ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ถ้ารอถึงเป้าที่คุณเสมว่า คงต้องเป็นทองแท่งอย่างเดียวใช่มั้ยครับ ถ้าซื้อกองทุน ไม่รู้จะรอได้มั้ยครับ เพราะผมสะดวกซื้อกองทุนมากกว่าทองแท่งนะครับ !01

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

***อ่านข้อความคุณใหญ่แล้วยิ้มได้*** ^_^

เห็นด้วยค่ะ วันนี้เข้าซื้อทองแล้วค่ะ ทำตามคุณเสม สบายใจค่ะ เก็บไว้ขาย 1600 เหมือนกันค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เงินดอลลาร์ท่วมโลก!?

 

โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 16 พฤศจิกายน 2553 15:33 น.

 

 

 

 

 

 

กลุ่มประเทศขนาดใหญ่ G 20 ซึ่งเป็นกลุ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้บริหารธนาคารกลาง จากประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 19 ประเทศ รวมกับสหภาพยุโรป กลุ่ม G 20 นั้นมีขนาดเศรษฐกิจรวมกันเท่ากับ 90% ของเศรษฐกิจโลก เมื่อได้มาประชุมกันเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2553 ก็ไม่ได้มีผลอะไรเป็นรูปธรรมชัดเจนในเรื่องสงครามเงินสกุลโลก นอกจากการลงมติที่ว่า

 

“เห็นชอบให้สนับสนุนระบบอัตราแลกเปลี่ยนให้เคลื่อนไหวตามกลไกตลาด และให้อัตราแลกเปลี่ยนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และมีมติให้ประเทศสมาชิกหลีกเลี่ยงการลดค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันด้านการค้า”

 

ที่เสียงของกลุ่มประเทศ G 20 ไม่ดังหรือมีมาตรการที่ชัดเจนพอ ก็เพราะในที่ประชุมดังกล่าว มีความเกรงใจต่อมหาอำนาจ 2 ประเทศ ที่เป็นคู่กรณีของสงครามสกุลเงินโลกในครั้งนี้ นั่นก็คือ จีน และสหรัฐอเมริกา

 

ด้านหนึ่ง คือ สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่ก่อหนี้อย่างมหาศาลและธนาคารกลางพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาใช้จ่ายอย่างไร้ขีดจำกัด โดยไม่ต้องมีเงินตราต่างประเทศมาหนุนหลัง ซึ่งในปลายปีนี้คาดการณ์ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีหนี้สาธารณะและหนี้ของมลรัฐต่างๆ สะสมรวมกันถึง 14.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในจำนวนนี้เป็นการพิมพ์เงินดอลลาร์โดยธนาคารกลางของอเมริกาให้กับรัฐบาลอเมริกากู้ประมาณ 7.10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แถมในช่วงหลังยังขาดดุลบัญชีเดินสะพัดปีละ 4-5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยอเมริกาซึ่งเติบโตด้วยหนี้และพิมพ์เงินดอลลาร์นั้นมีขนาดของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP)ใหญ่ที่สุดในโลกประมาณ 14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นสัดส่วน 24% ของ GDP ทั้งโลกรวมกัน) แต่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาอัตราการว่างงานที่ทะยานสูงขึ้น 10% (ซึ่งเป็นอัตราเดียวกันกับกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ที่กำลังเผชิญปัญหาหนักเช่นกัน)

 

ในขณะที่จีนเองก็ใช้ระบบควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนตรึงค่าเงินหยวนเอาไว้กับดอลลาร์สหรัฐ จนเงินหยวนอ่อนค่ากว่าความเป็นจริง ได้เปรียบทางการค้าระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดนักลงทุนมาสร้างฐานการผลิตเข้ามาในจีนอย่างมหาศาล มีขนาดของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ประมาณ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (เล็กกว่าอเมริกา 2.8 เท่าตัว) แต่มีประชากรประมาณ 1,340 ล้านคน (มากกว่าอเมริกา 4.3 เท่าตัว) มีกำลังซื้อมหาศาล โดยในปีหนึ่งๆ จีนค้าขายระหว่างประเทศจนเกินดุลบัญชีเดินสะพัดปีละประมาณ 2-3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และจีนจะได้ดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

 

ด้านสหรัฐอเมริกาและยุโรปซึ่งสูญเสียความสามารถในการผลิตให้กับภูมิภาคเอเชียอย่างมหาศาล สิทธิประโยชน์และสวัสดิการของแรงงานในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ได้ทำให้ฐานการผลิตในสหรัฐอเมริกาและยุโรปย้ายเข้ามาในภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง

 

การสูบความมั่งคั่งโดยกลุ่มกองทุน เฮดจ์ ฟันด์ ที่เข้าโจมตีค่าเงินในภูมิภาคเอเชีย หรือทำกำไรจากการปั่นและทุบหุ้นในภูมิภาคนี้ในอดีต ได้สร้างกำไรอย่างมหาศาลให้กับสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ทำให้เกิดปัญหาใหม่ของสหรัฐอเมริกาก็คือ “ความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจ” สถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกาที่มีเงินมากไปไม่สามารถจะปล่อยกู้ให้กับภาคการผลิตที่แท้จริงให้มากเท่ากับเงินที่มีอยู่อย่างมหาศาลได้ จึงหันไปเน้นการปล่อยในสินเชื่อให้กับกองทุนเก็งกำไรต่างๆ และลงทุนในตราสารต่างๆ ซึ่งรวมถึงปัญหาที่หนักที่สุดของสหรัฐอเมริกาก็คือการปล่อยเงินกู้ให้กับผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูงหรือที่เรียกว่า Subprime Loan และก่อให้เกิดหนี้เสียอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จนมีบริษัทขนาดใหญ่และกองทุนต้องล้มละลาย สร้างความเสียหายให้กับสหรัฐอเมริกาอย่างใหญ่หลวง

 

ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาตรการ QE (Quantitative Easing) ในปี 2551 เพื่อแก้ไขปัญหาของธนาคารพาณิชย์ที่มีหนี้เสียเป็นจำนวนมากซึ่งจะทำให้ปล่อยสินเชื่อได้อย่างจำกัด ด้วยการพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมารับซื้อตราสารและสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของธนาคารพาณิชย์รวมกันประมาณ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อหวังว่าจะให้ธนาคารพาณิชย์ได้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์และมาดำเนินการเป็นปกติให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการได้

 

อเมริกาพยายามแก้ไขปัญหาของตัวเอง ด้วยการใช้งบประมาณขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจถึง 10% ของ GDP และพยายามลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางให้ต่ำเข้าใกล้ 0% แต่กลับกลายเป็นว่าเงิน QE ที่ทุ่มลงไปครั้งแรกเมื่อ 2 ปีที่แล้วกลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะธนาคารพาณิชย์เหล่านั้นแทนที่จะปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจ กลับนำเงินไปลงทุนกินส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรของสหรัฐอเมริกาซึ่งเสี่ยงน้อยกว่า

 

อัตราการว่างงานในสหรัฐอเมริกาที่สูงถึง 10% เป็นผลทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องออกมาตรการ QE 2 ที่จะพิมพ์เงินออกมาเพื่อทุ่มเงินไปอีกประมาณ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ คราวนี้จะเข้าไปซื้อในตลาดพันธบัตรของสหรัฐอเมริกา เมื่อใช้เงินจำนวนมหาศาลทยอยเข้าไปซื้อพันธบัตรก็จะทำให้ราคาซื้อขายในตลาดพันธบัตรสูงขึ้น และเป็นผลทำให้อัตราผลตอบแทนที่ได้ (Yield) ในตลาดซื้อขายพันธบัตรลดลง โดยหวังว่าจะบีบธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกาหยุดลงทุนในตลาดพันธบัตรของสหรัฐอเมริกา แล้วหันกลับไปปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจของสหรัฐอเมริกาแทน

 

เอาเข้าจริง QE 2 ก็เกิดปัญหาใหม่ขึ้น เพราะธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินของอเมริกาไม่ได้ไปปล่อยสินเชื่อตามวัตถุประสงค์ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา แต่กลับขนเงินดอลลาร์ไปลงทุนในพันธบัตรต่างประเทศ หุ้นในต่างประเทศ ทองคำ น้ำมัน ฯลฯ เพราะนอกจากจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนแล้วยังได้กำไรค่าเงินในประเทศในภูมิภาคเอเชียที่กำลังแข็งค่าขึ้นอีกด้วย

 

นายพอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ได้ให้ความเห็นเมื่อเดือนตุลาคม 2553 ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกามีขนาดใหญ่ถึง 14.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หากจะกระตุ้นเศรษฐกิจอเมริกาให้ตื่นขึ้นมาอย่างได้ผล อาจต้องใช้มาตรการ QE ถึงประมาณ 8-10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเกือบจะเท่ากับทุนสำรองของทุกประเทศรวมกันทั้งโลกประมาณ 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

 

ซึ่งก็ยังเป็นที่น่าสงสัยว่าหากมีเงินไหลเข้าสู่ระบบเช่นนั้นแล้ว ธนาคารพาณิชย์จะปล่อยสินเชื่อได้จริงหรือไม่ หรือจะนำเงินลงทุนไปต่างประเทศอีก?

 

ปัญหาคือโครงสร้างภาคธุรกิจจริงขอสหรัฐฯ ได้สูญเสียภาคการผลิตให้กับภูมิภาคเอเชียเป็นเวลานานแล้ว ธุรกิจในอเมริกาส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ และมาบวกกำไรขายต่อในลักษณะค้าปลีก และทำธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีสร้างสรรค์ชั้นสูงแล้วคิดค่าใช้จ่ายสูงเพื่อดูดความมั่งคั่งกลับคืนสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา เช่น สินค้า Software, คอมพิวเตอร์, ยารักษาโรค, เทคโนโลยีการแพทย์ ผ่านเครื่องมืออย่าง ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร แต่ก็ไม่สามารถมาทดแทนการขาดดุลการค้าระหว่างประเทศได้

 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ แอปเปิล ได้ผลิตโทรศัพท์ไอโฟน ในประเทศจีน เพราะต้นทุนต่อเครื่องต่ำกว่า 20 ดอลลาร์สหรัฐ (600 บาท) ซึ่งเป็นราคาหลังจากที่รัฐบาลจีนได้ปรับค่าแรงทั่วประเทศแล้ว แต่แอปเปิลได้บวกกำไรให้กับเฉพาะบริษัทของตัวเองไม่ต่ำกว่า 30 เท่าตัวเมื่อเทียบกับต้นทุนกระบวนการผลิตในประเทศจีน เช่นเดียวกับสินค้าในสหรัฐอเมริกาก็บวกกำไรค้าปลีกกัน 3-4 เท่าตัวของราคาขายหน้าโรงงาน

 

ค่าแรงขั้นต่ำของประเทศไทยในกรุงเทพมหานครอยู่ที่ 209 บาท/ วัน ในขณะที่เมืองเสิ่นเจิ้นประเทศจีน มีค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยประมาณ 179 บาท/วัน ในขณะที่แรงงานขั้นต่ำในสหรัฐอเมริกาคิดเป็น “ชั่วโมง” ละ 217.5 บาท หรือวันหนึ่งทำงาน 8 ชั่วโมงก็จะได้วันละ 1,740 บาท

 

ค่าแรงขั้นต่ำของสหรัฐอเมริกาที่สูงกว่าจีนถึง 10 เท่าตัว ดังนั้น ต่อให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นตามสภาพความเป็นจริง ฐานการผลิตก็คงจะไม่ย้ายกลับไปที่สหรัฐอเมริกาอยู่ดี การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปในภาคธุรกิจจริงก็ยังคงต้องประสบปัญหาต่อไป

 

ความจริงสหรัฐอเมริกาไม่เคยกลัวว่าจะประสบปัญหาไม่มีเงินจ่ายหนี้ในประเทศ หรือหนี้ต่างประเทศ ไม่เคยกลัวการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เพราะธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาสามารถพิมพ์เงินดอลลาร์ได้อย่างไม่มีกฎเกณฑ์ และไม่จำกัดจำนวน เพียงแต่วิกฤตการณ์ครั้งนี้มาถึงจุดที่ทุกประเทศเกิดความไม่ไว้วางใจต่อเงินสกุลดอลลาร์อย่างรุนแรงพร้อมๆ กันทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

ภายหลังจากมาตรการ QE 2 ได้ออกมา ทำให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศทั่วโลกได้มีความกังวลใจต่อการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีอยู่ในทุนสำรองระหว่างประเทศของตัวเองที่กำลังด้อยค่าลงอย่างต่อเนื่อง เป็นผลทำให้ทั่วโลกพยายามนำเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาไปลงทุนสินทรัพย์อย่างอื่นให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนในรูปเงินสกุลท้องถิ่นในเอเชีย หุ้น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชีย แร่ธาตุ และน้ำมัน ที่มูลค่าทะยานสูงเพิ่มขึ้น ยิ่งเป็นผลทำให้เงินดอลลาร์ร่วงอ่อนค่าลงไม่หยุด

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหุ้นของไทยและทั่วโลกที่ทะยานขึ้นมานั้น เป็นส่วนหนึ่งของการไหลทะลักของเงินดอลลาร์ที่ท่วมโลกแล้วพยายามนำเงินดอลลาร์เข้ามาแปลงเป็นสินทรัพย์เป็นสกุลเงินบาทเพื่อเก็งกำไรทั้งหุ้นและค่าเงิน

 

โดยปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นกว่า 20 เท่าตัวเมื่อเทียบกับผลประกอบการ ซึ่งถือว่าสูงเกินปัจจัยพื้นฐานไปมากแล้ว ค่าเงินบาทใน 10 เดือนแรกแข็งค่าขึ้นไปแล้ว 10.2% จากเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาในประเทศไทยประมาณ 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งได้ช้อนซื้อเพื่อปั่นราคาและทุบเทขายทำกำไรไปแล้วหลายระลอก หากรัฐบาลและแบงก์ชาติยังไม่มีมาตรการแก้ไขที่ชัดเจนออกมา นอกจากแมงเม่าจะต้องถูกเผาไหม้ไปในตลาดหุ้นแล้ว เงินบาทจะไร้เสถียรภาพส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ผลิตในประเทศรุนแรงยิ่งกว่านี้อย่างแน่นอน

 

ทั้งยูโรและดอลลาร์ซึ่งเป็นเงินสกุลหลักของโลกอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง เป็นผลทำให้ธนาคารกลางทั่วโลก (รวมถึงแบงก์ชาติไทย) ได้พยายามเปลี่ยนสัดส่วนไปถือทองคำมากขึ้น เป็นผลทำให้มูลค่าทองคำสูงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่ประเทศจีนได้นำเงินดอลลาร์สหรัฐในทุนสำรองของตัวเองไปลงทุนเหมืองแร่ในต่างประเทศ เช่น ทองแดง เหล็ก และแหล่งพลังงาน เพราะถือว่าเป็นทรัพย์สินที่จะใช้ได้จริงในเศรษฐกิจของประเทศตัวเอง

 

เมื่อหลายประเทศคิดจะตุนทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศ ก็จะพบว่าทองคำในโลกมีอยู่ประมาณ 30,535.6 ตัน ผู้ที่ถือครองทองคำสูงสุดในโลกอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ถือครองทองคำสูงถึง 8,133.5 ตัน รองลงมาอันดับ 2 คือ จีนถือครองทองคำอยู่ที่ 4,216.4 ตัน ส่วนประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 33 ถือครองทองคำอยู่ประมาณ 99.5 ตัน นั่นย่อมหมายความว่าสหรัฐอเมริกาที่ก่อหนี้มหาศาลด้านหนึ่ง แต่ก็มีทองคำที่มีมูลค่าสูงขึ้นจากการที่ดอลลาร์อ่อนค่าเช่นเดียวกัน

 

ทำให้ย้อนหวนนึกถึง “ทองคำ” ที่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโณ ที่ได้ระดมประชาชนที่รักชาติมาสะสมเอาไว้ในทุนสำรองเงินตราเมื่อหลายปีติดต่อกันนั้น เป็นการเลือกทรัพย์สินเพื่อเก็บเอาไว้ในทุนสำรองระหว่างประเทศได้ถูกต้องและแม่นยำกว่าธนาคารแห่งประเทศไทยยิ่งนัก

 

ขณะนี้สหรัฐอเมริกาได้อัตราเงินเฟ้อทยอยสูงเพิ่มขึ้นสมใจ แต่เงินเฟ้อครั้งนี้เกิดจากการอ่อนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ทำให้ประชาชนในสหรัฐอเมริกาได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าที่แพงมากขึ้น โดยเฉพาะน้ำมัน ในขณะที่ภาวะคนก็ยังตกงานเป็นจำนวนมาก และสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ก็ยังมีปัญหาอยู่ สร้างความกดดันต่อรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างยิ่ง

 

อาการที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงโลกครั้งสำคัญ เงินดอลลาร์และเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกากำลังถูกสั่นคลอนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน!!!

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เจ้าหมู มันจะเล่นคลื่นอีกนานมั้ยเนี่ย ไม่ไปสักทาง แต่ส่วนตัวเดาว่าน่าจะลงสักหน่อย แล้วพรุ่งนี้อาจจะรีบาวน์ มั้ง !37 !_18d !_18

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หลังอุทกภัยร้ายสุดรอบ 12 ปี ภัยราคาผลผลิตเกษตรและเงินเฟ้อพุ่ง

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 สิงหาคม 2553 05:19 น.

 

 

 

 

 

 

 

 

สถานีโทรทัศน์จีนเสนอข่าวน้ำท่วมครั้งร้ายแรงที่ถล่มบ้านเรือน เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ที่ผ่านมา

 

 

เอเยนซี-สื่อจีนรายงานการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญว่า ผลผลิตข้าว ฝ้าย และเนื้อหมูในประเทศลดลงอย่างมาก เหตุอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบสิบปี และคาดว่าจะส่งผลให้ราคาในตลาดปรับสูง ท่ามกลางความพยายามควบคุมอัตราเงินเฟ้อของรัฐบาล

 

สื่อจีนรายงานสถานการณ์ราคาผลผลิตเกษตรเมื่อวันที่ 3 ส.ค. ว่า หลี่ เฉียง กรรมการผู้จัดการ บริษัทวิเคราะห์ข้อมูล เซี่ยงไฮ้ เจซี อินเทลลิเจนซ์ เผยการประเมินภัยพิบัติจากธรรมชาติว่า อาจจะทำให้ผลผลิตข้าวลดลงร้อยละ 5 - 7 และฝ้ายลดลงร้อยละ 5 - 10 นอกจากนี้ยังให้ความเห็นว่าอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อได้ หากรัฐบาลไม่มีมาตรการที่ดีพอจะรับมือกับผลผลิตที่ลดหดหายไป

 

สัดส่วนการผลิตข้าวและฝ้ายของจีนมีปริมาณ 1 ใน 3 ของการผลิตทั่วโลก ขณะที่ครึ่งหนึ่งของการผลิตเนื้อหมูในโลกก็มาอยู่ในจีน ดังนั้น ปริมาณผลผลิตที่ลดลง อาจส่งผลให้ราคาในตลาดโลกต้องปรับสูงขึ้นเช่นกัน

 

รายงานกล่าวว่า ก่อนที่จะเกิดภาวะน้ำท่วมใหญ่ จนราคาอาหารและสินค้าบริโภคในจีนปรับตัวสูงขึ้นนี้ ราคาข้าวในตลาดชิคาโกเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 15 เมื่อปลายเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ขณะที่ ราคาฝ้ายในตลาดนิวยอร์ก ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 ไปก่อนตั้งแต่ปีที่แล้ว

 

ขณะที่นาย จ้าว เสี่ยวยู่ว์ รองประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) กล่าวว่า ปริมาณผลผลิตธัญพืชในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ได้ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีและภัยพิบัติทางธรรมชาติอาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจได้ เพราะมีผลกระทบต่อผลผลิตของธัญพืช

 

นอกจากนี้ รายงานข่าวยัง อ้างการประมาณการอุตสาหกรรมเกษตรจาก cngrain.com ว่า อุทกภัยใหญ่นี้ อาจทำให้ผลผลิตข้าวของปีนี้ มีปริมาณลดลงถึงร้อยละ 10 ประกอบกับข้อมูลอัตราเงินเฟ้อของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่รายงานว่า ในเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อขยายตัวขึ้นไปร้อยละ 3.1 เร็วสุดในรอบ 19 เดือน ก่อนที่จะชะลอตัวลงที่ระดับร้อยละ 2.9 ในเดือนถัดมา

 

ล่าสุด กระทรวงกิจการพลเรือนของจีนรายงานความเสียหายอย่างเป็นทางการ จากเหตุอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบสิบปี ว่ามีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 928 คน และสูญหาย 477 คน บ้านเรือนราษฎรเสียหายเพราะน้ำท่วมและโคลนถล่มกว่า 450,000 หลังคา รวมถึงพื้นที่การเกษตรอีกกว่า 400,000 เฮคเตอร์ คำนวณเป็นมูลค่าความเสียหายมากถึง 5.27 หมื่นล้านหยวน

 

ด้านทรีจอร์จ คอร์ป ผู้บริหารเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกของจีน "เขื่อนสามโตรกฯ (Three Gorges Dam)" กล่าวว่า ในรอบ 8 วัน ที่ผ่านมา เขื่อนได้ประสบกับภาวะแม่น้ำแยงซีเอ่อล้นถึงสองครั้ง จนต้องเร่งระบายน้ำออกในปริมาณ 42,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

 

ทั้งนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2541 จีนประสบกับอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุด มีผู้เสียชีวิตกว่า 4,000 คน รัฐบาลต้องอพยพประชาชนออกจากพื้นที่มากกว่า 18.4 ล้านคน และได้คำนวณมูลค่าความเสียหายในครั้งนั้นไว้ถึง 1.66 พันล้านหยวน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จับตาใกล้ชิด จีนเตรียมประกาศคุมเงินเฟ้อ ยุค กระเทียมเลือดเย็น

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 พฤศจิกายน 2553 15:40 น.

 

 

 

 

 

 

ขณะที่ผู้บริโภคบนแผ่นดินใหญ่ต่างต้องดิ้นรนหาสินค้าอาหารราคาถูก สถานการณ์เงินเฟ้อในจีนขณะนี้ นับว่าเลวร้ายที่สุดในรอบ 10 ปี รุนแรงถึงขนาดที่ชาวเน็ตถึงกับตั้งศัพท์แสงต่างๆ ที่ใช้เรียกอาหารหรือของที่กินที่ใช้อยู่ประจำกันซึ่งราคาแพงหูฉี่กันไปอย่างขำขันแบบขมขื่น ไม่ว่าจะเป็น กระเทียมเลือดเย็น แอปเปิลงี่เง่า น้ำตาลเจ้าขุนมูลนาย ฝ้ายละลายกระดูก ฯลฯ (ภาพเอเยนซี)

 

 

เอเยนซี - จีนเตรียมประกาศคุมราคาสินค้าและออกมาตรการปราบปรามการกักตุนสินค้าเกษตร จากการแถลงของกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ระบุว่า ในช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนพ.ย. ราคาขายส่งสินค้าเกษตรหลักๆ จำนวน 18 รายการ เพิ่มสูงขึ้นไปถึง 62 เปอร์เซนต์ เทียบเป็นรายปี และสูงกว่าเมื่อต้นปี 11.3 เปอร์เซนต์

 

ตัวเลขดังกล่าว ทำให้ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน นายโจว เสี่ยวชวน กำหนดให้เรื่องเงินเฟ้อ เป็นปัญหาสำคัญที่สุดที่ต้องเฝ้าจับตาดู และหนังสือพิมพ์ไชน่า ซีเคียวริตี้ส์ เจอร์นัล รายงานวานนี้ (16 พ.ย.) ว่า คณะกรรมาธิการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีนNational Development and Reform Commission (NDRC) หน่วยงานวางแผนเศรษฐกิจชั้นนำ ก็กำลังจัดเตรียมมาตรการคุมเข้มใหม่ๆ เช่น กำหนดเพดานควบคุมราคาอาหารและจ่ายเงินอุดหนุนเพิ่ม

 

ด้านนายกรัฐมนตรีเวิน จยาเป่า ของจีน ก็กล่าวว่า หลังจากที่เงินเฟ้อพุ่งถึง 4.4% ในเดือนที่แล้ว ซึ่งสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี คณะรัฐมนตรีจีนได้กำลังร่างมาตรการเพื่อสกัดราคาสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับปากท้องของประชาชน พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นสร้างความมั่นใจว่ามีอุปทานอาหารเพียงพอเพื่อป้องกันความตื่นตระหนก

 

หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเปิดเผยว่า ราคาอาหารในเดือนต.ค.ถีบตัวสูงขึ้น 10.1% จากปีก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ขณะที่ราคาผักสดทะยานขึ้น 18% จากปีที่ผ่านมา เหยา เจียน โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนกล่าวว่า ราคาอาหารที่แพงขึ้นมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ อุปสงค์ที่ขยายตัว ต้นทุนด้านการขนส่ง ปัญหาภัยธรรมชาติ รวมไปถึงราคาอาหารประเภทธัญพืชในตลาดโลกที่แพงขึ้น

 

รายงานข่าวกล่าวว่า ขณะที่ผู้บริโภคบนแผ่นดินใหญ่ต่างต้องดิ้นรนหาสินค้าอาหารราคาถูก สถานการณ์เงินเฟ้อในจีนขณะนี้ นับว่าเลวร้ายที่สุดในรอบ 10 ปี รุนแรงถึงขนาดที่ชาวเน็ตถึงกับตั้งศัพท์แสงต่างๆ ที่ใช้เรียกอาหารหรือของที่กินที่ใช้อยู่ประจำกันซึ่งราคาแพงหูฉี่กันไปอย่างขำขันแบบขมขื่น ไม่ว่าจะเป็น กระเทียมเลือดเย็น แอปเปิลงี่เง่า น้ำตาลเจ้าขุนมูลนาย ฝ้ายละลายกระดูก ฯลฯ ซึ่งแต่ก่อนของเหล่านี้ ผู้บริโภคสามารถหยิบฉวยได้โดยไม่ต้องคิดมากอะไร แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว บรรดานักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า อาจจะเลวร้ายกว่านี้อีก

 

เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นางจัง ชวน แม่บ้านวัย 77 ปี ชาวปักกิ่ง บอกว่าเธอต้องออกจากบ้านตอน 7.15 น. เพื่อไปรอซื้ออาหารราคาถูกประจำวันที่ คาร์ฟู ซูเปอร์มาเก็ต ตอน 8 โมงเช้า แต่ตอนที่เธอมาถึง พบว่ามีคนเข้าแถวยาวกว่า 50 คน รอซื้อของถูกเช่นเดียวกันหมด

 

หลี่ ซินจีน แม่บ้านวัยเกษียณ อีกคน กล่าวว่า ปีที่แล้ว ราคาไข่กิโลกรัมหนึ่งจะตกอยู่ประมาณ 6.6 หยวน แต่ปีนี้ ราคาขึ้นไปถึง 9.6 หยวน และมีอีกหลายอย่างที่ราคาเปลี่ยนแปลงกันเป็นรายวัน

 

เจิง จินซิ่ว ผู้จัดการทั่วไปของ Da San Huan ในกรุงปักกิ่ง กล่าวว่า ราคาเนื้อไก่ เนื้อเป็ดตอนนี้ พุ่งขึ้นสูงมาก จากเดิมราคา 8,000 - 9,000 หยวน ต่อตัน เป็น 12,000 - 13,000 ต่อตัน ราคาเนื้อหมูก็พุ่งจาก 15,000 หยวนต่อตัน เป็นไม่ต่ำกว่า 20,000 หยวนต่อตัน ส่วนเนื้อวัวก็เช่นกัน จาก 28,000-29,000 หยวน เป็น 35,000 หยวน ต่อตัน

 

เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมา NDRC เผยผลตรวจสอบราคาค้าปลีกอาหารกว่า 31 รายการ ตามเมืองต่างๆ พบว่า มี 80 เปอร์เซนต์ ที่ราคาพุ่งสูงขึ้น

 

สำนักข่าวซินหวารายงานว่า ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่า ราคาสินค้าและบริการจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของจีนในไตรมาส 3 ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส โดยร่วงลงสู่ระดับ 104 จุดในไตรมาส 3 จากระดับ 109 จุดในไตรมาสก่อนหน้านี้

 

ผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคชาวจีน 3,500 คนทั่วประเทศระบุว่า ผู้บริโภค 76% คาดว่าราคาสินค้าจะปรับตัวสูงขึ้นอีกในปีหน้า เพิ่มขึ้นจากระดับ 70% ในไตรมาสก่อนหน้านี้

 

นายเว่ย เฟิงชุน หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์มหภาคของ Citic China Securities แนะนำว่า NDRC ควรจะกำหนดราคาสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์หลักๆ และออกมาตรการอุดหนุนผู้ค้าเพื่อคุมระดับราคาไว้

 

เหยา เจียน โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนกล่าวว่า ราคาอาหารที่แพงขึ้นมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ อุปสงค์ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ต้นทุนด้านการขนส่งที่สูงขึ้น ปัญหาภัยธรรมชาติ รวมไปถึงราคาธัญพืชในตลาดโลกที่แพงขึ้น

 

โจว ชี่เหริน ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และมีส่วนร่วมในการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนยุค 80 กับ ซู เซี่ยวเนียน อดีตนักเศรษฐศาสตร์ของเมอร์ลิน ลินช์ กล่าวก่อนหน้านี้นานแล้วว่า มาตรการโหมอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจะนำไปสู่วังวนเงินเฟ้อระยะยาว

 

ชายวัยเกษียณที่ยืนหนาวเหน็บเพื่อรอซื้อของถูกก่อนใคร อย่างนายหลี่ หร่งหลาน กล่าวว่าเขารู้แล้ว ทำไมปัญหาทุนนิยม จึงเกี่ยวข้องกับปากท้องของเขา หลี่ หร่งหลาน เครียดวิตกว่า ราคาสินค้าจะไม่หยุดที่ตรงนี้ เขากล่าวว่า "ได้ยินที่คนเคยพูดว่า ทุกวันนี้คนอเมริกันพิมพ์แบงก์ใช้เอง แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าราคามันเหมือนกระดาษใบนึง"

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ด่านเยอะ จริงๆ ขาขึ้นเนี่ย ผ่านยากเหลือเกิน ลุ้นจนตัวโก่งเป็นชั่วโมงเป็นวันๆ !034

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รอไปก่อน ตีหนึ่งน่าจะชัด อีกชั่วโมงกว่า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีตอนเช้าค่ะ คุณส้มโอมือ คุณเสม และเพื่อนๆนักลงทุน วันนี้ีมีงานเซตที่พารากอน ลางานไว้ 2 วัน ไปเที่ยวงาน แต่ว่าเงินหมด เพราะอยู่ดอยหมดแล้วค่ะ 555

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

e90bc4075379a7ff3c98b5af26036493.jpgเพื่อนๆใครไม่เชื่อมั่น ในฝีมืออาจารย์เสมขายทิ้งครับ

ผมติดตามอาจารย์เสมมาเป็นปื ไม่เคยขาดทุนสักครั้งเดียว

ผมซื้อทองแบบการลงทุนเป็นสินทรัพย์นะครับ ไม่ใช่เล่นการพนัน มีกำไรเป็นใช้ได้

ย่ออีก อัดอีก ไม่เคยกลัวเวลาทองมันร่วง เย็นเข้าไว้ดอยไม่นานแน่ :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:rolleyes: :rolleyes: ขอบคุณคุณใหญ่ที่ช่วยมาย้ำความมั่นใจให้ตลอด ไม่ให้เขว อิอิ ขอบคุณคุณเสม และคุณส้มโอมือ ที่เข้ามา

ให้ตวามรู้ และข่าวสาร ขอบคุณทุกคนที่มาพบเจอกันในกระทู้นี้ แล้วอย่าลืมไปพบกันที่งาน SET IN THE CITY @SIAM PARAGON FLOOR 5 นะคะ :D :D :D

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...