ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
moddang

ข้อคิดคำคม - เกร็ดความรู้

โพสต์แนะนำ

การให้ มีความสุขยิ่งกว่าการรับ

 

433964nztsbmvq0u.gif

 

ให้กำลังใจ

ให้แรงบันดาลใจ

ให้ตัวอย่างที่ดี

ให้คำขอบคุณ

ให้ความช่วยเหลือ

ให้ความสนใจฟัง

ให้คุณภาพแก่งานที่ทำ

ให้เกียรติ

ให้คำชมเชย

ให้กตัญญูกตเวที

ให้รอยยิ้ม

ให้พร

 

 

ผมเชื่อมั่นว่า

 

"การให้ จะเป็นเหตุที่ทำให้ทั้งผู้รับ และผู้ให้ มีความสุข"

 

สำหรับผมแล้ว "การให้" (GIVE) ที่ก่อให้เกิดสุข ควรมีลักษณะดังนี้

 

Gladly (ให้ด้วยใจยินดี)

 

Impartially (ให้อย่างไม่ลำเอียง)

 

Voluntarily (ให้ด้วยความสมัครใจ)

 

Expecting Nothing Back (ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน)

 

การให้เช่นนี้ เป็นการให้ที่ "มีคุณค่า"

 

 

http://www.followhissteps.com/web_christianstories/give.html

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

" ให้คำ..ขอบคุณ "

 

1201559c6q3pm1zaf.gif

 

ในสังคมปัจจุบัน คำว่า "ขอบคุณ" ดูเหมือนจะหาฟังได้ยากขึ้นทุกที

 

บ่อยครั้ง ที่พ่อแม่ ทำดีต่อลูก แต่น้อยครั้งที่พวกท่านจะได้ยินคำว่า "ขอบคุณ" จากปากของผู้เป็นลูก

 

ผู้เป็นภรรยาที่ตื่นแต่เช้ามาจัดเตรียมอาหารให้สามี ก็มักจะไม่ค่อยได้ยินคำว่า "ขอบคุณ" จากปากของเขา

 

ผู้เป็นครู ที่พร่ำสอนศิษย์มาตลอดทั้งชั่วโมง หรือทั้งเทอม ก็ไม่ค่อยได้ยินคำว่า "ขอบคุณ" จากปากของสานุศิษย์ทั้งหลาย

 

นายจ้าง หรือหัวหน้างานที่จ้ำจี้จ้ำไชลูกจ้าง เพื่อหวังให้เขาได้ดี ก็ไม่ค่อยได้ยินคำว่า "ขอบคุณ" จากปากของลูกน้องของตนเช่นกัน

 

ในทำนองเดียวกัน หลายครั้ง ลูก ๆ ก็ไม่ได้ยินคำว่า "ขอบคุณ" จากผู้เป็นพ่อแม่ ในยามที่พวกเขาพยายามทำดี เอาใจพ่อแม่

 

สามีที่ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ก็มักจไม่ได้ยินคำ "ขอบคุณ" จากภรรยาของตน

 

ลูกศิษย์ที่พยายามทำดีต่อครูผู้สอน แต่ก็อาจไม่เคยได้ลิ้มรสคำว่า "ขอบคุณ" จากท่านอาจารย์

 

และลูกจ้างที่กระทำงานอย่างเต็มที่ แต่ก็มักไม่ได้ยินคำว่า "ขอบคุณ" จากปากนายจ้างเลยก็มี

 

คำว่า "ขอบคุณ" นี้ แท้จริงแล้ว เป็นคำเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ ที่ไม่ธรรมดา

 

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ได้บันทึกไว้ว่า การรับใช้ ปรนนิบัติต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อคนที่ด้อยโอกาสกว่า จะเป็นเหตุให้เกิดการขอบพระคุณต่อกันและกัน และต่อพระเจ้า

 

"11 โดยทรงให้ท่านทั้งหลายมีสิ่งสารพัดมั่งคั่งบริบูรณ์ขึ้น เพื่อให้ท่านมีแจกจ่ายอย่างใจกว้างขวาง ซึ่งโดยเราจัดแจก จะให้เกิดการขอบพระคุณพระเจ้า

12 เพราะว่าการรับใช้ในการปรนนิบัตินั้น มิใช่จะช่วยธรรมิกชนซึ่งขัดสนเท่านั้น แต่ยังเป็นเหตุให้มีการขอบพระคุณพระเจ้าเป็นอันมากด้วย" (2โครินธ์ 9:11-12)

 

ถ้าคุณรู้จักใช้คำ ๆ นี้ให้ถูกเวลา ถูกสถานที่ และถูกคน ความสุขจะบังเกิดแก่ทั้งผู้ให้ และรับคำ ๆ นี้ในบัดดล

 

ไม่เชื่อลองดูสิครับ !1324628nnof1k5ege.gif1324628nnof1k5ege.gif1324628nnof1k5ege.gif

 

 

:D การกล่าวคำขอบคุณไม่ทำให้ใครเจ็บลิ้น

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สงสัยกระทู้แบบเรานี้คงไร้สาระเกินไปหน่อย เลยไม่มีผู้คนเขาเข้ามาคุย มีๆก็ไม่กี่ท่าน ชักเซ็งๆ แล้ว ว่างๆหยุดพักยาวบ้างก็ดีนะเรา ไปเรียนวิเคราะห์กราฟดีกว่า เผื่อจะได้มีเพื่อนๆ เข้ามาถามบ้าง >>>> เรื่องแบบนี้ไร้สาระ ชิมิ

!32 !17 !53 !54 !031

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สงสัยกระทู้แบบเรานี้คงไร้สาระเกินไปหน่อย เลยไม่มีผู้คนเขาเข้ามาคุย มีๆก็ไม่กี่ท่าน ชักเซ็งๆ แล้ว ว่างๆหยุดพักยาวบ้างก็ดีนะเรา ไปเรียนวิเคราะห์กราฟดีกว่า เผื่อจะได้มีเพื่อนๆ เข้ามาถามบ้าง >>>> เรื่องแบบนี้ไร้สาระ ชิมิ

em309.gif em308.gif 70bff581.gif 332f960b.gif 04a97f13.gif

 

รับรองได้เลยครับว่า ถ้าเลิกโพสต์ กระทู้นี้ก็จะก็จะหายไปใน 2 เดือน(ถูกลบ)1b38f9e2.gif อย่าขู่นะ เขาทำจริงๆนะตัวเอง 70bff581.gif

สู้โว๊ย มดแดง เอ้าไม่ได้สิ ไม่ใช่นักยกน้ำหนัก มดแดงสู้ๆละกัน07baa27a.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณนะคะ คุณหมอเล็ก

 

ลองเทสดูค่ะ... จริงๆไม่อยากโพสอะไรมาก นานๆเข้ามาทีก็แล้วกัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่เคยดูตัวเลขซักเท่าไร ว่าจะใช้ดันโดย icon แต่รู้สึกอยากลองดูค่ะ เลยเขียนไปเช่นนั้น รู้สึกแอบอิจฉาบางกระทู้ค่ะ หัวบันไดไม่แห้ง....

427837dh1uo378hf.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ให้กำลังใจ....

 

87434c3wor9yztz.gif

 

 

วันนี้ผมนั่งอ่านหนังสือ "พลังแห่งชีวิต" ฉบับคัดสรร (Condensed Chicken Soup for the Soul) (พลังแห่งชีวิต ฉบับคัดสรร. แจ๊ค แคนฟิลด์, มาร์ค วิทเตอร์ แฮนเซน และ แพตตี้แฮนเซน. สาธิตา ทรงวิทยา แปล. สำนักพิมพ์ คลินิกบ้านและสวน) แล้วรู้สึกมีความสุข

 

เรื่องที่ผมอ่าน มีชื่อเรื่องว่า "กำลังใจ" เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่เชื่อมั่นในสามีของตน และให้กำลังใจเขาในยามที่เขาท้อแท้และหมดกำลังใจ เธอผู้นั้นมีนามว่า "โซเฟีย" ส่วนสามีของเธอมีชื่อว่า "นาธาเนียล"

 

วันหนึ่ง นาธาเนียล กลับบ้านในสภาพที่ใจสลาย เพราะถูกไล่ออกจากงาน แต่โซเฟีย เมื่อได้ทราบข่าวกลับอุทานด้วยความตื่นเต้นยินดี พร้อมทั้งพูดว่า "คราวนี้ คุณจะได้เขียนหนังสือซะที"

 

แต่นาธาเนียลกลับถามขึ้นด้วยความลังเลว่า "แล้วเราจะเอาอะไรกินในระหว่างที่ผมเขียนหนังสือ ?"

 

โซเฟียผู้เป็นภรรยาสร้างความประหลาดใจให้แก่เขา ด้วยการเปิดลิ้นชัก และดึงเงินจำนวนมากออกมาให้ดู พร้อมบอกเขาว่า "ฉันรู้อยู่เสมอว่า คุณเป็นอัจฉริยะ และรู้ว่าวันหนึ่งคุณจะเขียนงานชิ้นเยี่ยมออกมา ฉันจึงเก็บออมเงินทีละเล็กทีละน้อย จากจำนวนเงินที่คุณให้ฉันไว้ใช้จ่ายภายในบ้าน และเงินจำนวนนี้พอเพียงให้เราใช้จ่ายได้ถึงหนึ่งปีเต็ม"

 

และด้วยกำลังใจจากภรรยา ทำให้นาธาเนียล ฮอว์ธอร์น กลายเป็นนักเขียนชื่อดังของโลก ผู้ประพันธ์นวนิยายที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในโลกวรรณกรรมของชาวอเมริกัน เรื่อง "เดอะ สการ์เล็ต เล็ตเตอร์"

 

ในที่สุด ทั้งโซเฟีย ผู้ให้กำลังใจ และ นาธาเนียล ผู้รับกำลังใจ ต่างก็เป็นสุข

 

การให้กำลังใจต่อกัน อาจกระทำได้หลายช่องทาง เช่น โดยทางจดหมาย หรือการพูดจาที่ทำให้เกิดความสุข

 

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล บันทึกถึงการให้กำลังใจต่อกันอยู่มากมาย อาทิ

 

"30 เมื่อลาจากกันแล้ว ท่านเหล่านั้นก็ลงไปยังเมืองอันทิโอก และเมื่อได้เรียกคนทั้งปวงประชุมกันแล้ว จึงมอบจดหมายฉบับนั้นให้

31 ครั้นอ่านแล้วต่างก็มีความชื่นชมยินดีในคำหนุนใจนั้น

32 ฝ่ายยูดาสกับสิลาสเป็นผู้เผยพระวจนะด้วย จึงได้กล่าวหนุนใจพวกพี่น้องหลายประการให้มีกำลังใจ" (กิจการ 15:30-32)

 

คุณล่ะครับ อยากเป็นสุข และทำให้ผู้อื่นเป็นสุขบ้างไหม ? 167547ayzfhafjx2.gif

 

 

ลองให้กำลังใจแก่คนอื่น เหมือนอย่างที่คุณโซเฟีย ได้กระทำกับสามีของเธอดูสิครับ โดยเริ่มลงมือเดี๋ยวนี้เลย ดีไหมครับ ! :wub:

 

 

 

กำลังใจ เป็นดั่งยา รักษาจิต

 

ชุบชีวิต ฟื้นชื่น อย่างสุขสันต์

 

จงมามอบ กำลังใจ ให้แก่กัน

 

ทุกคืนวัน เธอและฉัน ก้าวมั่นคง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ใบขับขี่ ได้รับ mail มาค่ะ

 

 

xvv01.jpg

 

xvv01.jpg

 

ใบขับขี่เป็นทรัพย์สิน ตำรวจไม่สามารถยึดได้

 

โปรดอ่าน...เพราะมีประโยชน์สำหรับผู้ขับขี่

 

ในรายการ บันทึกสถานะการณ์ ทางวิทยุแห่งประเทศไทยตอน 8.00 น.

 

มีการสัมภาษณ์ คุณจาตุรงค์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรี

 

เรื่องมาตรการความปลอดภัยในช่วงเทศกาล มีตอนหนึ่งที่ท่านพูดว่า

 

ใบขับขี่เป็นทรัพย์สิน ตำรวจไม่สามารถยึดได้ ตำรวจต้องออกใบสั่ง

 

ให้ไปเสียค่าปรับ ถ้าหากยึดใบขับขี่ ถือเป็นการลักทรัพย์

 

แต่ความเป็นจริงทั้งในอดีตและในปัจจุบันนี้เวลาตำรวจทางหลวงหรือตำรวจจราจร

 

และแม้แต่ตำรวจสายตรวจ หรือตามด่านต่างๆ เวลาเรียกรถเพื่อตรวจ

 

มักจะขอดูใบขับขี่ และยึดเอาไป แล้วหาข้อหาให้ทราบ

 

บางทีก็ยึดแล้วเดินเข้าป้อมเพื่อให้คนขับรถเข้าไปเจรจา

 

บางทีก็ยึดโดยไม่ให้ใบสั่งแต่บอกให้ไปเอาที่สถานี

 

บางทีก็ยึดไปพร้อมออกใบสั่ง เพื่อให้ไปเสียค่าปรับ

 

ประชาชนส่วนใหญ่งง วิธีการปฏิบัติของตำรวจ

 

ต่อไปนี้ถ้าตำรวจจะยึดใบขับขี่ต้องไม่ยอมให้ ไป

 

ถ้าตำรวจเอาไปจริงๆ ต้องแจ้งความข้อหาลักทรัพย์

 

เวลาทำผิดกฏจราจร ตำรวจก็ให้ใบสั่งได้อยู่แล้ว และใบสั่งมีความสำคัญมาก

 

ผู้รับต้องไปเสียค่าปรับ ถ้าไม่ไป

 

ทางราชการก็มีมาตรการที่จัดการอยู่แล้ว เช่นไม่ต่อทะเบียนตัดคะแนน

 

เมื่อได้อ่าน และรู้เช่นนั้นแล้ว

 

กรุณาส่งต่อ

 

เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเสียอารมณ์ ในเวลาขับรถเพื่อความปลอดภัย

 

 

 

ขอบคุณ ฟอร์เวิร์ดเมลดีดี จากคุณสุพร พิพัฒน์เสรีธรรม

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข้อคิด จาก forward mail

 

 

 

มีเรื่องเล่าว่า ... มีพระองค์หนึ่ง ชอบทำอะไรแปลกๆ

วันหนึ่ง ... พวกกรุงเทพฯ เอากฐินไปทอดที่วัด

จัดงานกันใหญ่โต มีหนัง ... มีลิเก ... มีดนตรี ... ผู้คนแห่กันมามืดฟ้า

 

ก่อนทอดกฐิน ผู้คนมารวมกันเต็มศาลา หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา ...

บอกให้ไปเอาเนื้อจาก โรงครัวมาก้อนหนึ่ง แล้วเอาเชือกมาด้วย

 

หลวงพ่อจัดการ ... เอาเนื้อผูกติดกับหลังหมา

ผูกเสร็จ ... ก็ปล่อยหมา

หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง ก็ไล่งับ

 

พอหัวโดดงับ ... ตัวก็ขยับหนี ...

เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง

ยิ่งโดดงับเร็ว ... ก้อนเนื้อ ก็หนีเร็ว

โดดไม่หยุด ... เนื้อก็หนีไม่หยุด ... น่าสงสารหมามาก

 

หมาโดดอยู่นาน... งับเท่าไหร่... เนื้อก็ไม่เข้าปากสักที ...

ผู้คนบนศาลา พากันหัวเราะชอบใจ

หัวเราะเยาะหมา ... ว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้

ไล่งับจะกินเนื้อ ... ที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต

 

หลวงพ่อ... มองดูด้วยความสนุกสนานจนหนำใจแล้ว

ก็แก้เชือกออกจากหลังหมา

แล้วหันมาพูดกับ ญาติโยมว่า ...

 

มนุษย์เรา ... มีความรู้สึกว่า ... ตัวเองพร่อง ... ตัวเองยังไม่เต็ม ต้องเติมตลอดเวลา ... เติมไม่หยุด ... เพื่อให้ตัวเองเต็ม

 

เราอยากสวย ... อยากทันสมัย ... ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุดใส่ ดีใจได้ เดือนเดียว ... มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว ... สวยกว่า ... ทันสมัยกว่า อยากได้ โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่

ซื้อเสร็จ 3 เดือน ... รุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว...

ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด... 2 เดือนต่อมา... มีรุ่นใหม่กว่าออกมา ของเราตกรุ่น

 

เราต้องก้มหน้าก้มตา ... ทำงานทั้งวัน ทั้งคืน ... หาเงินมา ...

เพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย

ซื้อเสื้อผ้าใหม่ ... มือถือใหม่ ... คอมพิวเตอร์ใหม่ ... รถยนต์คันใหม่ ...

เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส ... เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น

 

ปัจจุบัน...

เรา กำลังไล่งับความทันสมัย...เหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังของมัน...

ทั้งที่รู้ว่า ...ต่อให้ไล่งับทั้งชีวิต ก็ไม่มีทางตามทัน

 

น่าสงสารไหม ! โยม ...

คนเต็มศาลา ... เมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น ด่าว่า “ หมามันโง่ ”

ตอนนี้เงียบสนิท... เหมือนไม่มีคนอยู่

 

ไม่รู้ว่า กำลังสงสารหมา

หรือ กำลังทบทวน “ ความโง่ตัวเอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ชอบคำพูดหมอเขียวจัง

 

- การที่ทำความดีโดยอยู่เหนือรางวัลต่างหากโดยไม่คิดจะได้รางวัลหรือไม่ได้รางวัล .....ผมคิดว่าสิ่งนั้นมีคุณค่ายิ่งกว่า...

 

- ผมเชื่อว่า..เกียรติและศักดิ์ศรีที่แท้จริงคือการอยู่เหนือเกียรติอยู่เหนือศักดิ์ศรี นี่คือเกียรติที่แท้จริง

 

- ผมเชื่อว่า..การแบ่งปันคือคำตอบของความผาสุกที่แท้จริง

 

- ผมเชื่อว่า..ความดีไม่เคยตายและจะเป็นพลังเอื้ออาทรที่สร้างความผาสุกที่แท้จริงให้กับชีวิตของตนเองและมวลมนุษยชาติ

 

-------------------------------------------------------------------------------

ให้เกียรติ

 

:lol: :wub:

 

ผมชอบคำสอนในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ว่า

 

"จงรักกันฉันพี่น้อง ส่วนการที่ให้เกียรติแก่กันและกันนั้น จงถือว่าผู้อื่นดีกว่าตัว" (โรม 12:10)

 

"เกียรติ" ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2542 หมายความถึง "ชื่อเสียง ความยกย่องนับถือ ความมีหน้ามีตา"

 

สังคมไทย เป็นสังคมที่ "ถือหน้าถือตา" ว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าเงินทองเสียอีก

 

คนไทยไม่มีความสุขเป็นอันขาด ถ้าเขาได้เงิน แต่เสียหน้า

 

การที่เราจะทำให้คนอื่น ๆ มีความสุขได้ จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรามีเงินให้เขาหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับว่า เราให้เกียรติหรือให้หน้าให้ตาแก่เขามากน้อยเพียงใด

 

ลองคิดดูสิครับว่า หากผู้อื่นให้เกียรติแก่คุณ คุณจะมีความสุขมากเพียงใด ฉะนั้น หากคุณให้เกียรติแก่ผู้อื่นบ้าง จะไม่ทำให้เขามีความสุขเช่นกันหรอกหรือ

 

ดังนั้น เวลาที่มีคนอื่นอยู่กับเรา แต่เรากลับเอาแต่พูด หรือทำแต่สิ่งที่ให้เกียรติแก่ตัวเราฝ่ายเดียว โดยคนอื่นไม่ได้รับการยกย่องนับถือใด ๆ จากเราเลย เขาจะมีความสุขที่อยู่กับเราได้อย่างไร

 

 

ด้วยเหตุนี้ คำแนะนำข้างต้นที่ให้เราถือว่า ผู้อื่นดีกว่าเรา จึงเป็นทัศนะที่คุณต้องมีก่อน คุณจึงจะให้เกียรติแก่ผู้อื่นได้

 

และยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่คุณพึงสังวร ก็คือ การรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับผู้อื่นนั้น เป็นการให้เกียรติแก่เขาผู้นั้นด้วย

 

ฉะนั้น ถ้านับจากนี้ไป คุณเริ่มให้เกียรติแก่ผู้อื่น ทั้งโดยการพูด และการกระทำ ก็เชื่อได้เลยว่า ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคุณจะมีความสุขแน่

 

แต่หากว่า คุณไม่ได้รับเกียรติจากผู้อื่น ทั้ง ๆ ที่คุณคิดว่าคุณน่าจะได้รับ ก็ขอให้คุณระลึกถึงคำเตือนสติของท่าน มาร์ค ทเวน ที่ว่า

 

"การที่เราสมควรที่จะได้รับเกียรติ แต่กลับไม่ได้ ก็ดีกว่าการได้รับเกียรติ แต่ไม่สมควรได้รับ"

 

ดังนั้น หากคุณรับทัศนคตินี้ได้ คุณจะไม่เป็นทุกข์ แต่หากคุณรับไม่ได้ คุณก็จะเป็นทุกข์โดยไม่จำเป็น

 

คุณผู้อ่านที่รัก ระหว่าง "การได้รับเกียรติแล้วไม่มีความสุข" กับ "การให้เกียรติแก่ผู้อื่นแล้วมีความสุข" คุณจะเลือกอะไรครับ ? ตอบที !

 

 

 

ให้เกียรติกันและกันนั้นดีแน่

 

ประจักษ์แก่กายวจีดีหนักหนา

 

รักษาไว้ทำได้ทุกสัญญา

 

ถ่อมใจว่าผู้อื่นดีกว่าตัว

 

 

อ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

จากหนังสือ การให้ มีความสุขยิ่งกว่าการรับ

ตอน "ให้อย่างมีคุณค่า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ให้ความช่วยเหลือ

 

481876qojaq5ujfk.gif

 

วันนี้ ผมอ่านข่าวแล้วรู้สึกกุ๊กกิ๊กประทับใจ เป็นเรื่องของคุณยาย อายุตั้ง 85 ปีแล้ว

 

วันหนึ่ง คุณยายท่านนี้เดินถือไม้เท้าไปซื้อของในร้านค้าแห่งหนึ่ง ในเมืองนิวเคนชิงตัน รัฐเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา พอดีเหลือเกินกับที่ชายคนร้ายคนหนึ่งบุกเข้าปล้นร้าน

 

ในขณะที่คนร้ายกำลังกระชากข้อมือแคชเชียร์สาว และใช้ที่เปิดฝากระป๋องเป็นอาวุธข่มขู่ให้แคชเชียร์เปิดลิ้นชัก ไม่งั้นเขาจะเชือดเธอ

 

คุณยายผู้กล้าหาญอดรนทนดูต่อไปไม่ไหว จึงใช้ไม้เท้าฟาดกระหน่ำไปที่ศีรษะของโจร จนโจรโกยอ้าวไป

 

คุณยายผู้เป็น "ฮีโร่อาวุโส" บอกกับตำรวจถึงการตัดสินใจสู้ แทนที่จะยืนเฉยว่า "เด็กสาวผู้น่าสงสารแกตกใจกลัวจนตัวสั่น และฉันไม่อาจปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้"

 

ผมอ่านข่าวนี้แล้ว รู้สึกมีความสุขใจจริง ๆ ที่ในสังคมนี้ยังมีแบบอย่างที่ดีให้ลูกหลานของผมดู

 

การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในยามที่ต้องการ คือพฤติการณ์แห่งคุณธรรม !

 

สังคมใดที่สมาชิกช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามยาก ก็เหมือนกับป้อมปราการที่แข็งแกร่ง ดุจดังสุภาษิตว่า

 

"พี่น้องที่ได้รับความช่วยเหลือก็เหมือนเมืองที่เข้มแข็ง และการทะเลาะวิวาทเหมือนดาลที่ป้อมปราการ" (สุภาษิต 18:19)

 

!17 ในสังคมไทยปัจจุบัน คนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะเป็นเพียงผู้ดูเฉย ๆ โดยถือว่า "ธุระไม่ใช่ อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน" เพราะเจตคติไร้คุณธรรมเช่นนี้เอง ทำให้ทั้งเด็ก สตรี และผู้ด้อยโอกาสจำนวนมาก ไม่ได้รับความเป็นธรรม และขาดความช่วยเหลือ !

 

106.gifวันนี้ คุณไม่คิดจะให้ความสุขเกิดขึ้นในสังคมไทย โดยการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือจากคุณอยู่ บ้างหรือครับ ?

 

 

 

085.gif เรามีความสุขมากที่สุด

 

เมื่อเราทุ่มเทอย่างเต็มที่ถึงที่สุด เพื่อช่วยให้ผู้อื่นมีความสุข

 

 

 

อ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

จากหนังสือ การให้ มีความสุขยิ่งกว่าการรับ

ตอน "ให้อย่างมีคุณค่า"

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ให้ความสนใจฟัง

 

034.gif

 

มีคำกล่าวไว้น่าคิดว่า

 

"หากคุณอยากชนะใจเพื่อน จงให้ความสนใจแก่เขา ด้วยการใช้หูฟัง แทนที่จะใช้คำพูด"

 

 

 

ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวข้างต้นนี้เป็นอย่างยิ่ง

 

 

:P ไม่มีของขวัญใดที่ผู้รับจะประทับใจมากยิ่งไปกว่า การได้รับความสนใจ จากบุคคลที่ตนรักและชื่นชม และความสนใจดังกล่าวสามารถแสดงออกมาผ่านการตั้งใจฟัง

 

คุณจะรู้สึกอย่างไร หากว่า คุณพยายามจะพูด แต่ไม่มีใครยอมฟังคุณเลย ?

 

 

:D มีสุภาษิตตอนหนึ่ง เสนอภาพนี้ได้อย่างชัดเจน เมื่อกล่าวถึงคนยากจน หรือคนที่ถูกมองข้ามว่า

 

"พวกพี่น้องของคนยากจนก็ยังเกลียดเขา

 

มิตรของเขาจะยิ่งไกลจากเขาสักเท่าใด

 

เขาพยายามพูด แต่ไม่มีใครยอมฟัง" (สุภาษิต 19:7)

 

 

แต่ในทางตรงกันข้าม คุณจะรู้สึกอย่างไร หากว่า คุณมีความคิดเห็นที่จะเสนอ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวแสดงความกระตือรือร้นที่จะรับฟัง ?

 

หรือในยามที่คุณรู้สึกอึดอัดใจ คุณจะรู้สึกอย่างไร หากว่ามีใครสักคนยินดีรับฟังการระบายความในใจของคุณ ด้วยความเต็มใจ ? คุณคงรู้สึกดีขึ้น และมีความสุมากขึ้นใช่ใหมครับ ?

 

:D ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมวันนี้คุณไม่ลองทำให้ใครบางคนมีความสุข ผ่านการให้ความสนใจฟังคำพูดของเขาอย่างใส่ใจ บ้างละครับ

 

ผมว่า สนุกดีออก !

 

สิ่งสำคัญ 2 สิ่งในชีวิต ก็คือ

 

ให้ความสนใจในผู้อื่นอย่างจริงใจ และมีใจเอื้อาทรต่อเขา

 

แล้วคุณจะพบว่า ความเมตตากรุณา คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต

!

 

 

อ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

จากหนังสือ การให้ มีความสุขยิ่งกว่าการรับ

ตอน "ให้อย่างมีคุณค่า

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ให้ความสนใจฟัง

 

034.gif

 

มีคำกล่าวไว้น่าคิดว่า

 

"หากคุณอยากชนะใจเพื่อน จงให้ความสนใจแก่เขา ด้วยการใช้หูฟัง แทนที่จะใช้คำพูด"

 

 

 

ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวข้างต้นนี้เป็นอย่างยิ่ง

 

 

:P ไม่มีของขวัญใดที่ผู้รับจะประทับใจมากยิ่งไปกว่า การได้รับความสนใจ จากบุคคลที่ตนรักและชื่นชม และความสนใจดังกล่าวสามารถแสดงออกมาผ่านการตั้งใจฟัง

 

คุณจะรู้สึกอย่างไร หากว่า คุณพยายามจะพูด แต่ไม่มีใครยอมฟังคุณเลย ?

 

 

:D มีสุภาษิตตอนหนึ่ง เสนอภาพนี้ได้อย่างชัดเจน เมื่อกล่าวถึงคนยากจน หรือคนที่ถูกมองข้ามว่า

 

"พวกพี่น้องของคนยากจนก็ยังเกลียดเขา

 

มิตรของเขาจะยิ่งไกลจากเขาสักเท่าใด

 

เขาพยายามพูด แต่ไม่มีใครยอมฟัง" (สุภาษิต 19:7)

 

 

แต่ในทางตรงกันข้าม คุณจะรู้สึกอย่างไร หากว่า คุณมีความคิดเห็นที่จะเสนอ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวแสดงความกระตือรือร้นที่จะรับฟัง ?

 

หรือในยามที่คุณรู้สึกอึดอัดใจ คุณจะรู้สึกอย่างไร หากว่ามีใครสักคนยินดีรับฟังการระบายความในใจของคุณ ด้วยความเต็มใจ ? คุณคงรู้สึกดีขึ้น และมีความสุมากขึ้นใช่ใหมครับ ?

 

:D ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมวันนี้คุณไม่ลองทำให้ใครบางคนมีความสุข ผ่านการให้ความสนใจฟังคำพูดของเขาอย่างใส่ใจ บ้างละครับ

 

ผมว่า สนุกดีออก !

 

สิ่งสำคัญ 2 สิ่งในชีวิต ก็คือ

 

ให้ความสนใจในผู้อื่นอย่างจริงใจ และมีใจเอื้อาทรต่อเขา

 

แล้วคุณจะพบว่า ความเมตตากรุณา คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต

!

 

 

อ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

จากหนังสือ การให้ มีความสุขยิ่งกว่าการรับ

ตอน "ให้อย่างมีคุณค่า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:D ขอบคุณมาก ครับ แล้วก็ สวัสดีปีใหม่ 2554 กับ คุณ moddang ด้วย ที่นำสิ่งมีดีๆ มีสาระมาให้อ่าน ชอบมากๆ

Happy New Year 2011 :lol:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

card54_1B.jpgcard54_2B.jpg

 

 

เทศกาลปีใหม่ถือเป็นเทศกาลแห่งความสุข ผู้คนนิยมจึงนิยมส่งบัตรอวยพรความสุขให้กัน รวมทั้งถือเป็นโอกาสที่จะแสวงหาความสุขให้แก่ตนเอง ด้วยการจับจ่ายใช้สอยหรือไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ เสมือนเป็นรางวัลให้แก่ตนเองสำหรับการทำงานตลอดปีที่ผ่านมา

 

ความจริงแล้วเทศกาลแห่งความสุขนั้นมีตลอดทั้งปี ทุกวันสามารถเป็นวันแห่งความสุขสำหรับเราได้ เพราะความสุขนั้นมีอยู่รอบตัว อีกทั้งมีอยู่กับเราตลอดเวลา เป็นแต่เราไม่เห็นเอง ผู้ที่คิดว่าตนเองไม่มีความสุขนั้น ที่จริงเขามองไม่เห็นความสุขต่างหาก

 

เพียงเปิดใจให้กว้าง ก็จะเห็นความสุขอยู่รอบตัว และหากทำใจให้ว่าง ความสุขก็จะเข้ามานั่งในหัวใจ แต่เนื่องจากทุกวันนี้เราปล่อยใจให้จมอยู่กับอดีตหรือกังวลกับอนาคต หรือหมกมุ่นครุ่นคิดกับเรื่องร้อยแปด จึงไม่สามารถเปิดรับความสุขที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันขณะได้

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สิ่งดีๆ อ่านได้ อ่านดี

__fwdDer.com__-131045069-ATT103059.gif

คนหลายคนกินน้ำบ่อเดียวกัน เที่ยวทางเดียวกัน แต่ไม่เหยียบรอยกัน

คำสอน พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส

 

 

__fwdDer.com__-131045065-ATT103047.jpg

 

__fwdDer.com__-131045050-ATT103048.jpg

 

__fwdDer.com__-131045061-ATT103049.jpg

 

__fwdDer.com__-131045070-ATT103051.jpg

 

__fwdDer.com__-131045056-ATT103052.jpg

 

 

ชีวิตของคนเราทุกคนเหมือนเดินทางกลางป่ากลางเขา น้อยคนที่จะสบายเหมือนเดินอยู่บนถนนหลวงทางเดินในชีวิตส่วนใหญ่มักจะขรุขระมีหลุมมีบ่อ และพงหนาม มีทั้งขึ้นเขา เข้าถ้ำและลงห้วย ผลัดเปลี่ยนกันไป มีความลำบากมากบ้างน้อยบ้างสุขบ้างทุกข์บ้างสลับกันไป ในแต่ละวัน

 

 

ชีวิตของเรานั้น นอกจากจะเดินทางลำบากแล้วยังต้องเดินทางอย่างโดดเดี่ยวอีกด้วยที่เป็นอย่าง นี้ก็เพราะ ชีวิตคือการเดินทางคนเดียวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วเรียกว่าเราเกิดมาตามกรรมของเราเอง อยู่ใช้กรรมเก่าและสร้างกรรมใหม่แล้วก็ตายไปตามกรรมของเราเองเป็นไปอย่างนี้ ไม่ว่าจะเกิดมากี่ครั้งหรือว่าตายไปกี่หนก็ตาม

การที่เราทุกคนกลัวความเหงานั้นอาจจะต้องเข้าใจเสียใหม่ว่า อันที่จริงแล้วความเหงานั่นแหละคือชีวิตที่แท้จริงของเรานั่นเองเพราะไม่ว่าพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนฝูง สามีภรรยา และลูก ถึงแม้ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมทางแต่ก็เป็นเพื่อนร่วมทางที่ไม่ถาวรเพราะความ สัมพันธ์กับคนใกล้ชิดนั้นล้วนเป็นสิ่งสมมุติทั้งนั้นสมมุติเป็นพ่อแม่พี่ น้องกันและบทบาทที่แสดงต่อกันด้วยความผูกพันและหน้าที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปใน ช่วงชีวิตหนึ่งเท่านั้นเรามาคนเดียวแล้วเราก็ไปคนเดียว จะไปทีเดียวกันหลายๆ คนไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นลูก เป็นสามี เป็นภรรยาพ่อแม่พี่น้องก็ไม่มีใครสักคนที่ตามเราไปได้

 

ต่างคนต่างมาต่างคนต่างไป ต่างคนต่างเกิด เป็นอย่างนี้ไม่มีอะไรสักอย่างที่จะเอาไปได้แม้แต่เงินบาทเดียวต้องปล่อย ทิ้งไว้ทั้งหมดไม่ว่าอะไร ไม่มีอะไรเป็นที่ยึดถือ เรือกสวนไร่นาตึกรามบ้านช่อง ก่อนที่เราจะเกิดเขาก็มีอยู่อย่างนี้ชายหญิงเขาก็มีกันอยู่อย่างนี้ตอนเรา เกิดก็มีอยู่อย่างนี้เราตายไปแล้วมันก็มีอยู่อย่างนี้เพราะฉะนั้นเราจะกลัว ความเหงากันไปทำไมทั้ง ๆ ที่ชีวิตคือการเดินทางคนเดียวอยู่แล้ว

คนที่อยู่คนเดียวไม่ได้ต้องหาเพื่อนแก้เหงาตลอดเวลา หรืออยู่ไม่ได้ถ้าขาดคนอื่นคนนั้นคือ..ผู้หลงทาง เพราะหารู้ไม่ว่ายิ่งเราอยู่ในวงล้อมของคนอื่นมากเท่าไรเราจะยิ่งค้นหาตัวเองไม่เจอเท่านั้น เพราะเรามักจะยุ่งกับเรื่องของคนอื่นตลอดเวลาคอยแต่จะดูว่าคนนั้นดี..คนนี้ ชั่ว..คนนั้นถูก..คนนี้ผิด...นั่นเรามองเห็นแต่คนอื่นเรามองออกไปข้างนอก มองรอบตัวแต่เราไม่เคยมองเห็นตัวของเราเองเลยนี่คือเราไม่รู้จักตัวเองดีพอ

 

ผู้ฉลาดย่อมเห็นคุณค่าของการอยู่คนเดียวผู้มีปัญญาย่อมจะแสวงหาความวิเวก แสวงหาความสงบเพื่อทำความรู้จักกับตัวเอง รู้ใจตัวเอง เมื่อใจไม่วุ่นวาย ใจเกิดความสงบ ใจเกิดความสว่างเย็นแล้วเราก็จะเป็นสุข เราต้องดำเนินชีวิตด้วยตัวของเราเอง เลือกดีเลือกชั่วด้วยตัวของเราเอง จะถูกทางหรือหลงทางก็ด้วยปัญญาของเราเอง เหมือนดังที่พูดกันว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนหมายถึงพุทธศาสนาเป็นเพียงแผนที่บอกทางให้เท่านั้น ส่วนการเลือกเส้นทางเดินไปทางไหนอย่างไร ก็อยู่ที่ตัวเราคนเดียว

เมื่อรู้ว่าต้องเดินทางคนเดียวก็อย่าทำตัวเป็นคนเห็นแก่ตัว ให้รู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น ทำกรรมดี อยู่ในศีลในธรรม นั่นเป็นหนทางที่จะไปสู่จุดหมายปลายทางของการหลุดพ้นได้เร็วขึ้น เมื่อเราเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เท่ากับว่าเราโชคดีแล้ว และได้มาอยู่ในเส้นทางที่มีปลายทาง ที่มีทั้งแสงสว่างและความมืดมัวให้เราเลือก คราวนี้อยู่ที่ตัวของเราเองว่า จะเดินทางช้า เดินทางเร็ว หรือจะเดินหลงทางเท่านั้น

 

ชีวิตคนเรานั้นแท้จริงแล้วก็คือการเดินทาง และยังคงเป็นการเดินทางเรื่อยไปอยู่นั่นเอง ก็ย่อมมีความระหกระเหินบอบช้ำเป็นธรรมดา ชีวิตที่ต้องการเดินทางไปสู่นิพพาน หรือการดับทุกข์ขั้นเด็ดขาดนี้ จะถึงช้าหรือเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของแต่ละคน แต่การเดินทางนี้ ไม่ใช่เดินด้วยร่างกาย เพราะนิพพานไม่ใช่สถานที่ หากแต่ว่า เป็นภาวะอันบรมสุขของจิตใจ การเดินทางนี้จึงเป็นการเดินทางของจิตใจ จากสภาพที่มัวหมอง ไปสู่ความสะอาดสดใสที่ไม่มีกิเลส ตัวเราเองเดินทางทุกวัน เดินทางด้วยพาหนะชั้นดี มีเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย พาให้เราไปสู่จุดหมายนับร้อยนับพันแห่ง แต่ใจของเราเดินทางด้วยหรือเปล่า ความสวยงามของโลก อาจจะทำให้ใจของเรา ซัดส่ายไปมา ซ้ำซากวนเวียนอยู่กับสุขเดิม ๆ ทุกข์เดิม ๆ อยู่นั่นแหละ ไม ่เคยแสวงหาสภาวะที่สุขจริง สุขแท้กว่านั้นเลย ชีวิตของเราชาติหนึ่ง ๆ ก็จบสิ้นไปโดยไม่ได้พัฒนา ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร เป็นการเสียชาติเกิด เสียเวลาเปล่าๆ

 

__fwdDer.com__-131045069-ATT103059.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...