ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ขอบคุณครับคุณ jonh cm และทุกท่าน

 

ประโยคนี้เตือนใจไม่ให้ว้าวุ่นดีครับ

ผมว่าเราคงต้องเลิกคาดเดาแล้วมั้งครับ เพราะมันออกได้ทั้งสองหน้า (ขึ้นอยุ่กับการตัดสินใจของคนไม่กี่คน)

แทนที่เราจะเสียเวลาคาดเดา

 

เราน่าจะต้องเตรียมความพร้อม สำหรับทั้ง 2 สถานการณ์ ไม่ว่าจะเกิดแบบไหน เราควรจะพร้อมไว้ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากค่ะ คุณ JohnCM คุณส้มโอมือ คุณ promin คุณ zagio คุณ Milo และ คุณ wcg :gd :57 :uu

ถูกแก้ไข โดย Ohshikung

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หนังสือคลาสสิก

โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 10 มกราคม 2555

หนังสือการลงทุนที่ผมจะพูดต่อไปนี้ ผมคิดว่าเป็นหนังสือคลาสสิก เหตุผลสำคัญคือ เป็นหนังสือที่เป็น "Original" นั่นคือ เป็นหนังสือเล่มแรกๆ ที่เขียนเกี่ยวกับแนวความคิดที่สำคัญที่ต่อมาได้รับการยอมรับกว้างขวาง หรือเป็นหนังสือที่เล่าเรื่องของบุคคลสำคัญได้อย่างมีแง่มุมที่แหลมคมเป็นบท เรียนสำหรับคนรุ่นใหม่ หรือเป็นหนังสือที่ประยุกต์ความรู้และวิชาการลงทุนมาเขียนให้คนทั่วไป อ่านอย่างเข้าใจได้ง่าย ต่างๆ เหล่านี้ เป็นต้น

เล่มแรกก็คือ The Intelligent Investor โดย เบน เกรแฮม นี่คือสุดยอดหนังสือคลาสสิกที่พูดถึงการลงทุนแบบ Value Investment ซึ่งได้สร้าง Value Investor หรือนักลงทุนเน้นคุณค่าขึ้นทั่วโลก ว่าที่จริง สร้างสิ่งที่เรียกว่า "การวิเคราะห์หลักทรัพย์สำหรับการลงทุน" ของนักลงทุนทั่วไปให้เกิดขึ้น ทั้งนี้เพราะก่อนหน้าที่จะมีหนังสือเล่มนี้ การวิเคราะห์หลักทรัพย์ ยังแทบจะไม่มีใครทำ นักลงทุนเล่นหุ้นโดยการฟังข่าวและอาจจะสนใจแต่เรื่องของภาวะเศรษฐกิจ มากกว่าจะดูถึงมูลค่าพื้นฐานของกิจการ หนังสือเล่มนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งนอกจากจะพูดถึงการวิเคราะห์คำนวณหาตัวเลขแล้ว ยังบอกถึงความสำคัญของจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนด้วย

เล่มที่สองคือ Common Stocks and Uncommon Profits and Other Writings โดย ฟิลลิป ฟิสเชอร์ นี่เป็นหนังสือการลงทุนเล่มแรกๆ ที่พูดถึงการลงทุนในกิจการที่ดีสุดยอด ซึ่งกลายเป็นแนวความคิดของกลุ่มนักลงทุนที่เน้นกิจการที่โตเร็วหรือที่เรียก ว่า Growth Investment ซึ่งต่อมากลายเป็นแนวความคิดที่นักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนมืออาชีพส่วนใหญ่ นิยมยึดถือเป็นหลัก

เล่มที่ 3 คือ A Random Walk Down Wall Street โดย Burton Malkiel นี่คือหนังสือที่เขียนขึ้นโดยอิงจากการศึกษาทางวิชาการลงทุนที่บอกว่า ตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพสูงมาก และสามารถกำหนดราคาของหลักทรัพย์ทุกตัวให้มีราคาที่เหมาะสม ดังนั้นไม่มีใครสามารถจะหาหุ้นราคาถูกกว่ามูลค่าพื้นฐานได้ต่อเนื่อง ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ ที่จะไปวิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัว แต่ควรลงทุนหุ้นให้กระจายไปหลายๆ ตัว เช่น ลงทุนในกองทุนรวมที่อิงดัชนีเป็นต้น หัวใจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ก็คือ ให้ข้อมูลและประวัติศาสตร์การลงทุนที่ดีมาก ทำให้นักลงทุนเข้าใจภาพใหญ่ของการลงทุน และตัดสินได้ว่าจะทำอย่างไรกับการลงทุนของตนเอง

เล่มที่ 4 คือ One Up On Wall Street โดย ปีเตอร์ ลินช์ กับ John Rothchild นี่เป็นหนังสือคลาสสิกที่ค่อนข้างใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้เป็นหนังสือคลาสสิกอยู่ที่ว่า ถูกเขียนโดยนักบริหารกองทุนรวมหุ้นที่ประสบความสำเร็จ "สูงที่สุดในโลก" แต่สิ่งที่เผยออกมา คือ "คนธรรมดาก็สามารถที่จะทำได้" หนังสือเล่มนี้เขียนได้สนุกและอ่านง่าย มีตัวเลขน้อยมาก แต่อาศัย Common Sense หรือสามัญสำนึกมากกว่า และถ้าให้เดา ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะขายดีเป็นอันดับต้นๆ ของหนังสือการลงทุนตลอดกาล

เล่มที่ 5 คือ Technical Analysis of Stock Trends โดย Robert Edwards และ John Magee นี่คือหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เป็นเหมือน "คู่มือ" มาตรฐานของนักวิเคราะห์ทางเทคนิค อธิบายการวิเคราะห์อย่างยืดยาวและครอบคลุมคล้ายๆ กับหนังสือ Securities Analysis ของ เบน เกรแฮม ที่พูดถึงเรื่องการวิเคราะห์หุ้นแบบพื้นฐาน ส่วนตัวผมก็ไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ เพราะไม่ได้เชื่อถือเรื่องการวิเคราะห์ทางเทคนิค นักวิเคราะห์ทางเทคนิคน่าจะต้องรู้จักมันเป็นอย่างดี

เล่มที่ 6 คือ Reminiscences of a Stock Operator โดย Edwin Lefevre นี่เป็นหนังสือที่เขียนเป็นแบบนิยาย แต่น่าจะอิง หรือเป็นการเล่าเรื่องราวและชีวิตการลงทุนของ Jesse Livermore ซึ่งเป็นนักเล่นหุ้นและเก็งกำไรระดับโลกที่มีชีวิตที่มีสีสัน เคยร่ำรวยระดับประเทศและล้มละลายหลายครั้งจนสุดท้ายฆ่าตัวตาย หนังสือบอกให้เห็นถึงการเริ่มต้นเข้าสู่การเล่นหุ้นในฐานะของเด็กยากจนต่ำ ต้อยจนก้าวขึ้นสู่ "ราชันย์" ในวงการหุ้นและหลักทรัพย์ในสมัยที่ตลาดอเมริกายังไม่ได้พัฒนาแบบทุกวันนี้ แต่คล้ายๆ กับประเทศกำลังพัฒนาที่ยังไม่มีกฎระเบียบในการควบคุมธุรกิจมากนัก

เล่มที่ 7 คือ Buffet: The Making of an American Capitalist โดย Roger Lowenstein นี่คือหนังสือที่บอกเล่าประวัติและผลงานของบัฟเฟตต์อย่างละเอียดเป็นเล่ม แรกๆ และอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เป็นหนังสือคลาสสิก แม้เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว บัฟเฟตต์จะอนุญาตและร่วมมือในการเขียนหนังสือประวัติของตนเองชื่อ The Snowball โดย Alice Schroeder เราก็คงต้องดูกันต่อไปว่ามันจะกลายเป็นหนังสือคลาสสิกได้หรือไม่ เหตุผลก็คือ ประวัติของบัฟเฟตต์นั้นมีการพูดถึงกันมามากก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้ The Snowball อาจจะไม่เด่นมากอย่างที่คาด

เล่มที่ 8 The Money Master และ The New Money Master โดย John Train นี่เป็นหนังสือที่นำเสนอประวัติและกลยุทธ์การลงทุนของเซียนหุ้นแถวหน้าแห่ง ยุคสมัยหลายๆ คนในเล่มเดียวกัน และเช่นเคย เป็นหนังสือเล่มแรกๆ ที่เขียนได้ดีและมีมุมมองที่เฉียบคม จึงกลายเป็นหนังสือคลาสสิก แม้จะมีหนังสือแนวนี้ออกมาในภายหลัง จึงเป็นเพียงผู้ตามและก็คงยากที่จะกลายเป็นหนังสือคลาสสิกได้

สุดท้ายก็คือคำถามที่ว่า เราจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องอ่านหนังสือคลาสสิกถ้าจะเป็นนักลงทุนที่มุ่งมั่น คำตอบของผมก็คือ ไม่จำเป็น เพราะบ่อยครั้ง หนังสือคลาสสิกก็ "อ่านยาก" เพราะบางเล่มเก่ามาก และใช้ภาษาสำนวนที่ค่อนข้างเก่า บางเล่มผู้เขียนก็ไม่ได้ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เพราะเขาอาจเป็นนักวิชาการมากกว่านักเขียน แต่สิ่งสำคัญคือ ถ้าเนื้อหาในหนังสือคลาสสิก มีความสำคัญต่อความเข้าใจของเรามาก เราต้องหาหนังสือที่ Simplify หรือเขียนอธิบายแนวความคิดนั้นอย่างง่ายมาอ่าน ซึ่งโชคดีที่ปัจจุบันมีหนังสือแบบนี้มากมาย ทำให้เราไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือคลาสสิก เราก็ยังเข้าใจแนวคิดของมันได้ ผมก็ยังคิดว่า ถ้าจะให้ดี เราก็ควรจะอ่านหนังสือคลาสสิกด้วย สักจบหนึ่งก็ยังดี เพื่อที่จะได้ "คุย" ได้ว่า เราเคยอ่านมาแล้ว

 

 

 

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

มีโพสในกระทู้หุ้นแล้ว แต่หลายคนอาจไม่ได้เข้ากระทู้นั้นเลยโพสเพิ่ม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บทความน่าสนใจครับ

http://www.kitco.com/ind/nichols/feb012012.html

คัดลอกมาบางส่วนนะครับ เนื้อหาสอดคล้องกับประเด็นที่เราได้พูดคุยกันก่อนหน้านี้

 

The last recession in 2008, with its accompanying financial crisis, caused a massive bout of deflation, which slaughtered gold and other financial assets, while triggering a major run up in the dollar.

วิกฤตเมื่อปี 2008 ทำให้เกิด deflation ขึ้น ส่งผลให้ราคาทอง และ สินทรัพย์การเงินอื่นๆ ลดลงอย่างมาก ในขณะเดียวกันดอลลาร์ก็แข็งค่า

 

So it's critical to know if a similar bout of deflation is coming now. ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็น ที่เราจะต้องรู้ว่า จะเกิด deflation ขึ้นเร็วๆ นี้หรือไม่

 

And gold is a highly sensitive barometer on this. และราคาทองก็เป็นเครื่องมือวัดที่ไวต่อเรื่องนี้เสียด้วย

 

If we pay careful attention, gold will give us the accurate forecast. และถ้าคุณตั้งใจให้ดี ราคาทองจะเป็นตัวคาดการณ์สถานการณ์ที่ถูกต้องแม่นยำทีเดียว

 

The main idea is that when a debt is written down -- or "marked to market" -- it tightens the money supply, which in turn causes deflation.

ประเด็นหลักของเรื่องนี้คือเมื่อใดที่มีการปรับมูลค่าหนี้ลง หรือ ปรับมูลค่าหนี้ให้เป็นไปตามราคาตลาด เมื่อนั้นปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบจะลดลงทันที ซึ่งนั่นทำให้เกิด deflation

 

For example, if your neighbor has an $800,000 mortgage, and because of declining real estate values he negotiates to have it lowered to $600,000, that is $200,000 wiped from the money supply.

เช่น ถ้าเพื่อนบ้านคุณกู้เงินมา 800000 เหรียญ และ เพราะการลดลงของราคาบ้านทำให้ต้องมีการประเมินหนี้ใหม่ลดลงเหลือ 600000 เหรียญ

หมายความว่ามูลค่า 200000 เหรียญหายสาปสูญไปกับอากาศ

 

So if a recession triggers another round of debt write-downs -- because people and companies don't have the cash-flow to cover debt payments -- it can cause a massive contraction in the money supply.

เช่นเดียวกัน หากปัญหาเกี่ยวหนี้ที่โลกกำลังประสบอยุ่ขณะนี้ นำไปสู่การประเมินมูลค่าหนี้ใหม่ เพราะบุคคล/บริษัท (หรือประเทศ) ไม่มีกำลังใช้หนี้

ปัญหานี้แหละจะทำให้ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ(ของโลก) ลดลงไปในทันที

 

This type of deflation makes the value of the dollar sky-rocket, because suddenly there are fewer dollars floating around, and the scarcer something becomes, the more valuable it gets.

Deflation แบบนี้แหละ ที่จะทำให้ค่าเงิน dollar พุ่งเป็นจรวด

ในขณะเดียวกันราคาทองและสินทรัพย์อื่นๆ ก็จะลดลงมากเช่นเดียวกัน

 

This is what happened during the financial debacle in 2008. ปี 2008 ก็เกิดแบบเดียวกันนี่แหละ

 

It's absolutely critical for gold bulls to realize that this type of de-leveraging, with the accompanying deflation, is just terrible for gold. Gold gets creamed in this macro-environment, along with just about everything else.

ดังนั้นคนที่ลงทุนในทองต้องเข้าใจเรื่องนี้ให้ดี เพราะหากมันเกิดขึ้นแล้ว มันจะกระทบต่อราคาทองอย่างรุนแง

 

 

It's also important to understand how this relates to the Fed, and its efforts to re-flate the economy.

มันสำคัญที่เราจะเข้าใจประเด็นนี้ ว่ามีผลต่อความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจของ FED อย่างไร

 

The reality is the beleaguered Fed can't create new dollars quickly enough to keep up with the dollars being wiped out by bad debts.

ในความเป็นจริงก็คือแม้ FED กำลังพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบอยู่ แต่ FED ก็ไม่สามารถพิมพ์เงินได้เร็วพอ เท่ากับความเสียหายที่กำลังเกิดขึ้นเพราะหนี้เน่าได้ก่อไว้

 

This is why the Fed can pump trillions of dollars into the economy and not cause hyper-inflation.

ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุว่า ทำไม FED ถึงพิมพ์เงินเข้าระบบได้อีกหลาย ล้านๆ เหรียญ โดยไม่เกิด Hyperinflation

-----------------------

 

ข้อสังเกต

 

มีประเด็นหนึ่ง (ที่ผมได้อ่านจากบทความอื่น) เกี่ยวกับประเด็นการอัดฉีดเงินของ FED และ ธนาคารกลาง ต่างๆ ก็คือ

กระบวนการฉีดเงินเข้าระบบของ FED และ ธนาคารกลาง เป็นการฉีดเงิน "ราคาถูก" เข้าสู่ระบบผ่าน "ธนาคาร"

ปัญหาคือเงินเหล่านี้ ไม่ได้ถูกส่งผ่านจาก ธนาคาร เข้าไปถึงมือ ภาคธุรกิจ หรือ ประชาชน

แต่ ธนาคาร กลับนำเงินเหล่านี้ไปแสวงผลกำไร ทำ Arbritrage จากการลงทุนโดยตรง ผ่านตลาดรอง เช่น ซื้อพันธบัตรรัฐบาล

ลงทุนผ่าน hedge funds ซื้อหุ้นกู้ และ แม้กระทั่ง ตลาด commodities (รวมถึงทองคำ)

 

หมายความว่า แม้ภาคเศรษฐกิจ real sector ที่แท้จริงมีการถดถอย หดตัว (deflation / recession) แต่เราอาจได้เห็นการ rally ของตลาดหุ้น และ ตลาด commodities ก้ได้

 

 

----------------

ในบทความเดียวกันยังมีกราฟข้างล่างนี้น่าสนใจครับ เขานับช่วงเวลาที่ทองทำ peak ได้ระยะเวลาระหว่าง peak เท่ากัน 21 เดือน

 

feb012012_2.gif

 

เราจะครบรอบ 21 เดือนในช่วงเดือน มิ.ย. - ก.ค. ปี 2013

และจากการคาดการณ์ เช่นนี้ เขาคาดว่าราคา peak ช่วงนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 2750-3000 เหรียญ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โอ้ววว ฤๅว่าจรวดจะออกเดินทางจริงๆแล้ว $1760 .....

 

ประธานเฟดของเราออกมาให้การต่อคณะกรรมาธิการจัดสรรงบประมาณฯ

แป๊ปเดียว ทองคำก็พุ่งเลย

 

ราตรีสวัสดิ์ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีครับคุณMOR LEK คุณJohncm คุณKungdy คุณwcg คุณส้มโอมือ คุณpromin และเพื่อนๆทุกคนครับ

ขอบคุณทุกข้อมูลข่าวสารครับ...

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณพิชัย เค้าเกลียดอะไรทองคำนักหนาครับ

อิฐสีเหลือง ๆ มั่งล่ะ ไม่มีปัจจัยพื้นฐานมั่งล่ะ ฯลฯ อีก 5-10 ปี ทองคำอย่างมากก็ 2000 เหรียญ

:45

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โอ้ววว ฤๅว่าจรวดจะออกเดินทางจริงๆแล้ว $1760 .....

 

ประธานเฟดของเราออกมาให้การต่อคณะกรรมาธิการจัดสรรงบประมาณฯ

แป๊ปเดียว ทองคำก็พุ่งเลย

 

ราตรีสวัสดิ์ครับ

 

ลุงเหน่งแกตอบปั้บ ราคาก็เป็นตามกราฟเลยครับทั้งทองและเงิน

 

Gold%201760.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณพิชัย เค้าเกลียดอะไรทองคำนักหนาครับ

อิฐสีเหลือง ๆ มั่งล่ะ ไม่มีปัจจัยพื้นฐานมั่งล่ะ ฯลฯ อีก 5-10 ปี ทองคำอย่างมากก็ 2000 เหรียญ

:45

ช่างเขาเถอะครับ ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน :P ถึงเวลาความจริงก็ปรากฏเองแหละ

ปล ถ้าเรามาผิดทาง เราก็คงต้องรับผลเหมือนกัน :_cd

ถูกแก้ไข โดย promin

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณพิชัย เค้าเกลียดอะไรทองคำนักหนาครับ

อิฐสีเหลือง ๆ มั่งล่ะ ไม่มีปัจจัยพื้นฐานมั่งล่ะ ฯลฯ อีก 5-10 ปี ทองคำอย่างมากก็ 2000 เหรียญ

:45

 

ก็ทำให้เขาหน้าแตกไง เขาคงโดนคนที่เชื่อเขาแล้วไม่ซื้อทองตามเขาบ่นเอา บอกว่าไม่น่าเชื่อพิชัยเลย เชื่อตัวเองก็มีกำไรมากมายแล้ว เขาบอกไม่ให้ซื้อทองตั้งแต่ราคาเท่าไหร่ละ คนที่บอกว่าเป็นโบรกเชี่ยวชาญกราฟมากก็หายไปเหมือนกัน

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ก็ทำให้เขาหน้าแตกไง เขาคงโดนคนที่เชื่อเขาแล้วไม่ซื้อทองตามเขาบ่นเอา บอกว่าไม่น่าเชื่อพิชัยเลย เชื่อตัวเองก็มีกำไรมากมายแล้ว เขาบอกไม่ให้ซื้อทองตั้งแต่ราคาเท่าไหร่ละ คนที่บอกว่าเป็นโบรกเชี่ยวชาญกราฟมากก็หายไปเหมือนกัน

 

คนที่คาดเดาอนาคต ย่อมต้องเดาผิดเสมอ อันนี้เป็นสัจธรรม เพราะอนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน ตามหลักอนิจจัง เขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ก็เลยไม่ทราบสัจธรรมนี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผมเชื่อพื้้นฐานครับ ยังไงก็ไม่ขาดทุนแต่ไม่เห็นผลเร็ววันเพราะถูกบิดเบือนราคาอยู่ แต่ในระยะยาวทั้งทองกับเงินยังไงก็ขึ้นครับ

 

ดีกว่าอีกสิบยี่สิบปีให้หลังมาบ่นเสียดายว่า ตอนนั้นน่าจะซือเก็บไว้สักหน่อยก็ดีหรอก

ถูกแก้ไข โดย Waiyakon

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:_cd หลังจากค่าเงิน SWISS

 

ค่าเงินก็เหลืออีกตั้ง 4 สกุลที่จะต้องลดค่าลง ถ้าเป็นแบบที่ลุง lindseys ว่า ถ้า EURO ลดค่าเงินเมื่อไหร่ หลังจากนั้นไม่เกิน

 

1 เดือน ค่าเงินที่เหลือก็จะต้องลดลงหมด แปลว่า เราต้องคอย monitor EURO / DOLLAR ไว้

 

ถ้าเกิน 1. 6 เมื่อไหร่ ประธาน ECB เคยสัมภาษณ์ว่าจะลดค่าเงิน

 

 

ดังนั้นถ้าถามว่าจะขายทองเมื่อไหร่ ก็ต้องบอกว่า รอให้เค้าจัดการเรื่องค่าเงินให้เรียบร้อย :17

 

อันนี้เป็นส่วนข้อเท็จจริง

 

 

ส่วนที่คาดเดาก็คือ การลดค่าเงินจะมีผลทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้นได้ถึง 150-160 เหรียญต่อบาร์เรล

 

ซึ่งหากถึงจริง โอบ่ามาเคยบอกว่าจะทำให้เศรษฐกิจโลก collapse ได้ ถึงตอนนั้นต่างหาก

 

จึงจะเป็นจุดวัดใจว่า จะเกิดการ panic ของทอง แบบที่ลุงจิมว่าไว้หรือเปล่า คือคนหนีตายเข้ามาในทอง

 

ทิ้งทรัพย์สินอย่างอื่นหมด

 

หรือจะเกิดอย่างปี 2008 ทุกอย่างลงหมด :047

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...