ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
Nexttonothing

โอกาส "เงิน" (จริงๆ) : ระยะประชิด

โพสต์แนะนำ

กร๊ากโพสต์เสร็จค่อยเห็นว่าเซ่อง่วง โพสต์ผิดกระทู้ (จะโพสต์ในโอกาสทองอ่ะครับ) :37

 

55555 ตามมาฮาด้วยคน (นานๆ พี่หมอจาหลุดซ๊าที...) :_08

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รอลุ้นน้องเงินนนนนน พุ่งไปเร็วๆนะจ้าาาาาาา ^^

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ให้คะแนนการโพสผิดกระทู้ครับ 5555 โพสผิดอีกผมก็จะกดให้คะแนนอีก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ห่วงซิลเวอร์นาโนซึมเข้าเส้นเลือด-ระบบทางเดินหายใจ .: คมชัดลึก ดร.สุจิตรา วาสนาดำรงดี นักวิชาการฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในการอภิปรายเรื่อง “นาโนเทคโนโลยี กับความปลอดภัยต่อสุขภาพ” ภายในการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 18 จัดโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขว่า ทั่วโลกมีประเทศต่างๆ ที่พยายามนำนาโนเทคโนโลยีมาใช้กว่า 24 ประเทศ มีผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนาโนฯ กว่า 1,015 รายการ จากบริษัทผู้ผลิต 485 แห่ง โดยกว่า 54% ใช้วัสดุชนิดนาโนของ ซิลเวอร์หรือโลหะเงิน พบมากในผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคต่างๆ เช่น การบรรจุหีบห่ออาหาร สิ่งทอที่ต้านทานการเกิดกลิ่น อุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน และอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงผ้าปิดแผล “ปัจจุบันเริ่มมีการตระหนักถึงความเสี่ยงของอนุภาคซิลเวอร์นาโนต่อการเป็นพิษต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม มีความเป็นไปได้ที่อนุภาคซิลเวอร์นาโนจะ ซึมสู่ร่างกายมนุษย์โดยซึมเข้าสู่เส้นเลือด ระบบทางเดินหายใจ อาจจะได้รับอันตรายได้ อีกทั้งอาจส่งผลกระทบต่อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดินและน้ำ จึงเป็นไปได้ว่าซิลเวอร์นาโนอาจ ทำลายแบคทีเรียที่มีประโยชน์ที่อยู่ในระบบนิเวศ เช่น แบคทีเรียในดินที่มีบทบาทสำคัญในการตรึงไนโตรเจนและย่อยสลายสารอินทรีย์ เป็นต้น” ดร.สุจิตรากล่าว ดร.สุจิตรากล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังมีวัสดุนาโนชนิด ไทเทเนียมไดออกไซด์ ที่ใช้ประโยชน์สำหรับการพัฒนาเป็นส่วนผสมของครีมกันแดด เป็นสารสีที่มีสีขาว ทำให้เกิดการทึบแสง และเป็นตัวป้องกันแสงแดด ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสารสีที่ปลอดภัย ไม่ใช่สารที่มีพิษ โดยทั่วไปมีความปลอดภัยในการใช้กับอาหาร ยา สี และเครื่องสำอาง อย่างไรก็ตามต้องศึกษาผลดีผลเสียเพิ่มเติม เพื่อจะได้ใช้เทคโนโลยีนาโนอย่างปลอดภัย ซึ่งในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และประเทศในยุโรปมีกฎระเบียบควบคุมและติดตามผลทางวิชาการที่เป็นพิษของวัสดุนาโนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของนาโนอิเล็กทรอนิกส์ นาโนอาหารและเครื่องสำอาง ภญ.ลักษณา ลือประเสริฐ ผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (เคมี) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันนาโนเทคโนโลยีมีความเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันอย่างมาก โดยเฉพาะในวงการธุรกิจและการประกอบการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการผลิตประเภทต่างๆ เช่น นาโนเกี่ยว กับอิเล็กทรอนิกส์ อาหารและผลิตภัณฑ์บรรจุอาหาร และเครื่องสำอาง เป็นต้น ประชาชนจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงผลทั้งด้านดีและด้านเสียของนาโนเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ซึ่งภาครัฐควรมีการกำหนดนโยบายในการควบคุมการพัฒนานาโนเทคโนโลยีให้เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค และส่งเสริมการศึกษาวิจัยผลดีผลเสียเนื่องจากขณะนี้ยังไม่รู้ว่านาโนเทคโนโลยีมีผลเสียอย่างไรบ้าง เขียนโดย webmaster เมื่อ 27 สิงหาคม, 2010 - 05:04. --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- นาโนเทคโนโลยีได้รับความสนใจอย่างมาก 1ในพระเอกของนาโนเทคโนโลยีคือซิลเวอร์นาโน(ซิลเวอร์ก็คือโลหะเงิน) มีการทำเสื้อซิลเอร์นาโนออกจำหน่าย(มีทั้งแบบมีคุณภาพและด้อยคุณภาพออกจำหน่าย) มีแอร์ที่มีตัวกรองเป็นซิลเอร์นาโนเพื่อการฆ่าเชื้อ มีสีทาผนังที่เป็นซิลเวอร์นาโน บางบริษัททำตู้เย็นซิลเวอร์นาโนเครื่องซักผ้าซิลเวอร์นาโนออกจำหน่าย(ไม่ทราบว่าตลาดตอบรับมั้ย) ในเมืองไทยก็มีบริษัทใหญ่ของไทยทำผงซักฟอกซิลเวอร์นาโน(ตลาดผงซักฟอกในเมืองไทยมูลค่า13,000ล้าน) ผงซักฟอกนาโนคงได้รับความนิยมช่วงฝนตกหนักและบางจังหวัดที่มีฝนตกชุกเช่นระนอง(ฝนแปด แดดสี่) มีสบู่ล้างหน้าซิลเวอร์นาโนและอื่นๆ เครื่องประดับเงินที่น่าจะได้รับความนิยม ถ้าอนาคตพิสูจน์ว่าซิลเวอร์นาโนปลอดภัยจริง ความต้องการซิลเวอร์สำหรับซิลเวอร์นาโนคงเพิ่มขึ้นอีกมาก(ถ้าปลอดภัย) แต่ช่วงนี้ต้องบอกว่าจะใช้ก็ต้องระวังครับ นาโนซิลเวอร์ ในนาข้าว http://www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=394295 ฝึกปั้น "นาโนซิลเวอร์เคลย์" เปลี่ยนเงินเป็นเครื่องประดับ http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000068361

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เทคโนโลยีซิลเวอร์นาโน คืออะไร ประยุกต์ใช้ทำอะไรได้บ้าง

http://www.mtec.or.th/index.php?option=com_content&task=view&id=1574&Itemid=178

หลักการทำงานและคุณสมบัติของนาโนซิลเวอร์

หลักการทำงานของนาโนซิลเวอร์

นาโนซิลเวอร์จะเกิดปฏิกิริยากับโปรตีนซึ่งเป็นส่วน ประกอบของเอ็นไซม์ที่ใช้ในการดำรงค์ชีพของแบคทีเรีย ปฏิกิริยาดังกล่าวจะทำลายผนังเซลของแบคทีเรีย ซึ่งจะ ส่งผลให้ดีเอ็นเอของแบคทีเรียหยุดทำงานและตายในที่สุด

 

คุณสมบัติของนาโนซิลเวอร์

1.ทำลายเชื้อได้เกือบ 650 ชนิด รวมถึง แอนเแทร็ค ซาร์ส ไข้หวัดนก และมีงานวิจัยเรื่องการรักษา HIV

2.ไม่ทำให้เชื้อเกิดการต่อต้าน

3.ไม่เป็นพิษเมื่อใช้

4.กำจัดกลิ่นอับชื้นหรือกลิ่นเหม็นต่างๆ

 

การใช้งานกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ

1.ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เช่น หมวก เสื้อ กางเกง เครื่องแบบ สูท ชุดชั้นใน เสื้อกีฬา ผ้าเช็ดตัว ถุงเท้า รองเท้า พรม เครื่องนอน ผ้าเช็ดมือ

ผ้าเช็ดโต๊ะ ผลิตภัณฑ์ ทำความสะอาดพื้น เฟอร์นิเจอร์ หมวกกันน็อค กระเป๋า

2.อุปกรณ์สำหรับเด็ก เช่น ผ้าอ้อม เครื่องนอน เตียง เบาะนั่งในบ้านและในรถ ของเล่น

3.ห้องน้ำ เช่น ฝารองนั่งสุขภัณฑ์ ม่านห้องน้ำ หัวฉีดน้ำ

4.เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น แผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศในบ้าน เครื่องฟอกอากาศ โทรศัพท์

5.อุปกรณ์รถยนต์ เช่น พรม แผ่นกรองอากาศ เบาะ

6.อุปกรณ์ในบ้าน เช่น ถังขยะ ไม่ถูพื้น ผ้าเช็ดครัว

7.อุปกรณ์กีฬา เช่น ด้ามจับอุปกรณ์กีฬา เครื่องออกกำลังกาย เสื้อผ้า ผ้าเช็ดเหงื่อ หมวก ถุงมือ

8.สัตว์เลี้ยง รักษาอาการคันและโรคผิวหนัง (เป็นสูตรเฉพาะใช้กับสัตว์เลี้ยงเท่านั้น)

http://nanova.myread...gory-10209.html

 

ผงซักฟอก “เปา ซิลเวอร์ นาโน” ท้าพิสูจน์ประสิทธิภาพ “ลดกลิ่นอับ ไม่ง้อแดด”

http://www.thaipr.net/products/352587

 

ใช้ถุงเท้านาโนซิลเวอร์มีความเสี่ยงหรือไม่

 

http://forum.1000za....hread&tid=16835

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอเชิญนิสิต และนักศึกษาเข้าร่วมประกวดผลงานเครื่องประดับขึ้นรูปเครื่องประดับเงินจากนาโน ซิลเวอร์เคลย์

http://www.chemtrack.org/News-Detail.asp?TID=5&ID=2

 

ชุดเครื่องแบบตำรวจนาโน

http://www.tpa.or.th/publisher/pdfFileDownloadS/TN212B_p35-38.pdf

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เมื่อคำทำนาย..โหราจารย์..เป็นจริง!(ตอนสี่) blank.gif โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 11 พฤศจิกายน 2554 19:27 น.

 

 

Share80

 

blank.gif TabOver.gif คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น 554000015266501.JPEG

554000015266502.JPEG

blank.gif blank.gif

สอดแนมการเมือง

โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

 

จินตนาการโลกอนาคตของภาพยนตร์มากมาย ที่ผู้ดู(หนัง)เชื่อว่า..ไม่มีวันจะเป็นไปได้ แต่วันนี้..จินตนาการแห่งหนัง ได้กลายเป็นเรื่องจริงแล้วหลายเรื่อง!

 

หากคุณเป็นมนุษย์ยุคศตวรรษที่16 หรือ 400 กว่าปีก่อน แล้วคุณเกิดเห็นเทคโนโลยียุคอนาคตได้ล่วงหน้า ไม่ว่า วิทยุ รถยนต์ เครื่องบิน จรวดขีปนาวุธ เรือดำน้ำ ระเบิดปรมาณู ฯลฯ คุณจะทำไง?

 

นอสตราฯเป็นมนุษย์ศตวรรษที่16 จึงเป็นไม่ได้หรือไม่มีทางจะรู้อย่างถ้วนถี่ กับสิ่งที่เห็นจากจินตทัศน์ว่า สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ในโลกอนาคตนั้น เขามีไว้เพื่อทำอะไร มีผลต่อเนื่องตามมาอย่างไร มีชื่อเรียกในปัจจุบันว่าอะไร?

 

อย่างไรก็ตาม..บางเรื่องนอสตราฯก็พรรณาได้ชัด บางเรื่องก็แค่ไกล้เคียง แต่บางเรื่องนอสตราฯก็“อึ้งกิมกี่”ไปเลย เพราะตีความ-พรรณา-เรียกสิ่งที่เห็นในจิตทัศน์ไม่ถูก งานนี้..นักตีความยุคหลังจึงต้องทำความกระจ่างให้แทน

 

นอสตราฯทำนายถึงทองคำและเงิน ที่ใช้ซื้อขายและแลกเปลี่ยนสินค้าในสังคมมนุษย์ ยุคศรตวรรษที่16 ไว้ล่วงหน้าว่า “สิ่งแปลกปลอมที่อุปโลกน์ขึ้นมาแทนทองคำและเงิน จะเกิดการเฟ้ออย่างหนัก หลังจากถูก“ฉกฉวย”แล้ว ก็เท่ากับโยนมันเข้ากองไฟ เมื่อได้ค้นพบจุดจบของมัน จนถูกละลายไปหมดกับหนี้สินเอกสารและคุณค่าทั้งหลายของมันจะหมดสิ้นไป”

 

ยุคศตวรรษที่16ของนอสตราฯนั้น ยังไม่มีการใช้เงินตราและธนบัตร เพราะเริ่มใช้กันในศตวรรษที่ 17 เรื่องนี้..คือหนึ่งในคำทำนายชิ้นโบแดงของนอสตราฯ

 

คำทำนายข้ามยุคสมัยราวตาเห็น เกี่ยวกับชะตากรรม“จรวดเชลเลนเจอร์”ของสหรัฐอเมริกาก็น่าทึ่งยิ่งนัก นอสตราฯ ระบุว่า

 

“ทั้งเก้าคนถูกแยกออกจากกลุ่มคน อยู่เหนือการวินิจฉัยและคำเตือน ชะตากรรมของพวกเขาจะถูกตัดสินตอนผละจากไป แคปปา(K).ธิตตา(TH).แลมด้า(L).ตาย ถูกเนรเทศแยกย้ายกระจัดกระจาย” “ผลไม้ที่ยังไม่สุก จะกลายเป็นจุดแห่งการครหาอื้อฉาวครั้งใหญ่ กล่าวโทษกันหนัก แต่อีกค่ายหนึ่งกลับได้รับคำชม”

 

28 มกราคม 2529 สหรัฐฯ ส่งจรวดเชลเลนเจอร์ พร้อมมนุษย์อวกาศชายหญิงกลุ่มหนึ่งพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า 17 วินาทีต่อมา..ยานอวกาศลำนั้น..ระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

 

นอสตราฯ แลเห็นมนุษย์อวกาศในยาน 9 คน แต่ความจริงมีมนุษย์อวกาศตายในคราวนี้ 7 คนกับลิงอีก 1 ตัว ที่น่าทึ่งคือคำทำนายที่ว่า ชะตากรรม(มนุษย์อวกาศ)จะถูกตัดสินตอน“ผละออกจาก(โลก)ไป”นั่นเอง

 

การสอบสวนภายหลังพบว่า โศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้น เพราะโครงการถูกตัดงบประมาณ จนเกิดข้อพบพร่อง..ถังบรรจุแก๊สรั่วหรือ”ผลไม้ที่ยังไม่สุก” เพราะการออกแบบและการใช้วัสดุ กับยานชาเลนเจอร์นั้นด้อยคุณภาพ ส่วนอักษรย่อปริศนาภาษากรีกของนอสตราฯ มีผู้ตีความมานับศตวรรษกว่าจะได้ความไกล้เคียงว่า

 

TH-KและLนำมาต่อกันได้แก่คำว่า THioKoLไปพ้องกับชื่อบริษัทผลิตชิ้นส่วนเครื่องส่งจรวด Morton Thiokol และชิ้นส่วนสำคัญที่เป็นปัญหา ถูกออกแบบโดยวิศวกรกลุ่มหนึ่ง ที่ขาดประสบการณ์..แต่ค่าจ้างถูก การตายหมู่ของนักบินอวกาศดังกล่าว ได้ทำให้ผู้บริหารระดับต่างของบริษัทนี้ถูกสั่งพักงาน

 

สหรัฐฯ เสียหน้าจากความล้มเหลว แต่สหภาพโซเวียตกลับได้รับคำชมจากทั่วโลก เมื่อโครงการส่งยานขึ้นวนในอวกาศ และกลับสู่โลกได้อย่างราบรื่น ตรงกับคำทำนายนอสตราฯ ที่ว่า “แต่อีกค่ายหนึ่งกลับได้รับคำชม”

 

คำทำนายหลายตอนของนอสตราฯ ได้พูดถึงสงครามและอาวุธที่ใช้ห้ำหั่นกันในอีกหลายศตวรรษต่อมาว่า “ดวงไฟมีชีวิตที่ซ่อนไว้ซึ่งความตาย ทำให้โลกตกอยู่ในห้วงแห่งความกลัว” และ“เครื่องจักรที่ทำให้ดวงไฟบินได้” รวมทั้ง “เมื่อเอกสารได้ใส่ลงไปในปลาเหล็ก บุคคลที่โผล่ออกมาจะเป็นผุ้ก่อสงคราม..”

 

“ดวงไฟมีชีวิต”กับ“ดวงไฟบินได้” จะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากจรวดขีปนาวุธทุกชนิด ที่ใช้สู้รบกันในศตวรรษที่20-21 “เครื่องจักร”ที่ทำให้“ดวงไฟบินได้”ก็ต้องเป็นฐานยิงจรวดนั่นเอง “ปลาเหล็ก”หมายถึง“เรือดำน้ำ” และมีผู้คนโผล่ออกมาจากเรือดำน้ำ ระหว่างการทำสงครามแน่นอน

 

นอกจากเห็นในจิตทัศน์แล้ว..โสตทัศน์ของนอสตราฯ ยังได้ยินอีกด้วย

 

“พวกเขาคิดว่าได้เห็นพระอาทิตย์ตอนกลางคืน เมื่อเห็นบุรุษหน้าครึ่งคนครึ่งหมู เสียงดังสนั่น กับเสียงกรีดแหลมกับการต่อสู้บนท้องฟ้า ได้ยินเสียงพูดของสัตว์ร้าย”

 

นอสตราฯเห็นการสู้รบของเครื่องบินบนอากาศ ได้ยินเสียง“กรีดแหลม” ของเครื่องยนต์ นักบินใส่หน้ากากจึงดูราว “ครึ่งคนครึ่งหมู” จริงๆ การทิ้งระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่า..ไฟสว่างวาบแล้ววาบอีก ทำให้ผู้คน “เห็นพระอาทิตย์ตอนกลางคืน” รวมทั้งได้ยิน “เสียงพูดของสัตว์ร้าย” นักบินพูดสื่อสารกันทางวิทยุด้วย

 

การสังหารผู้คนด้วยระเบิดปรมาณู 2 ลูกแรกของโลก นอสตราฯก็ระบุไว้ว่า

 

“ไกล้กับสองเมืองท่า ความพินาศวิบัติจะหล่นจากที่สูง 2 ครั้งเป็นความร้ายแรงที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ความอดอยาก โรคระบาดภายในจะเกิดขึ้น ผู้คนถูกเหวี่ยงกระจายจากสิ่งที่เป็นเหล็ก ระงมร้องร่ำไห้ขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ยิ่งใหญ่และอมตะ”

 

เหตุเกิดใน 2 เมืองท่าของญี่ปุ่น“นางาซากิ”และ“ฮิโรชิมา” ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดปรมาณู 2 ลูก ทำให้“ผู้คนถูกเหวี่ยงกระจายจากสิ่งที่เป็นเหล็ก” ซึ่งนำความตายสู่มนุษยชาติครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์ จนญี่ปุ่นต้อง“ยกธงขาว”ให้กับสหรัฐฯ และพันธมิตรฯโดยไม่มีเงื่อนไข

 

คนที่รอดตาย..ต้องจมอยู่กับความอดอยาก เสียงร้องไห้และเสียงสวดมนต์ดังระงม “โรคระบาดภายในจะเกิดขึ้น”นั้น..มาจากกัมมันตภาพรังสี!

 

นอสตราฯมองเห็นมนุษย์เจอภัยพิบัติจากธรรมชาติว่า “ความอดอยากหิวกระหายที่ฉันรู้สึกกำลังใกล้วันนี้ มันเกิดขึ้นเป็นแห่งๆ แล้วลามไปทั่วโลก ผู้คนแก่งแย่งรากไม้ เด็กๆโผเข้าหาเต้านมแม่”

 

“ดวงอาทิตย์เข้ารัศมี 20 องศาของราศีพฤษภ(10พฤษภาคม) จะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงครั้งใหญ่ โรงละครแออัดด้วยฝูงชนจะพังทลาย บรรยากาศ ท้องฟ้า และโลกจะถูกบดบังจนมืดครื้ม..”

 

หลังดาวหางฮัลเลย์โผล่มาให้เห็น นับตั้งแต่ ค.ศ.1986 ผู้คนจะต้องล้มตายจากแผ่นดินไหวอย่างมหาศาล อีกทั้งมนุษย์จะต้องตายเพราะความอดอยากนับล้านๆคน FAO ของสหประชาชาติแจ้งเมื่อปลายปี ค.ศ.2009 ว่า ทุกๆ 6 วินาที จะต้องมีเด็กเสียชีวิตจากการขาดคุณค่าทางอาหาร

 

ปี ค.ศ.2050 พลเมืองโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 9.1 ล้านคน โลกจะต้องผลิตอาหารเพิ่มขึ้นอีก 70% เพื่อมิให้พลโลกต้องอดอยากและล้มตายเพราะความหิวโหย

 

21 ธันวาคม 2012 เป็นวันสุดท้ายของปฏิทินเผ่ามายา ที่ใช้วิธีนับถอยหลัง ผมไม่สนใจวันสิ้นสุดแห่งกาลเวลา ที่หลายคนเรียกว่าวันสุดท้ายของโลก แต่ผมสนใจ 4 คำทำนายของนอสตราฯที่ว่า หลังปีค.ศ.1999 จะเกิดเหตุการณ์ดังนี้

 

1.สังคมมนุษย์จะเกิดสงครามทำลายล้างรุนแรง 2.จะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ แผ่นดินไหว ลมพายุ น้ำท่วม คลื่นทะเล แผ่นดินถล่ม 3.หลายส่วนของโลกจะขาดอาหาร 4.จะเกิดโรคระบาดร้ายแรง

 

นอสตราฯ ไม่เคยทำนายว่า..โลกจะถึงกาลแตกดับช่วงเปลี่ยนสหัสวรรษ แต่เขาทำนายว่า นับแต่ปี ค.ศ.3755-3795 มนุษย์จะใช้โลกเป็นที่อยู่อาศัยไม่ได้อีกแล้ว เพราะจะมีอุกาบาตปลิวว่อนมาชนผิวโลก นอสตราฯระบุว่า

 

“..แล้วโลกจะพาตัวเองใกล้เข้าสู่วัฏจักรแห่งการแตกดับขั้นสุดท้าย..”

 

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า..นับแต่ศตวรรษที่ 21 เป็นต้นไป บางประเทศที่ร่ำรวยและล้ำหน้าทางเทคโนโลยี เริ่มทดลองใช้ชีวิตอยู่ในอวกาศ และในอนาคตอันไม่ไกลนัก..พวกเขาก็คงจะนำเผ่าพันธุ์มนุษย์จำนวนหนึ่ง อพยพไปปักหลักใช้ชีวิตอย่างถาวรที่นอกโลกกันแล้ว

 

นอสตราดามุส..ที่เขียนเป็นแค่เศษเสี้ยว มีหนังสือหลายเล่มที่ควรอ่าน..มีรายละเอียดอีกมากมายที่ควรรู้ ท่านหาอ่านเอาเองนะครับ

 

ฉบับหน้า..ผมจะเริ่มเรื่อง“พระสงฆ์รูปหนึ่งจากดินแดนอีสาน” ที่ทำนายผู้คนและเหตุการณ์ในประเทศไทยแม่นยำราวตาเห็น โดยผู้เกี่ยวข้อง..บ้างยังมีชีวิตอยู่ บ้างล้มหายตายจากไปแล้ว แต่ก็ยังมีลูกหลานอยู่กันครบถ้วน

 

ผมสัมผัส-รับรู้-เห็น-จับต้องได้ด้วยตนเองว่า มีคำทำนายจาก“โหราจารย์”ที่เป็นจริงในโลกใบนี้แน่นอนครับ!

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

นอสตราฯเกิดในศตวรรษที่16 เงินตราและธนบัตรเริ่มใช้กันในศตวรรษที่ 17

คงต้องดูว่าคำทำนายข้างล่างจะแม่นมั้ย ถ้าแม่นจะเกิดจริงเมื่อไหร่

 

นอสตราฯทำนายถึงทองคำและเงิน ที่ใช้ซื้อขายและแลกเปลี่ยนสินค้าในสังคมมนุษย์ ยุคศรตวรรษที่16 ไว้ล่วงหน้าว่า “สิ่งแปลกปลอมที่อุปโลกน์ขึ้นมาแทนทองคำและเงิน จะเกิดการเฟ้ออย่างหนัก หลังจากถูก“ฉกฉวย”แล้ว ก็เท่ากับโยนมันเข้ากองไฟ เมื่อได้ค้นพบจุดจบของมัน จนถูกละลายไปหมดกับหนี้สินเอกสารและคุณค่าทั้งหลายของมันจะหมดสิ้นไป”

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

silver-bars.jpg

 

 

อย่างนี้ครับ .....

 

การปรับขึ้นมาร์จิ้นหรือวงเงินหลักประกัน ของตลาด Comex เกิดขึ้น 4 ครั้งติดๆ

ทำให้ วงเงินหลักประกันปรับตัวสูงขึ้นถึง 84% ภายในเวลาเพียง 10 วัน !!!

 

นี่คือการเปลี่ยนเกมส์เปลี่ยนกฎกันกลางอากาศอย่างหน้าตาเฉย

 

ที่ต้องทำกันขนาดนี้เพราะเวลานี้ไม่ใช่เวลามาอาย

แต่เป็นเวลาต้องซัดกันเพื่อความอยู่รอด

 

อย่างที่เคยบอกทุก 1 $ ที่ปรับขึ้นขาใหญ่ขาดทุน 1 พันล้านเหรียญ

การถีบตัวอย่างแรงของราคาSilver โหดร้ายเกินไปสำหรับพวกเค้า

 

 

ได้ผลครับ ราคา Silver ตูมเดียวลดลง 20% กวาดผู้เล่น Silver Paper ออกจากตลาดกระจัดกระเจิง

การกระทำที่น่ารังเกียจแบบนี้ บอกได้คำเดียวเลยว่า

 

“ขอบคุณครับ”

 

ใช่ครับ ต้องขอบคุณเค้า การจัดการกับ Silver paper ไม่มีผลต่อ Physical Silver ที่พวกเราถือครอง

เงินเม็ดของผม ยังนอนเรียงตัวสวยเงาวับ สว่างวาบ แต่ที่ต้องขอบคุณเค้า

เพราะทำให้เราได้ซื้อของถูกเพิ่ม

 

:excl: ผมเคยเห็นตอน Silver ขึ้นไป 20$ แล้วก็โดนหวดลงไป 10$ มาแล้วในปี 2008

 

ตอนนั้น 10$ "น่าซื้อ" มากกว่า "น่าตกใจ" ครับ

 

(ต่อให้ใครติดดอยที่ 20$ มาถึงวันนี้ก็ถูกแสนถูก)

 

 

บอกได้เลยซิลเว่อร์ตอนนี้กำลัง On Sale ครับ

 

ห้างใหญ่เค้าจัดรายการให้ Silver Summer Sales ลดทุกชั้นทุกแผนก

เวลาคุณซื้ออะไรไปแล้ว ตอนหลังมันมาเซลล์ ก็ยอมรับว่ามันย่อมมีตะขิดตะขวงใจบ้างเป็นเรื่องธรรมดา

 

แต่ไม่ได้หมายความว่าของสิ่งนั้นไม่ดี

 

การเซลล์ เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ยังไม่มีของได้เข้ามาจับจองซื้อหากัน

แต่เตือนไว้หน่อยนะครับ การซื้อของในห้างมักจะต่อราคาไม่ได้ ลดแล้วก็คือลด

ใครที่ขอให้ลงต่ออีกหน่อยแล้วค่อยเข้า บางครั้งก็พลาดตกรถยาว

หัวใจสำคัญยังคงเป็น "การซื้อตอนลงและทยอยสะสม" (Buy the dip and Accumulate)

 

ที่ผ่านมาหลายท่านพลาดตอนเซลล์ เพราะ “รู้ว่าลงแล้ว แต่ขอลงอีกหน่อย”

 

ไม่ได้หมายความว่าจากนี้ เงินหรือทองคำจะไม่ลงแล้ว แต่ มองจากสถานะการณ์

และปัจจัยพื้นฐานอันแข็งแกร่ง - ลงก็คงลงไม่นาน

 

“อาจจะลงได้อีกฟุต แต่ ขึ้นได้อีกเมตร”

 

Upside สูงกว่า Downside มากเหลือเกินครับ ... :rolleyes:

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ว่างก็อยากคุยหน่อย

 

จากบทความคุณเน๊ก ผมสงสัยอย่างคือเรื่องที่ซิลเวอร์ปัจจุบันใกล้จะสูญพันธ์ เพราะปริมาณที่ผลิตนั้นเริ่มมีน้อยกว่าทองคำ ซึ่งเมื่อก่อนนั้นมีเยอะกว่าทองคำทำให้ราคาต่างกัน สิบหกต่อหนึ่ง แต่ในอนาคตไม่ใข่แน่

 

แต่ปัญหาที่ผมสงสัยคือ ที่ซิลเวอร์หายไปจากโลกหมายถึง มันหายไปแบบหมดไปเลย หรือในรูปแบบไหนเพราะเท่าที่ผมรู้มาคือสสารจะไม่หายไปจากโลกแต่จะเปลียนไปในรูปแบบอื่น

 

แล้วเงินละครับ มันหายไปหรือเปลี่ยนไป หากเปลี่ยนไปในรูปแบบอื่นก็แปลว่า จำนวนซิลเวอร์ไม่ได้สูญพันธ์แต่ว่ามันจะถูกแปลรูปออกไป และเมื่อถึงเวลาหนึ่งก็จะถูกดึงกลับมาในตลาดโดยการรีไซเคิลอยู่ดี เหมือนกับทองคำที่ถูกใช้ในซีพียูก็มีคนหลอมกลับมาใหม่ มันก็ไม่ได้หายไปไหน

 

นั้นก็แปลว่าเงินไม่มีทางราคาเท่าทองคำหรือแพงกว่าตามที่เข้าใจกัน ราคาก็จะเป็นสิบหกต่อหนึ่งตลอดไป

 

อีกอย่างผมไปเดินตามตลาดทั่วไปก็เห็นพวกเครื่องประดับเงิน ขันเงินอยู่ในท้องตลาดเป็นจำนวนมาก เลยทำให้คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาว่าเงินมันจะสูญพันธ์จริงๆหรือ เมื่อราคาขึ้นไปสูงระดับหนึ่ง พวกสร้อยเงิน ขันเงิน ฯลฯ ก็จะถูกซื้อไปใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้แร่เงินอยู่ดี หากราคาพวกสร้อยเงิน ฯลฯ แพงขึ้นระดับหนึ่ง ทางอุตสาหกรรมเขาก็จะใช้วิธีรีไซเคิลแร่เงินเหมือนเดิม(เหมือนกับที่ใช้กับซีพียูในตอนนี้)

 

ใครมีความเห็นไงลองมาแชร์กันดูได้นะครับ ผมก็อยากรู้

 

แต่ที่ผมอยากรู้จริงๆคือ แร่เงินมันจะมีราคาแพงเท่าทองคำในตอนนี้ได้หรือไม่ เช่นบาทละสองหมื่นห้าพันบาทเหมือนทองคำ ส่วนระยะเวลานานเท่าไหนคงไม่มีใครตอบได้แน่นอน เพราะว่าหากรู้คงจะเก็งกันจนรวยทุกคน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตัวแร่เงิน ผมก็เห็นด้วยกับคุณอยู่นะครับว่า มันคงไม่ศูนย์พันธุ์หรอกครับ แต่ก็คงหายากขึ้น ส่วนว่าหายไปไหนที่ผมเคยลองค้นดูว่าไอ้ทรัพยากรที่เราใช้กันนั้นหายไปไหน คำตอบก็คือกองขยะ และกระจายตัวไปเป็นชิ้นเล็กๆ เกินกว่าจะรวบรวมมาใช้ให้เป็นชิ้นได้ครับ จิรงอยู่ว่าตามชิปก็มีคนแยกเอาโลหะมีค่ากลับมาใช้ใหม่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า 100% ครับ บางส่วนก็ยังคงติดอยู่ที่แผงวงจร หรือตามกองขยะ หรืออย่าง Silver Nano ก็คงไม่มีใครไปนั่งรวบรวมแน่นอนครับ ถามว่าหายไปไหนผมมองว่าไม่หายไปหรอกครับ เพียงแค่มันถูกกระจายไปตามที่ต่างๆ ในลักษณะที่ไม่สามารถรวบรวมกลับมาใช้ใหม่ได้มากกว่าครับ เลยทำให้ปริมาณที่มีมันลดลง แม้แต่การขุดแร่เองก็ยังต้องขุดที่สายแร่เลยทั้งๆ ที่ความจริง แร่เงินมีกระจายดยู่ในดินทุึกที่ ^^

 

สิ่งที่ผมมองว่าเงินน่าสนใจก็เป็นตรงที่ เป็นไปได้่อย่างไรที่ วัตถุดิบต้นน้ำจะมมีราคาถูกกว่าเมื่อ 30 ปีก่อนทั้งๆ ที่มีการใช้งานในอุตสาหกรรมอย่างแพร่หลาย รวมถึงเป็นเครื่องประดับด้วย นี่ตางหากที่เป็นประเด็นที่น่าสนใจจริงๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทั้งทอง ทั้งเงิน เวลาจะทำเป็นแท่ง หรือ รูปพรรณ หรือ ทำอย่างอื่น ล้วนมีค่าสึกหรอทั้งนั้น

 

สมมุติทำสร้อยคอเงิน 1 บาท หนัก 15.2 กรัม เวลาทำก็ใช้เงินเม็ดหนัก 80 กรัมทำ

 

ทำเสร็จเวลาหลอมรวมกลับ จะได้เงิน ไม่เท่าเดิม คืออาจจะหนักแค่ 78 กรัม

 

หรือ เวลาใส่ในคอไปนานๆ ก็หนักไม่เท่าเดิมแน่นอน

 

สสารก็ไม่ได้หายไปไหน แต่คงไม่มีใคร เก็บเศษเล็กๆ ระดับไมโคร หรือนาโน ที่อยู่บนถนนหรือบ้านที่คนอยู่ ไปหลอมเป็นเงินขึ้นมาใหม่

 

เพื่อนำเงินมา reuse ใช้ใหม่แน่ๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วิกฤติอเมริกัน ตอนที่ 6

 

24 ส.ค. 2554

บทความโดย คุณวรวรรณ ธาราภูมิ

 

 

313812_1706450800990_1829659518_1087689_4284806_n.jpg

 

ในตอนที่ 5 เราจบว่า “ผลกระทบของการเสกเงินดูได้จากราคาของที่แพงขึ้น ซึ่งสะท้อนการเสื่อมค่าของดอลลาร์ โดยในปีก่อนนี้ น้ำมัน แพงขึ้น 30% แกส แพงขึ้น 45% กาแฟ แพงขึ้น 85% และฝ้ายแพงขึ้น 90% ในขณะที่ทองคำ แพงขึ้น 30% และแร่เงิน แพงขึ้น 100%”

 

คำถามก็คือ แล้วรัฐบาลสหรัฐคิดจะแก้ปัญหาไหม และจะแก้อย่างไรสิ่งที่เคยเกิดขึ้นก็พอเป็นแนวทางให้เราเดาว่าสหรัฐก็จะพิมพ์แบงค์ออกมาอีก และถี่ขึ้น จำนวนมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นกันเลยทีเดียว

 

และมันน่าเศร้าตรงที่สหรัฐไม่มีทางออกอื่นอีกเลย ซึ่งผลสรุปสุดท้ายจะเป็นการทำลายล้างตัวเอง เหมือนที่ยุโรปตะวันออกเคยเจอในรอบ 100 ปีก่อนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งภาษีไม่เพียงพอกับต้นทุนและค่าใช้จ่ายของการทำสงคราม แต่การจะยอมพ่ายแพ้นั้นก็ยิ่งทำไม่ได้

 

นั่นทำให้รัฐบาลบางประเทศได้แก่ ออสเตรีย กับ เยอรมันนี จำใจเดินเข้าสู่อันตรายอันใหญ่หลวง ด้วยการพิมพ์ธนบัตรออกมาจ่าย โดยไม่มีอะไรมารองรับ

 

แม่หม้ายชาวออสเตรียชื่อ Anna Eisenmenger เล่าว่า ในช่วงนั้นเธอเป็นหม้ายและต้องกระเสือกกระสนเลี้ยงลูก 3 คนกับหลานเล็กๆ อีก 1 คน และเมื่อออสเตรียพิมพ์ธนบัตรออกมาท่วมตลาด ราคาอาหาร และเชื้อเพลิง ก็เริ่มแพงขึ้นไปเรื่อยๆ เธอกลัวมาก กลัวว่าลูกหลานจะอดตาย จึงได้ฝ่าฝืนกฏหมายอย่างร้ายแรง ด้วยการแอบสะสมถ่านหินและเนื้อสัตว์ เรื่องของแม่หม้ายคนนี้น่าทึ่งมาก เธอเขียนเล่าในสมุดบันทึกประจำวันที่ Adam Fergusan เอามาเล่าในหนังสือของเขา ชื่อ “When Money Dies” อันโด่งดัง

 

Anna Eisenmenger บันทึกไว้ว่า วันนรกแตกมาถึง เมื่อรัฐบาลเริ่มพิมพ์แบงค์ออกมาท่วมตลาดเป็นครั้งแรก เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเงินเธอเสื่อมค่าลงอย่างรวดเร็ว จึงไปที่ธนาคาร แล้วถามว่าทำไมเงินจะไม่มีค่าเท่าเดิมอีกในอนาคต เขาหัวเราะแล้วบอกว่าไม่มีทางหรอก ไม่เชื่อลองเอาธนบัตรไปแลกแร่เงินสิ คุณจะรู้ว่ามันได้แร่เงินน้อยลงไปทุกวันๆ เธอก็เถียงว่าเป็นไปไม่ได้ในเมื่อธนบัตรของเธอมีรัฐบาลเป็นประกัน มันต้องเป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว

เขาตอบว่า "คุณนายที่รัก แล้วไอ้รัฐบาลที่คุณนายว่าเป็นคนประกันค่าของธนบัตรเหล่านี้น่ะ มันตายไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ?"

 

299968_1706466281377_1829659518_1087711_6539264_n.jpg

 

แล้วจำนวนเงินที่รัฐบาลออสเตรียพิมพ์ออกมาในปีเดียวก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปี 1920 และเพิ่มขึ้นอีก 5 เท่าของปี 1920 ในปีถัดมา

 

ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเสมอมา เมื่อใครก็ตามพิมพ์แบงค์กงเต็ก แม้จะด้วยเจตนาที่ดี แต่เขาก็จะเพิ่มปริมาณการปั๊มเงินไร้ค่าเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คล้ายกับที่เกิด กับจักรวรรดิ์โรมันในอดีต ผลก็คือเงินออสเตรียนโครน (Krone) ซื้อของได้น้อยลง น้อยลง แล้วรัฐบาลก็เอาแต่พิมพ์เพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้น

 

Anna Eisenmenger บอกว่า เธอตื่นตระหนกมากเมื่อพบว่าเงินออมที่เก็บไว้แทบไร้ค่าแล้ว ราคาอาหาร เสื้อผ้าพุ่งขึ้นจนซื้อหาไม่ได้ เธอบันทึกว่าเสื้อผ้าแพงขึ้นเป็น 6 เท่าเมื่อเทียบกับ 7 ปีที่แล้ว จนต้องนุ่งชุดกระดาษกัน และอาหารก็แพงขึ้นถึง 100-200 เท่า ความอิจฉาริษยาต่อคนที่มีกิน มีใช้

ลอยเต็มไปหมดในบรรยากาศทั่วออสเตรีย คนหมดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลอย่างถึงที่สุด และสำหรับแม่บ้านที่ไม่เคยมีประสบการณ์และความรู้เรื่องเงินๆ ทองๆ มันก็คือนรกดีๆ นี่เอง

 

คนจำนวนมหาศาลที่ตกงานและไม่มีกิน กำลังโกรธแค้นรัฐถึงที่สุด ฝูงชนเหล่านี้ได้รวมตัวก่อม็อบและเข้าไปจุดไฟเผารัฐสภา กระชากตัวตำรวจลงจากหลังม้าแล้วทำร้ายจนจมกองเลือด จนเนื้อตัวขาดกะรุ่งกะริ่งเพราะโดนฝูงชนลากไปตามถนน คนที่บ้าคลั่งพวกนี้ทำไปเพียงเพราะต้องการขนมปังกับงาน

มันน่ากลัวไหม

 

อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นเรื่องของ Judith de Marffy-Mantuano ใน When Money Dies เธอเล่าว่าไม่มีใครมีปัญญาไปหาหมอ เพราะไม่มีเงิน หรือมีเงินแต่เงินนั้นไม่มีค่าอีกแล้ว หากจำเป็นต้องไปโรงพยาบาล อย่างดีก็คือไปพึ่งคอนแวนต์ ไม่อย่างนั้นก็ต้องป่วยอยู่ที่บ้าน รอให้อาการดีขึ้น หรือรอให้มันเลวลง

 

Robert Clive คนเยอรมันบอกว่า มีไม่กี่ครอบครัวที่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้เกินสัปดาห์ละครั้ง ไข่ไก่ ไข่เป็ด ก็หายาก นมนั้นไม่ต้องไปพูดถึงเลย ไม่มีให้ดื่ม ส่วนขนมปังอันเป็นอาหารหลักก็แพงกว่าเมื่อวานนี้ 16 เท่า และทุกคนก็ต้องทุกข์ทรมานกับความหนาวเย็น เมื่อไม่มีใครร่ำรวยพอที่จะใช้เครื่องทำความร้อนได้ และถึงแม้ว่าจะไม่มีใครอยากมีปัญหากับเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ฝูงชนที่อดหยากหิวโหยโกรธแค้นนั้น มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

นี่คือประวัติศาสตร์แห่งความทุกข์ยากที่เกิดขึ้น เพราะการพิมพ์เงินออกมาเพราะรัฐบาลไม่สามารถกู้ใครได้แล้ว และจุดบรรจบของกงล้อประวัติศาสตร์แบบนี้มันมักจะโหดร้ายทุกครั้ง

 

การที่รัฐบาลต้องตัดงบประมาณ ต้องผิดสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนมันน่ารังเกียจ และคนมักจะตอบโต้ด้วยการไม่เลือกเขากลับเข้าไปนั่งในสภาอีก แต่การตอบโต้ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือการตอบโต้ด้วยความโกรธแค้นของผู้คน

 

298550_1706476721638_1829659518_1087718_1095635_n.jpg

 

ในวันนี้ ปีนี้ เราก็ได้เห็นม็อบของผู้ประท้วงทำร้ายตำรวจ ทำร้ายกันเอง พังร้านค้าเพื่อฉกฉวยข้าวของและอาหารใน กรีซ สเปน และอังกฤษ รวมถึงในตะวันออกกลาง จนล่าสุดที่ ลิเบีย กับ ซีเรีย (และที่ตะลึงกันไปทั้งโลกคือประเทศไทยที่มีการเผาเมืองกัน แม้จะไม่ได้เกิดจากการพิมพ์แบงค์ออกมา แต่นั่นเพราะความโกรธเกลียด ในความเป็นคนที่มีความไม่เท่าเทียมกัน)

 

อเมริกาจะหนีพ้นสถานการณ์แบบนี้ได้ไหม ไม่มีทางเลย ในเมื่อการพิมพ์แบงค์ออกมานั้น มันจะทำให้นักการเมืองยังคงอยู่ในสภาได้อีกวาระ มันเกิดขึ้นแล้วที่จักรวรรดิ์โรมัน ออสเตรีย เยอรมันนี และเกือบทั่วยุโรปในไม่นานมานี้ วันนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของวงรอบใหม่ตามกงล้อประวัติศาสตร์ของคนอเมริกัน เมื่อทุกอย่างแพงขึ้นๆ ในขณะที่คนตกงานจำนวนมาก ไร้ที่อยู่ ผู้รักษากฏหมายลดจำนวนลง เพราะไม่มีเงินจ้าง ความหิวโหย ความเคียดแค้นชิงชังจะสะสมเพิ่มขึ้น

 

Nassim Nicholas Taleb ผู้เขียนหนังสือการเงินที่ขายดีที่สุดในอเมริกาเล่าว่า สภาพของสหรัฐวันนี้คล้ายกับสมัยเขาเป็นเด็กและอยู่ในเลบานอนซึ่งกำลังเริ่มต้นสงครามกลางเมือง และเมื่อใดที่รัฐบาลเริ่มพิมพ์เงินออกมาก็จะบอกว่าทำแค่ชั่วคราว แต่เรื่องแบบนี้ไม่เคยชั่วคราวเลย

 

แม้ในวันนี้คนอเมริกันส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่ใส่ใจอันตรายในเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่มีหลักฐานให้เห็นอยู่ทนโท่ แถมยังเพิ่มขึ้นทุกวัน นั่นก็เพราะเขากำลังเดินเข้าสู่ขั้นตอนทางจิต ในการรับสถานการณ์วิกฤติหรือความสูญเสีย นั่นคือเริ่มจากการ “ปฏิเสธความจริง”

 

คือไม่เชื่อว่าเหตุการณ์จะร้ายแรงไปถึงขั้นอันตรายได้ และยังเชื่อว่ารัฐบาลกับผู้แทนที่เราเลือกเข้าสภา เขาจะจัดการทุกอย่างให้เราปลอดภัยได้หากมีเหตุร้ายใดใด

 

หลังจากขั้นตอนแรกคือปฏิเสธ ไม่ยอมรับ ผ่านไปแล้ว จะถึงขั้นตอนหลัง นั่นก็คือ “ความโกรธเกลียดเคียดแค้นชิงชัง“ เมื่อรู้ว่าความสูญเสียนั้นเกิดขึ้นกับตนเองจริงๆ

 

ขณะนี้คนอเมริกันรวมทั้งนักการเมืองยังอยู่ในช่วงปฏิเสธความจริงอยู่ ไม่อยากนึกภาพเลยว่าเมื่อความเข้าใจเกิดขึ้นแล้ว คนอเมริกันจะโกรธแค้นนักการเมืองขนาดไหน

 

ที่จริงแล้วก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าหากโดนตัดบัตรเครดิตแล้ว คนอเมริกันจะมีชีวิตอยู่อย่างไร

 

นึกไม่ออกจริงๆ

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...