ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

13445244_10208476188614923_6099710497536554083_n.jpg?oh=9afb553e0c71cad3ae1c4a7fb95be34f&oe=59225981

 

13428535_10208476189814953_2001081731484835113_n.jpg?oh=6edd9df9e29e654f43dd03f5957315f1&oe=58EAF0B6

 

13435384_10208476190134961_7143020634872764909_n.jpg?oh=5adb8d54f10049a51af76d6ba242db27&oe=58E46BEB

 

 

13407233_10208476192895030_6013984749726346986_n.jpg?oh=56977ac92abdf6277be6bc73eed26410&oe=58E6200F

นิทรรศการพลังแผ่นดิน อัศจรรย์งานศิลป์แผ่นดินสยามshared Aksorn Pichai's album

 

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สถาบันสิริกิติ์ สวนจิตรลดา มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จัดสร้างเรือนยอด ๙ ยอด น้อมเกล้าฯ ถวาย โดยได้รับพระราชทานนามว่า “เรือนยอดบรมมังคลานุสรณีย์” อันมีความหมายว่า เรือนยอดที่สร้างขึ้นเป็นที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติในโอกาสอันเป็นมงคลยิ่งใหญ่

 

ในวาระอันเป็นมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๗๐ ปี วันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ , สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๗ รอบ วันที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ , สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๕ รอบ วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ , สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๕ รอบ วันที่ ๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ , สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๕ รอบ วันที่ ๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ และทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๕ รอบ วันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๔

สำหรับ “เรือนยอดบรมมังคลานุสรณีย์” ตั้งอยู่ในสนามด้านทิศตะวันออกของพระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต เป็นอาคารจัตุรมุขโถง ยกพื้นสูง มียอดทรงปราสาท ๙ ยอด โครงสร้างและส่วนประกอบตกแต่งทั้งหมดหล่อด้วยโลหะ โดยงานจำหลักไม้ต้นแบบเป็นฝีมือของช่างศิลปาชีพสถาบันสิริกิติ์ สวนจิตรลดา ลานโดยรอบ ซึ่งปูด้วยพื้นหินแกรนิตสีเทา มีประติมากรรมสำริดรูปช้างสำคัญในรัชกาลที่ ๙ ประจำอยู่ตรงฐานบันไดทุกทิศ ฐานไพทีที่เป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กหุ้มด้วยหินอ่อน มีระเบียงหินอ่อน และเสาหัวเม็ดทรงมัณฑ์ มีบันไดด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเป็นนาคพลสิงห์ หล่อด้วยสำริดเป็นรูปนาคทรงเครื่อง บันไดด้านทิศใต้และทิศเหนือเป็นนาคพลสิงห์แบบโค้ง หล่อโลหะสำริดเป็นรูปนาคจำแลง บันไดทางขึ้นมี ๓ ด้าน ขั้นบันไดเป็นหินอ่อนคาราร่าสีขาว ราวบันไดแต่ละด้านหล่อด้วยสำริดเป็นลำตัวเหราคาย หัวบันไดเป็นรูปนาค

ส่วนตัวเรือนยอด พื้นเรือนชั้นบนปูด้วยหินอ่อนเป็นลายเหลี่ยมเพชร มีเสาย่อมุมทั้งสิ้น ๔๘ ต้น แบ่งเป็นเสาร่วมนอกขนาดย่อม ๒๔ ต้น ตกแต่งด้วยสำริดหล่อลายหงส์ ปิดทองรองซับด้วยกระจกสี และเสาร่วมในขนาดใหญ่ ๒๔ ต้น ตกแต่งด้วยโลหะสำริดหล่อลายครุฑยุดนาคลงรักปิดทอง รองซับด้วยโลหะกระจกสี ระหว่างเสาทำเป็นซุ้มคูหา ตอนบนของซุ้มคูหาเป็นช่องฉลุโปร่งลายราชวัตร ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นโลหะสำริดหล่อปิดทอง ฝ้าเพดานโถงกลางตกแต่งด้วยการจำหลักไม้เป็นอักษรพระนาม “จ.ภ.” ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และที่ฝ้าเพดานโถงมุขทิศตะวันออกและตะวันตก ตกแต่งด้วยการจำหลักไม้เป็นอักษรพระนาม “อ.ร.” ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี

ในส่วนของเครื่องบนหลังคาทั้งหมดเป็นสแตนเลส โดยมีผืนหลังคาเป็นโลหะทองแดง ขึ้นรูปเป็นกระเบื้องเกล็ดเต่าซ้อนเรียงกัน ขอบด้านในหลังคามีกระจังรวนแขวนอยู่โดยรอบ หล่อด้วยโลหะสำริด มุมประดับลายค้างคาวรูปกระจังปฏิญาณใหญ่ เครื่องลำยอง (เครื่องไม้ตกแต่งหน้าบัน) เป็นรูปนาคเบือนสามเศียรทรงเครื่อง ใบระกาแต่ละใบประดับประติมากรรมรูปเทพนมและเทพรำ ช่อฟ้าเป็นแบบปากนกมีลวดลายภายใน

ส่วนที่สำคัญของเรือนยอดนี้ คือหน้าบันมุขแต่ละด้าน โดยหน้าบันกลางทิศใต้ประดิษฐานอักษรพระปรมาภิไธย “ภ.ป.ร.” ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หน้าบันมุขด้านทิศเหนือ ประดิษฐานอักษรพระปรมาภิไธย “อ.ป.ร.” ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร หน้าบันกลางทิศตะวันตก ประดิษฐานอักษรพระนามาภิไธย “ส.ก.” ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มุขด้านทิศตะวันออก ประดิษฐานอักษรพระนามาภิไธย “ม.ว.ก.” ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร หน้าบันมุขเล็กทิศใต้ฝั่งตะวันออก เป็นอักษรพระนามาภิไธย “ส.ว.” ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หน้าบันมุขทิศใต้ฝั่งตะวันตก เป็นอักษรพระนามาภิไธย “ม.อ.” ในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก หน้าบันมุขเล็กทิศเหนือฝั่งตะวันออก เป็นอักษรพระนาม “ก.ว.” ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และหน้าบันมุขทิศเหนือฝั่งตะวันตก เป็นอักษรพระนามาภิไธย “ส.ธ.” ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

เครื่องบนส่วนเครื่องยอด ออกแบบเป็นแบบปราสาท ๙ ยอด หล่อด้วยโลหะสำริดปิดทองประดับกระจก ยอดหลัก ๓ ยอด ประดับด้วยพรหมพักตร์ ที่ย่อมุมไม้สิบสองยอดประธานทำเป็นประติมากรรมรูปช้างสามเศียรหล่อสำริด ประดับกระจกรับไขราทั้งสี่มุม เครื่องยอดทุกยอดประดับด้วยบันแถลง นาคปัก และบราลี เป็นโลหะหล่อปิดทองประดับกระจก

ภูมิทัศน์โดยรอบเรือนยอดบรมมังคลานุสรณีย์ สร้างเป็นสระน้ำ ๔ สระ แต่ละสระมีประติมากรรมโลหะสำริดหล่อรูปช้าง ม้า โค และสิงห์ ประดับอยู่ด้วย

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ทรงเปิดเรือนยอดบรมมังคลานุสรณีย์ เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๙

(เรียบเรียงข้อมูลจากแผ่นป้ายจารึกประวัติการสร้างที่ด้านหน้าเรือนยอดบรมมังคลานุสรณีย์ และจากไทยรัฐออนไลน์ วันที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ - http://www.thairath.co.th/content/636696)

11903846_10206365263483114_3517974003929273016_n.jpg?oh=314871d4f0a277933e6c608207301092&oe=5916FF1A

ประมวลภาพเครื่องทองราชสำนัก สมัยรัตนโกสินทร์ อันเป็นทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน ในงาน “ธนารักษ์คลังแผ่นดิน บริหารทรัพย์สินเพื่อประชา” ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (จัดระหว่างวันที่ ๑๔ - ๑๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๘) โดยมีการจำลองศาลาเครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญกษาปณ์ พิพิธภัณฑ์แห่งแรกของกรมธนารักษ์ที่อยู่ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งได้นำทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ประเภทเครื่องยศที่ใช้ในพระราชพิธีโสกันต์หลายหมวดด้วยกันมาจัดแสดง ตัวอย่างเช่น

 

- เครื่องศิราภรณ์ ได้แก่ พระเกี้ยวทองคำประดับเพชร พระเกี้ยวทองคำลายสลัก พระจุฑามณี (ปิ่น)

 

- เครื่องถนิมพิมพาภรณ์ หรือเครื่องประดับแต่งพระองค์ ได้แก่ สังวาลและทับทรวง (สร้อยและจี้) รัดพระองค์และปั้นเหน่ง (สายเข็มขัดและหัวเข็มขัด) พาหุรัด (ดอกไม้รัดแขน) ทองพระกร (กำไลข้อมือ) ทองพระบาท (กำไลข้อเท้า) พระธำมรงค์ทรงต่างๆ ประดับอัญมณีหลากสี

 

- เครื่องตั้งแต่งประกอบพระอิสริยยศฯ ได้แก่ เครื่องอุปโภค และเครื่องศาสตราวุธ สำหรับเครื่องอุปโภค เช่น พานพระศรี (พานหมาก) หีบหมาก คนโท กาน้ำ มังสี (ใส่หมาก) ผอบ (ใส่ยาเส้น) ซองพลู ซองพระโอสถมวน (ซองบุหรี่) ตลับภู่ (ใส่สีผึ้ง) มีดเจียนหมาก บ้วนพระโอษฐ์ (กระโถนทิ้งชานหมาก) ส่วนเครื่องศาสตราวุธ ได้แก่ พระแสงกระบี่นาคเศียรเดียว

 

(ที่มาของข้อมูล : เว็บไซต์กระทรวงการคลัง)

 

 

พานพระศรีทองคำสลักลายเครื่องพร้อม , คนโททองคำสลักลายพร้อมพานรอง , กาทรงกระบอกทองคำสลักลายพร้อมถาดรอง , บ้วนพระโอษฐ์ทองคำสลักลาย , หีบหมากทองคำลงยาหุ้มไม้แดงหลังหีบตราพระมหามงกุฎพร้อมพานรอง

 

 

พานพระศรีทองคำสลักลายเครื่องพร้อม

 

11891079_10206365257642968_1841171716871117617_n.jpg?oh=afb717f9d277f2d567e6b16c38ab75e8&oe=59211947

พระแสงกระบี่ฝักทองคำลายสลัก ซ่นด้ามศีรษะนาคเศียรเดียว

 

11850736_10206365262123080_5763568984815537964_o.jpg?oh=099712ba5e2f4ef0a30ea85f2ad5c296&oe=58EA16E1

พระเกี้ยวทองคำประดับเพชรซี

 

11231023_10206365283523615_192842385198784169_n.jpg?oh=84a841e6e1a9b1ac4252fc43e5d62f30&oe=58E188D6

ทองพระบาททองคำลงยาประดับอัญมณี

 

11889515_10206365284603642_2279224099881585347_n.jpg?oh=0656f6cfc9b5bc465b0047c35ad7a0e8&oe=58DDA812

พานพระศรีทองคำสลักลายเครื่องพร้อม และคนโททองคำสลักลายพร้อมพานรอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

15940848_10156234239753973_3493387040674875123_n.jpg?oh=8c7da3202b1efa28ae4ad4c34189ff62&oe=58E5C156

ราชกิจจานุเบกษาประกาศพระราชโองการพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับที่ ๓ แก้ไข ม. ๗ เรียบร้อยแล้วค่ะ ดีใจจะได้มีสมเด็จพระสังฆราชฯ ในเวลาอันใกล้เข้ามาแล้วค่ะ

"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์

 

เมื่อวันที่ 6 มกราคม เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชโองการ ประกาศพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 โดยมีใจความว่า

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ

สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้

มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560”

มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

เป็นต้นไป

มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505

ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

“มาตรา 7 พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง และให้นายกรัฐมนตรี ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”

ผู้รับสนองพระราชโองการ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

นายกรัฐมนตรี

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ตามโบราณราชประเพณีที่ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านานนั้น เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งต่อมาได้เริ่มมีบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2484 เป็นต้นมา สมควรบัญญัติกฎหมายให้สอดคล้องเพื่อเป็นการสืบทอดและธำรงรักษาไว้ซึ่งโบราณราชประเพณีดังกล่าว โดยให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้"

ขอบคุณข่าว มติชนออนไลน์ http://www.matichon.co.th/news/418787

====

 

รู้จักพระไตรปิฎกให้ชัด ให้ตรง (กรณีพระคึกฤทธิ์)

http://analaya.com/dhamma-ebook/73-buddha-bio/544-kukrit-ebook.html'>http://analaya.com/dhamma-ebook/73-buddha-bio/544-kukrit-ebook.html

 

-----

 

 

 

 

 

 

 

หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) added 2 new photos.

5 hrs · -pz5JhcNQ9P.png

 

ไม่รู้ดีรู้ชั่ว อย่างนี้ต้องจัดให้เต็ม เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะอยู่ใครจะไป

๗ มกราคม ๒๕๕๙

-----------------------------------------

โก๋หลังวัด

4 มกราคม เวลา 15:48 น. •

เมื่อนายกผู้สง่างามจากการปล้นอำนาจประชาชน

ออกมาแสดงความเห็นเรื่องกรณีวัดพระธรรมกาย

ทุกอย่างจึงย้อนเข้าหาตัวนายกทั้งหมด

ทั้งกรณีน้องชายรำ่รวยผิดปกติ

กรณีความไม่โปร่งใสของกองทัพ

กรณีความสัมพันธ์กับพุทธะอิสระ

ไม่นับรวมการอ้างประเทศเทศอื่นอีก

ท่านนายก ไม่ควรแสดงความเห็นดีกว่า

ท่านควรเอาว่าเวลาไปคิดแก้ไขปัญหาประเทศ

หรือปฎิรูป ความโปร่งใส ของกองทัพ

หรือตระกูลจันทร์โอชาจะดีกว่านะครับ

มันไม่ใช่หน้าที่ท่าน ที่จะมาตัดสินคำสอน

หรือตัดสินคดี ว่าอันไหนถูกผิด

ท่านน่าจะรู้ดีกว่าใครนะครับ

ว่าการถูกตราหน้าโดยข่าวมันเป็นเช่นไร

ด้วยความเคารพรัก

สุดท้ายฝากท่านตรวจสอบ อาจารย์ ของท่านด้วยว่า ขอใช้ตรา พระปรมาภิไธยย่อ ภปร และ สก ถูกต้องตามขั้นตอน หรือไม่!! อย่าปล่อยให้เงียบ นะนายก

ที่มา http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1483515105

#โก๋หลังวัด #อย่ากะลา #อย่าคนดี #อย่าตู่

-----------------------------------------

พุทธะอิสระอยากบอกพวกทาสลัทธิอลัชชีทำจนตัวตายว่า ประเด็นในเรื่องนี้มันไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นศิษย์ใคร ใครเป็นอาจารย์ใคร

แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเจ้าลัทธิอลัชชีทำจนตัวตายมันชั่วจริงไหม

มันเสพเมถุนจริงไหม

มันโกงเงินชาวบ้านจริงไหม

มันเอาเงินชาวบ้านไปเล่นหุ้นและขาดทุนเป็นพันๆ ล้านจริงไหม

มันฟอกเงิน ร่วมกันยักยอกเงินฝากสหกรณ์จริงไหม

มันบุกรุกถือครองที่ดินสาธารณะจริงไหม

มันใช้ให้ผู้อื่นไปขับไล่บีบคั้นเจ้าของที่ดิน เพื่อบังคับให้ขายที่ให้มันจริงไหม

มันอวดอุตริมนุสธรรม เป็นอาบัติปาราชิกจริงไหม

มันย่ำยีพระธรรมวินัยจริงไหม

มันวิปริต เป็นผู้มักมากในกามจริงไหม

มันอวดอ้างอาศัยรูปแบบธรรมเนียมปฏิบัติของพระพุทธศาสนาหากินจริงไหม

มันมักใหญ่ใฝ่สูง ลุ่มหลงอยู่ในโลกธรรมจริงไหม

และมันชั่วลบหลู่เบื้องสูงจริงไหม

มันทำตัวเป็นผู้อยู่เหนือกฎหมายและเหนืออำนาจคณะปกครองสงฆ์จริงไหม

มันจ่ายเงินจัดซื้อจัดจ้างผู้ปกครองในคณะสงฆ์และเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลพระพุทธศาสนาเป็นรายปีและรายเดือนจริงไหม

มันใช้เงินฟาดหัวเจ้าหน้าที่เพื่อเคลียคดีของมันจริงไหม

มันแหกตาอวดอ้างว่ามันเป็นพระพุทธเจ้าภาคลงมาปราบมารจริงไหม

อยากบอกพวกทาสลัทธิทำจนตัวตายว่า ให้อลัชชีเจ้าลัทธิของตนออกมาพิสูจน์ข้อกล่าวหาดังกล่าวนี้ด้วยตนเองจะดีกว่า อย่าทำเป็นหน้าตัวเมีย หลบๆ แอบๆ แล้วปล่อยให้ขี้ข้าทาสชั้นต่ำที่ไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว ออกมาเห่าหอนแถกแถไถแถกไปข้างๆ คูๆ เลยเช่น สังคมเขาสงสัยว่านี่เป็นคนหรือไม่ แต่พวกขี้ข้าทาสอลัชชีก็ดันออกมาแถไถอธิบายความไม่ตรงต่อคำถามที่สังคมต้องการรู้ อย่าใช้สันดานแถกแถบิดเบือนความชั่วที่พวกตนกระทำ

นี่แสดงว่าฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง ช่างน่าสมเพชนัก หากเก่งกล้าจริงก็อย่าหลบๆ แอบๆ ทำเป็นพวกหน้าตัวเมียอยู่ โผล่หัวออกมาสู้กันซึ่งๆ หน้า

อย่าคิดว่าการใช้นามแฝงว่าโก๋หลังวัด แล้วจะหลบมุดหัวพ้นจากการลากตัวมานอนคุกได้

หากมั่นใจว่าทีมงานโก๋หลังวัดจะรอดพ้นจากการตรวจสอบของภาครัฐไปได้ ก็ลองด่ามามากๆ ด่าเอาไว้เยอะๆ

เวลาฟ้องจะได้แยกคดีต่างกรรมต่างวาระ แล้วอย่ามาขอความเมตตาว่าโปรดให้อภัยนะงานนี้

อ่อขอบอกว่าข้อสงสัยทั้งหลายที่ยกมานั้น บัดนี้มันได้กลายเป็นคดีอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวนไปหมดแล้ว และพุทธะอิสระขอตั้งข้อสังเกตว่าจากปัญหาที่เกิดจากอลัชชีชั่วตัวเดียวที่เป็นผู้ก่อตั้งลัทธิทำจนตัวตาย บัดนี้มันได้กลายมาเป็นปัญหาของความมั่นคงแห่งรัฐไปแล้ว นับว่าพวกสาวกลัทธินี้ช่างมีพัฒนาการที่น่าสมเพชจริงๆ

พุทธะอิสระ

 

 

 

 

15873367_10154835229703446_3227312178464786011_n.png?oh=40fa55fe5b5056bcd880ac407994e051&oe=591CD5DA

15873486_10154835229713446_4969389101212805151_n.jpg?oh=213fea3d010c94fd941b3df8b449764a&oe=58E55774

15940848_10156234239753973_3493387040674875123_n.jpg?oh=8c7da3202b1efa28ae4ad4c34189ff62&oe=58E5C156

ราชกิจจานุเบกษาประกาศพระราชโองการพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับที่ ๓ แก้ไข ม. ๗ เรียบร้อยแล้วค่ะ ดีใจจะได้มีสมเด็จพระสังฆราชฯ ในเวลาอันใกล้เข้ามาแล้วค่ะ

"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์

 

เมื่อวันที่ 6 มกราคม เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชโองการ ประกาศพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 โดยมีใจความว่า

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ

สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้

มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560”

มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

เป็นต้นไป

มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505

ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

“มาตรา 7 พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง และให้นายกรัฐมนตรี ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”

ผู้รับสนองพระราชโองการ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

นายกรัฐมนตรี

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ตามโบราณราชประเพณีที่ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านานนั้น เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งต่อมาได้เริ่มมีบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2484 เป็นต้นมา สมควรบัญญัติกฎหมายให้สอดคล้องเพื่อเป็นการสืบทอดและธำรงรักษาไว้ซึ่งโบราณราชประเพณีดังกล่าว โดยให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้"

ขอบคุณข่าว มติชนออนไลน์ http://www.matichon.co.th/news/418787

====

 

รู้จักพระไตรปิฎกให้ชัด ให้ตรง (กรณีพระคึกฤทธิ์)

http://analaya.com/dhamma-ebook/73-buddha-bio/544-kukrit-ebook.html

 

-----

 

 

 

 

 

 

 

หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) added 2 new photos.

5 hrs · -pz5JhcNQ9P.png

 

ไม่รู้ดีรู้ชั่ว อย่างนี้ต้องจัดให้เต็ม เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะอยู่ใครจะไป

๗ มกราคม ๒๕๕๙

-----------------------------------------

โก๋หลังวัด

4 มกราคม เวลา 15:48 น. •

เมื่อนายกผู้สง่างามจากการปล้นอำนาจประชาชน

ออกมาแสดงความเห็นเรื่องกรณีวัดพระธรรมกาย

ทุกอย่างจึงย้อนเข้าหาตัวนายกทั้งหมด

ทั้งกรณีน้องชายรำ่รวยผิดปกติ

กรณีความไม่โปร่งใสของกองทัพ

กรณีความสัมพันธ์กับพุทธะอิสระ

ไม่นับรวมการอ้างประเทศเทศอื่นอีก

ท่านนายก ไม่ควรแสดงความเห็นดีกว่า

ท่านควรเอาว่าเวลาไปคิดแก้ไขปัญหาประเทศ

หรือปฎิรูป ความโปร่งใส ของกองทัพ

หรือตระกูลจันทร์โอชาจะดีกว่านะครับ

มันไม่ใช่หน้าที่ท่าน ที่จะมาตัดสินคำสอน

หรือตัดสินคดี ว่าอันไหนถูกผิด

ท่านน่าจะรู้ดีกว่าใครนะครับ

ว่าการถูกตราหน้าโดยข่าวมันเป็นเช่นไร

ด้วยความเคารพรัก

สุดท้ายฝากท่านตรวจสอบ อาจารย์ ของท่านด้วยว่า ขอใช้ตรา พระปรมาภิไธยย่อ ภปร และ สก ถูกต้องตามขั้นตอน หรือไม่!! อย่าปล่อยให้เงียบ นะนายก

ที่มา http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1483515105

#โก๋หลังวัด #อย่ากะลา #อย่าคนดี #อย่าตู่

-----------------------------------------

พุทธะอิสระอยากบอกพวกทาสลัทธิอลัชชีทำจนตัวตายว่า ประเด็นในเรื่องนี้มันไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นศิษย์ใคร ใครเป็นอาจารย์ใคร

แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเจ้าลัทธิอลัชชีทำจนตัวตายมันชั่วจริงไหม

มันเสพเมถุนจริงไหม

มันโกงเงินชาวบ้านจริงไหม

มันเอาเงินชาวบ้านไปเล่นหุ้นและขาดทุนเป็นพันๆ ล้านจริงไหม

มันฟอกเงิน ร่วมกันยักยอกเงินฝากสหกรณ์จริงไหม

มันบุกรุกถือครองที่ดินสาธารณะจริงไหม

มันใช้ให้ผู้อื่นไปขับไล่บีบคั้นเจ้าของที่ดิน เพื่อบังคับให้ขายที่ให้มันจริงไหม

มันอวดอุตริมนุสธรรม เป็นอาบัติปาราชิกจริงไหม

มันย่ำยีพระธรรมวินัยจริงไหม

มันวิปริต เป็นผู้มักมากในกามจริงไหม

มันอวดอ้างอาศัยรูปแบบธรรมเนียมปฏิบัติของพระพุทธศาสนาหากินจริงไหม

มันมักใหญ่ใฝ่สูง ลุ่มหลงอยู่ในโลกธรรมจริงไหม

และมันชั่วลบหลู่เบื้องสูงจริงไหม

มันทำตัวเป็นผู้อยู่เหนือกฎหมายและเหนืออำนาจคณะปกครองสงฆ์จริงไหม

มันจ่ายเงินจัดซื้อจัดจ้างผู้ปกครองในคณะสงฆ์และเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลพระพุทธศาสนาเป็นรายปีและรายเดือนจริงไหม

มันใช้เงินฟาดหัวเจ้าหน้าที่เพื่อเคลียคดีของมันจริงไหม

มันแหกตาอวดอ้างว่ามันเป็นพระพุทธเจ้าภาคลงมาปราบมารจริงไหม

อยากบอกพวกทาสลัทธิทำจนตัวตายว่า ให้อลัชชีเจ้าลัทธิของตนออกมาพิสูจน์ข้อกล่าวหาดังกล่าวนี้ด้วยตนเองจะดีกว่า อย่าทำเป็นหน้าตัวเมีย หลบๆ แอบๆ แล้วปล่อยให้ขี้ข้าทาสชั้นต่ำที่ไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว ออกมาเห่าหอนแถกแถไถแถกไปข้างๆ คูๆ เลยเช่น สังคมเขาสงสัยว่านี่เป็นคนหรือไม่ แต่พวกขี้ข้าทาสอลัชชีก็ดันออกมาแถไถอธิบายความไม่ตรงต่อคำถามที่สังคมต้องการรู้ อย่าใช้สันดานแถกแถบิดเบือนความชั่วที่พวกตนกระทำ

นี่แสดงว่าฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง ช่างน่าสมเพชนัก หากเก่งกล้าจริงก็อย่าหลบๆ แอบๆ ทำเป็นพวกหน้าตัวเมียอยู่ โผล่หัวออกมาสู้กันซึ่งๆ หน้า

อย่าคิดว่าการใช้นามแฝงว่าโก๋หลังวัด แล้วจะหลบมุดหัวพ้นจากการลากตัวมานอนคุกได้

หากมั่นใจว่าทีมงานโก๋หลังวัดจะรอดพ้นจากการตรวจสอบของภาครัฐไปได้ ก็ลองด่ามามากๆ ด่าเอาไว้เยอะๆ

เวลาฟ้องจะได้แยกคดีต่างกรรมต่างวาระ แล้วอย่ามาขอความเมตตาว่าโปรดให้อภัยนะงานนี้

อ่อขอบอกว่าข้อสงสัยทั้งหลายที่ยกมานั้น บัดนี้มันได้กลายเป็นคดีอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวนไปหมดแล้ว และพุทธะอิสระขอตั้งข้อสังเกตว่าจากปัญหาที่เกิดจากอลัชชีชั่วตัวเดียวที่เป็นผู้ก่อตั้งลัทธิทำจนตัวตาย บัดนี้มันได้กลายมาเป็นปัญหาของความมั่นคงแห่งรัฐไปแล้ว นับว่าพวกสาวกลัทธินี้ช่างมีพัฒนาการที่น่าสมเพชจริงๆ

พุทธะอิสระ

 

 

 

 

15873367_10154835229703446_3227312178464786011_n.png?oh=40fa55fe5b5056bcd880ac407994e051&oe=591CD5DA

15873486_10154835229713446_4969389101212805151_n.jpg?oh=213fea3d010c94fd941b3df8b449764a&oe=58E55774

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตา ดู

หู ฟังเสียง

ลิ้น รับรส

จมูก รับกลิ่น

กาย สัมผัส

ใจ นึกคิด

อายตนะ ทั้ง๖

 

โลภะ โทสะ โมหะ

 

ขันธ์ ๕

 

ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตดา

ไตรลักษณ์ในขันธ์๕

 

ธรรมะ ของพระพุทธเจ้า

 

 

bc7dc8d7f0809a161d00bbc039b3f524.jpg

 

cfedf39a28b5fd7cbec7e4e5401da42e.jpg

 

02f33a42ee2aa65f44eb189a61983c2a.jpg

 

3940ff0df7849c1ba6072c0dfea57975.jpg

 

Country Living ~ child in fields of flowers

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

15823303_10211483543635122_269014430425844238_n.jpg?oh=c2a70697b00dba25e61b1c8bb8e90134&oe=58E8B8A3

พระวินัยและศิลธรรม

เป็นบันไดอันแข็งแกร่ง

นำไปสู่สมาธิอันยิ่ง

และปัญญาอันยิ่ง

หลวงปู่ชา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

f9b2cb6eb400bdb787fd85b97729fd98.jpg

Chinese art

เหตุแห่งทุกข์และทางพ้นทุกข์

 

50. อายตนะทั้ง ๖ | หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

 

สัมมาทิฏฐิ ๑๗ ความรู้จักผัสสะ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช www.dharma-gateway.

 

พุทธทาส.คอม

http://www.buddhadasa.com/

 

ทุกข์และความดับทุกข์ พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรํสี) วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

buddhadasa_stamp.gif

 

 

 

 

 

การบวชอยู่ที่บ้าน - ท่านพุทธทาส - YouTube

 

 

 

 

e376f030c21c2655a2ca6d3c0c2ee8b8.jpg

 

Heidi Willis - Australian.

 

การบวชอยู่ที่บ้าน

 

การบวชอยู่ที่บ้าน

บางคนจะสงสัยว่า บวชทำไมอยู่ที่บ้าน? มันก็พอจะตอบได้ว่า เราทำอย่างเดียวกัน ในวัตถุประสงค์ที่มุ่งหมายของคำว่า
บวช แปลตามตัวหนังสือ ก็ว่า เว้นหมดจากที่ควรเว้น ก็คือ เว้นจากการปฏิบัติหรือการเป็นอยู่ชนิดที่เป็นทุกข์
, สิ่งใดเป็นไปเพื่อความทุกข์ เราจะเว้นเสียโดยเด็ดขาด; ไม่ทำในใจว่า อยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่วัด แต่ว่าโดยแท้จริงก็อยู่ที่บ้าน แต่ไม่ต้องทำในใจว่า อยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่วัด, ทำในใจแต่การประพฤติปฏิบัติ ให้ตรงตามความหมายนั้นเท่านั้น คือว่า เว้นหมดจากสิ่งที่ควรเว้น ในทุกๆระดับ.

หรือแม้ว่าเราจะอาศัยคำอีกคำหนึ่ง คือคำว่า
พรหมจรรย์ แปลว่า การประพฤติประเสริฐ, ประพฤติอย่างพรหม
ก็ไม่ได้จำกัดว่าที่บ้านหรือที่วัด ถ้าประพฤติได้ก็ประพฤติ; อย่างจะถือศีลพรหมจรรย์อยู่ที่บ้าน ศีล 8 ศีล 10 นั้นก็ยังถือได้ คำว่า พรหมจรรย์ นั้นมีความหมายว่า การประพฤติอย่างเต็มที่หรือเคร่งครัด ติดต่อกันเป็นระยะยาว เป็นการปฏิบัติตลอดชีวิต อย่างนี้ก็ยังได้ พูดกันง่ายๆ ว่า ประพฤติพรหมจรรย์ที่บ้าน มันก็ยังทำได้.

ทีนี้เมื่อบุคคล บางคนไม่อาจจะออกไปบวช หรือว่าเป็นสตรี ไม่อาจจะบวชเป็นภิกษุณี ก็เสียใจ หรือน้อยใจ อย่างนี้ก็มี, หรือด้วยเหตุอย่างอื่นออกไปบวชไม่ได้ อย่างนี้ก็มี, ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องน้อยใจ, พยายามประพฤติปฏิบัติในธรรมะ ซึ่งเป็นการปฏิบัติให้ดีที่สุดให้สูงที่สุด ตามที่จะทำได้ ก็จะเป็นการบวชอยู่ที่บ้าน เรียกว่า บวชอยู่ที่บ้าน. ฟังดูให้ดีๆ เพราะบวช นั้นคือการเว้นเสียจากสิ่งที่ควรเว้น, พรหมจรรย์นั้น หมายถึงการประพฤติข้อธรรมอย่างจริงจังเคร่งครัด แม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ ถ้าทำอย่างเคร่งครัดติดต่อกันจนตลอดชีวิต ก็เรียกว่า พรหมจรรย์ได้เหมือนกัน. เดี๋ยวนี้เราจะถือเอาหลักปฏิบัติตามที่มีอยู่อย่างไรในพระพุทธศาสนานั้น เอามาถือไว้เป็นหลักปฏิบัติ ก็จะทำให้เกิดผลอย่างเดียวกัน กับพวกที่บวชออกไปอยู่ที่วัด หรือไปอยู่ที่ป่า, และในบางกรณี บวชอยู่ที่บ้าน จะทำได้ดีกว่าบางคนหรือบางพวก ที่ไปบวชเหลวไหลอยู่ที่วัด หรือแม้อยู่ในป่า ด้วยเหตุนี้แหละพอที่จะกล่าวได้ว่า เรื่องสถานที่นั้น ก็ไม่ได้สำคัญเด็ดขาด อะไรนัก, มันสำคัญหรือเด็ดขาดอยู่ที่การประพฤติกระทำมากกว่า ซึ่งขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดีๆ ว่า การบวชอยู่ที่บ้านนั้น จะบวชกันได้อย่างไร?

หลักปฏิบัติในการบวชอยู่ที่บ้าน

การบวชอยู่ที่บ้านนั้น ก็ต้องอาศัยหลักธรรมะที่เป็นเนื้อแท้ หรือเป็นตัวแท้ของพระพุทธศาสนาที่มีอยู่เป็นหลักชัดเจนตายตัว ในที่นี้ จะเลือกเอามาสักหมวดหนึ่ง สำหรับยึดเป็นหลักปฏิบัติ แต่ก็มิได้เลือกเอาหมวด เช่น อริยอัฏฐังคิกมรรค เป็นต้น นั้นมันเป็นหลักทั่วไป ที่วัดก็ได้ ที่ไหนก็ได้, จะเอาชนิดที่สูงขึ้นไป ละเอียดขึ้นไปกว่านั้น คือหมวดธรรมที่มีชื่อว่า อินทรีย์ทั้ง 5, จำไว้ให้ดี.

อินทรีย์ทั้ง๕ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
๕ อย่างนี้ แต่ละอย่างเรียกว่า อินทรีย์. คำว่า อินทรีย์ แปลว่า สำคัญ ตัวการสำคัญ หลักการสำคัญ, ธรรมะทั้ง ๕ ข้อนี้ จะมีอยู่ในการปฏิบัติทั่วไป, จะทำสมาธิหรือเจริญภาวนาอย่างไร ก็ต้องทำให้มีอินทรีย์ครบทั้ง ๕.

ขอให้ฟังให้ดีว่า จะปฏิบัติธรรมะพวกไหนก็ตาม จะต้องปฏิบัติให้มีอินทรีย์ ในคำเหล่านั้น ครบทั้ง ๕ ที่เรียกว่า ๕, ๕ นี้ ก็คือ สัทธาวิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ดังที่กล่าวแล้ว.

๑. มีสัทธา-เชื่อในธรรม เป็นเครื่องดับทุกข
์. ข้อแรก คือ สัทธา แปลว่า ความเชื่อ บวชอยู่ที่บ้านก็มีความเชื่อในธรรมะนั้นๆ ถึงที่สุด. เชื่อในอะไร? ถ้าถามว่า เชื่อในอะไร? ก็คือ เชื่อในธรรมที่เป็นเครื่องดับทุกข์ ที่รู้กันทั่วไป ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ อริยอัฏฐังคิกมรรค มีองค์ ๘ นี้ เป็นธรรมที่ดับทุกข์. เราได้ศึกษาแล้ว เห็นแล้ว มีความเชื่อว่าธรรมเหล่านี้ดับทุกข์ได้จริง หรือว่า ธรรมเหล่านี้เป็นที่พึ่งได้จริง, เชื่อลงไปเสียทีหนึ่งก่อน.

แล้วก็เชื่ออีกทีหนึ่ง คือ เชื่อตัวเอง ว่า ตัวเองนี่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมะเหล่านั้น ในเนื้อในตัวของตน มีความถูกต้องเหมาะสมที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมะเหล่านั้น, นี่ก็เป็นอีกเชื่อหนึ่ง รวมกันเป็น ๒ เชื่อ: เชื่อในสิ่งที่จะประพฤติปฏิบัติว่าดับทุกข์ได้, แล้วก็เชื่อว่า ตัวเองมีคุณธรรมที่จะดับทุกข์เหล่านั้นได้อย่างเพียงพอ.

นี่ มีศรัทธา อย่างนี้ แล้วก็อยู่ที่บ้าน บวชอยู่ที่บ้าน มันก็พอที่จะทำให้เกิดอำนาจ เกิดกำลัง กำลังภายในก็ได้, ใช้คำอย่างนี้กับเขาบ้าง. เกิดอำนาจเกิดกำลังในการที่จะปฏิบัติธรรมะเหล่านั้น คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นหลักทั่วไป; เช่นว่า รับศีล เอาไป ไปถือที่บ้าน ก็ต้องทำให้เป็นศีลของบุคคลที่มีศรัทธาอย่างแน่นแฟ้น แน่วแน่ โดยเชื่อว่า ศีลนั้นเป็นเครื่องดับทุกข์ได้, แล้วก็เชื่อว่า ตัวเองสามารถรักษาศีลได้ ให้มีความเชื่ออย่างนี้เถิด ก็จะเป็นผู้มีศรัทธา, แล้วก็มีอาการเหมือนกับว่า เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์อย่างยิ่ง มีความหนักแน่น จริงจัง เคร่งครัดในการปฏิบัตินั้นๆ.

ทีนี้ก็ปล่อยให้ศรัทธานั้นแหละ ดำเนินไปตามที่ควรจะมีในแต่ละวันๆ อำนาจของศรัทธา ทำให้มีการประพฤติจริง ทำจริง ถึงที่สุดแล้วก็มีกำลังใจที่เกิดมาแต่ศรัทธานั้นมากมาย ประพฤติปฏิบัติได้เต็มที่.

เดี๋ยวนี้ คนมีศรัทธากันแต่ปาก มีศรัทธากันแต่ผิวๆ ว่ามีศรัทธา มีศรัทธา แต่หาได้มีศรัทธาตัวจริงแท้ แท้จริงตามที่กล่าวมานี้ไม่, คือไม่ได้เชื่อแม้ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยแท้จริง, แล้วก็ไม่ได้เชื่อว่า ตัวเองจะสามารถประพฤติปฏิบัติได้ ตามคำสอนเหล่านั้น. มาจัดการกันเสียใหม่ มาชำระสะสางกันเสียใหม่: อยู่ที่บ้าน แต่ให้มีศรัทธาเต็มเปี่ยมทั้ง ๒ ประการ คือมีศรัทธาในธรรมะ ที่จะประพฤติว่าดับทุกข์ได้จริง แล้วมีศรัทธาในตัวเอง, ตัวเองนั่นแหละ ว่าสามารถที่จะปฏิบัติธรรมะเหล่านั้นได้, รวมกำลังกันเป็น ๒ ฝ่ายอย่างนี้แล้ว ก็เป็นศรัทธาที่สมบูรณ์อยู่ที่บ้าน ก็มีลักษณะอาการเหมือนบวชอยู่ที่บ้าน.

๒. มีวิริยะ-มีความเพียรและกล้าหาญ

ทีนี้ ข้อที่ ๒ มีวิริยะ
วิริยะแปลว่า ความเพียร หรือ ความกล้าหาญ,
บวกกันทั้งความเพียรและความกล้าหาญเข้าด้วยกัน ก็เรียกว่า วิริยะ, ยิ่งมีศรัทธาในธรรมะหรือในตัวเองมาก่อนแล้ว วิริยะก็จะเข้มแข็งถึงที่สุด; อาศัยอำนาจของศรัทธา นั้นเป็นพื้นฐาน กระทำอย่างกล้าหาญ อย่างพากเพียร ในสิ่งที่ควรจะทำ ทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องเกี่ยวกับโลก หรือ เกี่ยวกับเหนือโลก.

เรื่องที่เราจะต้องทำ ถ้ากล่าวกันแต่ใจความสรุปสั้นๆ แล้วก็จะมีอยู่ ๔ ประการ ด้วยกัน คือ มี
ความพากเพียรกล้าหาญในการที่จะป้องกัน, พากเพียรกล้าหาญ ในการที่จะสละ, พากเพียรกล้าหาญในการที่จะสร้างสรรค์, และพากเพียรกล้าหาญในการที่จะรักษา
. คำ ๔ คำนี้มีความหมายคลุมหมดในหน้าที่ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ป้องกัน สละ สร้าง และรักษา.

(๑)
ป้องกัน คือ ป้องกันไม่ให้ สิ่งที่ไม่ควรจะเกิดจะมีนั้น เกิดมีขึ้นมา
; เช่นศัตรูอย่างนี้ เราต้องใช้การป้องกันไม่ให้เกิด ไม่ให้มีขึ้นมา. กิเลสเป็นศัตรูร้ายกาจกว่าอะไรหมด ก็มีการป้องกัน อยู่อย่างถูกต้อง, ราวกับว่าป้องกันข้าศึกอันใหญ่หลวง ไม่ให้เกิดขึ้นได้.

แล้วก็อันที่ (๒)
สละที่เกิดขึ้นแล้ว
; ถ้าสิ่งที่ไม่พึงปรารถนานั้นได้เกิดขึ้นเสียแล้ว ก็ต้องพากเพียร เข้มแข็ง กล้าหาญ ในการที่จะสละมันออกไปเสีย.

ทีนี้ก็มาถึงส่วนที่ (๓) ต้องสร้างสรรค์ ได้แก่สิ่งที่ยังไม่มี
ความดี ความงาม กุศล สุจริต ทุกอย่างทุกประการที่ควรจะมีในตนที่มันยังไม่เคยมี ก็ต้องสร้างให้มีขึ้นมา
, ด้วยอาศัยความเชื่อในสิ่งนั้นๆ และเชื่อตัวเอง ว่าจะปฏิบัติได้ ดังที่กล่าวมาแล้วในข้อศรัทธา ก็สามารถจะสร้างสิ่งที่ยังไม่มีในตน, ความดีหรือกุศลที่ยังไม่มีในตน ให้เกิดมีขึ้นมาในตนให้จนได้, นี้เรียกว่า ในทางสร้างสรรค์.

ทีนี้ (๔) ข้อสุดท้าย
ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาได้เท่าไร เพียงไร ต้องมีการรักษา, มีการรักษา หรือจะถึงกับพัฒนาให้เจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไป
เป็นหน้าที่สุดท้าย คือรักษา. เหมือนกับว่าหาเงินมาได้ มันก็ต้องรักษาให้อยู่ในสภาพที่ถูกต้อง, ให้ใช้จ่ายในลักษณะที่ถูกต้อง, ให้มีอยู่อย่างถูกต้อง.

เราอยู่ที่เรือน บวชอยู่ที่เรือน แต่มีวิริยะ: ความพากเพียร หรือกล้าหาญถึงที่สุด ในการที่จะป้องกันไม่ให้ความชั่วร้ายอกุศลบาปใดเกิดขึ้นในตน, ป้องกันได้เต็มที่. แล้วถ้ามีบาป มีอกุศลที่ได้เกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอ ก็ละไปเสีย อย่างเต็มที่, แล้วก็สร้างที่มันยังไม่เกิด บุญกุศลความดีที่ยังไม่เกิด ก็สร้างให้เกิด, ทำให้เกิดขึ้นมา. ครั้นเกิดขึ้นได้แล้ว ก็รักษาให้เจริญรุ่งเรือง ยิ่งๆ ขึ้นไป, นี้เรียกว่า มีวิริยะอยู่ที่บ้านที่เรือน.

โดยมากไม่สนใจที่จะทำให้จริง คือปล่อยไปตามบุญตามกรรม: แต่เดี๋ยวนี้เราต้องการจะเป็นผู้บวช จะเป็นนักบวชอยู่ที่บ้าน ก็จะต้องตั้งใจเป็นพิเศษ ในฐานะที่ว่าเป็นนักบวช; แม้ว่าจะอยู่ที่บ้าน มีความระมัดระวัง ให้เกิดความถูกต้องในการที่จะป้องกัน หรือ สละ หรือ สร้าง หรือ รักษา ดังที่กล่าวมาแล้ว.

๓. มีสติ- ต้องใช้ในทุกกรณี

ทีนี้ ข้อถัดไป ก็คือ มีสติ, มีสติ สิ่งที่เรียกว่า สติ นี้เป็นธรรมะพิเศษ, เป็นธรรมะจำเป็นสำคัญที่จะต้องใช้ในทุกกรณี; ช่วยจำข้อความนี้ไว้ให้ดีๆ ว่าธรรมะที่จะ ต้องใช้ทุกกรณี ไม่ว่าที่ไหน อย่างไร ได้แก่ สติ. ทุกเรื่องมันต้องทำไป หรือเป็นไป ในความควบคุมของสติ; ถ้าไม่มีสติ มันก็ทำอะไรไม่ได้, แม้แต่จะลุกขึ้นยืนจะเดินไปมันก็ทำไม่ได้, มันก็หกล้มหกลุกซวนเซไป, แม้แต่จะรับประทานอาหาร ถ้ามันไม่มีสติ เดี๋ยวมันก็ป้อนอาหารเข้าจมูกไป, หรือว่าถ้าไม่มีสติ มันก็จะกินอาหารอย่างตะกละ อย่างที่เป็นกิเลส ไปคิดดูเองก็แล้วกันว่า เรื่องอะไร ทุกเรื่องที่อยู่ที่บ้านที่เรือน นับตั้งแต่ว่าจะทำงานชั้นหยาบ ตักน้ำ ผ่าฟืน ล้างหม้อล้างไห ก็ต้องทำไปด้วยความรู้สึกที่เรียกว่า สติ ถ้ามันเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว ก็จะต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงมีหลักในชั้นสูงว่า มีสติในทุกผัสสะ, มีสติในทุกผัสสะ.

สิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ นี้ เข้าใจว่าคงจะเป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้ว เพราะพูดกันมามากมายหลายสิบครั้งเต็มทีแล้ว พูดสรุปอีกทีหนึ่งก็ว่า เรา คนเรานี่ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่างที่จะกระทบกันเข้ากับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ ที่อยู่ข้างนอก ที่เป็นคู่กระทบ; เรียกว่า มันมีคู่ติดต่อ หรือ คู่กระทบ: ตาเป็นคู่กับรูป หูเป็นคู่กับเสียง จมูกเป็นคู่กับกลิ่น ลิ้นเป็นคู่กับรส ผิวหนังเป็นคู่กับโผฏฐัพพะที่จะมากระทบผิวหนัง; นี้เป็นฝ่ายกาย เป็นฝ่ายรูปธรรม, คู่สุดท้ายเป็น ฝ่ายนามธรรม คือ ใจ ที่จะรู้สึกกระทบต่อความรู้สึกคิดนึกของใจ ที่เรียกว่า ธัมมารมณ์ ใจนี้เป็นคู่กับธัมมารมณ์ จะต้องพบกันอยู่เสมอ คือ มันคิดนึกรู้สึกได้, จะอาศัยความจำแต่หนหลัง ที่จำอะไรๆ ไว้ได้มาก สิ่งเหล่านั้น ก็จะมากลายเป็นสิ่งสำหรับคิดนึกรู้สึกขึ้นมาแล้วก็กระทบใจ. นี้ก็เรียกว่า มีคู่กระทบ:

ตา
ก็มีสิ่งสำหรับกระทบ คือ
รูป
,

หู
ก็มีสิ่งสำหรับกระทบ คือ
เสียง

จมูก
ก็มีคู่กระทบ คือ
กลิ่น

ลิ้น
มีคู่กระทบ คือ
รส

ผิวกาย
ก็มีคู่กระทบ คือ
โผฏฐัพพะ

ใจ
ก็มีคู่กระทบ คือ
ธัมมารมณ์

เป็นสิ่งที่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือเป็นเนื้อเป็นตัวของตนอยู่แท้ๆ แต่แล้วคนก็ไม่รู้จัก นี่พิจารณาดูกันถึงข้อนี้ก่อนเถอะว่า มันเป็นเนื้อเป็นตัวของตัวอยู่กับตัวแท้ๆ แต่คนก็ไม่รู้สึก ไม่รู้จัก ว่ามันมีอยู่อย่างไร ในฐานะอย่างไร

ถ้าจะศึกษาธรรมะให้เป็นธรรมะกันจริงๆ แล้ว จะต้องรู้จักสิ่งสำคัญ ๖ คู่นี้ ให้แจ่มแจ้งชัดเจนแน่นอน รู้กันให้ทั่วถึงเกี่ยวกับเรื่องทั้ง ๖ นี้; เพราะว่าอะไรๆ มันก็สำเร็จมาจากอายตนะ ๖ คู่นี้, หรือว่า โลก โลกทั้งโลกมันจะมีปรากฏอยู่ได้ก็เพราะว่าเรามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. ถ้าเราไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็คือ ไม่มีอะไร, มันก็คือไม่มีโลก ไม่มีอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง. จงรู้จักสิ่งที่เรามี สำหรับทำให้สิ่งต่างๆ มี และเป็นเรื่องราวขึ้นมา ก็เพราะสิ่งทั้ง ๖ นี้, สิ่งทั้ง ๖ นี้จึงอยู่ในฐานะสำคัญว่า ถ้าจัดการกับมันถูกก็ดีไป ถ้าจัดการกับมันผิด ก็เป็นเรื่องร้ายเหลือที่จะร้าย ไม่มีอะไรจะร้ายยิ่งไปกว่านี้.

จึงขอชักชวนวิงวอนท่านทั้งหลายว่า จงรู้จักสิ่งทั้ง ๖ คู่นี้ให้ดีที่สุด ในฐานะที่มันมีอยู่ในตัวเรา หรือมันเป็นตัวเราอยู่นั่นเอง, แล้วก็มีสติเมื่อสิ่งนี้ทำหน้าที่: มีสติเมื่อตาทำหน้าที่เป็นรูป, มีสติเมื่อหูทำหน้าที่ได้ยินเสียง, มีสติเมื่อจมูกทำหน้าที่ดมกลิ่น, มีสติในเมื่อลิ้นทำหน้าที่รู้รส, มีสติเมื่อผิวหนังทำหน้าที่กระทบสิ่งที่มากระทบผิวหนัง, และมีสติเมื่อใจทำหน้าที่กระทบเข้ากับธัมมารมณ์ คือ ความรู้สึกนึกคิด ให้รู้โดยประจักษ์ว่ามันเป็นอย่างไร แล้วมันมีการกระทำสืบต่อต่อไปอย่างไร ซึ่งก็ควรจะทราบไว้ด้วยเหมือนกัน.

ยกตัวอย่างคู่แรก คือ ตากับรูป พอตากับรูปกระทบกัน มันก็เกิดวิญญาณทางตา คือการเห็นแจ้งทางตาขึ้นมา นี่เรียกว่า วิญญาณทางตา ตากับรูปที่มากระทบ และวิญญาณทางตา มีอยู่พร้อมกัน ๓ อย่างนี้ในหน้าที่เดียวกัน, นั่นแหละเรียกว่า ผัสสะ; ไม่ใช่เพียงแต่ตากระทบรูป นั้นมันพูดหยาบๆ เกินไป พูดตามพระบาลี ที่ชัดเจนแล้ว จะต้องมี ๓ เสมอ คือ มีอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และ วิญญาณ ที่เกิดออกมาจากอายตนะนั้นๆ เหมือนอย่างในทางตาดังที่กล่าวแล้ว พอตาเห็นรูป กระทบกับรูป ก็เกิดการเห็นทางตา คือ จักษุวิญญาณ, เลยได้เป็น ๓ อย่าง คือ ตา อย่างหนึ่ง รูป อย่างหนึ่ง จักษุวิญญาณอย่างหนึ่ง, จักษุวิญญาณทำหน้าที่สัมผัสรูปทางตา นี่เรียกว่า จักษุสัมผัส, จักษุสัมผัส มีการสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ฯลฯ ก็เหมือนกันแหละ มันมีอยู่ ๓ อย่าง อย่างนี้ ทำหน้าที่รู้สึกอยู่ก็เรียกว่า ผัสสะ.

ทีนี้ ผัสสะมีแล้ว เช่น ผัสสะทางตามีแล้ว มันก็ จะเกิดเวทนา คือ ความรู้สึกที่พอใจ หรือไม่พอใจ หรือ เฉยๆ เป็นเวทนา ๓ อย่างขึ้นมา เรียกว่า เวทนาที่เกิดมาจากการสัมผัสโดยทางตา นี่เวทนาเกิดแล้ว มันไม่หยุดอยู่เพียงนั้น มันให้เกิดอันอื่นต่อไปอีก ถ้าในขณะสัมผัสนั้นเราเป็นคนโง่ คือ ไม่มีสติ หรือ ไม่มีปัญญา ใดๆ ในขณะที่สัมผัสทางตานั้น มันก็ เป็นสัมผัสโง่, มันก็ออกมาเป็น เวทนาโง่ ที่ไม่มีสติควบคุม. มันก็ปรุงความคิดนึกต่อไป คือ มีความยินดี เมื่อสัมผัสนั้นให้พอใจ ยินร้าย โกรธแค้นขัดเคือง เมื่อสัมผัสนั้น ไม่เป็นที่พอใจ หรือ เกิดพะวงหลงใหลอยู่ อยากจะรู้แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร อย่างนี้ เมื่อสัมผัสนั้น มันไม่แสดงว่าเป็นที่พอใจ หรือ ไม่เป็นที่พอใจ เมื่อเวทนานั้น ไม่ชัดลงไปว่า เป็นที่พอใจหรือ ไม่เป็นที่พอใจ.

นี่มัน เกิดโลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นมาตรงนี้; ถ้ารับเอาด้วยความพอใจ ก็เกิดโลภะ รับเอาด้วยความไม่พอใจ ก็เกิดโทสะ รับเอาด้วยความไม่แน่ใจว่า พอใจหรือไม่พอใจ ก็เกิดโมหะ ถ้าเกิดโลภะ โทสะ โมหะ แล้ว มันเกิดไฟเสียแล้วนั่นเอง.

ทีนี้มันก็ จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ตัณหา คือ อยากต่อไป ในกรณีที่เกิดโลภะ คือ เวทนาเป็นที่ถูกใจ เกิดโลภะ มันก็เกิดตัณหา สำหรับจะได้ จะเอา จะมีไว้ หรือ จะหามาอีก; หรือถ้าหากว่ามัน เกิดโทสะ คืออารมณ์นั้นไม่น่าพอใจ เกิดโทสะ มันก็เกิดความอยาก คือ ตัณหา อยากจะฆ่าเสีย อยากจะทำลายเสีย หรืออยากจะผลักไสออกไปเป็นอย่างน้อย ตามแบบของโทสะ ถ้าว่ามัน ไม่แน่ว่าอย่างไร มันก็วนเวียนอยู่ที่นั่น เป็นลักษณะของ โมหะ.

นี่มัน เกิดโลภะ โทสะ โมหะ อย่างนี้แล้ว มันก็คือ เกิดไฟ, เกิดไฟขึ้นในจิตใจ ถ้ามีสติเสียแต่ในขณะผัสสะ แล้ว มันไม่เกิดอย่างนี้ มันกลายเป็นเกิดอีกทางหนึ่ง คือ ทางที่ให้รู้ว่า นี่อะไรนะ นี่อะไรนะ ควรทำอย่างไรนะ นี่ควรทำหรือไม่ควรทำ ควรทำอย่างไร ก็ทำไปตามที่ควรจะทำ ไม่มามัวยินดียินร้ายโกรธแค้นขัดเคืองอะไรอยู่ มันก็เลยไม่เกิดไฟ ไม่เกิดทุกข์ นี่เพราะ อำนาจสติ แท้ๆ ที่ป้องกันไว้ไม่ให้เกิดไฟขึ้นมา ในเมื่อมีการกระทบทางผัสสะ

เมื่อมีตัณหา เป็นความอยากแล้ว มันก็ ปรุงแต่ไปเป็น อุปาทาน คือ ผู้อยาก ความรู้สึกอยาก มันก็จะปรุง ให้เกิดความรู้สึกว่า มีผู้อยาก ซึ่งเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น ไม่ใช่ตัวตนอะไร; พอมีผู้อยากแล้ว มันก็ถึงที่สุดแล้ว ที่มันจะเป็นเรื่องสำหรับจะเป็นทุกข์ทรมาน คือมันมีความรู้สึกหนัก ด้วยความมีตัวตน ความมีตัวตน, และเมื่อมีตัวตนแล้ว มันก็มีอะไรเป็นของตน.

เมื่อเกิดตนขึ้นมาอย่างนี้แล้ว เกิดตนในความรู้สึก ไม่ใช่ตัวจริงอะไร เพียงแต่ในความรู้สึกว่าตัวตน มันเกิดตัวตนอย่างนั้นแล้ว มันก็เอาอะไรๆ มาเป็นของตน ทั้งภายนอกและภายใน เช่น ยึดถือเอาความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มาเป็นของตน มันก็หนักเท่าไร ทุกข์เท่าไร ร้อนเท่าไร ทีนี้ ภายนอก มันก็ยึดถือเอา ทรัพย์สมบัติสิ่งของ บุตรภรรยาสามี เป็นต้นว่า เป็นของตน, มันก็หนักเท่าไร มันก็เลยหนักรอบด้าน หนักทุกทิศทุกทาง เพราะเมื่อผัสสะ ทำผิดเมื่อผัสสะ แล้วก็ ความทุกข์มันก็เกิด อย่างนี้.

ถ้ามีสติเมื่อผัสสะ คือได้ศึกษาฝึกฝนมาดี มีสติมีปัญญา แล้วก็มีสติมาทันเวลาที่มันมีอะไรมากระทบตา มันก็เป็นการกระทบที่ฉลาด เป็นสัมผัสที่ฉลาด คือสัมผัสด้วยสติ มันไม่หลงปล่อยให้กิเลสเกิด แต่มันกลับรู้ว่า ควรทำอย่างไร แล้วมันก็ทำไปในทางที่ควรทำ ให้เกิดประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา ไม่เกิดโทษ ถ้าไม่มีสติ มันก็ไปเกิดกิเลส แล้วมันก็เกิดโทษ มันเป็นได้อย่างนี้ทั้ง ๖ ทางคือ ทั้งทาง ตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ มีวิธีที่จะปรุงแต่งจนเกิดความทุกข์กันอย่างนี้

นี่เป็นวิทยาศาสตร์ของธรรมชาติ เรื่องของความทุกข์ ในเรื่องของความทุกข์ ตามหลักแห่งพุทธศาสนาเป็นหลักวิทยาศาสตร์ตามธรรมชาติ ในพระพุทธศาสนาว่ามีอยู่อย่างนี้ ความสุข และ ความทุกข์ มันเกิดขึ้น เพราะทำผิดหรือทำถูกในขณะแห่งผัสสะ; มันไม่ได้เกิดมาจากผีสางเทวดา เคราะห์ โชค ดวงดาวอะไรที่ไหน พระองค์จึงตรัสว่า มันไม่ได้เกี่ยวกับผลกรรมแต่ชาติก่อนด้วยซ้ำไป มันเกิดมาจากการกระทำผิดหรือกระทำถูก ที่นี่และเดี๋ยวนี้ คือผัสสะ นั่นเอง นี้เราก็มีผัสสะชนิดที่มีสติ เราจึงต้องมีสติ เพื่อจะได้ควบคุมผัสสะ

คำว่า สติ นั้นน่ะ มันประกอบอยู่ด้วยปัญญาเสมอ คำว่า สติ นั้น ต้องประกอบด้วยปัญญาอยู่เสมอ สติ คือ ระลึกได้ ระลึกก็คือ ระลึกความจริงของความจริงว่า เป็นอย่างไร นั้นคือ ปัญญา สติขนเอาปัญญามาทันเวลา ที่มีการกระทบทางอายตนะนี้, มันก็ รู้ว่าควรทำอย่างไร มันก็เลยทำไปในทางที่ไม่เกิดทุกข์ ไม่เกิดความรัก ไม่เกิดความโกรธ ไม่เกิดความเกลียด ไม่เกิดความกลัว ไม่เกิดความอิจฉาริษยา ไม่เกิดความหึงความหวง ไม่เกิดความอาลัยอาวรณ์ ไม่เกิดอะไรต่างๆ ที่เป็นที่ตั้งแห่งความทนทุกข์ทรมาน นี่เรียกว่า มีสติ

บวชอยู่ที่บ้าน แต่มีสติอย่างนี้ ลองคิดดูคำนวณดู; บวชอยู่ที่บ้านโดยการมีสติอย่างนี้ อยู่ที่บ้านมันดีกว่าที่บวชอยู่ที่วัดหลายๆ องค์ ที่ไม่ประสีประสาอะไร ไม่รู้จักแม้แต่ว่ามีสติคืออะไรด้วยซ้ำไป นี่ขอให้สนใจว่า ที่บ้านก็บวชได้ บวชได้อย่างยิ่ง ถ้ามีสติสมบูรณ์ ในลักษณะอย่างที่กล่าวมานี้.

เรามีหลักว่า ในขณะที่สัมผัส สัมผัสหรือกระทบต้องมีสติ เมื่ออะไรมากระทบจิตทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ต้องมีสติ ให้เป็นการสัมผัสสิ่งนั้นๆ ด้วยสติ ก็เรียกว่า สัมผัสด้วยวิชชา, สัมผัสด้วยปัญญา มีความลืมหูลืมตา ก็กระทำไปอย่างถูกต้อง ไม่ผิดพลาดใดๆ ไม่อาจจะเกิดทุกข์ได้ นี่เรียกว่า เราสัมผัสโลกด้วยสติปัญญาอยู่ทุกวันๆ ทุกวันๆ ทุกวันๆ สัมผัสโลก คือ สิ่งทั้งปวงที่มากระทบ ด้วยสติด้วยปัญญา อยู่ตลอดเวลา ก็ไม่เกิดความทุกข์

บวชอยู่ที่บ้าน เป็นนักบวชอยู่ที่บ้าน ทำได้อย่างนี้ ก็คือ ปฏิบัติสูงสุด ตามหลักพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว

นี่จำไว้ว่า ถ้าว่าทำผิดเมื่อผัสสะ คือเป็นสัมผัสด้วยความโง่ ด้วยอวิชชา แล้วก็เกิดทุกข์ ถ้าสัมผัสด้วยวิชชา รู้จริงตามที่เป็นจริงอย่างไร เรียกว่า เป็นสัมผัสด้วยวิชชาแล้วก็ไม่เกิดทุกข์ ฉะนั้นอย่าได้มีการสัมผัสด้วยความโง่, อย่าได้มีการกระทบหรือรับอารมณ์ใดๆ ด้วยความโง่ แต่ให้รับหรือ รู้สึกอารมณ์นั้นๆ ด้วยสติ ด้วยปัญญา และให้ฝึกฝนอยู่เป็นประจำ

เรื่องนี้ พูดมันก็พูดได้ และพูดง่าย; แต่พอถึงคราวที่จะทำมันไม่ง่ายนัก มันอาจจะพลั้งเผลอ หรือทำไม่ได้ ต้องมีความทุกข์กันเสียก่อน ตั้งหลายครั้งหลายหนแล้วจึงค่อยๆ ทำได้ จึงค่อยๆ ทำได้ นี่มันจึงจะสำเร็จประโยชน์ ค่อยๆ ทำได้ ฉะนั้น จะต้องฝึกฝนอยู่ให้ดีที่สุด เหมือนที่เขาฝึกฝนอะไร ๆ ที่เขาพอใจ อย่างพวกที่เล่นกีฬา เล่นศิลปะหาเงินหาทอง เขาฝึกเหลือประมาณ เช่นว่าจะเตะตะกร้อลอดบ่วงได้ อย่างนี้ต้องฝึกเหลือประมาณ นี้ก็เหมือนกันแหละ เราก็ฝึกเหลือประมาณ ฝึกที่จะให้มีสติ ทุกครั้งที่ผัสสะ, แล้วถ้ามันล้มเหลว เผลอไป ก็ละอายๆ ละอายแก่ตัวเอง ว่าไม่สมควรแก่เราเลย ที่เป็นผู้ไม่มีสติ ขาดสติ พลั้งเผลอจนเกิดความทุกข์ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อความทุกข์ แล้วทำไมจึงมากลายเป็นมาเกิดเพื่อความทุกข์อย่างนี้ ก็เสียใจอย่างยิ่ง ละอายอย่างยิ่ง ทุกๆ คราวที่พลั้งพลาด เผลอไป จนเกิดความทุกข์ ไม่เท่าไรมันก็จะไม่เผลอ ก็จะเผลอน้อยเข้าจนไม่เผลอ

อุปมาสมมติเหมือนอย่างว่า มันเดินตกร่อง ตกร่องที่นอกชาน หรือตกร่องที่ไหนก็ตาม มันเดินไม่ดี ไม่ดูให้ดี แล้วมันตกร่อง เดินตกร่องนั้นมันทั้งเจ็บด้วย แล้วมันทั้งน่าละอายด้วย ใครเห็นก็ละอายเขา ถ้าคอยสังวรอยู่ว่า มันเจ็บด้วย มันละอาย มันน่าละอายอย่างยิ่งด้วย ก็จะระวังดีขึ้น เมื่อระวังดีขึ้น มันก็ไม่ตกร่องอีกต่อไป นี่แหละการที่จะมีสติอย่างดีที่สุด ต่อสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ นั้น ต้องตั้งใจอย่างนี้ ต้องอธิษฐานจิตอย่างดียิ่งที่จะไม่พลั้งเผลอ และกลัว ว่ามันเป็นทุกข์และละอาย ว่ามันเป็นสิ่งที่น่าละอาย

เดี๋ยวนี้เราไม่รู้สึกกันเสียทั้ง ๒ อย่าง หรือ ทั้งทุกอย่าง กลัวก็ไม่กลัว ละอายก็ไม่ละอาย มันก็เลยมีได้มากแล้วเป็นทุกข์อยู่ข้างใน; ก็เพราะว่าไม่มีใครรู้, แม้ว่าไม่มีใครรู้ แต่มันเป็นทุกข์อยู่ข้างใน ก็ขอให้กลัวและให้ละอายอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าที่มันมาข้างนอก จนคนอื่นเขารู้หรือเขาหัวเราะเยาะ

นี่ผู้ที่มีธรรมะแล้ว ก็จะต้องมีความกลัวและความละอายอย่างยิ่งอยู่ประจำตัว มีหิริ มีโอตตัปปะ ในธรรมะที่เป็นภายในอย่างนี้แหละ มีประโยชน์ดียิ่งกว่าที่เป็นภายนอก เป็นเรื่องภายนอก หมายความว่าที่ใครๆ เขารู้เขาเห็น ก็ยังไม่สำคัญเท่าที่ไม่มีใครรู้เห็น เรารู้เห็นของเราแต่คนเดียว นี่มันสำคัญมาก มันเสียหายมาก มันเป็นสิ่งที่จะยอมให้มีขึ้นมาไม่ได้

นี่ขอให้สนใจ มีสติเท่านั้นแหละ มันก็รอดจากความทุกข์ในทุกกรณี มันไม่สร้างความทุกข์ขึ้นมาได้ เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ ไม่ต้องไปโทษผีสางเทวดา ซึ่งเป็นความโง่อย่างยิ่ง เพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง มันโง่จนปล่อยให้ความทุกข์เกิดขึ้นแล้ว นี้มันก็โง่หนึ่งแล้ว ทีนี้มันก็ไปโทษผีสางเทวดา มันก็เป็นอีกโง่หนึ่ง มัน ๒ โง่ ๓ โง่ ซ้ำเข้าไป แล้วมันก็น่าละอายสักเท่าไร ขอให้คิดดู

ความสุข และความทุกข์เกิดขึ้น เพราะเราทำผิดหรือทำถูกเมื่อมีผัสสะ ที่เรียกว่า ตามกฏอิทัปปัจจยตา, มีพระบาลีตรัสไว้ ซึ่งควรจะนึกถึงด้วยเหมือนกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า สุขทุกข์ไม่ได้เกิดมาจากพระเป็นเจ้า, สุขทุกข์ไม่ได้เกิดมาจากกรรมเก่า, และสุขทุกข์ก็ไม่ใช่ไม่มีเหตุ สุขทุกข์ก็มีเหตุ เหตุนั้นก็คือ ทำผิดหรือทำถูกต่อกฏอิทัปปัจจยตา ถ้าทำผิดต่อกฏอิทัปปัจจยตาก็เกิดทุกข์ ถ้าทำไม่ผิดก็ไม่เกิดทุกข์ ทำผิดต่อกฏอิทัปปัจจยตา ก็ทำเมื่อมีอารมณ์มากระทบนั่นเอง เมื่อมีผัสสะนั่นเอง, เป็นเวลาสำคัญที่สุด ที่จะต้องประพฤติให้ถูกต่อกฏอิทัปปัจจยตา แล้วมันก็ไม่เกิดความทุกข์

นี่ ถ้าทำสติได้ อย่างนี้ แม้บวชอยู่ที่บ้าน ก็ดีกว่าพวกที่บวชอยู่ที่วัดเป็นไหนๆ นี่พูดอย่างนี้มันชอบกลเหมือนกัน แล้วมันก็เสี่ยงอยู่ว่าจะอันตราย แต่ขอยืนยันว่า ถ้าบวชอยู่ที่บ้าน แล้วทำได้อย่างนี้ ดีกว่าพวกที่บวชอยู่ที่วัดโดยมากที่ไม่ทำอย่างนี้ ที่ไม่ได้ทำอย่างนี้ บวชละเมอๆ อยู่

๔. มีสมาธิ มุ่งนิพพานเป็นอารมณ์.

ทีนี้ อีกข้อต่อไป ก็ว่า มีสมาธิ กำหนดไว้ให้ดีๆ นะ ข้อที่ ๑ มีสัทธา อย่างที่ว่ามาแล้ว ข้อที่ ๒ มีวิริยะ ข้อที่ ๓ มีสติ นี้ข้อที่ ๔ มีสมาธิ, มีสมาธิ

สมาธิคืออะไร? ท่านบัญญัติความหมายไว้ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด เป็นสมาธิใหญ่หลวงมหาศาลเลยว่า สมาธิ คือ เอกัคคตาจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์, เอกัคคตาจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์. อาตมารู้สึกว่าบางคนฟังไม่ถูกก็งง ไม่รู้ว่าอะไร. เอกัคคตาจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ ก็บอกเสียเลยว่า เอกัคคตาจิต คือ จิตที่มีความคิดเพียงสิ่งเดียว มุ่งเพียงสิ่งเดียว ตั้งอยู่ในสิ่งเดียว; เอกัคคะ แปลว่า มียอดยอดเดียว, เอกัคคตาจิต จิตที่มียอดยอดเดียว คือมันมุ่งอยู่ที่สิ่งสิ่งเดียว, นี้เรียกว่า เอกัคคตาจิต, และมัน มุ่งต่อพระนิพพานเท่านั้น, ไม่มุ่งต่ออันอื่น ก็เรียกว่ามันมีนิพพานเป็นอารมณ์. เอกัคคตาจิตที่มุ่งต่อพระนิพพานเป็นอารมณ์นั่นแหละคือใจความของสิ่งที่เรียกว่า สมาธิ มันจะทำสมาธิแบบไหน กี่แบบ กี่สิบแบบ ทำไปเถอะ ต่างๆ แปลกๆ กัน, ใจความของมันมันก็อยู่ที่ความมุ่งพระนิพพานเป็นอารมณ์ของจิตที่ตั้งไว้ เป็นอารมณ์เดียว เป็นสิ่งเดียว.

จะพูดให้ง่ายที่สุดเดี๋ยวนี้ ก็พูดว่า หวังพระนิพพานเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลานั่นแหละ; เมื่อรู้จักพระนิพพานพอสมควรแล้ว การที่หวังพระนิพพานอยู่ตลอดเวลา นั่นแหละคือเอกัคคตาจิตที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์; อยู่ที่บ้านก็ทำได้, เมื่อกำลังเป็นทุกข์อยู่แล้วก็ยิ่งชวนให้ทำ, เป็นทุกข์ด้วยเรื่องใดๆ อยู่ ก็มุ่งต่อพระนิพพาน คือดับทุกข์เป็นอารมณ์. นี้โดยทั่วไปเราก็รู้ว่า เรามีชีวิตอยู่นี้เพื่อจะบรรลุนิพพาน จิตจึงมุ่งจ้องจดจ่ออยู่แต่พระนิพพานเพียงสิ่งเดียวเป็นอารมณ์ นี่คือความหมายของสมาธิ

ทีนี้ที่เขาทำสมาธิอย่างนั้น สมาธิอย่างโน้น เป็นขั้นตอนๆ หลายๆ ขั้นตอนน่ะ มันแยกซอยให้ละเอียด แต่เมื่อรวมความหมดแล้ว มันมุ่งต่อนิพพานเป็นอารมณ์. เช่นว่า สติกำหนดลมหายใจอยู่ ลมหายใจสั้น ลมหายใจยาว ลมหายใจออก ลมหายใจเข้าก็ตามเถอะ, ทำจิตให้เป็นสมาธิด้วยการกำหนดอย่างนี้ แต่มันมีนิพพานเป็นอารมณ์ที่หวังอยู่ข้างหน้า, คือทำสมาธินี้เพื่อจะดับทุกข์สิ้นเชิงในปลายทาง ในจุดหมายปลายทาง, ทำสมาธิขึ้นมาแล้ว ก็ทำเป็นวิปัสสนา เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา. แล้วก็เบื่อหน่ายคลายกำหนัด ก็หลุดพ้น มีนิพพานเป็นอารมณ์ ฉะนั้น ความหมายนี้ดีที่สุดแล้วว่า สิ่งที่เรียกว่า
สมาธินั้น คือ เอกัคคตาจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์.

ขอให้เราทุกคนดำรงจิตไว้ในลักษณะอย่างนี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือว่ามีพระนิพพานเป็นที่หมาย มีพระนิพพานเป็นจุดหมาย, จะต้องถึงที่นั่นให้จงได้เร็วที่สุด โดยเร็วที่สุดเท่าไรก็ยิ่งดี. นี่คือ สมาธิที่มีประโยชน์ สมาธิโดยความหมายที่แท้จริง ที่มันมีประโยชน์ คือความมุ่งต่อพระนิพพานเป็นอารมณ์; อยู่ที่บ้านนั่นแหละ ทำอะไรก็ทำไปเถิด แต่ข้อใหญ่ใจความนั้นไม่ลืม ไม่ลืมว่าเรามีพระนิพพานเป็นที่จุดหมายปลายทาง ทั้งหมดที่เราทำนี้ มันจะรวมกันเข้า แล้วก็ไปสู่จุดหมายปลายทางคือนิพพาน.

สมมุติว่า จะทำนา มันก็หาข้าวให้ได้กินข้าว, ให้ได้กินข้าว แล้วก็มีชีวิตอยู่ แล้ว ก็ทำพระนิพพานให้แจ้ง. แม้แต่ ทำสวน ก็ได้เงินมากินมาใช้, ก็เพื่อจะมีชีวิตอยู่ เพื่อจะทำพระนิพพานให้แจ้ง. จะค้าขายหรืออาชีพอะไรอยู่ก็ตาม ต่อให้เป็นอาชีพถีบสามล้อเหงื่อไหลท่วมตัวอยู่ทั้งวันๆ มันก็ สามารถจะมีเอกัคคตาจิตที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ได้ โดยมุ่งหวังอยู่ว่า เราจะเลี้ยงชีวิตให้รอดอยู่ได้ เพื่อทำให้ปรากฏเฉพาะซึ่งภาวะที่ไม่มีความทุกข์เลย. ที่เรียกว่า นิพพาน คือชีวิตที่เยือกเย็น, ชีวิตที่เยือกเย็น ไม่มีความทุกข์เลย เรียกว่า นิพพาน เราจะมีที่นั่นเป็นจุดหมาย แม้ว่าจะทำงานอย่างต่ำ ล้างท่อถนน กวาดถนน ถีบสามล้อ แจงเรือจ้าง ก็ยังสามารถที่จะมุ่งพระนิพพานเป็นอารมณ์ ว่าจะต้องได้พบกันในโอกาสข้างหน้า

ทีนี้จะพูดให้สิ้นสุดเสียเลยว่า แม้เป็นคนขอทานนั่งขอทานอยู่ ก็ยังทำได้ เดี๋ยวนี้กูยังต้องขอทาน ก็ขอทานให้ชีวิตมันรอด ชีวิตมันรอดแล้วก็จะทำต่อไป, ปฏิบัติมีสติระวังสังวรเรื่อยไป แล้วก็จะมีนิพพานเป็นจุดหมายปลายทางได้เหมือนกัน. นี่ไม่ใช่แต่เป็นชาวบ้านธรรมดาแหละ; ให้เป็นขอทานอยู่ มันก็ยังมีโอกาส ยังมีความหวังจะมีสมาธิ; สมาธิ, สมาธิเรียกอย่างนี้แปลว่า เอกัคคตาจิตคือจิตดวงเดียว เดี่ยวโดด หนักแน่น มีพระนิพพานเป็นที่หมาย ฉะนั้น ใครๆ ทุกคน ที่เป็นฆราวาสอยู่ จงดำรงตนให้มีพระนิพพานเป็นที่หมาย เป็นจุดหมายปลายทาง ก็จะเรียกว่ามีสมาธิ เต็มตามความหมายของคำคำนี้

มีสติเป็นเครื่องชักนำให้จิตมีสมาธิ มีสติอย่างที่ว่ามาแล้ว ชักนำให้จิตมีสมาธิ รู้สึกตัวอยู่ เมื่อแรก ระลึกได้ แรกระลึกถึงความจริงความรู้อะไรได้ นี่ เรียกว่า มีสติ, ครั้นระลึกได้แล้ว รักษาความรู้นั้นไว้ ให้อยู่ยาวไป ก็เรียกว่า สติสัมปชัญญะ. สติกับสัมปชัญญะนั้น มันเป็นคู่แฝดกัน; สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว คือรักษาความระลึกได้นั้นให้ยังคงอยู่ เช่น สติระลึกถึงความถูกต้องอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา แวบขึ้นมาได้ แล้วก็รักษาไว้ นั่นก็คือ สัมปชัญญะ; สติกับสัมปชัญญะก็ต้องทำงานร่วมกันอย่างนี้ ฉะนั้นเรา ถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้ว จะไม่ทำอะไรผิดพลาด จะทำอะไรถูกต้อง ได้รับผลดีของสิ่งที่ต้องทำ.

ทีนี้ก็ มีสมาธิ ก็หมายความว่า จิตมันมั่นคง ตั้งมั่น ขณะนั้นก็ไม่มีกิเลสรบกวน ขณะนั้นจิตก็ ว่องไวในการที่จะคิดจะนึก หรือจะทำหน้าที่ของจิต คำว่า ทำสมาธิ,
ทำสมาธิไม่ใช่หมายถึงไปนั่งหลับตาตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้,
ไม่ใช่หมายความว่าอย่างนั้น
หมายความว่า ทำทุกอย่างทุกทาง กล่อมเกลาจิตใจให้เป็นจิตที่มีจุดหมายเดียว อารมณ์เดียว ที่เรียกว่า เอกัคคตา,
แล้วมันก็ปราศจากกิเลส แล้วมันก็เข็มแข็ง มันก็เข็มแข็ง เพราะมันรวมแสงรวมกำลัง แล้วมันก็ไวต่อหน้าที่ของมัน จิตมีหน้าที่คิด จิตที่เป็นสมาธิจะไวต่อการคิด จิตที่ไม่เป็นสมาธิมันงุ่มง่ามเคอะคะ มันคิดไม่ได้ หรือมันไม่ไวต่อการคิด สมาธินั้นหมายความว่า จิตมีกำลังเข็มแข็งอยู่ที่จุดเดียว ไม่มีกิเลสรบกวน แล้วก็ว่องไวในหน้าที่ที่จะคิด จะนึก จะคิดจะนึก จะทำจะตัดสินใจ จะทำอะไรก็ตาม; ถ้าทำด้วยสมาธิมันทำได้ดี ทำด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ฉะนั้นคนที่มีหน้าที่จะต้องคิดจะต้องนึกจะต้องตัดสินใจ จะต้องสั่งงานผู้อื่น อะไรก็ตาม จะต้องทำด้วยจิตที่เป็นสมาธิ

ทีนี้ก็ จะต้องฝึกให้เป็นสมาธิ มีสติชักหน่วงดึงจิตให้ติดอยู่ที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ตามเวลาที่ต้องการจะทำอะไร ตามเวลาที่ต้องการจะทำอะไร ทำด้วยสมาธิเสมอไป คือว่าจะมีสมาธิจิตตั้องแต่ก่อนทำ แล้วก็เมื่อกำลังทำ และทำเสร็จแล้วด้วย ตั้งแต่ก่อนทำ ก็มีสมาธิในเรื่องนั้น กำลังทำอยู่ ก็มีสมาธิในเรื่องนั้น ทำเสร็จแล้วก็มีสมาธิในเรื่องนั้น มันจะผิดได้อย่างไร ลองคิดดูเถอะ มันไม่มีทางที่จะผิดได้ มันมีแต่จะถูกถึงที่สุด

ทีนี้เรา บวชอยู่ที่บ้าน ก็หาโอกาสที่จะฝึกสมาธิ เวลาที่เอาไปใช้เหลวไหลเสียวันหนึ่งๆ ตั้งมากมาย ขอเปลี่ยนเอามาทำสมาธิ, และ เมื่อกำลังทำการงานอยู่ ก็ทำสมาธิได้ โดยทำด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ทำการงานอะไรอยู่ก็ตาม

ถ้าว่า เป็นชาวนา กำลังไถนาอยู่ กำลังไถนาอยู่ เดินตามหลังความยอยู่ ขอให้จิตมันอยู่ตรงที่ปลายไถนาอยู่ จิตอยู่ที่ปลายไถ ที่มันแหลมที่มันตัดดินอยู่ตรงนั้นเรื่อยไปมัน ก็เป็นการทำสมาธิตลอดเวลาที่ไถนา

ถ้าทำสวน เมื่อเอาจอบฟันดินลงไปกระทบดินยกขึ้นมานั้น ก็มีสมาธิอยู่ที่จอบมันตักดิน

เอาที่บ้านที่เรือนกันก็ได้, งานอื่นๆ นั่นมันมีค่า หรือว่ามันน่าดู. แต่เดี๋ยวนี้ เราเอางานชั้นต่ำสุดนะ ว่าถ้าเราจะต้องกวาดบ้าน กวาดพื้นบ้าน หรือกวาดลานบ้าน เมื่อกำลังกวาดอยู่นั้น ขอให้จิตมันกำหนดอยู่ที่ปลายไม้กวาดที่จดดิน ทำอย่างนั้นไม่ยาก จิตอยู่ที่ปลายไม้กวาด ที่จิดดินอยู่เรื่อยไปๆ กวาดเรื่อยไป จิตอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา นี่เป็นสมาธิชั้นดี เป็นสมาธิชั้นดี

หรือว่าเมื่อล้างจาน, ก็ขอให้จิตมันอยู่ตรงที่ปลายนิ้วที่มันถูจาน เมื่อล้างจานธรรมดาสามัญ คนทั่วไปก็ต้องเอามือถูจาน ให้ปลายนิ้วที่ถูจานแตะจานอยู่ จิตกำหนดอยู่ที่ตรงนั้น จนกว่าจะล้างจานเสร็จ ก็เป็นการทำสมาธิที่ดีที่สุด เมื่อกำลังล้างจาน.

ทีนี้ เมื่อล้างหม้อ ล้างกะทะ ก็เหมือนกันนั่นแหละ; เมื่อเอาอะไรมาถูหม้อถูกะทะอยู่ เครื่องถูหม้อนั่นแหละ เมื่อมันจดจ่ออยู่กับหม้อหรือจดจ่ออยู่กับกะทะ มีจิตอยู่ที่ตรงนั้นสิ คุณก็เป็นผู้มีสมาธิ เหมือนกับนั่งสมาธิอยู่ในป่านั่นแหละ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ทำสมาธิที่บ้าน.

ถ้าว่าจะผ่าฟืน เอ้า, ผ่าฟืน สมาธิอยู่ที่คมขวาน เมื่อไม้ฟืนกระทบขวาน แล้วแต่จะผ่ากันท่าไหน แต่ที่ตรงคมขวานที่ชำแรกไม้ออกไปนั้น จิตอยู่ที่ตรงนั้น.

ทีนี้ก็ ทำทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน; เมื่อยืนเท้าแตะพื้นตรงไหน กำหนดตรงนั้น เมื่อเดินก็เหมือนกัน มันจดลงไปแล้ว มันยกขึ้นมา มันจดลงไปมันยกขึ้นมา จิตอยู่ที่นั่น เมื่อนั่งก็นั่งถูกที่พื้น โดยไม่ได้กำหนดอะไรอื่น กำหนดที่ก้นมันแตะพื้นนั่นแหละ มันก็เป็นสมาธิ แต่เขามีอย่างอื่นหลายวิธี เช่นกำหนดลมหายใจ กำหนดพุทโธ อะไรก็ได้ แต่ที่แท้จริงแล้ว มันอยู่ที่สิ่งที่มันเป็นธรรมดาเป็นเจ้าของเรื่อง

นี่เรื่องบวชอยู่ที่บ้าน เห็นไหมเล่า พูดเรื่องบวชอยู่ที่บ้าน บวชอยู่แต่ที่บ้าน มีโอกาสจะทำ ประพฤติธรรมในเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ได้อย่างมากมาย มีสติประกอบอยู่กับสมาธิในทุกๆ อิริยาบถ ทุกๆ การงาน นับตั้งแต่ว่าไถนา สมาธิจิตอยู่ที่ปลายไถที่ตัดดิน, ถ้าพายเรือ จิตอยู่ที่ปลายพายที่มันแตะน้ำ แจวเรือก็เหมือนกัน อยู่ที่แจวมันตัดน้ำ นี้จะเป็นสมาธิจริง สมาธิที่จะเอามาใช้เป็นประโยชน์อย่างอื่นได้ ทุกๆ ความหมาย ทุกๆ ชนิด

๕. มีปัญญา - รู้ความจริงที่ควรรู้

เอ้า ทีนี้ข้อสุดท้ายว่า มีปัญญา มีปัญญา ข้อ ๑ มีศรัทธา, ข้อ ๒ มีวิริยะ, ข้อ ๓ มีสติ, ข้อ ๔ มีสมาธิ, ข้อ ๕ มีปัญญา,
ปัญญา แปลว่า ความรู้ คือ รู้สิ่งที่ควรรู้,
รู้ความจริงที่ควรรู้ ความจริงที่ดับทุกข์ได้นั้น เป็นความจริงที่ควรรู้
.

ขอให้รู้ความจริงนั้นอยู่ตลอดเวลา อยู่ตลอดเวลาด้วยสติ สติระลึกเอามา แล้ว สัมปชัญญะกำหนดเอาไว้ แล้วก็อยู่อย่างเป็นความรู้รอบ เป็นปัญญาอยู่ตลอดเวลา อย่าให้เกิดการปรุงแต่งในจิตจนเกิดความคิดชนิด ตัวกูของกู นี่คำพูดมันค่อนข้างจะหยาบคาย แต่มันจำเป็นว่า ความคิดชนิดที่มีความหมายเป็นตัวกู หรือเป็นของกูนั้น เป็นความคิดผิด พร้อมที่จะทำให้เกิดความทุกข์อย่างยิ่ง มันเป็นความคิดที่ผิด เป็นความรู้ที่ผิด เรียกว่าเป็นความผิดนั่นแหละ

นี้ปัญญาต้องรอบรู้ รู้ที่ถูก มันรู้ทุกอย่างที่ควรจะรู้ รู้ได้ทุกอย่างที่ควรจะรู้ แต่อย่าไปรู้ชนิดที่ว่าเป็นตัวกู เป็นของกู เป็นตัวตน เป็นของตน นี่มันก็เป็นของละเอียดประณีตลึกซึ้งอยู่มาก, คือมันจะต้องรู้จักทำความละเอียดประณีตในทางจิต, ความคิดมันปรุงแต่งกันได้อย่างที่ว่ามาแล้วในเรื่องของผัสสะ. นี้เราอย่าให้ความคิดหรือความรู้เกิดขึ้น มีความหมายเป็นตัวกู เป็นของกู

ทำงานด้วยความรู้อยู่ว่า ควรจะทำอย่างไร ฟังให้ดีๆ ว่า ถ้าทำงาน ทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ หรือที่ไหนก็ตาม จงทำด้วยสติปัญญาที่รู้ว่า ควรทำอย่างไร แล้วระวังอย่าให้ความคิดประเภทตัวกูของกู, ทำเพื่อกู กูจะได้ กูจะอะไร อย่าให้เกิดขึ้นมา ความคิดความรู้สึกประเภทตัวกูของกูอย่าได้เกิดขึ้นมา อย่าให้ความอยากจะได้ผลงานเร็วๆ เกิดขึ้นมา อย่าให้ความหวังจะได้ผลงานเร็วๆ เกิดขึ้นมา. นั้นเป็นของผิดทั้งนั้น อันตรายทั้งนั้น มีแต่ความรู้ที่ถูกต้องว่า ทำอย่างไร ทำอย่างไร ที่ทำถูกต้องนั้นทำอย่างไร แล้วก็สนใจทำแต่อย่างนั้น นี้แหละเรียกว่า ทำงานอยู่ด้วยปัญญาอย่างยิ่ง ไม่เกิดความผิดพลาด ไม่เกิดความหวัง ไม่เกิดกิเลสตัณหา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความทุกข์

ฉะนั้นเรามี ความรู้ที่ถูกต้องเรื่องอิทัปปัจจยตา ว่ามันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน และว่า ตถตา มันจะต้องเป็นอย่างนั้นมันเป็นอย่างอื่นไม่ได้. มีความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตา ตถตา เต็มที่แล้วก็ทำงานอยู่ ส่วนความหวังความอยากว่าจะได้ผล เอาผลมากิน มาใช้กันให้สนุกสนานเอร็ดอร่อยนั้น อย่าต้องมีผล ถ้ามีมันเป็นความคิดหรือความรู้สึกประเภทตัวกู-ของกู มันจะต้องเป็นทุกข์

ข้อนี้ก็ ในพระบาลีให้ตัวอย่างไว้อย่างดีที่สุด ที่อาตมาก็เอามาเล่าบ่อยๆ ว่า แม่ไก่ฟักไข่ให้ดีก็แล้วกัน ไม่ต้องคิดว่าลูกไก่จงออกมา, นี่แม่ไก่น่ะฟักไข่ให้ถูกต้องตามวิธีของธรรมชาติ; จะเขี่ย จะกก จะกลับ จะทำให้อุ่นให้เย็นอะไรก็แล้วแต่ ให้มันถูกต้องตามวิธีของการฟักไข่, แล้วลูกไก่ก็จะออกมาเอง โดยที่แม่ไก่ไม่ต้องหวังว่า ลูกไก่จงออกมา ลูกไก่จงออกมา, ถ้าแม่ไก่ตัวไหนมันหวังว่าลูกไก่จงออกมา บ่นว่า ลูกไก่จงออกมา มันเป็นแม่ไก่บ้า มันใช้ไม่ได้. คนนี้ก็เหมือนกันแหละ จงทำงานให้ถูกต้องด้วยสติปัญญา เกี่ยวกับการกระทำนั้น โดยไม่ต้องมีความคิดหวังเป็นตัวกูของกู ว่าออกมา จงออกมา จงได้มา จงได้กำไร จงอย่างนั้น จงอย่างนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของตัวกู ของกูอย่างนั้น มันทำให้เป็นทุกข์เปล่าๆ แล้วมันก็ไม่ได้ด้วย แล้วมันจะทำให้งานเสียก็ได้

เดี๋ยวนี้ เราสอนกันผิดๆ อยู่บางอย่าง ที่ว่าให้ใช้ความหวังมากเกินไป; ที่จริง ถ้าความหวังมากเกินไป แทรกแซงเข้ามาในขณะทำงานแล้ว มันฟุ้งซ่าน ทำไม่ได้ดี ทำไม่ได้ถูกต้องอย่างดี มันต้องให้เหลือไว้ มีแต่สติปัญญา ว่าจะทำอย่างไรเท่านั้น ให้มีมากที่สุด ให้ทำอย่างดี ส่วนที่จะหวังผลอย่างนั้นอย่างนี้ อย่าให้มันเกิดขึ้นมาในความคิด มันมาทำให้ฟุ้งซ่าน ให้มีสมาธิแน่วแน่อยู่แต่ว่า ทำอย่างไร เรื่องนี้ทำอย่างไร เรื่องนี้ทำอย่างไร นั่นแหละเรียกว่า มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา มีจิตว่างจากความคิดความนึกรู้สึกว่าตัวตนหรือของตน ว่างจากความรู้สึกคิดนึกว่า ตัวกู-ของกู แล้วก็เป็นจิตว่างแหละ จะคิดอย่างไรก็ได้, จะคิดเรื่องจะทำให้ดีให้นันอย่างไรก็ได้ แต่อย่าให้มันแลบเลยไป ถึงว่า เพื่อตัวกู หรือของกู, กูจะเอา กูจะได้ พอความคิดเกิดขึ้นอย่างนั้น มันจะมืด มันจะกลุ้มมันจะร้อน มันจะเป็นทุกข์ นี่เรียกว่า เคล็ด หรือ ศิลปะ ในการที่จะทำงานให้ดีที่สุด โดยเฉพาะสำหรับพุทธบริษัท

เดี๋ยวนี้เราจะบวชอยู่ที่บ้าน เราจะบวชอยู่ที่บ้านขอให้มีการกระทำงานด้วยปัญญา, มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ให้ได้ผลดีที่สุดของการที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์เกิดมาแล้ว จะต้องได้อะไรดีที่สุด ก็ให้มันได้อย่างนั้นแหละ แล้วมันก็จะได้ด้วยการกระทำด้วยปัญญา อย่าทำด้วยกิเลสตัณหา หวังว่าจะได้อย่างนั้น หวังว่าจะได้อย่างนี้แก่ตัวกู แก่ของกู นั้นไม่ต้องไปหวังดอก เมื่อทำถูกต้องตามกฏของธรรมชาติแล้ว มันก็ต้องออกผลมาเอง, ไปหวังให้มันฟุ้งซ่าน; หรือจะเปรียบด้วยตัวอย่างง่ายๆ อีกทีหนึ่งว่า ไปซื้อลอตเตอรี่มาแล้ว อย่ามาหวังให้มันรบกวนจิตใจเป็นโรคประสาท, ซื้อแล้วก็แล้วไป ถึงเวลามันออกก็ไปตรวจดู มันถูกหรือไม่ถูก แต่บางคนเขาไม่ชอบอย่างนั้น เขาชอบซื้อเอามาทำให้มันบ้า ให้มันหวัง ให้มันนอนหวัง นั่งหวัง นอนหวัง แล้วในที่สุด มันจะเป็นโรคประสาท ได้จริงเหมือนกันแหละ

เราจงทำงานหรือมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา อย่าประมาทปัญญา พอกพูนปัญญา คือความรู้สึกคิดนึกที่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา เมื่อจะทำงานก็มีปัญญาในงานที่จะทำ เมื่อทำงานอยู๋ ก็มีปัญญาในงานที่กำลังทำ เมื่อทำงานเสร็จได้ผลงาน ก็มีปัญญาอยู่ในการได้ผลงาน อย่าให้ได้ผลงานด้วยกิเลส ตัณหา แต่ได้ด้วยสติปัญญา อ๋อ มันอย่างนี้เองนี่ ทำอย่างนี้มันก็ได้อย่างนี้เอง ไม่ต้องไปหลงไหลมัวเมา ให้มันสูญเสียสติสัมปชัญญะ หรือจะเก็บผลงาน ไว้กินไว้ใช้รักษาไว้ ก็ด้วยสติปัญญา เก็บไว้ด้วยสติปัญญา อย่าให้มันทรมานใจ เมื่อจะเอาผลงานมากินมาใช้ ก็ทำด้วยสติปัญญา อย่าให้มันผิดพลาด เมื่อจะแบ่งปันให้แก่ผู้อื่นบ้าง ทำบุญทำทาน ก็ทำด้วยสติปัญญา; แปลว่าเป็นฆราวาสที่มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ทั้งก่อนแต่ทำงานกำลังทำงาน ได้ผลงาน เก็บผลงาน ใช้ผลงาน กินผลงาน แบ่งปันผลงาน อะไรก็ทำด้วยปัญญา ไม่มีกระหืดกระหอบด้วยกิเลสตัณหา

บวชอยู่ที่บ้านทำได้จริงก็มีผลดีเท่าที่ควรได้.

นี่จะบวชอยู่ที่บ้าน แล้วจะเป็นพระอรหันต์อยู่ที่บ้าน; พอเป็นพระอรหันต์แล้ว มันก็เลิกหมด ไม่ต้องบวชต้องอะไรดอก เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วมันเลิกบวช เลิกความหมายของคำว่า บวช, บวช หรือประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ต้องมีแล้ว. แต่เดี๋ยวนี้ ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ขอให้เป็นผู้บวชด้วยจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นอยู่ที่บ้าน; โดยเฉพาะผู้หญิงไม่ต้องสนใจว่าผู้หญิงบวชไม่ได้. แต่เราบวชอยู่ที่บ้านได้อย่างนี้ แล้วเหมือนกัน หรืออย่างเดียวกัน หรือเท่ากัน แม้ไม่มีโอกาสไปบวชกับเขาบ้าง เขาบวชกันเกร่อหมด บวช ๙ วัน ไม่รู้ว่าจะได้ผลอย่างไร.

แต่อาตมาขอยืนยันว่า
บวชอย่างที่ว่านี้เถิด, มี
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
อยู่ที่บ้าน. บวชอยู่ที่บ้าน บริบูรณ์อยู่ด้วยธรรมะ ๕ ประการ
ซึ่งทบทวนอีกทีหนึ่งก็ว่า:

มีศรัทธา
เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนถือเอาเป็นที่พึ่ง คือการปฏิบัติหรือคำสอนนั้น แล้วก
เชื่อมั่นว่าตัวเองทำได้ เราทำได้ ไม่เหลือวิสัย เราทำได้ แล้วก็ปล่อยให้ทำไปด้วยศรัทธา

พร้อมกันนั้นก็
มีวิริยะ
คือความกล้าหาญ ความพากเพียร ความบากบั่น สนุกสนานในการทำ พอใจในการทำ เป็นสุขเสียเมื่อกำลังทำ
ไม่ต้องรอต่อผลงานได้มา กำลังทำอยู่มันก็พอใจและเป็นสุข อิ่มอยู่ด้วยความสุข ได้ความสุขโดยไม่ต้องเสียเงิน

ทีนี้ก็
มีสติ
เฝ้าระวังรักษาป้องกัน ไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้น ในความคิดความนึกหรือในการกระทำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีผัสสะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจเอง

มีสมาธิ
คือจิตแน่วแน่ต่อพระนิพพานเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลา ตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก
, มีจุดมุ่งมั่นต่อพระนิพพาน เรียกว่า มีเอกัคคตาจิตมุ่งพระนิพพานอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ทำทุกอย่างที่รักษาจิตชนิดนั้นไว้ ก็คือแบบสมาธิวิธีต่างๆ มันจะต่างกันอย่างไร มันก็อยู่ที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ทั้งนั้น คือมีความหลุดพ้นจากความทุกข์เป็นอารมณ์ด้วยกันทั้งนั้น

แล้วในที่สุด
ก็มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
คือ ความรู้อย่างถูกต้องชัดเจน ในสิ่งที่ต้องกระทำ หรือควรกระทำ
อย่าให้ความอยาก เช่นกิเลสตัณหา เพื่อตัวกู-ของกู เข้ามาแทรกแซง นั้นมันจะทำให้เสียหมด นี่เรียกว่า ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง แหละ "ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง ยกผลงานให้ความว่างทุกอย่างสิ้น กินอาหารของความว่างอย่างพระกิน ตายเสร็จสิ้นแล้วในตัวแต่หัวที" ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู มันไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหาอะไร, มีจิตที่บริสุทธิ์ อยู่ด้วยปัญญา และ ความสุขสงบ นี่คือ บวชอยู่ที่บ้าน.

ใครเห็นด้วยก็ลองดู บวชอยู่ที่บ้าน ที่ชะเง้อหาบวชที่วัด บวชในป่านั้น บางทีจะเป็นความโง่ ลำบากมากกว่าคนที่บวชอยู่ที่บ้านก็ได้ ระวังให้ดี. ถ้ามีความตั้งใจจริง ระมัดระวังจริง บวขอยู่ที่บ้านจะได้ผลมากกว่าบวชอยู่ที่วัดหรือในป่า ก็ยังเป็นไปได้ เพราะว่า การบวชอยู่ที่วัดหรือในป่า มันยังเหลวไหลอยู่ทั่วๆ ไป มันยังไม่สำเร็จประโยชน์เต็มตามความหมายที่ควรจะได้เลย.

เอาละ, เป็นอันว่า วันนี้เราพูดกันด้วยเรื่องที่ค่อนข้างจะแปลก โดยใช้ชื่อว่า
บวชอยู่ที่บ้าน : เว้นจากสิ่งที่ควรเว้นโดยประการทั้งปวง อยู่ที่บ้าน. แล้วก็ประพฤติหน้าที่ที่ควรประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างดีที่สุด อย่างเต็มกำลังเต็มสติปัญญาสามารถอย่างดีที่สุด ในหน้าที่ของตนๆ แล้วก็เป็นสุขอยู่กับการทำหน้าที่ ไม่มีกิเลสตัณหา ที่จะหวังผลอย่างนั้นอย่างนี้ มาสนองกิเลส เรื่องก็มีเท่านี้ ว่าบวชอยู่ที่บ้าน

ไม่ได้หมายความว่า ให้สึกไปอยู่ที่บ้านกันเสียให้หมด แต่หมายความว่า แม้อยู่ที่บ้านก็อย่าน้อยใจ อย่าเสียใจ, แม้อยู่ที่บ้านก็สามารถที่จะทำได้ดีที่สุด ที่บ้านนั้นเอง เพราะคนที่อยู่บ้านมันยังมีมากกว่าคนที่อยู่ที่วัด คนเหล่านั้นไม่ควรจะเสียประโยชน์อะไร ควรจะได้ประโยชน์ทุกอย่างทุกประการ เท่าที่พุทธบริษัทในพระพุทธศาสนาจะพึงได้

ขอให้ผู้ที่อยู่บ้าน หรือยังอยู่ที่บ้านนั้น จัดแจงปรับปรุงให้ชีวิตการเป็นอยู่ของตนนั้น อนุโลมเข้ากันกับการบวช โดยสมาทานสิกขาบท คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา, ธรรม ๕ ประการนี้ แทรกอยู่ในการปฏิบัติธรรม ตั้งแต่ต้นจนถึงขั้นสุดท้าย
ถ้าปฏิบัติกรรมฐานอยู่อย่างเคร่งครัดในป่า ในวัดในดงก็ตาม เขาก็ระวังให้ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ในการปฏิบัตินั้นเป็นไปอย่างเต็มที่ แล้วผลก็แน่นอน สำเร็จตามความปรารถนา

การบรรยายในวันนี้ก็สมควรแก่เวลา แม้จะว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกออกไป ก็ควรจะได้พิจารณาดู จะได้ใช้เวลาที่บ้าน ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด แม้จะต้องยังอยู่ที่บ้านก็ไม่เสียเปรียบเสียหาย ไม่เสียเปรียบแก่ผู้ที่จะทิ้งบ้านออกไปได้โดยน่าอัศจรรย์ พูดง่ายๆ ว่า
ถ้าทำได้นะ ถ้าทำได้บวชอยู่ที่บ้าน น่าอัศจรรย์กว่าบวชอยู่ที่วัด.

ขอยุติการบรรยายนี้ ด้วยความสมควรแก่เวลา เป็นโอกาสให้พระคุณเจ้าทั้งหลาย สวดบทพระธรรม ในรูปคณสาธยายส่งเสริมกำลังใจของท่านทั้งหลาย ให้เข็มแข็งในการประพฤติปฏิบัติธรรมะสืบต่อไปในบัดนี้

คัดจาก หนังสือ บวชทำไม โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ สุขภาพใจ ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ ภาคมาฆบูชา ครั้งที่ ๑๒

 

 

บวชอยู่ที่บ้าน

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ฝนตก หน้าหนาว

ฝนตก บ้านเรา

ฝนตก แบ่งๆกันไป

กระจาย ให้ทั่วกัน

ขิง

 

2de9b62b970bdb1bbd7b3b5627e892ad.jpg

 

76f9991e2a1d6739481be37698cc1c78.jpg

 

1729e3150825b35d4770e56f88fd4fb2.jpg

 

05db66f550653e92956d8b55c611aae7.jpg

 

2e974148484121af454529d47734b97c.jpg

 

tumblr_marq9v9lhv1rpldtno1_500.jpg

pinterest

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บ้านเกิดเมืองนอน

 

สิริอัญญา แนวหน้า

 

เมื่อรัสเซียเคลื่อนทัพเรือเข้าแปซิฟิก

 

 

 

โลกเข้าสู่สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงใหญ่อย่างทั่วด้าน โดยเฉพาะด้านแสนยานุภาพทางการทหาร กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ที่สุดนับแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง กลุ่มนาโตที่นำโดยอเมริกามีแสนยานุภาพครองโลก ทั้งพื้นที่บนบกและในทะเล และดำรงรักษาอำนาจนั้นไว้อย่างยาวนาน จนกระทั่งเกิดสงครามปราบปรามไอซิสในซีเรียและอิรัก โดยรัสเซียและพันธมิตร

การวางแสนยานุภาพของกลุ่มนาโตและอเมริกาหลังสงครามโลกครั้งที่สองในทางบก มีการจัดวางฐานทัพและกองกำลังทหารกว่า 800 แห่ง ในขณะที่ทางทะเล ก็ได้วางแสนยานุภาพหลักไว้ที่กองทัพเรือที่ 5,6 และ 7 ของอเมริกา โดยกองเรือที่ 1,2,3,4,8,9,10 เป็นกองเรือที่พิทักษ์รักษาสองฝั่งทะเลของอเมริกาเป็นหลัก

ด้วยแสนยานุภาพอย่างนี้จึงพร่าพลังทางเศรษฐกิจของกลุ่มนาโตและอเมริกาลงอย่างหนักหน่วง ในขณะที่ประเทศนอกกลุ่มโดยเฉพาะประเทศที่ถูกอเมริกาและอียูคว่ำบาตรอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพันธมิตรได้รวมตัวกันจัดตั้งเป็นขั้วอำนาจใหม่ของโลกขึ้นคือกลุ่มองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้

ในขณะที่มีการขยายบทบาทของเงินหยวนให้เป็นคู่ต่อสู้ในเวทีสกุลเงินของโลกกับเงินดอลลาร์ของสหรัฐอย่างเต็มที่

ในสงครามปิดฉากไอซิสในซีเรียและอิรัก พันธมิตรที่นำโดยรัสเซียได้รับชัยชนะอย่างหมดจดงดงาม สามารถทำลายแผนการตั้งรัฐอิสลามในแผ่นดินรอยต่อของอิรักและซีเรียได้สำเร็จ ปลดปล่อยและคืนอำนาจปกครองบ้านเมืองให้แก่รัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายของซีเรียและอิรัก ในขณะที่สามารถกระชากหน้ากากของกลุ่มประเทศที่สร้างและสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายอย่างล่อนจ้อน

ในสงครามดังกล่าว รัสเซียสามารถวางแสนยานุภาพทั้งทางบกและทางทะเลในพื้นที่ตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในทะเลดำ ทะเลแดง อ่าวเปอร์เซีย ทะเลอาหรับ คลองสุเอซ และอ่าวโอมาน สามารถจัดตั้งฐานทัพเรือในซีเรียและสามารถใช้ฐานทัพอากาศทั้งในซีเรียและอิหร่านได้สำเร็จ สามารถกดข่มศักยะสงครามของกองเรือที่ 5 ของอเมริกาที่ดูแลรับผิดชอบพื้นที่นี้มาแต่เดิมได้สำเร็จ

สามารถกล่าวได้ว่าศักยะสงครามของกองเรือที่ 5 อ่อนด้อยลง จนขาดศักยะสงครามในการเชื่อมต่อกับกองทัพเรือที่ 6 ที่ดูแลภาคพื้นแอตแลนติกและกองทัพเรือที่ 7 ที่ดูแลภาคพื้นแปซิฟิกอย่างรุนแรง ซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน

สถานการณ์ไม่เพียงแต่กำลังทางแสนยานุภาพเปลี่ยนแปลงไป แม้แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของแสนยานุภาพก็เปลี่ยนแปลงไปชนิดเทียบกันไม่ติด ถ้าเป็นการแข่งเรือก็เรียกว่าแพ้ขาด

เพราะเหตุนี้แสนยานุภาพของรัสเซียจึงแผ่ปกคลุมตะวันออกกลางและน่านน้ำบริเวณนั้นทั้งหมด และเป็นฐานสำคัญที่ทำให้รัสเซียสามารถขยับขยายแสนยานุภาพทางเรือเข้าสู่แปซิฟิกได้โดยสะดวก และสามารถเชื่อมต่อกับแสนยานุภาพของฐานทัพเรือที่วลาดิวอสต็อกและคาบสมุทรคัมชัตคาได้

โดยสะดวก

ก่อสภาพคุกคามต่อกองเรือที่ 7 ของอเมริกาชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ยิ่งโฉมหน้าผู้สร้างและสนับสนุนไอซิสถูกเปิดเผยต่อชาวโลกทำให้ประเทศต่างๆ ตื่นตัวและระมัดระวังการเข้ามาเกี่ยวข้องของประเทศเหล่านั้น

อินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศอาเซียนหันไปเชื้อเชิญรัสเซียมาตั้งฐานทัพเรือเพื่อป้องกันไอซิส ทำให้เครือข่ายแสนยานุภาพทางเรือของรัสเซียคุกคามและมีผลต่อการเดินเรือในช่องแคบมะละกา ช่องแคนซุนดา และช่องแคบลอมบอก ทำให้การเชื่อมต่อ

ของกองทัพเรือที่ 7 ในแปซิฟิกกับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นฐานทัพนิวเคลียร์สำคัญไม่สะดวกดายดังแต่ก่อน

ครั้นเกิดเหตุพลิกผันในฟิลิปปินส์ เกาหลี และญี่ปุ่น ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ในแปซิฟิกในพื้นที่ดูแลของกองทัพเรือที่ 7 ประสบปัญหามากขึ้น

ญี่ปุ่นขับไล่ฐานทัพสหรัฐในโอกินาว่าซึ่งเป็นฐานทัพใหญ่สุดในแปซิฟิก และขณะนี้ต้องถอนทหารออกไปครึ่งหนึ่ง

แล้ว ในขณะที่เกาหลีใต้หันไปจับมือกับอิหร่าน นำเงิน 25,000 ล้านเหรียญ ไปลงทุนร่วมกับอิหร่าน คู่ปรปักษ์กับอเมริกา

ส่วนฟิลิปปินส์ก็ขับไล่ฐานทัพอเมริกาและร่วมมือทางการทหารกับรัสเซียและจีนมากขึ้น ถึงขนาดยินยอมให้รัสเซียส่งกองเรือไปเยือนฐานทัพเรือในฟิลิปปินส์ได้โดยสะดวก

ไม่ต้องพูดถึงจีนและเกาหลีซึ่งเป็นพันธมิตรสนิทแน่นกับรัสเซีย และกำลังเคลื่อนไหวทางเรือและแสนยานุภาพในแปซิฟิกและทะเลจีนใต้อย่างยิ่ง

สภาพเหล่านี้ทำให้สมรรถนะและศักยะสงครามของกองเรือที่ 7 ซึ่งเป็นกองทัพเรือหลักของอเมริกาได้รับ

ผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง และนับถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีทีท่าหรือวี่แววใดๆ ว่าอเมริกาจะแก้เกมนี้ได้อย่างไร ยิ่งประสบวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงและมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายหลักของประเทศ จึงทำให้สภาพในแปซิฟิกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะส่งผลต่อสถานการณ์อื่นๆ ของโลกอย่างมากมาย จึงเป็นเรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจเพื่อดำเนินการใดๆ ในทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ต่อประชาชน ต่อภูมิภาคและต่อสันติภาพของโลกต่อไป

====

 

 

 

ยินดีต้อนรับมหามิตร!! "ดูเตอร์เต" ให้การต้อนรับ "กองเรือพิฆาตรัสเซีย" พร้อมขอบคุณที่ร่วมปก

ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ให้การต้อนรับ พล.ร.ต.เอดูอาร์ด มิไคลอฟ ผู้บัญชาการกองเรือภาคพื้นแปซิฟิกของกองทัพรัสเซีย

 

INTER.TNEWS.CO.TH

 

====

 

ยิ่งทำ-ยิ่งเห็น-ยิ่งรัก!!! ทหารช่วยหาหญ้า หอบใส่รถขนให้ควายของชาวพัทลุงกิน ชาวบ้านเดือดร

ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th

 

DEEPS.TNEWS.CO.TH

 

 

 

ผู้ชายกลางสายฝน!!! คสช.โพสต์ภาพ "พล.อ.ประยุทธ์" ลุยฝน ลงพื้นที่น้ำท่วมภาคใต้ เผยความตั้งใจ ใ

ติดตามข่าวเพิ่มเติม http://deeps.tnews.co.th/

 

DEEPS.TNEWS.CO.TH

 

 

15826841_1357894364250356_3773746057831695142_n.jpg?oh=f94bf7795afc8c100d5ca0c37618a93d&oe=5918B617

 

15826183_1357894390917020_7903332835165139916_n.jpg?oh=a4f12536e4e4a77a659fb4736810d97c&oe=59153916

 

CH7NEWS ADDED 10 NEW PHOTOS.

14 HRS

 

ชื่นชม ช่วยแชร์ ! คนไทยไม่ทิ้งกัน ภารกิจนี้เพื่อบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้

ขอบคุณภาพ : ป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย

#CH7NEWS

 

THAPANEE IETSRICHAI ADDED A PHOTO AND 2 VIDEOS.

7 HRS ·

-pz5JhcNQ9P.pngคลิป

 

วินาทีช่วยชีวิตสุนัขหนีน้ำที่บ้านไทรหัวม้า

ขอบคุณพี่ๆตชด.42 และป้าไพร ที่ช่วยสุนัขตัวนี้ น่ารักมากมายเลยค่ะ มันอยู่ในน้ำจนตัวสั่น ตัวแข็ง น่าสงสารมาก มันปลอดภัยและได้กลับคืนเจ้าของที่ ต.เคร็ง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช

 

 

 

โคตรเจ๋ง!! นศ.อาชีวะอุบลฯ หลั่งน้ำตา ร่ำไห้ หลังสู้เพื่อชาติ คว้าแชมป์แกะสลักน้ำแข็งจากห

ติดตามข่าวสาร จากทั้ง 77 จังหวัด ได้ที่ www.77jowo.com

 

77JOWO.COM

 

15826245_10155184002392439_3808474447486869311_n.jpg?oh=c165a8a0174912f8f0fdb380020312b2&oe=5915EED4

1 ก.ค.นี้ เป็นต้นไป เปลี่ยนรถตู้โดยสารสาธารณะหมวด 2 และหมวด 3 เป็นรถไมโครบัส 20 ที่นั่ง บขส.ลั่นเสร็จภายในสิ้นปีนี้

 

อ่านต่อ >> http://www.thairath..../content/829970

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

15895037_1320716927986711_8331368442997007290_n.png?oh=3aa7fd92c1422c7b743e3b64e3641551&oe=591C881F

ทรงพระเจริญ

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

15826693_1630771587225346_7406865808312260539_n.jpg?oh=f57764354aea7df95caedf5326470fbd&oe=59189057

 

15941478_1630771613892010_7111951286705118301_n.jpg?oh=8f87f9e4ec5d1183c71c5e647eb51fab&oe=58D663DC

อัลบั้มเก็บตกในหนามหลวง

________

#นำ้ตาฟ้า...

เอ่อไหลล้น

ท้นหนามหลวง....

ตั้งแต่เช้าวันนี้ มีฝนตกตลอดเวลาที่

บริเวณท้องสนามหลวง แต่ประชาชนก็ยัง

กรำฝนเข้ากราบสักการะพระบรมศพตาม

ปกติ....

 

 

15894569_1854288878185396_3493018017583697997_n.jpg?oh=58be66bc1afac2a5111361c197ee3b18&oe=591215EE

NationTV22 ‏

พระตำหนักทักษิณฯ บรรจุถุงยังชีพพระราชทาน ร.10 ช่วยน้ำท่วม

 

15822948_1174721539314839_1047313615768785748_n.jpg?oh=ab1b3bad6effb81dc0686f70e92de80b&oe=58E2F339

บริจาคช่วยพี่น้องชาวใต้ที่ประสบภัยน้ำท่วม

 

15873282_1176305405823119_2266510296734147302_n.jpg?oh=e07a15023afcbaff8cf105ac4ca994cd&oe=58DDDCB0

มีจำหน่ายที่ "ร้านภูฟ้า" ทุกสาขา

 

15894492_1176305102489816_8329735119279443283_n.jpg?oh=05035a1b1f64fc3350dbc14cbacb4299&oe=58E276ED

 

15894492_1176305102489816_8329735119279443283_n.jpg?oh=05035a1b1f64fc3350dbc14cbacb4299&oe=58E276ED

 

15940338_1456588491020163_6446156195320309209_n.jpg?oh=c13c3d94c5b176374eedc6c16373fe8d&oe=58DF9A03

15873032_1236432223077356_5674656552763833210_n.jpg?oh=fb97947c8f833dd6fa6dc9e046c4f3f6&oe=5921E809

หลวงปู่พุทธอิสระ

ที่สุดมหากาพย์ ..บาปกรรมระบอบทักษิณ!! ปปง.สั่งอายัดทรัพย์ "สุชาย - วิโรจน์ "อดีตผู้บริหารกรุ

ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th

DEEPS.TNEWS.CO.TH

15894324_375206176167803_9211188062830662267_n.jpg?oh=f302975428e83e7108fe1ce5097dd968&oe=58D9BF21

มีคนส่งมาใครหว่า ? ไปไกลจัง ถึงฝรั่งเศส

"เห็นพระสาวกธรรมกายไปกินอาหารบุฟเฟ่ ยี่ปุ่น ที่ร้านRestaurant Sushi a Torcy banlieue de PARIS มีพระสงฆ์ 2 โยม 6 คนในนั้นมีศิษย์เอก พระธรรมชโยอยู่ด้วย พวกเขาสั่งบุฟเฟ่ปลาดิบมากินกัน ไม่น่าเชื่อว่าพระนิกายนี้จะฉันปลาดิบก็ได้"

cr เทอศักดิ์ กิจวัฒนา

 

แค่น้ำจิ้ม...หัวก็แทบจะถิ่มละ!?!"พระพุทธะอิสระ"ลากไส้เน่า"ธัมมชโย"โชว์หลักฐานพฤติกรรมรักสว

แค่น้ำจิ้ม...หัวก็แทบจะถิ่มละ!?!พระพุทธะอิสระลากไส้เน่าธัมมชโยโชว์หลักฐานพฤติกรรมรักสวยรักงามปานเจ้าหญิง จนลูกศิษย์ต้องสึกหนีกลางพรรษา!(รายละเอียด)

HEADSHOT.TNEWS.CO.TH

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รบกวนช่วยแชร์ต่อ ให้เพื่อนๆได้ดูด้วย

 

"1 view = 1 Baht"

 

 

เป็นหนังสั้น สร้างขึ้นโดยมูลนิธิเวชดุสิต ผู้กำกับได้หานักแสดงเด็กพิการตาบอด แขนด้วน 1 ข้าง และเป็นใบ้ ตากล้องและผู้ช่วยในการถ่ายทำ ล้วนเป็นเด็กพิการทั้งทีม เพื่อหาทุนช่วยเหลือการศึกษาเด็ก มูลนิธิจะได้เงิน 1 บาท ต่อ 1 วิว และมีเป้าหมายที่ 2 ล้านบาท ช่วยกันส่งต่อนะคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พรบ.คณะสงฆ์ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว

การที่มีข่าวสมเด็จวัดปากน้ำ ลงสัตยาบัน กับมหาเถรสมาคม

เรื่องการปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช

จะมีผลอย่างไรไหมคะ อ่านเจอข่าวในเฟซ เมื่อสองสามวันก่อนค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

12342317_977546555626949_6970457407377157823_n.jpg?oh=e1138d40e93910aa33080a5414403e96&oe=58DB9E7C

พุทธธรรม 9

 

ขันธ์ ๕...

เป็นกุณแจสำคัญของตถาคต ที่จะออกจาก....ทุกข์

น่าเสียดายที่คนส่วนมากไม่เข้าใจกลับ....อธิบาย

เ็นรูปนามของมนุษย์จึงไขหลักธรรม....ไม่ได้

รูป....ร่างกายของเราที่ตั้งอายตะนะทั้ง๕และใจ

เวทนา(ผัสสะ).....สิ่งรับการกระทบทั้ง๕ทาง

สัณญา(ความจำ)เพื่อตรวจสิ่งกระทบว่าเป็นอะไร

สังขาร จิตปรุงแต่ง(คิด) ชอบ-ชัง-เฉยๆ

วิณณาณ.... เกิดอารมณ์ (ล้วนเป็นทุกข์)

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
พรบ.คณะสงฆ์ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว การที่มีข่าวสมเด็จวัดปากน้ำ ลงสัตยาบัน กับมหาเถรสมาคม เรื่องการปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช จะมีผลอย่างไรไหมคะ อ่านเจอข่าวในเฟซ เมื่อสองสามวันก่อนค่ะ

15895421_141933922971470_4735114266338250483_n.jpg?oh=9a8d3a20b420976513c7f70f06770472&oe=58D5ED31

ลงประปรมาภิไธย เรียบร้อยแล้ว

สำหรับ พรบ.คณะสงฆ์ ปี 2560

 

สวัสดีค่ะ พี่ปุณณ์ ไม่ได้เห็นข่าวนั้น แต่คิดว่านี่คือการดิ้น ไม่มีหริโอตะปะ ไม่มีความละอายต่อบาป

หากก้าวล่วงสถานบันหรือยื้อไม่ทำตามกฏหมายทั้งสมเด็จวัดปากน้ำและมหาเถรสมาคมก็จะถูกจัดการตามกฏหมายต่อไป

ขอบคุณพี่ปูณณ์และที่น้องทุกท่านที่สนใจ

ปกป้อง ชาติ ศาสนา สถานบัน ตามพระปณิธานพ่อหลวง ร.๙

 

ธรรมกาย เป็นภัยต่อความมั่นคง

ไม่ใช่แค่ผิดธรรมวินัย บิดเบือนทำลายธรรมวินัย เป็นสมีที่หลอกลวงประชาชน ทำผิดกฏหมาย

ใช้เงินบริจาคของคนที่หลงเชื่อ ซื้อดำแหน่งซื้อพระ ข้าราชการให้เป็นพวก เอาไปเล่นหุ้น ซื้อที่

ทำธุระกิจ สร้างฐานอำนาจ ไม่ยอมรับกฏหมายบ้านเมือง สร้างเครือข่ายทำอาณาจักร์รัฐ

ร่วมมือนักการเมือง นักธุรกิจที่ให้ร้ายต่อชาติ

 

ทักษิณ มหาเถระ สำนักพุทธ รวมหัวกันให้พ้นผิดทั้งทางธรรมวินัยและกฏหมายตลอดมา

 

 

 

15698086_1831646047120083_3454713975599460289_n.jpg?oh=201b8ff61b9f8f55add9e4cb7e7ad670&oe=58D61855

นายกฯลุงตู่ ยืนยัน ! กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ธัมมชโยต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ถูกหรือผิดให้กระบวนการยุติธรรมตัดสิน

 

*****************

Admin :: แค่คนบนเรือ

 

 

รายการ ต่างคนต่างคิด ประเด็น "ผ่าวิชชาธรรมกาย ใครทำ-มา-กลาย?" ออกอากาศ วันศุกร์ที่ 27 ก.พ.58 เวลา 22.15น. - 23.00น. ดำเนินรายการโดย

 

====

13528776_584400525054090_1018137945889075158_n.jpg?oh=3605a6b3191f6cf31688969b5f276797&oe=591E4F01

 

 

 

แก้ พ.ร.บ.สงฆ์ส่อเดือด!!!"เจ้าคุณเบอร์ลิน"เตือน สนช.ก้าวล่วง ทิ้งประโยค"คนพาลแบบนี้ต้องเจอผม มันไม่พอมือผมหรอก"ระวังแผ่นดินจะพิโรธ"!!

เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมา เจ้าคุณเบอร์ลิน พระโสภณพุทธิวิเทศ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า...

เป็นการมิบังควรยิ่ง "การแต่งตั้งพระสังฆราช เป็นพระราชอำนาจอยู่แล้ว ไฉน สนช. คิดแก้ พรบ. สงฆ์ : หรือนี่ ยีนยันข่าวลือ มีคนคิดการณ์ใหญ่จะเป็นจริง.

----------------------------

ขอเตือนว่า อย่าริคิดการณ์ใหญ่

สนช. ระวังจะเป็นการไปก้าวล่วงพระราชอำนาจเสียเอง

ขอเรียกร้องยุติโดยทันที.

-----------------

- โบราณว่า "โง่แล้วขยัน ขยันแต่บรมโง่" มันเป็นเช่นนี้นี่เอง.

- หากคิดแก้ พรบ. สงฆ์ ม. ๗ ดังข่าวที่โฆสกวิปแถลงนั้น.

- ผมก็ต้องถามตรง ๆ ว่า พวกคุณเอาอะไรมาคิด มีเจตนาอะไรซ่อนอยู่ มาแก้ทำไม แก้ไปเพื่อใคร สังฆเภทรออยู่ มันคุ้มหรือ.

จงตอบสังคมมาก่อนเป็นปฐมนะครับ.

..

.........................

15823296_142137259617803_3377345565190460199_n.jpg?oh=06e0fbfc4480c800790fa4461af92051&oe=58DE566F

 

15894438_142137289617800_5748204871564467609_n.jpg?oh=663f125b091a303db4c13d15760a5409&oe=58DB3F5D

 

 

ผนังโบสถ์วัดปากน้ำ (ลบไปแล้ว) ยกตนเทียบ พระพุทธเจ้า

14142057_1084929654928549_3185803493196194546_n.jpg?oh=e6d4fc76c61be4e8f72dff6d7fb2db0c&oe=58DA7580

13690710_595296037297872_5654714521076296492_n.jpg?oh=e5052adb0785496e49bf5c0014b3f990&oe=591F20E3

o2kqr779gJhvK4Nye9G-o.jpg

 

พนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักพุทธ คนล่าสุด ลั่น ไ

 

ภาพโผล่ ผอ.สำนักพุทธ ที่แท้สาวกธรรมกา

===

 

 

 

อ่านต่อ http://headshot.tnews.co.th/contents/af/218647/

 

 

 

 

15698205_1329582440417121_4762318253821278474_n.jpg?oh=dda0ef596602c52f54b12d84f14d5ce0&oe=58DB98D3

 

15825991_1639389909697564_4378044308347244422_n.jpg?oh=57db60e95e8132091606b62c1707cc36&oe=58E02C19

13494949_584076088419867_3087241986565578126_n.jpg?oh=1c0e93cd465530d7fb15096998247fe7&oe=591CEF42

13445228_582345268592949_4994386621055070895_n.jpg?oh=185776a8ecbb51fd2e104ce52f7ee6ca&oe=591B9A07

13406815_1627572287571486_3173756397475675584_n.jpg?oh=4f25ba8815c551a17314fa79e6a1cecf&oe=59213A28

13445664_153411128409104_7799093331120587802_n.jpg?oh=9c5df706a0f6f6bce5217728761dd663&oe=5919369D

 

13465987_580404245453718_876184321687072462_n.jpg?oh=adc78f0cdd26a1f139df621e0441e853&oe=58DBF157

 

13450828_580774405416702_8837876803584214884_n.jpg?oh=9e695eca6055526452d0b38ee8476a66&oe=58E087EF

 

====

 

3 กระบี่มือปราบ “ธัมมชโย-ธรรมกาย” แยกกันเดินร่วมกันตีพ้นวงการศาสนา!

คดีพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายมีเรื่องราวตีแผ่ออกมาให้สังคมได้รับรู้อย่างต่อเนื่อง…

 

 

 

 

MANAGER.CO.TH|BY MGRONLINE LIVE

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...