ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

กระทิง-หมู-หมี

โลกในมุมมองของ Value Investor : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

 

ในตลาดหุ้นนั้น เรามักจะคุ้นเคยกับคำว่ากระทิงกับคำว่าหมี หรือ BULL กับ BEAR กระทิงคือภาวะที่ตลาดหุ้นหรือราคาหุ้นหรือดัชนีหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนาน ตรงกันข้าม ตลาดหมีคือภาวะที่ดัชนีตลาดปรับตัวลงรุนแรง และต่อเนื่องยาวนานเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ยังมีภาวะตลาดหุ้นอีกแบบหนึ่งคือภาวะที่ตลาดหุ้น "ไม่ไปไหน" คือหุ้นอาจจะขึ้นบ้างไม่มากนักแล้วก็ลงมาไม่มากอีกเช่นกันและก็ขึ้นๆ ลงๆ แบบนั้นเป็นเวลายาวนาน ตลาดหุ้นแบบนี้ฝรั่งเรียกว่า Range-Bound ผมขอเรียกว่าตลาด “หมู” เรามาลองดูว่าตลาดแต่ละแบบที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยนั้นเกิดเมื่อไร มีที่มาที่ไปอย่างไร

 

เริ่มตั้งแต่เปิดตลาดในปี 2518 จนถึงสิ้นปี 2521 ซึ่งเป็นปีที่พูดกันว่าหุ้นบูมสุดๆ นับเวลาได้ 3 ปีนั้น ดัชนีตลาดหุ้นขึ้นมาจากสิ้นปี 2518 ที่ประมาณ 84 จุดเป็น 258 จุด หรือขึ้นมาเฉลี่ยปีละ 45.3% ทบต้น ในเวลานั้นผมยังจำได้ว่าเพื่อนบางคนของผมได้กำไรจากหุ้นโดยที่ลงทุนไม่มากแต่เขาบอกว่าสามารถทำเงินได้เดือนละเป็นหมื่นบาท ซึ่งในเวลานั้นถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมมาก ทุกคนต่างก็เล่นหุ้นระยะสั้นแทบจะเป็นการซื้อขายรายวัน อย่างไรก็ตามคนเล่นหุ้นก็ยังมีจำกัดมาก มักอยู่ในกลุ่มคนที่ชอบเก็งกำไร หรือคนที่มีความรู้เกี่ยวกับหุ้นอย่างเช่นเพื่อนผมที่กำลังเรียน MBA

 

ที่มาของกระทิง “ตัวแรก” ของตลาดหุ้นไทยนั้น ถ้าพูดว่าเป็นเรื่องของการ “เก็งกำไร” ก็อาจจะพูดได้ แต่การเก็งกำไรนั้น ในที่สุดก็ต้องมีแหล่งว่าพวกเขาเก็งจากอะไรโดยเฉพาะในระยะยาว คำตอบก็คือ “กำไร” และการคาดการณ์ในเรื่องกำไรในอนาคตของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กำไรนั้นเป็นตัวเลขที่ชัดเจนมีการประกาศเปิดเผยทุกไตรมาสและทุกปี ดังนั้นเราหาดูได้ไม่ยาก แต่การคาดการณ์ของกำไรในอนาคตนั้นเอาแน่ไม่ได้ แต่เราก็สามารถดูได้จากการมองโลกในแง่ดี ความกระตือรือร้นในการที่จะลงทุนซื้อหุ้นของนักลงทุน และอาจจะมองถึงเรื่องของผลตอบแทน จากการลงทุนในตราสารการเงินอื่น เช่นเงินฝากหรือพันธบัตร เป็นต้น โชคดีที่ว่าประเด็นทั้งหลายเหล่านี้ เราสามารถหาตัวแทนซึ่งเป็นตัวเลขได้นั่นก็คือ ค่า PE หรือ ราคาต่อกำไรต่อหุ้น ของตลาดหลักทรัพย์ นั่นก็คือ ถ้านักลงทุนมีความ “ฮึกเหิม” มั่นใจในตลาดหุ้น พวกเขาก็จะเข้าซื้อหุ้นและทำให้ค่า PE สูงกว่าปกติและทำให้ตลาดกลายเป็นตลาดกระทิง แต่ถ้าพวกเขา“หดหู่” มองโลกไม่สดใสหรือหวาดกลัว ก็จะขายหุ้นทำให้ PE ต่ำกว่าปกติ และกลายเป็นตลาดหมี

 

ตลาดกระทิงตัวแรกของเรานั้นพบว่าเกิดขึ้นเพราะกำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโตขึ้นอย่างโดดเด่น คือเติบโตขึ้นปีละประมาณ 22% แบบทบต้น ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตที่โดดเด่นมากแม้ว่าในช่วงนั้นภาวะทางการเมืองอยู่ในภาวะ “หน้าสิ่วหน้าขวาน” คอมมิวนิสต์กำลังชนะทั้งในเวียดนาม ลาว และเขมร ประเทศไทยถูกคาดว่าจะเป็น “โดมิโน” ตัวต่อไป และการประท้วงของนักศึกษา และการปราบปรามกำลังร้อนแรง คนมีเงินบางคนถึงกับคิดอพยพจากประเทศไทย ไปอยู่ที่อื่น นอกจากเรื่องของผลกำไรแล้ว ดูเหมือนว่าคนในตลาดหุ้นในเวลานั้นซึ่งมีน้อยมาก อาจจะยังไม่สนใจเรื่องของการเมืองนัก จึงให้ค่า PE สูงขึ้น ค่า PE ปรับตัวขึ้นจาก 4.98 เป็น 8.46 เท่าหรือเพิ่มขึ้นปีละ 19.32% ทบต้น พวกเขาคงคิดว่าราคาหุ้นในขณะนั้นต่ำมาก อย่างไรก็คุ้มที่จะลงทุน

 

หลังจากสิ้นปี 2521 เมื่อมีการ “กวาดล้าง” ขบวนการ “ฝ่ายซ้าย” หมด ประเทศไทยก็เผชิญกับเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกเช่นราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมากจากวิกฤติน้ำมันและอื่นๆ ช่วงจากสิ้นปี 21 ถึงสิ้นปี 2529 เป็นเวลา 8 ปี ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วง “ตลาดหมู” ดัชนีหุ้นเมื่อสิ้นปี 29 อยู่ที่ 207 จุดจาก 258 จุดหรือเป็นการลดลงปีละ 2.7% ทบต้น กำไรของบริษัทจดทะเบียนเองก็ลดลงเฉลี่ยปีละ 7.3% ความสนใจในตลาดหุ้นมีน้อยมาก แม้ว่าค่า PE จะปรับตัวขึ้นบ้างจาก 8.46 เท่าเป็น 12.4 เท่า แต่ก็ไม่สามารถผลักดันราคาหุ้นให้ขึ้นมาได้ แต่นักเศรษฐศาสตร์ก็พูดกันว่าช่วงนี้เป็น “ฐาน” ของการที่ประเทศไทยจะ “โชติช่วงชัชวาล” ในเวลาอีก 7 ปีต่อมา

 

ช่วงสิ้นปี 2529 ถึง สิ้นปี 2536 เป็นตลาดกระทิงอย่างแท้จริง ผลจากการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตของญี่ปุ่นสู่ประเทศไทยและการเปิดเสรีการเงินที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้อย่างสะดวกทำให้เศรษฐกิจไทยสดใส และบริษัทจดทะเบียนสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นปีละประมาณ 21% ทบต้นต่อกัน 7 ปี เช่นเดียวกัน ค่า PE ปรับตัวขึ้นปีละ 11% เนื่องจากเงินต่างประเทศและความสนใจในการลงทุนของคนไทย สิ้นสุดปี 36 ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นเป็น 1683 จุด หรือเพิ่มปีละ 34.9% ทบต้นเรียกได้ว่าเป็น “ซูเปอร์บูม” คนเล่นหุ้นรวยกันทั่วหน้า และบังเอิญว่าผู้จัดการตลาดในช่วงนั้นก็ชื่อ “มารวย” ด้วย อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นในช่วงท้ายนั้น ดูเหมือนจะแพงมากเพราะค่า PE ของตลาดสูงถึง 26 เท่า

 

“ฟองสบู่” ในเศรษฐกิจและตลาดหุ้นหลังจากปี 2536 คงเริ่มแตกและแตกจริงๆ ในปี 2540 ที่ไทยต้องลดค่าเงินและเข้าโครงการ IMF และต่อไปจนถึงปี 2543 ดัชนีตกจาก 1683 จุดเหลือเพียง 269 จุด หรือเป็นการตกลงปีละ 23% ทบต้น 7 ปี รวมแล้วหุ้นตกลงไป 84% และเป็นตลาดหมีที่รุนแรงที่สุด บริษัทจดทะเบียนมีกำไรลดลงปีละ 3.93% โดยเฉลี่ย คนแทบจะเลิกเล่นหุ้นหรือถึงจะอยากก็ไม่มีเงินทั้งๆ ที่ราคาหุ้นถูกมากค่า PE ที่เคยสูงถึง 26 เท่า เหลือเพียง 5.5 เท่าและนี่เป็นการสร้างฐานที่จะทำให้หุ้นบูม กลายเป็น “กระทิงตัวใหญ่” ในช่วงเวลาต่อมา

 

จากสิ้นปี 2543 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกือบ 10 ปี นั้น ดูเหมือนว่าหุ้นจะอยู่ในช่วงขาขึ้นและเป็น “กระทิงดุ” และทั้งๆ ที่มีสภาวะความวุ่นวายทางการเมืองมากมาย รวมถึงเหตุการณ์รุนแรงทั้งทางการเมือง และเศรษฐกิจในระดับโลก หุ้นไทยก็ “เดินหน้า” ไปเรื่อยๆ จากดัชนี 269 เพิ่มขึ้นเป็น 992 จุดในช่วงนี้ เป็นการเพิ่มขึ้นถึงปีละ 13.9% โดยเฉลี่ยแบบทบต้น ดูเหมือนว่าคนไทยตั้งแต่ระดับชั้นกลางขึ้นไปจะสนใจลงทุนในหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ค่า PE เพิ่มขึ้นจาก 5.5 เท่าเป็น 15.5 เท่า ในขณะที่ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน เพิ่มขึ้นน้อยมากเพียงปีละ 2.8% โดยเฉลี่ย ซึ่งถ้าวิเคราะห์ก็จะดูเหมือนว่ากระทิงรอบนี้มาโดย “ไม่มีเนื้อ” พูดง่ายๆ หุ้นขึ้นเพราะการมองโลกในแง่ดีและราคาหุ้นที่ถูกมากเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ราคาหุ้นก็ไม่ถูกอีกต่อไปแล้ว คำถามก็คือ อนาคตจากนี้ไป อะไรจะมา “รับลูกต่อ” คำตอบคือ ต้องเป็นกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่จะต้องเพิ่มขึ้น หรือไม่ คนก็จะต้องมองหุ้นในแง่ดีขึ้นไปอีก มิฉะนั้น กระทิงตัวนี้ก็ไม่อาจจะเดินต่อไปได้

 

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณส้มโอ ช่างขยันจริงวันหยุดยังตื่นเช้า

หาข่าวมาให้สมาชิกได้รับรู้ตลอด

ขอบคุณๆๆๆๆๆๆๆๆๆนะคร้า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อนาคตอันใกล้จะเป็นไรหนอ

!38 !38 !38 !38กระทิง หมี หรือว่าหมู

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณส้มโอมือขยันจริง ๆ เลยค่ะ ขนาดวันหยุด นับถือ ๆ +1 สำหรับความใจดีค่ะ..

อยากให้เป็นกระทิงก่อนได้เปล่าคะ จะได้หาค่าเล่าเรียนให้ลูก ๆ น่ะค่ะ แบบว่าลูกยังเล็ก...

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มาขอบคุณคุณส้มโอมือค่ะ ที่มา update ข่าวสารให้เราสม่ำเสมอ ไม่เว้นวันหยุด

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บวกเพิ่ม 2 แต้มคะ ขอบคุณมากคะคุณเสม ถือตามระบบ :wub:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ยังไม่เคยเล่นตามระบบเลยค่ะ เลยไม่กล้ามาโสพต์ ได้แต่มาแอบอ่าน ปกติ เล่น พอเห็นกําไร ก้อรีบขาย แล้ว ก้อพอขายแล้ว ก้อขึ้นเอาๆๆ หมายถึงทุกตัวที่เล่นนะคะ :lol: เลยคิดว่า ต่อไป เล่นตามระบบมั่งดีกว่า แต่ไม่รู้ว่า ตัวเอง จะใจแข็งได้มากแค่ไหนค่ะ <_< ตอนนี้ ในมือมีแท่ง มีเคโกลด์ มีเซ แล้วก้อเซท50 อ้อ เคออยล์ เพิ่งเข้าเมื่อวันศุกร์ เพราะพอดีมาอ่านเจอในกระทู้นี้ค่ะ ว่าแนวโน้มไป90 แล้วก้อไป105 :wub: ต่อไป จะขอฝึกเล่นตามระบบด้วยคนค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
รอ 1600 ได้เป็นสิ่งที่ดีครับ ผมสบายๆครับกับทองคำเเท่ง

วันนี้ HMPRO เเดงเเล้วนะครับ ยังไงก็ต้อง Stop loss ครับไม่มีข้อต่อรองเด็ดขาด เดียวมันเขียวค่อยซื้อใหม่ครับ

วันนี้ผมขายตัวนี้ไม่ทันเดียวตลาดเปิดวันจันทร์ เเล้วค่อยขายครับเพราะสะดวกดี เราไม่คาดเดานะครับว่า Set จะไปได้อีกไกล

จริงหรือไม่ นั้นคือการปรุงเเต่งครับเราไม่เล่นเเบบการพนันครับ เราดูเเค่ เขียว เเดง เเล้วซื้อขายครับอยู่กับความเป็นจริง

 

คุณเสมทำตามระบบได้ใจเด็ดมากครับ

 

อยากทราบว่าหุ้นรายตัวนี่ ผมไม่มีระบบกราฟเขียวแดง ผมใช้หลัก higher high ของราคาเข้าซื้อแล้วขายที่ lower low ได้ไหมครับ

ถูกแก้ไข โดย milo

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เล่นหุ้นแบบไหนดีที่สุด

โลกในมุมมองของ Value Investor : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 02 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

 

ในเรื่องของการลงทุนหรือเล่นหุ้นนั้น มีเทคนิคหรือวิธีการหลายอย่างที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น ลงทุนแบบ Value หรือเน้นคุณค่า เล่นหุ้นแบบดูกราฟแนวรับแนวต้าน หรือเล่นหุ้นโดยวิธีการ "ปั่นหุ้น" เป็นต้น คำถาม ก็คือ เล่นหุ้นด้วยวิธีไหนดีที่สุด

 

ก่อนที่จะตอบคำถามนั้น ผมคงต้องเติมข้อความในวงเล็บว่า ดีที่สุด (โดยเฉลี่ย) เพราะในแต่ละเทคนิคหรือวิธีการนั้น คนที่ทำได้ดีอาจจะเก่งมากจนทำได้ดีกว่าคนที่เก่งที่สุดในอีกวิธีหนึ่ง แต่โดยเฉลี่ย ซึ่งรวมถึงคนที่ไม่เก่งทั้งหมดด้วยแล้ว วิธีนั้นอาจจะแพ้การลงทุนอีกวิธีหนึ่งที่คนเก่งมากกับคนที่เก่งน้อยได้ผลตอบแทนไม่ต่างกันมากก็ได้

 

ประเด็นต่อมา ก็คือ ในการที่จะบอกว่าวิธีไหนดีกว่าวิธีอื่นนั้น เราจำเป็นต้องมีข้อมูลเพื่อที่จะพิสูจน์ ดังนั้น วิธีการลงทุนหรือเล่นหุ้นบางอย่างที่หาข้อมูลไม่ได้ เช่น การ "ปั่นหุ้น" นั้น เราคงไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นวิธีที่ดีแค่ไหนในการทำกำไร แม้ว่าเราจะเชื่อว่าเป็นวิธีที่น่าจะได้ผลตอบแทนสูงสุด อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นวิธีการที่ผิดกฎหมายและผมไม่แนะนำให้ทำ มันก็เหมือนกับถามว่า วิธีทำงานหาเงินที่ได้เงินมากและเร็วที่สุดคืออะไร ซึ่งคำตอบของเราอาจจะบอกว่า การ "คอร์รัปชัน" แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนสามารถทำได้ เช่นเดียวกับการ "ปั่นหุ้น" ที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้

 

ในการศึกษาเรื่องของเทคนิคหรือวิธีการในการลงทุนหรือเล่นหุ้นนั้น ในเชิงวิชาการ เราสามารถแบ่งออกได้เป็นกลุ่มหลักๆ 4 วิธีด้วยกัน คือ วิธีแรก เป็นกลุ่มของนักเล่นหุ้นที่ใช้ข้อมูลเพียง 2 อย่าง นั่นก็คือ ข้อมูลราคาหุ้นกับปริมาณการซื้อขายของหุ้น กลุ่มนี้จะนำข้อมูลทั้งสองอย่างมาเขียนเป็นกราฟ หรือทำเป็นจุดอะไรต่างๆ จากนั้นก็อาจจะคำนวณหาราคาเฉลี่ยในแต่ละช่วงเวลาหรือลูกเล่นต่างๆ แล้วก็กำหนดจุดซื้อขายหุ้น ด้วยวิธีนี้ พวกเขาคิดว่าจะสามารถทำกำไรได้ดีกว่าปกติ เราเรียกพวกเขาว่า "นักเล่นหุ้นแบบเทคนิค" การศึกษาจากตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างในสหรัฐพบว่าการเล่นหุ้นแบบเทคนิคไม่สามารถเอาชนะดัชนีตลาดได้ ปัญหาใหญ่ ก็คือ พวกเขาต้องเสียค่าคอมมิชชั่นสูงเนื่องจากวิธีนี้มักทำให้ต้องซื้อๆ ขายๆ หุ้น "ตามสัญญาณ" ค่อนข้างมาก ในตลาดหุ้นไทยผมไม่แน่ใจว่ามีคนทำการศึกษาหรือไม่ นอกจากนั้น คนที่เป็นนักเทคนิคเองผมก็คิดว่ายังมีไม่มากนัก

 

วิธีที่สอง ก็คือ การลงทุนแบบอาศัย "ข้อมูลพื้นฐาน" ทั้งหลายที่เปิดเผยต่อสาธารณชนแล้ว ข้อมูลเหล่านี้รวมถึงข้อมูลทางเศรษฐกิจ การเงิน และข้อมูลผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นด้วย กลุ่มคนที่ใช้วิธีนี้ในการลงทุนนั้นกว้างขวางมาก ซึ่งรวมไปถึงคนที่บริหารกองทุนรวมจำนวนมหาศาล จากการศึกษาในตลาดหุ้นสหรัฐเช่นเดียวกันก็พบว่านักลงทุนที่ใช้วิธีการนี้ก็แพ้ดัชนีตลาดแบบ "ราบคาบ" ประเด็นสำคัญ ก็คือ การทำแบบนี้ต้องค้นคว้าและศึกษาข้อมูลมากมาย ต้องใช้คนที่จบการศึกษาทางด้านการเงินระดับ "MIT" มาทำงานทำให้มีต้นทุนในการบริหารพอร์ตสูงไม่คุ้มค่า

 

วิธีลงทุนโดยอาศัย "ข้อมูลพื้นฐาน" นี้ มีวิธีการ "ย่อย" แตกแขนงออกมา นั่นก็คือ วิธีการที่เรียกว่า "Value Investment" หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่า วิธีนี้เน้นที่การลงทุนในหุ้นที่มี "ราคาถูกเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับพื้นฐานของกิจการ" การศึกษาจากตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นไทยด้วยพบว่า การลงทุนแบบ VI นั้น ให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมกว่าดัชนีตลาดมากในระยะยาว ว่าที่จริงในตลาดหุ้นไทยนั้น การลงทุนแบบ VI ให้ผลตอบแทนโดดเด่นมากเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหุ้น ในขณะที่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น ในบางช่วงบางตอน การลงทุนแบบ VI ก็แพ้ตลาดเหมือนกันแม้ว่าในระยะยาวแล้วโดยเฉลี่ยจะเหนือกว่ามาก

 

วิธีที่สาม คือ การลงทุนหรือเล่นหุ้นโดยใช้ "ข้อมูลภายใน" ที่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชน วิธีนี้นั้น แน่นอน คนที่จะรู้ก็มักจะเป็น "คนใน" ที่เป็นผู้บริหารของบริษัท คนกลุ่มนี้มักจะมีจำนวนไม่มาก การศึกษาในสหรัฐเคยพบว่าพวกเขาสามารถทำกำไรได้ดีกว่าดัชนีหุ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ลงทุนตาม "คนใน" ผมก็เชื่อว่าคงไม่สามารถทำกำไรได้ เนื่องจากว่าเขาจะรู้ ราคาหุ้นก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

 

สุดท้าย คือ วิธีการลงทุนแบบ Passive หรือการลงทุนโดยการกระจายการถือครองหุ้นตามดัชนีพูดง่ายๆ ซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนหุ้นตามดัชนี กลุ่มคนที่ใช้วิธีนี้มีความเชื่อว่าตลาดหุ้นนั้น "มีประสิทธิภาพ" ราคาหุ้นในตลาดสะท้อนคุณค่าของกิจการหมดแล้วจึงมีราคาที่เหมาะสม ดังนั้น จึงไม่มีประโยชน์ที่จะเลือกหุ้น ไม่ว่าจะใช้วิธีการหรือเทคนิคอะไร วิธีการที่ดีกว่า ก็คือ ซื้อหุ้นกระจายกันไปทุกตัวในตลาดและได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีโดยที่ต้นทุนในการบริหารกองทุนนั้นต่ำมาก ซึ่งผลการศึกษาในตลาดหุ้นสหรัฐพบว่า วิธีนี้ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดโดยเฉลี่ยเมื่อเทียบกับวิธีการลงทุนแบบอื่นๆ ที่กล่าวมา

 

นั่นอาจจะเป็นผลที่เกิดขึ้นในตลาดสหรัฐ ที่ซึ่งตลาดหุ้นอาจจะ "มีประสิทธิภาพสูง" อันเป็นผลจากการที่มีนักลงทุนและนักวิเคราะห์ที่มีความสามารถสูงมากมาย ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวได้รวดเร็วตามพื้นฐานของมันและทำให้หาหุ้นที่ราคาผิดไปจากพื้นฐานได้ยาก แต่ในตลาดหุ้นไทยเองนั้น ก็อาจจะมีข้อสงสัยว่าตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพแค่ไหน คนจำนวนมากโดยเฉพาะที่เป็น VI เชื่อว่ายังมีหุ้นถูกและดีที่เป็นหุ้น VI อีกมาก และเรายังสามารถใช้หลักการของ VI ทำผลตอบแทนได้โดดเด่นอยู่

 

ผมเองเชื่อว่า VI นั้น เป็นวิธีการลงทุนที่เหนือกว่าการลงทุนแบบอื่นๆ มองจากประสบการณ์ส่วนตัวและที่ได้สัมผัสกับนักลงทุนจำนวนมาก เหนือสิ่งอื่นใด การศึกษาก็พบว่ามันเป็นเทคนิคที่ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นมากอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคนที่เก่งมากๆ เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เทคนิคนั้นก็จะด้อยประสิทธิภาพลงไปเรื่อยๆ เพราะหุ้นที่ Undervalue หรือหุ้นที่มีราคาถูกก็จะถูกไล่ซื้ออย่างรวดเร็วจนมีราคาแพงขึ้น และทำให้คนที่เข้าไปลงทุนตามไม่ได้กำไร สุดท้าย ราคาหุ้นส่วนใหญ่หรือเกือบทุกตัวก็จะมีราคาที่เหมาะสม ซึ่งทำให้เราไม่สามารถหากำไรได้ง่ายๆ

 

ก่อนจะจบผมอยากเพิ่มเติมประเด็นที่มักจะมีการถกเถียงกันว่าการใช้วิธีการลงทุนแบบเทคนิค หรือการลงทุนแบบ VI ใครดีกว่ากัน หรือ VI ควรนำวิธีการของเทคนิคมา "เสริม" ไหม คำตอบสั้นๆ ของผม ก็คือ ข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นนั้น เป็นข้อมูลสาธารณะที่นักลงทุนในกลุ่มสองสามารถใช้ได้อยู่แล้ว ที่จริง VI ดังๆ หลายคนก็ใช้ข้อมูลทางเทคนิค ประเด็นสำคัญที่จะแบ่งว่าคุณอยู่กลุ่มไหนจึงน่าจะอยู่ที่ดีกรีของข้อมูลที่ใช้มากกว่า อย่างตัวผมเองนั้น ผมใช้ข้อมูลเกี่ยวกับราคา และปริมาณการซื้อขายน้อยมาก ผมพอใจที่จะอยู่กับข้อมูลพื้นฐานเป็นหลัก แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า นี่คือ สิ่งที่ดีที่สุด คนที่จะพูดแบบนั้นได้ควรจะมีข้อพิสูจน์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณเสมคะถ้ามีSอยู่ควรคัทมั้ยคะ !17 ถ้าคัทแล้วLตามจะทันรึเปล่าคะ !49

 

Stop loss ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณเสมทำตามระบบได้ใจเด็ดมากครับ

 

อยากทราบว่าหุ้นรายตัวนี่ ผมไม่มีระบบกราฟเขียวแดง ผมใช้หลัก higher high ของราคาเข้าซื้อแล้วขายที่ lower low ได้ไหมครับ

 

ครับ ผมเป็นคนใจเด็ดครับ วางกฎอะไรไว้เเล้วต้องทำให้ได้เท่านั้น

 

ระบบมีเป็นร้อยเป็นพันระบบครับ จะใช้ระบบอะไรก็ได้ เเต่ระบบที่ใช้นั้นต้องมีการ Back test ย้อนหลังสัก 5 ปี ถ้าอดีตกำไร อนาคตก็กำไรครับ

ระบบคือ ทำให้เราไร้จิตใจในการเทรดเเค่นั้นอะครับ

มีอีก 2 เรื่องที่สำคัญกว่าระบบมากๆครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณ คุณเสมและคุณสมโอมือมากๆค่ะ

รอบนี้ t fex โดดลงรถไปก่อนอีกแล้วค่ะ สงสัยต้องไปทำบุญเยอะๆแล้วค่ะ !_09 !17

!thk !thk !thk !thk !thk

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันนี้ ว่างๆเอากราฟน้ำมันมาให้ดู ผีเสื้อบินว่อนเลย ใครมีฝีมือช่วยกันจับหน่อยนะครับ

คงรู้ว่าราคาจะไปเเถวไหนกัน

post-31-006356800 1289107209.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีค่ะ คุณเสม คุณส้มโอมือและเพื่อนนักลงทุนทุกท่านคะ มีความสุข สุขภาพแข็งแรงทุกคนค่ะ !thk !thk !thk !thk

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...