ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
Goldneverdie

คัมภีร์ละกาม...ละกามได้ ก็ไม่ต้อง "รับกรรม"

โพสต์แนะนำ

ต้นตำรับน่าจะมาจากหนังสือคัมภีร์ละกาม ซึ่งมีผู้แปลไว้ตั้งแต่ปี 2525 จากตำหนักทรงเจ้าเง็กเซียนฮ่องเต้

*** ทรงเจ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ --- เง็กเซียนฮ่องเต้ ไม่ว่างมาลงประทับทรงใครหรอก

*** เง็กเซียนแค่เป็นผู้ดูแล สวรรค์ ไม่มีความสามารถหรืออำนาจใดๆในการตั้งกฎใดๆ ทั้งสิ้น

กฎแห่งกรรม เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม ไม่มีใครไปตั้งกฎขึ้นมาได้

ที่ผมมาแย้ง ก็เพราะข้อมูลที่เอามาลงมันผิดด้วยเหตุและผล

สร้างกรรมแล้วก็ต้องรับกรรม ไม่ใช่แค่เอาอะไรก็ไม่รู้ไปแจก เอาไปเผยแพร่ 100 คนก็จะมี อายุเพิ่มขึ้นตั้ง 12 ปี มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน

สุดท้าย คนเราควรมีสติแต่การมีสติแล้วต้องแยกออกว่าข้อความอันไหนควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่ออันไหนมีเหตุผลอันไหนไม่มีเหตุผล

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ความจริงคนในโลกมีเป็นพันล้านคน ก็มีเป็นพันล้านความเชื่อ บางคนเชื่อในพระเจ้า ก็ว่าพระเจ้ามีจริง และกล่าวหาคนอื่นที่ไม่เชื่อพระเจ้าว่าเป็นพวกนอกศาสนา ต้องไปเผยแพร่โปรดพวกนี้ให้เชื่อถ้าใครไม่เชื่อก็ต้องฆ่าทิ้งให้หมด อย่างนี้ก็มี

 

บางพวกเชื่อในเทพเจ้า ต้องหาทางบวงสรวงบัดพลี ฆ่าหมูหมากาไก่แพะ เซ่นไหว้ให้เทพอำนวยพรและสันติสุขให้ แต่หากทำแล้วยังเกิดภัยพิบัติก็หาทางใส่ร้ายคนอื่นว่าเป็นต้นเหตุตัวซวยต้องจับไปฆ่าหรือเผาเพื่อบูชายัญ อ้างว่าจะทำให้เทพหายพิโรธ

 

บางพวกไม่เชื่อว่าจะมีใครดลบันดาลให้ได้นอกจากการกระทำของตัวเอง ก็พยายามมุ่งทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไปทำในสิ่งที่ตัวเองได้ คนอื่นเสียก็ีมี ไปทำสิ่งที่ตัวเองเสีย คนอื่นก็เสียก็มี ไปทำสิ่งที่ตัวเองได้ คนอื่นได้ด้วยก็มี แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะคิดไปอย่างไร

 

บางพวกเชื่อผลกรรมการเวียนว่ายตายเกิด ก็มุ่งหวังที่จะทำให้ชีวิตในปัจจุบันนี้ ดีกว่าชีวิตในชาติก่อนๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ด้วยวิธีการตามคำสอนต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่เคยรู้ด้วยตัวเองเลยว่าชาติก่อนมีจริงหรือไม่ ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ได้แต่ฟังหรืออ่านจากที่คนอื่นพูดหรือเขียนให้ฟังให้อ่าน

 

ทางพุทธศาสนาเองก็มีทั้งเถรวาทและมหายาน และยังมีนิกายอีกร้อยแปดพันเก้า พวกที่ยึดมั่นในเถรวาทก็โจมตีกล่าวหามหายานว่าทำให้พุทธศาสนาเสื่อมเสียผิดเพี้ยน พวกที่ยึดมั่นในมหายานก็กล่าวหาเถรวาทว่าตระหนี่เห็นแก่การหลุดพ้นเฉพาะตัวแทนที่จะช่วยเหลือปวงสัตว์ผู้ตกทุกข์ในโลกให้ไปอยู่ในแดนสุขาวดีได้จำนวนมาก

 

การยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดแม้แต่ศาสนาที่ตนนับถือ แท้จริงก็คงเป็นความยึดมั่นในตัวตนของผู้ยึดมั่นนั่นเอง

 

สรุปว่า

|

|

|

|

|

|

V

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ความจริงคนในโลกมีเป็นพันล้านคน ก็มีเป็นพันล้านความเชื่อ บางคนเชื่อในพระเจ้า ก็ว่าพระเจ้ามีจริง และกล่าวหาคนอื่นที่ไม่เชื่อพระเจ้าว่าเป็นพวกนอกศาสนา ต้องไปเผยแพร่โปรดพวกนี้ให้เชื่อถ้าใครไม่เชื่อก็ต้องฆ่าทิ้งให้หมด อย่างนี้ก็มี

 

บางพวกเชื่อในเทพเจ้า ต้องหาทางบวงสรวงบัดพลี ฆ่าหมูหมากาไก่แพะ เซ่นไหว้ให้เทพอำนวยพรและสันติสุขให้ แต่หากทำแล้วยังเกิดภัยพิบัติก็หาทางใส่ร้ายคนอื่นว่าเป็นต้นเหตุตัวซวยต้องจับไปฆ่าหรือเผาเพื่อบูชายัญ อ้างว่าจะทำให้เทพหายพิโรธ

 

บางพวกไม่เชื่อว่าจะมีใครดลบันดาลให้ได้นอกจากการกระทำของตัวเอง ก็พยายามมุ่งทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไปทำในสิ่งที่ตัวเองได้ คนอื่นเสียก็ีมี ไปทำสิ่งที่ตัวเองเสีย คนอื่นก็เสียก็มี ไปทำสิ่งที่ตัวเองได้ คนอื่นได้ด้วยก็มี แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะคิดไปอย่างไร

 

บางพวกเชื่อผลกรรมการเวียนว่ายตายเกิด ก็มุ่งหวังที่จะทำให้ชีวิตในปัจจุบันนี้ ดีกว่าชีวิตในชาติก่อนๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ด้วยวิธีการตามคำสอนต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่เคยรู้ด้วยตัวเองเลยว่าชาติก่อนมีจริงหรือไม่ ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ได้แต่ฟังหรืออ่านจากที่คนอื่นพูดหรือเขียนให้ฟังให้อ่าน

 

ทางพุทธศาสนาเองก็มีทั้งเถรวาทและมหายาน และยังมีนิกายอีกร้อยแปดพันเก้า พวกที่ยึดมั่นในเถรวาทก็โจมตีกล่าวหามหายานว่าทำให้พุทธศาสนาเสื่อมเสียผิดเพี้ยน พวกที่ยึดมั่นในมหายานก็กล่าวหาเถรวาทว่าตระหนี่เห็นแก่การหลุดพ้นเฉพาะตัวแทนที่จะช่วยเหลือปวงสัตว์ผู้ตกทุกข์ในโลกให้ไปอยู่ในแดนสุขาวดีได้จำนวนมาก

 

การยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดแม้แต่ศาสนาที่ตนนับถือ แท้จริงก็คงเป็นความยึดมั่นในตัวตนของผู้ยึดมั่นนั่นเอง

 

สรุปว่า

|

|

|

|

|

|

V

 

ใช่ครับผมยังขำ การขัดแย้งกันทางแนวคิด ทั้ง เถรวาท และ มหายาน พระสูตรสำคัญๆของมหายาน ผมก็เอามาศึกษา เช่น ปรัชญาปารมิตา-หฤทัยสูตร อ่านดูแล้วไม่เห็นจะขัดแย้งกับ เถรวาท ตรงไหน

เถรวาทในเมืองไทยเอง ยังแบ่งเป็นอีกสองฝ่ายเลย....เอ่อ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นั่นสิครับ ความจริงในโลกนี้ยังมีสิ่งที่น่าศึกษาอีกมากมายมหาศาล หากเรายึดติดว่าสิ่งที่เราเชื่อเท่านั้นคือสิ่งที่ถูกต้องและปฏิเสธสิ่งอื่น ก็จะทำให้เราขาดโอกาสที่จะเรียนรู้และพบหนทางใหม่ ๆ พุทธศาสนาแบบเถรวาทแท้จริงก็เป็นส่วนน้อยมีหลงเหลืออยู่ไม่ีกี่ประเทศรวมทั้งประเทศไทย ในขณะที่มหายานกลับมีการเผยแพร่ที่กว้างขวางไปทั่วโลก

 

กระทู้ข้างล่างนี้สรุปลักษณะของมหายานได้กระชับเข้าใจง่ายดีครับ สำหรัีบผู้สนใจ

http://board.palungjit.com/f13/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99-180156.html

 

:ph34r:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อ่านแล้วสงสัยจังว่านี่คือศาสนาอะไร onion33.gifถึงไม่ต้องรับกรรมได้เพียงแค่ละการประพฤติผิดในกาม(ในเนื้อหาไม่ได้บอกว่าละกามครับ)

 

 

 

ฮั่นแน่ :lol: :wub:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ฮั่นแน่ :lol: :wub:

 

 

555 ถูกแซวอยู่เรื่อยhappy.gif

ในศาสนาพุทธต่อให้ละกามได้แล้วก็ยังต้องรับกรรมเลยครับ(ถ้ายังมีชีวิตอยู่) เว้นแต่นิพพานไปแล้ว ถึงไม่ต้องรับ เป็นอโหสิกรรม เพรากรรมไม่รู้จะไปส่งผลที่ใหน เนื่องจากไม่มีผู้รับแล้วbiggrin.gif

 

อาจารย์ผมสอนว่าที่ถกเถียงกันมาจากสาเหตุที่ว่า คนนึงรู้มากกว่าตำรา อีกคนรู้น้อยกว่าตำรา ถ้ารู้เท่าๆกันก็ไม่เถียงกันครับcool.gif หรือไม่ก็ไม่รู้ทั้งคู่

 

 

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ความจริงคนในโลกมีเป็นพันล้านคน ก็มีเป็นพันล้านความเชื่อ

มันก็ถูกแต่เราไม่ต้องเชื่อตามๆกัน เราจะเชื่อก็ต่อเมื่อเราเห็นว่าสิ่งนั้นมีเหตุและผลที่ควรเชื่อ

พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า

 

ให้ใช้หลักวินิจฉัยด้วยตนเองโดยมิให้ปลงใจเชื่อถือ ด้วยเหตุ ๑๐ ประการ ดังต่อไปนี้

 

๑) อย่าเชื่อถือเพียงเพราะได้ยินได้ฟังอยู่เนือง ๆ

 

๒) อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเป็นไปตามประเพณีสืบ ๆ กันมา

 

๓) อย่าเชื่อถือตามคำที่เขาเล่าลือกัน

 

๔) อย่าเชื่อถือเพียงเพราะตรงกับตำรา

 

๕) อย่าเชื่อถือเพราะคาดคะเนเอา

 

๖) อย่าเชื่อถือเพราะมีนัยเทียบเคียงกันได้

 

๗) อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคิดไปตามอาการที่ได้เห็น

 

๘) อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎี

 

๙) อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคนพูดน่าเชื่อถือ

 

๑๐) อย่าเชื่อถือเพียงเพราะผู้พูดเป็นสมณะหรือครูอาจารย์

 

พระพุทธเจ้าท่านสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่าย ๆ เพียงเพราะเหตุใดเหตุหนึ่งใน ๑๐ ประการดังกล่าวข้างต้น แต่ให้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ และโดยที่ปฐมเหตุแห่งการที่ท่านเทศนาหลักกาลามะสูตรดังกล่าว ก็เนื่องจากความแตกต่างในหลักธรรมที่มีผู้สอนผิดแผกกันไป ท่านจึงให้ไตร่ตรองว่า หลักธรรมใดที่เป็นอกุศล มีโทษ ผู้คนติเตียน กระทำอย่างสม่ำเสมอแล้วไม่ก่อให้เกิดประโยชน์หรือสร้างความทุกข์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น ให้ปล่อยทิ้งไปไม่ควรเก็บมาเป็นอารมณ์ แต่ถ้าหลักธรรมใดเป็นกุศล ไม่มีโทษ ผู้คนสรรเสริญ กระทำอย่างสม่ำเสมอแล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์ และนำความสุขมาให้แก่ตน ก็ให้พึงรับมาปฏิบัติได้

 

หลักการดังกล่าวได้ผ่านพ้นมาสองพันห้าร้อยกว่าปี แต่ถ้าไตร่ตรองดูให้ดี จะเห็นได้ว่ายังสามารถนำมาใช้ได้ในยุคปัจจุบัน และใช้ได้กับทั้งศาสนจักร และอาณาจักร

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ปกติเราจะได้ยินผ่านหูอยู่บ่อยๆ "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" แต่น้อยคนที่จะพิจารณาในความหมายของมัน

 

เราทำผิดเรารู้แก่ใจ ขโมยเงินพ่อแม่มา พอเค้าถามชักเริ่มกระอักกระอ่วน รู้สึกลุ่มร้อนในใจ นั่นแหละครับนรก

เวลาเราทำดี (เพียงแค่ให้ทานเล็กๆน้อย) แค่นี้รอยยิ้มเล็กๆก้อเกิดขึ้นในใจเราแล้ว นี่แหละครับสวรรค์ที่มีอยู่จริง ที่เราเห็นอยู่ตรงหน้า ที่เราสร้างได้ด้วยมือเราเอง

 

ปล.สำหรับผมนี่แหละครับนรกกับสวรรค์

 

 

 

----------------------------------------------

 

นานา จิต ตัง

 

ทุกคนเกิดมาล้วนจบสิ้นด้วยความตาย..วุ่นวายทำไม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ต้องขอบคุณ จขกท ที่ตั้งกระทู้ดูเหมือนเอาเรื่องไร้สาระมาให้อ่าน แต่อ่านไปอ่านมาพวกเราก็ช่วยกันเอาเรื่องที่ดูเหมือนจะมีสาระมาพูดกัน สนุกดีครับ แถมดูจากข้อความหลัง ๆ ของ จขกท ก็ไม่ได้ถือโทษโกรธใคร แสดงถึงความใจกว้างให้พวกเราได้วิจารณ์กันเต็มที่ อิอิ ยอด ๆ

 

หากทุกอย่างจบลงที่ความตาย ศาสนาทุกศาสนาก็คงไม่มีความหมายในโลกนี้ เพราะศาสนานั้นขายความเชื่อว่ามีอะไรที่อยู่ถัดจากความตาย ตายแล้วยังไม่จบ ยังมีโลกหน้า โลกหลังความตาย ซึ่งให้ความหวังแก่เราว่า เราจะมีชีวิตที่ดีขึ้นในโลกนั้น แต่มีเงื่อนไขให้ต้องทำโน่นทำนี่ แล้วแต่ศาสดาของศาสนานั้น ๆ จะวางเงื่อนไขให้ทำ แต่ถ้าสังเกตให้ดี เงื่อนไขต่าง ๆ นั้น กำหนดให้ทำกันในโลกนี้เท่านั้น แถมยังไม่มีหลักประกัน หรือหลักฐานอะไรเลยว่าถ้าทำแล้ว ในโลกหน้าจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนอย่างที่สัญญาไว้จริงๆ

 

:ph34r:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ต้องขอบคุณ จขกท ที่ตั้งกระทู้ดูเหมือนเอาเรื่องไร้สาระมาให้อ่าน แต่อ่านไปอ่านมาพวกเราก็ช่วยกันเอาเรื่องที่ดูเหมือนจะมีสาระมาพูดกัน สนุกดีครับ แถมดูจากข้อความหลัง ๆ ของ จขกท ก็ไม่ได้ถือโทษโกรธใคร แสดงถึงความใจกว้างให้พวกเราได้วิจารณ์กันเต็มที่ อิอิ ยอด ๆ

 

หากทุกอย่างจบลงที่ความตาย ศาสนาทุกศาสนาก็คงไม่มีความหมายในโลกนี้ เพราะศาสนานั้นขายความเชื่อว่ามีอะไรที่อยู่ถัดจากความตาย ตายแล้วยังไม่จบ ยังมีโลกหน้า โลกหลังความตาย ซึ่งให้ความหวังแก่เราว่า เราจะมีชีวิตที่ดีขึ้นในโลกนั้น แต่มีเงื่อนไขให้ต้องทำโน่นทำนี่ แล้วแต่ศาสดาของศาสนานั้น ๆ จะวางเงื่อนไขให้ทำ แต่ถ้าสังเกตให้ดี เงื่อนไขต่าง ๆ นั้น กำหนดให้ทำกันในโลกนี้เท่านั้น แถมยังไม่มีหลักประกัน หรือหลักฐานอะไรเลยว่าถ้าทำแล้ว ในโลกหน้าจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนอย่างที่สัญญาไว้จริงๆ

 

:ph34r:

 

!gd !thk !thk !thk

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ถ้าจะละได้ต้องไม่มีกามวิตกครับ หรือความตรึก นึก คิดในเรื่องกามที่เคยให้คุณแก่เรา :blush:

 

ถ้าละแบบชั่วครั้ง ชั่วคราว ก็อาจใช้วิธี เบี่ยงเบนความคิด เช่น ออกจากสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เราคิดคำนึงถึง

 

หรือ ถ้าคิดอยู่เราก็หันไปทำอะไรให้มันลืมๆไปก่อน เช่น พวกอยากเลิกบุหรี่ บางคนใช้วิธีเคี้ยวหมากฝรั่งดึงความสนใจ

 

ไปกับการเคี้ยวอย่าให้หมกมุ่นกับ"ความคิดถึงบุหรี่" หรือ คิดถึงโทษภัยของกามที่เราไปข้องแวะด้วย เป็นต้นครับ

 

มันก็เป็นการสู้กับกามแบบโลกๆ เป็นครั้งๆไป แต่ทางศาสนาพุทธเรากระทั่งพระทั่วๆไปก็เหอะ ก็ยังต้องใช้วิธีแบบโลกๆนี้เพื่อต่อสู้ไปก่อน

 

(การนั่งสมาธิ ก็ยังเป็นการต่อสู้แบบโลกๆครับ เพราะยังเป็นการละแบบชั่วครั้งชั่วคราว) นอกจากจะพัฒนาตัวเองไปถึงขั้น

 

พระอนาคามีขึ้นไป ท่านถึงจะละได้ถาวรเพราะท่าน ไม่เห็นคุณค่าใดๆของกามแล้ว เห็นแต่ทุกข์โทษ ของกามจนเบื่อหน่าย และคลายกำหนัดเอง :)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บางทีก็มานึก ๆ ดูเล่นว่า ในเมื่อชีวิตเราในปัจจุบันนี้มี กาย กับ ใจ เหตุใด เราจึงต้องละความสุขทางกาย เพื่อหวังจะได้ความสุขทางใจด้วย เหตุใดเราจึงไม่สร้างความสุขทางกายไปพร้อม ๆ กับความสุขทางใจ ทำไมเราต้องนั่งสมาธิเป็นชั่วโมง ๆ ทรมานร่างกาย อดทนความเจ็บปวดเมื่อย เพราะหวังว่าจะทำให้จิตใจเราสูงขึ้น แล้วจะเป็นสุขขึ้น???

 

ทำไมเราถึงนอนฟูกไม่ได้ ดูหนังดูละครไม่ได้ ฟังเพลงไม่ได้เพราะกลัวจะผิดศีล8 บางทีก็คิดว่าทำไมเราต้องทนลำบากลำบนในปัจจุบันเพื่อหวังความสุขในโลกหน้าซึ่งมองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ สู้เราบำรุงร่างกายในปัจจุบันให้มีความสุข สัมผัสได้ในตอนนี้เลย ไม่ดีกว่าหรือ เพราะเมื่อกายเป็นสุข ใจก็สบาย

 

คงต้องถามผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายว่าปฏิบัติไปหวังอะไรแน่ หากหวังสุขในชาติหน้าซึ่งตัวเรามองไม่เห็น หรือหวังว่าชีวิตนี้จะดีกว่าชาติก่อน ซึ่งเราก็มองย้อนไปไม่เห็นเหมือนกัน ได้แต่ฟังหรืออ่านจากผู้อื่นมา ก็คงเหมือนทำไปแกนๆ ให้ไ้ด้ชื่อว่าเป็นคนธรรมะธรรโมเท่านั้น

:ph34r:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ถ้าำคำสอนนั้นไม่เป็นความจริง คงไม่อยู่มาจนถึงสองพันกว่าปี

ถ้าไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด คงไม่มีคนระลึกชาติได้

ถ้าเชื่อว่าตายแล้วก็จบ คงไม่ต้องกลัวผีหรือวิญญาณในบ้านร้าง

 

จิตลึกๆของคนเรามีมโนธรรมในตัวมันเองอยู่แล้ว เพียงแต่เราหลงไหลไปกับวัตถุนิยมที่อำนวยความสะดวกสบายมากเกินไป

จึงทำให้เราหาข้ออ้างต่างๆมาเพื่อเข้าข้างตัวเอง

 

เช่นว่าโลกหน้าไม่มีหรอก เอาตอนนี้สบายก่อนดีกว่า

ถ้าเช่นนั้นพระพุทธเจ้าจะสละตนจากเจ้าชาย ทิ้งสมบัติมหาศาลที่ทั้งชาิิติก็ใช้ไม่หมด มาลำบากในป่าเพื่อออกหาทางดับทุกข์ทำไม

 

 

 

 

 

 

 

 

โลกทุกวัน อยู่ในขั้น กลียุค

ที่เบิกบุก เร็วรุด สู่จุดสลาย

จนสิ้นสุด มนุษยธรรม ด่ำอบาย

เพราะเห็นกง -จักรร้าย เป็นดอกบัว

 

กิเลสไส -หัวส่ง ลงปลัก

มีความแกว่น แสนพิเศษ มาสุมหัว

สามารถดูด ดึงกันไป ใจมืดมัว

เห็นตนตัว ที่จมกาม ว่าความเจริญ

 

มองไม่เห็น ศีลธรรม ว่าจำเป็น

สำหรับอยู่ สุขเย็น ควรสรรเสริญ

เกียรติ กาม กิน บิ่นบ้า ยิ่งกว่าเกิน

แล้วหลงเพลิน ความบ้า ว่าศีลธรรม ฯ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คนธรรมดาบางคน จนถึงบางกลุ่ม ไปจนถึงชุมชนใหญ่

มัวคิดกันแต่เรื่องชาติภพ ไม่ว่าจะในแง่ร้ายหรือดี แล้วก็ทำดี เพราะกลัวผลของกรรม ที่ถูกยัดใส่สมอง

เหมือนจิตวิทยาสร้างความกลัว เพื่อหวังผลดึงดูดพลังมวลชน ในช่วงแรก ของขบวนการ ที่ใช้ศาสนา คำว่านรกสวรรค์ ชาติภพ และความสุขสมหวัง

มาบังหน้า มาล่อใจ คนเหล่านั้นทำตามกันไป..บ้างก็ใช้เงินซื้อบุญ..บ้างซื้อบุญด้วยการนั่งหลับตาปี๋..

โดยคิดว่าตัวเองมีสติ มีวิจารณญาณ

แต่ในมุมมองของคนอื่น อาจเป็นคนบางกลุ่มที่เล็กกว่า หรือเท่ากัน หรืออาจเยอะกว่าชนิดที่เทียบกันไม่ได้

กลับเห็นคนเหล่านั้น ไม่ต่างจากสายน้ำ ที่ไหลไปในทิศทางเดียวกัน เพียงทิศทางเดียว โดยมั่นใจว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุด

หลับหูหลับตาตามๆกันไป ไม่ว่าจะมีอะไรใหม่ๆ เช่นใบไม้เศษหินดินปูน ตกลงไปในลำธารสายนั้น

ยากนักที่จะหลุดรอดออกมาได้

การมีสติ แต่ไม่มีวิจารรญาณ ก็ไม่ต่างจากหยดน้ำเล็ก ในสายน้ำเผด็จการสวรรค์และชาติภพสายนั้น

สรุปก็คือ คนเหล่านั้น เคยรู้ตัวมั๊ย ว่าตัวเองเป็นเหยื่อ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ต้นตำรับน่าจะมาจากหนังสือคัมภีร์ละกาม ซึ่งมีผู้แปลไว้ตั้งแต่ปี 2525 จากตำหนักทรงเจ้าเง็กเซียนฮ่องเต้

*** ทรงเจ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ --- เง็กเซียนฮ่องเต้ ไม่ว่างมาลงประทับทรงใครหรอก

*** เง็กเซียนแค่เป็นผู้ดูแล สวรรค์ ไม่มีความสามารถหรืออำนาจใดๆในการตั้งกฎใดๆ ทั้งสิ้น

กฎแห่งกรรม เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม ไม่มีใครไปตั้งกฎขึ้นมาได้

ที่ผมมาแย้ง ก็เพราะข้อมูลที่เอามาลงมันผิดด้วยเหตุและผล

สร้างกรรมแล้วก็ต้องรับกรรม ไม่ใช่แค่เอาอะไรก็ไม่รู้ไปแจก เอาไปเผยแพร่ 100 คนก็จะมี อายุเพิ่มขึ้นตั้ง 12 ปี มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน

สุดท้าย คนเราควรมีสติแต่การมีสติแล้วต้องแยกออกว่าข้อความอันไหนควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่ออันไหนมีเหตุผลอันไหนไม่มีเหตุผล

 

 

เง็กเซียนไม่ได้ลงมาแล้วสวรรค์จะว่างหนิ แบ่งพระภาคลงมาก็ได้ สิ่งเหล่านี้แยบยลเกินกว่าที่เราจะนึกถึงได้ เรื่องนี้บางคนอาจหาว่าบ้า เพ้อเจ้อ แต่ก็ยังมีหลายเรื่องที่เรายังไม่รู้ ดังคำกล่าวที่พระพุทธเจ้าเคยกล่าวไว้ว่า สิ่งต่างๆในจักรวาล นั้นเป็นอจินไตย ไม่สามารถอธิบายได้ออกมาในรูปแบบของทางตรรกะได้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...