่าช่วยแก้ปัญหาท้องผูกเป็นประจำได้ สามารถขับถ่ายได้ปกติ ผมดกดำ นิ่มเป็นเงาและหนามีน้ำหนัก ที่สำคัญช่วยเรื่องภูมิแพ้ สุขภาพดีขึ้นไม่เป็นหวัดง่าย แถมยังช่วยเรื่องน้ำในไขข้อได้ด้วย ซึ่งการจะเห็นผลเช่นนี้ได้นั้น ขอเพียงสามารถกินให้ได้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ อย่างน้อย ๓ เดือนขึ้นไป คุณอาจพบว่าภูมิแพ้ที่ว่าแน่ยังแพ้อาหารจากธรรมชาตินี่จริงๆ ค่ะ.. http://happydeathday.co/สยบภูมิแพ้/ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 5, 2018 ขอคุณแห่งพระรัตนตรัย อำนวยอวยพรแด่เพื่อน พี่น้องทุกท่าน ให้มี ความสุข สวัสดี ความเจริญในสติ ในคุณธรรม เพื่อดำรงฐานะแห่งตนเป็นประโยชน์สุขแก่ประเทศ สังคม ครอบครัวและตนเองนะคะ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 5, 2018 กุหลาบงาม จนใจละลาย Artist Adisorn Pornsirikarn “แสงแรก” First Light Watercolor on paper, 51 x 36 cm, 2017. “หลายครั้งของการระบายสีน้ำ ได้เพียงแค่คาดการณ์เท่านั้น ว่า หากใช้วิธีนี้ ระบายแบบนี้ จะเกิดอะไรขึ้น น้ำหนักสีเป็นอย่างไร ภาพในหัว เป็นการออกแบบกระบวนการคิด ที่ยังไม่ปรากฏเป็นภาพจริง การระบายสีน้ำจึงคล้ายการทดลอง ที่บางครั้งอุบัติเหตุการทดลอง ทำให้ภาพตื่นตากว่าสิ่งที่คาดหวังไว้” Cr Aj Adisorn Pornsirikarn อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 17, 2018 เลี่ยง...ไข่ดิบ เน้น...ไข่สุก ไข่ เป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพสูง หาได้ง่าย และเหมาะสมสำหรับทุกเพศ ทุกวัย เป็นแหล่งของแร่ธาตุและวิตามินอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 บี 6 วิตามินอี โฟเลต เลซิธิน ลูทีน ซีแซนทีนและโคลีนที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ปริมาณไข่ที่แนะนำให้บริโภค เด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือน ให้เริ่มที่ไข่แดง ต้มสุก วันละครึ่ง ถึง 1 ฟอง เด็กอายุ 7 เดือนขึ้นไปกินไข่ต้มสุกวันละครึ่งถึง 1 ฟอง และเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไปถึงวัยสูงอายุกินไข่ต้มสุกได้วันละฟอง ส่วนผู้ป่วยเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง กินไข่ได้ 3 ฟองต่อสัปดาห์หรือตามคำแนะนำของแพทย์ ที่สำคัญต้องดูแลการบริโภคอาหารอย่างอื่นร่วมด้วย โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งผู้บริโภคควรกินไข่ควบคู่กับอาหารที่หลากหลายในแต่ละมื้อ โดยให้มีอาหารประเภทข้าว-แป้ง ธัญพืช เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ครบทั้ง 5 หมู่ ในสัดส่วนปริมาณที่เหมาะสม เพื่อคุณค่าทางโภชนาการและสารอาหารที่ครบถ้วน โดยเฉพาะผักและผลไม้สดจะช่วยในการกักเก็บน้ำตาลและคอเลสเตอรอล จึงช่วยลดการดูดซึม ควรเลี่ยงการกินไข่ดิบ เพราะถ้าไข่ไม่สุกอาจปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ และไข่ขาวที่ไม่สุกจะขัดขวางการดูดซึมไบโอตินซึ่งเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งในลำไส้ ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามินบีชนิดนั้นไปใช้ประโยชน์ได้ จึงได้รับประโยชน์ไม่เต็มที่ และ ควรกินในรูปแบบไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้ จะมีปริมาณไขมันน้อยกว่าไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ลูกเขย หรืออาจกินเป็นสลัดไข่ ยำไข่ เพราะจะทำให้ได้สารอาหารที่มีประโยชน์จากไข่ และได้ใยอาหารและวิตามินซีจากผักและผลไม้ ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือ ขนมปังไข่ดาวใส่เบคอนหรือไส้กรอก เพราะจะได้รับปริมาณไขมันสูงมากจากเบคอน น้ำมันที่ใช้ทอด และเนยที่ทาขนมปัง สำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องฟันที่ไม่สามารถทานอาหารโปรตีนอื่นได้ แนะนำให้ให้กินไข่เป็นแหล่งของโปรตีน กรณีที่พ่อแม่ต้องการให้เด็กได้กินผักควบคู่กับไข่นั้น ควรใช้วิธีการประกอบอาหารที่มีการใส่ผักลงไปในไข่เพื่อเป็นการจูงใจให้เด็กกินผักได้อีกทางหนึ่งเช่น ไข่เจียวหรือไข่ตุ๋นใส่ผักสับละเอียด โดยจะช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายแก่เด็ก (เครดิตข้อมูล : กรมอนามัย) มูลนิธิหมอชาวบ้าน 5 hrs · มะเขือเทศ : ป้องกันมะเร็ง มะเขือเทศเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มากด้วยวิตามินซี และเส้นใยอาหาร มะเขือเทศอุดมด้วยสาร "ไลโคฟีน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (แอนติออกซิแตนต์) ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย อันเป็นต้นเหตุของโรค เช่น โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือด หัวใจตีบตัน ต้อกระจก ข้อเสื่อม เป็นต้น สรรพคุณทางยา : ลดการเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ ตับอ่อน และทางเดินอาหาร หอบหืด ช่วยบำรุงสายตา ข้อเสื่อม ลดริ้วรอยช่วยให้ผิวเต่งตึง รักษาสิว ลดความดันเลือดสูงได้ ลดเชื้อราในช่องปาก ทั้งนี้ เพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณทางยา ควรกินมะเขือเทศผลสุกสด หรือเมนูร่วมอื่นๆ เช่น ส้มตำ ยำ น้ำมะเขือเทศ ฯลฯ ก็ได้ ข้อควรระวัง : มะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อนกลับ จึงควรกินในปริมาณจำกัด (เครดิตภาพ : beemoony, swin, manageacidreflux, AB1ว.2_AB2ว.1, 21inf) ** สมุนไพรใกล้ตัว มุ่งเสนอสรรพคุณทางยา การนำไปใช้ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน ** ดูแลหัวใจ สไตล์แพทย์จีน คนที่มีร่างกายแข็งแรงดี บางครั้งขณะออกกำลังกาย ยืนบรรยาย หรือทำงานอยู่ เกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันโดยไม่พบสาเหตุ แพทย์จีนมีหลักและมุมมองดูแลหัวใจอย่างไร 1. สังเกตสุขภาพหัวใจจากการรับรู้และการสั่งการของสมอง ดูจากสีเลือดบนใบหน้า ลิ้น แววตา การรับรู้ ความตอบสนอง อารมณ์ การนอนหลับ การฝัน ฯลฯ 2. ดูการเต้นหัวใจ จังหวะ ความแรง ความคล่องตัวในการไหล ลักษณะของหลอดเลือด 3. อาการจุกแน่นบริเวณหน้าอก (เส้นลมปราณเยื่อหุ้มหัวใจ) หัวไหล่และสะบัก (เส้นลมปราณลำไส้เล็ก) 4. ดูแลหัวใจต้องดูแลสมองควบคู่ไปด้วย จิตใจมีผลต่อการควบคุมการทำงานของหัวใจ โบราณกล่าวว่า - หัวใจ (สมองจิตใจ) เคลื่อนไหว อวัยวะภายในขยับ จิตใจที่สงบสามารถขจัดโรคทำให้ชีวิตยืนยาว ป้องกันความแก่ชรา - จิตใจต้องสงบ ร่างกายต้องเคลื่อนไหว 5. เสริมสร้างพลังหยางหัวใจ เสริมบำรุงเลือด และสร้างความแข็งแรงหลอดเลือด (ขจัดเสมหะ ความร้อน ความแห้งของหลอดเลือด) ทำให้เลือดไหลเวียนคล่องไม่ติดขัด 6. การนอนหลับในเวลาที่เหมาะสมช่วงระหว่าง 23.00-03.00 น. แพทย์แผนปัจจุบันและแผนจีน ให้ความสำคัญกับการทำงานของหัวใจคล้ายๆ กัน คือ เน้นที่การบีบตัวของหัวใจต้องมีกำลัง มีจังหวะที่สม่ำเสมอ ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป แต่แผนปัจจุบันจะลงในรายละเอียดถึงพยาธิสภาพว่า มีความผิดปกติของส่วนไหน โดยใช้เทคนิคและเครื่องมือสมัยใหม่ไปตรวจวินิจฉัยประกอบกับการตรวจร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อหัวใจ ลิ้นหัวใจ การนำไฟฟ้า หลอดเลือดหัวใจ แล้วแก้ปัญหาตามพยาธิสภาพ มะเขือเปราะ : ลดน้ำตาลในเลือด ไทยเรากินผลสีเขียวเป็นอาหาร ทั้งจิ้มน้ำพริก ใส่แกงป่า แกงเผ็ด และอื่นๆ เป็นอาหารที่ปราศจากคอเลสเตอรอล ลดมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด และเสริมสร้างสุขภาพ สรรพคุณทางยา ผลมะเขือเปราะมีฤทธิ์ลดการบีบตัวกล้ามเนื้อเรียบ ต้านมะเร็งตับและลำไส้ใหญ่ บำรุงหัวใจ และลดน้ำตาลในเลือด ขณะที่รากใช้รักษาอาการไอ หอบหืด อาการหลอดลมอักเสบ ขับปัสสาวะ และขับลม (เครดิตภาพ : mamchan, ร้อยหมื่นพันไมล์ไกลบ้าน, paula, Insignia_Museum, ปลายแป้นพิมพ์, lekkathaifood) ** สมุนไพรใกล้ตัว มุ่งเสนอสรรพคุณทางยา การนำไปใช้ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน ** "สู้ไม่ถอย" รู้ทันป้องกัน'อัลไซเมอร์' ต้องดูแลตัวเองก่อนสูงวัย ไม่ใช่โรคที่ไกลตัวอีกต่อไปสำหรับ “อัลไซเมอร์” โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป สามารถเป็นโร�... THAIPOST.NET อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 17, 2018 อาหารต้านโรคมะเร็ง การเกิดโรคมะเร็งมีสาเหตุหลายประการ แต่อาหารที่คนเรากินอยู่ทุกวัน อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคมะเร็ง การเลือกกินอาหารที่ไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้และปฏิบัติได้ อาหารที่ไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง หรืออาหารต้านมะเร็ง ได้แก่ อาหารที่ผลิตจากพืช ได้แก่ ผัก ธัญพืช ผลไม้ อาหารเหล่านี้ประกอบด้วยวิตามินนานาชนิด และที่สำคัญมีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสารอนุมูลอิสระเป็นตัวการสำคัญในการก่อเซลล์มะเร็ง การกินอาหารที่มาจากพืช ควรกินหลากหลายชนิด สลับหมุนเวียนกัน เพราะพืชแต่ละชนิดจะมีสารอาหารแตกต่างกัน การกินอาหารอย่างเดิมซ้ำๆ กัน นอกจากจะเกิดความจำเจเบื่อหน่ายแล้ว ยังอาจได้สารอาหารบางอย่างไม่ครบถ้วน ผักหลายสี ควรหาโอกาสกินให้ครบทุกสี เช่น - ผักสีแดง มีสารต้านอนุมูลอิสระไลโคปีนที่ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด เป็นต้น ผักสีแดงที่หาได้ง่าย ได้แก่ มะเขือเทศ - ผักสีส้มและสีเหลือง มีส่วนประกอบที่เป็นวิตามินเอ และสารบีตาแคโรทีน เช่น ฟักทอง แครอต - ผักสีขาว มีสารบีตาแคโรทีน เช่น ผักกาดขาว ดอกแค มะเขือขาวเปราะ กระเทียม - ผักสีม่วง ประกอบด้วยสารแอนโธไซยานิน เช่น ดอกอัญชัน กระหล่ำสีม่วง ชมพู่ม่าเหมี่ยว มะเขือม่วง หัวหอม บีทรูท - ผักสีเขียว ประกอบด้วยวิตามินเอ วิตามินซี เช่น ผักบุ้ง ตำลึง กวางตุ้ง คะน้า บรอกโครี มะระขี้นก ผักชะอม ผลไม้ประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่เซลล์ร่างกายต้องการ นอกจากนั้นผลไม้ยังประกอบด้วยเส้นใยจำนวนมาก ส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายทำงานได้ดี วิตามินเอ วิตามินซี และสารบีตาแคโรทีนในผลไม้ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ธัญพืช ประกอบด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ธัญพืชที่ขัดสีน้อยจะให้คุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าและมีเส้นใยอาหารมากกว่าธัญพืชที่ขัดสีอย่างเกลี้ยงเกลา เช่น ข้าว ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด ลูกเดือย งา "ฉุกเฉินจริงหรือไม่ อย่ามัวตัดสิน" เพียงเบี่ยงซ้าย ขยับชิด ให้รถฉุกเฉินผ่าน #ให้ทางเท่ากับช่วยชีวิต ความดีที่คุณทำได้ #JS100 http://goo.gl/hoc9w8 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 17, 2018 “อดทน รอคอย ให้อภัย ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ” อาจารย์หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน คำคมเพชรจากใจเพชร 11 มกราคม 2561 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 29, 2018 จิตอาสาช่วยกันนำดอกไม้มาจัดเรียงให้สวยงาม ในการเตรียมสถานที่จัดงานฤดูหนาวภายใต้ชื่อ"อุ่นไอรัก คลายความหนาว” ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยราชการในพระองค์จัดงานฤดูหนาวขึ้นภายใต้ชื่อ "อุ่นไอรัก คลายความหนาว” เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ แสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่า ระหว่างวันที่ 8 กุมภาพันธ์ -11 มีนาคม 2561 (28 ม.ค.2561) อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 29, 2018 ก่อนตรุษจีนที่เยาวราช...ครับ ใกล้ตรุษจีนแล้ว...ผมก็มีภาพวัดจีนมาฝากอีกสักภาพครับ ศิลปิน สุชาติวงค์ทอง อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 29, 2018 กินเค็ม...เกิดโรคอะไร เมื่อพูดถึง “ความเค็ม” คนส่วนใหญ่จะนึกถึง “เกลือ” ที่ใช้ในการปรุงแต่งรสอาหารให้มีความเค็มหรืออาจใช้ในการถนอมอาหาร ดังนั้นเกลือจึงสื่อถึงรสชาติเค็มของอาหาร “เกลือ” คือสารประกอบทางเคมีที่เรียกว่า “โซเดียมคลอไรด์” และคนทั่วไปมักจะเรียก “เกลือแกง” ที่ใช้ประกอบอาหารว่าโซเดียมคลอไรด์ โซเดียมเป็นแร่ธาตุธรรมชาติที่ร่างกายต้องการ และร่างกายไม่สามารถผลิตโซเดียมได้เอง จึงจำเป็นต้องได้รับจากอาหารในปริมาณที่เหมาะสม ทั้งนี้เราควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน (หรือ 1 ช้อนชา) ส่วนคนที่เสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงไม่ควรเกิน 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ปัจจุบันคนไทยบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูงกว่าที่ร่างกายต้องการถึง 2 เท่า หรือวันละ 4,000 มิลลิกรัม จากพฤติกรรมต่างๆ เช่น เติมน้ำปลาทุกครั้งที่กินอาหารตามร้านและที่บ้าน ใช้ผงปรุงรสสารพัดชนิดทุกครั้งที่ปรุงอาหารบริโภคอาหารสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูป สัปดาห์ละหลายครั้ง กินเค็ม เกิดโรคอะไร ถึงแม้ “โซเดียม” จะมีความสำคัญต่อร่างกาย แต่การบริโภคโซเดียมมากเกินไปกลับมีผลเสียต่อสุขภาพ และส่งผลให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ หลายโรค เช่น - ความดันโลหิตสูง คนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่า 11 ล้านคน - หัวใจวาย คนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดปีละ 4 หมื่นคน หรือวันละ 108 คน - อัมพฤกษ์ อัมพาต คนไทยเป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต มากกว่า 5 แสนคน การกินเค็มจัดทุกวัน มีโอกาสสูงที่หลอดเลือดสมองจะตีบตันหรือแตก ทำให้เป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต - ไตวาย คนไทยเป็นโรคไต มากกว่า 7.6 ล้านคน มีการประเมินค่าใช้จ่าย “ฟอกเลือดล้างไต” คนละประมาณ 2 แสนบาทต่อปี ซึ่งยังไม่รวมค่าใช้จ่ายเดินทางไปสถานพยาบาลและค่าเสียเวลาอื่นๆ (ลูกหลานต้องหยุดงานเพื่อพาผู้ป่วยไปฟอกเลือดล้างไต) จะเห็นได้ว่าการบริโภคโซเดียมสูงเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่ปัจจุบันมีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร “โซเดียม” จึงกลายเป็นตัวอันตรายในอาหาร หากบริโภคอย่างไม่ระมัดระวัง อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น