ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
jarurote

วิเคราะห์แมวๆ เพื่อการลงทุนกองทุนทองคำ

โพสต์แนะนำ

อยากเห็น Silver ขึ้นทีละ 100-200$ บ้างจัง อิอิ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เมี้ยวๆๆๆ

 

มีบทความมาฝาก พวกที่เล่น GLD ETF อะไรเืทือกๆนั้น ก็ระวังหน่อยละกัน

 

แค่ออมสะสมพอที่ไปซื้อทองคำแท่งไว้ได้ก็เป็นการดี

 

ถ้าคนขายยังใ้ห้เป็นตั๋วทองคำกระดาษอยู่อีก

 

ก็ไม่ควรขายกองทุนทองคำเพื่อแปลงสภาพออกมาเป็นตั๋วกระดาษ

 

เพราะมีความเสี่ยงไม่แพ้กัน -_-

 

 

 

ที่มา: http://www.thanachartfund.com/webboard/question.asp?QID=2380

 

 

ทำไมหุ้นตกทั่วโลก

 

วรวรรณ ธาราภูมิ

นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน

CEO บลจ. บัวหลวง จำกัด

6 สิงหาคม 2554

 

 

 

ย้อนหลังไปเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2550 ธนาคารยักษ์ใหญ่ของประเทศฝรั่งเศสคือ BNP Paribas ได้ประกาศข้อจำกัดในการให้ลูกค้าถอนเงินออกจากกองทุนรวมทุกกองทุนที่มีการลงทุนเชื่อมโยงไปยัง หนี้ซับไพรม์ ของสหรัฐ กล่าวคือให้ถอนได้แต่ห้ามเกิน 1 พันล้านปอนด์ ด้วยเหตุผลที่ว่าธนาคารไม่สามารถคำนวณมูลค่าหลัก ทรัพย์ที่เชื่อมโยงไปยังซับไพรม์ที่กองทุนลงทุนได้อย่างเป็นธรรม เนื่องมาจากไม่มีราคาตลาดแล้ว

 

ไม่มีราคาตลาดหมายความว่าไง ?

 

หมายความว่าสิ่งที่กองทุนลงทุนและเกี่ยวโยงกับพวกซับไพรม์นั้น มันขาดสภาพคล่องในตลาด คือ ไม่มีคนซื้อ เสนอลดราคาเท่าไรก็ไม่มีใครเอา มีแต่คนอยากขาย เลยหาราคาตลาดที่ยุติธรรมไม่ได้ เพราะหากใช้ราคาในอดีตมากำหนดมูลค่า มันก็จะสูงไปในภาวะที่ไม่มีใครอยากรับซื้อซับไพรม์ หากไปใช้ราคาแบบนั้นคนถอนเงินจากกองทุนก่อนก็จะได้เปรียบ คนทีหลังก็เสียเปรียบ เขาก็เลยกำหนดลิมิทว่ากองทุนจะให้ถอนเงินไม่เกินเท่านั้น เท่านี้ไว้ ซึ่งน่าจะคำนวณมาจากหลักทรัพย์อื่นๆ ที่ยังเป็นปกติดี ว่ามีให้ลูกค้าถอนออกได้เท่าไหร่

 

อาการแบบนี้เคยเกิดกับอุตสาหกรรมกองทุนรวมของไทยในช่วง 2540-2541 ในวิกฤติต้มยำกุ้ง เกิดกับกองทุนตราสารหนี้ของทุก บลจ.ในช่วงนั้นที่ลงทุนในตราสารหนี้เอกชน พอมีข่าวว่าสถาบันการเงินใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งมีคนถอนตั๋ว PN แต่คืนเงินให้ลูกค้าได้ไม่ครบในคราวเดียว ประกอบกับช่วงนั้นอาการเศรษฐกิจของประเทศย่ำแย่ ฟองสบู่กำลังจะแตก คนก็เลยแห่ถอนเงินฝากจากธนาคารและบริษัทเงินทุน แห่กันถอนกองทุนตราสารหนี้กันอลหม่าน กองทุนจะเอาเงินมาคืนลูกค้าได้ก็ต้องเสนอขายตราสารหนี้ที่มีในพอร์ตกองทุนไปในตลาด ผลก็คือในช่วงแบบนั้นตลาดตราสารหนี้ตายสนิท มีแต่คนเสนอขาย ไม่ค่อยมีใครยอมซื้อเพราะต่างฝ่ายต่างกลัว และแม้ว่าตราสารหนี้ที่เสนอขายบางตัวจะมีศักยภาพดีอยู่ หรือแม้แต่เป็นพันธบัตรรัฐบาล แต่คนที่จะซื้อเขาก็รอให้ราคามันลงไปมากๆ ก่อนถึงจะซื้อ เพราะมันหมายถึงเขาจะได้กำไรมหาศาล ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของการซื้อขาย

 

ช่วงที่ว่านั้น บลจ. บางแห่งก็ต้องใช้วิธีที่ใกล้เคียงกับ BNP Paribas อาจจะต่างกันด้วยวิธีการแต่ด้วยเหตุผลที่เหมือนกัน บางแห่งก็ใช้วิธีค่อยๆ ลดราคาตราสารหนี้ที่ลงทุนลงทีละน้อยๆ จะได้ไม่กระทบกับกองทุนมากนัก ในทีเดียว บางแห่งก็แน่พอที่จะบีบคอบริษัทที่ออกตราสารหนี้โดยกองทุนยอมลดหนี้ให้บ้างเพื่อจะได้เงินคืนก่อนคนอื่น จะได้ไม่ต้องไปรอเข้าแถวทยอยรับหนี้คืนในอนาคตอีกเป็นสิบๆ ปี และบางแห่งก็มองเห็นว่าจบแล้ว ไม่มีตลาดซื้อขายตราสารหนี้แล้ว เพราะไม่มีใครเสนอราคาซื้อ จึงเสมือนหนึ่งไม่มีตลาด ก็เลยเลิกกองทุนคืนเงินให้ลูกค้าไป

 

ในแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านไป ไม่มีใครบอกได้ว่าวิธีไหนดีที่สุด ในปี 2540-2541 วิธีแรกอาจจะดูดีที่สุด แต่พอเวลาผ่านไปพักใหญ่ วิธีสุดท้ายก็ได้รับการยอมรับว่าดีกว่า ขึ้นกับมุมมองของ บลจ. ว่ามองไกล หรือ ใกล้ แค่ไหน

 

ในวันนั้น BNP Paribas ก็โดนวิจารณ์และ “ก่นด่า” อย่างหนักไปพักใหญ่ ว่าทำไมไม่เอาเงินของธนาคารไปซื้อพวก Subprime ที่ลงทุนในกองทุนของตัวเองไปล่ะ ลูกค้าจะได้ถอนเงินจากกองทุนได้ตามปกติ แล้วในเมื่อสิ่งที่ลงทุนไปนั้น (Subprime Debt และอื่นๆ ที่เกี่ยวโยงกัน) มันเป็นพิษขนาดนั้น ทำไมถึงได้ไปลงทุนจนทำให้ทุกคนตกเป็นเหยื่อความโลภของพวก Wall Street บางคนก็บอกว่านี่คือสินค้าส่งออกที่ชั่วร้ายของพวกอเมริกันที่ส่งออกไปให้ยุโรปและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

 

เกือบจะ 4 ปีแล้วตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2550 ที่โลกเริ่มเห็นอาการวิกฤติหนี้ ซึ่งทำให้ธนาคารในประเทศตะวัน ตกสูญหายไปหลายแห่ง มีทั้งปิดกิจการ มีทั้งรวมกับสถาบันการเงินอื่น และหากใหญ่มากๆ ก็ต้องขายกิจการให้รัฐมาช่วยอุ้ม และโลกก็ตกอยู่ในช่วง Recession หรือเศรษฐกิจตกต่ำ ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในอเมริกาแตก คนที่เก็งกำไรซื้อบ้านหลายหลังเพราะดอกเบี้ยต่ำติดดินนานๆ ก็ไม่มีปัญหาผ่อนบ้านอีกต่อไปเพราะตกงาน ภาคการเงินไม่ยอมปล่อยกู้ให้ภาคธุรกิจเพราะกลัวปล่อยแล้วเป็นหนี้เสีย ภาคธุรกิจก็ย่ำแย่ จนต้องลดขนาดหรือปิดกิจการ ภาคแรงงานก็ตกงานตามมา เลยไม่มีเงินไปจับจ่ายใช้สอยหรือผ่อนบ้าน รัฐบาลที่อุ้มภาคการเงินไว้เต็มที่ก็ขาดรายได้จากภาษีของภาคธุรกิจกับภาษีจากประชาชน ฯลฯ กลายเป็นงูกินหางนั่นแหละ

 

ผู้ที่ควรถูกตำหนิด่านแรกก็คือ คนโลภที่เอาสินเชื่อเคหะมาเล่นแร่แปรธาตุเป็น Synthesized Products (สินค้าสังเคราะห์) ที่เอาไปสับๆ แล้วมามัดกันเป็นกลุ่มๆ กลายเป็น Products ใหม่ คละกันจนเละ แล้วให้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือไปกำหนดอันดับเครดิตให้ ก็ได้เป็น AAA บ้าง หรือต่ำกว่า ตามแต่ที่เขาจะวิเคราะห์ได้ แต่ความที่มันถูกสับเป็นชิ้นๆ แล้วนำมามัดรวมใหม่เป็นกองๆ ปนกันยุ่งเหยิงขนาดนั้น ใครจะแกะออกมาได้ว่ามันคืออะไร มีค่าแค่ไหน

 

นี่จึงเป็นบทเรียนของโลกตะวันตกที่เราคนไทยพึงตระหนักไว้ว่าอย่าเห่อเหิมเห็นทุกอย่างเป็นพัฒนาการทาง Product ที่เลอเลิศไปหมด เห็นใครเขาทำอะไร อย่ารีบรับเอามาทำบ้างโดยไม่มองผลกระทบ เราคงไม่อยากตกอยู่ในสภาพแบบนั้น ดังนั้น...

 

จงระวัง Synthesized Products ให้ดีๆ เพราะมันไม่มีสินค้าที่แท้จริงอยู่ในนั้น

 

 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าปัญหานี้ได้ซาลงไปด้วยการที่รัฐบาลแทบจะทุกประเทศในโลกช่วยกันอัดฉีดเงินมหาศาลเข้าไปประคอง ภาครัฐของกลุ่มประเทศในยุโรป และ อเมริกา ต่างเป็นหนี้มหาศาลเพื่อไม่ให้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหรือ Global Recession กลายตัวไปเป็นภาวะ Global Depression รัฐบาลพากันอัดฉีดเงินที่ก็ต้องกู้มานั่นแหละลงไปในระบบเพื่อไม่ให้แบงค์และสถาบันการเงินต่างๆ ที่เป็นเส้นเลือดเศรษฐกิจต้องพังทลาย ผลก็คือรัฐบาลกลายเป็นสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไปแล้ว เช่นในสหรัฐอเมริกา จนคนบนท้องถนนธรรมดาที่เรียกว่า Main Street แค้นใจนักกับพวก Wall Street (ถนนที่เป็นที่ตั้งของสถาบันการเงินหลายแห่งในสหรัฐ) เพราะรัฐบาลเอาเงินส่วนรวมของประชาชนไปอุ้มแบงค์ พอแบงค์ดีขึ้น ผู้บริหารก็ได้ผลตอบแทนงดงาม ในขณะที่มายึดบ้านเขา ไล่เขาออกไปนอนบนท้องถนน

 

แต่มันไม่ได้จบอย่างที่หลายคนคิด สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันก็มีผลพวงมาจากเรื่องเดิมนั่นแหละ

 

เมื่อหนี้มหาศาลจากภาคการเงินได้ถูกโอนไปให้ภาครัฐ จึงแปลว่า หนี้ของประเทศไม่ได้หมดไปเลย มันยังอยู่ แต่กระจายความรับผิดชอบจากผู้ถือหุ้นธนาคารต่างๆ ไปยังประชาชนทุกคน ความเสียหาย หรือจะเรียกกันตรงๆ ว่าหายนะ จึงยังคงอยู่ เพียงแต่ถูกเลื่อนเวลาออกไปเท่านั้น

 

เมื่อประเทศมีรายได้น้อย และลดลง แต่มีรายจ่ายมาก และเพิ่มขึ้นจากมูลหนี้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้น (ยิ่ง S&P ลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศอเมริกาลงไปเหลือ AA+ การกู้ของรัฐบาลอเมริกันก็ต้องจ่ายดอกแพงขึ้น) ก็คล้ายๆ คนธรรมดาอย่างเราๆ ที่รายได้ไม่พอรายจ่าย วงเงินกู้ บัตรเครดิตขยายจนเต็มแล้ว รอเวลาโดนเขายึดเท่านั้นเอง

 

และวิธีแก้ไขหนี้สินล้นพ้นตัวขนาดนี้ มันต้องจบลงด้วยการที่ทั้งเจ้าหนี้กับลูกหนี้ต้องยอมเสียกันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ด้วยการกู้เพิ่ม

 

การที่หุ้นของสหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหัวทิ่มจมดินจนทำให้กำไรที่เกิดขึ้นสะสมตั้งแต่ต้นปีนี้หายวับไปกับตา แสดงว่าตลาด “เพิ่ง” เริ่มรับรู้สถานะที่แท้จริงของอเมริกา หรือรู้แล้ว แต่ถึงเวลาวิ่งออกประตูหนีไฟ และตลาดหุ้นทั่วโลกก็เซตาม

 

:excl: จิม โรเจอร์ส ให้คำแนะนำที่ดีว่าอย่าขายในช่วงที่ตลาดตื่นตระหนก (ให้ดูจังหวะก่อน) นอกจากนี้เขายังเชื่อว่าอเมริกากำลังทำผิดครั้งยิ่งใหญ่ในการก้าวถลำลึกไปในการก่อหนี้เพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจโลกโดยรวมจะได้รับผลกระทบไปด้วย และอย่าออก QE อะไรออกมาอีก เพราะทั้ง QE1 และ QE2 ที่เป็นการพิมพ์เงินออกมาใส่ไปในระบบนั้นต่างไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น ดังนั้น ในรอบนี้จึงไม่ควรทำอีกแล้ว ต้องปล่อยให้ตลาดเกิด Correction ตามที่ควรจะเป็น

 

:excl: มาร์ค โมเบียส ประธานกรรมการบริหาร Templeton Asset Management ในตลาด Emerging market ระบุว่าเป็นการปรับฐานที่สมเหตุสมผล

 

:excl: มาร์ค ฟาเบอร์ส บอกว่าคนตื่นตระหนกขายมากไปแล้ว และคาดว่า S&P 500 จะดีขึ้น

 

ข้อสังเกตุส่วนตัวก็คือ เขาเหล่านี้มักจะพูดในสิ่งที่ตนเองอยากให้เกิด (หรือเปล่า) แต่คนต้องฟังแล้วเอาไปประเมินกันเอง เนื่องจากพวกเขาเหล่านี้มีเม็ดเงินภายใต้การบริหารมหาศาล ที่สามารถมีผลต่อตลาดได้บ้าง

 

:excl: Jan Hatzuis หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของ Goldman Sachs ระบุว่า มีโอกาส 1 ใน 3 ที่สหรัฐจะเข้าสู่ Recession ภายใน 6-9 เดือนข้างหน้า

 

:excl: Robert Reich นักเศรษฐศาสตร์เอียงซ้ายที่เคยเป็นที่ปรึกษาให้ โอบามา ระบุว่า มีโอกาส 50-50 ที่สหรัฐจะเข้าสู่ Recession

 

เมื่อ S&P ประกาศลดอันดับเครดิตประเทศ US ลงจนเทียบเท่าเบลเยี่ยม ซึ่งแม้จะยังดูดี (เกินเหตุ) แต่ก็ต่ำกว่าสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย ก็มีคนหลายคนออกมาก่นด่า รวมถึง Paul Krugman ที่อยู่ข้างสนับสนุนให้อัดฉีดเงินมากๆ เข้าไปในระบบเพิ่มขึ้นด้วย ฝ่ายรัฐบาลเองก็โวยวายเรื่อง S&P ใช้ตัวเลขผิดๆ มาประเมิน ฯลฯ

 

นี่ละอาการของคนไม่ยอมรับสภาพปัญหาของตนเอง ซึ่งอันตรายยิ่ง เพราะประเด็นใหญ่คือ สหรัฐมีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว แถมยังเพิ่มเพดานหนี้กู้เพิ่มได้อีก โดยสัญญาว่าเจ้าปริมาณที่กู้เพิ่มได้นั้น จะลดลงได้ภายใน 10 ปี

 

ใครก็ได้บอกทีสิว่ามันแก้หนี้ตรงไหน ไม่ต้องใช้ S&P, Moody’s หรือ Fitch rating มาประเมินเลย

 

และเมื่อผู้ลงทุนขาดความเชื่อมั่น มันก็สะท้อนไปก่อนในราคาหุ้นนั่นเอง

 

แล้วผลกระทบจากอาการหุ้นตกนี่ล่ะ ?

 

เมื่อคนไม่มั่นใจในเศรษฐกิจ รวมไปถึงไม่มั่นใจว่ารัฐบาลมือถึงหรือไม่ในการแก้ปัญหา บริษัทต่างๆ จะจ้างคนน้อยลง ไม่ขยายธุรกิจ ผู้บริโภคจะจับจ่ายใช้สอยลดลง และที่น่าเป็นห่วงก็คือ การจับจ่ายใช้สอยภาคประชาชนนี้มีสัดส่วนถึง 70% ของเศรษฐกิจ และการว่างงานก็จะเพิ่มมากขึ้น

 

ยังมีอีก .......

Bank of New York Mellon บอกว่าจะเก็บค่าธรรมเนียมการฝากเงินของกองทุนบำเน็จบำนาญทั้งหลายรวมไปถึงลูกค้าที่ฝากเงินเกิน 50 ล้านดอลลาร์ด้วย นี่แสดงว่าคนกำลังวิ่งเข้าหาแหล่งพักเงินที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด ไม่มีการใช้จ่าย และแบงค์ก็ไม่ปล่อยกู้ ทำให้แบงค์ต้องแบกต้นทุนเงินฝากไว้จนไม่ไหวแล้ว ถึงได้ประกาศว่านอกจากจะไม่ได้ดอกผล คุณจะต้องเสียค่าฝากด้วย

 

ตรงกันข้ามกับบ้านเรา ที่แบงค์ทุกแห่งพากันออกโปรโมชั่นแจกแถมอย่างไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลย ทั้งนี้ ก็เพื่อหาเงินเข้าแบงค์จะได้เอาไว้ไปปล่อยกู้ เนื่องจากแบงค์เห็นว่าเศรฐกิจไทยจะไปได้ดีตามกระแส Rising Asia

 

ดังนั้น อาการของสหรัฐที่เกิดขึ้น เรียกให้ถูกคือ Correction à กลับไปสู่ภาวะจริงที่ควรจะเป็น ราคาหุ้นในตลาดของสหรัฐมันแพงเกินปัจจัยพื้นฐานแล้วโดยรวมๆ ข้อยกเว้นอาจมีบ้าง บางตัว

 

หุ้นบ้านเราก็ติดหวัดไปด้วย แห่ขายตามโลก เดี๋ยวเขาจะว่าไม่ทันสมัย

เอเชีย กำลังขึ้น จะกระทบไหม กระทบสิ แต่น้อยกว่า ตามแต่ใครมีการค้ากับใครแค่ไหน

แต่เราก็ปรับตัวไว้รองรับแล้วไม่ใช่เหรอ

 

ไปพลิกดูแบงค์ดอลลาร์ด้านหลังที่เขียนว่า In GOD We Trust

แล้วเอาคำว่า GOLD ไปแปะทับคำว่า GOD ซะ

ถูกแก้ไข โดย Meaw_Joe

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เิพิ่มเติมสักหน่อย

 

Gold/Oil Ratio อยู่ที่ 21 กว่าๆ -_-

 

1Z7zl.png

 

 

ขณะนี้ Ratio ยังแกว่งในกรอบ 20-22.5 เช่นเดิม อัตราทดตัวคูณทำให้ทองผันผวนง่ายกว่าแต่ก่อนมากๆ

 

เมื่อก่อนปี 2007 Ratio อยู่ที่ 10 ผันผวนน้อยกว่า แต่น้ำมันแพงกว่าทอง

 

มาปี 2009 - เดือน ก.ค. 2011 Ratio ยังอยู่ในกรอบ 12-18 โดยมีค่าเฉลี่ยที่ 15 เป็นค่ามาตรฐาน

 

มาบัดนี้ทองคำแพงน้ำมัน

 

และถ้าเมื่อไหร่ น้ำมันปรับตัวลง

 

ก็จงระวังทองคำจะไปลงนรกด้วยกันทั้งคู่ !_01

 

แต่เดชะบุญที่ ราคาน้ำมันยังไม่ได้ลดตัวลงต่ำกว่า 85 USD/bbl จึงทำให้ทองคำในราคาที่เหมาะสมในช่วงกรอบ Ratio ต่ำสุดที่ 20 ผลออกมาเป็นเช่นนี้...

 

 

ในกรอบ Ratio ต่ำสุดที่ 20

 

น้ำมันที่ 85 USD/bbl จะได้ราคาทองที่เหมาะสมถูกที่สุด (รึเปล่า) จะอยู่ที่ 85 x 20 = 1,700 USD/Oz

 

แต่ถ้ามองว่า น้ำมัน มีแนวโน้มจะลงต่อที่ 80 USD/bbl ราคาทองที่เหมาะสมถูกที่สุด (รึเปล่าไม่รู้สิ) จะอยู่ที่ 80 x 20 = 1,600 USD/Oz

 

แต่ถ้ามองว่า น้ำมัน มีแนวโน้มจะลงต่อที่ 77 USD/bbl ราคาทองที่เหมาะสมถูกที่สุด (รึเปล่าไม่รู้สิ) จะอยู่ที่ 77 x 20 = 1,540 USD/Oz

 

 

 

แต่ถ้าถึงคราวซวยฉิบหาย ราคาดิ่งลงมา สู่สามัญชนมายัง Ratio ปกติที่ 15 !ahh

 

แต่ถ้ามองว่า น้ำมัน มีแนวโน้มจะลงต่อที่ 80 USD/bbl ราคาทองที่เหมาะสมถูกที่สุด (รึเปล่าไม่รู้สิ) จะอยู่ที่ 80 x 15 = 1,200 USD/Oz !ahh

 

ถามว่ามีด้วยเหรอ ลงมากว่า 34% !38

 

ให้ดูกรณีต้วอย่าง ราคาทองในปี 2008 ที่ดิ่งพสุึธาจาก 1,033 ลง 680 กว่าๆ

 

ไปจิ้มเครื่องคิดเลขเอาเองว่า จากราคาทองที่ 1911.9 ลงมา ก็จะได้ 1,260 USD/Oz

 

ถ้าจะจัดหนักแบบ คุณน้อง Silver จาก 50 ดิ่งลงมา 30 USD/Oz ลงมาถึง 40% ก็จะได้ 1,146 USD/Oz สำหรับทองคำ

 

อันนี้พูดเผื่อกรณีแย่ที่สุดไว้ก่อน เผื่อใจไว้ว่าจะทนไหวต่อกรณีแย่ๆแบบนี้ได้หรือไม่นะครับ อย่าหลงระเริงจนลืมอดีตไปหมดเชียวหละ ^_^

 

 

 

สำหรับมุมมองต่อกรณีถ้าน้ำมัน มาที่ 90 USD/Oz ในเพดาน Ratio ที่ 22.5 จะได้ราคาทองคำที่ 90 x 22.5 = 2025 USD/Oz

 

 

ดังนั้นใครแช่งน้ำมันให้ดิ่งลง เท่ากับ แช่งทองให้ตกนรกด้วยกัน

 

จึงขอความกรุณาเชียรน้ำมันขึ้น กะ หุ้นพลังงาน บ้างก็ยังดี มิเช่นนั้นได้กอดคอดอยไปด้วยกันทั้งคู่ ทั้งน้ำมันและทอง :mad:

 

 

 

Dow/Gold Ratio

 

ยังดีดขึ้นอยู่ที่ 6.16 ยังไม่สิ้นฤทธิ์ง่ายๆ :ph34r:

 

z9bnu.png

 

 

Gold/Silver Ratio ดูก็งั้นๆไ่ม่มีอะไรน่าดูนัก -_-

 

xTIiM.png

 

 

 

 

 

 

อัตราส่วน กองทุนน้ำมัน เทียบกับ ราคา ฟิวเจอรน้ำมัน WTI

ในรอบ 7 เดือน, 1 ปี และ 3ปี

 

WTI Crude Oil / USO Ratio (ในรอบ 7 เดือน)

 

zlY1D.png

 

 

 

WTI Crude Oil / DBO Ratio (ในรอบ 7 เดือน)

 

mOq5s.png

 

 

จะเห็นว่า ทั้งกองทุนน้ำมัน ETF (หรือ ETN ตามแต่จะเรียกบางตัว) USO กะ DBO ในรอบ 7 เดือนนี้

 

อัตราส่วนเริ่มคงที่ เข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น อิงราคาได้ใกล้เคียงกับของจริงมากขึ้นจริงๆ ทั้งๆที่มันเป็นกองทุนอิงดัชนีที่ไม่ได้ลงทุนของจริงเลย

 

แสดงให้เห็นว่า กองทุนอิงดัชนีที่ลงทุนในของเทียม (ทั้งใน Future และ Option) ยังสามารถทำได้ดีใกล้เคียงไม่แพ้ กองทุนอิงดัชนีที่อ้างว่าลงทุนของจริงๆได้ B)

 

เอ้ ไอ้ที่เค้าพูดว่า กองทุนนั้นที่อ้างว่า ลงทุนในทองคำแท่งจริงๆ จะเป็นยังไงกันต่อไปหว่า? แถมขายในช่วงวันใกล้ปิดสัญญา option ซะด้วย !ee

 

 

 

 

WTI Crude Oil / DBO Ratio (ในรอบ 1 ปี)

 

EODGU.png

 

 

WTI Crude Oil / DBO Ratio (ในรอบ 3 ปี)

 

BCGrH.png

 

ก่อนหน้านั้นในรอบปี สามปี ที่ผ่านมา อิงได้เละตุ้มเปะอย่างที่เห็นๆ นั่นคือ ดัชนีราคาน้ำมันปรับสูงกว่ากองทุน

 

แสดงให้ให้เห็นว่า ก่อนหน้านั้น กองทุน ไม่สามารถทำให้เกิด กำไรชนะดัชนีราคาสินค้าอ้างอิงได้

 

หรือไม่สามารถจัดการต้นทุนที่สูงขึ้นมาได้นั่นเอง จึงเละเทะอย่างที่เห็น

 

ดังนั้นทางแก้ปัญหาก็คือ ถือหุ้นพลังงานที่จ่ายปันผลดี (หรือไม่ก็กองทุนหุ้นปันผล) จะเป็นการชดเชยปัญหาพิเรนทร์แบบนีร้

 

อีกทั้งปันผลก็เหมือนดอกเบี้ยฝากประจำ เป็นกระแสเงินสด สามารถนำไปลงทุนในรูปแบบอื่นได้ แม้กระทังลงทุนในทองคำ

 

ในขณะที่กองทุนน้ำมัน ไม่มีดอกเบี้ยหรือปันผล ต้องขายทำกำไรส่วนต่างอย่างเดียว มันจึงเป็นปัญหาอย่างหนึ่ง

 

 

แค่นี้ก่อนแล้ว บ๊ายบายเมี้ยวๆๆๆๆ !bye !37

ถูกแก้ไข โดย Meaw_Joe

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วิธีลงทุนทองคำ ลดความเสียงอีกทางหนึ่ง

 

ก็คือใช้เงินจากปันผล ในหุ้นปันผล หรือกองทุนหุ้น เอาปันผลบางส่วนไปซื้อทองคำ

 

อีกส่วนก็เอาไปลงทุนหุ้นปันผลแบบป้อนกลับ แทนที่จะเป็นเงินลงทุนใหม่ๆเข้่ามา

 

เหมือนๆกับลงทุนหุ้นพลังงานปันผล ได้ปันผลในทุกๆปีละ 2 ครั้ง ออกมาในรูป ทองคำ เก็บเอาไว้ (เอาเงินปันผลไปซื้อทองคำ)

 

 

ก็เป็นสไตล์การลงทุนหุ้นปันผล แถมขยายพอร์ททองคำ อีกแบบหนึ่ง

 

นั่นก็หมายความว่า ปันผลที่ได้อาจจะสูงกว่าที่ได้รับอีก หรือต่ำกว่าทีได้รับไปด้วยเช่นกัน

 

 

ในขณะที่ลงทุนทองคำเฉยๆนิ่ง มันไม่อาจคลอดออกมาเป็น เนื้อทองคำเพิ่ม

 

หรือมันไม่ได้ทำอะไรให้เกิดปันผล แถมอะไรให้มาฟรีๆ ขยายพอร์ทไม่ได้อีกต่างหาก

 

 

ดังนั้น การลงทุนในกองทุนหุ้นปันผล หรือหุ้นปันผลนั้น ปันผลของมันนั้นควรจะให้ผล %Yield ปันผลที่ดี

 

และต้องสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ มิเช่นนั้นแล้วดอยหุ้นหรือกองทุนเช่นนั้นก็ไร้ความหมาย สู้ไปฝากไปประจำดอกห่วยๆไม่ดีกว่าหรือ

 

อีกทั้งตัวราคาหุ้นมันต้องมีแนวโน้มไปตามทิศทางกระแสเงินเฟ้อด้วยเช่นกัน (ก็คงต้องใช้กราฟช่วยเปรียบเทียบกระมัง)

 

ไม่ใช่กรณีที่ปันผลดูเหมือนดี แต่ราคาหุ้นตกต่ำลงในขณะที่ราคาสินค้าของบ.นั้นแพงขึ้น แบบนี้ก็ไม่ค่อยเวอร์กเช่นกัน

 

 

ไปแล้ว เมี้ยวๆๆๆ !La

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ของแถม จากห้องสินธร พันธทิพย์ คนเริ่มพูดถึงมันน้อยลงทุกที วันนี้มีแค่อันเดียวตัวเดียวเท่านั้น :ph34r:

 

อยากให้เพื่อนๆจับตามอง GLD

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อืม น้ำมันขึ้นลงทีละ 10USD/Oz

 

ก่อนปี 2007

Gold/OilRatio = 10 ทองคำขึ้นลงได้ถึง 100 USD/Oz

 

ปี2009 - ก.ค. 2011

Gold/OilRatio = 15 ทองคำขึ้นลงได้ถึง 150 USD/Oz

 

เดือน สิงหาคม 2011

Gold/OilRatio = 20 ทองคำขึ้นลงได้ถึง 200 USD/Oz

 

 

 

 

ถ้ากรณีน้ำมันขึ้นลงทีละ 20 USD/Oz (ซึ่งมันก็เกิดขึ้นมาแล้วในเดือน พ.ค. และ ปลายเดือน ก.ค. ถึง ต้นเดือน ส.ค.)

 

Gold/OilRatio = 10 ทองคำขึ้นลงได้ถึง 200 USD/Oz

 

Gold/OilRatio = 15 ทองคำขึ้นลงได้ถึง 300 USD/Oz

 

กรณีเดือน สิงหาคม 2011

Gold/OilRatio = 20 ทองคำขึ้นลงได้ถึง 400 USD/Oz

ถูกแก้ไข โดย Meaw_Joe

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณ คุณเหมียวโจอี้ ข้อมูลคม ชัด ลึก เห็นภาพ

 

พร้อมเปรียบเทียบ น้ำมันกะทองคำ สวดโย่ด :wacko:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข้อมูลแน่นเปรี๊ยะะ เช่นเคยเลย จะสำลักข้อมูลแล้วอ่าา !45

สรุปๆง่าย ยังไม่ลงทุนGLDตอนนี้ดีกว่า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มีงานสัมนาฟรี เกี่ยวกับ GLD ETF เจ้าปัญหา มาฝาก เผื่อใครจะเตรียมคำด่าสาปส่งในงานเชิญได้ตามสบาย !37

 

GLD_Seminar_Ad9Sep.jpg

 

กองทุนรวมอีทีเอฟทองคำ GLD ...

นวัตกรรมใหม่ในการลงทุนทองคำ

 

http://register2.set.or.th/semreg/detail.aspx?ow=EQP&cs=S0001&sn=0004

 

ศุกร์ที่ 9 กันยายน 2554 เวลา 14.15 – 16.00 น.

หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ

 

ผู้ร่วมเสวนา

  • ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร - ประธานชมรมคนออมเงิน
  • คุณธนรัชต์ พสวงศ์ - กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด
  • คุณดารบุษป์ ปภาพจน์ - รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด 2 บลจ.กรุงไทย

 

ดำเนินรายการโดย คุณบัญชา ชุมชัยเวทย์

 

สำหรับผู้ลงทะเบียน 100 ท่านแรก รับฟรี แก้ว ETF !!

 

ติดต่อจองที่นั่ง 02 229 2222

 

 

เอกสารประกอบ หลอกเหยื่อ ผู้มาสนใจบ่อนนี้

http://www.set.or.th/th/products/etf/files/Gold_ETF.pdf

 

 

ใครมีอะไรจะด่าสาปส่ง กับ พวกแ๊ก๊งก่อตั้งบ่อนนี้ กรุณาเตรียมร่างคำด่าสาปส่ง ไว้ด่าไฟแลบได้งานได้ตามสบายๆ !37 !37 !37

ถูกแก้ไข โดย Meaw_Joe

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ใครมีอะไรจะด่าสาปส่ง กับ พวกแ๊ก๊งก่อตั้งบ่อนนี้ กรุณาเตรียมร่างคำด่าสาปส่ง ไว้ด่าไฟแลบได้งานได้ตามสบายๆ !37 !37 !37

 

55555 นี่ชวนคนไปหาเรื่องกันเลยเหรอ...

 

ไปเมื่อไหร่อย่าลืมบอกล่ะ (เดี๋ยวเตรียมทิงเจอไว้ให้...) ^_^

 

อ่านเฉยๆ มันเหงา . เอาซะหน่อยนะ... ;)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เห็นคุณเหมียวโจ พูดถึง GLD เมืองไทย ไปเจอบทความเกี่ยวกับ GLD ฝรั่ง

 

ไม่รู้ว่าจะเหมือนกันหรือเปล่า ลองดูไว้เป็นข้อมูลประกอบการศึกษา GLD ไทยครับ

 

http://www.gata.org/node/10366

 

GLD ฝรั่ง

 

Beyond the basics, we don't know much. You will not be allowed to see the vault, whether or not you are a GLD shareholder and no matter how many shares you own. In fact, a high trust official in New York told me that even he isn't allowed inside there. ...

 

นอกจากข้อมูลพื้นฐานแล้ว เราไม่รู้อะไรมากนัก คุณไม่มีสิทธิ์เข้าไปดูตู้นิรภัยที่เก็บทองคำ ไม่ว่าคุณจะถือ GLD หรือไม่ (ถือเยอะแค่ไหนก็ไม่ให้ดู)

 

ข้อมูลจากบุคคลภายในที่เราเชื่อถือได้ ก็บอกว่าแม้แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปข้างในตู้นิรภัย

 

"Now theoretically it is true that you can convert your GLD shares to physical gold and take delivery of it. But practically, you can't. For one thing, you have to be approved to do so (generally meaning you're either a broker or a market maker), and then you have to redeem a minimum of 100,000 shares. And even if you meet those qualifications, buried in the firm's prospectus -- a very tough read, by the way, but you can get a copy at their website if you want to try your luck -- is a provision stating that they have the option of redeeming such shares in cash equivalent rather than bullion."

แม้ว่าในทางทฤษฏี คุณจะสามารถเปลี่ยน GLD เป็นทองคำได้

แต่ในทางปฏิบัติ คุณไม่สามารถทำได้เลย

 

อย่างแรก คุณต้องได้รับอนุญาตให้สามารถเปลี่ยน GLD เป็นทองคำ (หมายความว่า คุณจะต้องเป็น broker หรือขาใหญ่) และคุณจะต้องเปลี่ยน GLD เป็นทองคำ อย่างน้อย 100,000 หุ้น

 

และแม้ว่าคุณจะมีคุณสมบัติครบทั้งหมด ในหนังสือชี้ชวน ก็ยังมี เครื่องหมาย * บอกอีกว่า กองทุน GLD (เจ้ามือ) สามารถให้เงินที่มีมูลค่าเท่ากับทองคำ (แทนทองคำจริงๆ) เมื่อคุณต้องการจะแปลง GLD ได้

ถูกแก้ไข โดย wcg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...