ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
moddang

สาระน่ารู้....สุขภาพ.....

โพสต์แนะนำ

เมื่อไหร่จะหายปวดหลัง

 

:wub: :wub: :lol: :lol:

 

มัก เป็นคำถามยอดฮิตติดปากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะผู้รักษาก็ไม่อาจบอกได้ว่าเมื่อไหร่ คุณจะหายจากอาการปวดหลัง หากได้เคยอ่านบทความอื่น ๆ ที่ดิฉันเขียนเกี่ยวกับอาการปวดหลังผู้อ่านหลายท่านคงเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ และภาวะที่เกิดอาการปวดหลังมาบ้างแล้วพอสมควร แต่หลายท่านอาจจะยังมีคำถามนี้ในใจ หรือเอ่ยปากถามหมอไปหลายครั้งแล้ว หาก เราได้พิจารณาถึงสาเหตุของอาการปวดหลังนั้นเป็นอย่างดีแล้ว และพบว่ามันเกิดจากการทำงานผิดท่าทาง หรือเกิดจากการไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง โดยปล่อยให้มีอาการปวดหลังเรื้อรังเป็นเวลานาน การที่จะหายจากอาการปวดหลังอย่างสิ้นเชิงนั้นมักเป็นไปได้ยาก อาจต้องใช้ระยะเวลานานมาก ๆในการรักษา ให้หายขาด คุณเท่านั้นที่จะรู้ !

 

อาการ ปวดหลังเรื้อรังนั้นไม่ได้เกิดขึ้นที่หลังเพียงอย่างเดียว หากแต่สมองของเรา ที่ทำหน้าที่รับทราบและแสดงปฎิกิริยาตอบสนองต่ออาการปวดหลังนั้น ได้จดจำอาการเจ็บปวด และรูปแบบอาการปวดไว้อย่างถี่ถ้วน ยิ่ง ปล่อยให้เป็นนาน อาการปวดยิ่งเพิ่มขึ้น และเหมือนไม่ตอบสนองต่อการรักษา อาการปวดบางครั้งก็เกิดขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ อยู่เฉย ๆ ก็ปวด เคยทานยาแก้ปวดหาย เดี๋ยวนี้ทานหลายเม็ดก็ไม่ทุเลา เป็น สิ่งที่บอกเราว่ามันเกิดจากการที่สมองจดจำอาการปวดไว้และแสดงออกเมื่อถึง เวลา มีปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความร้อน ความเย็น ความเครียด และปัจจัยที่มันจำได้เกิดขึ้นพร้อมกันอย่างพอดิบพอดี อาการปวดก็จะเกิดขึ้นทันที เช่น ยังปวดหลังตอนเช้าทุกวัน ไม่หาย แม้เปลี่ยนเตียงให้แข็งขึ้น ปรับท่านอน ก็ทำแล้ว

 

สมองของเรามี หน้าที่ควบคุมการทำงานในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทั้งแบบที่เราบังคับมันได้ และแบบที่ทำหน้าที่ได้เองตามอัตโนมัติ โดยเราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ความรู้สึกหิว ง่วง เจ็บปวด หนาว ร้อน ปวดปัสสาวะ อุจจาระ เมื่อสมองจำ ได้ ก็ลืมได้เช่นกัน หากความจำนั้นไม่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นความจำระยะยาวอย่างถาวร เช่น การจดจำลักษณะท่าทางการเดิน ยืน นั่ง วิ่ง ของตัวเอง นับเป็นความทรงจำระยะยาว เพราะเราฝึกหัดเดิน ยืน วิ่ง มาเป็นเวลานานนับสิบ ๆ ปี แต่เมื่อเราเจ็บป่วยไม่ ได้เดินนาน ๆ สมองส่วนที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อต่าง ๆ ให้ทำงานสอดคล้องกันอย่างละเอียดในการเดิน ก็อาจลืมหน้าที่ของมันไปได้เหมือนกัน แต่เราก็ยังไม่ลืมท่าทางการยืน เดิน และวิ่ง เพียงแต่บังคับร่างกายได้ลำบากขึ้น เพราะการยืน เดิน ของเรานั้นต้องใช้สมองส่วนที่ควบคุมได้ และส่วนที่ทำงานอัตโนมัติควบคู่กันไป ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้

 

หาก ได้รับการรักษาอาการปวดหลังอย่างถูกวิธีแต่เนิ่น ๆ และมีความเข้าใจในเรื่องสาเหตุของอาการเป็นอย่างดี สมองของเราก็จะจำได้ดีว่ามันต้องทำหน้าที่ในการควบคุมกล้ามเนื้อหลัง คอและขา อย่างไรให้สัมพันธ์กัน และไม่เกิดอาการเจ็บป่วยเมื่อต้องทำงานหนัก กล้าม เนื้อส่วนที่ไม่ได้ใช้เมื่อเกิดอาการปวดหลังต้องได้รับการกระตุ้นให้ทำงาน สมองต้องเรียนรู้ที่จะจดจำการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อที่สำคัญ อีกครั้ง และฝึกให้เป็นความทรงจำระยะยาว เพื่อที่จะให้กล้ามเนื้อเหล่านั้นทำงานได้อย่างอัตโนมัติ ช่วยป้องกัน ชะลอ และบรรเทาอาการปวดหลังได้ในระยะสั้น ระยะยาว หรือ แม้กระทั่งหายขาดจากอาการปวดหลังได้อย่างถาวร การ ฝึกท่าทางต่าง ๆ ให้ถูกต้อง และออกกำลังกายในท่าทางที่เหมาะสมกับภาวะอาการปวดหลัง จึงต้องทำอย่างจริงจัง และสม่ำเสมอ ไม่ใช่เรื่องตลก หรือ เป็นสิ่งที่ผลัดผ่อนไปก่อนได้

 

เมื่อ กล้ามเนื้อที่สำคัญต่าง ๆ ทำหน้าที่ของมันได้อัตโนมัติ อาการปวดเริ่มทุเลา สมองจะค่อย ๆ ลืมความจำเกี่ยวกับอาการปวดไปได้ทีละน้อย จนลืมอาการปวดที่เคยจำไว้ได้ในที่สุด นักกีฬาซึ่งฝึกอย่างหนักและสม่ำเสมอ ร่างกายก็เกิดความเคยชินและสมองก็จะจดจำท่วงท่าต่าง ๆ ในการเล่นกีฬาได้เป็นอย่างดี เมื่อเราฝึกอย่างสม่ำเสมอแล้วสมองจะควบคุมกล้ามเนื้อได้ดีจนเราไม่รู้สึกว่า ยากที่จะทำท่าต่าง ๆ และไม่ค่อยเจ็บป่วยง่าย ๆ เมื่อเทียบกับผู้ไม่ได้เล่นกีฬาหรือออกกำลังเลย

 

การ ฝึกสมองจึงเป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่ง ซึ่งผู้รักษาทั่วไปอาจจะไม่ได้บอกผู้ปวดหลังเรื้อรังทุกรายว่า ทำไมเมื่อปล่อยให้ปวดหลังนาน ๆ จึงหายยากกว่าผู้ปวดหลังแล้วได้รับการรักษาที่ถูกต้องแต่เนิ่น ๆ การ ปฎิบัติตัวต่าง ๆ เพื่อให้หายจากอาการปวดหลัง การออกกำลังกาย การนอน ยืน นั่ง เดิน ยกของ ไอ หรือ จาม ขึ้นลงบันได การวิ่ง การเล่นกีฬา และการออกกำลัง กล้ามเนื้อหลัง กล้ามเนื้อหน้าท้อง ที่ทำหน้าที่เสริมความมั่นคงให้หลังทำงานได้ดีขึ้น ล้วนเป็นสิ่งซึ่งต้องปรับเปลี่ยนให้ถูกต้องและทำให้สม่ำเสมอเพื่อป้องกันไม่ ให้เกิดอาการปวดหลังซ้ำซ้อน เมื่อ ทำทุกอย่างได้ถูกต้องเป็นกิจวัตร จนสมองคุ้นเคยกับสิ่งที่ต้องปฎิบัติอย่างถูกต้อง มันก็จะลืมอาการปวดที่เคยมี และคุณก็สามารถจะลาขาดจากอาการปวดหลังได้ในที่สุด แต่ ต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่คุณปฏิบัตินั้นถูกต้องแล้ว และขณะทำงานต่าง ๆ คุณหลีกเลี่ยงท่าทางที่ไม่เหมาะสม และไม่มีปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดหลังเกิดขึ้นอีก

 

หากสามารถ นำหลักธรรมมาประยุกต์ใช้ได้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เมื่อคุณระงับหรือ กำจัดสาเหตุได้ ไม่มีปัจจัยส่งเสริม อาการปวดซึ่งเป็นผลก็จะหายไปในที่สุด แต่ ถ้าอาการปวดนั้นเกิดจากโรคประจำตัว หรือกรรมพันธุ์บางอย่างซึ่งไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดได้ คุณก็ต้องวางใจไว้ในระดับหนึ่งว่า ทำอย่างไรให้อยู่กับอาการปวดได้อย่างมีความสุขที่สุด ทำ ใจยอมรับให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่คุณเข้าใจธรรมชาติของมัน และควบคุมมันได้ เพื่อที่จะใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าลืมว่าร่างกายนั้น ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติแท้จริงของเรา มันเปลี่ยนไปตามกาล มันแตกดับ ย่อยสลายได้เมื่อถึงเวลาอันสมควร เราครอบครองร่างกายนี้ไว้เพียงชั่วขณะ เพื่อดำรงชีวิต เพื่อเรียนรู้โลก เพื่อพัฒนาจิตของเราให้เจริญ และก้าวพ้นความทุกข์ ได้ในที่สุดตามแต่จิตเราต้องการ ร่างกายจึงเป็นของมีค่า ลมหายใจซื้อหาไม่ได้ เราจึงควรถนอมและใช้งานมันให้ยาวนานที่สุดเท่าที่สังขารนั้นจะอำนวย

 

หาก คุณเป็นคนหนึ่งที่มีอาการปวดหลัง และปวดเรื้อรังเป็นเวลานาน ต้องการที่จะหายจากอาการปวดหลัง ก่อนอื่นคุณต้องเชื่อก่อนว่าคุณจะหายได้ คุณ ต้องมีกำลังใจ มีความคิดเชิงบวกในการปฏิบัติตัวให้มีสุขภาพแข็งแรงโดยการออกกำลังกายที่ เหมาะสมกับผู้มีอาการปวดหลัง อย่างสม่ำเสมอ การพบแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถที่จะให้การรักษาอาการปวดหลังของคุณ ได้ถูกวิธีและเหมาะสมจริง ก็จะช่วยให้คุณเข้าใจสาเหตุอาการ และทำให้คุณปฎิบัติตัวได้ถูกต้อง และทำให้คุณหายจากอาการปวดหลังเรื้อรังได้ใน ที่สุด

 

บท ความนี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์การทำงานกับผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังเรื้อรัง ประกอบกับการศึกษาบทความจากหลาย ๆ แหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง หากมีข้อคิดเห็น ข้อสงสัย ข้อโต้แย้งเพิ่มเติม หรือ ต้องการซักถาม เชิญเข้าไปฝากข้อความไว้ที่เว็บบอร์ดเลยค่ะ** http://www.jobpub.com/editor/nwannakowit

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ

 

นิ้วล็อก

:D :wub: :lol:

 

 

 

นิ้วล็อก หมายถึง อาการที่งอข้อนิ้วมือ แล้วเหยียดขึ้นเองไม่ได้เหมือนถูกล็อก เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทั่วไปที่ต้องใช้มือจับสิ่งของ หรืออุปกรณ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่องบ่อยๆ โรคนี้ไม่มีอันตรายใดๆ เพียงแต่ให้ความรู้สึกเจ็บปวด และใช้มือได้ไม่ถนัด เป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาให้หายได้

 

ชื่อ ภาษาไทย นิ้วล็อก, ปลอกหุ้มเอ็นนิ้วมืออักเสบ

ชื่อภาษาอังกฤษ Trigger finger, Digital flexer tenosynvitis, Stenosing tenosynvits

 

สาเหตุ

เกิด จากการอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเอ็นที่ใช้ในการงอข้อนิ้วมือ ซึ่งอยู่ตรงบริเวณโคนนิ้วมือ ทำให้เส้นเอ็นหนาตัวขึ้น และติดขัดในการเคลื่อนไหวขณะเหยียดนิ้วมือ เมื่ออักเสบรุนแรงมากขึ้นจะเกิดปุ่มตรงเส้นเอ็น เวลางอนิ้วมือปุ่มจะอยู่นอกปลอกหุ้ม แต่ไม่สามารถเคลื่อนเข้าปลอกหุ้ม เวลาเหยียดนิ้วมือกลับไป ทำให้เกิดอาการนิ้วล็อกอยู่ในท่างอ ต้องออกแรงช่วยใน การเหยียด จึงจะสามารถฝืนให้ปุ่มเคลื่อนที่ผ่านปลอกหุ้มเข้าไปได้

 

การอักเสบของ เส้นเอ็นและปลอกหุ้มเอ็นนิ้วมือมักเกิดจากแรงกดหรือเสียดสีของเส้นเอ็นซ้ำ ซาก หรือใช้งานฝ่ามือมากเกินไป เช่น การใช้มือหยิบจับอุปกรณ์ในการทำงานบ้าน ทำสวน ขุดดิน เล่นกีฬา เล่นดนตรี เป็นต้น โรคนี้จึงพบบ่อยในกลุ่มแม่บ้าน เลขานุการที่พิมพ์ดีดบ่อยๆ ผู้ที่ชอบเล่นกีฬา (เช่น กอล์ฟ เทนนิส) หรือเล่นดนตรี (เช่น ไวโอลิน) นอกจากนี้ยังพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อรูมาตอยด์ เบาหวาน ภาวะขาดไทรอยด์

 

อาการ

ระยะ แรกมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ กำมือไม่ถนัดโดยเฉพาะตอนเช้าหลังตื่นนอน พอใช้มือไปสักพักหนึ่งก็จะกำมือได้ดีขึ้น บางคนจะสังเกตว่าเวลางอแล้วเหยียดนิ้วมือจะได้ยินเสียงดังกิ๊ก ต่อมาจะมีอาการนิ้วล็อกคือ เวลางอนิ้วมือแล้วเหยียดขึ้นเองไม่ได้ มักเกิดกับมือข้างถนัดที่ใช้งาน นิ้วที่เป็นบ่อยได้แก่ นิ้วหัวแม่มือ นิ้วกลาง และนิ้วนาง อาจเป็นเพียงนิ้วเดียว หรือเป็นพร้อมกันหลายนิ้วก็ได้ และอาจเป็นที่มือข้างเดียวหรือทั้ง ๒ ข้างก็ได้ อาการมักจะเป็นมากตอนเช้า

 

การ แยกโรค

อาการ นิ้วงอ เหยียดขึ้นไม่ได้ อาจจะเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น เส้นเอ็นนิ้วมือฉีกขาดจากการบาดเจ็บ (ซึ่งมักเกิดขึ้นฉับพลันหลังได้รับบาดเจ็บ) การดึงรั้งของพังผืด (เช่น ผู้ที่มีบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกที่นิ้วมือ) ความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ (เช่น Dupuytren's contracture) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางแก้ไข

 

การวินิจฉัย

แพทย์ มักจะวินิจฉัยจากอาการแสดงเป็นหลัก และการตรวจร่างกายอาจตรวจพบว่าเมื่อใช้มือกดตรงโคนนิ้วมือ ตรงปุ่มกระดูกจะรู้สึกเจ็บ และบางคนอาจคลำได้ปุ่มเส้นเอ็นที่อักเสบ

 

การ ดูแลตนเอง !_01

หาก มีอาการเจ็บตรงโคนนิ้วมือ เวลางอนิ้วมือแล้ว เหยียดนิ้วมีเสียงดังกิ๊ก หรือเวลางอนิ้วมือแล้วเหยียดขึ้น เองไม่ได้ ควรจะไปพบแพทย์เพื่อให้การตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด เมื่อพบว่าเป็นโรคนิ้วล็อก ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างจริงจัง และควรปฏิบัติดังนี้

 

* ไม่ขยับนิ้วหรือดีดนิ้วที่เป็นนิ้วล็อก เล่น อาจทำให้เส้นเอ็นอักเสบมากขึ้นได้

* ถ้ามีอาการข้อฝืด กำไม่ถนัดตอนเช้า ควรแช่น้ำอุ่นจัดๆ และบริหารโดยการขยับมือกำแบเบาๆ ในน้ำ จะทำให้นิ้วมือเคลื่อนไหวได้คล่องขึ้น

* เมื่อ ต้องกำหรือจับสิ่งของแน่นๆ เช่น ไม้กอล์ฟ ตะหลิวผัดกับข้าว ควรใช้ผ้าหรือฟองน้ำพันรอบๆ หรือใช้ถุงมือจับจะช่วยลดแรงกดหรือเสียดสีลง

 

 

การ รักษา !_Rd

แพทย์ จะให้การรักษาตามความรุนแรงของโรค ในระยะแรก อาจให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ เพื่อบรรเทาปวดและลดการอักเสบ การทำกายภาพ- บำบัด หรือฉีดยาสตีรอยด์เข้าไปที่เส้นเอ็นที่อักเสบ ซึ่งจะได้ผลดีเมื่อให้การรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการใหม่ๆ ถ้าไม่ได้ผล อาจต้องรักษาด้วยการใช้เครื่องมือสะกิดส่วนของพังผืดที่หนาตัวออกไป (โดยการฉีดยาชาเฉพาะที่ไม่ต้องเข้าห้องผ่าตัด จะมีแผลเป็นรูเล็กๆ ตรงตำแหน่งที่เจาะ) ถ้ายังไม่ได้ผลอาจต้องทำการผ่าตัดแก้ไข

 

ภาวะ แทรกซ้อน

ไม่มีภาวะแทรกซ้อนอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด นอกจากทำให้มีอาการเจ็บปวด และใช้มือได้ไม่ถนัด

 

การดำเนินโรค

ถ้า ไม่ได้รับการรักษาก็จะเป็นเรื้อรัง และข้อฝืดมากขึ้น

ถ้าได้รับการรักษา ที่ถูกต้องก็มักจะหายได้

 

การป้องกัน !Aa

หลีก เลี่ยงการใช้มือทำงานที่มีลักษณะทำให้เกิดแรงกดหรือเสียดสีกับเส้นเอ็นแบบ ซ้ำซาก

 

* การหิ้วของหนักๆ เช่น ถุงหนักๆ ถังแก๊ส ถังน้ำ กระเป๋า (ควรใช้รถเข็นลาก หรือใส่ถุงมือ)

* การซักผ้า บิดผ้า (ควรใช้เครื่องซักผ้าแทน)

* เวลา กำหรือจับอุปกรณ์ต่างๆ ควรใส่ถุงมือลดแรงกดหรือเสียดสี เช่น ใส่ถุงมือเวลาจับไม้ตีกอล์ฟ กรรไกรตัดกิ่งไม้ มีดตัดต้นไม่หรือดายหญ้า

 

 

ความชุก

โรค นี้พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้ที่ทำงานที่ต้องหยิบจับสิ่งของหรืออุปกรณ์อย่างต่อเนื่องนานๆ หรือใช้มือหิ้วของหนักๆ

 

http://www.doctor.or.th/node/1133

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ก่อนที่โครงสร้างร่างกายจะเสียสมดุล เราควรต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองใหม่ ใส่ใจกับตัวเองให้มากขึ้น

เพื่อให้ร่างกายอยู่ได้อย่างเต็มศักยภาพตลอดอายุขัย

ซึ่ง "เพ็ญพิชชากร แสนคำ"

นักกายภาพบำบัดจากสถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย ซีเคร็ท เชฟ เวลาเนส เซ็นเตอร์ ได้สรุปพฤติกรรมที่

ทำให้โครงสร้างร่าง กายเสียสมดุล เอาไว้ 10 ข้อดังนี้

 

 

1. การ นั่งไขว่ห้าง จำทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูก

คดอย่างแน่นอน หรืออาจจะคดแล้วก็ได้โดยที่ไม่รู้ตัว !034

 

2. การนั่งกอดอก ทำให้หลังช่วงบน สะบักและหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบน

ค่อม และงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือขาได้

นอกจากนี้ยังมีผลต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยง สมอง เพราะถ้ากระดูกคอผิดรูป จะทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็ง

และจำกัดการไหล เวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เป็นสาเหตุของการอาการปวดศีรษะ หรืออาจทำให้เป็นไมเกรนเรื้อรังได้

 

3. การ นั่งหลังงอ / นั่งหลังค่อม เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อการนาน ๆ เป็นชั่วโมงจะทำให้กล้ามเนื้อค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค ทำให้มีอาการเมื่อยล้า ปวดและมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา

 

4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น การนั่งเก้าอี้ส่วนใหญ่ จะชอบนั่งแบบครึ่ง ๆ ก้น ซึ่งส่งผลทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้านั่งให้เต็มก้น คือเลื่อนให้เข้าในสุดจนติดผนังพิง จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานน้อยและเกิดการรองรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่

 

5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การ ยืนที่ถูกต้อง ควรลงน้ำหนักที่ขาทั้งสองข้างเท่า ๆ กันโดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพก จะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย ไม่ทำให้กล้ามเนื้อข้างใดข้างหนึ่งต้องทำงานหนักมากเกินไป ในทางตรงกันข้าม หากยืนพักขาหรือลงน้ำหนักขาไม่เท่ากันจะทำให้

กระดูกเชิวกรานบิดเบี้ยว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคด

 

6. การยืน แอ่นพุง / หลังค่อม ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย ขณะยืน เดินหรือนั่ง ให้พยายามแขม่วท้องเล็กน้อย โดยให้มีสติรู้สึกตัวอยู่ตลอด หากเป็นไปได้ควรทำตลอดเวลาเพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่าง ไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง !38

 

7. การ ใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง และการมีโครงสร้างร่างกายที่ผิด

 

8. การ สะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานานควรเปลี่ยนเป็นการ ถือกระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้งสองข้างให้เท่า ๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอดเพราะจะทำให้ตัวคุณต้องทำงานหนักอยู่เพียง ข้างเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้

 

9. การหิ้วของด้วยนิ้ว การใช้นิ้วหิ้วของหนักบ่อย ๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ เพราะจริง ๆแล้ว กล้ามเนื้อในมือเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก หน้าที่หลักคือ การใช้หยิบจับโดย ไม่หนัก แต่หากต้องใช้จับหรือหิ้วหนัก ๆ จะทำให้เส้นเอ็นมีการเสียดสี และเกิดพังผืดในที่สุด ยิ่งหากหิ้วหนักมาก ๆ จะทำให้รั้งกล้ามเนื้อมัดอื่น ๆ และเกี่ยวโยงไปถึงกระดูกคอ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งมากกว่าปกติ มีผลต่อการทรุดของกระดูกและกดทับเส้นประสาทได้ !Hot

 

10. การนอนขดตัว / นอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ ขนานกับเพดานไม่แหงนหน้า หรือก้มคอมากเกินไป หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างกายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

 

อีกแง่หนึ่งค่ะ !_Rd

 

แพทย์ แนะท่า “นอนตะแคงขวา” ช่วยให้หลับสบายที่สุด !dd

 

แพทย์ศิริราช แนะท่านอนที่ทำให้หลับสบาย ตื่นขึ้นมาสดชื่น “นอนตะแคงขวา” ช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก บรรเทาอาการปวดหลัง ส่วนผู้ถนัดนอนตะแคงซ้าย อาจทำให้เกิดลมจุกเสียดที่ลิ้นปี่ แนะกอดหมอนข้างพร้อมพาดขา ป้องกันขาชาจากการนอนทับเป็นเวลานาน

 

นพ.ชนินทร์ ลีวานันท์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือ การนอนหลับ มนุษย์ใช้เวลาเพื่อนอนหลับถึง 1ใน 3 ของอายุขัย ขณะนอนหลับท่านอนเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะส่งผลให้ผู้นอนหลับสนิทตลอดคืน และตื่นนอนด้วยความสดชื่น ไม่รู้สึกปวดเมื่อย ซึ่งโดยปกติคนทั่วไปคนเรานิยมนอนหงาย เพราะเป็นท่านอนมาตรฐาน การนอนหงายที่เหมาะสมนั้น ควรใช้หมอนต่ำและต้นคอควรอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว เพื่อไม่ให้ปวดคอ อย่างไรก็ตาม ท่านอนหงายไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกระบังลม จะกดทับปอดทำให้หายใจไม่สะดวก ส่งผลทำให้การทำงานของหัวใจลำบากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้มีอาการปวดหลังการนอนหงายในท่าราบจะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้นด้วย

 

นพ.ชนินทร์ กล่าวว่า สำหรับท่านอนที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับท่านอนอื่น ๆ คือ ท่านอนตะแคงขวา เพราะจะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก และอาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ส่วนท่านอนตะแคงซ้าย ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหลังได้ แต่ควรกอดหมอนข้าง และพาดขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้ายจากการนอนทับเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่ เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมด ในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะอาหาร ส่วนท่านอนคว่ำเป็นท่าที่ทำให้หายใจติดขัด ทั้งยังทำให้ปวดต้นคอ เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลัง หรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำจึงควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยต้นคอ

 

ข้อมูลข่าว : สำนักข่าวไทย

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

งงครับ กดตอบได้แต่อ้างถึง ก็เลยมาทดลอง ในช่องแสดงความเห็นบ้างว่ามันจะเป็นยังไง

 

อ้อ เข้าใจแล้วครับ ถ้าจะเข้ามากวนต้องกด ช่องแสดงความเห็น

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เมื่อจะไปตรวจสุขภาพประจำปี เราควรเตรียมตัวและปฏิบัติตัวให้ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งจะมีผลต่อการตรวจ โดยมีข้อปฏิบัติต่างๆ ดังนี้

 

http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1454943

 

- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรอดนอนก่อนวันตรวจสุขภาพ

 

- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มกาเฟอีนโดยเฉพาะในวันก่อนตรวจ

 

- งดอาหารและน้ำ 8-12 ชั่วโมงก่อนเจาะเลือด หากต้องการตรวจเฉพาะระดับน้ำตาลในเลือด ควรงดอย่างน้อย 8 ชั่วโมง แต่หากต้องการตรวจระดับไขมันในเลือดด้วย อาจต้องงดถึง 12 ชั่วโมง

 

- การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน บางกรณีแพทย์จะระบุว่าไม่จำเป็นต้องงดอาหาร

 

- ควรไปถึงโรงพยาบาลในช่วงเช้า เพื่อไม่ให้ร่างกายอิดโรยเกินไป เพราะงดน้ำและอาหารมาหลายชั่วโมงแล้ว

 

- สวมเสื้อผ้าที่สะดวกต่อการเจาะเลือดที่ข้อพับแขน

 

- หากต้องตรวจภายในควรสวมกระโปรง และควรตรวจก่อนหรือหลังมีประจำเดือน 7 วัน

 

- หากทดสอบสมรรถภาพของหัวใจด้วยการวิ่งบนสายพาน (Exercise Stress Test) ควรสวมเสื้อผ้าและรองเท้าที่เคลื่อนไหวสะดวก

 

- นั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนตรวจวัดความดันโลหิต

 

- เมื่อเจาะเลือดแล้ว ควรใช้นิ้วมือกดเบาๆ ลงบนพลาสเตอร์ที่ปิดไว้ตรงตำแหน่งที่เจาะ ประมาณ 5 นาที จนกว่าเลือดจะหยุดไหล ไม่จำเป็นต้องพับแขน และไม่ควรนวดคลึงบริเวณที่เจาะเลือด เพราะอาจทำให้เป็นรอยช้ำได้

 

- ผู้ที่มีประวัติเขียวช้ำง่าย หรือเจาะเลือดแล้วเกิดรอยช้ำเสมอ รวมถึงผู้ที่เป็นโรคเลือดหรือโรคที่ทำให้เลือดแข็งตัวได้ไม่ดี เมื่อเจาะเลือดแล้วให้กดนิ่งๆ ไว้นานกว่าปกติเล็กน้อย เพื่อให้แน่ใจว่าเลือดหยุดแล้วจึงไปทำกิจกรรมอื่น

 

- ทำความสะอาดบริเวณภายนอกอวัยวะขับถ่ายด้วยน้ำสะอาดก่อนเก็บปัสสาวะ

 

- การใช้ทิชชูเช็ดทำความสะอาด อาจทำให้ปนเปื้อนเชื้อโรคจากทิชชูได้

 

- เก็บปัสสาวะช่วงกลาง คือปล่อยปัสสาวะช่วงต้นทิ้งไปเล็กน้อย และทิ้งปัสสาวะช่วงสุดท้ายไป

 

- กรณีที่ต้องการถ่ายอุจจาระ หรือต้องเก็บอุจจาระด้วย ควรเก็บปัสสาวะก่อน เพื่อป้องกันการปนเปื้อน

 

- หากมีประจำเดือนควรเลื่อนการตรวจร่างกายไปก่อนจนกว่าจะหมด การตรวจปัสสาวะขณะมีประจำเดือน จะมีเม็ดเลือดแดงปน ซึ่งมีผลต่อการอ่านค่า

 

- กรณีเก็บอุจจาระ ควรถ่ายลงบนโถที่แห้งก่อนใช้ไม้หรือช้อนพลาสติกป้ายตัวอย่างอุจจาระขนาด ประมาณหัวแม่มือใส่ลงในภาชนะที่เตรียมไว้ หากถ่ายลงน้ำอาจทำให้อุจจาระถูกเจือจางด้วยน้ำ ซึ่งมีผลต่อการตรวจ

 

- หากสังเกตเห็นอุจจาระที่ผิดปกติ เช่นมีมูกสีขาว หรือมีสีแดงหรือดำคล้ายเลือด ควรป้ายบริเวณนั้นมาตรวจด้วย

 

- ตรวจสอบชื่อ นามสกุล บนภาชนะที่เก็บเลือด ปัสสาวะ และอุจจาระให้ดีว่าถูกต้องแล้ว

 

- หากสงสัยว่าตั้งครรภ์ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนตรวจร่างกาย หากตั้งครรภ์ไม่ควรเอกซเรย์

 

- ถอดเสื้อ เสื้อชั้นใน และเครื่องประดับที่เป็นโลหะก่อนเอกซเรย์

 

- บางโรงพยาบาลได้ยกเลิกการเก็บฟิล์มเอกซเรย์ โดยแพทย์สามารถเรียกดูภาพจากห้องตรวจผ่านระบบคอมพิวเตอร์ หากต้องการฟิล์มเอกซเรย์กลับบ้าน อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

 

- การตรวจเอกซเรย์เต้านม (Mammogram) ควรตรวจก่อนหรือหลังมีประจำเดือน 7 วัน งดทาแป้ง โลชั่น ครีม และโรลออน บริเวณเต้านมและรักแร้ในวันตรวจ และควรงดอาหารไขมันสูงก่อนตรวจ 3 วัน

 

- การตรวจมะเร็งปากมดลูก ห้ามสอดยา เหน็บยา หรือสวนล้างภายในช่องคลอด และงดมีเพศสัมพันธ์ก่อนวันตรวจ

 

- ก่อนตรวจลำไส้ใหญ่ 2 วัน ควรรับประทานอาหารอ่อนและมีกากน้อย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ไข่ ปลา น้ำเต้าหู้ และควรงดผัก ผลไม้ และต้องรับประทานยาระบายหลังอาหารเย็นหรือก่อนนอนเป็นเวลา 2 วัน

 

- การตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบน ควรงดน้ำและอาหารก่อนทำ 6 ชั่วโมง หากกระหายน้ำ ให้จิบน้ำได้เล็กน้อย

 

- การตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนล่างหรือมดลูก ควรดื่มน้ำมากๆ และอย่าเพิ่งปัสสาวะก่อนตรวจ

 

- การตรวจบางอย่างอาจต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะทราบผล เช่น ตรวจโรคธาลัสซีเมีย ตรวจมะเร็งปากมดลูก

 

- หากผลการตรวจไม่ปกติและต้องมีการตรวจรักษาเพิ่มเติมไปจากโปรแกรมการตรวจ สุขภาพ ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

 

- นอกจากการตรวจสุขภาพทั่วไปประจำปีแล้ว ยังมีการตรวจพิเศษก่อนแต่งงาน เพื่อตรวจหาโรคเลือดทางพันธุกรรม เช่น โรคธาลัสซีเมีย ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส ตับอักเสบจากไวรัสบี และเอชไอวี และตรวจว่ามีภูมิต้านทานต่อหัดเยอรมันหรือไม่ หากยังไม่มี ควรฉีดวัคซีนป้องกัน เนื่องจากหากติดโรคระหว่างตั้งครรภ์ อาจจะทำให้ทารกพิการได้

 

- สำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ไม่ทราบประวัติการติดเชื้อหรือการได้รับวัคซีนที่ชัดเจน อาจจะตรวจหาเชื้อและ/หรือภูมิต้านทานต่อโรคตามความเหมาะสม ส่วนผู้ที่จะไปศึกษาต่อหรือทำงานต่างประเทศ อาจต้องฉีดวัคซีนหรือตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อโรคบางโรค

 

 

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000014074

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บริหารตา บอกลาแว่น

 

การบริหารดวงตา นอกจากลดสายตาสั้น กันสายตายาว ไม่ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยๆแล้ว ยังช่วยลด และป้องกันอาการบกพร่องที่จอรับภาพได้อีกด้วย (อาการบกพร่องที่จอรับภาพ คือรู้สึกตามีแสงแปลบปลาบ หรือเห็นหิ่งห้อยวิ่งไปมา หรือเห็นเป็นแสงสว่างวงๆ วาบๆ บ่อยๆ อาการเหล่านี้หากปล่อยไว้ จอรับภาพอาจพิการ หรือถึงกับมองไม่เห็นได้) ทำสม่ำเสมอทุกๆ วันช่วยให้เลือดมาเลี้ยงจอรับภาพมากขึ้น อาการบกพร่องจะน้อยลง หรืออาจหายไปได้ ส่วนคนที่สายตาปกติดีอยู่แล้ว การบริหารนี้ก็ช่วยให้กล้ามเนื้อตาแข็งแรง นัยย์ตาสดใส

 

ท่าที่ 1 กลอกลูกตามองไปทางซ้ายสุด และมองมาทางขวาสุดเท่าที่จะทำได้ ทำ 10 ครั้ง

eyexercise1.gif

 

ท่าที่ 2 เหลือบลูกตาขึ้นมองเพดาน โดยวางหน้าตรง ไม่แหงน และเหลือบตาลงล่างสุดมองพื้น ทำขึ้นๆลงๆ 10 ครั้ง

eyexercise2.gif

ท่าที่ 3 เหลือบตามองขึ้นไปที่ปลายคิ้วซ้าย และลากเหลือบลงมาที่แก้มขวา ทำ 10 ครั้ง

eyexercise3.gif

ท่าที่ 4 เหลือบตามองขึ้นไปที่ปลายคิ้วขวา และลากตาเหลือบลงมาที่แก้มซ้าย

eyexercise4.gif

ท่าที่ 5 กลอกลูกตาหมุนไปเป็นวงกลมซ้าย-ขวา ทำข้างละ 10 ครั้ง

 

eyexercise5.gif

 

ท่าที่ 6 เป็นการเพ่งลูกตาเพื่อบริหารกล้ามเนื้อทั้ง 6 มัดพร้อมกัน โดยการนั่งบนเก้าอี้ วัดความสูงจากยอดศรีษะตนเอง ถึงก้นที่นั่งบนเก้าอี้ เช่น วัดได้ 70 ซ.ม. เอาความยาว 70 ซ.ม. วัดจากลูกตาไปที่กำแพงในท่านั่งเก้าอี้ แล้วจุดหรือทำศัญลักษณ์ไว้ที่กำแพงระดับเดียวกับลูกตาในขณะที่นั่งเก้าอี้นั้น จากนั้นค่อยๆเพ่งมองจุดหรือสัญลักษณ์นั้นห้ามกะพริบตา จนรู้สึกแสบตา น้ำตาเอ่อออกมาจึงค่อยกะพริบตา ทำหลายๆครั้ง จะรู้สึกว่าสายตามองชัดเจนขึ้น

 

รูปถูกไม่ให้โพสอีก....เสียใจด้วย, แต่คุณได้โพสต์รูปภาพมากกว่าที่คุณได้รับอนุญาต

 

ท่าที่ 7 หลับตาทั้งสองข้าง เอานิ้วชี้ทั้งสองข้างวางเหนือคิ้วแต่ละข้าง แล้วค่อยๆกดนวดคิ้วและรอบดวงตา เพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่อยู่รอบนอกของตา

 

 

ที่มา: หนังสือ ชีวจิต ปีที่ 4 ฉบับที่ 80 1 กุมภาพันธ์ 2545

คอลัมน์ รู้เรา-รู้โรค หน้า 12 โดย ส้มจี๊ด

บันทึกการเข้า

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พิศิษฐ เบญจมงคลวารี โครงการฟื้นฟูการนวดไทย มูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนาและคณะ

บรรเทาอาการ ปวดไหล่และแขนจากการใช้คอมพิวเตอร์

 

ทุก วันนี้ที่คลินิกของผมจะมีผู้เข้ารับบริการนวดเพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ คอ บ่า และไหล่ เป็นจำนวนมาก ซึ่งมักจะเป็นอาการปวดที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ ในนิตยสารหมอชาวบ้านฉบับประจำเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ผมได้นำเสนอท่านวดบรรเทาอาการปวดคอไปแล้ว

 

ต่อจากนี้ ผมจะนำเสนอท่านวดบรรเทาอาการปวดไหล่และแขน นับเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้บ่อย ทำให้เกิดอาการปวด ตึงบริเวณกล้ามเนื้อไหล่และแขน สร้างทั้งความทรมานและรำคาญแก่ผู้ป่วย ซึ่งอาการจะทุเลา ลงหลังจากทำท่านวดบรรเทาอาการปวดไหล่และแขนที่ผมเขียนมานี้

 

 

346-008-pic-01.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กินยาก่อนอาหาร – หลังอาหาร นั้นสำคัญไฉน

การ ที่จะทราบว่าการกินยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหารสำคัญอย่างไรนั้นเราต้องทราบก่อนว่าขั้นตอนที่ยาจะไปออกฤทธิ์ นั้นเป็นอย่างไร เวลาเรากินยาเข้าไป ถ้าเป็นยาเม็ดหรือแคปซูล ยานั้นจะแตกออกเป็นส่วนเล็ก ๆ ก่อน แล้วละลายในน้ำ ซึ่งอยู่ในกระเพาะและทางเดินอาหาร หลังจากนั้นก็จะถูกดูดซึมเข้าผนังทางเดินอาหาร เข้าสู่กระแสเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายต่อไป แต่ถ้าเป็นยาน้ำขบวนการนี้ก็จะเร็วขึ้นยาจะออกฤทธิ์เมื่อได้เข้าไปอยู่ใน กระแสเลือดแล้ว และต้องมีปริมาณสูงพอด้วย อาหารบางอย่างมีผลต่อการดูดซึมของยา ยาบางตัวก็มีผลต่อกระเพาะอาหาร เช่น ทำให้เกิดการระคายเคือง ดังนั้น การกินยาก่อนหรือหลังอาหาร จึงมีความสำคัญขึ้นกับว่าต้องการผลการของยาในแง่ใด ปกติเมื่อกระเพาะมีอาหารอยู่เต็ม ยาจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้น้อยกว่า และใช้เวลามากกว่าเมื่อกระเพาะว่าง จากที่กล่าวมาแล้ว ถ้าเรากินยาก่อนอาหารทันที, หลังอาหารทันที หรือกินยาพร้อมอาหาร จะมีความหมายแทบจะไม่แตกต่างกัน ซึ่งถือว่ากินยาในห้วงเวลาที่กระเพาะอาหารไม่ว่างเหมือนกัน ดังนั้นเราจะกำหนดเวลาไปด้วยว่ากินก่อนอาหารหรือหลังอาหารนานเท่าใด จึงจะได้ผลตามที่ต้องการ จะขอแบ่งวิธีการกินยา ประกอบเหตุผล พอเป็นสังเขปดังนี้

กินก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง

 

เพราะเราต้องการให้ได้รับยาขณะที่ท้องว่าง เพื่อให้ยาดูดซึมได้ดีที่สุด ยาพวกที่ต้องกินแบบนี้ได้แก่ เพนนิซิลลิน, แอมพิซิลิน, ไรแฟมพิซิล เป็นต้น บางทีเราก็ต้องการให้ยาออกฤทธิ์ก่อนอาหารตกถึงกระเพาะ (จะกินก่อนอาหารนานเท่าใดขึ้นกับเวลาตั้งแต่เริ่มกินจนถึงเวลาที่ยาออกฤทธิ์ ซึ่งยาแต่ละตัวจะแตกต่างกันบ้าง) เช่น ยาที่ลดการเกร็ง หรือบีบตัวของกระเพาะและทางเดินอาหารคนที่เป็นโรคกระเพาะนั้นมักจะปวดท้อง เมื่ออาหารตกไปถึงกระเพาะ เพราะอาหารเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะลำไส้บีบตัวมากขึ้น จึงต้องให้ยาออกฤทธิ์ ลดการบีบตัวของกระเพาะลำไส้ โดยกินยาก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ยาออกฤทธิ์พอดีเวลาอาหาร ซึ่งจะบรรเทาอาการปวดท้องได้ ยังมียาที่กระตุ้นให้เกิดการอยากอาหาร ก็ต้องกินก่อนอาหารประมาณ 1/2 ชั่วโมง พอยาออกฤทธิ์ จะกินอาหารได้มากขึ้น

กินหลังอาหารทันที = กินก่อนอาหารทันที = กินพร้อมอาหาร

ยาบางตัวหากกินตอนท้องว่างจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารมาก ทำให้คลื่นไส้อาเจียน แต่ถ้ากินพร้อมอาหารจะช่วยลดการระคายเคืองได้ ยาพวกนี้ได้แก่ ยาแก้ปวดชนิดต่าง ๆ เช่น แอสไพริน, ยาแก้ปวดข้อ เช่น เพนนิลบิวทาโซน, ไอบูโปรเฟน, อินโดเมดทาซิน เป็นต้น นอกจากกินพร้อมอาหารแล้วยาที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น แอสไพริน การกินน้ำตามมาก ๆ เพื่อไปเจือจาง หรือลดความเป็นกรดให้น้อยลง ก็ช่วยลดการระคายเคืองได้

 

กินยาหลังอาหาร 1 ชั่วโมง

 

ยาบางชนิดจะออกฤทธิ์นาน เมื่อกินหลังอาหาร เช่น ยาลดกรดซึ่งมีผู้ทดลองได้ผลว่า ถ้าให้ยาในขณะที่ท้องว่าง ยาจะออกฤทธิ์นานประมาณ 30 นาที แต่ถ้าให้ยาหลังอาหาร 1 ชั่วโมง ยาจะออกฤทธิ์นาน 4 ชั่วโมง ดังนั้นจึงกำหนดให้กินหลังอาหาร 1 ชั่วโมงไหน ๆ ก็พูดถึงยาก่อนอาหาร, หลังอาหาร, พร้อมอาหารมาแล้ว ขอพูดถึงยากินก่อนนอนสักเล็กน้อย ยาบางชนิดกินแล้วทำให้ง่วงมึนงง เช่น ยาคลายกังวล, ยาแก้แพ้ซึ่งเป็นส่วนผสมของยาแก้หวัด ลดน้ำมูก จึงควรกินก่อนนอน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ปลอดภัยในขณะทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร หรือขับรถในเวลากลางวันแล้ว ยังทำให้หลับได้อย่างสบายในเวลากลางคืนอีกด้วย

จึงขอสรุปได้ว่า จะกินยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหารขึ้นกับวัตถุประสงค์ในการให้ยานั้น ๆ ออกฤทธิ์ให้ได้ผลมากที่สุด มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ส่วนจะก่อน - หลังนานเท่าใดนั้น ขึ้นกับเวลาตั้งแต่เริ่มกินยาจนถึงเวลาที่ยาถูกดูดซึมเข้าผนังทางเดินอาหารหมด หรืออาจเลยไปถึงเวลาที่ยาออกฤทธิ์แล้วแต่ว่าเราต้องการผลอันไหนคงจะเห็นแล้วว่า เวลากินยาก่อนหรือหลังอาหารมีความสำคัญเพียงใด ดังนั้นเพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด ผู้ป่วยควรกินยาตามเวลาที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ผลดีก็จะตกอยู่กับตัวของผู้ป่วยเอง

 

กินยาก่อนอาหาร – หลังอาหาร นั้นสำคัญไฉน

กินก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง

 

เพราะเราต้องการให้ได้รับยาขณะที่ท้องว่าง เพื่อให้ยาดูดซึมได้ดีที่สุด ยาพวกที่ต้องกินแบบนี้ได้แก่ เพนนิซิลลิน, แอมพิซิลิน, ไรแฟมพิซิล เป็นต้น บางทีเราก็ต้องการให้ยาออกฤทธิ์ก่อนอาหารตกถึงกระเพาะ

ยา3ตัวบนเป็นยาที่ไม่ทนกรด(acid labile)จึงต้องกินตอนท้องว่างไม่งั้นยาจะถูกทำลายจากกรดในกระเพาะอาหาร(ไม่ใช่เพื่อให้ยาดูดซึมได้ดีที่สุด ) ถ้าพูดกวนๆตามนิสัยผม กินหลังอาหารซัก3ชั่วโมงก็ได้ครับ ท้องว่างเหมือนกัน

 

ขอบคุณมากนะคะ คุณMOR LEK !thk

เรียนเชิญ... คุณMOR LEK และท่านสมาชิก ทุกท่าน โพสต์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ตรงกระทู้นี้ได้เลยนะคะ หรือจะติชมแลกเปลี่ยนก็ได้ค่ะ คุณหมอเล็กแซวแบบนี้ !32 !065

 

ที่มา : http://web.ku.ac.th/saranaroo/chap3a.htm

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กล้วย...ธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา

:lol: :wub: :unsure:

 

 

เมื่อพูดถึงสรรพคุณของผลไม้ไทยๆ ที่ตอนนี้มีออกมาให้เลือกชิมมากมายแล้วก็อย่าลืมผลไม้ธรรมดาๆ อย่าง “กล้วย” ซึ่งจัดว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

เมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ต่างประเทศอย่างแอปเปิลแล้ว กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิล 4 เท่า มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีวิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า และมีวิตามินรวมทั้ง แร่ธาตุอื่นๆ มากกว่า 2 เท่า และอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต

 

 

นอกจากนั้น กล้วยยังมีเส้นใยและกากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นกล้วยสดหรือตากแห้งยังอุดมไปด้วยน้ำตาล ธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุกโทส และกลูโคส น้ำตาลเหล่านี้จะหมุนเวียนในกระแสโลหิต ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว จากงานวิจัยพบว่า การรับประทานกล้วยเพียง 2 ผลก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอต่อ การออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที นักกีฬาจึงมักจะรับประทานกล้วยเป็นอาหารเพิ่มพลังงานก่อนหรือระหว่างการแข่งขัน

กล้วยยังได้ชื่อว่าเป็นอาหารบำรุงสมองอีกด้วย มีงานวิจัยที่ให้นักเรียน 200 คนรับประทานกล้วยในมื้อเช้า ตอนพัก และมื้อกลางวัน ของทุกวัน เพื่อดูว่ากล้วยจะช่วยส่งเสริมกำลังสมองของพวกเขาได้หรือไม่ ผลปรากฏว่านักเรียนได้คะแนนดีจากการสอบตลอดปี การวิจัยแสดงให้เห็นว่า โพแทสเซียมในกล้วยที่มีอยู่ในปริมาณสูง ทำให้นักเรียนตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น

 

อันที่จริงกล้วยเป็นผลไม้พื้นบ้านที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็กๆ เมนูแรกๆ ของชีวิตนอกจากนมแม่ก็คือ กล้วยบด ซึ่งเหมาะที่จะใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับทารกอายุตั้งแต่ 3 เดือนจนถึง 2 ขวบ เนื่องจากกล้วยสุกย่อยง่ายและ ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ และยังมีสรรพคุณแก้อาการอาหารไม่ย่อยในเด็ก

กล้วยสุกงอมจะให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญ่ สามารถใช้แทนน้ำตาลได้ และไม่ทำให้เกิดอาการผิดปกติต่อระบบทางเดินอาหาร เพราะน้ำตาลที่เกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงของแป้งขณะกล้วยสุกมี คุณสมบัติเฉพาะคือ ทำให้มีฤทธิ์เป็นกรดในลำไส้ ช่วยให้เกลือแร่ แคลเซียม ถูกดูดซึมได้ง่าย ถือว่าเป็นคุณสมบัติพิเศษที่ดีกว่าจากธัญพืชอื่นๆ และยังมีกรดอะมิโนและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายอีกหลายชนิด เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม เหล็ก ทองแดง

 

ส่วนกล้วยดิบจะมีแป้งชนิดที่ไม่สามารถย่อยได้ในลำไส้เล็ก แต่ไปสลายตัวในลำไส้ใหญ่ จึงทำให้เกิดลม ในท้องได้ แต่กล้วยดิบก็มีสรรพคุณแก้อาการท้องเสียได้ โดยมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย เช่น Escherichia coli สารสำคัญในการออกฤทธิ์แก้อาการท้องเสียก็คือสาร แทนนินซึ่งมีฤทธิ์ฝาด ใช้แก้อาการท้องเสียได้ วิธีการก็คือ นำกล้วยดิบมาหั่นบางๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วบดให้ละเอียดเป็นแป้ง ใช้ผงกล้วยนี้ในปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ใส่ในถ้วยน้ำชา ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ รับประทานแก้ท้องเสีย

 

 

สรรพคุณอีกอย่างหนึ่งของกล้วย ก็คือ มีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร เมื่อทดลองให้หนูขาวกินยาแอสไพริน แล้วกินผงกล้วยดิบ พบว่าสามารถป้องกันไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะได้เมื่อกินผงกล้วยดิบในปริมาณ 5 กรัม และสามารถรักษาแผลในกระเพาะที่เป็นแล้วได้เมื่อกินในปริมาณ 7 กรัม นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อเนื่องจากแผลในกระเพาะอาหารได้ อีกด้วย สำหรับสารสกัดจะมีฤทธิ์เป็น 300 เท่าของผงกล้วยดิบ โดยออกฤทธิ์ สมานแผลและเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อเมือก โดยการเพิ่มเมือกและเร่งการแบ่งตัวของเซลล์ นอกจากนี้ยังมีผลต่อกระบวนการสร้างเซลล์ที่ส่งผลไปถึงการรักษาแผลด้วย

 

สำหรับผู้ที่มักจะมีอาการแน่นจุกเสียด ยังสามารถใช้ผลกล้วยดิบฝานบางๆ แล้วตากแห้ง บรรเทาอาการ ปวดท้องจุกเสียดได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ผู้ที่มักจะเป็นตะคริว ที่เท้า ข้อเท้า และน่องบ่อยๆ การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้

 

เมื่อพูดถึงกล้วย ไม่ใช่เพียงแต่ผลกล้วยเท่านั้นที่เรานำมาใช้ประโยชน์ได้ แทบจะทุกส่วนของกล้วย มีสรรพคุณทางยาทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น

 

 

ผลกล้วยสุก บรรเทาอาการท้องผูก ความดันโลหิตสูง เจ็บคอ บำรุงผิว

ต้นและใบแห้ง นำมาเผา รับประทานครั้งละ ? - 1 ช้อนชา หลังอาหาร แก้เคล็ดขัดยอก

หัวปลี ช่วยบำรุงน้ำนม

ยาง จากปลีกล้วยหรือก้านกล้วย ใช้รักษาแผลสด และทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อยได้

รากกล้วย แก้ปวดฟัน แก้ร้อนใน โลหิตจาง ปวดหัว ปัสสาวะขัด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

ดอกกล้วย ช่วยเรื่องประจำเดือนขัด แก้ปวดประจำเดือน โรคเบาหวานและโรคหัวใจ

เปลือกกล้วย แก้ผิวหนังเป็นตุ่ม คัน หรือเป็นผื่น และฝ่ามือฝ่าเท้าแตก

 

สำหรับสรรพคุณของกล้วยในการช่วยป้องกันโรคต่างๆ ก็มีมากมาย ได้แก่

 

โรคโลหิตจาง

กล้วยมีธาตุเหล็กสูง จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด ช่วยได้ในกรณีที่มีภาวะโลหิตจาง

 

โรคความดันโลหิตสูง

กล้วยมีธาตุโปแตสเซียมสูง แต่มีปริมาณเกลือต่ำ จึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิต องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา(USFDA) ยินยอมให้โฆษณาได้ว่ากล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายที่เกิดจากความดัน โลหิตหรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก

 

เส้นเลือดฝอยแตก

จากการวิจัยที่ลงในวารสาร The New England Journal of Medicine ระบุว่าการรับประทานกล้วยเป็นประจำสามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตก ได้ถึง 40%

 

โรคซึมเศร้า

จากการสำรวจผู้ที่มีความทุกข์ซึ่งเกิดจากความซึมเศร้า หลายคนจะมีความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังจากได้ รับประทานกล้วย เพราะในกล้วยมีโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ทริปโตฟาน เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็น เซโรโทนิน ซึ่งเป็นตัวผ่อนคลายและปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้น คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง

 

โรคท้องผูก

ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องรับประทานยาถ่าย

 

โรคลำไส้เป็นแผล

กล้วยเป็นอาหารที่ใช้ควบคุมการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะเนื้อกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ ชนิดเดียวที่ทานได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคืองและยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย

 

อาการเสียดท้อง

กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับอาการเสียดท้องลองรับประทานกล้วยสักผล จะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้

 

ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า

การรับประทานกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหารจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือดให้คงที่ เพื่อ หลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า

 

อาการเมาค้าง

วิธีหนึ่งที่จะแก้อาการเมาค้าง ก็คือการดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้กระเพาะอาหารสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา

 

ระบบประสาท

ในกล้วยมีวิตามินบีสูงมาก ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้ จากการศึกษาของสถาบันจิตวิทยาใน ออสเตรียพบว่า ความกดดันในที่ทำงานเป็นสาเหตุหนึ่งของการกินจุบกินจิบ เช่น ของหวานประเภทช็อคโกแลตและอาหารประเภททอดกรอบต่างๆ คนไข้ 5,000 คนในโรงพยาบาลต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นโรคอ้วน และส่วนใหญ่ทำงานภายใต้ความกดดันสูงมาก รายงานสรุปว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแบบไม่บันยะบันยังจนเป็นเหตุ ให้น้ำหนักเกิน เราจึงต้องควบคุมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการรับประทานอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบโฮเดรตสูง เช่น รับประทานกล้วยทุก 2 ชั่วโมงเพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา กล้วยมีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วยสารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ได้

 

ความเครียด

โปแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจ การส่งออกซิเจนไปยังสมอง และการปรับระดับน้ำในร่างกายเป็นปกติ เวลาที่เกิดอารมณ์เครียด อัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิดความสมดุล

 

ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว

กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้ เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ ที่ชื่อว่า ทริปโตฟาน ซึ่งทำให้อารมณ์ดี

 

การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย

กล้วยเป็นผลไม้ที่สามารถทำให้อุณหภูมิเย็นลงได้ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ คนโบราณจึงมักจะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่าทารกที่จะเกิดมามีอุณหภูมิเย็น

 

การสูบบุหรี่

กล้วยสามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี 6 และบี 12 สูงมาก และยังมีโปแตสเซียมกับแมกนีเซียมที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง

 

โรคหูด[/b]

การรักษาหูดด้วยวิธีทางเลือกแบบธรรมชาติโดยการใช้เปลือกกล้วยวางปิดลงไปบนหูด แล้วใช้แผ่นปิดแผลหรือเทปติดไว้ ใครจะลองใช้วิธีนี้ดูก็ไม่น่าจะมีอันตราย

 

ยุงกัด

ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด หลายคนพบว่าเปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่ เกิดจากยุงกัดได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า “กล้วย” จะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการผิดปกติบางอย่างของร่างกายได้ แต่ต้องไม่ลืมรักษาหรือแก้ไขที่ต้นเหตุของอาการป่วยก่อน แล้วจึงใช้กล้วยเป็นตัวช่วย เห็นไหมค่ะว่าเรื่องกล้วยๆ แบบนี้แต่เป็นกล้วยที่ไม่ธรรมดาจริงๆ ถ้าบ้านใครพอจะมีพื้นที่ปลูกต้นไม้ก็อย่าลืมปลูกกล้วยสักต้นด้วยนะคะ …เพื่อสุขภาพค่ะ

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ออยล์พูลลิ่ง

:wub: :D :o

 

 

ออยล์พูลลิ่ง เป็นวิธีบำบัดของอินเดียที่มีมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยการอมน้ำมันไว้และเคลื่อนน้ำมันไปให้ทั่วช่องปาก ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที จากนั้นจึงบ้วนทิ้งไป ออยล์พูลลิ่งเป็นที่ฮือฮาเมื่อ Dr. F. Karach, M.D., ได้เสนอรายงานต่อที่ประชุมสัมนาบัณฑิตย์ทางด้านวิทยาศาสตร์ในประเทศรัสเซีย เมื่อปี 2534-2535 การประชุมมีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องมะเร็ง และแบคทีเรียซึ่ง Dr.Karach ได้อธิบายถึงการบำบัดรักษาโรคที่ยอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร ด้วยวิธีง่ายๆ โดยใช้การอมน้ำมัน

 

ผลลัพธ์ ของการบำบัดด้วยวิธีนี้ ทำให้ผู้คนตะลึง ประหลาดใจ เต็มไปด้วยความสงสัยในรายงานของเขาเป็นอันมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้มีการอธิบาย ซักถามกันถึงการรักษา มีการทดสอบ ทดลองใช้ ทดลองทำ พิสูจน์หาความสมเหตุสมผลที่เกิดขึ้น ต่างก็ยิ่งประหลาดใจถึงผลที่ได้รับจากการรักษาอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังไม่มีอันตรายใดๆด้วย เป็นการรักษาทางด้านชีววิทยาโดยแท้ ด้วยวิธีการง่ายๆ ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยรักษาโรคได้มากมายหลายชนิด

 

ออยล์ พูลลิ่งเป็นกระบวนการทางชีววิทยาล้วนๆ แบคทีเรียในช่องปากที่ก่อให้เกิดโรคส่วนใหญ่เป็นสัตว์เซลล์เดียว เซลล์เหล่านี้ปกคลุมด้วยน้ำมันหรือเนื้อเยื่อที่เป็นไขมันซึ่งเป็นเรื่อง ธรรมดาของผิวเซลล์ ( เซลล์ ของคนเราก็ล้อมรอบด้วยส่วนผสมของไขมันเช่นเดียวกัน) เมื่อคุณเทน้ำมันลงในน้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้ำกับน้ำมันจะแยกกันอยู่ไม่ยอมผสมรวมกัน แต่ถ้าคุณเทน้ำมันสองชนิดเข้าด้วยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้ำมันทั้งสองจะผสมรวมและดึงดูดซึ่งกันและกัน นี่คือความลับของออยล์พูลลิ่ง

 

เมื่อ คุณใส่น้ำมันลงในปาก เนื้อเยื่อที่เป็นน้ำมันหรือไขมันของแบคทีเรียจะถูกน้ำมันดูดไว้ ขณะคุณเคลื่อนน้ำมันไปทั่วช่องปาก แบคทีเรียที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยแยกของเหงือกและฟันหรือตามซอกของฟัน จะถูกดูดออกจากที่ซ่อนและติดแน่นอยูในส่วนผสมของน้ำมัน ยิ่งนานยิ่งมาก หลังจากผ่านไป 20 นาที ส่วนผสมของน้ำมันจะเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไวรัส ฯลฯ คุณจึงควรบ้วนทิ้งไปมากกว่าที่จะกลืนมัน เศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรียจะถูกดูดออกด้วยเช่นกัน สิ่งที่ไม่ใช่น้ำมัน ( water based) จะถูกดูดออกด้วยน้ำลาย น้ำลายยังช่วยลดกรดที่เกิดจากแบคทีเรีย

 

เมื่อ แบคทีเรียรวมทั้งพิษร้ายที่เกิดจากแบคทีเรียถูกดูดออกไป จึงเป็นโอกาสดีที่ร่างกายได้ทำการฟื้นฟู การอักเสบทั้งหลายหมดไป กระแสเลือดเป็นปกติ เนื้อเยื่อที่เสียหายได้รับการซ่อมแซม การมีสุขภาพดีจึงกลับมาในที่สุด

 

อ่านเพิ่มเติมที่ http://www.the-arokaya.com/web/index.php?option=com_content&task=view&id=254&Itemid=35

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เที่ยวนอกบ้าน อย่าไว้ใจ "ห้องน้ำสาธารณะ

:wub: :rolleyes:

 

 

ขึ้น ชื่อว่า "ห้องน้ำสาธารณะ" ไม่ว่าใครก็สามารถใช้ได้ จึงเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี สะท้อนได้จากผลสำรวจของกรมอนามัยเมื่อปี 2547 และ 2549 ได้ผลตรงกันว่า จุดอันตรายที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโคลิฟอร์ม ต้นเหตุโรคอุจจาระร่วง อันดับ 1 คือ

 

บริเวณที่จับสายฉีดชำระ พบร้อยละ 85.3 จุดที่ 2 คือ บริเวณพื้นห้องส้วม พบร้อยละ 50 จุดที่ 3 คือ ที่รองนั่งส้วมแบบนั่งราบ หรือโถนั่งชักโครก พบร้อยละ 31 ซึ่งเชื้อโรคที่พบ เป็นการปนเปื้อนจากอุจจาระ นอกจากนี้ยังมีจุดเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อโรคอีก 4 จุด คือ ที่กดน้ำทำความสะอาดในห้องส้วม ก๊อกน้ำ ลูกบิดประตู และอ่างล้างมือ

 

เพื่อให้ทุกครอบครัวที่ไปเที่ยวนอกบ้าน และจำเป็นต้องใช้ห้องน้ำสาธารณะ โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอมย่อยในครั้งนี้ ได้ระวัง และรู้วิธีป้องกันอย่างรู้เท่าทัน ทีมงาน Life and Family จึงขอนำความรู้เรื่องการใช้ห้องน้ำสาธารณะมาฝากให้อ่านกันครับ

 

ความ ชัดเจนในประเด็นนี้ ทีมงานได้ความรู้จาก "นพ.เชิดพงษ์ ชินวุฒิ" สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช สาทร-คอนแวนต์ว่า ห้องน้ำสาธารณะ เป็นสถานที่รวมเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสปนเปื้อนจำนวนมาก เพราะเป็นที่ขับถ่ายสิ่งปฏิกูล และมีผู้ใช้ต่างหน้า และต่างถิ่นหลายคนมาใช้รวมกัน ซึ่งอาจไม่ทราบมาก่อนว่า ผู้ใช้บริการก่อนหน้านี้ มีเชื้อโรคอยู่ในร่างกายมากน้อยแค่ไหน โดยเชื้อโรคที่ว่านี้ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

 

เชื้อในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เชื้อหนองใน เชื้อเริม เป็นต้น และเชื้อที่ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร เช่น เชื้ออุจจาระร่วง เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด เอ เป็นต้น ซึ่งเชื้อพวกนี้อาจแฝงอยู่ตามจุดต่างๆ ของห้องน้ำ เช่น ชักโครก อ่างล้างมือ หรือแม้กระทั่งลูกบิดประตู แต่โอกาสที่จะติดเชื้อพวกนี้จนทำให้เกิดโรค หรือเป็นอันตรายได้นั้น ขึ้นอยู่กับว่ ได้สัมผัสกับเชื้อดังกล่าวในปริมาณที่มากพอหรือไม่ ถ้ามากพอ อาจทำให้เกิดโรคได้ โดยซึมผ่านเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่มีแผล หรือรับเข้าทางปาก

 

อย่างไรก็ดี “น.พ.เชิดพงษ์” ได้แนะนำวิธีปฏิบัติตัวแบบง่ายๆ เพื่อป้องกันการรับเชื้อโรคจากการเข้าห้องน้ำสาธารณะ ให้ฟังดังนี้

 

1. ใช้เวลากับการทำกิจธุระในห้องน้ำสาธารณะให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

2. ถ้าจำเป็นต้องใช้ชักโครก เลือกที่ดูสะอาด (ถ้ามีให้เลือก) ทำความสะอาดที่รองนั่งด้วยกระดาษทิชชูสักหน่อย แล้วจึงใช้งาน ไม่ต้องถึงกับใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ เพราะมันอาจจะดูลำบากไปหน่อย

 

3. เมื่อเสร็จกิจธุระแล้วต้องล้างมือทุกครั้ง เพื่อไม่ให้มีเชื้อโรคติดมากับมือของเรา ซึ่งบางคนอาจจะละเลย เนื่องจากรีบ หรือด้วยสาเหตุอื่นๆ

 

 

ถึงกระนั้น เพื่อป้องกัน และระวังให้มากขึ้น การปลูกฝังลูก ให้ใช้ห้องน้ำสาธารณะอย่างปลอดภัยนั้น ควรเริ่มสอนลูกตั้งแต่ การเปิดปิดประตู ซึ่งวิธีที่จะสัมผัสได้น้อยที่สุด คือการใช้ข้อศอก หรือใช้สันหลังผลักเข้าไป ซึ่งบางห้อง ประตูอาจไม่ได้ปิดแน่น หรือปิดสนิท

 

จากนั้นเมื่อถึงขั้นตอนในการเข้าใช้ ให้ทำความสะอาดโถส้วมเบื้องต้น ด้วยน้ำ หรือทิชชูก่อน รวมทั้งบอกลูกว่า ไม่ควรขึ้นไปเหยียบโถส้วม (ส้วมที่เป็นชักโครก) โดยอธิบายให้ลูกฟังว่า ถ้าขึ้นไปเหยียบบนโถส้วม เวลาคนใช้หลังจากเรา อาจติดเชื้อที่มาจากรองเท้าของเรา หรืออาจทำให้ชักโครกหัก จนเกิดอันตรายได้

 

ส่วนของการชำระล้าง ซึ่งในส่วนของปัสสาวะนั้น เด็กผู้ชายคงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นเด็กผู้หญิง ที่ต้องใช้น้ำในการทำความสะอาด อาจต้องระวังเป็นพิเศษ กล่าวคือ ถ้าเป็นสายฉีดไม่ควรให้หัวฉีด เข้ามาใกล้ส่วนที่จะทำความสะอาดให้มากนัก ควรอยู่ในระยะห่างที่พอดี

 

แต่ถ้าเป็นน้ำในลักษณะตักใช้ ไม่แนะนำให้ตักน้ำในส่วนที่มีอยู่ในถังเดิม แต่ควรให้รองจากก๊อกโดยตรง เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่อาจสะสมอยู่ในถังน้ำได้ เนื่องจากคนบางคนมีนิสัยมักง่าย ชอบล้างมือ หรือเอาสิ่งของไปจุ่มทำความสะอาด จากนั้นหลังเสร็จภารกิจ ให้ราด หรือทำความสะอาดด้วยทุกครั้ง และอย่างที่คุณหมอได้บอกไปข้างต้นเวลาออกจากห้องน้ำทุกครั้ง ควรล้างมือให้สะอาด โดยใช้สบู่เหลว (ถ้ามี) ทุกครั้ง

 

“ห้องน้ำสาธารณะ” ถือเป็นสถานที่จำเป็น สำหรับบางครอบครัวที่ต้องออกเดินทางไกล หรือชอบเดินเที่ยวตามศูนย์การค้า ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง และใส่ใจในการใช้ห้องน้ำประเภทนี้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะเจ้าตัวน้อย ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักวิธีการใช้ห้องน้ำให้ถูก และปลอดภัย ทั้งนี้เพื่อสร้างสุขลักษณะนิสัยในการใช้ห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อตัวเขา และผู้ใช้คนอื่นๆ ที่ใช้ห้องน้ำต่อไป

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

" นั่งหน้าคอมพ์จนปวดคอ " อย่านิ่งดูดาย

 

552000015179304.JPEG

 

 

 

ใครที่รู้ตัวว่ากำลังปวดคอหรือมีความเสี่ยงจะปวดคอ จากการนั่งทำงาน (หรือเล่นเกม) หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์นานเกินไปอย่าได้นิ่งเฉย บทความนี้จะพาคุณไปพบกับทางออกที่จะทำให้คุณสามารถป้องกันและลดอาการปวดคอ ที่แสนทรมาน เพื่อให้คุณไม่ต้องประสบชะตากรรมเดียวกับพระเอกภาพยนตร์เรื่องชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ (ใครยังไม่ดู ลองไปหาดูแล้วจะเข้าใจมุกนี้)

 

ก่อนจะไปเรียนรู้ท่าทางการป้องกันอาการปวดคอ คุณต้องรู้ก่อนว่าต้นเหตุอาการปวดคอนั้นไม่ได้มาจากการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ นานๆ แต่จะมาจากทุกกรณีที่ทำให้อิริยาบทของร่างกายเราผิดเพี้อนไป

 

อาจารย์ผกาภรณ์ พู่เจริญ อาจารย์ประจำคณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) อธิบายว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดคอนั้น เริ่มที่การมีอิริยาบถไม่ถูกต้อง เช่น หนุนหมอนสูงเกินไป ก้มหรือเงยหน้านานๆ อาจจะทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรือเขียนหนังสืออ่านหนังสือเป็นเวลานานๆ โดยไม่หยุดพัก แถมการศึกษายังพบว่าอาการปวดคอมีสาเหตุมาจากการเสื่อมสมรรถภาพของกระดูก ส่งผลทำให้มีอาการปวดร้าวไปยังท้ายทอย แขน กล้ามเนื้อแขนอ่อนแรง

 

ขณะเดียวกัน อาการปวดคออาจมีสาเหตุมาจากอารมณ์ตึงเครียดซึ่งส่งผลให้มีการเกร็งของกล้าม เนื้อคอเป็นเวลานาน

 

“เมื่อเกิดอาการก็ต้อง รีบรักษา" อาจารย์บอกว่าจะมีการแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 ระยะ "คือ 1.ระยะเฉียบพลัน 1 – 2 ผู้ที่มีอาการปวดคอต้องพยายามพักผ่อนกล้ามเนื้อคอโดยการนอนราบ ใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่เกิดการอักเสบ ใช้เวลาในการประคบประมาณ 15 – 20 นาที 2.ระยะเรื้อรัง ผู้มีอาการต้องยืดกล้ามเนื้อคอด้วยตัวเอง โดยใช้มือดันศีรษะไปในทิศทางที่หันไม่ได้ช้าๆ จนรู้สึกตึงทำค้างไว้ครั้งละประมาณ 10 วินาทีจำนวน 10 ครั้ง หรือจนอาการดีขึ้น แล้วประคบด้วยถุงน้ำร้อน 15 - 20 นาที หมั่นออกกำลังกายกล้ามเนื้อคออย่างสม่ำเสมอ หากมีอาการปวดมากขึ้น ควรรับการรักษาทางกายภาพบำบัด"

 

อาจารย์ย้ำว่าทุกคนสามารถป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดคอได้ ด้วยการหลีกเลี่ยงการทำงานในลักษณะก้มหรือเงยหน้าเป็นเวลานาน และควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ ไม่นอนหนุนหมอนที่สูงและแข็งเกินไป และออกกำลังกายกล้ามเนื้อคออย่างสม่ำเสมอ

 

อาจารย์ผกาภรณ์ให้เคล็ดวิชา 4 กระบวนท่าออกกำลังกายเพื่อป้องกันอาการปวดคอ ได้แก่ ท่าก้มและเงยหน้า ท่าหันหน้าซ้ายและขวา ท่าเอียงคอซ้ายขวา และท่าเกร็งกล้ามเนื้อคอ

 

- ท่าก้มและเงยหน้า จะเริ่มต้นด้วยการนั่งหรือยืนก็ได้ แต่ศีรษะต้องตั้งตรง จากนั้นค่อยๆ ก้มให้คางชิดอก แล้วเงยหน้าขึ้นช้าๆ ให้มากที่สุด ทำท่านี้ 5 – 10 ครั้ง

 

- ท่าหันหน้าซ้ายและขวา จะเริ่มต้นด้วยนั่งหรือยืนก็ได้ จากนั้นหันไปทางซ้ายช้าๆ แล้วค่อยๆ หมุนศีรษะกลับมาทางขวา ทำซ้ำ 5 – 10 ครั้ง ข้อควรระวังหากมีอาการมึนศีรษะ ตาลายให้หยุดการออกกำลังกายทันที

 

- ท่าเอียงคอซ้ายขวา จะนั่งหรือยืนก็ได้เหมือนเคย แต่ให้ศีรษะตรง จากนั้นเอียงศีรษะไปทางซ้ายช้าๆ ให้ทิศทางของใบหูจรดไหล่จนรู้สึกตึง ค่อยๆ เอียงศีรษะกลับมาทางขวาทำเช่นเดียวกัน ทำซ้ำประมาณ 5 – 10 ครั้ง

 

- ท่าเกร็งกล้ามเนื้อคอ ให้ก้มหน้า วางมือบนหน้าผาก ออกแรงต้านกับการก้มหน้า ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 – 10 ครั้ง เงยหน้า ประสานมือที่ท้ายทอย ออกแรงต้านกับการเงยหน้า ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 – 10 ครั้ง เอียงคอ วางมือที่ด้านข้างซ้ายของศีรษะออกแรงต้านกับการเอียงคอไปด้านซ้าย วางมือด้านขวาของศีรษะแล้วทำเช่นเดียวกัน ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 – 10 ครั้ง หันศีรษะ วางมือซ้ายบนขมับซ้ายออกแรงต้านกับการหันศีรษะไปด้านซ้าย วางมือขวาบริเวณขมับขวาแล้วทำเช่นเดียวกัน ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 – 10 ครั้ง การดูแลตัวเองและป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดคอนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำก่อน ที่จะปล่อยให้อาการปวดคอเกิดขึ้น

 

..อย่าลืมว่าสุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอานะจ้ะ..

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

"เคล็ดลับช่วยจำและวิธี บริหารสมอง"

-_- :lol:

 

 

หลายคนคงเคยมีอาการหลงๆ ลืมๆ แบบนี้นะคะ.....ลืมว่าเอากุญแจบ้านกับมือถือไปวางไว้ตรงไหน หรือออกจากบ้านแล้วแต่ต้องกลับเข้าไปใหม่เพราะลืมว่าปิดไฟแล้วหรือยัง หรือเห็นเงินในกระเป๋าแล้วงงว่าทำไมเหลือแค่นี้ ซื้ออะไรไปเนี่ย

 

วันนี้มีเคล็ดลับช่วยจำและวิธีบริหาร สมองมาฝากค่ะ

 

1. จดบันทึก

 

การจดบันทึกจะช่วยให้คุณวางแผนเรื่องต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน นัดหมายต่างๆ รวมไปถึงการจดเบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ อีเมลแอดเดรส วันเกิดเพื่อน หรือข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณเอง เช่น ยาประจำตัว จะให้ดีควรเป็นสมุดเล่มเล็กๆ ที่พกพาติดตัวไปด้วยได้

 

การลงมือเขียนด้วยตัวเองจะช่วยย้ำให้สมองจดจำได้ดีขึ้น และดีกว่าการใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วย เช่น การบันทึกไว้ในมือถือ

 

2. พูดกับตัวเอง

 

การพูดออกมาดังๆ ก็คล้ายกับการจดบันทึก เพียงแต่ออกมาในรูปของเสียง ควรเริ่มต้นตั้งแต่เช้า นึกถึงสิ่งที่คุณต้องทำในวันนั้น แล้วพูดออกมาดังๆ เช่น วันนี้ต้องซื้อบัตรเติมเงิน ตอนเที่ยงมีนัดกับลูกค้า ตอนเย็นต้องแวะซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต ย้ำกับตัวเองซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง

 

3. ติดโน้ตในที่ที่มองเห็นได้ง่าย

 

เขียนสิ่งที่ต้องทำลงบนกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ แปะไว้ในที่ที่มองเห็นได้ง่าย เช่น ประตูตู้เย็น ประตูบ้าน ในรถ หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทุกครั้งที่เห็นโน้ตที่ติดไว้ ก็เท่ากับเตือนสมองให้จดจำเรื่องเหล่านั้น

 

4. เก็บ ของให้เป็นที่

 

ฝึกนิสัยเก็บของให้เป็นที่ เช่น แขวนกุญแจไว้ข้างประตูทางออก วางมือถือไว้บนโต๊ะทำงาน เก็บยาก่อนนอนไว้ที่โต๊ะหัวเตียง ชีวิตที่เป็นระเบียบจะช่วยให้สมองเป็นระเบียบเช่นกัน

 

5. ทำชีวิตให้ช้าลง น่าคิด

 

สมองจะจดจำอะไรได้ช้าลงเมื่ออายุมากขึ้น การพูดเร็ว-ทำเร็วจนเกินไป ทำให้สมองเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้ไม่ทันและหลงลืมไปในที่สุด

 

6. อย่าทำหลายอย่างพร้อมกัน

การทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น คุยโทรศัพท์ไปด้วย ดูโทรทัศน์ไปด้วย หรือทำงานไปด้วย ฟังเพลงไปด้วย จะทำให้ไม่มีสมาธิในการจำ ควรเลือกทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งจะดีกว่า

 

7. มีสติ

 

การมีสติขณะทำสิ่งต่างๆ จะช่วยให้เราไม่หลงลืมได้ง่าย สมองจะจดจำได้โดยอัตโนมัติว่า ขณะนั้นเราปิดไฟแล้ว ปิดน้ำแล้ว ปิดแก๊สแล้ว ไม่ต้องมานั่งลังเลสงสัยทีหลังว่า เอ๊ะ ฉันทำไปแล้วหรือยัง

 

8. ร่างกายแข็งแรง

 

สมองที่แจ่มใส มาจากร่างกายที่แข็งแรง ดูแลตัวเองให้ดี รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ให้ครบหมู่ เน้นปลา ผักผลไม้สด ข้าวกล้อง และน้ำ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อร่างกายแข็งแรง ความจำก็จะดีตามไปด้วย

 

9. ทำสิ่งที่ตัวเองถนัด

 

ความถนัดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนจำได้ดีเมื่อได้มองเห็นหรือจดบันทึก บางคนจำได้ดีเมื่อได้ยินเสียงหรือพูดดังๆ บางคนจะจำได้ก็ต่อเมื่อได้ลงมือปฏิบัติ สังเกตตัวเองว่าคุณจำได้ดีกับวิธีการไหน แล้วเลือกวิธีการที่เหมาะกับตัวเอง แต่ถ้าจะให้ดี ใช้ทั้ง 3 วิธีสลับกันก็จะช่วยให้สมองได้ฝึกทักษะมากขึ้น

วิธีบริหารสมอง ที่ช่วยในการพัฒนาความจำอย่างง่ายๆ สามารถทำได้ดังนี้

1. หยิบสิ่งของในที่มืด หลับตาอาบน้ำ หรือหลับตาแต่งตัว

 

2. รับประทานอาหารหรือหยิบจับสิ่งต่างๆ โดยใช้มือข้างที่ไม่ถนัด

 

3. ฟังเพลงที่ไม่เคยได้ยินเนื้อร้องมาก่อน แล้วหัดร้องตามไปจนร้องได้

 

4. อ่านหนังสือหลายๆ ประเภท หรือเปลี่ยนจากคอลัมน์ที่เคยอ่านประจำไปอ่านคอลัมน์อื่นบ้าง

 

5. อ่านป้ายโฆษณาตามข้างทาง ท้ายรถตุ๊กตุ๊ก ข้างรถเมล์ หรือถุงกล้วยแขก

 

6. ดูโทรทัศน์ที่มีสองภาษา หรือดูภาพยนตร์ที่มีซับไตเติล

 

7. บวกลบเลขทะเบียนของรถคันหน้า หรือเลขบนตั๋วรถเมล์

 

8. เปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน เช่น จัดห้องใหม่ เปลี่ยนที่วางของ เปลี่ยนเส้นทางการเดินทาง หรือจากที่เคยขับรถก็เปลี่ยนไปนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้าแทนบ้าง

 

9. เล่นเกมฝึกสมอง เช่น หมากรุก หมากฮอส ปริศนาอักษรไขว้ จับผิดภาพ ฯลฯ

 

10. เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เช่น หัดเล่นดนตรี เรียนภาษา เรียนทำอาหาร ฝึกศิลปะป้องกันตัว ฯลฯ

 

11. หมั่นออกสังคม พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกับเพื่อนฝูง อย่าแยกตัวออกจากสังคม เพราะจะทำให้สมองไม่เกิดการพัฒนาและเสื่อมไปในที่สุด

ฝึกสมองบ่อยๆ เพื่อความจำที่ดีและสมองอันชาญฉลาดจะได้อยู่คู่กับคุณไปนานๆ ค่ะ

 

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000029478

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นอนกรนเกิดจากอะไร แก้ไขอย่างไร

snoring , ent , stridor , sleep apnea ,sleep lap ,question

 

นอนกรน เกิดจากอะไร แก้ไขอย่างไร

 

สวัสดีครับ

 

โดยปกติ เวลาคนเรานอนหลับ กล้ามเนื้อที่ลิ้นและที่โคนลิ้น จะคลายตัวลงไปด้วย ทำให้ลิ้นตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจ แต่ไม่ได้ปิดสนิทนะครับ ทำให้อากาศที่เราหายใจผ่านจมูก และผ่านลงไปยังโพรงจมูกด้านหลัง ผ่านไปไม่สะดวกนัก เกิดคล้ายการกระพือ บริเวณที่โคนลิ้น ทำให้เกิดเป็นเสียงกรน กรณีเช่นนี้ ถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ

 

ถ้าหากเราทำงานหนักมาทั้งวัน หรือเหนื่อยมาก ก็จะนอนหลับสนิทหรือ deep มาก

ทำให้ลิ้นตกลงไปได้มากขึ้น ก็ยิ่งกรนหนักขึ้น แล้วโอกาสที่ร่างกายจะพลิกตัวขณะหลับก็น้อย ทำให้คนที่หลับสนิทมากๆ กรนได้มากกว่าทั่วไป

 

วิธี แก้ไข

ก็คือ นอนหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้น (แต่ถ้ามากไปก็จะปวดคอนะครับ)

หรือถ้ารู้ตัวว่าทั้งวันทำกิจกรรมมากจนเหนื่อยมาก

ก็ให้นอนหลับในท่านอนตะแคง หรือเกือบๆคว่ำ ก็จะช่วยลดเสียงกรนได้ครับ

กรณีที่กล่าวมา ไม่ถือเป็นความผิดปกติ และไม่ถือว่าเป็นโรค

ไม่จำเป็นต้องรักษาอะไรครับ

 

แต่ในอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งมักเกิดกับคนที่อ้วน มีสรีระบริเวณคอใหญ่ รวมทั้งเนื้อเยื่อในโพรงช่องปาก ด้านในใหญ่ด้วย หลายๆส่วนเลยร่วมกัน ขัดขวางทางเดินของอากาศตอนหายใจ ทำให้กรนได้ง่ายขึ้นหรือมากขึ้น ถึงแม้ไม่ได้หลับสนิทและจะทำให้ร่างกายได้รับออกชิเจน ในขณะหลับน้อยลง ร่างกายก็จะเตือนตัวเองให้ตื่นขึ้นแบบไม่รู้ตัว เพื่อพลิกหรือขยับตัว ให้หายใจได้คล่องขึ้น หรือตื่นเพื่อให้ร่างกายหลับตื้นขึ้น ลิ้นก็จะได้ไม่ตกลงไปขัดขวางทางเดินหายใจ

 

บางคนร่างกายจะตื่นตลอดทั้งคืน โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเลย คิดว่าตัวเองหลับสนิทตลอดทั้งคืน มีผลทำให้ตอนตื่นเช้าจะรู้สึกไม่สดใส ทั้งๆที่นอนไปตั้งหลายชั่วโมง จะรู้สึกเหมือนกับนอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง บางทีก็จะปวดศีรษะตอนตื่นนอน กลางวันก็จะง่วงเหงาหาวนอนตลอดทั้งวัน บางครั้งก็ฟุบกับกับหนังสือขณะอ่านหนังสือ

หรือฟุบไปกับพวงมาลัยขณะขับรถ เหมือนหลับใน ทั้งๆที่ไม่ได้อดนอนมา ซึ่งเป็นการเสี่ยงต่ออุบัติเหตุได้

ถ้าไม่ได้ขับรถ เวลาไปนั่งไหนก็จะสัปปะหงกอยู่ตรงนั้นเป็นประจำ

 

ลักษณะทั้งหมดที่กล่าวมา ถือว่าเป็นโรคครับ เรียกว่า Obstructive Sleep Apnea (OSA)

 

การที่จะวินิจฉัยว่าเป็น OSA ก็ดูจากประวัติที่กล่าวมา นอกจากนี้ อาจต้องเข้าทดสอบ Sleep lab คือต้องไปนอนค้างคืน ในห้องที่จัดให้ แล้วมีสายมอนิเตอร์ วัดคลื่นสมอง คลื่นหัวใจ ความเข้มของออกซิเจนในเลือดขณะหลับ เพื่อวัดดูว่า เมื่อมีการหลับลึก แล้วร่างกายขาด ออกซิเจนแค่ไหน เทียบกับขณะกรน รวมถึงการที่ร่างกายต้องตื่นตัวเพื่อให้หลับตื้น ฯลฯ

 

ถ้าเข้า Sleep lab แล้ว ไม่บ่งชี้ว่ามี OSA ก็แก้ไขการนอนกรน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดเสียง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีสาเหตุจากส่วนประกอบต่างๆ ที่โตขึ้น ตรงไหนโตก็ทำให้เล็กลง เพื่อไม่ให้มาขัดขวางทางเดินหายใจ การตรวจภายในช่องปาก อาจพบส่วนประกอบต่างๆ ที่ใหญ่ขึ้น เช่น ลิ้นไก่ เนื้อเยื่อที่อยู่ข้างลิ้นไก่ ที่เวลาอ้าปากมองในกระจกจะเห็นเป็นเหมือนซุ้มประตูโค้ง ( Anterior pillar ) รวมทั้ง อาจมีต่อมทอนซิลโตด้วย ถ้าต่อมทอนซิลโต การตัดต่อมทอนซิลอาจช่วยลดเสียงได้ ถ้าลิ้นไก่ และ/หรือ anterior pillar ใหญ่ อาจใช้การรักษา ด้วยเลเซอร์จี้ให้ยุบลงได้ กรณีนี้ต้องปรึกษาหมอทางด้านหู คอ จมูกครับ

 

ถ้าทดสอบ Sleep lab แล้วบ่งชี้ว่าเป็น OSA ก็ต้องหาสาเหตุต่างๆ แล้วก็แก้ที่สาเหตุ รวมทั้งแก้ไขด้วยเครื่องช่วยหายใจแบบ Positive End--Expiratory Airway Pressure เพื่อป้องกันไม่ไห้เกิดผลแทรกซ้อนต่างๆ ตามมาในระยะยาวเช่น เลือดข้น ( Polycythemia ) หรือความดันโลหิตสูง

 

ไม่ต้องตกใจหรือเป็นกังวลหรอกนะครับ มีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ในคนที่นอนกรน ที่พบว่าเป็น OSA ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ตัวอ้วนมาก โดยเฉพาะฝรั่งทางตะวันตก จะเป็นมากกว่าคนไทย

คนส่วนใหญ่ที่นอนกรน ใช้การจัดท่านอนที่เหมาะสมก็ช่วยได้แล้วครับ ที่เหลือก็เป็นเรื่องขององค์ประกอบบางอย่างในช่องปากด้านในที่มันใหญ่ ก็แก้ไขไม่ยากครับ

 

ทั้งนี้ทั้งนั้น ปรึกษาหมอทางด้านหู คอ จมูก จะดีที่สุดครับ

 

โดย นพ.สมยศ ชัยธีระสุเวท

 

http://www.thaiclinic.com/question/question_snoring.html

 

เพิ่ม เติมค่ะ....มีรายละเอียดอีกดีมากๆค่ะ

 

http://www.saintmedical.com/index.php?tpid=0013

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เปิดเว็บ"ฤาษีดัดตนดิจิตอล" สอนท่ากายบริหารไทยทั่วโลก

 

"เนค เทค" เปิดเว็บไซต์ "ฤาษีดัดตนฉบับดิจิตอล"

 

สอนวิธีการทำท่ากาย บริหารแบบไทยเป็นครั้งแรกของโลก

 

 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่อุทยานการเรียนรู้ "ทีเคปาร์ค" ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) พร้อมด้วยนายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชต พงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอ นิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมแถลงข่าวการเปิดตัวเว็บไซต์

 

กดดูที่ลิ้งค์นี้ค่ะ

 

www.rusiedotton.thai.net

 

คุณ หญิงกัลยา กล่าวว่า หลังจากเนคเทคได้รับประสานจากคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่ง โลกของประเทศไทย เพื่อพัฒนาท่ากายบริหาร "ฤาษีดัดตนฉบับดิจิตอล" ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า คณะกรรมการองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ "ยูเนสโก" ได้มีมติรับรองศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราช วรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) ขึ้นทะเบียนเป็นเอกสารมรดกความทรงจำของโลก ซึ่งการจารึกโคลงประกอบรูปฤๅษีดัดตน ถือเป็นส่วนหนึ่งของศิลาจารึกดังกล่าวด้วย ดังนั้นนอกจากจะเป็นการเผยแพร่ท่าฤาษีดัดตนไปทั่วโลกแล้ว ยังช่วยอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาของไทยไว้ในรูปแบบดิจิตอลออนไลน์เป็นครั้งแรก ของโลก

 

 

q3.jpg

 

ดร.พันธ์ศักดิ์ ผอ.เนคเทค กล่าวว่า ในการวิจัยและพัฒนาฤาษีดัดตนฉบับดิจิตอล แบ่งวิธีการออกเป็น 3 ขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 ใช้ซอฟต์แวร์สามมิติขึ้นรูปฤาษีจำลองตามแบบ การขึ้นรูปจะใช้ลักษณะโครงสร้างแบบไวร์เฟรม และใช้เทคนิคการปั้นโพลีกอนในการสร้างโมเดลฤาษีสามมิติ คำนึงถึงการสร้างโพลีกอน 2 ประเภทหลัก คือ 1.ใช้ Face แบบ 3 จุด (Triangle) 2.ใช้ Face แบบ 4 จุด (Quad) ซึ่งทั้ง 2 แบบจะให้ผลที่ดีในการทำโมเดลสามมิติให้มีความโค้งมนนุ่มนวล

 

__fwdDer.com__-104152832-q2.jpg

 

ส่วนขั้นตอนที่ 2 เทคนิคในการสร้างภาพเคลื่อนไหวใช้วิธีเลียนแบบวิดีโอที่เรียบเหมือนการ เคลื่อนไหวของมนุษย์ทำให้ได้ภาพที่เหมือนจริงมากกว่า และขั้นตอนที่ 3 ใช้เทคนิคการ Rendering ด้วย Grid Computing ในการทำ Render เป็นการคำนวณแสงเงาตกกระทบวัตถุในโมเดลสามมิติ ซึ่งอยู่ในรูปโพลีกอน หรือ NURBS ภายในโปรแกรมสามมิติต่างๆ โดยแปรผันการใช้เวลา Render มากหรือน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับรายละเอียดของ Model,Texture,Shading,Light และคุณภาพของการกำหนดค่า Render โดยจำเป็นต้องอาศัยศักยภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถสูงในด้าน ความเร็วประมวลผลและความเสถียรของระบบ ได้รับความร่วมมือให้ใช้คอมพิวเตอร์กริด ของศูนย์ไทย กริดแห่งชาติในการทำ Render ทั้งหมด

 

"ฤาษีดัดตนในรูปแบบ ดิจิตอล เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเก็บรักษามรดกทางปัญญาของชาติไว้ และเพื่อเผยแพร่ให้คนทั่วโลกนำไปใช้เป็นท่ากายบริหารได้ด้วย" ดร.พันธ์ศักดิ์กล่าว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...