ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

+1 ให้กับคุณ kunghdy ขอบคุณสำหรับข่าว และบทความต่างๆที่เอามาบอกต่อ รวมทั้งคำเตือนสติดีๆด้วยบางครั้งคนเราก็ทำหรือพูดอะไรออกไปตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้นโดยไม่ทันยั้งคิด 5fc0f220.gif 5fc0f220.gif 5fc0f220.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับคุณ kunghdy

หลายสำนักมองทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐ และจุดจบคล้ายคลึงกันมากเลยนะครับ

 

เอามาฝากอีกข้อมูลแล้วกันครับ จากบทความนี้ครับ

http://www.usagold.com/publications/newsletter0611.html

มีตัวเลขเงินเฟ้อด้านอาหารของสหรัฐตามตารางข้างล่างครับ

อาหารแพง คนจนเจอก่อน

แต่เข้าใจว่าเพราะเขามี Food Coupon ผลกระทบที่ชาวบ้านโดนเลย delay ออกไป

ไหนจะเรื่องน้ำมันอีก ฯลฯ

ประเทศคู่ค้าของสหรัฐเจอเงินเฟ้อทั้งนั้น ไหนจะค่าเงินที่สุดท้าย US$ ต้องอ่อนลงไปอีก ราคาสินค้าที่สหรัฐนำเข้า สุดท้ายต้องแพงขึ้นหลายสิบ %

 

 

แต่

ที่หดตัวก็มีไม่น้อยเช่นกัน

เช่นเรื่องที่อยู่อาศัย (ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีน้ำหนักมากในการคำนวน inflation ของสหรัฐ) ที่ราคายังถดถอยอยู่มาก และตกต่ำไประดับเดียวกับช่วงวิกฤต subprime แล้ว

การปล่อยกู้ก็แย่ลง เพราะลูกค้าจำนวนไม่น้อยยังเอาตัวไม่รอดจากวิกฤตคราวก่อน

นักศึกษาจบใหม่ที่กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา ไม่สามารถหางานทำได้กว่า 50% ทำให้เป็นหนี้เสียเครดิตเสียตั้งแต่ยังไม่ได้ทำงาน

ระบบธนาคารก็มีปัญหา ธนาคารระดับรัฐมีข่าวปิดตัวลงเดือนละ 2-3 แห่งทุกเดือน และตัวเลขที่แสดงว่ายังมีปัญหาก็ยังมีอีกเป็นร้อยๆ ธนาคาร

 

ไม่ว่าจะพัฒนาไปยังไง

ทอง (และ เงิน) น่าจะเป็นการป้องกันตัวเอง และการลงทุนที่ดีที่สุดอยู่ดีครับ :) :)

post-2573-096073700 1306067607.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีครับ ผมน้องใหม่ตามอ่านมานานแล้วแต่ไม่เคยสมัครเลย ^_^ (อายจัง) ขอแสดงความคิดเห็นในมุมมองของผมเอง (ซึ่งอาจไปสนับสนุน พี่ ton )บ้างนะครับ

 

* เรื่องทองที่หลายๆท่านบอกว่าในระยะยาว ราคาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนั้นน่าแปลกที่หลายๆคนไม่เคยรู้ว่าทองเคยเป็นขาลงมาเกือบ 20 ปีก่อนจะเริ่มหักหัวขึ้นช่วง world trade center (แต่อันนี้พี่ๆในห้องนี้คงรู้อยู่แล้วแหละเนอะ :lol: )

คือที่ว่าราคาควรจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอันนี้ผมว่าถูกครับเพราะ supply ในโลกมีจำกัด(และยังหาของทดแทนไม่ได้)แต่ประเด็นที่ผมสนใจคือ แล้วราคาในปัจจุบันล่ะ มันสองคล้องกับพื้นฐานหรือป่าว ถึง supply มีจำกัดก็จริงแต่สมมตินะครับสมมติ ว่าราคาแถวๆนี้ คือราคาที่ควรจะเป็นในอีก 20 ปีข้างหน้าแล้วเราควรซื้อหรือป่าว ??

* ส่วนประเด็นที่ว่าทองมีต้นทุนผลิตอย่างต่ำๆที่ 800-900 ดอลล์ บวกค่าพรีเมี่ยมนู่นนี่เข้าไปอีก ต่อให้ลงก็คงไม่ต่ำว่านั้น ผมว่าไม่เกี่ยวหรอกครับ ผมว่าที่ตุ้นทุนมันสูงเพราะทองมันเป็นขาขึ้นนี่แหละ ต้นทุนมันถึงสูง อันนี้ขอเปรียบเทียบกับกิจการที่มีลักษณะเป็นวัฎจักรอย่างการก่อสร้างอสังหาน่ะครับ แน่นอนถ้าภาพรวมของเศรษฐกิจเป็นขาขึ้น ค่าครองชีพ เงินเฟ้ออะไรต่างๆย่อมต้องสูงขึ้น ซึ่งจะไปทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น -> เครื่องจักร วัสดูก่อสร้างพวก ปูน ซีเมนต์ ค่าจ้างพนักงาน ราคาสูงขึ้น -> ต้นทุนอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้นนั่นเอง พอฟองสบู่แตกต้นทุนตรงนี้ก็จะตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว(และมักจะลดลงต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็นมากๆด้วย เพราะพื้นฐานจิตวิทยาแล้วคนมักจะ panic buy , panic sell)

* ดอลล่าจะกลายเป็นกระดาษ ? ผมว่าไม่หรอกครับ เพราะอะไร ? สิ่งที่ผมเห็นคืออเมริกาก็ยังคงเป็นอเมริกาอย่างที่เคยเป็นมา อเมริกาเป็นประเทศที่มี innovation เทคโนโลยี อะไรต่างๆเขาก็เป็นหัวหอกทั้งนั้น บุคลากรชั้นยอดจากอินเดีย จีนผมเห็นสมองไหลไปมะกันหมด พวก emerging technology อย่าง พันธุวิศวกรรม , นาโนเทคโนโลยี , anti-age drug ,wireless technology(เดี๋ยวนี้มีส่งพลังงานไฟฟ้าแบบ wireless แล้วด้วย ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิดหรอก),rollable display พวกนี้คุณเคยเห็นสักอย่างที่จีนเคยนำร่องมาก่อนมั้ยล่ะครับ ผมเห็นมีอเมริกากับยุโรปเท่านั้นแหละที่กำลังทำ research เรื่องพวกนี้อยู่ คือถ้าจะเปรียบอเมริกาเป็นหุ้นผมว่ามันก็คือหุ้นชั้นยอดตัวนึงที่กักเก็บ hidden asset อยู่เพียงแต่ตอนนี้ถูกถาโถมด้วยข่าวร้ายๆทำให้มันไม่สามารถแสดงคุณค่าที่แท้จริงหรือพูดง่ายๆก็คือมันคือหุ้นชั้นยอดที่ราคาถูกมากๆนั่นเอง (เฮียบัฟเฟตมาเห็นคงน้ำลายสอเลย) ส่วนจีนมีอะไร ? อย่างเดียวที่จีนทำได้ดีกว่าคือต้นทุนเท่านั้นเองครับ อย่างหัวเหว่ยที่ไล่ตีบริษัทผลิตไอทีในมะกันซะกระเจิงในตอนนี้ก็เพราะเหตุผลเดียวคือต้นทุนเขาต่ำกว่าทำให้สามารฮุบงานประมูลหลายๆชิ้นไปได้ ซึ่งไอ้ของแบบนี้ผมว่ามันเป็นปัจจัยระยะสั้นๆเท่านั้นไม่ได้ยั่งยืนอะไร พอประชาชนจีนความเป็นอยู่เริ่มดีขึ้นแต้มต่อตรงนี้จะค่อยๆหมดไป อีกอย่างธรรมชาติของตลาดเกิดใหม่มักจะต้องเจอกับฟองสบู่แตกหนักๆแบบที่พวกเราเคยเจอกันซึ่งจีนผมว่ายังไม่เคยเจอกับอะไรแบบนั้นเลยนะ

* ประเด็นที่ว่าคนส่วนใหญ่มองทองเป็นขาขึ้นหมดหรือยังผมว่าเราควรนับเฉพาะ player ที่อยู่ในตลาดจริงๆครับ คือจะไปถามคนอื่นที่ไม่รู้และไม่ได้สนใจอะไรมากมายปัจจัยทางจิตวิทยาที่จะกระทบมันก็มีน้อย อย่างตอนหุ้นไทยอยู่ 1500 - 1600 แม่ผมก็บอกนี่มันบ้าชัดๆ แต่ถ้าไปถามน้าผมหลายๆคนที่เขาจดจ่อกับตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิดทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันคือ "ถ้าลงต่อก็จะซื้อ ดอยไม่นานเดี๋ยวมันก็ขึ้น" ลองพิจรณาพวกเราๆที่ติดตามทองมาตลอดสิครับว่าส่วนใหญ่คิดยังไง หรือไปดูในห้องสินธรก้ได้ ส่วนใหญ่จะบอกกันว่า "soros ขายหมู"

* ผมไม่อยากฟันธงแบบคุณ ton หรือคุณพิชัยน่ะครับว่ามันจะไปไม่เกิน 1600 ดอลล์ / ออนซ์ คือถ้าลองดูธรรมชาติของตลาดเก็งกำไรแล้วเนี่ยจะพบว่าในจังหวะสุดท้ายก่อนมันจะกลายเป็นขาลงแบบแรงๆนั้น แท่งเทียนระดับ week / month จะเป็นแท่งเขียวแบบเว่อร์มากๆ หรือเข้ากับคำที่ว่า ไฟจะสว่างที่สุดก็ก่อนที่มันใกล้มอด น่ะครับ ลองเปิด efinance แล้วดูหุ้นไทยช่วงต้มยำกุ้ง , nymex , BDI สิครับ อาจจะบวกมาเกินกว่า 50% เลยที่เดียวภายในระยะเวลาที่สั้นมากๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีอะไรกำหนดได้หรอกครับว่ามันจะต้องเป็นแบบนั้นหรือป่าวแต่กราฟ gold ผมยังไม่เห็น pattern แบบนั้นเลยนะ แต่ประเด็นคือคนที่เข้าไปลงทุนในอะไรสักอย่างที่อยู่ในช่วงที่สิ่งนั้นๆดูสิ้นหวังผม่ไม่เคยเห็นใครขาดทุนเลยครับ ตรงกันข้ามคนที่เข้าไปลงทุนกับอะไรสักอย่างที่มีแต่เรื่องดีๆแล้วสุดท้ายจะรอดออกมาได้ผมว่ามีน้อยนะ (น้าผม "ทุกคน" เลิกสนใจตลาดหุ้นมานานละครับ) ที่ผมอยากสื่อคือที่ว่าจุดนี้ "peak" แล้วหรือป่าวผมว่าไม่สำคัญเท่ากับจุดนี้คือ "จังหวะ" ที่ใช่หรือป่าวนะครับ ^_^ โชคดีในการลุงทุนนะครับทุกท่าน ^_^

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีครับ ผมน้องใหม่ตามอ่านมานานแล้วแต่ไม่เคยสมัครเลย ^_^ (อายจัง) ขอแสดงความคิดเห็นในมุมมองของผมเอง (ซึ่งอาจไปสนับสนุน พี่ ton )บ้างนะครับ

 

* เรื่องทองที่หลายๆท่านบอกว่าในระยะยาว ราคาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนั้นน่าแปลกที่หลายๆคนไม่เคยรู้ว่าทองเคยเป็นขาลงมาเกือบ 20 ปีก่อนจะเริ่มหักหัวขึ้นช่วง world trade center (แต่อันนี้พี่ๆในห้องนี้คงรู้อยู่แล้วแหละเนอะ :lol: )

คือที่ว่าราคาควรจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอันนี้ผมว่าถูกครับเพราะ supply ในโลกมีจำกัด(และยังหาของทดแทนไม่ได้)แต่ประเด็นที่ผมสนใจคือ แล้วราคาในปัจจุบันล่ะ มันสองคล้องกับพื้นฐานหรือป่าว ถึง supply มีจำกัดก็จริงแต่สมมตินะครับสมมติ ว่าราคาแถวๆนี้ คือราคาที่ควรจะเป็นในอีก 20 ปีข้างหน้าแล้วเราควรซื้อหรือป่าว ??

* ส่วนประเด็นที่ว่าทองมีต้นทุนผลิตอย่างต่ำๆที่ 800-900 ดอลล์ บวกค่าพรีเมี่ยมนู่นนี่เข้าไปอีก ต่อให้ลงก็คงไม่ต่ำว่านั้น ผมว่าไม่เกี่ยวหรอกครับ ผมว่าที่ตุ้นทุนมันสูงเพราะทองมันเป็นขาขึ้นนี่แหละ ต้นทุนมันถึงสูง อันนี้ขอเปรียบเทียบกับกิจการที่มีลักษณะเป็นวัฎจักรอย่างการก่อสร้างอสังหาน่ะครับ แน่นอนถ้าภาพรวมของเศรษฐกิจเป็นขาขึ้น ค่าครองชีพ เงินเฟ้ออะไรต่างๆย่อมต้องสูงขึ้น ซึ่งจะไปทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น -> เครื่องจักร วัสดูก่อสร้างพวก ปูน ซีเมนต์ ค่าจ้างพนักงาน ราคาสูงขึ้น -> ต้นทุนอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้นนั่นเอง พอฟองสบู่แตกต้นทุนตรงนี้ก็จะตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว(และมักจะลดลงต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็นมากๆด้วย เพราะพื้นฐานจิตวิทยาแล้วคนมักจะ panic buy , panic sell)

* ดอลล่าจะกลายเป็นกระดาษ ? ผมว่าไม่หรอกครับ เพราะอะไร ? สิ่งที่ผมเห็นคืออเมริกาก็ยังคงเป็นอเมริกาอย่างที่เคยเป็นมา อเมริกาเป็นประเทศที่มี innovation เทคโนโลยี อะไรต่างๆเขาก็เป็นหัวหอกทั้งนั้น บุคลากรชั้นยอดจากอินเดีย จีนผมเห็นสมองไหลไปมะกันหมด พวก emerging technology อย่าง พันธุวิศวกรรม , นาโนเทคโนโลยี , anti-age drug ,wireless technology(เดี๋ยวนี้มีส่งพลังงานไฟฟ้าแบบ wireless แล้วด้วย ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิดหรอก),rollable display พวกนี้คุณเคยเห็นสักอย่างที่จีนเคยนำร่องมาก่อนมั้ยล่ะครับ ผมเห็นมีอเมริกากับยุโรปเท่านั้นแหละที่กำลังทำ research เรื่องพวกนี้อยู่ คือถ้าจะเปรียบอเมริกาเป็นหุ้นผมว่ามันก็คือหุ้นชั้นยอดตัวนึงที่กักเก็บ hidden asset อยู่เพียงแต่ตอนนี้ถูกถาโถมด้วยข่าวร้ายๆทำให้มันไม่สามารถแสดงคุณค่าที่แท้จริงหรือพูดง่ายๆก็คือมันคือหุ้นชั้นยอดที่ราคาถูกมากๆนั่นเอง (เฮียบัฟเฟตมาเห็นคงน้ำลายสอเลย) ส่วนจีนมีอะไร ? อย่างเดียวที่จีนทำได้ดีกว่าคือต้นทุนเท่านั้นเองครับ อย่างหัวเหว่ยที่ไล่ตีบริษัทผลิตไอทีในมะกันซะกระเจิงในตอนนี้ก็เพราะเหตุผลเดียวคือต้นทุนเขาต่ำกว่าทำให้สามารฮุบงานประมูลหลายๆชิ้นไปได้ ซึ่งไอ้ของแบบนี้ผมว่ามันเป็นปัจจัยระยะสั้นๆเท่านั้นไม่ได้ยั่งยืนอะไร พอประชาชนจีนความเป็นอยู่เริ่มดีขึ้นแต้มต่อตรงนี้จะค่อยๆหมดไป อีกอย่างธรรมชาติของตลาดเกิดใหม่มักจะต้องเจอกับฟองสบู่แตกหนักๆแบบที่พวกเราเคยเจอกันซึ่งจีนผมว่ายังไม่เคยเจอกับอะไรแบบนั้นเลยนะ

* ประเด็นที่ว่าคนส่วนใหญ่มองทองเป็นขาขึ้นหมดหรือยังผมว่าเราควรนับเฉพาะ player ที่อยู่ในตลาดจริงๆครับ คือจะไปถามคนอื่นที่ไม่รู้และไม่ได้สนใจอะไรมากมายปัจจัยทางจิตวิทยาที่จะกระทบมันก็มีน้อย อย่างตอนหุ้นไทยอยู่ 1500 - 1600 แม่ผมก็บอกนี่มันบ้าชัดๆ แต่ถ้าไปถามน้าผมหลายๆคนที่เขาจดจ่อกับตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิดทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันคือ "ถ้าลงต่อก็จะซื้อ ดอยไม่นานเดี๋ยวมันก็ขึ้น" ลองพิจรณาพวกเราๆที่ติดตามทองมาตลอดสิครับว่าส่วนใหญ่คิดยังไง หรือไปดูในห้องสินธรก้ได้ ส่วนใหญ่จะบอกกันว่า "soros ขายหมู"

* ผมไม่อยากฟันธงแบบคุณ ton หรือคุณพิชัยน่ะครับว่ามันจะไปไม่เกิน 1600 ดอลล์ / ออนซ์ คือถ้าลองดูธรรมชาติของตลาดเก็งกำไรแล้วเนี่ยจะพบว่าในจังหวะสุดท้ายก่อนมันจะกลายเป็นขาลงแบบแรงๆนั้น แท่งเทียนระดับ week / month จะเป็นแท่งเขียวแบบเว่อร์มากๆ หรือเข้ากับคำที่ว่า ไฟจะสว่างที่สุดก็ก่อนที่มันใกล้มอด น่ะครับ ลองเปิด efinance แล้วดูหุ้นไทยช่วงต้มยำกุ้ง , nymex , BDI สิครับ อาจจะบวกมาเกินกว่า 50% เลยที่เดียวภายในระยะเวลาที่สั้นมากๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีอะไรกำหนดได้หรอกครับว่ามันจะต้องเป็นแบบนั้นหรือป่าวแต่กราฟ gold ผมยังไม่เห็น pattern แบบนั้นเลยนะ แต่ประเด็นคือคนที่เข้าไปลงทุนในอะไรสักอย่างที่อยู่ในช่วงที่สิ่งนั้นๆดูสิ้นหวังผม่ไม่เคยเห็นใครขาดทุนเลยครับ ตรงกันข้ามคนที่เข้าไปลงทุนกับอะไรสักอย่างที่มีแต่เรื่องดีๆแล้วสุดท้ายจะรอดออกมาได้ผมว่ามีน้อยนะ (น้าผม "ทุกคน" เลิกสนใจตลาดหุ้นมานานละครับ) ที่ผมอยากสื่อคือที่ว่าจุดนี้ "peak" แล้วหรือป่าวผมว่าไม่สำคัญเท่ากับจุดนี้คือ "จังหวะ" ที่ใช่หรือป่าวนะครับ ^_^ โชคดีในการลุงทุนนะครับทุกท่าน ^_^

ขอบคุณมากครับสำหรับความคิดเห็นที่แตกต่างอย่างสร้างสรรค์ คิดต่างไม่ใช่สิ่งผิดและเป็นสิ่งดี คิดต่างแล้วเอาความเห็นที่แตกต่างมาชี้แจงประกอบเหตุผล

คือสิ่งที่ทุกคนอยากได้ครับ ผมขอมองต่างในบางส่วนนะครับ บางส่วนก็ตรงกันนะครับ

1)สิ่งที่ผมเห็นคืออเมริกาก็ยังคงเป็นอเมริกาอย่างที่เคยเป็นมา อเมริกาเป็นประเทศที่มี innovation เทคโนโลยี อะไรต่างๆเขาก็เป็นหัวหอกทั้งนั้น บุคลากรชั้นยอดจากอินเดีย จีนผมเห็นสมองไหลไปมะกันหมด พวก emerging technology อย่าง พันธุวิศวกรรม , นาโนเทคโนโลยี , anti-age drug ,wireless technology(เดี๋ยวนี้มีส่งพลังงานไฟฟ้าแบบ wireless แล้วด้วย ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิดหรอก),rollable display พวกนี้คุณเคยเห็นสักอย่างที่จีนเคยนำร่องมาก่อนมั้ยล่ะครับ ผมเห็นมีอเมริกากับยุโรปเท่านั้นแหละที่กำลังทำ research เรื่องพวกนี้อยู่ คือถ้าจะเปรียบอเมริกาเป็นหุ้นผมว่ามันก็คือหุ้นชั้นยอดตัวนึงที่กักเก็บ hidden asset อยู่เพียงแต่ตอนนี้ถูกถาโถมด้วยข่าวร้ายๆทำให้มันไม่สามารถแสดงคุณค่าที่แท้จริงหรือพูดง่ายๆก็คือมันคือหุ้นชั้นยอดที่ราคาถูกมากๆนั่นเอง (เฮียบัฟเฟตมาเห็นคงน้ำลายสอเลย) ส่วนจีนมีอะไร ? อย่างเดียวที่จีนทำได้ดีกว่าคือต้นทุนเท่านั้นเองครับ

ส่วนที่พูดทั้งหมดกำลังจะกลายเป็นอดีตไปแล้วครับ ตอนนี้บุคคลากรชั้นเยี่ยมของประเทศต่างๆที่ไปขุดทองในอเมริกาไหลออกจากอเมริกาอย่างมากมายครับ บุคลากรของอเมริกาเองก็ไหลออกครับ พวกเทคโนโลยีใหม่ๆที่สอนกันในมหาวิทยาลัย ลองเจาะลึกดูครับเป็นนักศึกษาจากเอเซียมากกว่าอเมริกาและยุโรปมากครับ จำนวนการจดทรัพย์สินทางปัญญา(ไม่แน่ใจว่าใช่ศัพท์ถูกมั้ย)ของอเมริกาถึงจะยังมากเป็นอันดับ1แต่ลดลงเรื่อยๆ ส่วนของทางเอเซียมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นมากอย่างชัดเจน ตอนนี้รถไฟความเร็วสูงของจีนอาจจะแซงหน้าประเทศอื่นไปแล้วก็ได้ ประเทศที่มีเทคโนโลยีสร้างรถไฟความเร็วสูงในระดับแนวหน้า จีนยอมลงทุนให้พวกเขามาทำรถไฟในจีนหลายเจ้า สุดท้ายจีนเรียนรู้เทคโนโลยีของหลายประเทศแล้วนำมาต่อยอดเป็นความรู้ของจีน ที่ฟังมาจีนสร้างเครื่องบินล่องหนได้แล้ว ตอนนี้จีนมีการเติบโตหลายอย่างแบบเดียวกับที่อเมริกาแซงอังกฤษ รายการวิทยุที่ผมชอบฟังเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของจีนตอนนี้เข้าไม่ได้ ไว้จะเอาwebนั้นมาฝากครับ ลองตามดูการเจริญของจีนแบบเจาะลึกแล้วอาจจะเปลี่ยนความคิดครับ(สิ่งที่ผมทราบมาอาจจะผิดก็ได้ครับ)

2)ประเด็นที่ว่าคนส่วนใหญ่มองทองเป็นขาขึ้นหมดหรือยังผมว่าเราควรนับเฉพาะ player ที่อยู่ในตลาดจริงๆครับ คือจะไปถามคนอื่นที่ไม่รู้และไม่ได้สนใจอะไรมากมายปัจจัยทางจิตวิทยาที่จะกระทบมันก็มีน้อย

ส่วนนี้ขอมองต่างนะครับ กรณีตลาดหุ้นส่วนมากคนหน้าใหม่ที่เข้ามาในตลาดหุ้นจะมีไม่มากเท่าไหร่เพราะคนส่วนมากจะกลัวหุ้น แต่สิ่งที่ผมเห็นคือคนหน้าใหม่ที่หันมาสนใจทองคำ เพิ่มขึ้นในอัตราที่น่าสนใจมากครับ ลองดูคนหน้าใหม่ที่เข้ามาหาข้อมูลในเวปทองเพิ่มขึ้นจำนวนแบบน่าสนใจเลย ผมเห็นคนอายุเพิ่งจบทำงานสนใจในทองขึ้นอยากมากอย่างชัดเจนในงานสัมมนาที่จัดขึ้น ถ้ามีหน้าใหม่มาเติมเต็มในตลาดในอัตราที่น่าสนใจและหน้าเก่าก็ยังเหนียวแน่นกับตลาดครับ หน้าใหม่เพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ คนที่ไม่สนใจทองยังมีจำนวนมากกกกกกกกแต่เขาเริ่มหันมามองเพิ่มขึ้น ผมมองว่าจุดนี้ในช่วงนี้ยังต่างจากตลาดหุ้น

3)แต่ประเด็นคือคนที่เข้าไปลงทุนในอะไรสักอย่างที่อยู่ในช่วงที่สิ่งนั้นๆดูสิ้นหวังผม่ไม่เคยเห็นใครขาดทุนเลยครับ ตรงกันข้ามคนที่เข้าไปลงทุนกับอะไรสักอย่างที่มีแต่เรื่องดีๆแล้วสุดท้ายจะรอดออกมาได้ผมว่ามีน้อยนะ

อะไรที่ต่ำสุดๆจนลงไปต่ำกว่าราคาที่เป็นจริง สุดท้ายก็ต้องขึ้นอันนี้ถูกต้องทั้งหมดครับ แต่ราคาที่ต่ำสุดคือที่ราคาเท่าไหร่ใครจะรู้ ช่วงที่หุ้นลงจาก1700จุดไปที่200จุด 1700จุดลงต่ำมาเรื่อยๆ ราคาสิ้นหวังคือราคาไหนครับ ช่วงที่ที่ลงมากถึง50%คือเหลือ850จุดคนที่อยู่ในตลาดก็สิ้นหวังกันมากมายแล้ว ผู้กล้าหลายคนมองว่าตลาดสิ้นหวังเลยรีบเข้าก็โดนมีดที่กำลังหล่นฟันเหวะหวะ ลงลึกถึง60%ตลาดสิ้นหวังมากขึ้นผูกล้าที่เข้าไปรับโดนมีดที่กำลังหล่นฟันเข้าใส่อีกแล้ว

ลงลึกไปอีก65%ตลาดสิ้นหวังกว่าเดิมมากมายผู้กล้าที่เข้าไปรับมีดยามหล่นโดนฟันอีกแล้ว ลงลึกไปถึง70%ตลาดสิ้นหวังกว่าเดิมมากมายผู้กล้าที่เข้าไปรับมีดยามหล่นโดนฟันอีกแล้ว ลงลึกไปถึง75%ตลาดสิ้นหวังกว่าเดิมมากมายผู้กล้าที่เข้าไปรับมีดยามหล่นโดนฟันอีก ลงลึกไปถึง75%ตลาดสิ้นหวังกว่าเดิมมากมายผู้กล้าที่เข้าไปรับมีดยามหล่นโดนฟันอีกแล้ว ตลาดหุ้นไทยตกไปถึงประมาณ85%ถึงขึ้นนะครับ ผู้กล้ามากมายที่เข้าไปรับมีดยามหล่นขาดทุนมากมาย ส่วนคนที่เข้าไปซื้อช่วงลงไป85%เขาอาจฟลุคหรือเขารอความชัดเจนก่อนเข้าก็ได้ครับ

4)อย่างตอนหุ้นไทยอยู่ 1500 - 1600 แม่ผมก็บอกนี่มันบ้าชัดๆ แต่ถ้าไปถามน้าผมหลายๆคนที่เขาจดจ่อกับตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิดทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันคือ "ถ้าลงต่อก็จะซื้อ ต้องถามเหตุผลที่เขามองว่าลงไม่เยอะครับ ได้ตามข้อมูลพื้นฐานจริงที่ไม่ใช่ข่าวทั่วไปบ้างไหม ทราบไหมว่าหนี้ต่างประเทศทั้งระยะสั้นและระยะยาวเป็นไงบ้าง รู้มั้ยว่าเราแข่งขันสู้ประเทศอื่นไม่ได้จนขาดดุลการค้ามากมาย รู้มั้ยว่าเงินที่ไหลมากอบโกยผลประโยชน์ในไทยเขารีบหนีออกแล้วเพราะผลตอบแทนไม่คุ้มความเสี่ยงแล้ว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เยี่ยมยอดสำหรับความคิดเห็นทั้งสองฝ่ายที่นำมา "บอกเก้าเล่าสิบ" นะครับ ฮิฮิ ยืมคำของรายการโทรทัศน์ช่วงตอนเย็น มาแซวครับ

แต่ผมค่อนข้างจะเอนเอียงไปทางพี่ส้มโอมือนะครับ เพราะว่าสินทรัพย์ที่เป็นของจริงๆๆ ไม่มีวันบุบสลายและมีค่าเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาครับ (ทั้งทองคำและแร่เงิน)

ถ้าหัวแดงทุบราคาลงมาอีก ผมก็จะหาเงินที่เป็นกระดาษมาช้อนซื้อให้ได้อีก เวลานี้ก็ได้ยินว่าโลหะเงินถูกสกัดกั้นการขึ้น เพราะว่าถูกเพิ่มมาร์จิ้น ตามสัญญา

ถูกแก้ไข โดย skpk

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ชื่นชมคุณthonครับที่ขอโทษในสิ่งที่เผลอพูดแรงไปก่อน จิงๆผมเองแอบชื่นชมคุณtonตรงจุดที่เขากล้าออกมาแสดงความเห็นต่างในหมู่คนที่คิดต่างกับเขา ถึงแม้วิธีการอาจจะขัดใจหลายคน แต่ผมว่าเราก็น่าจะพูดกันซอฟท์ๆอะครับ ผมเชื่อว่าสมชิกในเวปนี้ส่วนใหญ่มีวุฒิภาวะสูงมากๆ

 

มีข้อสังเกต อีกอย่างคือ ตลาดหุ้นทำ new high เวลาใกล้เคียงกันกับทอง เลยครับ แต่ตอนนี้ตลาดหุ้นหล่นลงมาแล้วและแนวโน้มลงได้อีก

ทองอาจขึ้นไปทำ new high wave 5 จริงแต่คงไม่สูงจาก high เดิมมาก เดือนมิย. น่ากลัวครับ ปีก่อนใครเข้ามาคงจำภาพได้ดี ทองคำโดนจัดหนักชุดใหญ่ทั้งปืนใหญ่ปืนกล

ยิ่งเห็นดอลล่าห์ตอนนี้แล้วยิ่งน่ากลัว ถ้าแข็งขึ้นเพราะมีปัจจัยสนับสนุนยังไม่น่ากลัวเท่าไรครับ แต่เพราะไม่มีนี่ซิ ถึงน่ากลัวมากๆ เพราะเดี่ยวคงมีข่าวสนับสนุนตามมาทีหลัง

อาจกลาง มิ.ย. ก็ได้ ถ้าเป็นงั้นทองเดือน มิย. อาจโดนชุดใหญ่แบบปีก่อนก็เป็นได้น่ะ ไม่รู้ผมคิดมากไปป่าวนะ่ เพือนๆใครมีความเห็นไงก็แชร์กันน่ะครับ

ผมเองก็กลัวเดือน มิ.ย. อยุ่เหมือนกันครับ ขนาดพ.ค.ยังโดนไปขนาดนี้ เดือนมิ.ย.จะขนาดไหน อีกทั้งเดือนมิ.ย.ยังเป็นเดือนสิ้นสุดQE2อีก คงเป็นเดือนที่ต้องเฝ้าจับตาดูมากๆ แต่ก็ไม่แน่หรอกเนาะ ใครจะรู้เดือนมิ.ย.ปีนี้อาจไม่เหมือนปีที่แล้วก็ได้

ถูกแก้ไข โดย AunTonio

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีครับ ผมน้องใหม่ตามอ่านมานานแล้วแต่ไม่เคยสมัครเลย ^_^ (อายจัง) ขอแสดงความคิดเห็นในมุมมองของผมเอง (ซึ่งอาจไปสนับสนุน พี่ ton )บ้างนะครับ

 

* เรื่องทองที่หลายๆท่านบอกว่าในระยะยาว ราคาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนั้นน่าแปลกที่หลายๆคนไม่เคยรู้ว่าทองเคยเป็นขาลงมาเกือบ 20 ปีก่อนจะเริ่มหักหัวขึ้นช่วง world trade center (แต่อันนี้พี่ๆในห้องนี้คงรู้อยู่แล้วแหละเนอะ :lol: )

คือที่ว่าราคาควรจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอันนี้ผมว่าถูกครับเพราะ supply ในโลกมีจำกัด(และยังหาของทดแทนไม่ได้)แต่ประเด็นที่ผมสนใจคือ แล้วราคาในปัจจุบันล่ะ มันสองคล้องกับพื้นฐานหรือป่าว ถึง supply มีจำกัดก็จริงแต่สมมตินะครับสมมติ ว่าราคาแถวๆนี้ คือราคาที่ควรจะเป็นในอีก 20 ปีข้างหน้าแล้วเราควรซื้อหรือป่าว ??

* ส่วนประเด็นที่ว่าทองมีต้นทุนผลิตอย่างต่ำๆที่ 800-900 ดอลล์ บวกค่าพรีเมี่ยมนู่นนี่เข้าไปอีก ต่อให้ลงก็คงไม่ต่ำว่านั้น ผมว่าไม่เกี่ยวหรอกครับ ผมว่าที่ตุ้นทุนมันสูงเพราะทองมันเป็นขาขึ้นนี่แหละ ต้นทุนมันถึงสูง อันนี้ขอเปรียบเทียบกับกิจการที่มีลักษณะเป็นวัฎจักรอย่างการก่อสร้างอสังหาน่ะครับ แน่นอนถ้าภาพรวมของเศรษฐกิจเป็นขาขึ้น ค่าครองชีพ เงินเฟ้ออะไรต่างๆย่อมต้องสูงขึ้น ซึ่งจะไปทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น -> เครื่องจักร วัสดูก่อสร้างพวก ปูน ซีเมนต์ ค่าจ้างพนักงาน ราคาสูงขึ้น -> ต้นทุนอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้นนั่นเอง พอฟองสบู่แตกต้นทุนตรงนี้ก็จะตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว(และมักจะลดลงต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็นมากๆด้วย เพราะพื้นฐานจิตวิทยาแล้วคนมักจะ panic buy , panic sell)

* ดอลล่าจะกลายเป็นกระดาษ ? ผมว่าไม่หรอกครับ เพราะอะไร ? สิ่งที่ผมเห็นคืออเมริกาก็ยังคงเป็นอเมริกาอย่างที่เคยเป็นมา อเมริกาเป็นประเทศที่มี innovation เทคโนโลยี อะไรต่างๆเขาก็เป็นหัวหอกทั้งนั้น บุคลากรชั้นยอดจากอินเดีย จีนผมเห็นสมองไหลไปมะกันหมด พวก emerging technology อย่าง พันธุวิศวกรรม , นาโนเทคโนโลยี , anti-age drug ,wireless technology(เดี๋ยวนี้มีส่งพลังงานไฟฟ้าแบบ wireless แล้วด้วย ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิดหรอก),rollable display พวกนี้คุณเคยเห็นสักอย่างที่จีนเคยนำร่องมาก่อนมั้ยล่ะครับ ผมเห็นมีอเมริกากับยุโรปเท่านั้นแหละที่กำลังทำ research เรื่องพวกนี้อยู่ คือถ้าจะเปรียบอเมริกาเป็นหุ้นผมว่ามันก็คือหุ้นชั้นยอดตัวนึงที่กักเก็บ hidden asset อยู่เพียงแต่ตอนนี้ถูกถาโถมด้วยข่าวร้ายๆทำให้มันไม่สามารถแสดงคุณค่าที่แท้จริงหรือพูดง่ายๆก็คือมันคือหุ้นชั้นยอดที่ราคาถูกมากๆนั่นเอง (เฮียบัฟเฟตมาเห็นคงน้ำลายสอเลย) ส่วนจีนมีอะไร ? อย่างเดียวที่จีนทำได้ดีกว่าคือต้นทุนเท่านั้นเองครับ อย่างหัวเหว่ยที่ไล่ตีบริษัทผลิตไอทีในมะกันซะกระเจิงในตอนนี้ก็เพราะเหตุผลเดียวคือต้นทุนเขาต่ำกว่าทำให้สามารฮุบงานประมูลหลายๆชิ้นไปได้ ซึ่งไอ้ของแบบนี้ผมว่ามันเป็นปัจจัยระยะสั้นๆเท่านั้นไม่ได้ยั่งยืนอะไร พอประชาชนจีนความเป็นอยู่เริ่มดีขึ้นแต้มต่อตรงนี้จะค่อยๆหมดไป อีกอย่างธรรมชาติของตลาดเกิดใหม่มักจะต้องเจอกับฟองสบู่แตกหนักๆแบบที่พวกเราเคยเจอกันซึ่งจีนผมว่ายังไม่เคยเจอกับอะไรแบบนั้นเลยนะ

* ประเด็นที่ว่าคนส่วนใหญ่มองทองเป็นขาขึ้นหมดหรือยังผมว่าเราควรนับเฉพาะ player ที่อยู่ในตลาดจริงๆครับ คือจะไปถามคนอื่นที่ไม่รู้และไม่ได้สนใจอะไรมากมายปัจจัยทางจิตวิทยาที่จะกระทบมันก็มีน้อย อย่างตอนหุ้นไทยอยู่ 1500 - 1600 แม่ผมก็บอกนี่มันบ้าชัดๆ แต่ถ้าไปถามน้าผมหลายๆคนที่เขาจดจ่อกับตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิดทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันคือ "ถ้าลงต่อก็จะซื้อ ดอยไม่นานเดี๋ยวมันก็ขึ้น" ลองพิจรณาพวกเราๆที่ติดตามทองมาตลอดสิครับว่าส่วนใหญ่คิดยังไง หรือไปดูในห้องสินธรก้ได้ ส่วนใหญ่จะบอกกันว่า "soros ขายหมู"

* ผมไม่อยากฟันธงแบบคุณ ton หรือคุณพิชัยน่ะครับว่ามันจะไปไม่เกิน 1600 ดอลล์ / ออนซ์ คือถ้าลองดูธรรมชาติของตลาดเก็งกำไรแล้วเนี่ยจะพบว่าในจังหวะสุดท้ายก่อนมันจะกลายเป็นขาลงแบบแรงๆนั้น แท่งเทียนระดับ week / month จะเป็นแท่งเขียวแบบเว่อร์มากๆ หรือเข้ากับคำที่ว่า ไฟจะสว่างที่สุดก็ก่อนที่มันใกล้มอด น่ะครับ ลองเปิด efinance แล้วดูหุ้นไทยช่วงต้มยำกุ้ง , nymex , BDI สิครับ อาจจะบวกมาเกินกว่า 50% เลยที่เดียวภายในระยะเวลาที่สั้นมากๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีอะไรกำหนดได้หรอกครับว่ามันจะต้องเป็นแบบนั้นหรือป่าวแต่กราฟ gold ผมยังไม่เห็น pattern แบบนั้นเลยนะ แต่ประเด็นคือคนที่เข้าไปลงทุนในอะไรสักอย่างที่อยู่ในช่วงที่สิ่งนั้นๆดูสิ้นหวังผม่ไม่เคยเห็นใครขาดทุนเลยครับ ตรงกันข้ามคนที่เข้าไปลงทุนกับอะไรสักอย่างที่มีแต่เรื่องดีๆแล้วสุดท้ายจะรอดออกมาได้ผมว่ามีน้อยนะ (น้าผม "ทุกคน" เลิกสนใจตลาดหุ้นมานานละครับ) ที่ผมอยากสื่อคือที่ว่าจุดนี้ "peak" แล้วหรือป่าวผมว่าไม่สำคัญเท่ากับจุดนี้คือ "จังหวะ" ที่ใช่หรือป่าวนะครับ ^_^ โชคดีในการลุงทุนนะครับทุกท่าน ^_^

 

+1 ให้เลยครับ ผมชอบการมองต่างแบบมีเหตุผลพื้นฐานประกอบจัง อ่านแล้วเก็ตประเด็นดีครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอเสนอแนะคุณ ton เปิดกระทู้ใหม่เลยครับ

 

ตั้งชื่อว่า โอกาส"ดอล" (จริงๆ) : ระยะประชิด

 

จะได้เข้าไปศึกษาว่า เงิน us ดอล มีแนวโน้มอย่างไร

 

เป็นการแยก product เป็นตัวๆไปเลย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอเสนอแนะคุณ ton เปิดกระทู้ใหม่เลยครับ

 

ตั้งชื่อว่า โอกาส"ดอล" (จริงๆ) : ระยะประชิด

 

จะได้เข้าไปศึกษาว่า เงิน us ดอล มีแนวโน้มอย่างไร

 

เป็นการแยก product เป็นตัวๆไปเลย

เห็นด้วยอย่างยิ่ง. ทีนี้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับดอลล่าเต็มที่เลยจร้า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เห็นด้วยครับ ถ้าคุณ ton และสมาชิกท่านอื่นๆที่มีข้อมูลเกี่ยวกับเงินดอลล่าร์

ที่น่าสนใจ จะเป็นวิทยาทานให้สมาชิกเวบ thaigold ได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มได้มากทีเดียว

 

(เสียดาย หมดโควตากดบวกซะแล้ว)

 

ขอเสนอแนะคุณ ton เปิดกระทู้ใหม่เลยครับ

 

ตั้งชื่อว่า โอกาส"ดอล" (จริงๆ) : ระยะประชิด

 

จะได้เข้าไปศึกษาว่า เงิน us ดอล มีแนวโน้มอย่างไร

 

เป็นการแยก product เป็นตัวๆไปเลย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พึ่งได้ดู Inside Job เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสารคดีที่เดินเรื่องเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจลุงแซมได้ดีทีเดียว

ตอนจบของ Inside Job มีประเด็นหนึ่งที่สรุปไว้ตรงกับสารคดีเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจในช่วง 1990-2008 ก็คือ

คนที่มีอำนาจในรัฐบาล (คลัง, ธ.กลาง, กลต, CFTC, etc.) ณ ปัจจุบันนี้ ก็คือกลุ่มคนหน้าเดิมๆ ที่เคยเป็นต้นตอ

ในการก่อให้เกิดวิกฤตที่ผ่านๆมา

 

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจที่ Inside Job พูดถึงก็คือ ประเด็นที่นักวิชาการ มีส่วนได้ส่วนเสีย ในการเขียนบทวิเคราะห์

เศรษฐกิจ, ให้ความเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจ หรือให้คำแนะนำต่างๆกับรัฐบาล โดยที่ ไม่ได้มีการเปิดเผยอย่างชัดแจ้ง ว่า

บทความทีเขียน ข่าวที่พูด หรือการให้การต่อรัฐบาลนั้น เจ้าตัวได้รับเงินจากสถาบันการเงิน, รัฐบาลต่างชาติ, ฯลฯ

 

ที่น่าตกใจที่สุดก็คือ นักวิชาการดังกล่าว ไม่ได้อยู่กับมหาวิทยาลัยเล็กๆ แต่เป็นสถาบันการศึกษาที่มีใครๆก็ยกนิ้วให้

ว่าเป็นแนวหน้า เช่น Harvard และ Columbia เป็นต้น และ ตัวนักวิชาการ กับ ผู้บริหาร ของมหาวิทยาลัย ก็ปกป้อง

การกระทำเช่นนี้ ว่าไม่เสียหายอะไร

 

จำได้ว่าช่วงปี 2007-2008 นั้น แทบจะไม่ได้รับรู้ข่าวเศรษฐกิจ หรือวิกฤตที่เกิดขึ้นเลย ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้สนใจ

เรื่องการลงทุน และอีกส่วนคือนั่งทำงานเป็นหนูติดจั่น งานเสร็จก็หมดแรงแล้ว --- พอมาดูสารคดี ก็ตกใจเหมือนกันว่า

มันเกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร ปัญหาหนักขนาดนี้ ยังไม่เข้าหูเราเลย แล้วจะยังมีอีกกี่คนที่ไม่รู้แบบเรา

 

เกมนี้ผู้เล่นก็ หน้าเดิมๆ กันทั้งนั้น แต่ห้วงเวลา และความหนักหน่วงน่าจะต่างกัน

ตามสไตล์ mdaddy ก็ต้องปูเสื่อ นั่งรอดูเกมคราวนี้ละครับ ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร

ถูกแก้ไข โดย mdaddy

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พึ่งได้ดู Inside Job เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสารคดีที่เดินเรื่องเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจลุงแซมได้ดีทีเดียว

ตอนจบของ Inside Job มีประเด็นหนึ่งที่สรุปไว้ตรงกับสารคดีเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจในช่วง 1990-2008 ก็คือ

คนที่มีอำนาจในรัฐบาล (คลัง, ธ.กลาง, กลต, CFTC, etc.) ณ ปัจจุบันนี้ ก็คือกลุ่มคนหน้าเดิมๆ ที่เคยเป็นต้นตอ

ในการก่อให้เกิดวิกฤตที่ผ่านๆมา

 

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจที่ Inside Job พูดถึงก็คือ ประเด็นที่นักวิชาการ มีส่วนได้ส่วนเสีย ในการเขียนบทวิเคราะห์

เศรษฐกิจ, ให้ความเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจ หรือให้คำแนะนำต่างๆกับรัฐบาล โดยที่ ไม่ได้มีการเปิดเผยอย่างชัดแจ้ง ว่า

บทความทีเขียน ข่าวที่พูด หรือการให้การต่อรัฐบาลนั้น เจ้าตัวได้รับเงินจากสถาบันการเงิน, รัฐบาลต่างชาติ, ฯลฯ

 

ที่น่าตกใจที่สุดก็คือ นักวิชาการดังกล่าว ไม่ได้อยู่กับมหาวิทยาลัยเล็กๆ แต่เป็นสถาบันการศึกษาที่มีใครๆก็ยกนิ้วให้

ว่าเป็นแนวหน้า เช่น Harvard และ Columbia เป็นต้น และ ตัวนักวิชาการ กับ ผู้บริหาร ของมหาวิทยาลัย ก็ปกป้อง

การกระทำเช่นนี้ ว่าไม่เสียหายอะไร

 

จำได้ว่าช่วงปี 2007-2008 นั้น แทบจะไม่ได้รับรู้ข่าวเศรษฐกิจ หรือวิกฤตที่เกิดขึ้นเลย ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้สนใจ

เรื่องการลงทุน และอีกส่วนคือนั่งทำงานเป็นหนูติดจั่น งานเสร็จก็หมดแรงแล้ว --- พอมาดูสารคดี ก็ตกใจเหมือนกันว่า

มันเกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร ปัญหาหนักขนาดนี้ ยังไม่เข้าหูเราเลย แล้วจะยังมีอีกกี่คนที่ไม่รู้แบบเรา

 

เกมนี้ผู้เล่นก็ หน้าเดิมๆ กันทั้งนั้น แต่ห้วงเวลา และความหนักหน่วงน่าจะต่างกัน

ตามสไตล์ mdaddy ก็ต้องปูเสื่อ นั่งรอดูเกมคราวนี้ละครับ ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร

 

เช่นกันครับ ตอนดูเรื่องนี้จบใหม่ๆ ทำเอาอึ้งไปเลยครับ งงว่าเขากล้าทำผิดกฏหมาย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้พวก สุดท้ายก็แก้กฏหมายเพื่อแก้เรื่องผิดให้ถูกซะ

เรื่อง AIG ล้ม ก็เป็นอีกประเด็นที่ผมเพิ่งเข้าใจหลังจากดูเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ก็ยังงงอยู่ว่าล้มไปได้อย่างไร

สุดท้ายก็แค่ความโลภ การตอบสนองผลประโยชน์ของผู้บริหารที่ยุคสมัยนี้นิยมแต่ทำตัวเลขกำไรสูงๆ ในเวลาสั้นๆ (ไม่คำนึงถึงระยะยาว) เพื่อผลประโยชน์ให้ตัวเองได้โบนัสปลายปีสูงๆ เท่านั้น

สิ่งที่ผู้บริหารสถาบันการเงินทั้งหลายทำกันก็คือ เอาธนาคาร สถาบันการเงินของตัวเอง ไปพัวพันกับธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น หวังกำไรสูงขึ้น

หากกำไรดีตัวเองก็ได้ผลตอบแทนดี โบนัสสูง (เห็นในหนังว่าบางคนได้หลายร้อยล้าน US$ ต่อปี แม้ในช่วงวิกฤตก็ตาม)

แต่หากเจ๊งขึ้นมา เขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ปล่อยให้ผู้ถือหุ้นรับกรรมไป

เลวร้ายกว่านั้นก็ให้รัฐบาลมา bailout โดยเงินภาษีของคนทั้งประเทศ

 

ยิ่งดูผมยิ่งสะอิดสะเอียน กับคนกลุ่มนี้จริงๆ ครับ (ไม่ได้ดัดจริตนะครับ แต่รู้สึกจริงๆ 555)

เขาทำทุกอย่าง ช่วยเหลือกันทุกอย่าง (ออกกฏใหม่ ออกบทวิเคราะห์ทางวิชาการสนับสนุน ผ่านกฏหมาย ฯลฯ)

เพื่อคนกลุ่มชั้นนำ เพียงหยิบมือจริงๆ ที่มีส่วนกับความมั่งคั่งนั้น

เวลามีความเสียหายเกิดขึ้น คนกลุ่มนี้ก็ยังเชิดหน้าชูตา ยังได้รับผลประโยชน์สูง

แต่กลับโยนความเสียหายให้ พนักงานระดับล่างรับผิดชอบ (โดนเลิกจ้าง) ผู้เสียภาษีซึ่งไม่เกี่ยวข้องต้องมาแบกภาระด้วย

 

เดี๋ยวนี้ดูข่าวเศรษฐกิจของสหรัฐ ดูคำแถลงของ FED ผมจะมองก่อนเลย ว่านโยบายต่างๆ พวกแบงค์ใหญ่ BOA JPMorgan Citi จะได้ประโยชน์อะไร

เพราะสุดท้ายนโยบายของเขาเอื้อต่อการทำมาหากินของพวกนี้ทั้งนั้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...