ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
moddang

สาระน่ารู้....สุขภาพ.....

โพสต์แนะนำ

"โรคอุบัติใหม่" ภัยร้ายที่ตามล่า "มนุษย์"

 

 

อันนี้ยังไม่ได้โหลดอ่ะค่ะ......

 

http://www.sangsue.co.th/node/68

 

 

ทั้ง 2 ไฟล์ ยังอ่านไม่จบ.... แต่อยากจะบอกว่า ทั้งหมดนี้น่า มอบเป็นของขวัญ ปีใหม่ให้เพื่อนๆอ่านกัน

 

โอกาสนี้มดแดงขอมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้เพื่อนๆนะคะ

 

 

28796xf3z4sbjdh.gif748895c3fyugpiju.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ยาเหลือใช้... ที่บ้าน

 

การใช้ยา พอเพียง

นักเขียนหมอชาวบ้าน :

ภก.ดร.วิรัตน์ ทองรอด

 

 

 

คำถาม มี...ยาเหลือใช้ (หรือ ยาขยะ)...ที่บ้าน ควรทำอย่างไรดี?

 

ยา นับเป็นหนึ่งในปัจจัย ๔ ที่สำคัญ ทุกบ้านจึงมักมียาไว้ประจำบ้านทั้งเพื่อรักษาการเจ็บป่วยเบื้องต้นเล็กๆ น้อยๆ หรือสำหรับการรักษาโรคประจำตัวของสมาชิกในครอบครัว

 

บรรดายาที่ มีไว้ในบ้านนี้ บ่อยครั้งที่เก็บไว้แล้วไม่ได้ใช้ อาจเป็นเพราะว่า ผู้ป่วยที่เคยใช้ยาชนิดนี้ได้เปลี่ยนแปลงการรักษาโดยแพทย์ให้เปลี่ยนยาชนิด ใหม่ ทำให้ยาเดิมที่เหลืออยู่ไม่ได้ใช้ หรืออาจเกิดจากผู้ป่วยที่เคยใช้ยานี้เสียชีวิตไปแล้ว ทำให้เหลือยาของผู้ตายคนนี้อยู่ หรือยากลุ่มที่ใช้บรรเทาอาการ เช่น ปวดหัว ปวดฟัน ฯลฯ เมื่อหายปวดแล้วก็ไม่ได้ใช้ยา จึงมียาที่เหลืออยู่เช่นกัน จะขอเรียกยาที่เหลือยู่นี้ว่ายาเหลือใช้

 

ส่วน ยาขยะ มีความหมายคล้ายคลึงกันกับยาเหลือใช้ แต่จะแคบกว่าโดยเน้นว่า "ขยะ" เป็นยาที่ไม่มีประโยชน์แล้ว ไม่ควรหรือไม่สามารถนำมาใช้ได้อีก

 

ในขณะที่ยาเหลือใช้อาจหมายถึง ยาที่ยังใช้ได้ผลดีอยู่ (ยังไม่เสื่อมสภาพ หรือยังไม่หมดอายุ) หรือใช้ไม่ได้แล้วก็ได้ (ยาที่เสื่อมสภาพ หรือหมดอายุแล้ว)

 

ดังนั้น ยาเหลือใช้ จึงมีความหมายกว้างกว่า ยาขยะ คือ ครอบคลุมทั้งยาที่ยังใช้ได้และใช้ไม่ได้ แต่ยาขยะจะหมายถึงยาที่ใช้ไม่ได้แล้ว

 

 

 

สาเหตุของยาเหลือใช้ หรือ ยาขยะ

 

ถ้า สำรวจกันจริงๆ ก็จะพบว่า เกือบทุกหลังคาเรือนจะมียาเหลือใช้อยู่ไม่มากก็น้อย ยาเหลือใช้เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงชนิดของยาในการรักษา ทำให้มียาเดิมเหลืออยู่และผู้ป่วยไม่ได้ใช้

 

อีกสาเหตุหนึ่งคือ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังไม่ได้ใช้ยาอย่างสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง หรือเมื่ออาการดีขึ้นแล้วจึงหยุดยาเอง (ซึ่งไม่ควรหยุดยาเอง ควรใช้ยาอย่างสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง)

 

นอกจากนี้ อาจหยุดยาเนื่องจากเกิดผลข้างเคียงหรืออาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา หรือผู้ป่วยเสียชีวิต ทำให้เกิดยาเหลือใช้ได้

 

 

 

ยาเหลือใช้ (หรือ ยาขยะ) ...เป็นเงินทั้งนั้น

 

มี รายงานในต่างประเทศว่า ยาที่เหลือใช้นี้มีประมาณร้อยละ ๓ ถึง ๒๐ ของยาทั้งหมดที่ผู้ป่วยได้รับมาจะจากโรงพยาบาลหรือร้านยาก็ตาม ในบางคนยาเหลือใช้อาจมีค่าเพียงไม่กี่บาท แต่บางคนอาจมีค่าสูงเป็นหมื่นๆ บาทได้ เม็ดเงินที่ใช้จัดหายาเหล่านี้อาจเป็นเงินจากกระเป๋าของเรา (ที่ต้องจ่ายไปเอง) ของหน่วยงานของรัฐบาล (ที่มีคนอื่นๆ จ่ายแทนให้ก็ตาม) แต่ผลโดยรวมแล้วก็เป็นเงินของชาวไทย และเป็นเงินของประเทศชาติทั้งหมด

 

จาก การสำรวจยาเหลือใช้ที่บ้านของประเทศอังกฤษ พบว่า ยาเหลือใช้คิดเป็นเงินมีมูลค่าสูงถึง ๒๐๐ ล้านปอนด์ต่อปี (ถ้าอัตราแลกเปลี่ยน ๕๐ บาทต่อปอนด์ จะเป็นเงินถึง ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท) ซึ่งมีมูลค่าเป็นร้อยละ ๓ ของค่าใช้จ่ายด้านยาทั้งหมด และถ้านำเงินก้อนนี้ไปเป็นค่าจ้างให้กับพยาบาล จะสามารถจ้างพยาบาลได้ถึง ๑๕,๐๐๐ คน หรือถ้าจะนำไปจ้างแพทย์จะได้กว่า ๒,๐๐๐ คนต่อปี

 

ดังนั้น จะเห็นได้ว่ายาเหลือใช้มีเป็นจำนวนมากและมีความสำคัญต่อค่าใช้จ่ายของทุกคน และส่งผลต่องบประมาณของชาติอีกด้วย ทุกฝ่ายจึงต้องช่วยกันใช้ยาอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และประหยัด

 

 

 

ยาเหลือใช้... ยังใช้ได้หรือไม่?

 

ดัง ที่ได้กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า ยาเหลือใช้ จะประกอบด้วย ยาที่ยังใช้ได้กับยาที่ใช้ไม่ได้แล้ว ดังนั้น จึงขอแนะนำง่ายๆ ในการสังเกตด้วยตนเองว่า ยาชนิดนั้นยังใช้ได้หรือไม่ ซึ่งมีหลักในการสังเกตง่ายๆ ดังนี้

๑. การเก็บยา

๒. ฉลากยา

๓. วันหมดอายุ

๔. ลักษณะภายนอกของยา

 

 

 

การเก็บรักษายา

 

การ เก็บรักษายาที่ดี ควรจัดเก็บในภาชนะที่เหมาะสม เช่น กระปุกยา ซองยา ฯลฯ และเก็บไว้ให้เป็นที่เป็นทาง เช่น ในตู้ยา ในกล่อง ในถุง ในลิ้นชัก หรือในตู้ เป็นต้น ซึ่งมีสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงทั้งแสง ความร้อน และความชื้น เพราะทั้ง ๓ ประการจะส่งผลต่อความคงตัวของยา จึงควรเก็บยาให้พ้นแสง อย่าให้ร้อนเกินไป และไม่ควรมีความชื้นสูง ซึ่งจะส่งผลทำลายคุณภาพของยาได้ นอกจากนี้ควรเลือกสถานที่เก็บยาให้พ้นมือเด็กและไกลจากสัตว์เลี้ยง

 

 

 

ฉลากยา

 

ควร รักษาฉลากยาให้ครบถ้วน เพื่อง่ายต่อการนำมาใช้ได้อย่างถูกต้อง ในการใช้ยาทุกครั้ง ควรอ่านฉลากยา โดยเฉพาะวิธีการใช้ยา และใช้อย่างถูกต้อง ถูกคน ถูกโรค ถูกเวลา จะได้เกิดผลดีในการรักษา และไม่เกิดการลืมใช้ยา

 

 

 

วันหมดอายุ

 

สิ่ง หนึ่งที่จะปรากฏในฉลากยา คือ วันหมดอายุ ซึ่งมักจะระบุเป็นภาษาไทยว่า "วันหมดอายุ" หรือ "ยาสิ้นอายุ" หรือในภาษาอังกฤษว่า "Exp. Date" หรือ "Expired Date" หรือ "Expiry Date" หรือ "Use before" เป็นต้น

วันหมด อายุนี้มักจะระบุควบคู่กับวันที่ผลิตยา โดยจะเรียงวันที่ผลิตมาก่อนแล้วจึงตามด้วยวันหมดอายุเสมอ ซึ่งอาจจะระบุปีเป็นปี พ.ศ. หรือ ค.ศ. ก็ได้

 

 

 

ลักษณะภายนอกของยา

 

เมื่อ พิจารณาวันหมดอายุไปแล้ว ก็พิจารณาลักษณะของยาจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็น สี กลิ่น รส ซึ่งสังเกตได้ด้วยตา จมูก และลิ้น ตัวอย่างเช่น สีของยาเม็ด ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงไปก็ไม่ควรใช้ ยาบางอย่างจะมีสีเข้มขึ้น หรือเยิ้มเมื่อมีความชื้น เป็นต้น ถ้ารูปลักษณ์ของยาเปลี่ยนแปลงไปก็ไม่ควรใช้

 

ทั้ง ๔ ข้อนี้ เป็นวิธีการง่ายๆ ที่จะสังเกตว่า ยายังดีอยู่ ยังไม่เสีย ยังใช้ได้ ถ้าเก็บยาไว้ในที่ๆเหมาะสม ไม่ร้อนเกินไป ไม่ถูกแสง และไม่ชื้นมาก รวมถึงฉลากยายังสมบูรณ์ชัดเจน มีชื่อยา ชื่อผู้ป่วย วิธีใช้อย่างชัดเจน และยังไม่หมดอายุ ประกอบกับมีสภาพรูปลักษณ์สีสันภายนอกเหมือนเดิม จึงถือว่ายายังดีอยู่ และใช้ได้ ไม่ถือเป็นยาขยะ

 

แล้วจะจัดการกับยาเหลือใช้อย่างไร?

 

เมื่อ มียาเหลือใช้อยู่ในบ้าน นับวันจะมากขึ้นๆ จากกองเล็กๆ ก็จะขยายใหญ่ขึ้น หรือถ้าใส่ในกระจาดเล็กๆ ก็จะค่อยๆ ขยายมากขึ้น จนล้นกระจาด แล้วจะจัดการกับยาเหลือใช้อย่างไร?

 

คำถามที่ ๑ ควรทิ้งยาเหลือใช้ "ลงในชักโครก" หรือไม่?

 

ข้อ เสนอแนะข้อแรกนี้เป็นสิ่งที่กำจัดได้ง่ายที่สุด แถมยังสะดวกสบายที่สุด โดยการนำยาเหลือใช้ทั้งหมดไปเทลงในชักโครก แล้วกดให้น้ำล้างก็เสร็จเรื่องกันไป วิธีนี้จะดีจริงหรือ?

ยาทั้งหมดจะ ถูกละลายลงไปอยู่ในบ่อเกรอะ บางส่วนก็จะละลายซึมออกไปกับน้ำ โดยเฉพาะส้วมซึมแบบที่นิยมกันมากในเมืองไทย สุดท้ายยาเหล่านี้ก็จะละลายไปสะสมอยู่ในแหล่งน้ำต่างๆ ตามธรรมชาติ ดังปรากฏเป็นข่าวในต่างประเทศว่า พบยาปนเปื้อนในแหล่งน้ำต่างๆ พบในตัวปลาที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำนั้นๆ ทั้งยังเพิ่มการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย และที่ร้ายที่สุด คือ ยาละลายปนเปื้อนอยู่ในน้ำดื่มน้ำใช้ของประชาชน

ดังนั้น จึงไม่ควรทิ้งยาเหลือใช้... ลงในชักโครก

 

 

 

คำถามที่ ๒ ควรทิ้งยาเหลือใช้ "ลงในอ่างล้างจาน" หรือไม่?

 

ใน เมื่อทิ้งในชักโครกหรือคอห่านไม่ได้ จะขอทิ้งในอ่างล้างจานจะได้ไหม? ประเด็นนี้คงพอเดาได้แล้วว่า ไม่ดีแน่นอน เพราะยาที่ถูกเททิ้งลงไปในท่อของอ่างล้างจาน ก็จะละลายและไหลไปรวมกันในแหล่งน้ำ ซึ่งยังไม่มีวิธีการกำจัดยาออกจากน้ำเสีย ยาจะสะสมหมุนเวียนในลักษณะเดียวกันกับประการแรก เกิดการสะสม ปนเปื้อนในสัตว์น้ำ เกิดแบคทีเรียดื้อยา และอาจปนเปื้อนในน้ำดื่มน้ำใช้ของเราได้เช่นกัน

คำตอบ จึงไม่ควรทิ้งยาเหลือใช้... ลงในอ่างล้างจาน

 

 

 

คำถามที่ ๓ ควรนำไป "ให้เพื่อนใช้" หรือไม่?

 

ประเด็น ที่ ๓ เมื่อยาเหลือก็เอาไปให้เพื่อนหรือญาติพี่น้องที่เป็นโรคหรือมีอาการเดียวกัน กับเราใช้จะได้ประโยชน์ ไม่เสียของเปล่าๆ ฟังดูดี แถมยังมีคุณธรรม ได้ช่วยเหลือคนอื่นอีกด้วย ในกรณีเช่นนี้จะใช้ได้จริงๆ ก็ต้องเป็นยาชนิดเดียวกันและขนาดเดียวกันเท่านั้น จึงจะใช้แทนกันได้ แต่ถ้าเป็นโรคหรืออาการเหมือนกัน ยังไม่แนะนำให้นำไปให้เพื่อนใช้ เพราะ โรคเดียวกันหรืออาการที่คล้ายกัน แต่ระดับความรุนแรงหรือลักษณะอื่นๆ อาจแตกต่างกัน นอกจากนี้การจ่ายยาให้ผู้ป่วยนั้น แพทย์ผู้สั่งจ่ายยาจะพิจารณาลักษณะของแต่ละคน และเลือกยาให้เหมาะสมที่สุด

ยาที่ได้ผลดีกับคนที่ ๑ อาจจะได้ผลหรือไม่ได้ผลเลยกับคนที่ ๒ แถม อาจจะเกิดผลเสียเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาได้ เช่น แพ้ยา เป็นต้น ดังนั้นจึงควรนำไปปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา อยากคิดเอง เออเอง

 

 

 

คำถามที่ ๔ ควรนำไป "หาแพทย์หรือเภสัชกร" หรือไม่?

 

ส่วน ประเด็นคำถามสุดท้ายนี้ ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะแพทย์ หรือเภสัชกร จะช่วยกัน ตรวจเช็กความพร้อมของยาเหลือใช้เหล่านั้นว่า ยังใช้ได้อยู่หรือไม่ ถ้าใช้ได้ จะได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับผู้ป่วย อาจจะเป็นคนเดิมที่เป็นเจ้าของ หรือนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับผู้ป่วยคนอื่นตามความเหมาะสมต่อไป

ดังนั้น เมื่อมี..ยาเหลือใช้...จึงควรนำกลับไปปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร ดีที่สุด

 

 

ขอย้ำเตือนอีกครั้งหนึ่งว่า "ยามีคุณอนันต์ มีโทษมหันต์" ควรใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น และควรใช้อย่างพอเพียง ใช้ด้วยเหตุด้วยผล ไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อเกินจำเป็น

 

ยา ล้วนเป็นสารเคมีที่อาจจะเกิดอันตรายกับผู้ใช้ยาได้ทุกเมื่อ จึงควรพินิจพิจารณาให้ถ้วนถี่ก่อนใช้ และใช้อย่างถูกต้องเหมาะสมให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์ที่สุด ตามหลัก ๓ ป. (ปอ ปลา) คือ ประสิทธิภาพ ปลอดภัย และประหยัด

 

 

http://www.doctor.or.th/node/10987

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข่าวดีสำหรับคนไข้เบาหวานค่ะ

 

 

ครั้งแรกในไทย ศิริราชปลูกถ่าย “ตับอ่อน” สำเร็จ!

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

 

 

553000019123701.JPEG

 

ยอดฝีมือทีมศัลยศาสตร์เปลี่ยนถ่ายอวัยวะ รพ.ศิริราช

 

ถือเป็นความสำเร็จ อย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งของทีมแพทย์ “ศิริราช” ที่ได้ปลูกถ่าย “ตับอ่อน” แก่ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่1 ได้สำเร็จ “ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์” เผยถูกกว่าเมืองนอก 10 เท่า ได้ผลดี ผู้ป่วยคุณภาพชีวิตดีขึ้น ระบุเมื่อก่อนยังไม่แพร่หลาย แต่เชื่อหลังแถลงข่าวจะมีผู้ป่วยจำนวนมากรับทราบข้อมูลและเข้าถึงการรักษา แบบใหม่นี้เพิ่มขึ้น

 

วันนี้ (23 ธ.ค.) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เวลาประมาณ 10.15 น.ณ ห้องประชุม อาคารอำนวยการ ชั้น 2 โรงพยาบาลศิริราช ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พร้อมด้วย ศ.นพ.ศุภกร โรจนนินทร์ หัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ อ.ดร.นพ.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร หัวหน้าทีมศัลยแพทย์ปลูกถ่ายอวัยวะ อ.นพ.สมชัย ลิ้มศรีเจริญ ทีมศัลยแพทย์ปลูกถ่ายอวัยวะ และนายสมนึก พิสัยพันธ์ ผู้ป่วยผู้ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายเปลี่ยนตับอ่อนสำเร็จเป็นรายแรกของไทย ร่วมกันแถลงข่าวความสำเร็จในการปลูกถ่ายเปลี่ยนตับอ่อนในครั้งนี้

 

ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ กล่าวว่า นับเป็นอีกก้าวที่ยิ่งใหญ่ของทีมแพทย์ไทย ที่การผ่าตัดเปลี่ยนตับอ่อนให้ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งโรคเกิดจากความผิดปกติของตับอ่อนเอง ที่ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยมากมักจะพบในเด็ก ซึ่งผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 นี้ ถือเป็นผู้ป่วยเบาหวานส่วนน้อยในประเทศไทย หากเทียบกับเบาหวานชนิดที่2 ที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต การกิน ที่มักพบในวัยสูงอายุและคนอ้วน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนพบว่าผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่1 ในประเทศไทยประมาณร้อยละ10 ของผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้งหมด ในขณะที่ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีถึง 90% เลยทีเดียว

 

ด้าน ศ.นพ.ศุภกร กล่าวว่า ตับอ่อนอาจจะเป็นอวัยวะที่ไม่คุ้นหูนัก ตับอ่อนจะอยู่ด้านหลังกระเพาะอาหาร ลักษณะเป็นอวัยวะทรงรีขวางกลางลำตัว ทำหน้าที่ผลิตน้ำย่อยและผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ตับอ่อนจะสร้างอินซูลินได้น้อยหรือไม่สร้างเลย ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยไม่นิ่ง โดยจะสวิงต่ำเกินไปและสูงเกินไปอยู่ตลอดเวลา ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตเป็นอย่างยิ่ง หากต่ำเกินไปอาจช็อคจนเสียชีวิตได้ หากสูงเกินไปจะส่งผลต่อไต ทำให้ไตวาย จอประสาทตาเสื่อม หลอดเลือดหัวใจตีบ

 

ในขณะที่ อ.นพ.สมชัย ระบุว่า เดิมการรักษาที่ทำโดยทั่วไปต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่1 คือการฉีดอินซูลินเพื่อปรับระดับน้ำตาลในเลือดวันละ 3-4 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้ผลดีนัก และโดยมากแล้วผู้ป่วยโรคดังกล่าวจะมีภาวะไตวายร่วมด้วยเพราะควบคุมน้ำตาลได้ ยาก

 

อ.ดร.นพ.ยงยุทธ อธิบายว่า การปลูกถ่ายเปลี่ยนตับอ่อนนี้เป็นเรื่องใหม่ของประเทศไทย แต่ทำมานานแล้วในอเมริกา โดยเกิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.2509 แต่จนถึงทุกวันนี้ทั่วโลกมีผู้ได้รับการปลูกถ่ายเปลี่ยนตับอ่อนเพียง 23,000 คนเท่านั้น โดยราวๆ 17,000 คนอยู่ในอเมริกา และที่เหลือส่วนใหญ่จะอยู่ในยุโรป และมีประเทศอื่นๆ นอกภูมิภาคดังกล่าวเล็กน้อยไม่มากนัก

 

“การเปลี่ยนตับอ่อนที่ทำ ใช้ตับอ่อนจากผู้บริจาคที่มีภาวะสมองตายที่แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะ แต่ในเมืองไทยยังมีอยู่ไม่มาก แต่ด้วยวิธีนี้ไม่เป็นที่แพร่หลาย การลงชื่อแสดงความจำนงขอรับบริจาคก็มีน้อยเช่นกัน ใน 10 ปีนี้ที่ไปลงนามที่สภากาชาดไทยเราพบคุณสมนึกคนเดียว ทางสภากาชาดเองก็เพิ่งจะกำหนดการจัดสรรอวัยวะตับอ่อนใน 5 ปีที่ผ่านมานี้เองเหมือนกัน ส่วนในเรื่องของการเอาตับอ่อนออกจากร่างกายผู้บริจาคเป็นเรื่องที่ต้องใช้ ทีมแพทย์ที่ชำนาญเพราะมีเส้นเลือดมาก แถมตับอ่อนที่เอาออกมาก็ไม่ทน อย่างตับนี่อยู่ได้เป็น 10 ชั่วโมง แต่ตับอ่อนนี่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตาย ต้องระวังและใช้ความชำนาญสูงพอสมควร ทั้งยังมีข้อจำกัดด้วยว่า ต้องเป็นผู้บริจาคที่อยู่ไม่ไกลพื้นที่ที่เราจะนำมาเปลี่ยนถ่าย เพราะตับอ่อนจะอยู่ข้างนอกร่างกายได้ไม่นาน แล้วต้องเป็นผู้บริจาคที่ไม่เป็นเบาหวาน ไม่มีประวัติตับอ่อนอักเสบจากการดื่มสุรา”

 

ด้าน นายสมนึก ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนตับอ่อนสำเร็จเป็นคนแรก เล่าประวัติอาการป่วยให้ฟังว่า ป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ตั้งแต่อายุ 20 พอป่วยได้ 5 ปี ก็เกิดภาวะไตวาย ต้องฟอกไต 3 วันต่อ 1 สัปดาห์ ครั้งละ 4-5 ชั่วโมง คุณภาพชีวิตแย่มาก เพราะไหนจะต้องระวังเรื่องน้ำตาลที่สวิงตลอดเวลา ฉีดอินซูลินวันละ 4 ครั้ง แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าใดนัก บ่อยครั้งที่น้ำตาลต่ำจนช็อค และสูงขึ้นไปถึงหลักพัน แล้วยังต้องดูแลร่างกายตัวเองจากสภาวะไตวาย จนกระทั่งในพ.ศ.2550 ก็ได้รับบริจาคไตจากผู้ป่วยสมองตาย และผ่าตัดเปลี่ยนไต

 

“ก็ดีขึ้น ไม่ต้องไปฟอกไต แต่เบาหวานยังเป็นอยู่ จนกระทั่ง 29 ต.ค.ที่ผ่านมา มีผู้บริจาคตับอ่อน ผมโชคดีมาก พอผ่าแล้วฟื้นตัวออกจากโรงพยาบาล ระดับน้ำตาลปกติตลอด จากเดิมที่ต้องกังวลตลอดเวลาเกี่ยวกับระดับน้ำตาลก็ไม่ต้องกังวลอีก ตอนนี้ดูแลเฉพาะเรื่องกินยากดภูมิคุ้มกันเท่านั้น ชีวิตดีขึ้นมากครับ”

 

อ.นพ.สมชัย กล่าวถึงการผ่าตัดผู้ป่วยรายนี้ ว่า เดิมนายสมนึกเคยปลูกถ่ายไตมาแล้ว และเคยปลูกถ่ายตับอ่อนมาแล้ว 1 ครั้งก่อนหน้านี้ แต่ไม่สำเร็จ ตับอ่อนใหม่ที่ใส่เพิ่มเข้าไปทำงานอยู่ 7 วันแล้วเกิดหลอดเลือดอุดตัน จึงต้องผ่าเอาออก คราวนี้ถือเป็นการเปลี่ยนตับอ่อนครั้งที่ 2 ระยะเวลาผ่าตัดประมาณ 3 ชั่วโมง เสียเลือดไม่มากและไม่ต้องให้เลือดเพิ่ม อาการดีจนไม่ต้องพักในห้องไอซียู หลังจากผ่าตัดสามารถพักฟื้นในหอผู้ป่วยเปลี่ยนถ่ายอวัยวะได้เลย และเพียงแค่ 1 วันตับอ่อนก็สามารถผลิตอินซูลินจนระดับน้ำตาลในเลือดเป็นปกติ ส่วนเรื่องการกินยากดภูมิคุ้มกันของร่างกายนั้น เป็นธรรมดาของผู้ป่วยที่เปลี่ยนถ่ายอวัยวะทุกชนิดที่ต้องกินยาดังกล่าวเพื่อ กดภูมิของร่างกายไม่ให้ต่อต้านอวัยวะใหม่ ซึ่ง นายสมนึก กินยากดภูมิอยู่แล้วเพราะเปลี่ยนไต

 

“ส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท แต่คุณสมนึกเบิกโดยใช้สิทธิข้าราชการ จริงๆ ค่าผ่าตัดไม่ถึง แต่ที่แพงคือค่ายา มีอยู่ตัวหนึ่งราคาประมาณ 100,000 บาท โดยผู้ป่วยโรคนี้จะต้องกินยากดภูมิไปตลอดชีวิต ช่วงเดือนแรกหลังผ่าตัดจะมีค่าใช้จ่ายเรื่องยานี้ประมาณ 2-30,000 บาท แต่หลัง 3 เดือนไปจะปรับให้น้อยลงคือเหลือประมาณ 10,000 บาท โดยยานี้เราจะปรับให้ใช้ให้น้อยที่สุด แต่ถ้าเทียบแล้วการไม่ผ่าตัดและฉีดอินซูลินไปเรื่อยๆ กับการผ่าตัดแล้วต้องกินยากดภูมิ เชื่อว่าประการหลังคนไข้มีคุณภาพชีวิตดีกว่าแน่นอน”

 

อย่างไรก็ตาม ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ กล่าวโดยสรุปว่า ต้องสร้างความเข้าใจให้ประชาชนทราบเพื่อจะไม่เข้าใจผิดว่า การปลูกถ่ายเปลี่ยนตับอ่อนนี้ จะใช้เพื่อรักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 เท่านั้น ถ้าเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 หรือมะเร็งตับอ่อน เนื้องอกตับอ่อน และตับอ่อนอักเสบเรื้อรังจากการดื่มสุรา ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีนี้ได้ และหากเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิด1 ที่มีภาวะไตวายร่วมด้วยจะดีมาก ซึ่งในจำนวยผู้ป่วย 23,000 รายทั่วโลกที่เปลี่ยนตับอ่อนไปนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีภาวะไตวายร่วมด้วย และเปลี่ยนอวัยวะ 2 ชนิดไปพร้อมๆ กัน

 

 

“ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 300,000 บาท น่าจะถูกที่สุดในโลกแล้วครับ ถ้าเป็นต่างประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 3,000,000 บาท ตอนนี้บัตรทองยังไม่ครอบคลุม จะเปลี่ยนฟรีเฉพาะไต ตับอาจจะต้องจ่ายเอง แต่เชื่อว่าถ้าวันนี้ออกสื่อไป ผู้ป่วยจะรับทราบมากขึ้น เข้าถึงการรักษาแบบใหม่นี้มากขึ้น และถ้ามีคนรักษามากขึ้น ก็อาจจะมีการบรรจุเอาไว้ในสิทธิประกันก็ได้ครับ” ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ ทิ้งท้าย

 

 

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000180314

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พืชผักใกล้ครัวที่เป็นยา

 

img_0717.jpg

 

กระถิน

 

สรรพคุณ ยอดและฝักใช้กินเป็นผักชนิดหนึ่ง แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงหัวใจ // เมล็ดแก่ แก้ขับลม ขับระดูในสตรี บำรุงไตและตับ แก้อาการนอนไม่หลับ เป็นยาอายุวัฒนะ ฯ

 

กะเพรา

 

สรรพคุณ ดอก ใบ กิ่ง ใช้ปรุงเป็นยาบำรุงธาตุ แก้ปวดท้อง ท้องขึ้น เฟ้อ เรอ เหม็นเปรี้ยว แก้ลมตาล ลมทรางในเด็ก แก้ลมตีป่วนในท้อง ช่วยขับลม ใช้ผายลมและเรอออกมา แก้ลมจุกเสียด ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ใช้ปรุงผสมกับสมุนไพรอื่นๆ เป็นยาเขียว ยาลม ยาธาตุ และยาแก้กษัย // ราก ใช้ฝนใส่ฝาหม้อดินผสมกับสุราขาว หยอดใส่ปากเด็กโตอายุ 3-5 ขวบขึ้นไป ช่วยให้ลมในกระเพาะลำไส้ เด็กเล็กกว่านี้ใช้เป็นยาแก้ถ่ายขี้เทา ช่วยให้ผายลมในกรร๊เด็ดท้องอืด ท้องเฟ้อ มักจะเรอน้ำนม ฯ

 

 

กระเทียม

 

สรรพคุณ กระเทียม มีชื่อเรียกแตกต่างกันตามสภาพท้องถิ่น มักลิ่นเผ็ดร้อน ทางเหนือเรียก หอมเทียม ภาคอีสานเรียก หอมขาว ปักษ์ใต้เรียก หัวเทียม ใช้หัวสดตำทาแก้โรคผิวหนัง เช่น เกลื้อน กลาก เรื้อนกวาง ตลอดจนผดผื่นคันตามตัวทั่วไป ปรุงผสม สมุนไพรอื่น แก้ริดสีดวงทวาร ริดสีดวงลำไส้ แก้ขับลมปัสสาวะ แก้กษัยบำรุงไต แก้ขับระดูในสตรีพิการ มีกลิ่นคาว เหม็นเน่า แก้อาการโรคประสาทอ่อนๆ อาการนอนไม่หลับ อาหารเหม่อลอย สะดุ้งผวาตกใจง่าย แก้ขับเนื้อร้ายภายใน สมานแผลในกระเพาะและแผลในลำไส้ แก้โรคหืด อัมพาต ลมตีขึ้นทำให้หน้ามืดตาลาย ลมตีลงทำให้ปั่นป่วนในท้อง และลำไส้ เกิดอาการคลื่นเหียน อาเจียน อาการปวดตามบั้นเอว สันหลังและชายดครงทั้งสองข้าง ใช้ทุบโขลกสระผม แก้โรคผิวหนัง ขจัดรังแคบนศรีษะ ป้องกันผมหงอกก่อนวัย เป็นยาอายุวัฒนะ

 

กระชาย

 

สรรพคุณ ตำรับยาใช้หัวปรุง แก้อาการปากเปื่อย ปากเป็นแผล ปากแตกแห้ง ร้อนในกระหายน้ำ แก้ใจคอหวาดหวิวผวา แก้ปวดท้อง ลงท้อง จุกเสียด แก้บิด มูกเลือด บำรุงกำลัง บำรุงน้ำดี ฯ

 

กระเจี๊ยบ

 

สรรพคุณ ใบ ใช้เป็นยากัดเสมหะ แก้ไอคันคอ ขับไขมัน และเมือกในลำไส้ให้ออกทางทวารหนัก // เมล็ด ใช้ปรุงยาแก้ดีพิการ บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง ขับปัสสาวะ บำรุงไต ฝักหรือผล กำลังดิบๆ ไม่แก่เกินไป ต้มกินบำรุงธาตุ บำรุงไต ขับปัสสาวะ ทำให้คอชุ่มเย็นๆ

 

กล้วยน้ำหว้า

 

สรรพคุณ กล้วยชนิดอื่นๆ ที่กินไม่ได้ มักจะปลูกไว้ทำยากล้วยน้ำหว้า ใช้กินผลสุกวันละ 2-3 ลูก ช่วยให้บำรุงกำลังเจริญอาหาร ช่วยระบบขับถ่าย แก้ท้องผูก แก้โรคกระเพาะ ลำไส้เป็นแผล และเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ ทำให้กระเพาะและลำไส้ไม่ค้างกากอาหารเก่าๆ

 

ขมิ้น

 

สรรพคุณ ใช้ขับระดูสำหรับสตรี ที่มีกลิ่นเหม็น และเลือดจับกันเป็นก้อนดำ จะช่วยละลายให้แตกเป็นลิ่มๆ ออกมา แก้บิดเป็นมูกเลือด แก้น้ำดีพิการ ขับลมให้ผายออกมาทางทวารหนัก หรือให้เรอออกมาทางปาก แก้น้ำดีพิการ ขับลมให้ผายออกมาทางทวารหนัก หรือให้เรอออกมาทางปาก ฝนหยอดตา แก้อาหารตาแดง ตาเปียกแฉะมีขี้ตาเป็นประจำในฤดูแล้ง ยังแก้ธาตุพิการ ท้องร่วง ใช้ดมแก้หวัด ขับเสมหะในลำคอ ผสมสมุนไพรอย่างอื่นๆ เป็นยาคุมธาตุยังแก้ฟกช้ำ ดำเขียวตามร่างกาย ด้วยการเอาหัวสดๆ มาตำพอกบรรเทาอาการอักเสบและเคล็ดยอกได้ด้วยๆ

 

ข่า

 

สรรพคุณ แก้ท้องเสีย ไล่ลมในท้อง หรือมีอาการปวดมวนหรือแน่น จุกที่หน้าอก ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เวลากินอาหารมากๆ จะไม่ท้องเสียหรือปวดท้อง ช่วยขับลมในลำไส้และลมในกระเพาะ ใบใช้ตำพอกหรือทาโรคผิวหนัง หิด กลาก เกลื้อน ถ้าหญิงคลอดลูกใหม่ๆ เลือดขัดใช้หัวข่าสดมาบด ผสมน้ำมะขามเปียกและเกลือแกง บับคั้นเอาแต่น้ำๆ ประมาณชามแกงย่อมๆ ให้ดื่มเข้าไปจนหมด จะสามารถขับเลือดเสียออกมาจนหมด และยังช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วยิ่งขึ้น ฯ

 

ขี้เหล็ก

 

สรรพคุณ แก่น แก้ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย บำรุงธาตุไฟ แก้หนองในและการมโรคในบุรุษ ราก แก้ไข้หัวลม เมื่ออากาศเปลี่ยนฤดูกาล แก้ปวดเมื่อย เหน็บชา แก้กษัย บำรุงไต ดอก แก้โรคประสาท อาการนอนไม่หลับ แก้หอบ หืด บดผสมน้ำฟอกผมบนศรีษะขจัดรังแค เปลือก แก้ริดสีดวงทวาร ริดสีดวงลำไส้ แก้โรคเบาหวาน สมานแผลให้หายเร็ว ใบแก่ แก้ ถอนพิษ ถ่ายพิษ แก้กามโรค ตำพอกที่แข้งขา มือเท้าที่มีอาการบวมเนื่องจากเหน็บชา ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ และพิษจากแมลง สัตว์ กัดต่อย กิ่งใบ ทำเป็นยาระบาย ถ่ายพิษ ขับเสลดในคอ แก้ไข้จับสั่น (มาเลเรีย) จนม้ามย้อย แก้โรคเหน็บชา แก้ร้อนในกระหายน้ำ ดีนัก ฯ

 

แคขาว แคแดง

 

สรรพคุณ เปลือกแค แก้ร้อนในกระหายน้ำ ขับเสมหะในลำคอ บำรุงกระเพาะและลำไส้ นอกจากนี้ แค ทั้งเปลือกที่นำมาต้ม ยอด ดอกและฝักที่เรานำมากินเป็นผักประจำวันนั้น แก้ท้องเดินท้องร่วง สมานแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้บิดมูกเลือด แก้ไข้หัวลม (คือก่อนเข้าฤดูหนาว) แก้ริดสีดวงจมูก ใบใช้ตำพอกแผลสด เพื่อสมานเนื้อให้หายเร็ว เปลือกนอดของต้นแค ใช้ฝนเอามาทาแผลเปื่อย แผลสดได้ผลดี ฯ

 

เหง้าขิงแห้ง

 

สรรพคุณ เป็นยาจำพวกยาอายุวัฒนะ บำรุงร่างกาย บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุไฟ ขับลมในลำไส้ ให้ผายลมออกมา แก้ร้อนในกระหายน้ำ ช่วยย่อยอาหาร แก้ลมพรรดึก แก้อาการปวดท้อง คลื่นเหียนอาเจียน แก้บิดมีตัว บิดมูกเลือด แก้อุจจาระเป็นฟองเหลือง ขาวและมีกลิ่นเหม็นคาวจัด แก้และบำรุงหลอดคอให้ชุ่มเย็น ขับละลายก้อนนิ่วฯ ตำรับยาแผนโบราณ แก้ลมพานไส้ แน่นหน้าอก แก้นอนไม่หลับ แก้โรคปากเปื่อย คอเปื่อย ฯ

 

ตะไคร้

 

สรรพคุณ นิยมใช้หัวนำมาคั่วไฟ แก้ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา แก้นิ่วในระยะแรกๆ แก้ปัสสาวะหยด และยังใช้ใบมาย่างไฟให้เหลือง แก้อาการปวดท้อง ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ ลมมากในลำไส้ บรรเทาอาการร้อนใน ริมฝีปากแห้ง

 

ตะไคร้หอม บางท้องถิ่นเรียก ตะไคร้แดง เพราะลำต้นสีแดง

สรรพคุณ ตะไคร้หอม แก้ริดสีดวงที่เป็นแผลในปาก ริมฝีปากแตก ร้อนในกระหายน้ำ สตรีมีครรภ์กินมากไม่ได้ แก้ขับเลือดเสีย แก้ขับลมในลำไส้ ใช้ทาตามแขน ขา มือ เท้า ป้องกันยุงและแมลงไม่ให้มารบกวนได้ดี ฯ

 

ตำลึง

 

สรรพคุณ ใบ ใช้ตำหรือบดผสมแป้งดินสอพอง พอกแผลฝี ช่วยบีบรีดหนองให้แตกออกมา เพื่อให้แผลฝีหายเร็ว ใช้ใบปรุงผสมกับสมุนไพรอื่นๆ เป็นยาเขียว ยาเย็น แก้ขับอาการร้อนในและพิษไข้ให้ตัวเย็นลง ตำใบทาตามผิวหนังแก้ผด ผื่นคัน และใช้ถอนพิษตามผิวหนังที่ถูกขนหมามุ่ย ให้หายคันคะเยอได้ ขับพิษร้อนพิษแสบ ปวด และคันตามตัวให้หาย เถา ใช้ตัดมาคลึงให้นิ่ม บีบเอาน้ำภายในออกมา หยอดตา แก้ตาฟ่าง ฟาง ตาแดง ตาแฉะ มีขี้ตามาก ราก แก้ตาเป็นฟ่า ตาติดเชื้อ ดับพิษปวดแสบ ปวดร้อนในตา บำรุงธาตุ เจริญอาหาร บำรุงหัวใจ บำรุงน้ำดี ทำให้ระบบขับถ่ายสะดวก รักษาโรคลำไส้และกระเพาะอาหาร ทำให้ตาแจ่มใส ผลสุก จะมีสีแดง ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย ฯ

 

ชะอม

 

สรรพคุณ รากใช้ฝนกับน้ำหรือเหล้าขาว แก้ขับลมใน ลำไส้และลมในกระเพาะอาหาร ให้ผายลมออกมา แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อเรอเหม็นเปรี้ยว แก้ปวดมวน ปวดแสบปวดร้อน ยอดกินแทนผักมากๆ ช่วยระบบขับถ่ายได้ดี นำมาเป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร เจริญอาหาร ฯ

 

มะกรูด มัน

 

สรรพคุณ ใบ แก้ขับเสมหะ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้พิษ ฝีภายใน แก้เลือดออกตามไรฟัน ที่เรียกว่า ลักเปิดลักปิด ผล ใช้แก้ขับลมในลำไส้กระเพาะอาหาร แก้ขับระดูเสีย และบำรุงเลือดในสตรี แก้ลมจุกเสียดภายในท้อง ตามซี่โครงทั้งสองข้าง ราก ใช้ ถอนพิษสำแดงสุมรากและลูกให้เกรียม ทำผงละลายน้ำผึ้ง ใช้ป้ายลิ้นเด็กทารกแรกคลอด แก้ลิ้นเป็นฝ้าขาว ช่วยขับขี้เทา ขับลมให้ผายลมในทารก ฯ

 

มะนาว

 

สรรพคุณ ใบ ใช้แก้ให้กัดและฟอกเลือดในสตรีที่มีระดูเสีย ใช้ใบต้มกินให้ ขับเลือด ขับลม เมล็ดใน คั่วให้เหลืองเกรียมใช้ผสมสุราขาว เป็นยาขับเสลดในลำคอ ในลำไส้ แก้โรคตาลทรางในเด็กทารก ราก ใช้ถอนพิษไข้ทับระดู ไข้กลับ ๆ ซ้ำ ๆ ไม่รู้จักหายฝนผสมกับสุราทาแก้ฝี แก้ปวดหัวฝี เร่งให้บีบให้แตกเร็วขึ้น น้ำใช้ผสมน้ำผึ้งแท้ กวาด คอเด็กที่เป็นตาลทราง ตาลขโมย หรือลิ้นมีฝ้าขาวหนาจัด ช่วยขับลมในท้องเด็กทารก มะนาว ใช้กระทุ้งพิวถอนไข้ผิดสำแดง แก้เลือดออกตามไรฟัน และแก้นอนสะดุ้ง หนังตาแข็ง นอนไม่ค่อยหลับ แก้ประสาท มีสติหลงๆ ลืม ๆ หน้ามืดตามัวความจำเสื่อม ฯ

 

มะเขือพวง

 

สรรพคุณ ทำให้เจริญอาหาร บำรุงธาตุ ฯ

 

มะเขือเทศ

 

สรรพคุณ ให้มีวิตามินซี แก้เลือดออกตามไรฟัน (ลักปิดลักเปิด) หากกินสม่ำเสมอจะทำให้ไม่เป็นมะเร็งในลำไส้ แก้โรคนอนไม่ค่อยหลับ หรือมักนอนผวก สะดุ้ง หรืออาการตกใจง่าย ฯ

 

มะละกอ

 

สรรพคุณ ราก รสฉุนเอียน ใช้แก้โรคหนองใน ขับเลือด หนองในกระเพาะปัสสาวะ บำรุงไต ก้านใบ มีสรรพคุณเช่นเดียวกันกับทั้งฆ่าพยาธิในลำไส้และในกระเพาะอาหาร แก้โรคมุตกิด ระดูขาว เหง้า ตรงที่ฝังดิน มีรากงอกโดยรอบ ใช้ทำยาขับและละลายเม็ดนิ่ว ในกระเพาะปัสสาวะได้ผลดี

 

มะระ

 

สรรพคุณ มะระ ชาวจีนเรียก "โกควยเกี๋ยะ" บางท้องถิ่นเรียกผักไห่ ภาคเหนือเรียก หม่านอยยอกและใบอ่อน แก้โรคปวดตามข้อตามกระดูก ที่เรียกว่า รูมาติซั่ม และเก๊า ซึ่งทำให้คนไทยเราส่วนมากเป็นโรคปวดตามข้อมือ ข้อเท้า ตามหัวเข่า จะมีอาการปวดบวม และยังแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ธาตุพิการ บำรุงไต เมล็ดถอน แก้ฆ่าพยาธิในลำไส้และกระเพาะ เป็นยาระบายอ่อนๆ ทำให้ตัวชุ่มเย็น แก้ไข้ ละบายพิษต่างๆ ให้ระบายออกทางปัสสาวะและอุจจาระ แก้ปวดเมื่อย ขับฤดูเสียในสตรี บำรุงน้ำดี บำรุงตับและม้ามให้ปกติ ยอดมะระ ใช้แก้อาการเจ็บคอ ดับพิษร้อนแก้ไข้เปลี่ยนฤดู และแก้ข้อบวม เข่าบวม ข้อนิ้วปวด ช่วยให้มีระดูปกติ บำรุงมดลูกให้ปกติ บำรุงเลือดให้ปกติ หากเอาใบแก่และเถามาต้มน้ำดื่มกินแทนน้ำหรือน้ำชาได้จะช่วยขับพยาธิในลำไส้ และในกระเพาะ แก้กระหายน้ำ ทำให้อกและหัวใจชุ่มเย็น ช่วยให้เจริญอาหาร และช่วยระบบขับถ่ายให้สะดวกสบาย ในปัจจุบันนี้ วงการแพทย์ไทยได้วิจัยค้นพบว่า สามารถใช้แก้โรดเอดส์เบื้องต้นได้ เมื่อทดอลงกับผู้ป่วยทำให้เม็ดผื่นคัน และแผลในร่างกายไม่ลุกลามต่อไป หัวผดผื่นคันยุบลง และทำให้กินได้ นอนหลับ ผิวพรรณและมีกำลังดีขึ้น ฯ

 

มะรุม

 

สรรพคุณ เปลือกลำต้น ใช้ถากมาต้นน้ำกิน เป็นยาช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยให้ผายลมและเรอ บำรุงธาตุ ราก รสเผ็ด หวานขม ใช้แก้อาการบวมน้ำ บำรุงธาตุไฟ เจริญอาหาร ยอดและฝักอ่อน ช่วยให้เจริญอาหาร แก้ไข้หัวลม (เปลี่ยนฤดู จากฝนเข้าสู่หนาว...) ช่วยย่อยอาหาร ฯ

 

มะแว้ง

 

สรรพคุณ ใบและราก ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ เมื่อปรุงกับสมุนไพรอื่นๆ บดเป็นผง ทำเป็นลูกกลอน แก้วัณโรคปอด วัณโรคในลำไส้ และวัณโรคในกระดุก เป็นยาแก้ไข้ แก้ไอเป็นเสมหะ ผลหรือลูกมะแว้ง ใช้บำบัดโรคเบาหวาน บำรุงน้ำดี น้ำตับอ่อน คนที่มีความดันสูงหรือเป็นโรคเบาหวาน หากกินผลมะแว้งเสมอๆ จะทำให้อาการโรคค่อยทุเลาบรรเทาลง เจริญอาหาร จะรู้สึกชุ่มคอและชุ่มปอด หญ้าอกเย็น และยังช่วยแก้ไข้สันนิบาต แก้คอมีเสลดเหนียว ทำให้ระคายคอและมีอาการไออยู่เสมอๆ แก้ขับและละลายเสลดในลำไส้ ช่วยให้ระบายออกทางทวารหนัก กินเป็นประจำ จะไม่ค่อยเป็นหวัด คัดจมุก และความดันโลหิต มะแว้งยังใช้ปรุงยาอื่นเป็นยาเขียว ยาแก้เบาหวาน และอื่นๆ อีกหลายขนาน ผลแก่ ใช้บดผสมสุราขาว ใช้กวาดคอเด็กทารก แก้เด็กร้องเด็กอ้อน เพราะลำคอมีพิษไข้ขึ้น ร้อนในกระหายน้ำ และมีเม็ดเล็กๆ รอบในลำคอ ฯ

 

แมงลัก

 

สรรพคุณ แก้ ขับลมในกระเพาะและลำไส้ บำรุงธาตุแก้โรคลำไส้พิการ แก้พิษตาลทรางในเด็กทารก ช่วยให้เจริญอาหาร เมล็ดใช้ผสมกับน้ำหวานหรือน้ำเชื่อม กินแล้วช่วยดับร้อนในกระหายน้ำ ทำให้ชุ่มคอ บำรุงหัวในให้ชุ่มฉ่ำ อารมณ์แจ่มใส ช่วยสมานแผล ช่วยให้แผลหายเร็ว และโรคกระเพาะลำไส้ ฯ

 

สัปปะรด

 

สรรพคุณ เหง้า แก้ขัดเบา ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว ช่วยละลายก้อนนิ่ว แก้หนองใน แก้ระดูขาวมีอาการคันในช่องคลอดของสตรี ผล ใช้ปลอกเปลือก เอาตาออกเสีย ใช้กินจิ้มเกลือ ช่วดกัดเสลดในลำคอและลำไส้ ช่วยให้ปัสสาวะสะดวก บำรุงกระเพาะปัสสาวะได้ดีมาก แกนในผล ถ้า คนฟันดี สมควรกัดเคี้ยวกินให้หมดเพราะมีประโยชน์เช่นเดียวกับเหม้าและเนื้อผลของมัน และยังเอาผลไปทำเหล้าไวน์สับปะรด ดื่มกินบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง บำรุงไตแก้กษัย เป็นยาจำพวกอายุวัฒนะ เสริมอวัยวะเพศชายให้แข็งแรง ชายใดที่มีอวัยวะเพศตายด้านควรทำกินประจำ สำหรับสตรีก็เช่นกันควรกินเนื้อผลสับปะรดสัปดาห์ละครั้งจะช่วยเสริมมดลูกให้ แข็งแรงไม่เป็นตกเลือด ระดูขาวอีกต่างหาก ฯ

 

บวบ

 

สรรพคุณ บวบหอม ใช้แก้อาการท้องเดิน เจริญอาหาร บวบขม นำเอาผลแห้งไปปรุงยาสมุนไพร เมล็ดและผลใช้แก้ขับเสมหะ ขับเสลด แก้ไอคันคอ รากและใบ ใช้บนกับเส้นยาสูบ แก้ริดสีดวงจมูก บวบเหลี่ยม ช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงธาตุ ฯ

 

ใบบัวบก

 

สรรพคุณ เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้เมื่อยล้า เมื่อยขบ แก้อ่อนเพลีย แก้ท้องเดิน ท้องเสีย แก้บิดเริ่มเป็น ขับปัสสาวะ แก้อาการอิดโรย คลายเครียดในยามเช้า สาย บ่าย เย็น ได้ดีมากๆ คนที่ทำงานหนัก ช้ำใน หรือดื่มเครื่องดองของเมาหนัก ให้ดื่มน้ำใบบัวบกนี้ จะมีอาการกระปรี้กระเปร่า หูตาสว่าง จิตใจเบิกบาน จะกระจายละลายเลือดภายในให้หายได้รวดเร็วดีนัก แล ฯ

 

พริกไทย

 

สรรพคุณ เม็ด มีรสเผ็ด ฉุน เม็ดแห้ง ที่มีเปลือกดำติดอยู่ เรียกว่า พริกไทยดำ ใช้พริกไทยดำ หรือพริกไทยร่อน จะต้องเอาอย่างนั้น หมอแผนโบราณคงมีเหตุผลของท่านแน่นอน แก้อาการจุกเสียดแน่นหน้าอก ปวดมวนในท้อง ท้องขึ้น เฟ้อ เรอ เหม็นเปรี้ยว บำรุงธาตู เมื่อปรุงผสมกับสมุนไพรอื่นๆ เช่น แห้วหมู ดีปลี โด่ไม่รู้ล้ม สะค้าน เถาคันแดง เป็นต้น ท่านว่าเป็นยาอายุวัฒนะ ใบและราก แก้ลมตีขึ้น ทำให้มีอาการหน้ามืด ตามัว ปวดหัวตัวร้อน เครียดหนัก นัยน์ตาฟ่าฟาง แก้กษัย ไตพิการ บำรุงธาตุ ราก ถ้าปลูกตามต้นไม้ เช่น มะม่วงป่า ยิ่งดี ให้เก็บราก ตามโคนต้นและตามข้อเถา ใช้แก้ลมจุกเสียด แก้ลมในท้อง มีอาการท้องลั่นท้องร้องโครกคราก และมีอาการปั่นป่วน จนเบื่ออาหารและนอนไม่หลับ เครือเถา แก้อติสาร คือ อาการท้องร่วงอย่างแรงและท้องเดินหลายๆ ครั้ง แก้ลมในทรวงอก ใช้ปรุงยาได้ทั้ง ราก เถา เมล็ด ใบดอก ฯ

 

ผักบุ้ง

 

สรรพคุณ ผักบุ้งขาว หรือผักบุ้งจีน ช่วยให้เจริญอาหาร เป็นยาถอนพิษ บำรุงธาตุ สรรพคุณของผักบุ้ง โดย เฉพาะผักบุ้งไฟแดง คนที่ชอบเป็นตาต้อ ตาแดง หรือคันนัยน์ตาบ่อยๆ ตลอดจนมีอาการตาฟ่าฟาง จำพวกคนสายตาสั้น จะทำให้สายตาที่แจ่มใส บำรุงสายตา ทำให้ไม่เป็นโรคกระเพาะ ฯ

 

โหระพา

 

สรรพคุณ ใช้ปรุงเป็นยาขับลมในกระเพาะและลำไส้ แก้ท้องอืด เฟ้อ เรอ เหม็นเปรี้ยว ช่วยขับลมทำให้เรอและผายลม คือ ทำให้เลือดลมเดินดี สำหรับเมล็ดแห้ง ใช้แก้บิดมีตัว และบิดมูกเลือด ล้างของเสียภายในลำไส้และในกระเพาะ ไม่ทำให้เป็นแผลในกระเพาะและตามลำไส้ สำหรับโหระพาทั้ง 5 คือ ราก ต้น ใบ ดอก เม็ด ใช้กินแก้บิด แก้ไขทรพิษตาลทรางในเด็กทารก แก้นอนไม่หลับ นอนสะดุ้งผวา ยอดโหระพา ช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงธาตุ ฯ

 

ทับทิม

 

สรรพคุณ ดอกใช้ผสมยาอื่นๆ ปรุงธาตุ บำรุงธาตุ ปรุ่งเครื่องเทศ เช่นอบเชย และกานพลู ฯลฯ เป็นยาสมาน ไล่ลมในกระเพาะ ลำไส้ ช่วยให้เจริญอาหาร ราก ใช้ต้มกินสมานลำไส้ ฆ่าพยาธิตัวตืด พยาธิปากขอ พยาธิไส้เดือน ตลอดจนพยาธิเส้นด้ายได้ดี เปลือกต้นและเปลือกผลทับทิม แก้ โรคบิดเป็นตัว และบิดมูกเลือด กินต้มแก้ขับถ่ายของเสียเรื้อรัง และขับพยาธิทุกชนิดในลำไส้ แก้ล้างไขมัน (คอเลสโตรอล) ในลำไส้ ขับลมทุกอย่างอันเกิดจากพิษไข้ ยอดทับทิมอ่อน ใช้ต้มกินน้ำ แก้บำรุงธาตุ แก้ร้อนในกระหายน้ำ บำรุงหัวใจ แก้ท้องร่วงในเด็ก ใช้ยอดอ่อน 5-7 ยอด ต้มกับน้ำให้เดือด ยกลงให้เย็นแล้ว ให้เด็กเล็กดื่มกิน แก้อาการท้องเดิน ท้องร่วงเป็น้ำซาวข้าว สำหรับผู้ใหญ่ให้เอา ยอดอ่อน 7 ยอด ต้มน้ำกิน ประมาณ 1-2 แก้ว จะทำให้อาการท้องเดิน ท้องร่วง หรืออาเจียน ปวดมวนในท้องมีอาการบรรเทา เปลือกผลทับทิม ใช้เปลือกแห้งฝนผสมกับสุราหรือน้ำสะอาด ใช้ทาแผลให้ทั่ว ยาจะช่วยสมานและรัดแผลให้แห้งหายในเร็ววัน ทับทิมในเมืองไทยมี 2 ชนิด คือ (1) ทับทิมชนิดดอกขาว (2) ทับทิมชนิดดอกแดง มีสรรพคุณทางยาเสมอกัน ฯ

 

 

(จากหนังสือ ตำรายาสมุนไพร ของ นฤมล มงคลชัยภักดิ์,

 

http://www.raanaroii.com/articles/105-thai-vegetable.html

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไอหลังหวัด ภาวะลมปลายไข้-รักษาด้วยยาแผนไทย

 

 

บทความจากมติชน

ฉบับที่ 1580

นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล

 

 

 

หวัดแล้วก็ไอ ลากยาวมาตั้งแต่ปลายฝน มาถึงต้นหนาวก็ยังไม่หาย อาการนี้ไม่ใช่เป็นเฉพาะผมคนเดียว แต่ดูเหมือนว่าขณะนี้กำลังแพร่ระบาดกันทั่วบ้านทั่วเมือง โทรศัพท์ถึงใครก็มักจะได้ยินคนรับสายทางฝั่งโน้นคุยกับเราไปพลาง ก็ไอพลาง ทั้งฝั่งทางเราและฝั่งทางเขา

 

ครับ ผมโดนหวัดเล่นงานแล้วตามด้วยอาการหลอดลมอักเสบ เสียงแหบ พูดไปสองสามคำก็จะไอทุกที แถมไอก็ไอไม่ค่อยจะออก มันไปดังโคร่งๆเหมือนหมาเห่านั่นแหละ อาการนี้แพทย์เราจะวินิจฉัยว่าเป็นหลอดลมอักเสบ ส่วนมากไม่ติดเชื้อแล้ว แต่ยังมีการอักเสบอยู่แถวๆหลอดลม ก็เลยทำให้เสียงไอมีลักษณะพิเศษอย่างที่ว่า

 

การรักษาทางแพทย์แบบแผน จะระดมยาละลายเสมหะ กระทั่งยากดอาการไอ ซึ่งก็ไม่ค่อยจะได้ผลหรอก คนที่เป็นก็จะต้องแบกรับการไอไปอีก 3-4 สัปดาห์อย่างน่ารำคาญ

 

ต้องยอมรับว่า เมื่อตัวเองป่วยซะเอง และยาแบบแผนเอาไม่อยู่ วิชาโฮมีโอพาธีย์ได้รับไปหลายขนานก็ยังไม่ได้ผลชะงัด ผมปรึกษาแพทย์แผนจีน ท่านก็บอกว่า เป็นภาวะพร่องชี่ของปอด ท่านแนะนำให้ใช้ชะเอมชงน้ำกิน แต่น้ำเสียงก็ดูเหมือนจะรับมือไม่ค่อยอยู่ ด้วยเหตุฉะนี้ผมจึงหันไปปรึกษาแพทย์แผนไทยบ้าง ผมนึกขึ้นได้ถึงอาจารย์คมสัน ทินกร ณ อยุธยา ทายาทรุ่นที่ 6 ของหม่อมราชวงศ์ สอาด ทินกร

 

"อ้อ อาการของคุณหมอเรียกตามภาษาแผนไทยว่า ลมปลายไข้ ภาวะนี้ไม่มีอยู่ในการแพทย์แบบแผน กล่าวคือเป็นสภาวะไข้ที่วัดปรอทเท่าไหร่ก็ไม่พบว่ามีไข้ แต่คุณหมอจะมีตัวร้อนซึ่งสัมผัสได้ที่ผิวกาย"

 

"จริงครับ เมื่อสองวันก่อนผมไปอบรมหลักสูตรหลังปริญญาของวิชาโฮมีโอพาธีย์ ผมยังรู้สึกกลัวหนาวของห้องแอร์ และไอแบบหมาเห่านั่นแหละ เพื่อนหมอด้วยกันซึ่งรู้การแพทย์ทางเลือกด้วยมาจับตัว แล้วบอกว่า ผิวกายยังร้อนอยู่เลย แสดงว่ามีไข้ แต่เป็นไข้ที่วัดปรอทไม่ขึ้น" ผมตอบเพื่อยืนยันคำวินิจฉัยของอ.คมสัน

 

"สมุทฐานของโรคคุณหมอก็คือ เริ่มต้นจากไข้หัวลมก่อน คืออาการไข้ระยะปลายฝนต้นหนาว มันทำให้เกิดไข้หวัด ซึ่งเป็นธาตุปิตตะ ความร้อนกำเริบ ตอนนั้นถ้าวัดไข้ ก็จะพบว่าไข้ขึ้น ผลก็คือ ธาตุความร้อนนี้จะไปรบกวนธาตุน้ำ อาโป ครั้นเมื่อปิตตะสงบลงแล้ว คือหายไข้ วัดปรอทไม่ขึ้นแล้ว แต่แท้ที่จริงยังมีภาวะอักเสบที่ไม่ติดเชื้อแล้ว และอาโปยังกำเริบอยู่ ทำให้เกิดเสมหะ

 

เสมหะในความหมายแผนไทย ไม่ได้หมายถึงขี้เสลด แต่หมายถึงน้ำที่อยู่บริเวณคอ มันจำแนกเป็น 3 อย่างคือ:

 

ศอเสมหะ คือเสมหะที่คอ ที่จมูก ที่ไซนัส

 

อุระเสมหะ คือเสมหะที่ต่ำจากหลอดลมลงไปถึงปอด

 

คูถเสมหะ คือเสมหะที่ลงไปยังลำไส้ใหญ่

 

เริ่มจากหวัดตอนแรกมีศอเสมหะก่อน เมื่ออาโปกำเริบมาก เสมหะก็ขยายลงไปเป็นอุระเสมหะ ก็คือหลอดลมอักเสบ ไปจนถึงปอดอักเสบ กระทั่งน้ำในปอดก็เรียกได้ ถ้าปล่อยไว้นานอีกทีนี้ก็จะลงไปถึงทางลำไส้ อาจมีท้องเสียเรื้อรังตามมาได้

 

"วินิจฉัยแล้ว รักษาให้ที่ซิ" ผมบอก

 

"ไม่ยากเลย เริ่มต้นก็ต้อง รุ ซะก่อน นั่นคือขจัดการอักเสบไม่ติดเชื้อที่เรียกว่า ลมปลายไข้ นั่นคือเราจะใช้ตำรับยาไทยชื่อ แดงดับพิษ ในนั้นประกอบด้วยยาหลายตัว แต่ตัวสำคัญคือ ฝางเสน ซึ่งจะมีสีแดง สมุนไพรตัวนี้เป็นยาเย็น มันจะไปดับความร้อนหรือการอักเสบที่เป็นลมปลายไข้ซะ วิธีกินคือ กิน 1 ช้อนชา ชงน้ำอุ่นกินทุก 4 ชั่วโมง ต้องกินไป 2-3 วันหรือกว่านั้น จนกระทั่งเป็นแม่เนื้อเย็น คือจับดูผิวกายไม่มีอาการรุมๆอีกแล้ว และเจ้าตัวก็ไม่กลัวหนาว รับลมเย็นได้อย่างปกติ จึงจะแปลว่า พิษของลมปลายไข้ถูกกำจัดไปแล้ว"

 

หลังจากรุแล้ว ก็ให้การรักษา คือการซ่อมบำรุงให้ภูมิต้านทานร่างกายกลับเป็นปกติ อาจารย์คมสันจะใช้ เบญจผลา ซึ่งประกอบด้วย สมอไทย สมอเทศ สมอพิเภก สมอดีงู และมะขามป้อม พวกนี้เรารู้กันอยู่แล้วว่า มีวิตามินซีและฟลาโวนอยด์สูง ช่วยซ่อมบำรุงภูมิต้านทานได้เป็นอย่างดี

 

ว่าถึงเบญจผลา ไม่ใช่เรื่องใหม่ถ้าคุณผู้อ่านรู้จัก ตรีผลามาแล้ว ทั้งเบญจผลาและตรีผลาต้องประกอบด้วยสมอสำคัญตัวหนึ่งคือ สมอพิเภก สมอตัวนี้สำคัญมากเป็นหมอไทยถือว่ามันเก่งเหมือนพิเภกนั่นเอง โดยปกติแล้ว การกินผลที่รสเปรี้ยวฝาด คือมีวิตามินซีและฟลาโวนอยด์สูง เราจะมีอาการท้องเสีย แต่ถ้าเติมเจ้าสมอพิเภกเข้าไป ความที่เก่งเหมือนพิเภกคือ สมอตัวนี้มันทั้ง "เปิด" และ "ปิด" ทวารได้ กล่าวคือ ถ้าคนกินมีอาการจะท้องเสียเกินไป มันก็จะช่วยระงับไม่ให้ท้องเสีย

 

ระหว่างที่รุและรักษา อาจใช้ยาไทยชื่อ ยาเม็ดธารา ซึ่งตัวหลักคือมะแว้ง ช่วยให้ชุ่มคอ ลดการระคายเคือง ร่วมกับยาน้ำชื่อ ยาศอเสาวรส รักษาศอเสมหะไปด้วย

 

ว่าดังนั้นแล้ว อาจารย์คมสันก็จัดยาให้ผมกินทันที

 

แล้วคุณผู้อ่านเชื่อไหมครับว่า ผมกินยาแดงดับพิษ ชงกินไป 6 ครั้ง คือครบรอบ 24 ชั่วโมงพอดี ปรากฏว่า อาการไอเหมือนหมาเห่าของผม ลดลงไปได้กว่า 80% ด้วยเวลาที่ผ่านไปเพียง 1 วัน

 

ส่วนยาน้ำศอเสาวรสนั้น ผมไม่ค่อยชอบรสชาติมันนัก มันเฝื่อนๆกินแล้วชาๆที่คอ แต่ผมชอบเจ้ายาเม็ดธารามาก รสมะแว้งของเขาดีกว่ามะแว้งอมชนิดเม็ดตัวอื่นๆที่ผมลองผมมากว่า 3 สัปดาห์แล้ว

 

ผมเห็นผลที่ชัดเจนจากการทรมานด้วยอาการไอหลังหวัดมากว่า 3 สัปดาห์ จึงดีใจมาก โทรศัพท์ไปบอกอาจารย์คมสันด้วยความดีใจ

 

และผมก็มามีความเข้าใจเชิงเปรียบเทียบว่า การ รุ ของแผนไทย ที่แท้เป็นระดับการรักษาของการแพทย์แบบแผนนั่นแล้ว คือใช้ยาแดงดับพิษรักษาอักเสบไม่ติดเชื้อของผมไปทันที ส่วนการ รักษา ของแผนไทย มันหมายถึงการเสริมสุขภาพ ซ่อมบำรุงสุขภาพ ไม่ให้กลับเป็นอีก นับเป็นการมองโรคอย่างองค์รวมจริงๆ ตามภูมิปัญญาแผนไทย

 

และด้วยเหตุนี้ ผมจึง จบพ. ใช้ดี...จึงบอกเพื่อน ยังไงล่ะครับ เชื่อว่าคนทั่วกรุงกำลังเดือดร้อนกับอาการไอหลังหวัดกินกว่าครึ่งค่อนเมือง น่าจะได้ประโยชน์จากกรณีศึกษานี้ เรื่องความรู้ยาไทยคุณจะหาความรู้เพิ่มเติมได้จาก www.yahomthai.com ครับ

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณ คุณ pornsook จริงๆ มาบ่อยๆก็ดีนะคะ

 

การดูแลสุขภาพด้วยผักผลไม้

 

หลักการดูแลสุขภาพด้วยผักผลไม้สกัด หรือน้ำผักผลไม้ปั่น หรือน้ำผักผลไม้แยกกาก เราจะเลือกรับประทานอย่างไรก็ได้ ขึ้นกับความพร้อมของร่างกาย และความต้องการของร่างกาย เช่น ถ้าเราร่างกายอ่อนเพลีย หลังผ่าตัด หลังการรักษาโรคต่าง ๆ แนะนำให้ดื่มเป็น น้ำผักผลไม้สกัดสด เพื่อลดการที่ร่างกายจะต้องใช้พลังงานไปในการย่อยกากอาหาร และน้ำสกัดที่ได้ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว และอุดมไปด้วยสารอาหารและเอนไซม์

 

vitamin%5B4%5D.jpg

 

แต่ถ้าคุณเป็นพวกที่สุขภาพพอใช้ ต้องการดูแลสุขภาพประจำวัน แนะนำให้ทาน น้ำผักผลไม้ปั่น เพื่อให้ได้ทั้งกากใยอาหาร และสารอาหารครบถ้วน ฟื้นฟูระบบขับถ่าย และการย่อยแบบครบวงจร

 

:lol: ตารางแนะนำผัก ผลไม้ตามอาการโรค

 

:huh: อาการ ผัก และผลไม้ที่แนะนำให้นำมาใช้

 

 

โรคเก๊าต์. สับปะรด มะละกอ แอปเปิล องุ่น แอสพารากัส แครอท เซเลอรี่ ผักชีฝรั่ง ผักขม มะเขือเทศ เซเลอรี่

 

โรคกระเพาะปัสสาวะ. บลูเบอร๊่ ลูกแพร์ แตงโม แครอท บีท แตงกวา ผักชีฝรั่ง มะเขือเทศ

 

โรคข้อ. แตงโม เชอรี่ แอปเปิล ลูกพรุนสด แครอท แตงกวา ผักชีฝรั่ง ผักขม บีท หัวแรดิช

 

โรคเจ็บคอ กล่องเสียงอักเสบ.. สับปะรด มะกะลอ ส้ม แตงกวา แครอท ผักขม มะเขือเทศ กระเทียม บีท

 

โรคตับ.. มะละกอ ลูกแพร์ แอปเปิล ส้ม หัวบีท แครอท เซเลอรี่ ผักกาดหอม มะเขือเทศ ผักขม

 

โรคไต.. แตงโม มะละกอ สับปะรด บลูเบอรี่ องุ่น แครอท เซเลอรี่ บีท แอสพารากัส แตงกวา กะหล่ำปลี

 

โรคต่อมลูกหมาก เชอรี่ บลูเบอรี่ ลูกแพร์ สตรอเบอรี่ แตงโม แอสพารากัส แครอท ผักกาดหอม ผักขม ผักชีฝรั่ง บีท แตงกวา

 

ท้องผูก ลูกพรุนสด แตงโม มะละกอ ลูกแพร์ ลูกพีช มะนาว แอปเปิล กะหล่ำปลี เซเลอรี่ มันฝรั่ง แตงกวา

 

ท้องเสีย บลูเบอรี่ แครนเบอรี่ แครอท เซเลอรี่ ผักขม ผักชีฝรั่ง บีท

 

โรคทางเดินปัสสาวะ เกรปฟรุต แตงโม แครอท บีท แตงกวา ผักชีฝรั่ง มะเขือเทศ

 

โรคถุงน้ำดี เชอรี่

 

น้ำคั่งในร่างกาย บลูเบอรี่ สตรอเบอรี่ แตงโม แตงกวา เซเลอรี่

 

โรคผิวหนัง แตงโม องุ่น บลูเบอรี่ แตงโม ส้ม

 

แผลต่าง ๆ มะละกอ กะหล่ำปลี แครอท มันฝรั่ง ผักขม

 

ฟกช้ำ มะละกอ สับปะรด ส้ม มะนาว ส้มโอ

 

โรคมะเร็ง องุ่น ผลไม้กลุ่มส้ม แครอท แอสพารากัส บีท ผักชีฝรั่ง

 

มีไข้ บลูเบอรี่่ สตรอเบอรี่ ส้ม กะหล่ำปลี หัวหอม กระเทียม แตงกวา

 

โรครูมาตอยด์ แอปเปิล เชอรี่ สตอรเบอรี่ ส้ม บีท แตงกวา เซเลอรี่ แครอท

 

โรคเลือด ลูกพรุนสด เชอรี่ องุ่น ผลไม้กลุ่มส้ม แอสพารากัส บีท ผักกาดหอม ฝรั่ง ผักขม แครอท แห้ว

 

สิว มะละกอ สตอรเบอรี่ บลูเบอรี่ แครอท แตงกวา ผักขม ผักกาดหอม

 

โรคหอบ ส้ม แตงโม กะหล่ำปลี เซเลอรี่ มันฝรั่ง แห้ว

 

โรคหวัด สับปะรด มะละกอ ส้ม แครอท เซเลอรี่ บีท ขิง

 

อาหารไม่ย่อย มะละกอ สตรอเบอรี่ ลูกพีช สับปะรด แอปเปิล ขิง เซเลอรี่

 

ไอ ผลไม้กลุ่มส้ม มะละกอ หัวหอม

 

โรคเบาหวาน แตงโม แอปเปิล แครอท เซเลอรี่ ผักกาดหอม ผักชีฝรั่ง มะระ

 

หมดประจำเดือน บีท ทับทิม ผักขม ผักชีฝรั่ง

 

นอนไม่หลับ กล้วย เซเลอรี่ ผักกาดหอม

 

ผมร่วง อับฟัลฟ่า กะหล่ำปลี แตงกวา พริกไทย ผักกาดหอม แห้ว :wub:

 

โรคหัวใจ แตงโม แตงกวา หัวหอม เซเลอรี่ กระเทียม

 

 

ขอขอบคุณ http://friutenzyme.blogspot.com/2010/06/blog-post_21.html

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

“น้ำมันเมล็ดฝรั่ง” เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรเหลือทิ้ง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 มกราคม 2554

 

554000000388001.JPEG

น้ำมันเมล็ดฝรั่งบรรจุขวดพร้อมบริโภค

 

 

นวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมอาหารของเมืองไทย ได้ถูกพัฒนาไปอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากการแข่งขัน ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือกลุ่มของอาหารเพื่อสุขภาพ นั้น เป็นตลาดใหม่ที่มีการเติบโตสูงมากในแต่ละปี โดยมีมูลค่าตลาดรวมในประเทศไทยสูงถึง กว่า 30,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตสูงถึง 15-20%

 

ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้มีผู้ประกอบการทั้งขนาดกลาง ขนาดย่อม หรือแม้แต่โอทอป ให้ความสนใจเข้ามาสู่ตลาดสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กันเป็นจำนวนมาก รวมไปถึง อุตสาหกรรมขนาดใหญ่เองก็ไม่พลาดที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ของตัวเอง เพื่อเข้ามาขอร่วมแจมในตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารด้วย

 

สาเหตุที่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีการเติบโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ คนหันมาใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้มากขึ้น เพราะสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทุกคนต้องเผชิญกับมลพิษที่อยู่รอบด้าน ทั้งเรื่องสภาพแวดล้อมและอาหารการกิน ล้วนแล้วแต่เป็นแหล่งที่มาของโรคร้าย ต่างๆ ทำให้ทุกคนต้องมาหันมาพึ่งอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นทางเลือกในการช่วยให้รอดพ้นจากโรคภัยต่างๆ

 

สำหรับนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทย นั้นมาจากพืช ผัก ผลไม้ และสมุนไพรที่อยู่รอบตัวเรา เพียงแต่ว่า ใครจะมองเห็นคุณค่าของมัน หลายครั้ง เกิดขึ้นจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน และนำมาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ แต่ที่สำคัญก็ต้องผ่านการคิดค้นวิจัยจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ ว่า วัตถุดิบที่นำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้น แท้จริง มันมีองค์ประกอบและคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร

 

แต่ในส่วนของผลิตภัณฑ์ “น้ำมันจากเมล็ดฝรั่ง” เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาของผู้ประกอบการคนไทย ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย และอุตสาหกรรมอาหารไทย ที่สามารถคิดค้นและนำเมล็ดฝรั่ง ถือว่าเป็นวัตถุดิบที่เหลือใช้ หรือ เป็นบายโปรดักส์ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และผลผลิตจากเกษตรกรไทย มาสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมอาหารไทย ที่น่าจะ ยังไม่มีใครที่ทำการวิจัยและผลิตผลิตภัณฑ์ดังกล่าวออกมาจำหน่าย

น้ำมันจากเมล็ดฝรั่ง แนวคิดสร้างมูลค่าเพิ่มจากบายโปรดักส์

 

โดยเจ้าของผลงาน “น้ำมันจากเมล็ดฝรั่ง” ครั้งนี้ เกิดขึ้นจากผลงานการวิจัย ของบริษัท ทิปโก้ ไบโอเท็ค จำกัด บริษัทในเครือ บริษัททิปโก้ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตน้ำผัก ผลไม้ โดยในส่วนของทิปโก้ ไบโอเท็ค เป็นบริษัทลูกที่ ทิปโก้ฟู้ด ถือหุ้น 100% เปิดขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบดูแลงานวิจัยและผลิต ผลิตภัณฑ์ สารสกัดจากสมุนไพรการเกษตร และนำวัตถุดิบ ซึ่งเป็นบายโปรดักส์ของทางโรงงาน ที่ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ มาสร้างมูลค่าเพิ่ม ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อสุขภาพ ต่อไป

 

นายอนันต์ ชัยกิจวัฒนะ Project Manager บริษัท ทิปโก้ ไบโอเท็ค จำกัด เล่าถึง ที่มาของผลิตภัณฑ์น้ำมันจากเมล็ดฝรั่ง ว่า เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทมีวัตถุดิบที่เกิดจากบายโปรดักส์ในกลุ่ม ผัก ผลไม้อยู่หลายชนิด ซึ่งไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ อะไรมากกว่า ทิ้งเป็นขยะหรือใช้เป็นปุ๋ย ซึ่งไม่ได้เกิดมูลค่าเพิ่ม หรือ สร้างรายได้ให้กับบริษัทมากนัก ดังนั้น ทางบริษัทแม่ จึงเล็งเห็นความสำคัญของการนำบายโปรดักส์ มาสร้างมูลค่าเพิ่ม ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ

 

ทั้งนี้ เราก็คงจะทราบกันดีว่า บายโปรดักส์ของบริษัทหลายตัว มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งหลายตัวอยู่ในขั้นตอนของการทำวิจัย โดยทีมงานคิดค้นวิจัยของบริษัท ว่าจะนำมาบายโปรดักส์เหล่านี้มาทำผลิตภัณฑ์อะไรออกมาจำหน่ายได้บาง แต่สำหรับในส่วนของเมล็ดฝรั่ง ก็เป็นหนึ่งในบายโปรดักส์ ที่เรามีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งในแต่ละเดือน ทางโรงงานมีเมล็ดฝรั่งที่เหลือทิ้งเป็นขยะมากกว่า 5 ตัน และเคยมีผู้คิดค้น และทำวิจัยถึงคุณประโยชน์ของเมล็ดฝรั่ง แต่ยังไม่เคยมีผู้ผลิตออกมาจำหน่ายในเชิงพาณิชย์

 

ทางบริษัทของเราเอง จึงได้มองเห็นประโยชน์ของเมล็ดฝรั่งจากผลงานวิจัยดังกล่าว และได้นำมาวิจัยต่อในเบื้องต้น และทดลองผลิตออกมาเป็น น้ำมันจากเมล็ดฝรั่ง ภายใต้แบรนด์ทิปโก้ ขายอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพราะจากผลงานวิจัยวิเคราะห์องค์ประกอบพบว่า น้ำมันจากเมล็ดฝรั่ง นั้นมีองค์ประกอบคล้ายกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น น้ำมันจากดอกคำฝอย เป็นต้น

 

ชูกลยุทธ์เรื่องของสุขภาพ

 

โดยมีคุณสมบัติคือ มีไขมันตัวดีที่เรียกว่า ไขมันไม่อิ่มตัวอยู่สูง ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด ซึ่งเป็นที่มาของโรคหัวใจ ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดแข็งคือระดับไขมัน cholesterol ในเลือดพบว่ายิ่งมีระดับสูงยิ่งมีความเสี่ยง นอกจากนั้นชนิดของไขมันในเลือดก็มีความสำคัญพบว่าหากไขมันในเลือดชนิดไม่ ดี(LDL Tran fatty acid)สูงจะทำให้เกิดโรคหัวใจสูง หากรับประทานไขมันที่ดีจะลดการเกิดโรคหัวใจ

 

นายอนันต์ เล่าว่า สำหรับในเมล็ดพืชเกือบทุกชนิด ส่วนใหญ่จะมีน้ำมันอยู่ แต่ในปริมาณที่แตกต่างกันออกไป ส่วนจะเป็นไขมันชนิดใด และมีประโยชน์ต่อร่างกายมากน้อยแค่ไหน ก็คงจะต้องทำการวิจัยกันต่อไป แต่สำหรับในส่วนของเมล็ดฝรั่ง นั้นมีไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งพบว่ามีองค์ประกอบที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และมีความจำเป็นต่อร่างกายดังที่กล่าวมาข้างต้น เราจึงเลือกมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารออกจำหน่าย

 

ในส่วนของการกระบวนการผลิต ใช้เครื่องกระเทาะเปลือก และเครื่องสกัดน้ำมัน เช่นเดียวกับการผลิตน้ำมันจากพืชชนิดอื่นๆ การลงทุนในเครื่องจักรทั้งสองชนิด ค่อนข้างสูง เพราะใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ได้มาตรฐานการผลิตระดับอุตสาหกรรม เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารที่เป็นอันตรายต่อการบริโภค อีกทั้งเพื่อรองรับการขอมาตรฐานต่างๆ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค เนื่องจากเราเป็นสินค้าแบรนด์ขนาดใหญ่ ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจากภายใต้แบรนด์ของบริษัท ต้องได้มาตรฐาน

 

ไขมันที่ได้จากเมล็ดฝรั่งจะมีไม่มาก เพราะไม่ใช่พืชที่ให้น้ำมัน ดังนั้นน้ำมันที่ได้จากเมล็ดฝรั่งจะได้เพียงค่ 10% ทำให้ราคาน้ำมันจากเมล็ดฝรั่ง ราคาจึงค่อนข้างสูง โดยตั้งราคาขายอยู่ที่ขวดละ 100 บาท ในขนาด 50 ซีซี ราคาที่อยู่ในระดับเดียวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ได้จากน้ำมัน ซึ่งถ้ามีการผลิตมากขึ้น ระดับราคาน่าจะถูกลงมา

 

แผนการตลาดเจาะกลุ่มคนรักสุขภาพ

 

ส่วนของแผนการตลาด เนื่องจากเป็นสินค้าในกลุ่มของคนรักสุขภาพ ดังนั้น แหล่งจำหน่ายสินค้าต้องเป็นร้านจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพ ทั้งในห้างสรรพสินค้า และนอกห้างสรรพสินค้า และเนื่องจากในตอนนี้ยังผลิตสินค้าออกมาได้ไม่มาก เพราะวัตถุดิบที่มีอยู่จากบายโปรดักส์ ยังไม่ได้มาก ในอนาคตถ้าตลาดมีการขยายมากขึ้นอาจจะต้องซื้อวัตถุดิบจากภายนอก เข้ามา แต่ช่วงนี้ เป็นช่วงของทดลองตลาดยังใช้วัตถุดิบภายนอกของเราก่อน โดยบริษัทตั้งเป้าไว้ว่าน่าจะมีรายได้จาก บายโปรดักส์ที่เหลือทิ้ง เพิ่มขึ้นมาอีกประมาณ 10 ล้านบาท 20 ล้านบาท ในอนาคตก็ดีกว่า ทิ้งไปโดยไม่ได้อะไรเลย

 

นอกจากนี้ ในอนาคตทางบริษัทมีแผนที่จะส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ด้วย เพราะตลาดเพื่อสุขภาพในต่างประเทศ นั้น มีการเติบโตที่เพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ตลาดต่างประเทศจึงเป็นตลาดที่น่าจับตามองอย่างมากในกลุ่มของอาหารเพื่อ สุขภาพ ซึ่งในส่วนของเมล็ดฝรั่งเอง ยังไม่ได้มีการทำวิจัยอย่างจริงจัง เชื่อว่าถ้าเราได้ทำวิจัยเรื่องของเมล็ดฝรั่งมากกว่านี้ น่าจะได้พบองค์ประกอบของสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มากขึ้น โดยเฉพาะโปรตีนที่ได้จากเมล็ดฝรั่ง ซึ่งมีค่อนข้างสูงเช่นกัน แต่ตอนนี้ ต้องมีหลักฐานยืนยันจากผลการวิจัยก่อนจึงจะออกมาบอกกล่าวได้

 

นายอนันต์ บอกกับเรา ว่า บริษัทหันมาให้ความสำคัญการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบายโปรดักส์ ที่เหลือจากการผลิตน้ำผักผลไม้ ซึ่งเป็นสินค้าหลักของเรามานานกว่า 4 ปี และได้ทำวิจัยกับผลิตภัณฑ์จากบายโปรดักส์หลายชนิด อาทิ สับปะรด ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของบริษัท ซึ่งขั้นตอนการผลิตน้ำสับปะรดจะมีเส้นใยกากสับปะรดเหลือทิ้งเป็นจำนวนมาก และเป็นที่ทราบกันดีว่าในเส้นใยสับปะรดเหล่านี้ มีไฟเบอร์สูง ทางบริษัทได้นำมาผลิตเป็นอาหารเสริมในรูปแบบของแคปซูล ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยลดน้ำหนัก น่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในกลุ่มของสาวในยุคปัจจุบัน ที่กลัวความอ้วน

 

นอกจากนี้ ทางบริษัทยังมีวัตถุดิบอื่นๆที่อยู่ในขั้นตอนการวิจัย อาทิ เมล็ดมะละกอ และเปลือกมะละกอ รวมถึงเปลือกจากว่านหางจระเข้ เหล่านี้ ล้วนเป็นบายโปรดักส์ของบริษัทที่เหลือทิ้งทั้งสิ้น สินค้าจากบายโปรดักส์เหล่านี้ นอกจากจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแล้วยังมีแนวคิดที่จะนำมาทำเป็นสินค้าใน กลุ่มของเครื่องสำอางด้วย

 

อย่างไรก็ตาม การฉีกรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัททิปโก้ ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นแบบอย่างของการนำหลักนวัตกรรมแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ Creative Economy มาใช้กับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของอาหารแปรรูปในบ้านเรา และยังช่วยผลักดันผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากประเทศไทย ให้สามารถเข้าไปช่วงชิง หรือ เปิดตลาดในต่างประเทศได้ ด้วยตัวเลือกและช่องทางใหม่ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มของอาหารเพื่อสุขภาพที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดโลกทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

 

http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9540000003886

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บิ๊กอาย อันตรายถึงตาบอด

 

 

0036.jpg

 

 

คงปฏิเสธไม่ได้ถึงแฟชั่นยอดฮิต....บิ๊กอายที่แพร่หลาย อยู่ในหมู่วัยรุ่นและวัยทำงาน ด้วยความที่หาซื้อได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นทางร้านค้าออนไลน์หรือแม้แต่ตามตลาดนัดทั่วไป อันที่จริงแล้วบิ๊กอายเป็นคอนแทกเลนส์แฟชั่น ใส่แล้วทำให้ตาดำดูใหญ่ขึ้น แถมยังมีลูกเล่นสีและลวดลายต่างๆ ตามเทรนด์เกาหลี และที่สำคัญราคายังไม่แพงอีกด้วย ซึ่งจริงๆแล้วผลิตภัณฑ์นี้จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ตาม ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ดังนั้น การผลิต นำเข้าหรือจำหน่าย จึงจำเป็นจะต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อนเท่านั้น

 

ในระยะที่ผ่านมามีข่าวผู้ป่วยติดเชื้อที่ตาเนื่องจากการใช้บิ๊กอายหลายราย เชื้อที่เป็นสาเหตุ คือ ซูโดโมแนส ออรูจิโนซ่า (Pseudomonas aeruginosa) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบได้ทั่วไป เชื้อนี้เป็นสาเหตุสำคัญอันดับแรกของการติดเชื้อที่กระจกตาในผู้ใช้คอนแทก เลนส์ นั่นหมายความว่า ไม่ใช่แค่คนที่ใช้บิ๊กอายเท่านั้นแต่หมายรวมถึงคนใช้คอนแทกเลนส์ทั่วไปด้วย หากยังจำกันได้ เชื้อชนิดเดียวกันนี้เคยเป็นข่าวมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกรณีของนางงามชาวบราซิลวัย 20 ปี ที่ติดเชื้อแบคทีเรียตัวเดียวกันนี้ที่กระเพาะปัสสาวะในขณะอยู่โรงพยาบาล ภายหลังเข้ารับการรักษาผ่าตัดนิ่วที่ไต ซึ่งในที่สุดคณะแพทย์ต้องตัดมือและเท้าทั้ง 2 ข้างออกเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวเข้าสู่กระแสเลือด และได้เสียชีวิตลงอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียงเดือนเศษเท่า นั้น หรือในประเทศไทยเองก็เกิดเป็นข่าวดังจากการติดเชื้อดังกล่าวที่กระจกตาเมื่อ มารับการผ่าตัดในโรงพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยบางรายถึงขั้นตาบอด

 

ทำไมเชื้อชนิดเดียวกันนี้จึงก่อให้เกิดโรคในลักษณะที่แตกต่างกันได้หลายโรค ?????????คำตอบนั้นอยู่ที่ตัวเชื้อนี้เป็นแบคทีเรียแกรมลบที่จัดเป็นเชื้อ ประเภทฉวยโอกาส นั่นหมายความว่า เชื้อนี้มักไม่ก่อโรคในคนที่มีสุขภาพดี แต่มักพบในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ซึ่งรวมไปถึงผู้ป่วยที่อยู่ในอาการโคม่าหรือผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรง พยาบาล แบคทีเรียชนิดนี้สามารถแพร่กระจายและก่อโรคได้หลายระบบ อาทิเช่น การติดเชื้อที่กระจกตา ระบบประสาทส่วนกลาง เยื้อหุ้มหัวใจ ปอด ผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อน ทางเดินปัสสาวะ ปัญหาสำคัญของเชื้อนี้ คือ มักก่อให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เชื้อตัวยังมีความสามารถในการดื้อยาสูงและเชื้อบางสายพันธุ์ของกลุ่มนี้ สามารถดื้อยาหลายขนาน หรือที่รู้จักกันว่า Multi-Drug Resistance (MDR)

 

สำหรับการติดเชื้อที่กระจกตาจากการใช้คอนแทกเลนส์นั้น ดังที่กล่าวแล้วไม่ใช่แต่เพียงผู้ใช้บิ๊กอายเท่านั้น แต่หมายรวมถึงคอนแทกเลนส์ทั่วไปด้วย สิ่งที่ต้องระวังก็คือ บิ๊กอายที่นำเข้ามาโดยไม่ถูกกฎหมาย ไม่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ยิ่งตัวเลนส์มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่าตาดำของชาวเอเชียแล้ว ยิ่งอาจก่อความระคายเคืองเกิดรอยถลอก ทำให้โอกาสที่เชื้อผ่านชั้น เยื่อบุผิวตาดำ ไปสู่กระจกตามีมากยิ่งขึ้น เชื้อนี้ยังสามารถสร้างเอนไซม์หลายชนิด เช่น เอ็นไซม์ที่ใช้ย่อยโปรตีนซึ่งสามารถทำลายเยื่อบุผิวตาดำได้ นอกจากนี้ยังมีอาวุธประจำกายอื่นๆ ที่หลากหลายในการทำลายเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจจัดแบ่งออกได้เป็นดังนี้

 

1. การเข้าเกาะติดเนื้อเยื่อและทวีจำนวนเชื้อ

2. การเข้าบุกรุกทำลายเซลล์

3. สร้างเอนไซม์และท็อกซินที่เป็นพิษต่อเนื้อเยื่อ

 

เชื้อนี้ยังมีความสามารถในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ผลิตสาร ที่ทำลายกระจกตาได้ นอกจากนี้ยังกระตุ้นตัวรับ (receptor) เยื่อบุผิวตาดำให้จับตัวเชื้อแล้วกระตุ้นให้เซลล์สร้างสารที่เกี่ยวข้องกับ การอักเสบ ที่จะดึงดูดเซลล์เม็ดเลือดขาวเข้ามาที่กระจกตา เกิดการทำลาย เยื่อบุผิวตาดำ ก่อให้เกิดอันตรายจนอาจทำให้ตาบอดถาวรได้ ดังนั้น ก่อนเลือกใช้คอนแทกเลนส์ จึงควรตรวจสอบว่าผ่านการรับรองจากอย. หรือไม่ และควรดูแลทำความสะอาดเพื่อป้องกันการปนเปื้อนจุลินทรีย์อย่างสม่ำเสมอ

 

 

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ มัลลิกา ชมนาวัง

 

ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

 

 

เอกสารอ้างอิง

1. Veesenmeyer JL, Hauser AR, Lisboa T, Rello J. Pseudomonas aeruginosa virulence and therapy: evolving translational strategies. Crit Care Med.2009; 37(5):1777-1786.

2. Willcox MDP. Pseudomonas aeruginosainfection and inflammation during contact lens wear: a review.Optom Vis Sci. 2007; 84(4):273-278.

3. Fleiszig SMJ. The pathogenesis of contact lens-related keratitis. Optom Vis Sci. 2006; 83(12):866-873.

 

 

http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgebase.php

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เตือน'สปาปลา'อาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค แพร่โรค

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

doctor-fish.jpg

 

สมาคมแพทย์ผิวหนัง เตือน “สปาปลา”อาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค แพร่โรค ติดเชื้อได้ ด้าน สธ. เตรียมประสาน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตรวจสอบสปา 1 , 341 แห่ง ทั่วประเทศ หากพบผิดสุขลักษณะพร้อมสั่งปิดทันที

 

รศ.นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวถึง กรณีที่ สหรัฐฯออกประกาศสั่งห้ามทำ สปาปลา ใน 14 รัฐแล้ว เนื่องจากอาจจะทำให้เกิดการอักเสบและแพร่โรคติดต่อกันได้ ในขณะที่สำนักคุ้มครองสุขภาพในประเทศอังกฤษ ได้ทำการตรวจสอบการทำสปาปลา บริการที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลกเช่นกันว่า โดยตัวของปลาเองคงไม่เป็นอันตรายต่อคน แต่กรณีที่อาจเป็นอันตรายได้คือ คนที่ป่วยเป็นโรคผิวหนังหรือโรคติดต่อต่าง ๆ ปลาอาจนำเชื้อโรคจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งที่มีแผลได้ หรือในคนที่เป็นแผลแล้วอยู่แล้วไปแช่สปาปลา หากไม่มีการเปลี่ยนน้ำ ๆที่แช่อยู่บ่อย ๆ น้ำอาจสกปรกและมีเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อโรคต่าง ๆ อาจทำให้ติดเชื้อได้

 

“ความจริงวิธีการดังกล่าวไม่ควรจะทำ เพราะไม่ได้ช่วยอะไรมาก ดังนั้นจึงอยากเตือนไปยังประชาชนเช่นกัน โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคอาจแพร่โรคไปสู่คนอื่นได้ และคนที่เป็นแผลอาจติดเชื้อได้” นพ.นภดล กล่าว

 

ด้าน นพ.สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เรื่องสปาปลาไม่ได้อยู่ความดูแลของ สบส. เพราะสปาที่กรมดูแลและได้รับการรับรองจำนวน 1 , 341 แห่งนั้นไม่ได้ให้บริการลักษณะนี้ ดังนั้นจะมีการประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจและกระทรวงมหาดไทยต่อไปว่าจะ สามารถดำเนินการปิดสปาปลาได้หรือไม่ หรือจะดำเนินการอย่างไร เพราะทราบว่าขณะนี้มีการเปิดเยอะมาก ในกทม.ก็มีหลายแห่งทั้งเต็มไปหมด ตอนนี้ก็กำลังหารือกันอยู่ เพราะอาจจะเป็นแหล่งนำเชื้อโรคได้

 

อธิบดี กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวต่อว่า อยากให้มีการเผยแพร่ข่าวสารเรื่องนี้เพื่อให้ประชาชนตื่นตัวระหว่างที่ยัง ไม่ดำเนินการอะไร คือ ในกรณีที่บางคนเป็นโรคเช่น น้ำกัดเท้า แล้วเอาเท้าไปแช่น้ำ หากไม่มีการเปลี่ยนน้ำให้สะอาดเชื้อโรคก็จะอยู่ในน้ำ หากคนมาใช้ต่อแล้วมีแผลก็อาจจะทำให้ติดเชื้อโรคได้.

 

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/life/20110308/380855/%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84-%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84.html

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

" ธัญพืช สำคัญอย่างไร "

 

 

 

ตอบ : อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง ยืนยันถึงคุณประโยชน์ของธัญพืชว่า

 

“เมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ที่เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร เนื้อ นม เนย ไข่ กลายเป็นของหายาก และมีราคาแพง ประชาชนส่วนใหญ่จึงต้องรับประทานข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เล่ย์เป็นหลัก ปรากฎว่าช่วงนั้นชาวยุโรปเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งน้อยมาก ทั้งนี้ เนื่องจาก ข้าวเมืองหนาวทั้ง 2 ชนิดนี้มีสารแอนติออกซิเดนต์สูง จึงช่วยป้องกันความเสื่อมและการถูกทำลายของเซลล์ทั่วร่างกายอันเป็นสาเหตุ ของมะเร็งได้”

 

นอกจาก ข้าวโอ๊ต และข้าวบาร์เล่ย์ ที่จัดเป็นธัญพืชเมืองหนาว หรือข้าวฝรั่ง ตามคำนิยามของอาจารย์สาทิสแล้ว ยังมี ข้าวสาลี ข้าวไรย์ และข้าวฟ่าง ที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน

 

โดยข้าวสาลี จะมีประโยชน์สูงสุด ถ้าไม่ผ่านการขัดขาว ช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดี โดยเฉพาะถ้าเป็นจมูกข้าวของข้าวสาลีพันธุ์ Wheat จะอุดมไปด้วยวิตามินอี รักษาสิวได้ชะงัดเชียวค่ะ

 

ส่วนข้าวไรย์ คนไทยอาจไม่คุ้นชื่อนัก แต่ข้าวไรย์เป็นพืชตระกูลข้าวสาลีที่มีประโยชน์สูง ไม่แพ้ธัญพืชชนิดอื่น โดยเป็นแหล่งรวมของวิตามินบี1 วิตามินบี2 และมีกรดอะมิโนไลซีนสูง ช่วยเสริมระบบการเผาผลาญอาหารและการเติบโตของร่างกาย

 

สุดท้ายในกลุ่มนี้ เป็นข้าวฟ่าง ที่อุดมไปด้วยเส้นใย จึงย่อยง่าย อีกทั้งยังมีสารโปรตีนในปริมาณใกล้เคียงกับถั่วเหลือง พร้อมธาตุแมกนีเซียม โพแทสเซียม และวิตามินบี3 สูง

 

 

ต่อมาเป็น กลุ่มธัญพืชคุณค่าสูง หากินได้ง่าย แถมราคาเบา

นำขบวนมาด้วย ข้าวโพดแหล่งคาร์โบไฮเดรต และสรรพคุณทางยา ช่วยบำบัดโรคดีซ่าน และตับอักเสบได้

 

ลูกเดือย ประกอบด้วยวิตามินบี 3, ธาตุแมกนีเซียม และโพแทสเซียม ซึ่งช่วยบำรุงระบบการทำงานของประสาท

ลูกบัว เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดี และยังมีสรรพคุณทางยา ช่วยบำรุงหัวใจ ไต และประสาท แถมช่วยบรรเทาอาการท้องร่วงได้ด้วย

ถั่วหลากชนิด ที่ชีวจิตแนะนำให้เป็นทางเลือก ทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์

 

งา ธัญพืชสีดำ มีคุณสมบัติช่วยลดความดันโลหิต และความเครียดได้

 

สำหรับวิธีการบริโภคในแบบชีวจิต นอกจากจะรับประทานควบคู่กับข้าวกล้อง ในปริมาณครึ่งหนึ่งของอาหารทั้งหมดในแต่ละวัน ตามที่อาจารย์สาทิสแนะนำแล้ว เรายังรับประโยชน์จากธัญพืชโดยการดื่มน้ำอาร์ซีได้อีกทางหนึ่งด้วย เนื่องจากส่วนประกอบหลักของน้ำอาร์ซี คือ ข้าวสาลี ข้าวฟ่าง ข้าวบาร์เล่ย์ ลูกเดือย และลูกบัว ซึ่งมีดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอจากธรรมชาติ จึงทำให้ร่างกายกระปรี้ประเปร่า ลดอาการอ่อนเพลียได้เป็นปลิดทิ้ง

 

http://www.cheewajit.com/satisAskView.aspx?askId=810

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับคุณมดแดง

ขนาดไปศึกษากราฟจนเก่งแล้ว ก็ยังมีเวลาหาเรื่องน่ารู้มาฝากเพื่อน ๆ เป็นประจำ บวกให้กระจายเลย

:wub:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับคุณมดแดง

ขนาดไปศึกษากราฟจนเก่งแล้ว ก็ยังมีเวลาหาเรื่องน่ารู้มาฝากเพื่อน ๆ เป็นประจำ บวกให้กระจายเลย

:wub:

 

ขอบคุณมากๆค่ะ มาชมกันแบบนี้เขินค่ะ เดี๋ยวไปไม่ถูกเลย03.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

น้ำมันมะพร้าว.....อีกทางเลือกง่ายๆ ลองเปิดใจและศึกษาข้อมูล

 

 

น้ำมันมะพร้าว ตอน 2 ใครไม่ป่วย tape 45 2/5

 

 

 

 

 

ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น เทป 45 ตอน น้ำมันมะพร้าวตอน 2 ช่วงที่ 2 มาถึงปัจจุบันนี้ ใครๆคงรู้จักน้ำมันมะพร้าวและประโยชน์ของมันแล้ว แต่สำหรับเทปนี้เรานำท่านไปรู้จักประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวในแง่มุมที่ท่าน ยังไม่รู้ ถึงการใช้น้ำมันมะพร้าวในการรักษาเบาหวาน การรับประทานกระเทียมควบคู่กับการกินน้ำมันมะพร้าว เมื่อรับประทานร่วมกันแล้วจะมีประสิทธิภาพในการฉลอความแก่ชราได้ และเราจะพาท่านไปพบผู้ใช้น้ำมันมะพร้าว ที่เขาเหล่านั้นรับรองได้ว่าน้ำมันมะพร้าวดีจริง และมีประโยชน์มากมายมหาศาล ติดตามได้ในใครไม่ป่วยยกมือขึ้นเทปนี้ครับ

 

 

 

น้ำมันมะพร้าว ตอน 2 ใครไม่ป่วย tape 45 3/5

 

 

 

ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น เทป 45 ตอน น้ำมันมะพร้าวตอน 2 ช่วงที่ 3 มาถึงปัจจุบันนี้ ใครๆคงรู้จักน้ำมันมะพร้าวและประโยชน์ของมันแล้ว แต่สำหรับเทปนี้เรานำท่านไปรู้จักประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวในแง่มุมที่ท่าน ยังไม่รู้ ถึงการใช้น้ำมันมะพร้าวในการรักษาเบาหวาน การรับประทานกระเทียมควบคู่กับการกินน้ำมันมะพร้าว เมื่อรับประทานร่วมกันแล้วจะมีประสิทธิภาพในการฉลอความแก่ชราได้ และเราจะพาท่านไปพบผู้ใช้น้ำมันมะพร้าว ที่เขาเหล่านั้นรับรองได้ว่าน้ำมันมะพร้าวดีจริง และมีประโยชน์มากมายมหาศาล ติดตามได้ในใครไม่ป่วยยกมือขึ้นเทปนี้ครับ

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...