ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

!thk !thk !thk ขอบคุณคะคุณเสม คุณส้มโอมือ !thk !thk !thk

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นั่งนิ่งๆย่อลงมาเป็นเก็บ ระบบยังเขียวถือต่อไป

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บล.เอเซียพลัส คาดภายในเดือน ก.ย.นี้ ตลาดหุ้นไทยมีเงินจ่อไหลเข้าอีก 2-3 หมื่นล้าน ซึ่งจะดันดัชนีพุ่งกระฉูดเฉียด 1,000 จุด โดยจากการสำรวจยอดซื้อขายสุทธินักลงทุนต่างชาติในตลาดเอเชีย พบไทยเป็นรองแค่อินเดีย มียอดซื้อขายสุทธิราว 298 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 6 เดือน

 

โดยจากการสำรวจยอดซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเซียช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่ามียอดซื้อสุทธิ 269 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการกลับมาซื้ออีกครั้งในรอบ 2 สัปดาห์ โดยเป็นการซื้อมากสุดในหุ้นอินเดีย ที่ซื้อสุทธิ 317 ล้านดอลลาร์

 

บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) (ASP) ออกบทวิเคราะห์ระบุว่า ช่วงเวลาที่เหลือก่อนสิ้นเดือนก.ย.2553 นี้คาดว่าจะมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าหุ้นไทยได้อีกประมาณ 2 -3 หมื่นล้านบาท ซึ่งผลจากเงินทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทย ช่วงเดือน ก.ย.น่าจะขึ้นไปอยู่ที่ 999 จุดได้

 

ทั้งนี้ เงินทุนที่ไหลเข้าจะยังเป็นปัจจัยบวกประการสำคัญที่ขับเคลื่อนดัชนีหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของเดือน ก.ย.นี้ โดยจากการสำรวจยอดซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเซียช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า มียอดซื้อสุทธิ 269 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการกลับมาซื้ออีกครั้งในรอบ 2 สัปดาห์ โดยเป็นการซื้อมากสุดในหุ้นอินเดีย ที่ซื้อสุทธิ 317 ล้านดอลลาร์

 

รองลงมาคือ ตลาดหุ้นไทย ที่ซื้อเข้ามาราว 298 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการซื้อตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าสูงสุดในรอบ 6 เดือน ตามมาด้วย ตลาดหุ้นเกาหลี ที่พลิกกลับมาเป็นซื้อ 272 ล้านดอลลาร์ หลังจากถูกขายมาตลอดในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา และสุดท้ายเป็นการซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเวียดนาม แต่เพียงเล็กน้อยราว 10.18 ล้านดอลลาร์สวนทางกับตลาดหุ้นไต้หวันที่ยังคงถูกขายต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 โดยขายสุทธิอีก 388 ล้านดอลลาร์ เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่ถูกขายเป็นสัปดาห์แรกราว 217 ล้านดอลลาร์ และ 22 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ

 

โดย บล.เอเซียพลัส เชื่อว่า เหตุผลของการขายใน 2 ประเทศหลัง น่าจะเกิดจากความกังวลต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากตลอดปี 2553 ยังไม่เคยขึ้นดอกเบี้ยเลย ประกอบกับตลาดหุ้นทั้ง 2 แห่งให้ผลตอบแทนสูงสุดติด 1 ใน 3 ของภูมิภาคเอเชีย

 

ขณะที่ ประเทศไทยคาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยครั้งถัดไป คือ 20 ต.ค.นี้ ซึ่งคาดว่าจะขึ้นไม่เกิน 0.25% เท่ากับ 2 ครั้งที่ผ่านมา ถือเป็นระดับที่เหมาะสม และไม่น่าจะกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยสรุปการขึ้นดอกเบี้ย อาจส่งผลทำให้ตลาดหุ้นปรับฐานบ้าง แต่เป็นเพียง เหตุการณ์ในระยะสั้นๆ 1-2 สัปดาห์ล่วงหน้าก่อนการขึ้นดอกเบี้ยเท่านั้น และจากการขึ้นดอกเบี้ยแล้วเสร็จ ตลาดหุ้นจะฟื้นตัวรอบใหม่

 

อย่างไรก็ตาม โอกาสที่หุ้นไทยจะเข้าสู่ระดับ 999 จุด จะทำให้เป็นโอกาสของนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้วให้ถือต่อไป

 

ส่วนนักลงทุนที่ขายทำกำไรไปก่อนหน้า หากจะต้องกลับเข้าใหม่ ให้เลือกซื้อหุ้นที่มี โอกาศปรับตัวสูง และ PER ต่ำ ในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น ได้แก่ ธ.พ. เริ่มจาก BBL, TCAP, KBANK, SAMART และหุ้นสาธารณูปโภค ได้แก่ BTS, BMCL, CK, ITD, ADVANC, DTAC และหุ้นปันผล BCP, PHATRA

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ASTVผู้จัดการรายวัน-- แปดเดือนที่ผ่านมาเวียดนามเซ็นสัญญาขายข้าวแล้ว 6.5 ล้านตัน เต็มเป้าหมายที่ตั้งไว้แต่เดิม แต่ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าจะมีการสั่งซื้อจากจีนอีกจำนวนมาก รวมทั้งจากหลายประเทศแอฟริกาด้วย ซึ่งอาจจะทำให้ยอดส่งออกพุ่งทะลุ 7 ล้านตันเป็นครั้งแรก

 

สมาคมอาหารเวียดนามหรือ “เวียดฟู้ด” เปิดเผยเรื่องนี้ในวันอาทิตย์ (5 ก.ย.) ขณะที่กำลังทำการสำรวจข้าวในสตอก และทำประมาณการข้าวที่มีอยู่ทั้งหมดในเขตที่ราบปากแม่น้ำโขง ซึ่งในปัจจุบันชาวนาจำหน่ายข้าวได้ในราคาสูงมาก าเพิ่มขึ้นเกือบ 100% จากช่วงเดือนต้นปีที่ราคาทรุดหนัก

 

ระหว่างเดือน ม.ค.-ก.ย.นี้ เวียดนามมีรายได้จากการส่งออกข้าวกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 9% เวียฟู้ดกล่าว

 

ปัจจุบันราคาข้าวในเขตที่ราบปากแม่น้ำโขงได้เพิ่มขึ้น เป็น 5,300-6,500 ด่งต่อกิโลกรัม (19,50 ด่ง/ดอลลาร์) เป็นราคาสูงสุดในรอบปี จากเพียง 3,000 ด่ง ในช่วงเดือนต้นปีที่ราคาตกต่ำอย่างมาก และเชื่อว่าราคายังจะพุ่งต่อไปจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวใหม่

 

ปัจจุบันผู้ค้าผู้ส่งออกยังคงแย่งกันออกกว้านซื้อข้าวจากชาวนา สถานการณ์นี้ต่างไปจากช่วงเดือน มิ.ย.ที่ไม่มีผู้ออกซื้อและชาวนาก็ไม่ยอมนำข้าวออกจำหน่ายเนื่องจากราคาตกหนัก เขตที่ราบปากแม่น้ำโขงเป็นอู่ข้าวใหญ่ของประเทศ ร้อยละ 80 ของข้าวส่งออกไปจากที่นี่

 

ตามข้อมูลของ ดร.ฝั่มวันแบ๋ง (Pham Van Banh) หัวหน้าสถาบันวิจัยข้าวเขตที่ราบปากแม่น้ำโขง ปัจจุบันชาวนาหลายจังหวัดในเขตที่ราบใหญ่เก็บเกี่ยวข้าวฤดูร้อน-ใบไม้ร่วง เสร็จไปแล้วราว 80 % อีกไม่นานาก็จะมีข้าวใหม่ออกสู่ตลาด ขณะเดียวกันเดือน ต.ค.นี้ ก็จะเป็นช่วงเริ่มต้นทำนาฤดูใบไม้ร่วง-ฤดูหนาว

 

สื่อของทางการเวียดนามกล่าวว่า ตลาดข้าวในประเทศได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งใช่วงเดือน ส.ค. หลังจากจีนขอซื้อ 500,000-600,000 ตัน โดยไม่มีใครคาดคิดล่วงหน้า หลังจากเกิดภัยธรรมชาติรุนแรงในหลายท้องที่ นาข้าวถูกทำลายย่อยยับ

 

สมาคมอาหารเวียดนามกล่าวว่า จีนกำลังพิจารณาสั่งซื้อข้าวอีกนับแสนตัน เพื่อสร้างความมั่นคงด้านเสบียงอาหารตลอดฤดูหนาวที่กำลังย่างเข้ามา และแอฟริกาบางประเทศก็กำลังพิจารณาซื้อข้าวจากเวียดนามเช่นกัน

 

ราคาข้าวในตลาดโลกเคลื่อนไหวในทางบวก หลังจากรัสเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตข้าวสาลีรายใหญ่ของโลก หยุดส่งออก เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารในประเทศ

 

การที่มีข้าวสาลีและข้าวออกสู่ตลาดน้อยลงกำลังทำให้พืชอาหารชนิดอื่นๆ ราคาสูงขึ้นเช่นกัน สื่อในเวียดนามกล่าว.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...