ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

หายสงสัยครับ อ next รอติดตามต่อไปครับ ขอบคุณมาก ๆ ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:wub: สวัสดีคะ คุณNext ขอถามข้อสงสัยคะว่า ประเทศที่พิมพ์ธนบัตรแล้วบอกว่ามีทอง Support อยู่ เราจะเชื่อได้หรือไม่ มีองค์การใดคอยตรวจสอบว่ามีจริงตามที่ประกาศรึป่าวคะ รอติดตามบทความต่อไปนะคะ

 

ขอบคุณคะ :)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บทความตอนหน้า ขอเวลาหน่อยนะครับ ช่วงนี้งานเข้าเล็กน้อย โปรดติดตาม!

 

จะนานแค่ไหนก็เข้าคิวรอได้ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สิ่งที่เกิดขึ้นในไอร์แลนด์เมื่อเกิดมีความกังวล มีการเทขายพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นบ้าง ถ้ามีการเทขายอย่างหนักจะเป็นไง ถ้าความกังวลอย่างมากเกิดกับอเมริกาจะเป็นไง

วิกฤติไอร์แลนด์ ไทยรอดพ้นได้

สายตรงจากลอนดอน

 

มุมเอก : ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อัครราชทูต (ฝ่ายเศรษฐกิจและการคลัง) ประจำสหราชอาณาจักรและยุโรป กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

 

-ปัญหาเศรษฐกิจพื้นฐานของไอร์แลนด์ เกิดขึ้นจากวิกฤติแฝด Twin Crises จาก (1) วิกฤติสถาบันการเงิน (Banking Crisis) ที่ระบบธนาคารปล่อยสินเชื่ออย่างรวดเร็ว และไม่ระมัดระวังในอดีต เกิดหนี้เสียจำนวนมากโดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ จนรัฐบาลต้องเข้ามาเพิ่มทุนให้ธนาคารเอกชน และยึดเป็นกิจการของรัฐ (2) วิกฤติการคลัง (Fiscal Crisis) ที่เกิดจากรัฐบาลขาดดุลจำนวนมาก และความจำเป็นที่รัฐบาลต้องเข้าไปอุ้มสถาบันการเงิน ส่งผลให้งบประมาณของไอร์แลนด์ในปี 2553 คาดว่าจะขาดดุลเพิ่มขึ้นสูงมากถึงประมาณร้อยละ 33 ของ GDP (ซึ่งเป็นประเทศที่ขาดดุลการคลังสูงที่สุดในยูโรโซน) และเป็นเหตุให้ตลาดการเงินขาดความมั่นใจในความสามารถชำระหนี้ของรัฐบาล

 

-ความเสียหายของสถาบันการเงินที่มากกว่ารัฐบาลคาดการณ์ไว้ ทำให้เกิดการแห่ถอนเงินฝากของผู้ฝากเงินในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2553 จนส่งผลให้สถาบันการเงินในไอร์แลนด์หลายแห่งขาดสภาพคล่องจำนวนมาก และต้องกู้เงินฉุกเฉินจากธนาคารกลางยุโรปเป็นจำนวนถึงประมาณ 130 พันล้านยูโร

 

-ปัญหาของวิกฤติไอร์แลนด์ ถูกซ้ำเติมด้วยข้อเสนอการประชุมระดับผู้นำ EU Summit ณ กรุง Brussels ประเทศ Belgium เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคม 2553 โดยรัฐบาลของประเทศ Germany และ France เสนอให้แก้ไขสนธิสัญญาของประเทศสมาชิก EU ให้มีกฎเกณฑ์การช่วยเหลือประเทศที่ประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจให้เป็นการถาวร (Permanent Crisis Resolution) โดยต้องการให้ภาคเอกชนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่ประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเข้ามามีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น เช่น การยอมรับการปรับโครงสร้างหนี้ และการยอมตัดหนี้สูญ (Hair Cut) จากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล

 

-ข่าวเรื่องการเพิ่มกฎเกณฑ์ Permanent Crisis Resolution ประกอบกับข่าวเรื่องความเสียหายของสถาบันการเงินในไอร์แลนด์ที่สูงกว่าคาดการณ์ ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายน 2553 ได้ส่งผลให้นักลงทุนที่ถือพันธบัตรของไอร์แลนด์ ขาดความมั่นใจในความสามารถชำระหนี้ของรัฐบาลไอร์แลนด์ และเร่งเทขายพันธบัตรรัฐบาล จนเป็นเหตุให้ต้นทุนการกู้เงินของรัฐบาลไอร์แลนด์ ซึ่งสะท้อนได้จากความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลไอร์แลนด์ หรือ Credit Default Swap (CDS) ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 6% (600 basis points) เพียงในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายน ในวันที่ 16-17 พฤศจิกายน 2553 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในยุโรป ได้ประกาศความพร้อมที่จะช่วยเหลือรัฐบาลไอร์แลนด์ ผ่านกลไกความช่วยเหลือทางการเงินของยุโรป European Stabilisation Mechanism ในวงเงิน 60 พันล้านยูโร และ European Financial Stabilisation Facility ในวงเงิน 440 พันล้านยูโร ส่งผลให้ต้นทุนความเสี่ยงในการชำระหนี้ของรัฐบาลไอร์แลนด์ หรือ Credit Default Swap ปรับลดลงเล็กน้อยเหลือประมาณ 5.0-5.5% (500-550 basis points)

 

อย่างไรก็ดี รัฐบาลไอร์แลนด์ยังมีท่าทีที่จะยังไม่ขอความช่วยเหลือผ่านกลไกความช่วยเหลือทางการเงินของยุโรป ผ่าน European Stabilisation Mechanism หรือ European Financial Stabilisation Facility เนื่องจากต้องการมีอิสระในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ และไม่ต้องการอยู่ภายใต้เงื่อนไข Conditionality ที่ต้องปฏิบัติตามภายใต้เกณฑ์การกู้ยืมเงินของ EU แต่รัฐบาลไอร์แลนด์ได้ผ่อนปรนให้เจ้าหน้าที่จาก 3 องค์กร (Troika) ได้แก่ European Commission, European Central Bank และ IMF เข้าไปรวมประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจการเงินกับรัฐบาลไอร์แลนด์ได้

 

แม้ว่าสถานการณ์ความเชื่อมั่นของรัฐบาลไอร์แลนด์จะปรับตัวดีขึ้น แต่สถานการณ์เศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงจากการลุกลามของปัญหา (Contagion) ไปยังประเทศ ที่มีลักษณะของปัญหาพื้นฐานเศรษฐกิจที่อ่อนแอคล้ายกับไอร์แลนด์ เช่น กรีซ โปรตุเกส และสเปน ดังจะเห็นได้จากค่าความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ Credit Default Swap (CDS) ของรัฐบาลกรีซ โปรตุเกส และสเปน อยู่ในระดับที่สูงมาก อย่างไรก็ดี ตลาดการเงินยังมองว่าความเสี่ยงของวิกฤติการเงินในไอร์แลนด์จะลุกลามมายังประเทศไทยและประเทศในแถบเอเชียมีค่อนข้างน้อย โดยต้นทุนความเสี่ยงจาก CDS ของไทยและหลายประเทศในเอเชีย ยังอยู่ต่ำกว่ากลุ่มประเทศ PIGS ค่อนข้างมาก

 

นอกจากนั้น วิกฤติไอร์แลนด์ยังสามารถส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ ได้ ในกรณีที่รัฐบาลไอร์แลนด์ไม่สามารถชำระหนี้คืนเจ้าหนี้สถาบันการเงินที่ถือพันธบัตรไอร์แลนด์ได้ (ซึ่งมีโอกาสน้อย เนื่องจากยุโรปมีกลไกความช่วยเหลือทางการเงินของยุโรปคอยรองรับให้กู้ฉุกเฉินอยู่แล้ว) โดยประเทศที่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของรัฐบาลไอร์แลนด์ ได้แก่ อังกฤษ เยอรมนี สหรัฐ และฝรั่งเศส

 

ผลกระทบทางอ้อมของวิกฤติการเงินในไอร์แลนด์ต่อประเทศไทยอาจมีบ้าง ผ่านช่องทางการไหลออกของเงินทุนอย่างรวดเร็ว (Capital Flight) อันเป็นผลจากการที่นักลงทุนต่างชาติถอนเงินกลับไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัย (Safe Haven) โดยเฉพาะพันธบัตรสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลทางอ้อมให้ค่าเงินบาทอ่อนลง เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ (หลังจากเกิดวิกฤติไอร์แลนด์ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทได้อ่อนค่าลง -0.43%) เสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันอยู่ในฐานะมั่นคงมาก และค่อนข้างแตกต่างจากประเทศที่มีปัญหาวิกฤติในยุโรปในขณะนี้ ดังจะเห็นได้จากความแข็งแกร่งของเครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยล่าสุด ดังนี้

 

? ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน 2553 มีอยู่สูงถึง 172 พันล้านดอลลาร์ (ซึ่งสูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นถึงประมาณ 4 เท่า)

 

? หนี้สาธารณะของประเทศไทย ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2553 อยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 42.3 ของ GDP (ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานสากลและมาตรฐานยุโรปที่ร้อยละ 60 ของ GDP ค่อนข้างมาก)

 

? สถาบันการเงินของไทยค่อนข้างเข้มแข็ง โดยสัดส่วนหนี้เสีย NPL สุทธิ ของสถาบันการเงินไทยต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาส 3 มีอยู่เพียง 2.28% และสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของสถาบันการเงินไทย ณ สิ้นไตรมาส 3 มีอยู่สูงถึง 16.84 (ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์สากลที่ 8% ค่อนข้างมาก)

 

กล่าวโดยสรุป เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันที่แข็งแกร่ง น่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยสามารถรองรับความผันผวนทางการเงินจากวิกฤติไอร์แลนด์ได้ แต่ประเทศไทยยังไม่ควรประมาท ยังคงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์วิกฤติการเงินโลกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะจากความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สุดยอดเลยครับคุณ next รออ่่านบทความดีๆ ต่อเลยนะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณเน็กซ์คะ...

มีปากกากับกระดาษที่ใช้ปั่นต้นฉบับหรือยังคะ ????

 

เดี๋ยวหนูจัดให้นะ... post-1438-090958700 1292122995.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

!Hi !Hi !Hi คิดถึงคุณ Next แล้วค่ะ (ใส่ยาอาไรลงไป ในบทความรึป่าวคะ ติดงอมแงม) !Hi !Hi !Hi

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คอยติดตามตอนไปอยู่นะค่ะ !La

!Announce ขอบคุณมากค่ะ ท่าน บุรุษคู่แฝด ที่มอบ โอกาส"ทอง" (ความรู้) ให้กับ พวกเราในบ้านหลังนี้ค่ะ

!thk !10 !031 !gd !57

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณคะ คุณ Nexttonothing

 

ติดตามอ่านตลอดนะคะ ได้ความรู้มากมาย :wub: :wub: :wub:

 

 

ขอบคุณครับ คุณ Nexttonothing

 

เพิ่งติดตามอ่านช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ความรู้มากมาย จะติดตามอ่านตลอดไป

ขออนุญาตเผยแพร่ต่อด้วยน่ะครับ ให้ลูก ๆ และบุคคลข้างเคียงได้ศึกษาด้วยกัน เผื่อจะช่วยเยียวยาประเทศได้บ้าง

ไม่ให้อนาคตชาติตกอยู่ภายใต้นักการเมืองเลว ๆ ที่หน้ามืดตามัว แม้ประเทศชาติก็ขายได้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มารอคุณNext ค่ะ สุดยอดทุกคำตอบ เคลียร์ทุกปัญหา ได้ความรู้มากมาย ขอบคุณจริงๆค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

baldeagle.jpg

 

 

 

สหรัฐอเมริกา (United States)

CREDIT : ข้อมูลทางสถิติจาก National inflation association และ Armstrong Economics

 

เวลาที่ท้องฟ้า มืดครึ้ม ในเวลาที่มันไม่ควรจะมืด อากาศดูชื้นๆ กลิ่นดินกลิ่นหญ้า โชยมาเตะจมูก

ลักษณะแบบนี้คุณอาจจะพูดกับเพื่อนว่า

 

“ดูเหมือนฝนกำลังจะตก ?”

 

เช่นกัน สถานการณ์ เศรษฐกิจโลก ในขณะนี้เมฆดำก่อตัวหนาทึบ เหมือนเป็นลางบอกเหตุว่า พายุฝนกำลังจะมา

ยิ่งเฉพาะประเทศที่ขึ้นชื่อเป็นประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐอเมริกา แล้วล่ะก็

ฟ้าทั้งแลบทั้งร้องกันกระหึ่ม คงเหลือเวลาอีกไม่นาน ก่อนที่ พายุเศรษฐกิจลูกนี้จะโหมกระหน่ำ

ส่งผลกระทบสร้างความเสียหายไปทั้งโลก

 

ผมเชื่อว่า สิ่งที่กำลังจะเกิด ยากที่หลีกเลี่ยง จะมาช้าหรือมาเร็ว “มันก็มาแน่ๆ”

วิกฤตการเงินครั้งนี้ จะยิ่งใหญ่กว่าทุกๆครั้งที่เราเคยเห็น

Hamburger Crisis ปี 2008 ที่ว่าร้ายแรงจะกลายเป็นเรื่อง จิ๊บๆ กับสิ่งที่กำลังจะเกิด

 

คุณมีทางเลือก 2 ทาง

 

1.หลบลงหลุมหลบภัย ป้องกันตัวเองทุกวิถีทาง หรือ

 

2.พลิกเปลี่ยนวิกฤตนี้ให้เป็น “โอกาส”

 

หากเลือกได้ผมไม่ได้อยากให้ วิกฤตนี้เกิดขึ้น เพราะไม่รู้ว่าจะส่งผลกระทบร้ายแรงขนาดไหน

แต่เป็นเพราะผมคิดว่ามันหลีกเลี่ยงได้ยากมาก กับสิ่งที่สหรัฐได้ทำมาและ “ยังไม่ยอมหยุดทำ”

ประเทศที่เคยเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ผลิตสินค้า Made in USA. ที่น่าเชื่อถือและเป็นผู้นำตลาด

บัดนี้คนรุ่นหลังๆกินบุญเก่าจากคนรุ่นก่อนจนหมดสิ้น หนำซ้ำยังทำบาปเพิ่ม คงถึงเวลาที่ ผลจากการกระทำ (กรรม)จะสนอง

 

.................................................................

 

นิทานเรื่อง “ชาวเกาะ” (ISLANDERS)

 

Credit to Peter Schiff

แปลเรียบเรียงใหม่โดย Nexttonothing

 

สมมุติว่ามี เกาะร้างอยู่เกาะนึง มีคนติดเกาะอยู่ทั้งหมด 5 คน

4คนเป็นเอเชียอีก 1คนคือเมริกัน

 

เพื่อความอยู่รอดทั้ง 5 คนจึงแบ่งงานกันทำ

 

:rolleyes: คนที่ 1 มีหน้าที่ จับปลา

 

:unsure: คนที่ 2 มี หน้าที่ ล่าสัตว์

 

:ph34r: คนที่ 3 มีหน้าที่ เก็บฟืนก่อกองไฟ

 

;) คนที่ 4 มีหน้าที่ ทำกับข้าว

 

ทีนี้พอมาถึง อเมริกัน ???? ทำหน้าที่อะไรดี ????

อเมริกันบอกว่า ขอทำหน้าที่ “กิน” ก็แล้วกัน

จากนั้นในแต่ละวัน ระหว่างที่ทุกๆคนต่างออกไปทำงาน ตามหน้าที่ของแต่ละคน

อเมริกันก็ นอนอาบแดด เล่นน้ำทะเล รอไปเรื่อยๆ เมื่อถึงตอนเย็นทุกคนก็มารวมตัวกันเพื่อดินเนอร์

 

อเมริกันก็ทำหน้าที่ กิน กิน แล้วก็กิน อาจจะไม่ได้กินทั้งหมด แบ่งให้เพื่อนๆบ้างเพื่อให้มีแรงเหลือเพื่อทำงานในวันต่อๆไป

นานวันเข้า ชาวเกาะเริ่มคิดได้ พอทวงถาม อเมริกันกลับบอกว่า หน้าที่ของตนนั้นสำคัญที่สุด

เพราะหาก อเมริกัน “ไม่กิน” (Consume) ทุกๆคน จะตกงาน !! (Unemployed)

ตัวเค้าเองคือศูนย์กลางของเกาะแห่งนี้.......

 

แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย

 

วันนึง เมื่อ ชาวเกาะทุกคนรวมตัวกัน เริ่มคิดได้และเหลืออดกับการกระทำนี้ คงหนีไม่พ้นที่อเมริกันจะโดนเตะ ออกจากเกาะ

และเมื่อนั้น ชาวเกาะจะได้ กิน ในสิ่งที่ตัวเองลงแรงและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

 

..................................................................

 

 

ที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาได้แต่ “บริโภค” นำเข้าสินค้าจากทั่วโลก

แล้ว “พิมพ์” ดอลล่าห์ คืนให้เป็นการตอบแทน

การขาดดุลการค้า (Trade Deficit) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพราะ เอาแต่ นำเข้า (กิน)

ไม่ยอมผลิต (ทำงาน) เพื่อส่งออก การไม่มีสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นผู้บริโภครายใหญ่ ไม่ได้หมายถึงการล่มสลายหรือตกงานของประเทศผู้ผลิต

เอเชียก็จะยังคงเดินหน้าผลิตและทำงานอย่างหนัก เพียงแต่ จะเลิกป้อน สินค้าให้กับสหรัฐ แล้วหันมาบริโภคกันเอง

 

จีนเองก็เช่นกัน เค้ามีประชากร เป็นพันล้านคน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง ส่งสินค้ามาให้อเมริกา “ขาดอเมริกาจีนก็อยู่ได้”

แถมจะอยู่ได้ดีกว่าเก่าซะด้วยซ้ำ

 

:excl: แรงงานจีนนั้นทำงานมาอย่างหนัก เก็บหอมรอมริบ ยังไม่ได้บริโภคเต็มอิ่มเท่าที่ควร

คุณภาพชีวิตอยู่อย่างอัตขัตขัดสนเพราะเค้านั้น “ประหยัด”

แต่การใช้จ่ายอย่างประหยัดไม่ได้หมายความว่า “เค้าจน”

เพราะ –สินทรัพย์- (Assets) เค้ามีเก็บออมอยู่เยอะพร้อมจะใช้จ่ายได้

 

ในทางกลับกัน

 

:excl: ประชาชนสหรัฐนั้นขี้เกียจแต่ บริโภคเต็มที่ ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย คุณภาพชีวิตอยู่อย่างหรูหรา เพราะเค้านั้น “ใช้เงินมือเติบ”

แต่การสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า “เค้ารวย”

เพราะหากมองที่ -หนี้สิน- (Debt)

มันสะสมและเพิ่มพูนขึ้นทุกวันๆ พร้อมที่จะล้มละลายได้ทุกเมื่อ

 

 

วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงสภาพความเป็นจริงของ สหรัฐกันครับ

 

สถานะภาพที่ 1 : เป็นหนี้ (DEBT)

 

อเมริกาในวันนี้ ไม่ใช่อเมริกาที่คุณ “เคย” รู้จักมา หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป

ไปในทางที่ “แย่ลง”

 

ถ้าจะมีอะไรที่จะทำให้ สหรัฐอเมริกาและดอลล่าห์ล่มสลาย สิ่งนั้นก็คงไม่พ้น “หนี้” ที่สหรัฐก่อขึ้นมาเอง

หากคุณอึ้งกับปริมาณเงินที่ สหรัฐพิมพ์ออกสู่ระบบ ในบทความก่อนหน้านี้ คุณจะต้องยิ่งอึ้งกับปริมาณหนี้ที่รอวันชำระ

ปริมาณเงิน 1 Trillion นั้นมากขนาดไหน คุณได้เห็นแล้ว

แต่ตัวเลขหนี้สาธารณะของ สหรัฐนั้น ปัดเป็นเลขกลมๆในตอนนี้มีมากถึง “14 Trillion !!” (90% ของ GDP)

 

 

pallet_x_10000_x_11.jpg

 

 

ภูเขาหนี้ลูกนี้ ไม่มีใครจะสามารถบริหารจัดการได้ นับวันมีแต่จะโตขึ้นๆ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น “ทุกวินาที”

อัตราการเพิ่มของหนี้ก้อนนี้ไม่ใช่ธรรมดา

 

ในอดีต สหรัฐเองก็มีหนี้

“ในปี 1950 ปริมาณหนี้ในตอนนั้นมีมูลค่า 250 Billion แต่เพิ่มขึ้นไปสูงถึง 500 Billion ในปี 1975”

เพิ่มขึ้นเท่าตัว ใช้เวลาทั้งหมด 25 ปี

 

แต่สหรัฐในยุคใหม่นี้

 

จากปี 2003 ระดับหนี้ 7 Trillion เพิ่มสูงถึง 14 Trillion ในปี 2010

“เพิ่มขึ้นเท่าตัวเหมือนกัน แต่ใช้เวลาเพียงแค่ 7 ปี !!!

 

เร่งสปีดติดเทอร์โบแถมยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

 

ทางออกสำหรับสหรัฐจึงมีเพียง 2 ทาง

 

1.ถางป่าเอาต้นไม้ทั้งหมดมา เป็นวัตถุดิบในการพิมพ์เงินเพื่อจ่าย

 

2.เบี้ยว (Default)

 

ไม่ว่าจะเป็นทางไหน ผลเสียย่อมตกกับเจ้าหนี้ แต่คนที่จะต้องเจ็บปวดที่สุดก็คือ ประชาชนชาวสหรัฐเอง

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้

 

วิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่ผ่านมาในปี 2008 ธนาคารกลางสหรัฐเลือกที่จะอุ้มหนี้เสียจากบริษัท Fannie Mae and Freddie Mac

ซึ่งมีมูลค่าถึง 6.3 Trillion พอกดเครื่องคิดเลขรวมเข้าไปแล้ว หนี้ของสหรัฐจึงสูงถึง 20.3 T

 

สถานะภาพที่ 2 : รายจ่ายสูง (Overspending)

 

สหรัฐมี ภาระ ในส่วนของสวัสดิการรัฐ ที่สัญญาว่าจะจัดสรรให้กับประชาชน มากมาย (Unfunded Liabilities for Social Security)

ไม่ว่าจะเป็น

 

-สวัสดิการรักษาพยาบาล (Medicaid& Medicare)

 

-สวัสดิการการชดเชยการว่างงาน (Unemployment Benefit) หรือแม้แต่

 

-คูปองอาหาร (Food Stamp)(43 ล้านคนในอเมริกาขณะนี้ไม่มีความสามารถแม้แต่จะซื้ออาหาร

ต้องพึ่งพิง Food Stamp จากรัฐ คิดเป็น 14% จากประชากรทั้งประเทศ)

 

ยอดรวมแล้ว มีค่าใช้จ่ายที่จะต้องจัดสรรงบประมาณเข้าไปอีก 60 Trillion !!

ไอ้ตอนหาเสียงก็ สัญญาประชานิยมทุกอย่างว่าจะจัดสรรให้ ไม่ได้คิดถึงว่าถ้าถึงเวลาจะเอาเงินมาจากไหน ขอแค่ได้คะแนนเสียงเข้าไปนั่งในสภาก่อน ??

 

ยิ่งเข้าปี 2010 ประชากรชาวอเมริกายุค เบบี้บูม (Babyboomer)

จะเริ่มเข้าสู่ “วัยเกษียณ”

การหยุดทำงานของประชากรวัยนี้พร้อมๆกัน จะทำให้รายได้จากภาษีของรัฐลดลงอย่างฮวบฮาบ ในขณะที่รายจ่ายสวัสดิการผู้สูงอายุ เพิ่มสวนขึ้นแทน

 

 

สรุปเช็คบิลแล้ว จึงมีหนี้สินรวมรายจ่ายที่จะตามมาถึง 14T+6T+60T = “80T !!!”

มากมายเกินกว่าจะจินตนาการได้

นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ ธนาคารกลาง นั้นจำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0%

ไม่สามารถปรับขึ้นได้ เพราะจะยิ่งทำให้ภูเขาหนี้ลูกนี้โตเร็วขึ้นกว่าเดิม

 

สถานะภาพที่ 3 : ตกงาน (Unemployed)

 

ลองมองไปรอบกายคุณทุกวันนี้ มีสินค้าชนิดไหนบ้างที่เป็นสินค้า MADE IN USA.??

ทีวีก็ โซนี่ ซัมซุง / รถยนต์ก็ โตโยต้า ฮอนด้า / เสื้อผ้า สินค้าอุปโภค บริโภค หลายชนิดก็ จีนแดง

(แม้แต่ขณะที่ผมกำลังเขียนบทความ ผมใช้เมาส์ยี่ห้อ Microsoft แท้ๆ

แต่พอพลิกดูด้านล่างก็ไม่วายผลิตที่จีน : MADE IN CHINA)

 

จากประเทศผู้ผลิต รายใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมสิ่งทอ หรือ วิทยุ-โทรทัศน์ ในอดีต

อุตสาหกรรมเหล่านี้ไม่มีเหลือในสหรัฐอีกต่อไป เอเชียคือผู้ผลิต ส่วนอเมริกาคือผู้บริโภค

 

นอกจากจะตกงานระดับประเทศแล้ว ภายในประเทศเอง อัตราการว่างงาน “อย่างเป็นทางการ” ในสหรัฐ ก็สูงถึง 9.8%

นั่นคือทุกๆ สิบคนจะมีคนตกงาน 1 เกือบ 10% ของประชากรนี้จะต้องพึ่งพิงอยู่กับสวัสดิการชดเชยการว่างงาน

 

Unemployment+Rate-2010-03.png

 

 

แต่ตัวเลข ที่ประกาศออกมาอย่างเป็นทาง ยัง.........

 

- ไม่นับรวม คนที่ทำงานตกงานจากงานประจำแล้วหันไปทำ พาร์ทไทม์

 

- ไม่นับคนที่ยอมแพ้เลิกหางานอีกต่อไป

 

- ไม่นับคนที่ไม่ได้มาแจ้งรับสวัสดิการจากรัฐ

 

ที่ไม่นับเพราะมันจะยิ่งทำให้ รัฐบาลนั้นดูแย่ แต่ถ้านับ ...............

 

21.7% ของประชากรในตอนนี้ ตกงาน !!!!

 

รัฐบาลตัดสินใจออกสวัสดิการชดเชยการว่างงาน 99 สัปดาห์รวด แต่ผลที่ตามมาก็คือ 99 สัปดาห์ผ่านไป

คนเหล่านี้ก็ยังหางานทำไม่ได้ (คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า “ไนน์ตี้ไนน์เนอร์” 99ER)

 

ตำแหน่งเสมียนทำบัญชีธรรมดาๆ ในสหรัฐตอนนี้ ประกาศรับ 4 ตำแหน่งแต่มีผู้แห่มาสมัครถึง 2000 คน

ที่ รัฐ Ohio 700 คนสมัครในตำแหน่ง “ภารโรง” ที่ว่างเพียงตำแหน่งเดียว

ยิ่งหากนับเฉพาะคนที่อายุต่ำกว่า 25 ปี เช่น นักศึกษาเพิ่งจบใหม่ อัตราการว่างงานจะสูงถึง 54%

 

แม้แต่คนที่มีงานทำอยู่ในปัจจุบัน ก็เป็นงานที่จ้างโดยภาครัฐซะส่วนนึง (ข้าราชการ)

และเป็นงานในภาคบริการอีกส่วนนึง (Service Sector Jobs) (เช่น พนักงานสปา เด็กเสริฟ)

แต่สิ่งที่สหรัฐต้องการคืองานภาค อุตสาหกรรมและการผลิต (Production Jobs) (หนุ่มสาวโรงงาน)

เพื่อที่จะสามารถสร้างผลผลิต แข่งขันทางด้านการค้ากับต่างประเทศได้

 

ทั้งมีหนี้สินล้นพ้นตัวพร้อมรายจ่ายบานตะไทหนำซ้ำยังตกงาน สหรัฐ อยู่ในภาวะที่ หมื่นเหม่ ต่อการล้มละลายทางเศรษฐกิจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

:excl: ขอเคลียร์ 1.

 

บ่อยครั้งที่ผมพูดถึงเรื่องพวกนี้ เคยมีเพื่อนถามผมว่า สหรัฐอเมริกาที่แสนจะยิ่งใหญ่ มีบริษัทชั้นนำอย่าง Apple

ที่ผลิต IPhone-IPad , บริษัท Google , หรือแม้กระทั่ง Microsoft ของ บิลเกต

จะล่มสลายได้ยังไง? ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อ

 

แต่ความจริงก็คือ

 

ทั้งสามบริษัทรวมกันแล้ว สร้างรายได้ภาษีให้กับรัฐประมาณ ปีละ 12 Billion

ในขณะที่ การขาดดุลงบประมาณ (Budget deficit)

ของรัฐบาลโอบาม่า นั้นอยู่ที่ประมาณ 1.29 Trillion !!!!

 

นั่นเท่ากับว่า

 

สหรัฐต้องการบริษัทอย่าง Apple อีก 107.5 บริษัท Google อีก 107.5 บริษัทและ Microsoft อีก 107.5 บริษัท

ถึงจะสร้างรายได้ให้พอเพียงกับการถลุงเงินเล่นของรัฐบาล

 

ทีนี้ทำไม ในเมื่อมันแย่ซะขนาดนั้น อะไรที่ทำให้สหรัฐยังไม่ล่ม ??

 

คำตอบก็คือ “ดอลล่าห์”ครับ

 

ดอลล่าห์เป็นเงินสกุลพิเศษ มีพลังอำนาจเหนือเงินทุกสกุลบนโลก เพราะมันคือ “World’s Reserved Currency”

นอกจากจะมีตำแหน่งเป็นเงินสกุลหลักของโลก ยังได้สิทธิ์พิเศษคือ “พิมพ์ได้ไม่อั้น” อีกด้วย?????

 

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่ทั่วโลกก็ยอมรับและเชื่อถือระบบนี้กันมานาน

ธนาคารกลางทั่วโลกล้วนมีทุนสำรองส่วนหนึ่งเป็น ดอลล่าห์ เงินดอลล่าห์ไปที่ไหนประเทศไหนใครก็รับ

นี่คือสิ่งที่ยังค้ำไม่ให้ระบบเศรษฐกิจของสหรัฐล่มสลายลงไปต่อหน้าต่อตา

 

แต่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป ....

 

ด้วยภาระหนี้สินและวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น บีบให้ สหรัฐต้อง พิมพ์ พิมพ์ และก็ พิมพ์ เพื่อความอยู่รอด

แต่การทำแบบนี้ก็เป็นการทำให้ความน่าเชื่อถือของ ดอลล่าห์ นั้นค่อยๆเสื่อมลงๆ ไปตามลำดับ

 

สิ่งเดียวที่ทำให้ระบบเงินกระดาษ (Fiat Currency) คงอยู่ได้ ก็คือ “ความเชื่อถือ”

วันใดที่ความเชื่อถือหายไปจาก ดอลล่าห์ เมื่อนั้นดอลล่าห์ก็จะมีค่าไม่ต่างจากกระดาษ

 

:excl: ขอเคลียร์ 2

 

อีกประเด็นนึงที่น่าคิดก็คือ สหรัฐอเมริกา มีทองคำเป็นทุนสำรอง มากที่สุดในโลก (8000 ตัน)

สิ่งนี้ เหมือนจะช่วย ปลดหนี้ให้กับทางสหรัฐได้ ??

 

ถามว่าปลดได้มั๊ย? คำตอบคือได้ครับ !!!!

 

หนี้สาธารณะ 14 Trillion ของสหรัฐหากใช้ทองคำทั้งหมดที่มีในคลังจ่าย หนี้จะหายวับไปในทันที

 

แต่มีข้อแม้อยู่นิดเดียวนั่นคือ

ราคาทองต้องอยู่ที่ 53,639 $/oz !!!!

 

อ่านไม่ผิดหรอกครับ เพราะหากเอา 14 Trillion หารด้วยทองคำ 8000 ตัน

ราคาที่ได้ต้องอยู่ที่ห้าหมื่นเหรียญกว่าๆ ถึงจะพอจ่าย

หรือต่อให้ เอาปริมาณทองหมดทั้งโลก มาจ่ายหนี้ ให้สหรัฐ ราคาทองก็ต้องอยู่ที่ 15,873$/oz ถึงจะพอจ่ายอยู่ดี

 

นั่นทำให้ ราคาทองที่ระดับ 1400$/oz ตอนนี้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจาก “ถูก”

นั่นทำให้ทิศทางของราคาทองคำในระยะยาวเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก “ขึ้น”

 

นอกจากนี้ ยังมีข้อแม้อีกอย่างนึงนั่นก็คือทอง 8000 ตันของสหรัฐนั้น “ต้องมีอยู่จริง !!”

สาเหตุที่พูดแบบนี้ก็เพราะ ทองคำที่อ้างว่ามี 8000 ตัน ไม่ได้ผ่านการตรวจนับ (Audit) มากว่า 50 ปีแล้ว !!!

อย่างนี้ทำให้คิดได้ว่า “มันน่าสงสัยอย่างแรง”

 

ทองคำสำรองที่ Fort Knox รัฐแคนตั๊กกี้ ถูกเก็บนอนอยู่กว่าครึ่งศตวรรษ

ไม่มีการตรวจนับ แต่กลับลงบันทึกเป็นตัวเลขว่ามี อยู่ทุกปีๆ ในรายงานของ World Gold Council

งานนี้มันมีพิรุธ&งานนี้มันน่าสงสัย

 

แต่ความกระจ่างก็กำลังจะปรากฏ ต้องขอบคุณ ท่านวุฒิสมาชิก รอน พอล (Ron Pual)

นักการเมืองน้ำดีของสหรัฐ ที่กำลังจะเสนอผ่านกฎหมายตรวจสอบ ธนาคารกลาง (Audit the FED)

รวมถึงเข้าขอตรวจนับทองคำที่ Fort Knox ในปีหน้า

เรื่องนี้เราจะได้ติดตามกันต่อไป

 

..............................................................

 

 

หากคิดว่า ประเทศที่ยิ่งใหญ่อย่างอเมริกาไม่มีวันล่มสลาย ดอลล่าห์ไม่มีวันตาย ก็ไม่ต่างอะไรจากการคิดว่า ไมค์ ไทสัน

แพ้ไม่เป็น แต่ท้ายที่สุด “เค้าก็แพ้”

 

นอกจากจะแพ้เป็นแล้ว ยังโดนน็อคแบบหมดสภาพ

สิ่งที่สหรัฐกำลังเผชิญ เค้าก็พยายามจะแก้ปัญหา แต่กลายเป็นว่าวิธีแก้กลับทำให้มันแย่ลงไปกว่าเดิม

สิ่งที่เราพอจะทำได้คือเตรียมตัวให้พร้อมรับวิกฤตการเงิน (Currency crisis) ครั้งนี้

หรือจะให้ดียิ่งไปกว่านั้น พยายามพลิก วิกฤตนี้ให้เป็น “โอกาส”

วิกฤตนี้จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว เช่นเดียวกับโอกาส ก็จะเปิดให้เพียงครั้งเดียว

จึงถือได้ว่าเป็นสุดยอดแห่ง โอกาส “ทอง” (จริงๆ) โดยแท้

 

 

ปล. ขอบคุณเหมือนเช่นเคยที่สละเวลาอ่านจนจบ จากนี้ไปก็จะขออนุญาติพัก

เจอกันใหม่ปีหน้าเลย ปีนี้ถือว่าเรา “รู้จักกันแล้ว” ปีหน้าจะไม่ย้อนมาปูพื้นกันอีกแล้วนะครับ

ว่ากันเต็มที่ไปเลย โปรดติดตาม ............

 

โชคดีมีความสุขทุกคนครับ

 

 

ถูกแก้ไข โดย Nexttonothing

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:mellow: หลังจากที่อ่านบทความโอกาส "ทอง"(จริงๆ)จน ณ.ขณะนี้แล้ว miss k อยากจะจัดพอรท์

การลงทุนของตัวเองดูใหม่อยากขอคำแนะนำจากคุณเน็กซ์ค่ะ ควรจะเป็นทองกี่เปอร์เซน เป็นสินทรัพย์ต่างๆ

อย่างละกี่เปอร์เซนดีคะจากมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด นอกจากทองแท่งจะเก็บยาว 80% และเทรด 20%แล้ว

ขอคำแนะนำในมุมมองของคุณเน็กซ์ด้วยค่ะ :)

 

ปล.รอติดตามบทความตอนใหม่ค่ะ :wub:

 

 

การจัดพอร์นั้นขึ้นกับ อายุ และ ความกล้าได้กล้าเสีย ของแต่ละคนด้วยนะครับ

ส่วนตัวผมคิดว่า ทองคำยังไงก็น่ามีไว้ 20-30% ของพอร์ท

 

แต่ผมเองนั้นมีเก็บไว้ 70-80% เลยครับ

 

ขอให้รวยนะครับ :rolleyes:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...