ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ส้มโอมือ

ตลก ขำขำ คลายเครียด หักมุม

โพสต์แนะนำ

รวบรวมไว้ช่วงนึงแล้ว เยอะพอที่เปิดกระทู้ใหม่ หลายเรื่องเป็นข้อมูลของคุณprominที่ผมเคยอ่าน

 

ชายผู้ซื่อสัตย์

 

 

บ่ายวันหนึ่งระหว่างคนตัดไม้กำลังตัดไม้อยู่ริมน้ำนั้น

ขวานคู่มือก็หลุดมือจมลงน้ำไป

คนตัดไม้ก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ริมน้ำ

 

ทันใดนั้นเองเทวดาก็ลอยขึ้นมาจากผิวน้ำแล้วถามว่า

"มีปัญหาอะไรรึ"

"ขวานผมตกลงไปในน้ำแล้ว และตรงนี้น้ำลึกมาก

ต่อไปผมจะเอาอะไรไปตัดไม้หาเลี้ยงลูกเมียได้หละท่าน"

 

 

เทวดาได้ยินดังนั้นก็ดำน้ำลงไปสักพักแล้วขึ้นมาพร้อมกับขวานทองคำ

"เอ้าขวานนี้ใช่ขวานของเจ้าใช่รึไม่?" เทวดาถามคนตัดไม้

"ไม่ใช่ครับ"

เทวดาก็ดำน้ำลงไปอีกครั้งกลับขึ้นมากับขวานเงิน

"เอ้า แล้วขวานนี้หละใช่ของเจ้ารึไม่?"

"ไม่ใช่ครับ ขวานของผมทำจากเหล็กมีด้ามไม้เก่าๆ ไม่ใช่ขวานเงิน ขวานทอง"

 

เทวดาจึงดำลงน้ำไปอีกครั้งแล้วกลับขึ้นมาพร้อมกับขวานเหล็กคู่มือคนตัดไม้

"เอ้าขวานของเจ้า แต่เราเห็นเจ้าเป็นคนดีซื่อสัตย์ไม่โกหก

เราจะให้ขวานเงินกับขวานทองคำแก่เจ้าไปด้วย

เพื่อตอบแทนในการที่เจ้าเป็นคนดี"

 

คนตัดไม้จึงรับขวานไว้แล้วกลับบ้านด้วยความสุข

 

หนึ่งเดือนต่อมา...

ระหว่างที่คนตัดไม้กำลังเดินเล่นอยู่ริมน้ำพร้อมกับภรรยาของเขาอยู่นั้น

ภรรยาก็ลื่นตกน้ำไป

คนตัดไม้ทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งร้องไห้ริมน้ำ

 

ทันใดนั้นเทวดาองค์เดิมก็ปรากฏกายออกมาอีกครั้ง

"เอ้าคราวนี้เจ้ามีปัญหาอะไรรึ"

"ภรรยาผมลื่นตกน้ำไปเมื่อกี้นี้ครับ"

 

ได้ยินดังนั้นเทวดาจึงดำน้ำลงไป

และขึ้นมาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เหมือนกันกับเจนิเฟอร์โลเปซตั้งแต่หัวจรดเท้า

"ผู้หญิงคนนี้ใช่ภรรยาเจ้ารึไม่?"

"ใช่แล้วครับ"

คนตัดไม้ตอบทันที

เทวดาจึงโกรธมาก

เพราะเห็นว่าคนตัดไม้โกหก

และไม่ซื่อสัตย์เหมือนก่อน

 

"ขออภัยด้วยครับท่านเทวดา มันเป็นการเข้าใจผิดครับ" คนตัดไม้รีบชี้แจงทันใด

"ถ้าเกิดผมตอบว่าไม่ใช่ ผมเดาว่าท่านก็คงจะลงไปในน้ำอีกครั้ง

แล้วกลับขึ้นมาพร้อมกับผู้หญิงที่เหมือนกับแคธรีน ซีต้าโจนส์

และเมื่อผมปฏิเสธอีกท่าก็คงจำดำลงไปอีกครั้งแล้วนำภรรยาผมตัวจริงขึ้นมา

 

สุดท้ายท่านก็คงจะให้ผู้หญิงอีก 2 คนผมด้วยเพื่อตอบแทนที่ผมไม่โกหก

แต่ว่า....ผมเป็นแค่คนตัดไม้จะมีปัญญาอะไร

 

ไปหาเงินเลี้ยงเมียพร้อมกัน 3 คนได้หละครับ ผมจึงจำเป็นต้องตอบว่าใช่ตั้งแต่แรก"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

 

เมื่อใดที่ผู้ชายโกหกแสดงว่าชายผู้นั้นจะต้องมีเหตุผลจำเป็นในการโกหก

และมีเจตนาดีอย่างแน่นอน

ตัวอย่างเช่นคนตัดไม้รายนี้...

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มีคุณยายคนหนึ่งหอบหิ้วถุงที่ใส่เงิน 3 ล้านบาทมาเพื่อเปิดบัญชีที่ธนาคารแห่งหนึ่ง เมื่อเข้าไปถึงจึงคุยกับพนักงานสาวว่าต้องการนำเงินมาฝากที่ธนาคาร เมื่อพนักงานสาวเห็นจำนวนเงินแล้วก็ไม่กล้าตัดสินใจเอง จึงพาคุณยายไปพบกับผู้จัดการธนาคาร

ผู้จัดการ ; สวัสดีครับคุณยาย วันนี้มาทำอะไรหรือครับ

ยาย ; อ๋อนำเงินมาฝากธนาคารน่ะหลานเอ้ย

คุณยายก็เปิดเงินที่อยู่ในถุงให้ผู้จัดการธนาคารดู ครั้นผู้จัดการธนาคารเห็นเงินแล้วก็ถึงกับตกใจ จึงถามคุณยายกลับไปว่า...

ผู้จัดการ ; คุณยายไปเอาเงินมาจากไหนตั้งมากมายขนาดนี้ครับ

คุณยาย ; ยายชนะพนันมาน่ะหลานเอ้ย

ผู้จัดการ ; ยายไปพนันอะไรมาหล่ะจึงได้เงินมาเยอะขนาดนี้

คุณยาย ; หัวเราะ พ่อหนุ่มอยากจะรู้จริงๆเหรอ

ผู้จัดการ ; ครับยาย

คุณยาย ; งั้นเรามาลองพนันกันสักแสน ยายว่าพรุ่งนี้เก้าโมงเช้าเจ้าลูกตุ้มของหลานจะกลายเป็นสี่เหลี่ยม

ผู้จัดการ ; จะเอาจริงๆหรือยาย

ยาย ; เอาจริงซิ ยายมีเงินน่ะเห็นมั้ยหล่ะ (พลางเปิดเงินให้ผู้จัดการดู)

ผู้จัดการ ; ตอบตกลง (พลางนึกยิ้มในใจว่ามันจะเป็นไปได้ยังงัยกัน)

เมื่อตกลงได้ดังนั้นยายจึงกลับบ้านไปเพื่อที่จะมาพบกันใหม่ในเช้าของวันรุ่ง ขึ้นตามที่ได้สัญญากันไว้ ส่วนผู้จัดการในวันนั้นไม่เป็นอันทำงานเพราะมัวแต่คอยจับน้องชายของตัวเอง ทั้งวัน เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อผู้จัดการตื่นขึ้นมาก็รีบเปิดดูลูกอัณฑะของตัวเองทันที ว่ากลายเป็นสี่เหลี่ยมหรือเปล่า ปรากฎว่าลูกอัณฑะของตัวเองก็ยังกลมอยู่เหมือนเดิม เมื่อเห็นดังนั้นผู้จัดการหนุ่มจึงคิดในใจแล้วว่าวันนี้เราต้องรวยแน่ๆ เมื่อถึงเวลาเก้าโมงเช้าคุณยายก็มาที่ธนาคารพร้อมกับทนายของตัวเองตามที่ได้ สัญญากันไว้และเมื่อไปถึงที่ห้องของผู้จัดการ

ผู้จัดการ ; สวัสดีครับยาย อ้าวแล้วนั่นพาใครมาด้วยหล่ะ

ยาย ; อ๋อ ทนายของยายเองหล่ะ

ว่าแล้วผู้จัดการหนุ่มจึงรีบลุกขึ้นเถอดกางเกงของตัวเองแล้วเรียกให้ยายเข้ามาจับลูกตุ้มของตัวเองว่ายังกลมอยู่เหมือนเดิม

ผู้จัดการ ; ยายแพ้พนันผมแล้วหล่ะ เห็นมั้ยว่าน้องชายของผมยังกลมอยู่เลย

ยาย ; (เอามือไปจับพลางพูดว่า) อืมยายแพ้จริงๆด้วย

ในขณะนั้นเองผู้จัดการหนุ่มเหลือบไปเห็นทนายของยายกำลังเอาหัวโขกกับผนังห้องอยู่ จึงถามยายว่า

ผู้จัดการ ; ยาย !ทนายของยายเป็นอะไรเหรอครับ

ยาย ; อ๋อ ! ยายบอกกับเขาว่าไม่เกินเที่ยงวันของวันนี้ยายจะได้จับน้องชายของผู้จัดการ ธนาคารในห้องทำงานของผู้จัดการเองเลย ทนายเขาไม่เชื่อจึงพนันกับยายไว้สองแสนแล้วเขาก็กำลังแพ้พนันยายน่ะหลานเอ้ย

ผู้จัดการ ; !!!!!!!!!!!!!!!

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ชายคนหนึ่งรู้สึกเหนื่อยหน่ายต่อการที่ต้องไปทำงานทุกวัน

ในขณะที่ภรรยาของเขาได้อยู่บ้าน

เขาต้องการให้ภรรยารับรู้สิ่งที่เขาเจอะเจอจึงได้อธิษฐานว่า

โอ้ พระผู้เป็นเจ้า ผมไปทำงานทุกวันๆ ละ 8 ชม

ในขณะที่ภรรยาผมได้อยู่บ้านอย่างสุขสบาย

ผมต้องการให้หล่อนได้รับรู้ว่าผมต้องเผชิญกับอะไรบ้าง

ขอพระองค์ได้โปรดอนุญาติให้ร่างกายของหล่อน

สลับร่างกับของผมสักวันหนึ่งเถิด เอเมน

 

พระองค์ผู้มีพระปัญญาเป็นเลิศ

ได้อนุมัติตามที่ชายคนนั้นมีความประสงค์

อย่างแน่นอนที่สุด เช้าวันต่อมา

ชายคนนั้นตื่นขึ้นมาในสภาพผู้หญิง

เขาลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าให้คู่ชีวิตของเขา

ปลุกลูกๆ ...........

จัดเตรียมชุดนักเรียน

ป้อนอาหารเช้า

ห่อข้าวกลางวัน

ขับรถไปส่งที่โรงเรียน

กลับมาบ้านและ ส่งเสื้อผ้าไปซักแห้ง

ไปร้านขายของชำ

ขับรถเอาของชำที่ซื้อมาไปเก็บที่บ้าน

เขาล้างกล่องใส่อาหารแมว และอาบน้ำสุนัข

กระทั่งเสร็จก็บ่ายโมงแล้ว

และเขาต้องรีบจัดเตียง ซักผ้า ดูดฝุ่น กวาดและถูกพื้นห้องครัว

รีบบึ่งไปโรงเรียนรับลูก

และโต้เถียงกับพวกเขาระหว่างทางกลับบ้าน

เตรียมนมและคุ้กกี้ และจัดการให้เด็กๆ ทำการบ้าน

ตั้งโต๊ะรีดผ้าและดูทีวีขณะที่เขากำลังรีดผ้า

16.30 น เขาเริ่มปอกมันฝรั่งและล้างผักทำสลัด

เตรียมเนื้อ:)และถั่วสำหรับอาหารค่ำ

 

หลังอาหารค่ำ เขาล้างครัว เปิดเครื่องล้างจาน

พับเสื้อผ้า อาบน้ำลูกๆ และส่งพวกเขาเข้านอน

เขารู้สึกอ่อนเพลียและแม้กระนั้น

งานบ้านประจำวันก็ยังไม่เสร็จ เขาจึงเข้านอน..

 

(ขอข้ามเหตุการณ์ตอนนี้ไปนะครับ เพราะไม่เหมาะสำหรับเพื่อนๆชาวsense)

 

เช้าวันรุ่งขึ้น เขาตื่นขึ้นและคุกเข่าข้างเตียงในทันที

และกล่าวว่า โอ้พระเจ้า ผมไม่รู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

ผมเข้าใจผิดมากมาย ที่อิจฉาภรรยาของผม

ที่หล่อนสามารถอยู่บ้านได้ทั้งวัน

ได้โปรดเถิด ได้โปรดให้เราได้กลับสู่สภาพเดิมด้วยเถิด เอเมน

 

พระองค์ผู้มีพระปัญญาล้ำเลิศกล่าวตอบว่า

ลูกของเรา เรารู้สึกว่าเจ้าได้เรียนรู้บทเรียนของเจ้า

และเราก็ยินดีที่จะเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ให้กลับสู่สภาพเดิม

 

แต่เจ้าจะต้องรออีก 9 เดือน เพราะ

เจ้าตั้งครรภ์เมื่อคืนนี้

 

5555

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กาลครั้งหนึ่งมีค้างคาว 3 ตัว อาศัยอยู่บนต้นไม้ต้นเดียวกัน

 

มีค้างคาวเด็ก ค้างคาวหนุ่ม และค้างคาวเฒ่า

 

ปกติมันทั้ง 3 จะผลัดเวรกันออกไปหาเลือดสดๆ

 

มาแบ่งปันกันและวันนี้เป็นเวรของเจ้าค้างคาวน้อย

 

ค้างคาวน้อยออกไปนาน....นานมาก ก็ยังไปกลับ

 

แต่ที่สุดแล้วมันก็กลับมา...

 

' ข้าขอโทษนะที่หาอาหารมาให้ไม่ได้

 

ข้าคิดว่าช่วงนี้เป็นหน้าแล้ง :)ต่างๆพากันอพยพไปหมด'

 

ค้างคาวน้อยบอกเสียงเจื้อยแจ้ว

 

' ไม่ใช่หรอก เจ้าหนะ ยังด้อยประสบการณ์นัก เดี๋ยวข้าออกไปเอง...'

 

เจ้าค้างคาวหนุ่มกล่าว. ว่าแล้วมันก็ออกไป

 

และออกไปนาน..นานกว่าเจ้าค้างคาวน้อยอีก...

 

และก็กลับมามือเปล่า ...........

 

 

' สงสัยท่านผู้เฒ่าต้องช่วยพวกเราแล้วหละครับ'

 

 

เจ้าหนุ่มกล่าว ว่าแล้วค้างคาวผู้เฒ่าก็ออกไป...

 

.... ไม่น่าเชื่อ....เพียงไม่นาน ท่านผู้เฒ่าก็กลับมา พร้อมกับเลือดสดๆ เต็มปาก....

 

 

' ท่านทำได้ไงเนี่ย ท่านผู้เฒ่า...' ค้างคาวทั้งสองร้องด้วยความดีใจระคนประหลาดใจ ...

ท่านผู้เฒ่ากล่าวอย่างเคร่งขรึม..... ..

 

' พวก :)เห็นต้นไม้ด้านหน้านั้นมั้ย'.......

 

 

...' เห็นครับท่าน'....

 

 

 

' นั่นแหละ....................กูไม่เห็น

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

: ซึ้งมากมาก แทบน้ำตาเล็ด

 

มีคุณยายแก่ชราคนหนึ่ง มีอาชีพขายขนมไทย

แต่ขายได้ไม่ดีนัก เพราะขนมไทย ไม่เป็นที่นิยมมากเท่าใด

ทุกเช้า จะมีชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง มาซื้อขนมกับแก

โดยชายหนุ่มจะยื่นเงินให้ยายคนนั้น 20 บาท และหยิบขนมห่อเล็กๆไป๑ห่อ

แล้วเดินหันหลังกลับไปโดยไม่สนใจเงินทอนแม้แต่น้อย

ปล่อยให้หญิงชราจ้องมองตามจนสุดสายตาทุกครั้งไป

ชายหนุ่มคนนั้นทำเช่นนี้มาตลอทุกวันไม่มีขาด

อยู่มาวันหนึ่ง ชายหนุ่มก็ทำเช่นเดิม ยื่นเงินให้ยาย 20 บาท แล้วจะเดินจากไป

แต่คราวนี้ ยายจับแขนชายหนุ่มไว้ แล้วเอ่ยปากว่า "พ่อหนุ่ม"

ชายหนุ่มรีบตอบกลับว่า "ยายครับ ยายไม่ต้องสงสัยหรือเอ่ยถามหรอกครับ

ผมทำแบบนี้ทุกวัน เพราะผมอยากช่วยยายครับ" ชายหนุ่มตอบพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน"

 

 

 

 

 

ยายตอบกลับ ว่า

 

 

 

 

 

 

" เปล่า.. ยายจะบอกว่า ขนมยายราคา 25 บาท."

 

เฮ้ออออออออออออออออออออ....

 

สรุป อย่าคิดและตัดสินใจแทนผู้อื่น 55555555555555555555555555555

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เทคนิคการวิ่งลดน้ำหนัก

 

 

 

> ชายคนหนึ่งโทรศัพท์ไปยังบริษัทแห่งหนึ่ง พร้อมสั่งซื้อคอร์สลดน้ำหนัก 10 ปอนด์

> ภายใน 5 วัน

 

> วันรุ่งขึ้น มีเสียงเคาะประตู เมื่อเขาไปเปิดก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบสาวเอ๊าะๆ วัย 19 ปี

> หุ่นแบบนักกีฬา ไม่นุ่งอะไรเลย

> นอกจากใส่รองเท้าวิ่งของไนกี้ 1 คู่ และมีป้ายแขวนไว้ที่คอ

>

> สาวน้อยแนะนำตัวว่าเป็นตัวแทนจากบริษัทลดน้ำหนัก

> ส่วนป้ายนั้นมีข้อความว่า "ถ้าพี่จับหนูได้ หนูก็เป็นของพี่นะคะ"

> เขาออกวิ่งตามสาวน้อยแบบไม่หยุดคิดแม้สักนาทีเดียว แต่หลังจากเขาวิ่งไปได้ไม่กี่กิโลเมตร

> ก็หอบแฮกๆและยอมแพ้

>

> อีก 4 วันต่อมา สาวน้อยคนเดิมก็มาเคาะประตูแล้วท้าทายเขาอีก

>

> ล่วงเข้าวันที่ 5 เขาขึ้นชั่งน้ำหนักและดีใจสุดแสนเมื่อพบว่าน้ ำหนักลดไป 10 ปอนด์

> ตามที่บริษัทอวดอ้างสรรพคุณไว้จริงๆ

> เขาจึงยกหูโทรศัพท์สั่งคอร์สลดน้ำหนัก 20 ปอนด์ ภายใน 5 วัน

>

> วันรุ่งขึ้นเมื่อมีเสียงเคาะประตู เขาก็ไปเปิดให้ และต้องตะลึงพรึงเพริด

> เมื่อพบสาวสวยที่สุดเท่าที่เคยพบ หล่อนไม่สวมอะไรเลย

> นอกจากรองเท้าวิ่งรีบ็อก และมีป้ายห้อยที่คอว่า "ถ้าพี่จับหนูได้ หนูก็เป็นของพี่"

>

> แน่นอนว่าพอเธออกวิ่ง เขาก็กระโจนพรวดตามไปทันที

>

> สาวสวยคนนี้เชพดีอย่าบอกใคร ดังนั้นเขาจึงวิ่งไล่กวดสุดชีวิต แต่ไม่ทันเธอเลย

> สถานการณ์เหมือนอย่างนี้อยู่ 4 วัน ขณะที่เขามีรูปร่างดีขึ้นเรื่อยๆ จนนึกกระหยิ่มใจ < BR>> เมื่อชั่งน้ำหนักในวันที่ 5 และพบว่า

> น้ำหนักตัวหายไป 20 ปอนด์ อย่างที่บริษัทสัญญาไว้จริงๆ

>

> คราวนี้เขาตัดสินใจว่าเป็นไงเป็นกัน แล้วยกหูโทรศัพท์หมุนไปหาบริษัท

> เพื่อสั่งคอร์สลดน้ำหนัก 50 ปอนด์ ภายใน 7 วัน

> พนักงานถามย้ำว่า "แน่ใจหรือคะ นี่เป็นคอร์สเข้มข้นของเราเลยนะคะ"

&g t;

> "แน่นอนผมไม่ได้รู้สึกดีๆอย่างนี้มาหลายปีแล้ว" เขาตอบ

>

> วันรุ่งขึ้นเมื่อมีเสียงคนมาเคาะประตู และเมื่อเขาเปิดประตูก็พบชายกล้ามโต

> ไม่สวมอาภรณ์สิ่งใด นอกจากรองเท้าวิ่งสีชมพู

> และ! มีป้ายห้อยที่คอว่า "ถ้าอะฮั้นจับพี่ได้ พี่เสร็จอะฮั้น !!!"

>

> อาทิตย์นั้นน้ำหนักของเขาลดไป 63 ปอนด์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Ø มีเพียงฉันที่ไม่ได้กินฟรี

> ผู้แต่ง ภรรยาคุณเลี่ยว

> (ผู้แต่งใช้อักษรจีนเพียง ๘๐๐ ตัว

> สามารถบรรยายถึงสภาพสังคมจีนยุคใหม่ได้อย่างสุดยอดจริงจริง)

Ø

> วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์

 

> พวกเพื่อนๆสมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยม ได้นัดชุมนุมพบปะสังสรรค์กัน

 

> ที่ภัตราคาร เทียนอัน นับตั้งแต่สำเร็จการศึกษา

 

> พวกเพื่อนเก่าได้นัดพบปะกันสม่ำเสมอ มีแต่ฉันเท่านั้น

 

> ที่ขาดการติดต่อกับพวกเพื่อน ฉันทำงานวาดภาพผลิตภัณฑ์ในโรงงานแห่งหนึ่ง

 

> ฉันและสามีต่างก็ช่วย

 

> กันทำมาหากินเลี้ยงดูครอบครัว ด้วยรายได้ที่ไม่มากนัก

 

 

> ความจริงฉันตั้งใจจะไม่ไปร่วมงานเลี้ยง แต่ก็ไม่

 

> สามารถปฏิเสธเพื่อนๆได้ ก็เลยต้องรับปาก

 

> สามีของฉันยุ่งอยู่กับการทบทวนบทเรียนให้ลูกชาย

 

> ซึ่งลูกชายของเรากำลังเตรียมตัวเข้าเรียนชั้นมัธยม

 

> เพื่ออยากให้ลูกชายได้เรียนในโรงเรียนมัธยมที่ดีมีชื่อเสียง

 

> พักนี้สามีต้องวิ่งเต้นเข้าหาผู้บริหารโรงเรียน

 

> ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังไม่ทราบผลว่าสำเร็จหรือไม่

> ก่อนออกจากบ้านฉันเหลือบมองดูลูกชายแล้วจึงเดินออกไป

 

> ภัตตาคาร เทียนอัน เป็นภัตราคารหรูชั้นหนึ่ง

 

> เมื่อฉันเดินเข้าไปห้องที่จองไว้ พวกเพื่อนๆ

 

> มากันครบแล้ว ทักทายฉันเกรียวกราวยังไม่ทันได้นั่งต่างก็แย่งกันยื่นนามบัตรให้ฉัน

 

> พลิกดูนามบัตรแต่ละคนต่างก็มีตำแหน่งใหญ่โต เป็นผู้จัดการ ผู้บริหาร

 

> ต่างๆ แม้กระทั่งอาฮุยซึ่งเรียนไม่เอาใหนที่สุด

 

> สอบได้ที่โหล่ ก็ยังได้เป็นตำรวจ เป็นผู้กำกับสถานีตำรวจ

 

> มองดูอาหารที่พนักงานเอามาเสริฟ ฉันหูตาลายไปหมด

 

> นั่งนึกสงสารตัวเองที่ผ่านๆมาไม่เคยได้ลิ้มรสอาหารพวกนี้เลย

 

> คำนวณในใจค่าอาหารโต๊ะนี้มีมูลค่าเท่ากับรายได้ของฉันถึง ๓ เดือนทีเดียว

 

> อาฮุยตำรวจทำตัวเหมือนเจ้าภาพ

 

> งานเลี้ยงนี้ ชักชวนเพื่อนๆให้กินกันไม่หยุด และรินเหล้าแจกทุกคน

 

> คีบอาหารให้คนโน้นคนนี้

 

> ปากก็พูดไม่หยุดว่า "กิน พวกเรากิน มื้อนี้ผมจัดการเอง ไม่ต้องห่วง"

 

> พรรคพวกทุกคนไม่มีไครขัดศรัทธา

 

> ทั้งกินทั้งดื่มสนทนากันอย่างสนุกสนาน

 

> เมื่อสมควรแก่เวลา หลังจากที่กินกันอย่าง อิ่มหนำสำราญแล้ว

 

> ก็เป็นเวลาที่ต้องแยกย้ายกลับกัน

 

> ฉันสังเกตดูไม่มีใครแสดงความใจกว้างที่จะเป็นผู้เคลียย์จ่ายค่าอาหาร

 

> ในที่สุดอาฮุยควักโทรศัพท์ออกมา

 

> กดหมายเลขแล้วพูดว่า " เสี่ยวหลี่

 

> คืนนี้ออกไปจับกุมกวาดล้างได้อะไรไหม.. ..เออ ดี ดี

 

> ส่งมาพบผมที่ภัตตาคาร เทียนอัน สักคน ให้มาช่วยจ่ายค่าอาหารหน่อย"

 

> พูดจบเขาก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าด้วยความภาคภูมิใจ พวกเพื่อนก็เฮด้วยความสนุกสนาน

 

> ต่อมาไม่ถึง ๑๕ นาที ก็มีชายวัยกลางคนผลักประตูเข้ามา พอ

 

> เห็นยอดเงินในใบเสร็จก็หน้านิ่ว

 

> คิ้วขมวด ดูเหมือนว่าเงินสดเขามีไม่พอจ่าย

 

> เขาควักโทรศัพท์ออกมาพร้อมทั้งกดโทรพูดว่า

 

> "คุณเลี่ยวหรือครับ ผมครูใหญ่หม่านะครับ

 

> เรื่องลูกชายของคุณที่ฝากมาเข้าโรงเรียนมัธยมของผมนั้น

 

> เป็นอันว่าผมตกลงรับไว้แล้วนะครับ แต่พอดีวันนี้ผมเชิญเพื่อนๆมาเลี้ยงอาหาร อยากขอ

 

> ให้คุณมาช่วยจ่ายค่าอาหารได้ใหมครับ ผมอยู่ที่ภัตตาคารเทียนอัน ห้อง ๒๐๓ ...."

 

> หลังจากนั้นประมาณ ๒๐ นาที มีคนมาเคาะประตู

 

> พอประตูเปิดออกมา ทันทีที่เห็นสามีที่ใส่แว่น

 

> สายตาหนาเตอะของฉัน คือผู้เดินเข้ามา ฉันเป็นลมล้มฟุบลงทันที>

>

>

> ( เรื่องสั้นนี้ได้รับรางวัลวรรณกรรมดีเด่นมากมาย ประจำปี ๒๐๐๖ )

>

> จัดเทียบเท่ากับ นักเขียนปฏิวัติ หลู่ซิ่น ทีเดียว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เหมาะสำหรับคุณผู้ชายดูครับ สุภาพสตรีบางท่านอาจดูแล้วไม่ถูกใจ

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เรื่องน่าอ่าน: เศรษฐีเจ้าอารมณ์

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว

มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนเจ้าอารมณ์และมักจะปวดศีรษะอยู่เป็นประจำ

วันหนึ่งเขาได้ประกาศว่า

จะให้รางวัลอย่างงามแก่คนที่สามารถรักษาอาการปวดศีรษะของเขาได้

หลายคนรวมทั้งหมอที่เชี่ยวชาญต่างก็มา

และเสนอแนะวิธีรักษาโรคปวดศีรษะของเศรษฐีผู้นี้

แต่ไม่มีใครสามารถทำให้เขาดีขึ้นได้

 

 

อยู่มาวันหนึ่ง มีฤาษีคนหนึ่งมาเยี่ยมท่านเศรษฐี

เศรษฐีได้บอกเกี่ยวกับโรคประจำตัวของเขาให้ฤาษีทราบ

ฤาษีจึงบอกกับท่านเศรษฐีว่า

" โธ่เอ้ย วิธีรักษาอาการปวดหัวของเจ้ามันง่ายนิดเดียว

นั่นก็คือเจ้าจะต้องมองทุกอย่างให้เป็นสีเขียวตลอดเวลา

แล้วอาการโรคของเจ้าจะหายไป"

เศรษฐีดีใจมากและคิดว่าสิ่งที่ฤาษีแนะนำเขานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก

วันรุ่งขึ้นท่านเศรษฐีจึงจ้างช่างทาสีหลายร้อยคน

มาช่วยกันทาสีของหมู่บ้านให้เป็นสีเขียวทั้งหมด

นอกจากนี้ด้วยความที่รวยมาก ยังซื้อเสื้อผ้าให้กับคนในหมู่บ้านทุกคนใส่

ในตอนนี้ไม่ว่าท่านเศรษฐีมองไปทางใดก็จะเป็นสีเขียวตลอดเวลา

 

 

ตามคำแนะนำของฤาษี อาการปวดศีรษะของเขาก็เริ่มดีขึ้น ๆ

เขาเริ่มเป็นคนยิ้มง่ายและมีความสุขมากขึ้น

สองสามเดือนถัดมา ท่านฤาษีได้กลับมาเยี่ยมเศรษฐีอีกครั้งหนึ่ง

แต่ก็ต้องเผชิญกับช่างทาสีคนหนึ่งซึ่งร้องตะโกนว่า

" หยุด หยุด ท่านเข้ามาในหมู่บ้านนี้ในชุดนี้ไม่ได้ เดี๋ยวผมจะทาสีท่านให้เป็นสีเขียวก่อน"

ฤาษีก็รีบวิ่งและหนีเข้าไปในบ้านของเศรษฐีได้ในที่สุด

ฤาษีได้พบกับเศรษฐีในบ้านและตำหนิว่า

" ทำไมเจ้าถึงเสียเงินทองและเวลามากมายเพื่อเปลี่ยนสิ่งต่างๆรอบตัวเจ้าเล่า

เราไม่ได้บอกให้เจ้าไปเที่ยวทาสีทุกอย่างให้เป็นสีเขียวเลย

เจ้าเพียงแค่สวมแว่นตาสีเขียวเท่านั้น

เจ้าก็จะมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวเป็นสีเขียวแล้ว "

 

 

หากเราต้องการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบตัว

เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกคนหรือทุกอย่าง

เราเพียงแต่เปลี่ยนตัวของเราเองก่อน

แล้วเราจะพบว่าทุกสิ่งรอบตัวของเราก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เมื่อองค์การนาซ่าได้เริ่มปล่อยจรวดเพื่อการ สำรวจอวกาศ พวกเขาพบว่า ปากกาไม่สามารถเขียนได้ที่แรงโน้มถ่วงของโลกเท่ากับ 0 (น้ำหมึกไม่สามารถไหลออกมาที่กระดาษที่ต้องการเขียนได้) การแก้ปัญหานี้ ได้ใช้เวลาราว 10 ปีและได้ใช้เงินมูลค่า 12 ล้านดอลล่าห์ (480 ล้านบาท) พวกเขาได้สร้างปากกาที่สามารถใช้งานได้ที่แรงโน้มถ่วงเป็นศูนย์ เขียนแบบคว่ำ หรือเขียนที่ใต้น้ำได้ สามารถเขียนได้ ไม่ว่าสภาพผิวเป็นเช่นไร รวมทั้ง ผิว crystal และที่อุณหภูมิช่วงต่ำกว่าจุดเยือกแข็งจนถึงที่มากกว่า 300 องศาเซลเซียลได้ด้วยปัญหาแบบเดียวกัน ทางรัสเซีย ใช้ ดินสอ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หนึ่งในเรื่องที่นิยมใช้ในการสอนที่ประเทศ ญี่ปุ่นได้แก่ เรื่องของการเกิดปัญหาที่ว่าสบู่ที่ลูกค้าซื้อไม่มีสบู่มาด้วย คือได้แต่กล่องเปล่าๆมา เรื่องนี้มาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในการผลิตเครื่องสำอางของญี่ปุ่น ได้รับการร้องเรียนจากทางลูกค้าถึงปัญหาดังกล่าว ทางด้านวิศวกรที่รับผิดชอบ ได้แก้ปัญหาโดยการสร้างเครื่อง X-ray เพื่อการตรวจดูว่าภายในของกล่องสบู่มีสบู่หรือไม่ และเพื่อการนี้ก็ได้ให้คน 2 คนคอยเฝ้าที่จอ เพื่อดูให้แน่ใจได้ว่าไม่มีการหลุดของกล่องที่ไม่ได้บรรจุสบู่ไป แน่นอนว่าคน 2 คนที่ดูจอมอนิเตอร์คงไม่สนุกในการทำงานนี้เท่าไหร่

 

ด้วย ปัญหาเดียวกัน พนักงานหน้างานที่บริษัทเล็กแห่งหนึ่ง เขาไม่ได้แก้ปัญหาโดยการสร้างเครื่อง X-ray แต่สิ่งที่เขาทำได้แก่ การใช้พัดลมอุตสาหกรรม(Blower) เป่าที่รางสายพานขณะที่กล่องสบู่วิ่งผ่าน กล่อง ที่ไม่ได้บรรจุสบู่เมื่อถูกลมก็จะปลิวออกนอกสายพานลำเลียงเอง

 

ในชีวิตจริงมีคนมากมายทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก เรื่องง่ายๆ ที่บางทีคนเราก็นึกไม่ถึง ปัญหาหลายอย่างไม่ได้มีทางออกแค่ทางเดียว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานสอนใจ : ชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริง

 

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 ธันวาคม 2554 09:45 น. Share47

 

 

 

 

ขอบคุณภาพประกอบจาก gracerivers.com

 

 

ชายคนหนึ่งเคยมีชีวิตที่สะดวกสบาย เขาเคยมีบ้านหลังใหญ่โต มีรถขับหลายคัน มีบริวารมากมายรายล้อม ปรนเปรอชีวิตตนเองด้วยความหรูหราฟู่ฟ่าตลอดมา บัดนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ธุรกิจที่เคยสร้างกำไรอย่างงามของเขาล้มละลายหมดสิ้น ชายคนนี้กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว เขาไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว นอกจากลูกสาวตัวเล็ก ๆ สุดที่รักเพียงคนเดียว

 

เมื่อแรกที่ต้องสูญเสียสมบัตินอกกายไป ชายผู้นี้คิดจะฆ่าตัวตายเพื่อให้พ้นความอับอายและหลีกหนีความเป็นอยู่ใน ปัจจุบันที่เขาไม่คุ้นชิน แต่เมื่อเขาเงื้อมีดขึ้นเพื่อปลิดชีวิตตนเอง ใบหน้าน้อยๆ น่าเอ็นดูของลูกสาววัยห้าขวบก็ปรากฏขึ้นในจิตใจ แม่ของเด็กตายจากไปนานแล้ว ลูกสาวมีเพียงเขาเป็นที่พึ่งสุดท้าย หากเขาเป็นอะไรไปแล้วลูกจะอยู่กับใคร ด้วยความคิดที่ผุดขึ้นมานี้ ทำให้เขาทิ้งมีดในมือทันทีและไม่คิดฆ่าตัวตายอีก แต่ก็ใช้ชีวิตด้วยความหมองเศร้ายิ่งกว่าเดิม

 

วันหนึ่งลูกสาวของเขากลับมาจากโรงเรียน เธอวิ่งเข้ามาหาพ่อแล้วโอบกอดด้วยความรักใคร่ พ่อของเด็กกอดตอบและฝืนยิ้มให้ลูกสาวอย่างยากเย็น

 

"พ่อยิ้มแบบนี้ทุกวันเลย พ่อยิ้มแบบนี้ลูกไม่ชอบ สู้ไม่ยิ้มเลยยังจะดีเสียกว่า" เด็กหญิงบอกกับพ่อเธอพลางใช้มือน้อย ๆ บีบปากผู้เป็นพ่อเบา ๆ

 

"ทำไมล่ะลูก" พ่อถามอย่างสงสัย

 

"ก็พ่อยิ้มแบบนี้แล้วหน้าของพ่อเหมือนจะร้องไห้ ลูกเลยไม่ชอบ ลูกไม่อยากให้พ่อร้องไห้" เด็กหญิงตอบ

 

ผู้เป็นพ่อหัวเราะเยาะกับชะตากรรมของตนเอง ก่อนจะบอกลูกสาวว่า "ที่จริงแล้ว พ่อก็อยากร้องไห้เหมือนกันล่ะลูก"

 

"ทำไมพ่อต้องอยากร้องไห้ด้วย" เด็กหญิงขมวดคิ้ว

 

"แล้วลูกไม่อยากร้องไห้หรือ" พ่อของเด็กย้อนถาม

 

"ร้องไห้ทำไม ลูกไม่ได้เศร้าอะไรนี่ ลูกมีความสุขดีจ้ะพ่อ" เด็กหญิงตอบยิ้ม ๆ

 

"มีความสุขหรือ" ผู้เป็นพ่อเอ่ยอย่างแปลกใจ "จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อพ่อทำให้ชีวิตลูกลำบากถึงเพียงนี้ ลูกไม่มีห้องนอนสวย ๆ เหมือนก่อน ไม่มีที่วิ่งเล่นกว้าง ๆ ไม่มีคนขับรถไปรับไปส่งโรงเรียน ไม่มีเสื้อผ้าสวย ๆ ใส่ ไม่มีอาหารดี ๆ กิน แล้วอย่างนี้ลูกจะมีความสุขได้อย่างไรกัน"

 

"ลูกมีความสุขเพราะลูกมีพ่อ เมื่อก่อนตอนเราร่ำรวยนั้น พ่อไม่เคยอยู่ที่บ้านของเราเลย ตอนนี้เราไม่มีบ้านแล้ว แต่ลูกได้พ่อคืนมา ลูกถึงมีความสุขอย่างไรล่ะจ๊ะ" เด็กหญิงตอบอย่างชื่นบาน

ผู้เป็นพ่อนิ่งไปครู่หนึ่งกับคำตอบของลูกสาว ก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า "แต่พ่ออยากทำชีวิตของเราให้ดีกว่านี้ พ่ออยากให้ลูกมีอนาคต อย่างน้อยลูกก็ควรจะได้เรียนสูง ๆ"

 

"พ่อทำได้นี่ ไม่ยากหรอกจ้ะ สำหรับพ่อของลูก" เด็กหญิงว่าอย่างไร้เดียงสา

 

"พ่อ...ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร พ่อไม่เหลือทุนให้กับธุรกิจใหม่อีกแล้ว พ่อละอายใจเหลือเกิน" ผู้เป็นพ่อคร่ำครวญ

 

"มีคุณลุงคนหนึ่งอยู่ข้าง ๆ โรงเรียนของหนู เขาเป็นคนที่ทำงานเก่งมากแล้วใจดีด้วย เวลาใครไม่สบายใจแล้วไปหาเขา เขาก็จะช่วยให้คน ๆ นั้นสบายใจ พ่อลองไปหาเขาสิจ๊ะ" เด็กหญิงว่า

 

"คนทำงานเก่ง ๆ มักยุ่งอยู่ตลอดเวลา เขาคงไม่มีเวลาคุยกับพ่อหรอก เพราะต้องออกไปติดต่อธุระนอกบ้านบ่อย ๆ" ผู้เป็นพ่อกล่าว

 

"ไม่จ้ะ คุณลุงคนนี้อยู่แต่ในบ้าน และไม่มีวันออกไปไหน" เด็กหญิงบอกพ่อของเธอ ตอนนั้นเองมีเด็กข้างห้องเช่ามาเคาะประตูเรียกให้เด็กหญิงออกไปเล่นด้วยกัน เด็กหญิงจึงเอากระเป๋านักเรียนไปเก็บ ก่อนจะวิ่งออกไปเล่นข้างนอก ทิ้งพ่อของเธอให้ครุ่นคิดในเรื่องดังกล่าวด้วยความสนใจ

 

"ถ้าคนๆ นี้ทำให้เด็กห้าขวบสนใจในตัวเขาได้ และถึงกับแนะนำเราให้เราไปหา เขาก็น่าจะมีอะไรพิเศษในตัวเองอยู่เหมือนกัน งั้นเราจะลองไปดูก็ได้" ผู้เป็นพ่อคิดในใจ

 

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากส่งลูกเข้าโรงเรียนแล้ว ชายผู้นี้จึงไปเดินหาบ้านของชายดังกล่าวตามที่ลูกสาวของเขาบอก ไม่นานเขาก็เจอบ้านของคน ๆ นั้น ซึ่งดูภายนอกก็เป็นบ้านขนาดกะทัดรัดธรรมดา ๆ หลังหนึ่งเท่านั้น

 

ชายผู้นี้รู้สึกลังเลใจ นี่ลูกสาวของเขาพูดจริงหรือล้อเขาเล่นกันแน่ คนที่ทำงานเก่งก็น่าจะอยู่ในบ้านที่ใหญ่โตโอ่อ่ามิใช่หรือ

 

ขณะนั้นเองมีหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งเดินมาที่รั้วหน้าบ้านแล้วถาม เขาว่าต้องการพบใคร ชายผู้นี้จึงเล่าเรื่องที่ได้รับรู้มาจากลูกสาวของตนให้หญิงคนนั้นฟัง เธอฟังอย่างสงบแล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเปิดประตูรั้วเชื้อเชิญให้เขาเข้ามาในบ้านอย่างมีไมตรี

 

"คนที่คุณต้องการพบ คงจะหมายถึงสามีของดิฉันนะคะ" เธอบอกในขณะเดินนำเขาเข้าสู่ตัวบ้าน "กรุณานั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะเข้าไปบอกสามีของดิฉันให้ ไม่ทราบว่าเขากำลังทำงานอยู่รึเปล่านะค่ะ" แล้วเธอก็เดินหายไปในห้อง ๆ หนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ กันกับห้องรับแขก แต่เขาไม่ได้นั่งรอตามคำเชิญ เพราะมีบางสิ่งเบนความสนใจของเขาไปแล้ว ชายผู้นี้เดินไปจับจ้องดูสิ่งของในตู้กระจกใบหนึ่ง ซึ่งในนั้นมีเกียรติบัตรสีทองตั้งตระหง่านบอกความสามารถของเจ้าของ ชายผู้นี้ได้อ่านข้อความในเกียรติบัตรนั้นทีละคำ

 

"เกียรติบัตรฉบับนี้ มอบให้เพื่อเป็นเกียรติแด่ตัวแทนบริษัทประกันชีวิต ซึ่งทำยอดขายประกันได้เป็นอันดับหนึ่งติดต่อมาถึงสามสมัยซ้อน"

 

จากนั้นเขาก็กวาดตาอ่านเกียรติบัตรฉบับอื่น ๆ อีกมากมายที่ตั้งอยู่ในตู้ใบนั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นความสามารถทางการขาย และความก้าวหน้าในอาชีพการงานของเจ้าของเกียรติบัตรเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี

 

"นั่นเป็นผลงานของสามีดิฉันค่ะ" ภรรยาเจ้าของบ้านเดินมากล่าวแก่เขาด้วยใบหน้ายิ้มละไม

 

"โปรดอภัยด้วยที่ผมทำเหมือนละลาบละล้วงมากไปสักหน่อย" ชายผู้นี้กล่าวอย่างเก้อเขิน

 

"ไม่ได้เป็นการละลาบละล้วงอะไรเลยค่ะ เชิญคุณเข้าไปหาสามีดิฉันเถอะ เขาอยากคุยกับคุณค่ะ"

 

ชายผู้นี้กล่าวคำขอบคุณแก่ภรรยาเจ้าของบ้าน ก่อนจะเดินเก้ ๆ กัง ๆ เข้าไปในห้องของสามีเธอ

 

เขาคาดว่าห้องนั้นน่าจะเป็นห้องทำงาน ที่มีเอกสารทางธุรกิจมากมายวางสุมอยู่ แต่ไม่ใช่เลย เพราะห้องนี้เป็นเพียงห้องนอนธรรมดา ๆ และมีชายพิการคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงเท่านั้น

 

"เอ่อ..." ชายผู้นี้ไม่รู้จะพูดอะไรดี เขารู้สึกมึนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าชายพิการจะเข้าใจอะไร ๆ ได้ดีมากทีเดียว เขามองผู้มาเยือนแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนเชื้อเชิญให้ชายคนนั้นนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งวางอยู่ข้าง ๆ เตียงเขา

 

 

 

ขอบคุณภาพประกอบจาก storiesofwisdom.com

 

 

"ผมได้ข่าวจากลูกสาวว่า...ไม่รู้สิ เธอบอกว่าคุณทำงานเก่งมาก เลยลองให้ผมมาขอคำปรึกษาจากคุณดู...แต่..." ชายผู้มาเยือนกล่าวอย่างติด ๆ ขัด เขาชักไม่แน่ใจ...เป็นการยากที่จะเชื่อว่า คนพิการคนนี่คือคนทำงานเก่งอย่างที่ลูกสาวของเขาว่า และยากที่จะเชื่อว่าเกียรติบัตรทั้งหมดในตู้ที่ห้องรับแขกนั้น เป็นของชายพิการคนนี้ หรือเขาจะได้ของเหล่านี้มาตอนที่ยังปกติดี...ใช่แล้ว น่าจะเป็นเช่นนั้นแหละ

 

"ผมเป็นอย่างนี้มานานแล้วล่ะ เป็นโรคประหลาดที่หาสาเหตุไม่ได้" ชายพิการกล่าวเสมือนอ่านความคิดของชายผู้นี้ได้ "หลายสิบปีมาแล้ว วันหนึ่งผมตื่นขึ้นมาพบว่าขาของผมแข็งทื่อจนขยับไม่ได้ แม้รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ต่อมาอาการแข็งทื่อก็ลุกลามมาถึงเอว ลำตัว และมือของผม จนในที่สุดผมก็เคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้ ต้องนอนแช่อยู่แต่บนเตียงอย่างที่คุณเห็นนี่แหละ"

 

"คุณเป็นตัวแทนขายประกันด้วยหรือ" ชายผู้นั้นถามอย่างไม่แน่ใจ

 

"ใช่ ผมทำงานขายประกัน หลังจากเป็นแบบนี้ผมก็ต้องออกจากที่ทำงานเก่า แล้วเริ่มทำงานขายประกัน ซึ่งผมว่าผมก็ทำได้พอใช้นะ" ชายพิการตอบยิ้ม ๆ

 

"ไม่หรอกครับ ผมว่าคุณทำได้ดีมากทีเดียว แต่คุณขายประกันมากมายอย่างนั้นได้อย่างไรกัน ในเมื่อคุณไปไหนมาไหนไม่ได้ คงไม่มีใครมาหาคุณเพื่อขอซื้อประกันถึงบ้านหรอกนะ" ชายผู้มาเยือนถามอย่างแคลงใจ

 

"ดูเหมือนว่า คุณจะสงสัยในตัวผมมากทีเดียว...ถูกแล้วครับ ไม่มีใครมาหาผมถึงที่นี้หรอก และถึงแม้ผมจะไปไหนมาไหนไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องนอนมองเพดานอย่างเดียวเสียเมื่อไร ถึงผมจะพิการแต่หัวใจผมยังแข็งแรงดี ผมจึงคิดที่จะทำนั้นทำนี่แม้ว่าตัวเองจะเคลื่อนไหวไม่ได้" พูดจบชายพิการก็ทำหน้าพยักเพยิดไปทางโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ ๆ หัวเตียง "ผมใช้โทรศัพท์นี่คุยติดต่อกับลูกค้า โดยให้ภรรยาช่วยถือหูให้ ซึ่งลูกค้าของผมก็ยินดีที่จะติดต่อกับผมด้วยวิธีนี้ เพราะฉะนั้นอะไร ๆ มันก็เลยง่ายขึ้น

 

"ทำไมคุณต้องดิ้นรนตัวเองขนาดนี้ คุณไม่สบาย หากคุณเอาแต่นอนก็ไม่มีใครว่าอะไรคุณหรอก" ชายผู้มาเยือนว่า

 

"ผมยังเชื่อมั่นในสมองของผม คุณคิดว่าคนเรามีชีวิตอยู่ได้เพราะกำลังกายหรือ...เปล่าเลย คนเราอยู่ได้เพราะกำลังใจ แม้จะมีแขนขาที่กำยำล่ำสันเพียงไร แต่ถ้าไร้กำลังใจ แขนขานั้นก็ไร้ความหมาย ผมเป็นอย่างนี้ใช่ว่าไม่เคยเสียใจ แต่ถ้าเอาแต่เสียใจก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น ดังนั้นผมจึงคร้านที่จะเสียใจ ผมว่าผมสู้ดีกว่า...คุณดูกระดาษที่ติดอยู่บนหัวนอนผมสิ" ชายพิการเหลือบตามองขึ้นไปทางผนังเหนือหัวเตียงของเขา มีกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่อย่างง่ายๆ

 

"นั่นคือคติพจน์ในการมีชีวิตอยู่ของผม ผมเขียนขึ้นด้วยกำลังใจของผมเอง คติพจน์ข้อแรกคือ อย่าวิตกกังวล และข้อสองคือ ถึงป่วยไข้ก็อย่าหมดกำลังใจ"

 

"คุณเป็นคนน่าอัศจรรย์มาก" ผู้มาเยือนกล่าวด้วยความทึ้งระคนชื่นชม

 

"ขอบคุณครับ แต่ผมคงต้องขอบคุณภรรยาของผมและลูกสาว ซึ่งเป็นครูอนุบาล รวมทั้งเด็ก ๆ จากโรงเรียนของเธอด้วยที่แวะมาเยี่ยมเยียนผมบ่อย ๆ เพราะเด็ก ๆ ได้มอบความเบิกบานให้แก่ผมเป็นอย่างมาก ผมคิดว่าผมรู้จักลูกสาวของคุณนะ แกมาที่นี้กับลูกสาวของผมบ่อย ๆ และแม่หนูน้อยนั้นก็หน้าตาเหมือนคุณมาก คุณเป็นพ่อที่เลี้ยงลูกได้ดี เพราะแกเป็นเด็กที่น่ารัก อยู่เพื่อแกเถอะ ขอให้ใช้ชีวิตต่อไปนี้เพื่อแก

 

"แต่ ถ้าคุณท้อแท้ให้นึกถึงผม ตัวผมนั้นไม่เคยท้อถอยโดยเหตุที่ใช้มือไม่ได้เลย แน่นอนว่าสิ่งที่ผมเป็นอยู่นี้ทำให้ผมทำงานไม่ได้ และยิ่งลำบากมากในการติดต่อธุรกิจการงาน แต่ถ้าเราสู้ต่อไป และค่อยๆ คิดหาวิธีแก้ไขสิ่งบกพร่องนี้ เราก็จะทำอะไรได้ตามที่ตั้งใจไว้...ถ้าคุณจำต้องเสียอะไรไปและเอาคืนกลับมา ไม่ได้ ก็ช่างมันเถอะ แต่อย่ายอมเสียหัวใจที่ร่าเริงเด็ดขาด เพราะหัวใจที่ร่าเริงจะไม่ยอมให้เจ้าของมันล้มเหลวหรอก เชื่อผมสิ" ชายผู้พิการกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

 

แน่นอนว่าชายผู้นี้เดินออกจากบ้านของชายพิการด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยม เขายังคงไม่มีเงินทุนสำหรับเริ่มธุรกิจ แต่มีแรงสู้เพิ่มขึ้นเต็มหัวใจ ชายผู้นี้เชื่อว่าด้วยแรงใจนี้ จะทำให้เขาสามารถสร้างชีวิตใหม่ให้ดีขึ้นได้ ดังที่ชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริงได้บอกเอาไว้นั่นเอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ในนิทานเรื่องหนึ่งของชาวเดนมาร์ก

 

มีคนคนหนึ่งนอนอยู่ในเวลากลางคืน

มีนางฟ้าลงมาที่ห้องนอนของเขา

ชวนให้ไปเที่ยวสวรรค์กับนรก

เขาก็ไป

 

นางฟ้าพาไปที่ที่หนึ่งบอกว่า

"ถึงนรกแล้ว"

ที่นั้นเป็นห้องใหญ่ๆ มีโต๊ะยาวๆ

บนโต๊ะมีอาหารที่ประณีต อร่อยทุกประเภท

มีคนนั่งอยู่หลายคน

นางฟ้าก็บอกว่า "นี่:)นรก"

คนเหล่านั้นนั่งมองอาหารที่น่ากินที่สุดในโลก

แต่ตัวเขาผอมเหลืองน่าสงสาร

นางฟ้าบอกว่าที่นี่

อนุญาตให้กินอาหารดีๆ ได้

แต่มีเงื่อนไขว่าต้องใช้ช้อนที่ยาวหนึ่งเมตร

เวลาตักอาหารเข้าปาก มันก็ไม่ถึงสักที มันหกลงพื้น

เขาเลยมีความวุ่นวายเดือดร้อนมาก

พยายามตักอาหารเท่าไรก็ไม่ถึงปาก

เลยผอมเพราะอดอาหาร อยู่ใกล้ชิดอาหารที่อร่อย

แต่ไม่สามารถเอามาถึงปากของตน

 

นางฟ้าพาไปอีกห้อง บอกว่านี่สวรรค์

ห้องที่สองนี้มีลักษณะเช่นเดียวกับห้องแรกทุกประการ

เรามักจะคิดว่าสวรรค์กับนรกต่างกัน

แต่ความจริงสวรรค์กับ! นรกนี้คล้ายๆ กัน

มีโต๊ะอาหารยาวๆ อาหาร

ประณีตหลายๆ อย่างเหมือนกันหมด

มีเก้าอี้รอบ มีคนนั่ง

แต่แปลกที่คนที่สวรรค์ยิ้มแย้มแจ่มใส

อ้วนท้วนสมบูรณ์สบาย ดูว่าเขากินอย่างไร

เขาก็ต้องใช้ช้อนยาวหนึ่งเมตรเหมือนกัน

เอ...ทำไมมันไม่เหมือนที่นรก?"

พอดูดีๆ อ้อ! เห็นวิธีของชาวสวรรค์คือ

คนข้างหนึ่งของโต๊ะเขาตักอาหารด้วยช้อนยาวๆ

เอาไปป้อนใส่ปากของคนตรงข้าม

คนอีกข้างก็ตักอาหารมาใส่ปากของคนข้างนี้

ก็เลยได้กินกันทุกคน อยู่อย่างสุขสบาย

 

สรุปว่า

ที่นรก คนคิดแต่จะได้อย่างเดียว

คิดแต่เรื่องความสุขของตัวเอง

คิดแต่ว่าเราจะได้อาหารที่เราชอบ

 

แต่ที่สวรรค์นั้น มีการช่วยเหลือกัน

มีความรักสามัคคีกัน

คำนึงถึงความสุขของคนอื่นด้วย

ก็ได้รับความสุขกันทุกคน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...