ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

ความลับ : ทำไมราคาทองคำจึงขึ้นและตก และเมื่อใดจึงจะขึ้นอีก blank.gif โดย สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์ 4 กรกฎาคม 2556 15:40 น.

 

blank.gif 556000008557601.JPEG blank.gif ผู้เขียนได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นประเทศต่างๆ ค่าเงินประเทศต่างๆ การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ เช่น ราคาทองคำ ราคาน้ำมัน ได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาต่างๆ มีความสัมพันธ์ต่อกัน การเกิดวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ของภูมิภาคต่างๆ และของทั้งโลก เกี่ยวข้องกันทั้งหมดมีต้นเหตุมาจากเรื่องเดียวกัน

 

จุดเริ่มต้นความเสื่อมทางเศรษฐกิจของโลก เริ่มขึ้นในปี 2000 เริ่มต้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จากการพังทลายของตลาด NASDAQ ในปี 2000

 

กลไกนี้ เป็นเรื่องที่น่าจะทำความใจ และจดจำไว้ เมื่อ ตลาดหุ้นประเทศใดพังทลาย จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นพังทลายด้วย ค่าเงินไม่ได้รับความเชื่อมั่น จะละทิ้งเงินสกุลนั้น ไปถือเงินสกุลอื่น หรือสินทรัพย์ในรูปสกุลอื่น ทำให้สภาพคล่องระบบของประเทศนั้นเสียหาย ทำให้เอกชนล้มลง ทำให้หนี้เสียเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราส่วนการว่างงานสูงขึ้น ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น จะเกิดกับประเทศไหน ก็เป็นแบบเดียวกันทุกประการ

 

แต่เมื่อมันมาเกิดกับประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีระบบ เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก กับสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเสมือนเป็นสกุลเงินของโลกด้วย มันจึงส่งผลกระทบกระเทือนไปทั้งโลก

 

ผู้อ่านสามารถกลับไปศึกษาย้อนหลัง การพังทลายของตลาด NASDAQ และค่าเงินเหรียญสหรัฐจากบทความที่ผ่านมาของผู้เขียนได้ จะได้ทราบว่าเหตุการณ์พังทลายของตลาดหุ้น และค่าเงินของประเทศสหรัฐเมริกาเกิดอย่างไร เกิดเมื่อใด เสียหายอย่างไร เสียหายเท่าใด และส่งผลกระทบต่อโลกอย่างไรบ้าง

556000008557602.JPEG blank.gif การพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐ ผู้คนไม่ทราบว่า ต้นเหตุอะไรที่ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลาย พังทลายแบบไหน อย่างไร และเท่าใด เงินยูโรเป็นสกุลที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสกุลเงินเหรียญสหรัฐ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน จึงมีนัยสำคัญ จากภาพจะเห็นว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐเริ่มพังทลายตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งเกิดขึ้นหลังพังทลายของตลาด NASDAQ นั่นเอง เงินเหรียญสหรัฐพังทลายลงถึง 48 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเงินยูโร

 

จะมีใครสงสัยบ้าง สกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ของประเทศที่เป็นหัวขบวนทุนนิยมอันดับ 1 ของโลก ตกลงถึง 48 เปอร์เซ็นต์ เป็นไปได้อย่างไร ทำไมค่าเงินจึงตกแรงเช่นนี้ ปล่อยให้ค่าเงินตัวเองถูกโจมตีได้อย่างไร ศักดิ์ศรีของประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ตรงไหน ประเทศสหรัฐอเมริกาอาจจะยิ่งใหญ่ในสายตาของคนโลก แต่แท้ที่จริงเป็นแค่เพียงตัวตลกของผู้ที่ทุบ NASDAQ และทุบเงินดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น เพราะไม่ทราบเรื่องจึงไม่อาย หากทราบถึงต้นเหตุการณ์พังทลายของ NASDAQ และ USD แล้ว ไปถึงไหนก็ต้องอายไปถึงนั่น คนทุบอเมริกาก็คือคนอเมริกันนั่นเอง Hedge Funds ของอเมริกาทุบอเมริกา แม้ศาสตร์อื่นอเมริกาจะเก่งที่สุดในโลก แต่เรื่องนี้ประเทศสหรัฐอเมริกาโง่อย่างเดียว

 

13 ปีผ่านไปแล้ว ประเทศสหรัฐอเมริกายังงมโข่ง แก้ปัญหาที่ปลายเหตุอยู่เหมือนเดิม ความเสียหายทางเศรษฐกิจของอเมริกา ส่งผลกระทบกระเทือนเดือดร้อนไปทั่วโลก

 

ผลกระทบจากการพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐ

 

เงินทุนไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ไปแลกเป็นเงิน EURO ส่งผลให้ระหว่างปี 2000 - 2008 เงิน EURO แข็งค่าขึ้น 93 เปอร์เซ็นต์ (เงินเหรียญสหรัฐตกลง 48 เปอร์เซ็นต์)

556000008557603.JPEG blank.gif แล้วก็ไปไล่ซื้อสินทรัพย์ในรูปเงินสกุล EURO เช่นตลาดหุ้นยูโรโซน 39 ประเทศ ส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรประหว่างปี 2001- 2007 สูงขึ้น 356 เปอร์เซ็นต์ แล้วจึงพังทลายลงรุนแรงในปี 2008 (Hamburger crisis) ตกลงถึง 71 เปอร์เซ็นต์ทำให้ประเทศทั่วทั้งยุโรปประสบวิกฤตเศรษฐกิจ หลายประเทศต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่าง ประเทศ (IMF)

556000008557604.JPEG blank.gif แต่แท้ที่จริงแล้ว เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับประเทศในยูโรโซนเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับทั้งโลก เงินทุนที่ไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกาไหลออกมาท่วมโลก ส่งผลให้สกุลเงินต่างทั่วโลกสูงขึ้น ตลาดหุ้นทั่วโลกสูงขึ้น (G91 index) แล้วก็พังทลายลงระหว่างปลายปี 2007 – ต้นปี 2009 (Hamburger crisis)

556000008557605.JPEG blank.gif ยางเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตรการพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐใน ปี 2000 หรือเงินเหรียญสหรัฐมีค่าเล็กลง ซึ่งจะต้องใช้เงินเหรียญสหรัฐมากขึ้นในการซื้อยางแผ่นดิบที่มีปริมาณเท่า เดิม จึงทำให้เห็นว่าราคายางสูงขึ้น เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่ามากเท่าใด ราคายางก็สูงขึ้นมากเท่านั้น จะเห็นว่าราคายงเริ่มขึ้นในปี 2001จากการพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐจากราคาประมาณ 20 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นไปสูงสุดในปี 2011 ที่ราคาเกือบ 180 บาทต่อกิโลกรัม หรือราคาสูงขึ้นประมาณ 800 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นราคายางก็พังทลายลง

 

รูปแบบการสูงขึ้นของราคายางเป็นไปในทิศทางเดียวกันแบบ เดียวกันกับการขึ้นและตกลงของราคาทองคำ นั่นคือ ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินเหรียญสหรัฐแบบเดียวกัน

556000008557606.JPEG blank.gif น้ำมันเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ด้านพลังงาน การพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 หรือดอลลาร์มีค่าเล็กลง ซึ่งจะต้องใช้เงินเหรียญสหรัฐมากขึ้นในการซื้อน้ำมันที่มีปริมาณเท่าเดิม จึงทำให้เห็นว่าราคาน้ำมันสูงขึ้น เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่ามากเท่าใด ราคาน้ำมันก็สูงขึ้นมากเท่านั้น จะเห็นว่าราคาน้ำมันเริ่มขึ้นในปี 2000 จากราคา 16.97เหรียญต่อบาร์เรล ขึ้นไปสูงสุดในปี 2008 ที่ราคาประมาณ 145.6 เหรียญต่อบาร์เรล หรือราคาสูงขึ้น 768 เปอร์เซ็นต์จากนั้นก็พังทลายลงรุนแรงตั้งแต่กลางปีถึงปลายปี 2008 (Hamburger crisis)

 

ปี 2008 ราคาน้ำมันตกพร้อมๆ กับการตกลงของตลาดเงิน ตลาดทุนทั่วโลก (G91 index) Hamburger crisis

556000008557607.JPEG blank.gif ทองคำเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ด้านโลหะ การพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 หรือดอลลาร์มีค่าเล็กลง ซึ่งจะต้องใช้เงินเหรียญสหรัฐมากขึ้นในการซื้อทองคำที่น้ำหนักเท่าเดิม จึงทำให้เห็นว่าราคาทองคำสูงขึ้น เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่ามากเท่าใด ราคาทองคำก็สูงขึ้นมากเท่านั้น จะเห็นว่าราคาทองคำเริ่มขึ้นในปี 2000 จากราคา 256 เหรียญต่อออนซ์ ขึ้นไปสูงสุดในปี 2011 ที่ราคาประมาณ 1,900 เหรียญต่อออนซ์ หรือราคาสูงขึ้น 642 เปอร์เซ็นต์

 

จากข้อมูลที่นำเสนอข้างต้น บอกว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐเริ่มแข็งค่าขึ้นในปี 2008 ราคาทองคำก็ควรจะเริ่มตกลงในปี 2008 แต่ปรากฏว่าราคาทองยังขึ้นต่อเนื่องไปอีก แต่ที่ปี 2008 – 2012 ค่าเงินเหรียญสหรัฐก็ยังขึ้นอย่างจริงจังไม่ได้ เมื่อมีการพิมพ์เงินออกมาใช้ (QE) ก็ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐตกลงเป็นช่วงๆ ทำให้ราคาทองคำยังตกลงไม่ได้ ที่สำคัญที่คนทั่วไปไม่ทราบ คือมีการทำราคาของบรรดา Hedge Funds ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการได้

 

ไม่ว่าราคาหุ้น ราคาน้ำมัน ราคาทองคำจะถูก Hedge Funds สวมรอยปั่นตลอดเวลา ภาษาในตลาดหุ้นเรียกว่า ลากขึ้นไปเชือด เขารู้แล้วว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐเริ่มแข็งค่าขึ้นในปี 2008 เขาก็ลากขึ้นไปให้สูงที่สุด จากนั้นทิ้งราคาลงมา จากปี 2011 มาถึงกลางปี 2013 ราคาทองคำตกลงแล้ว 37 เปอร์เซ็นต์

 

การที่ราคาทองคำขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานเป็นเวลากว่า 10 ปีและมีผู้สวมรอยทำให้ราคามันสูงขึ้นด้วยกระตุ้นให้คนทั่วโลกหันมาสนใจทองคำ ทำให้เกิดการหวังผลและการเก็งกำไรกัน คนไทยก็เข้าไปซื้อทองคำที่ราคาสูงๆ ในปี 2011 -2012 โดยที่ราคาทองทำในรูปดอลลาร์อยู่ระหว่าง 1,600-1,900 เหรียญต่อออนซ์ หลังจากซื้อได้แล้ว ราคาก็ตกลงมาอย่างเดียว

556000008557608.JPEG blank.gif

ตามสถิติระหว่างปี 1976-1979 ราคาทองคำขึ้นจาก 50 เหรียญต่อออนซ์ ไปที่ 750 เหรียญต่อออนซ์ ราคาเพิ่มขึ้นมา 1,400 เปอร์เซ็นต์ ราคาขึ้นมาแรงและเร็ว จากนั้นใช้เวลาตก 21 ปี จากปี 1979 ถึงปี 2000 ราคาตกลงจาก 750 มาเป็น 256 เหรียญต่อออนซ์ หรือตกลง 66 เปอร์เซ็นต์

 

ครั้งหลังนี้ ราคาทองคำขึ้นจาก 256 ในปี 2001 มาสูงสุดที่ราคา 1,900 เหรียญต่อออนซ์ในปี 2011 หรือราคาเพิ่มขึ้นมา 642 เปอร์เซ็นต์

 

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งราคาทองไต่ระดับขึ้นมาประมาณ 10 ปีติดต่อกัน เนื่องจากค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายระหว่างปี 2000 - 2008 จากนั้นค่าเงินเหรียญสหรัฐกำลังแข็งค่าขึ้น จึงส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งราคาทองคำก็ตกลง

 

ทองคำที่แท้จริงแล้ว ไม่ใช่สินค้าเพื่อการบริโภคทั้งหมด ส่วนหนึ่งถูกเก็บไว้เป็นทุนสำรองของประเทศต่างๆ ต่างจากน้ำมันที่ใช้เพื่อการบริโภคทั้งหมด

 

ถามว่า ครั้งหลังนี้ราคาทองคำจะตกลงไปที่เท่าใด ถ้าอ้างอิงสถิติในอดีตที่ตกลง 66 เปอร์เซ็นต์ จากราคา 1,900 เหรียญต่อออนซ์ ราคาทองคำก็จะตกไปที่ 646 เหรียญต่อออนซ์

 

ถามว่า ครั้งหลังนี้ราคาทองคำจะสูงขึ้นเมื่อใด ตอบ สูงขึ้นเมื่อค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายลงอีกครั้ง คงบอกได้ยากว่าค่าเงินเหรียญจะเสียหายอีกเมื่อใด

 

ที่จั่วหัวเรื่องว่า ความลับ : ทำไมราคาทองคำจึงขึ้นและตกและเมื่อใดจึงจะขึ้นอีก แท้ จริงไม่ใช่ความลับอะไร เพียงแต่ต้องการกระตุ้นให้ผู้ที่สนใจและเข้าใจถึง “ต้นเหตุ” การขึ้นและตกของราคาทองคำอย่างจริงจังเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ทราบได้ หาใช่ความลับแต่อย่างใดไม่ อย่างที่ผู้เขียนนำเสนอถึงความสัมพันธ์การตกและขึ้นของค่าเงินเหรียญสหรัฐ ว่ามีความสัมพันธ์ต่อการขึ้นและตกของตลาดหุ้นโลก ค่าเงินสกุลต่างๆ ของโลก รวมทั้งการขึ้นและตกของราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลก เช่น ยาง น้ำมัน และทองคำ มีเหตุมีผลที่เข้าใจได้เมื่อเข้าใจแล้ว จะสามารถนำไปบริหารจัดการการลงทุนในทองคำ น้ำมัน ยาง ฯลฯ รวมทั้งการลงทุนสกุลเงินตราต่างๆ และตลาดหุ้นประเทศต่างๆ ได้ด้วย

 

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนทั่วไปจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ การเปลี่ยนแปลงของตลาดเงินตลาดทุน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และก็ไม่ทราบว่าจะไปหาข้อมูลเรื่องเหล่านี้ได้แบบไหน อย่างไร โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน ที่เป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจและที่สำคัญจะต้องติดตามดูข้อมูลแบบต่อ เนื่องยาวนานด้วย

 

จากข้อมูลที่นำเสนอ แสดงให้เห็นถึงการแกว่งตัวที่รุนแรงของตลาดทุนโลก ตลาดเงินตราโลก และราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลก เป็นความเสียหายมากกว่าจะเป็นความเจริญ โลกอยู่ในภาวะของความเสื่อมและความเสียหายมีมาตั้งแต่มีการพังทลายของตลาด NASDAQ และค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 เงินเฟ้อสูงขึ้นรุนแรงตลอดเวลา ทำให้มีคนเดินขบวนประท้วงไปทั่วโลก เงินเฟ้ออาจจะดีขึ้นบางช่วง เมื่อค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่า แต่เมื่อเงินเหรียญสหรัฐพังทลายอีก เงินเฟ้อโลกก็จะสูงขึ้นอีก ความผิดพลาดในการบริหารระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ก็จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นเสียหาย เงินเฟ้อก็จะสูงขึ้นการซื้อขายกระดาษ (Paper trade) คือต้นเหตุความเสียหายหลักรอดูว่าจะมีประเทศใดที่สามารถเอาตัวเองออกจากขุม นรกทุนสามานย์ของโลกนี้ได้

 

http://twitter.com/indexthai

 

indexthai2@gmail.com

 

http://manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000081527

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ส่งสัญญาณเตือนชัดเจนให้นักลงทุนทั่วโลกเริ่มตระหนักกันแล้วว่า วิกฤตหนี้สาธารณะในภูมิภาคยุโรปที่ดูเหมือนจะคลี่คลายได้ในช่วงปีที่ผ่านมา นั้น ยังไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไขให้หายขาดแต่อย่างใด โดยมีวิกฤตทางการเมืองล่าสุดในประเทศโปรตุเกส หนึ่งในสมาชิกกลุ่มประเทศผู้ใช้เงินสกุลยูโร (ยูโรโซน) เป็นตัวจุดชนวนสำคัญสำหรับวิกฤตหนี้ของภูมิภาคในรอบนี้

 

เพราะสถานการณ์ของโปรตุเกสในปัจจุบันคือภาพสะท้อนที่ทำให้เห็นผลลัพธ์ของ มาตรการรัดเข็มขัดที่บรรดาผู้นำในภูมิภาค และธนาคารกลางแห่งยุโรป (อีซีบี) นำมาใช้เป็นเงื่อนไขเพื่อแลกเปลี่ยนกับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ ประเทศที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง จนส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศที่ยื่นขอเงินตกอยู่ในสภาวะถดถอยหนักหน่วง มากกว่าเดิม

 

อาจเรียกได้ว่า วิธีการที่ใช้จัดการหนี้สาธารณะของสหภาพยุโรป (อียู) ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาสักเท่าไรนัก ขณะที่การเดินหน้าปรับปรุงปฏิรูปโครงสร้างของอียูเพื่อป้องกันวิกฤตหนี้หวน คืนก็ยังขาดความแน่นอน จนนักลงทุนยังคงขาดความเชื่อมั่นที่จะหันกลับเข้ามาลงทุนในภูมิภาคแห่งนี้ อีกครั้ง

 

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ต่างยอมรับว่า หลังจากยื่นเอกสารร้องขอเงินช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) อีซีบี และอียู จนได้รับอนุมัติเงินมูลค่า 7.8 หมื่นล้านยูโรเมื่อปี 2554 รัฐบาลโปรตุเกสได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแลกเปลี่ยนอย่างเคร่งครัด

 

ตัวอย่างไล่เรียงตั้งแต่การตัดลดค่าใช้จ่าย การกำหนดแผนปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การอนุมัติการเก็บภาษีชนิดจัดหนัก และการตัดลดเงินงบประมาณในหลายๆ ด้าน รวมถึงสวัสดิการสังคม กระทั่งทำให้บรรดาผู้นำอียูยกให้โปรตุเกสเป็นตัวอย่างที่ดีของประเทศที่มี พฤติกรรมเหมาะสมกับการให้เงินช่วยเหลือ

 

แต่กระนั้น การกระทำข้างต้นกลับผลักดันให้เศรษฐกิจของโปรตุเกสเต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย และเดินหน้าเข้าสู่ภาวะถดถอยต่อเนื่องยาวนาน ยืนยันได้จากข้อมูลคาดการณ์ล่าสุดของเวิลด์แบงก์และไอเอ็มเอฟที่ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ดัชนีวัดการเติบโตทางเศรษฐกิจของโปรตุเกสจะหดเหลือ 2.3% ในปี 2556 นี้ โดยนับเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่ 3

 

นอกจากนี้ ตัวเลขอัตราการว่างงานของโปรตุเกสที่ไต่ระดับทำสถิติสูงสุดถึง 17.6% ยังเป็นอีกหนึ่งหลักฐานตอกย้ำถึงผลลัพธ์เลวร้ายจากการใช้มาตรการรัดเข็มขัด ของรัฐบาลโปรตุเกสได้เป็นอย่างดี โดยขณะนี้ชาวโปรตุเกสมากถึง 9.32 แสนคนไม่มีงานทำ ขณะที่คนหนุ่มสาวการศึกษาระดับปริญญาตรีต่างมีแนวโน้มเดินทางออกนอกประเทศ มากขึ้น

 

สถานการณ์เลวร้ายของโปรตุเกสยังไม่นับรวมถึงการออกมาชุมนุมประท้วงของ ประชาชนภายในประเทศที่เริ่มบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นแรงกดดันทางการเมืองที่สั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี เปโดร ปาสซอส โกเอลโญ แห่งโปรตุเกส ซึ่งขณะนี้มีรัฐมนตรีคลังและรัฐมนตรีต่างประเทศได้ยื่นหนังสือลาออกเรียบ ร้อยแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากไม่อาจทนเห็นด้วยกับมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลได้อีกต่อไป

 

และเหตุการณ์ที่ลุกลามบานปลายดังกล่าว ได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน เห็นได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลโปรตุเกสอายุ 10 ปีในปัจจุบัน ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นถึง 8% ขณะที่การซื้อขายในตลาดหุ้นเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา ปิดตัวลดลงเกือบ 5.5%

 

แต่ที่แย่กว่านั้นคือ แม้จะมีผลลัพธ์ไม่น่าพิสมัยมากมาย ทว่าท่าทีของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี โกเอลโญ แห่งโปรตุเกส กลับแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลจะยังคงยึดมั่นกับนโยบายรัดเข็มขัดต่อไป และอาจจะเข้มงวดกวดขันมากขึ้น เห็นได้จากความเห็นของนายกรัฐมนตรีโปรตุเกสเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งออกมาย้ำว่า รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินแผนรัดเข็มขัด เพื่อหลีกเลี่ยงการขอเงินช่วยเหลือรอบที่ 2

 

แถมเยอรมนียังแสดงท่าทีกดดันรัฐบาลโปรตุเกสอย่างชัดเจน ด้วยการออกมากล่าวว่า เยอรมนียังคงเชื่อมั่นในรัฐบาลโปรตุเกสที่จะดำเนินแผนรัดเข็มขัดตามที่ได้ รับปากไว้ เพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือ

 

เกวิน ฮิวอิตต์ บรรณาธิการเศรษฐกิจประจำภูมิภาคยุโรปของสถานีโทรทัศน์บีบีซี กล่าวว่า ความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากแผนรัดเข็มขัดที่ทำให้ เศรษฐกิจประเทศตกต่ำลง กลายเป็นเรื่องยากที่รัฐบาลโปรตุเกสจะโน้มน้าวให้รัฐสภาประเทศอนุมัติใช้ ร่างแผนการดังกล่าวที่ถูกใจผู้ให้เงินช่วยเหลือ แต่กลับขัดใจชาวโปรตุเกสทั่วประเทศได้

 

ความเห็นข้างต้นสอดคล้องกับนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ซึ่งระบุผ่านเว็บไซต์ข่าวซีเอ็นเอ็น มันนี่ ว่า ปัญหาจากแผนรัดเข็มขัดทำให้รัฐบาลโปรตุเกสเผชิญกับปัญหายุ่งยากในการปรับ ปรุงนโยบายบริหารประเทศเพื่อบรรลุตามเกณฑ์ของอีซีบี อียู และไอเอ็มเอฟ โดยก่อนหน้านี้ รัฐบาลโปรตุเกสเพิ่งจะได้ขอผ่อนผันยืดกำหนดระยะเวลาการใช้หนี้คืนออกไปได้ เป็นผลสำเร็จ ซึ่งหมายความว่า การขอผ่อนผันอีกรอบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก ซึ่งยังไม่รวมถึงปัจจัยการเลือกตั้งทั่วไปปีนี้ของหัวเรือใหญ่ในภูมิภาค อย่างเยอรมนี ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า อาจจะทำให้เยอรมนีอนุมัติเงินเพื่อพยุงชาติสมาชิกยากมากขึ้น

 

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จากหลายสำนัก รวมถึงคริสเตียน ชูลซ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากเบอเรนเบิร์ก แบงก์ ชี้แจงว่า ประเด็น สำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าโปรตุเกสจะต้องเผชิญความยากลำบากอะไรบ้างเพื่อให้ได้ เงินช่วยเหลือแก้ปัญหาหนี้ แต่อยู่ที่จนถึงขณะนี้ อียูยังไม่มีแผนยุติปัญหาหนี้สาธารณะของภูมิภาคนอกเหนือไปจากการให้เงินช่วย เหลือ ซึ่งเป็นแนวทางที่เริ่มเป็นไปได้ยากมากขึ้น เมื่อประชาชนในชาติสมาชิกส่วนใหญ่ในฐานะผู้ออกเงินเริ่มแสดงความไม่พอใจมาก ขึ้น จนอาจส่งผลต่อเสถียรภาพและสถานะของรัฐบาลชาตินั้นๆ ได้โดยง่าย

 

ขณะเดียวกัน เหตุการณ์ข้างต้นยังตอกย้ำให้เห็นว่า สถานการณ์ปัจจุบันเป็นเรื่องยากเพียงใดสำหรับประเทศที่ประสบปัญหาหนี้อย่าง โปรตุเกสที่จะหลุดพ้นจากโครงการเงินช่วยเหลือของอียู อีซีบี และไอเอ็มเอฟ รวมถึงสามารถเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุน และกลับเข้าสู่ตลาดเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง

 

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า ประเด็นที่น่าวิตกกังวลอีกหนึ่งประเด็นก็คือ การที่โปรตุเกสไม่ใช่ประเทศเดียวในภูมิภาคยุโรปที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหา ลักษณะข้างต้น เพราะกรีซ ไซปรัส หรือแม้แต่สเปนกับอิตาลี ก็มีแนวโน้มจะเผชิญปัญหาแบบเดียวกันกับโปรตุเกสที่ยากจะสลัดหลุดความช่วย เหลือจากภายนอกพ้น เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจยังซบเซา

 

ปัจจุบันกรีซยังคงสลัดไม่หลุดจากปัญหาหนี้ของตนเอง ขณะที่สถานะของรัฐบาลผสมชุดใหม่ยังเปราะบาง และกรีซมีกำหนดเวลาเหลือเพียงไม่กี่วันที่จะแสดงให้อียูและไอเอ็มเอฟเห็นว่า ได้บรรลุเงื่อนไขเงินช่วยเหลือที่ได้ให้ไว้

 

ฮิวอิตต์ บรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจยุโรปของสถานีโทรทัศน์บีบีซี กล่าวว่า โครงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลกรีซเพื่อระดมทุนเริ่มสะดุดจากเสียงคัด ค้านของบรรดาสหภาพแรงงาน ขณะที่การปฏิรูประบบสวัสดิการและประกันสุขภาพก็กลายเป็นปัญหาใหม่ที่รัฐบาล ผสมกรีซต้องแก้ไขเพิ่มเติม โดยไอเอ็มเอฟได้ส่งสัญญาณเตือนแล้วว่า หากกรีซพิสูจน์ไม่ได้ว่าสามารถบรรลุเป้าหมายที่รับปากไว้ ไอเอ็มเอฟจะถอนตัวจากโครงการให้เงินช่วยเหลือทันที ซึ่งผลลัพธ์ดังกล่าวจะทำให้กรีซตกหลุมวิกฤตหนี้ลึกยากหนีพ้นมากขึ้น

 

ด้าน มาร์ค ทอมป์สัน ผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจประจำซีเอ็นเอ็น มันนี่ กล่าวว่า ไซปรัสในขณะนี้เองก็มีแนวโน้มที่จะต้องยื่นเรื่องของผ่อนผันยืดกำหนดวันชำระ หนี้ออกไป หลังข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่า แผนรัดเข็มขัดตัดลดรายจ่าย ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ไม่สามารถทำให้รัฐบาลไซปรัสดำเนินตามเงื่อนไขที่รับปากไว้กับอียูและไอเอ็ม เอฟเพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือ

 

นับเป็นปัญหาสำคัญระดับภูมิภาคที่ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นตรงกันว่า บรรดาผู้นำของอียูจะต้องหาทางตอบข้อสงสัยดังกล่าวให้ได้และให้เร็วที่สุด ก่อนที่ความอดทนของประชาชนในภูมิภาคและนักลงทุนทั่วโลกจะสิ้นสุดลง

 

ที่มา : โพสต์ทูเดย์(วันที่ 5 กค.56)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 31.09/11 บาท/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 31.08/10 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวตามค่าเงินในภูมิภาค เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา

 

 

"ขยับอ่อนค่าเล็กน้อย ทิศทางเดียวกันกับภูมิภาค" นักบริหารเงิน กล่าว

 

 

นักบริหารเงิน ประเมินทิศทางเงินบาทในวันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 31.10-31.20 บาท/ดอลลาร์

 

 

"เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 31.18 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่มีคนจ้องขายเยอะ แต่ช่วงบ่ายหากมี flow ก็คงไม่หลุด 31.00 บาท/ดอลลาร์" นักบริหารเงิน กล่าว

 

 

 

 

 

* ปัจจัยสำคัญ

 

- เงินเยนอยู่ที่ระดับ 100.42 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 99.64/68 เยน/ดอลลาร์

- เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.2900 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 1.3001/3003 ดอลลาร์/ยูโร

- อัตราแลกเปลี่ยนบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของ ธปท.วันนี้อยู่ที่ 31.0840 บาท/ดอลลาร์

- ศูนย์วิจัยทองคำ แถลงผลการวิจัยประจำเดือนกรกฎาคม พร้อมมุมมองทิศทาง ตลาดทองโลก และแนวโน้มราคาทองไทย ครึ่งหลังปี 2556

- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกาะติดเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอตัวต่อเนื่อง แต่ยังไม่ห่วงลดต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ หรือเข้าสู่ภาวะเงินฝืดชี้เดือนต่อเดือนเงินเฟ้อยังขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่หากติดลบต่อกัน 2-3 เดือนถือว่าน่าเป็นห่วง เล็งนำหารือใน กนง.วันที่ 10 ก.ค.ดูว่าจะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มหรือไม่ ด้านปัจจัยอียิปต์กระทบราคาน้ำมัน แต่คาดเป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น

- ภาคเอกชนเตือนนโยบายบริหารจัดการรัฐจะก่อให้เกิดวิกฤตฟองสบู่ครั้งใหม่ได้ หลังเห็นสัญญาณจากการก่อหนี้เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและรถคันแรก แนะรัฐหารือร่วมกับภาคธุรกิจก่อนประกาศใช้นโยบาย เผยวันนี้แบงก์ไทยไม่ปล่อยกู้ Real Sector แต่หันมาขูดรีดเงินค่าบริการต่างๆ

- สมาคมแลกเปลี่ยนทองคำและเงินของจีน เผยราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกงลดลง 10 ดอลลาร์ฮ่องกง เปิดที่ระดับ 11,650 ดอลลาร์ฮ่องกง/ตำลึงในวันนี้ หรือเทียบเท่ากับ 1,260.21 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ ลดลง 1.08 ดอลลาร์สหรัฐ

- ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นเช้านี้ หลังจากธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) ระบุว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ที่ระดับต่ำต่อไปสักระยะหนึ่ง ขณะเดียวกันตลาดจับตาดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน มิ.ย.ที่สหรัฐจะเปิดเผยในช่วงค่ำวันนี้ โดยดัชนี MSCI Asia Pacific เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเวลา 9.59 น.ตามเวลาโตเกียว, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 14,150.85 จุด เพิ่มขึ้น 131.92 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,006.19 จุด เพิ่มขึ้น 0.09 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 20,740.70 จุด เพิ่มขึ้น 272.03 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 7,932.30 จุด เพิ่มขึ้น 38.58 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,848.97 จุด เพิ่มขึ้น 9.83 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,161.28 จุด เพิ่มขึ้น 14.16 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 6,464.26 จุด ไม่เปลี่ยนแปลง, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,774.41 จุด เพิ่มขึ้น 3.07 จุด และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ที่ 4,807.70 จุด เพิ่มขึ้น 13.00 จุด

- กระทรวงการคลังญี่ปุ่น เผยทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของญี่ปุ่น ณ สิ้นเดือน มิ.ย.ลดลง 1.153 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 1.23871 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับเดือน พ.ค. ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน

- ดอลลาร์มีการซื้อขายเหนือ 100 เยนในเช้านี้ที่ตลาดปริวรรตเงินตราโตเกียว หลังธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) ระบุว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ที่ระดับปัจจุบัน หรือระดับต่ำกว่านี้ต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง เมื่อเวลา 9.00 น.ตามเวลาญี่ปุ่น ดอลลาร์เคลื่อนไหวที่ 100.25-100.30 เยน เมื่อเทียบกับ 99.71-99.72 เยนที่ตลาดโตเกียวเมื่อเวลา 17.00 น.ของเมื่อวานนี้ ด้านยูโรเคลื่อนไหวที่ 1.2892-1.2897 ดอลลาร์ และ 129.23-129.26 เยน เมื่อเทียบกับ 1.2990-1.2991 ดอลลาร์ และ 129.53-129.57 เยนที่ตลาดโตเกียวในช่วงเย็นวานนี้

- นายกรัฐมนตรีเปโดร ปาสซอส โคเอลโญของโปรตุเกส กล่าววานนี้ว่า มีแนวทางที่จะช่วยประคับประคองรัฐบาลผสมเอาไว้ได้ หลังจากการลาออกของนายเปาโล พอร์ตาส รมว.ต่างประเทศ และนายวิเตอร์ กาสปาร์ รมว.คลัง เมื่อต้นสัปดาห์นี้ โดยพรรคร่วมรัฐบาลจะร่วมกันหาทางออกที่มีประสิทธิภาพในการคลี่คลายวิกฤตการ เมืองในปัจจุบัน เพื่อสร้างความมั่นใจเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศ

 

ที่มา : ทันหุ้น(วันที่ 5 กค.56)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นักวิเคราะห์คาดว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐในเดือนมิ.ย.ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐ จะเปิดเผยในช่วงคืนนี้ตามเวลาไทย จะเพิ่มขึ้น 165,000 ตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ลดลงจากสถิติเดือนพ.ค.

 

สำหรับตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในเดือนพ.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่มขึ้น 149,000 ในเดือนเม.ย.

 

 

ก่อนหน้านี้ สหรัฐเปิดเผยว่า ภาคเอกชนมีการจ้างงานสูงกว่าที่คาด ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ลดลง

 

ที่มา : ทันหุ้น(วันที่ 5 กค.56)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ป๋ากลับมาใช้รูปเดิมแว้ววววว

 

มี นัยยะ ไหมครับป๋า ^^

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ป๋ากลับมาใช้รูปเดิมแว้ววววว

 

มี นัยยะ ไหมครับป๋า ^^

เปล่าครับ พอดีเห็นโพสต์ของคุณยาหย่า กล่าวอยากเห็น จึงจัดตามคำขอ แต่คืนนี้ จากโพลฯ ในเรื่องตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ต้องระแวงครับ พวกฝรั่งนักลงทุน มักไม่เล่นแบบเผชิญหน้าตรงๆ แบบตรงไปตรงมากับข้อมูลที่ออกมา ต้องระวัง มัน " แทงประตูหลัง " จากตูดทะลุ สะดือ ขืนแหย่ขาเข้า " หน้าซื้อ " มันก็ขึ้นอยู่ว่า " ชอบไหม " ถ้าชอบ " รอตัวเลขออกมา มันขึ้น ก็แทงลง จากแนวต้าน ที่จะออกมาช่วงบ่าย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เปล่าครับ พอดีเห็นโพสต์ของคุณยาหย่า กล่าวอยากเห็น จึงจัดตามคำขอ แต่คืนนี้ จากโพลฯ ในเรื่องตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ต้องระแวงครับ พวกฝรั่งนักลงทุน มักไม่เล่นแบบเผชิญหน้าตรงๆ แบบตรงไปตรงมากับข้อมูลที่ออกมา ต้องระวัง มัน " แทงประตูหลัง " จากตูดทะลุ สะดือ ขืนแหย่ขาเข้า " หน้าซื้อ " มันก็ขึ้นอยู่ว่า " ชอบไหม " ถ้าชอบ " รอตัวเลขออกมา มันขึ้น ก็แทงลง จากแนวต้าน ที่จะออกมาช่วงบ่าย

 

ผมระแวงพี่กันมาก ๆ โดนมาเยอะครับ

 

ดันขึ้น ก่อนเทหน้าตักลง หลาย ๆ ครั้ง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บ่ายๆสวัสดีจ๊ะเฮียขายของ...เปิดมาดีใจสุดๆ...(เหมือนของรักหายแล้วได้คืน)ขอบคุณนะจ๊ะ...สัญญานะอย่าหนีไปไหน(นานๆอีกนะๆ)ขอบคุณจ๊ะเฮียจิว..(ขายของ...) ปล.ย่าหยา นะ ไม่ใช่ ยาหย่า...หุหุ

 

photo-775.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แนวรับแนวต้าน

 

Support: - 1236.30(main). 1225.72, 1216.40

Resistance: - 1247.65, 1252.84 and 1261.40(main)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ศุนย์วิจัยฯ คาดทองคำขาลงถึงสิ้นปี กดราคาต่ำสุดที่บาทละ 17,000 บาท

 

 

นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า จากการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ค้าทองคำรายใหญ่ 6 แห่ง มีความเห็นตรงกันว่าราคาทองคำในช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่ระหว่าง 1,300 - 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยมีกรอบบนที่ 1,520 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (20,500 - 21,000 บาท) กรอบล่างที่ 1,150 - 1,050 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (17,000 - 17,500 บาท) โดยมีปัจจัยหลักมาจากการชะลอการใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE) ของสหรัฐฯ ซึ่งทิศทางของค่าเงินบาท การขายของกองทุนขนาดใหญ่ เศรษฐกิจเอเชียที่เริ่มมีการชะลอตัว และการเก็งกำไรในตลาด รวมทั้งความต้องการทองคำของจีน และอินเดียจะลดลง

 

โดยราคาทองคำยังเป็นขาลงถึงสิ้นปี และจะปรับขึ้นในช่วง 1 - 2 ปีข้างหน้า ขึ้นกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และความชัดเจนเกี่ยวกับการถอนมาตรการ QE ส่วนการปฎิวัติในอียิปต์นั้น มีผลกระทบต่อราคาทองคำน้อยมาก แต่จะมีผลต่อราคาน้ำมัน เนื่องจากอียิปต์เป็นประเทศที่มีท่อส่งน้ำมันผ่านทางคลองสุเอซ

 

ทั้งนี้ ราคาทองคำตลาดโลกในช่วงเดือนก.ค.นี้ คาดว่า จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,150 - 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศไทยจะอยู่ในกรอบ 17,000 - 20,500 บาท

 

ด้านนายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ มั่นใจว่า ราคาทองคำในปีนี้จะลดลงไม่ถึง 1,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพราะเป็นราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนเหมืองทองคำ และทองคำอยู่ในภาวะขาดตลาด ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้เกิดจากการทุบตลาดของกองทุนเก็งกำไร โดยอาศัยข่าวความกังวลธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะถอนมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE)

 

อย่างไรก็ตาม ในแต่ละวัน การซื้อขายทองคำในตลาดล่วงหน้าทั่วโลก มีปริมาณสูงถึง 5,000 ตัน โดยนายจิตติ มั่นใจว่าราคาทองมีโอกาสกลับมายืนในกรอบ 1,500 - 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อต่อออนซ์ ภายใน 6 เดือน

ผู้สื่อข่าว : ทีมข่าวเศรษฐกิจ

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ด้านนายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ มั่นใจว่า ราคาทองคำในปีนี้จะลดลงไม่ถึง 1,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพราะเป็นราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนเหมืองทองคำ และทองคำอยู่ในภาวะขาดตลาด ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้เกิดจากการทุบตลาดของกองทุนเก็งกำไร โดยอาศัยข่าวความกังวลธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะถอนมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ศูนย์วิจัยทอง เผยดัชนีเชื่อมั่นทองเดือนก.ค. สท้อนมุมมองทองลงมาหนักแล้ว ยังเหลือช่วงลงอีกไม่สูงนัก แต่ยังมองแนวโน้มทองขาลงยาวไปถึง 3 - 6เดือนข้างหน้า

 

นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย เผยดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำในเดือน ก.ค.56 อยู่ที่ระดับ 33.77 จุด เพิ่มขึ้น 0.86 จุดจากเดือนมิถุนายน หรือร้อยละ 2.6 โดยค่าดัชนีฯ ยังสะท้อนมุมมองที่มีผลต่อราคาทองคำในเชิงลบ

 

"แม้จะยังมี มุมมองในเชิงลบต่อราคา แต่การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีสะท้อนว่าเริ่มเชื่อว่าราคาปรับตัวลงมามากพอ สมควรและอาจจะเหลือช่วงของการพักตัวในกรอบไม่สูงมากนัก"นายกมลธัญ กล่าว

 

ทั้ง นี้หากแยกตามประเภทของกลุ่มตัวอย่างจะพบว่า กลุ่มผู้ค้ายังมีความเชื่อมั่นต่อราคาทองคำสูงกว่ากลุ่มนักลงทุนแม้จะยัง อยู่ในเชิงลบ โดยดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำเฉพาะกลุ่มนักลงทุนอยู่ที่ 33.23 จุด และดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำเฉพาะกลุ่มผู้ค้าอยู่ที่ 36.26 จุด

 

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นในระยะสามเดือนข้างหน้ายัง สะท้อนมุมมองเชิงลบ โดยค่าดัชนีอยู่ที่ 44.88 จุด ลดลง 1.38 จุด ยังสะท้อนจากการสำรวจในเดือนก่อน หรือลดลง 2.98% สะท้อนว่าในระยะสามเดือนข้างหน้ากลุ่มตัวอย่างยังไม่เชื่อว่าราคาทองคำจะ สามารถกลับสู่ขาขึ้นได้ แต่เมื่อวัดจากระดับดัชนีที่อยู่ใกล้ระดับ 50 จุด อาจจะสะท้อนว่าแม้จะไม่ได้มองราคาทองคำในเชิงบวกแต่ยังเชื่อว่าอาจจะฟื้นตัว ได้ในระยะกลาง โดยปัจจัยที่กลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าจะมีผลต่อทิศทางราคาทองคำในเดือน ก.ค.ได้แก่ ค่าเงินบาท การชะลอมาตรการ QE

 

"การชะลอมาตรการ QE จะมีผลต่อราคาทองคำมากที่สุด รวมถึงค่าเงินบาทที่ยังมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีความผันผวนอย่างมาก ซึ่งอาจจะกระทบต่อทิศทางราคาทองคำในประเทศในช่วงครึ่งปีหลังนี้ได้ และเรื่องของดีมานด์-ซัพพลาย โดยเฉพาะดีมานด์ของเอเชียที่ลดลงจากเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว และจากการจำกัดการนำเข้าของประเทศอินเดีย อีกทั้งเรื่องของวิกฤตหนี้ยูโรโซน" นายกมลธัญ กล่าว

 

ทั้ง นี้ มองว่า 3-6 เดือนข้างหน้านี้ราคาทองคำจะยังเป็นขาลง เนื่องจากยังคงมีความเสี่ยงในระบบเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นประเทศสหรัฐฯที่ยังมีปัญหาเรื่องของเพดานหนี้ และ EU ที่ยังมีปัญหาของภาครัฐ ซึ่งคาดว่าจะมีโอกาสปรับฐานเพิ่นขึ้นได้ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงในประเทศอียิปต์จะมีผลต่อราคาทองคำในระยะ สั้นตามราคาน้ำมันที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่จากเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว ทำให้ประเมินว่าการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันอยู่ในกรอบจำกัด

 

"นัก ลงทุนที่จะลงทุนในช่วงขาลงยังคงลงทุนได้อยู่ แต่ต้องปรับเปลี่ยนเป็นการลงทุนในระยะสั้น และขายทำกำไรออกไป แต่การลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดก็ตาม นักลงทุนควรศึกษา วิธีการ และกระบวนการก่อนการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในทองคำหรือทองคำแท่ง"นายกมลธัญกล่าว

 

ที่มา : money channel (วันที่ 5 กค.56)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ป๋า ไลน์ ที่ส่งไปชอบป่าว มีอีกเยอะ 55555

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ศูนย์วิจัยทองคำ คาด ไตรมาส 3 ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น แต่แรงกดดันจากการลด QE ในไตรมาสที่ 4 จะกดดันราคาอีกครั้ง

 

นายกมล ธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ บอกว่า แนวโน้มราคาทองคำในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้ หลังจากปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีปัจจัยสนับสนุนที่จะทำให้ทองคำ ยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยหรือ Safe Haven อย่างเช่น วิกฤตเศรษฐกิจในยุโรปที่คาดว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจเอเชีย และแรงเทขายของกองทุนขนาดใหญ่ เริ่มลดลง ขณะที่ในระยะสั้นจะได้ปัจจัยบวกจากการปรฏิบัติในอียิปต์

 

อย่างไรก็ ตาม แนวโน้มในไตรมาส 4 มีความเสี่ยงจากการลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินหรือ QE ของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ที่จะกดดันราคาทองไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในประเด็นนี้ จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

 

ศูนย์วิจัยทองคำยังได้ เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นราคาทองคำล่าสุด พบว่า ในช่วงเดือนกรกฏาคม ดัชนียังสะท้อนมุมมองต่อราคาทองคำในเชิงลบหรือมองว่าราคาทองคำยังเป็นขาลง จากผลสำรวจที่ออกมาในระดับ 33.77 จุด เพิ่มขึ้น 2.6% จากเดือนมิถุนายน 32.91 จุด ทั้งนี้ แม้กลุ่มตัวอย่างจะมีมุมมองเชิงลบต่อราคา แต่การปรับขึ้นของดัชนี สะท้อนว่าราคาที่ปรับตัวลงมามาก ทำให้กลุ่มตัวอย่างมองว่าโอกาสที่ราคาทองจะปรับตัวลดลงนั้นมีน้อยลง

 

แต่ อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งอยู่ที่ระดับ 44.88 จุด ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 1.38 จุด หรือ 2.98% ก็สะท้อนว่ากลุ่มตัวอย่าง ยังไม่เชื่อว่าราคาทองคำ จะกลับสู่ขาขึ้นได้ในระยะสั้นนี้

 

ขณะที่บทสรุปความคิดเห็นผู้ค้าทาง คำ เชื่อว่าราคาทองคำในตลาดโลก ในช่วงเดือนกรกฎาคม จะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,150 -1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศ จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 17,000 - 20,500 บาท โดยมีประเด็นการชะลอ QE ของเฟด เป็นแรงกดดัน ขณะที่ความผันผวนของค่าเงิน ยังเชื่อว่าจะกระทบต่อราคาทองคำในเดือนนี้ด้วย

 

ที่มา : money channel (วันที่ 5 กค.56)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...