ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
moddang

สาระน่ารู้....สุขภาพ.....

โพสต์แนะนำ

เรื่อง(ไม่)เล็ก การรักษารากฟัน

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ทพญ.ศศพินทุ์ เจณณวาสิน งานทันตกรรม รพ.ศิริราช : บทความ

นิษฐ์ภัสสร ห่อเนาวรัตน์ : เรียบเรียง

 

 

 

เมื่อเอ่ยถึงการ รักษารากฟัน หลายคนอาจทำหน้าสงสัย แค่ชื่อก็ฟังดูน่าขยาด ชวนให้นึกไปถึงขั้นตอนการรักษาที่ยุ่งยาก ซับซ้อน และเกี่ยวโยงไปถึงความเจ็บปวดที่จะตามมา อันที่จริงแล้วการรักษารากฟันนั้นมีความยุ่งยากซับซ้อนก็จริง แต่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดกัน เพราะเป็น กระบวนการรักษาที่ทำให้สามารถเก็บฟันที่ผุ แตก หัก ทะลุโพรงประสาทให้ใช้งานได้ต่อไปอีกนาน ดังนั้นเราจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษารากฟันซึ่งเป็นเรื่อง (ไม่) เล็กที่อาจใกล้ตัวกว่าที่คิด

 

 

554000003919401.JPEG

ขั้นตอนการรักษารากฟัน

การรักษารากฟันจะทำเพื่อรักษาโรคที่เกิดขึ้นกับระบบโพรงประสาทฟัน ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากฟันที่ผุและถูกปล่อยทิ้งไว้จนลุกลามเข้าสู่โพรงประสาท ฟัน หรือการที่ฟันได้รับอุบัติเหตุต่างๆ จนส่งผลให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อของโพรงประสาทฟันตามมา ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา การติดเชื้อนั้นก็อาจลุกลามเข้าสู่กระดูกเบ้าฟันและช่องเนื้อเยื่อบริเวณใบ หน้าได้

 

อาการที่บ่งชี้ว่าฟันอาจมีการอักเสบติดเชื้อภายในโพรงประสาทจนต้อง รักษารากฟัน เช่น มีอาการปวดฟันรุนแรงและยาวนาน เมื่อโดนสิ่งกระตุ้นต่างๆ ความร้อนหรือความเย็น หรือจู่ ๆ ก็ปวดฟันขึ้นมาโดยไม่ต้องมีสิ่งกระตุ้น (ซึ่งมักจะเป็นมากเวลานอน) ฟันมีสีคล้ำลงผิดจากฟันซี่อื่น มีอาการบวมบริเวณเหงือกและใบหน้า หรือมีตุ่มหนองเกิดขึ้น

 

• ขั้นตอนหลักของการรักษารากฟัน ประกอบด้วย

 

1. เปิดทางเข้าจากตัวฟันไปถึงโพรงประสาทฟันที่อักเสบ

 

2. ล้างทำความสะอาดคลองรากฟัน พร้อมขยายและตบแต่งคลองรากฟันให้เหมาะสมแก่การอุด อาจมีการใส่ยาทิ้งไว้ในคลองรากฟันเพื่อกำจัดเชื้อที่เหลืออยู่

 

3. เมื่อโพรงประสาทฟันสะอาดดีแล้ว ทันตแพทย์จะทำการอุดปิดโพรงประสาทฟันอย่างถาวร โดยใช้วัสดุจำพวกยางอุดตั้งแต่ปลายรากฟันถึงพื้นโพรงประสาทฟัน และปิดทับด้วยวัสดุทางทันตกรรม

 

4. ทันตแพทย์จะทิ้งระยะเพื่อรอดูอาการซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพของฟัน และเมื่อแน่ใจว่าการรักษารากฟันประสบความสำเร็จ ก็จะทำการบูรณะฟันตามความเหมาะสมต่อไป

 

 

554000003919402.JPEG

ภาพจำลองฟันที่ผ่านการรักษารากแล้ว

• เจ็บ(หรือเปล่า)

 

โดยทั่วไปทันตแพทย์จะมีการใส่ยาชาก่อน เว้นในรายที่โพรงประสาทฟันตายไปแล้วจริง ๆ จะไม่เกิดอาการเจ็บปวดเลย แต่บางรายอาจพบอาการเจ็บหรือตึงที่ฟัน ซึ่งเป็นผลแทรกซ้อนจากการรักษาได้บ้าง

 

แม้เทคโนโลยีการรักษาคลองรากฟันจะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถย่นระยะเวลาการรักษาลงได้มาก แต่ก็ใช่ว่าฟันทุกซี่จะรักษาได้เสมอไป ดังนั้นจึงไม่ควรละเลยในการดูแลสุขภาพช่องปากให้ดี โดยแปรงฟันให้สะอาดทั่วถึงและหมั่นพบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็คสุขภาพฟันทุก 6 เดือน รวมทั้งไม่ควรปล่อยให้ฟันผุลุกลามไปจนถึงโพรงประสาทฟัน เพียงเท่านี้การรักษารากฟันก็ยังคงเป็นเรื่องเล็กที่ห่างไกลตัวเราไปอีกนาน ทั้งยังมีฟันธรรมชาติอยู่คู่กับเราดีกว่าเป็นไหนๆ

 

----------------------------------------------------------

554000003919403.JPEG

ภาพแสดงฟันผุที่อาจมีการทะลุของโพรงประสาทฟัน

 

:D ศิริราชชวนร่วมบริจาคช่วยผู้ประสบภัยที่ญี่ปุ่น

 

โรงพยาบาลศิริราช เชิญชวนพี่น้องชาวไทยบริจาคเงินช่วยผู้ประสบภัยญี่ปุ่นได้ทุกวันที่ โถงอาคาร 100 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ ชั้น 1 เวลา 09.00 - 16.30 น. และเฉพาะจันทร์ - ศุกร์ ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ตึกผู้ป่วยนอก ชั้น 1 เวลา 07.00 -16.00 น.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตามมาอ่านครับ อยากรู้เรื่องนี้อยู่พอดี

:ph34r:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตามมาอ่านครับ อยากรู้เรื่องนี้อยู่พอดี

:ph34r:

 

ขอบคุณนะคะ

 

มดแดงว่าจะแยกกระทู้เรื่อง ฟ.ฟัน ค่ะ จะได้อ่านสะดวกๆ แต่ตอนนี้รู้สึกจะยังไม่ค่อยมีเวลาค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คันหูจัง....ทำอย่างไรดี

 

 

อาการคันหูเป็นอาการที่พบได้บ่อย และเป็นที่น่ารำคาญแก่ผู้ที่มีอาการดังกล่าว อาการคันหูเกิดจากหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักใช้ไม้พันสำลีปั่นหูชั้นนอก หรือใช้นิ้วแคะ, ขยี้ หรือปั่นรูหูเพื่อบรรเทาอาการคัน ซึ่งอาจทำให้ผิวหนังของหูชั้นนอกอักเสบมากขึ้น เกิดอาการคันมากขึ้น หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนกลายเป็นหูชั้นนอกอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือ เกิดฝีของหูชั้นนอกตามมา

 

สาเหตุ

 

1. การอักเสบเรื้อรังของหูชั้นนอก (chronic otitis externa) เป็น สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด มักเกิดจากผู้ป่วยใช้ไม้พันสำลีปั่นช่องหูชั้นนอกเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังอาบน้ำ แล้วน้ำเข้าหู ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังของผิวหนังของหูชั้นนอก ทำให้เกิดอาการคันหูเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ

2. การติดเชื้อราของช่องหูชั้นนอก (otomycosis) ทำให้มีอาการคันหูได้

3. หูชั้นกลางอักเสบ แล้วเยื่อบุแก้วหูทะลุ มีหนองไหลออกมา ทำให้เกิดการอักเสบของหูชั้นนอกตามมา (secondary otitis externa) ซึ่งทำให้เกิดอาการคันหูได้

4. โรคทางกายบางชนิดที่ทำให้มีอาการคันของหูชั้นนอกได้ เช่น โรคตับ (เช่นโรคตับอักเสบ), เบาหวาน, โรคเลือด, มะเร็ง, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง, โรคไตวายเรื้อรัง

5. โรคของผิวหนังเองที่มีการอักเสบของช่องหูชั้นนอก หรือใบหูร่วมด้วย ได้แก่ โรคสะเก็ดเงิน (psoriasis), โรคต่อมไขมันอักเสบ (seborrheic dermatitis), โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้

 

การวินิจฉัย

สามารถทำได้โดยซักประวัติ โดยอาจซักถามอาการอื่นๆ ที่อาจเกิดร่วมด้วย เช่น หูอื้อ, เสียงดังในหู, มีหนองไหลจากหู และตรวจหู อาจเห็นผิวหนังของช่องหูแห้ง แดง หนา เป็นขุย หรือเป็นแผล พบรอยถลอก หรือลักษณะของผิวหนังอักเสบได้

 

การรักษา

 

1. รับประทานยาแก้แพ้ (antihistamine) ให้หายคัน

2. อาจใช้ยาสเตียรอยด์ ทาหรือหยอดหู เพื่อลดอาการอักเสบ และอาการคัน

3. รักษาตามสาเหตุของอาการคัน

4. แนะนำให้ผู้ป่วยเลิกใช้ไม้พันสำลี หรือนิ้วในการปั่นช่องหู ถ้าคันมาก แนะนำให้การรักษาโดยข้อ 1 และ ข้อ 2 อาจขยี้ตรงช่องหูเบาๆ ได้

5. แนะ นำให้ผู้ป่วยระวังไม่ให้น้ำเข้าหู เนื่องจากผู้ป่วยมักใช้ไม้พันสำลีซับน้ำในช่องหูหลังอาบน้ำ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองของผิวหนังช่องหูเรื้อรัง ทำให้เกิดการอักเสบ และอาการคันขึ้นอีก อาจใส่หมวกเวลาอาบน้ำ หรือใช้สำลี หรือที่อุดหูสำหรับนักดำน้ำซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์กีฬา อุดหูระหว่างอาบน้ำ เพื่อไม่ให้น้ำเข้าหู

โดย : รศ. นพ. ปารยะ อาศนะเสน ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา

 

Faculty of Medicine Siriraj Hospital

 

ที่มา : http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=558

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ปวดก้นกบ ( Coccyx Pain , coccydynia , coccygodynia )

 

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-01-2010&group=5&gblog=45

 

 

 

1262604228.jpg

 

 

พบได้ไม่บ่อย ( น้อยกว่า 1 % )

 

พบใน ผู้หญิง มากกว่าผู้ชาย 5 เท่า

 

 

1262604304.jpg

 

อาการ

 

เจ็บบริเวณก้นกบ โดยเฉพาะเวลานั่ง หรือ ขณะกำลังจะลุกขึ้นยืน ( ยืน เดิน นอน จะไม่ค่อยเจ็บ )

 

เจ็บมากขึ้น เวลานั่งติดต่อกันนาน ๆ หรือ นั่งบนพื้นแข็ง แต่ ถ้านั่งโน้มตัวไปข้างหน้าจะรู้สึกเจ็บน้อยกว่านั่งเอนไปข้างหลัง

 

โดยส่วนใหญ่จะค่อย ๆ หายไปเอง แต่ถ้ามีอาการเรื้อรัง (นาน 3 – 6 เดือน) มักจะไม่หายเอง

 

 

 

:blush: สาเหตุ

 

การกดเสียดสีบริเวณก้นกบ อุบัติเหตุก้นกระแทก กระดูกหัก นั่งนาน ตั้งครรภ์ คลอดบุตร น้ำหนักมาก

 

สาเหตุจากบริเวณใกล้เคียง เช่น กล้ามเนื้ออักเสบ กระดูกสันหลังเสื่อม ริดสีดวงทวาร เนื้องอกมดลูกรังไข่ มะเร็ง

 

แต่โดยส่วนใหญ่ มักจะไม่ทราบสาเหตุ

 

 

 

การวินิจฉัย

 

ตรวจร่างกาย มีจุดกดเจ็บชัดเจน บางครั้งอาจต้องตรวจทางทวารหนัก หรือ ตรวจภายใน ร่วมด้วย

 

เอกซเรย์ โดยเฉพาะผู้ที่เคยมีอุบัติเหตุ ในบางรายอาจต้องตรวจ เอกซเรยคอมพิวเตอร์ (CT) หรือ เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ร่วมด้วย

 

 

:o การรักษา

 

ปรับท่านั่ง เก้าอี้ เบาะรองนั่งรูปโดนัท (donut-shaped pillow or a gel cushion)

 

หลีกเลี่ยงท่าทางหรือกิจกรรม ที่ทำให้ปวดมากขึ้น หรือ มีแรงกระแทกโดยตรง เช่น นั่งนาน ขี่จักรยาน ขี่ม้า

 

บริหารกล้ามเนื้อ กายภาพบำบัด แช่น้ำอุ่น

 

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=25-07-2008&group=11&gblog=3

 

 

:) ยาต้านการอักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ

 

ฉีดยา สเตอรอยด์ เฉพาะที่ (โดยเฉพาะในผู้ที่รักษา ๒ เดือนแต่ไม่ดีขึ้น ) ได้ผลดีประมาณ 60%

 

ผ่าตัด ตัดกระดูกก้นกบออก ได้ผลดี 50 - 80% โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติอุบัติเหตุ มีกระดูกแตก แต่มีผลข้างเคียงสูงโดยเฉพาะแผลติดเชื้อ หรือ กลั้นอุจจาระไม่ได้

 

 

 

แหล่งอ้างอิง ...

 

http://emedicine.medscape.com/article/309486-overview

 

http://emedicine.medscape.com/article/1264763-overview

 

http://www.aurorahealthcare.org/yourhealth/healthgate/getcontent.asp?URLhealthgate=%22445932.html%22

 

http://www.scielo.br/scielo.php?script=sci_arttext&pid=S1413-78522002000400004

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตะคริวขึ้นขาตอนนอนหลับเจ็บสุดๆ

 

นอนหลับอยู่ดี ๆ กลางดึก อยู่ ๆ น่องก็ปวดตึง เป็นตะคริวขึ้นมาเฉยเลย บางครั้งก็เป็นตะคริวที่ต้นขา หรือที่เท้า มักจะเป็นตอนเพิ่งหลับไปไม่นาน หรือเพิ่งตื่นนอน เป็นได้ยังไงกันเนี่ย

 

สาเหตุของการเป็นตะคริวที่ขาตอนนอน

ที่สบายใจได้อย่างนึงก็คือ อาการนี้ไม่ใช่อาการของโรคใด ๆ ที่ร้ายแรงหรือต้องการการรักษา สาเหตุที่อาจจะทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดอาการนี้ได้แก่

* ออกกำลังกายมากเกินไป หรือมีการใช้กล้ามเนื้อขามากเกินไป

* ยืนหรือนั่งเป็นเวลานาน

* มีความผิดปกติของเกลือแร่ ได้รับโพแทสเซียม แคลเซียมไม่เพียงพอ

* ภาวะขาดน้ำ ดื่มน้ำน้อยเกินไป หรือเสียเหงื่อมากเกินไป

* ทานยาบางชนิด เช่น ยาทางจิตเวช ยาคุมกำเนิด ยาขับปัสสาวะ ยาลดไขมัน สเตียรอยด์

* คนที่มีเท้าแบน flat feet

* คนที่เป็นโรคไทรอยด์

 

เมื่อมีอาการขึ้นมาจะทำอย่างไร?

 

ถ้าหากว่าเกิดมีอาการตะคริวขึ้นมา สิ่งที่คุณจะทำได้เพื่อลดอาการอาจจะลองทำตามข้อใดข้อหนึ่งที่ได้ผลกับคุณ

 

* ยืดกล้ามเนื้อที่น่อง

* ลุกขึ้นมาพยายามเดิน

* แช่น้ำอุ่น หรืออาบน้ำอุ่น และนวดที่กล้ามเนื้อน่อง

 

จะป้องกันตะคริวที่ขาขณะนอนได้อย่างไร?

 

ลองเทคนิคเหล่านี้ในการป้องกันดูนะครับ

 

* ในระหว่างวันดื่มน้ำให้มากเพียงพอ คือวันละ 8-10 แก้ว

* หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ และงดแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้คุณมีการเสียน้ำมากกว่าปกติ เกิดภาวะขาดน้ำได้

* เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ มีเกลือแร่ calcium, potassium, และ magnesium เช่น นมสด0% กล้วยหอม บล็อคเคอรี่ ถั่วอัลมอนต์ โยเกิร์ต ผักโขม

* ลองออกกำลังกายด้วยการขี่จักรยานเพื่อฝึกกล้ามเนื้อ

* ยืดกล้ามเนื้อน่อง และขา ก่อนนอนเป็นประจำ

 

ถ้าหากว่าคุณทานยาที่อาจจะทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ลองปรึกษาแพทย์เพื่อปรับหรือเปลี่ยนยา

 

ในกรณีที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วยังมีอาการบ่อย ๆ สามารถพบแพทย์เพื่อรับการรักษาด้วยยาที่จะทำให้มีการคลายกล้ามเนื้อและลดการ ทำงานของเส้นประสาทได้

We Care

 

Dr.Carebear Samitivej

 

ที่มา : http://www.facebook.com/notes/drcarebear-samitivej/ตะคริวขึ้นขาตอนนอนหลับ-เจ็บสุด-ๆ/205030972863308

 

http://www.meedee.net/magazine/med/medical-life/8300

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตามมาบวกคะแนนให้ครับ สาระสุขภาพ เหมาะกับคนแก่อย่างผมจริง ๆ

:ph34r:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มาบริหารหน้าและลิ้นกันเถอะ

 

 

http://203.157.71.172/web/kk/7_3/2-3.pdf

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

10 อาหารที่่ไม่ควรกินบ่อย

1. ไข่เยี่ยวม้า ไข่เยี่ยวม้ามีตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลง กินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบางและอาจได้รับพิษตะกั่วเช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ

2. ปาท่องโก๋ กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปนเปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไปนอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย

3. เนื้อย่าง กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสารเบนโซไพรีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

4. ผักดอง ผักดองและของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกินหรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนักเกิดความดันเลือดสูงและโรค หัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิดสารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

5. ตับหมู ตับหมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกินหรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง (อัมพฤกษ์อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้น

6. ผักขม ปวยเล้ง ผักขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า...มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสี และแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกินหรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียมหรือสังกะสีได้

7. บะหมี่สำเร็จรูป บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหารและการสะสมสารพิษได้

8. เมล็ดทานตะวัน เมล็ดทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงทว่า... การกินมากเกินหรือบ่อยเกินอาจทำให้กระบวนการเคมี (metabolism) ในร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับภาวะไขมันในตับสูงอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคตับ เช่น ตับแข็ง ฯลฯเพิ่มขึ้น

9. เต้าหู้หมัก เต้าหู้ยี้ กระบวนการหมักเต้าหู้อาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย... ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อคนสูงอายุ หรือเด็กเล็กได้ นอกจากนี้กระบวนการผลิตยังทำให้เกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่าง กาย

10. ผงชูรส คนเราไม่ควรกินผงชูรสเกินวันละ 6 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา... การกินผงชูรสมากเกิน หรือบ่อยเกิน ทำให้เกิดภาวะกรดกลูตามิกในเลือดสูงอาจทำให้ปวดหัว ใจสั่น คลื่นไส้และมีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์

ปล. อะไรที่มันน้อยไป หรือมากไปก็ไม่ดีทั้งนั้น ทางสายกลางคือความพอดี กินอย่างพอดี ออกกำลังกายอย่างพอดี พักผ่อนอย่างพอดี รับรองว่าแข็ง....แรง แน่นอน 555 ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับบบบ

เครดิต : thaihealth.or.th

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

6 วิธีนอนอย่างปลอดภัยในโรงแรม

 

132.gif

 

หลายคนคงจะได้ทราบข่าวเกี่ยวกับโรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่กันมาบ้างแล้ว ว่ามี นักท่องเที่ยวเสียชีวิตที่โรงแรมแห่งนั้นหลายคน จนถูกขนานนามว่าเป็น "โรงแรมอาถรรพ์" แต่ไม่นานนี้ก็มีข่าวใหม่ออกมาว่าแท้จริงแล้วสาเหตุการเสียชีวิตนั้น เกิดจากการได้รับสารพิษที่มีอยู่ในโรงแรมนั่นเอง

 

สารพิษที่ตรวจพบคือ chloypyrifos ซึ่งเป็นสารชนิดหนึ่งในยาฆ่าแมลงที่ทางโรงแรมใช้ฉีดพ่นเตียงนอนเพื่อกำจัดไร ฝุ่นหรือแมลงบนที่นอน แต่จากการชันสูตรศพผู้เสียชีวิตก็ไม่พบสารพิษใด ๆ ดังนั้นข้อกล่าวอ้างนี้เรายังคงต้องติดตามต่อไปค่ะ แต่นั่นก็ยังทำให้หลาย ๆ คนกังวลอยู่ไม่น้อยหากต้องไปพักตามโรงแรมอื่น ๆ "แล้วโรงแรมที่เราไปพักล่ะ ปลอดภัยจริงหรือเปล่า"

 

การจะตรวจสอบสารพิษหรือสารเคมีด้วยตัวเองคงเป็นเรื่องยากค่ะ แต่เราสามารถป้องกันหรือดูแลตัวเองได้ในเบื้องต้นเมื่อต้องไปเข้าพักตาม โรงแรมต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงสารเคมีที่มีอยู่ในห้องพักของเราค่ะ

 

1. ตรวจสอบข้อมูลของโรงแรมก่อนเข้าพัก : จริง ๆ แล้วมีการรีวิวโรงแรมหรือที่พักต่าง ๆ ในอินเตอร์เนตให้เราได้เข้าไปอ่านเยอะมาก รวมทั้งความคิดเห็นของผู้ที่ไปใช้บริการมาแล้วจริง ๆ และภาพถ่ายมุมต่าง ๆ ของโรงแรม ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกโรงแรม โดยควรจะเลือกโรมแรมหรือห้องพักที่มีหน้าต่างภายในห้องสามารถเปิดระบายอากาศ ได้ มีพัดลมระบายอากาศ หรือเป็นห้องพักที่มีการห้ามสูบบุหรี่ภายในห้อง ก็จะทำให้เรามั่นใจในเรื่องอากาศที่ถ่ายเท หมุนเวียนตลอดเวลา

 

2. รู้อาการแพ้ของตัวเอง : ข้อนี้สำคัญค่ะ เพราะเราอาจจะมีอาการแพ้สารเคมีไม่ เหมือนกัน เช่น บางคนแพ้สเปรย์ปรับอากาศ บางคนแพ้น้ำยาเช็ดทำความสะอาดพื้น หรือบางคนแพ้ไรฝุ่นจากหมอนหรือที่นอน ดังนั้นเพื่อความสบายใจและปลอดภัย ควรสอบถามเจ้าหน้าที่โรงแรมก่อนว่ามีการใช้สารเคมีดังกล่าวในห้องพักบ้างไหม ใช้มากแค่ไหน หรือหากต้องการพักที่โรงแรมนั้นจริง ๆ ก็สามารถขอเป็นกรณีพิเศษได้ค่ะว่าไม่ให้สารเคมีดังกล่าวมในห้องที่จะพัก โรงแรมส่วนใหญ่จะยินดีให้บริการอยู่แล้วค่ะ

 

3. พกพายาส่วนตัว : บอก ตรง ๆ ว่าบางครั้งเราก็ไม่สามารถเลี่ยงสารเคมีได้ อาจจะเพราะความไม่รู้ ไม่ตรวจสอบ หรือไม่ระวังตัว ดังนั้นหากเป็นไปได้ควรพกพายาแก้แพ้ของตัวเองไปด้วย เช่น บางคนจะมีอาการจาม มีน้ำมูกเหมือนเป็นหวัดเมื่อสูดกลิ่นสเปรย์ปรับอากาศเข้าไป ก็ควรจะพกยาแก้แพ้ไปด้วย เพื่อป้องกันหรือบรรเทาอาการที่อาจจะเกิดขึ้นได้

 

4. สำรวจทุกซอกมุม : อาจจะทำตัวเหมือนนักสืบคอยจ้องจับผิดไปหน่อย แต่เพื่อความสบายใจและความปลอดภัยในการเข้าพักค่ะ เมื่อเข้าห้องพักแล้ว ให้ลองเดินสำรวจห้องก่อนทั้งในห้องน้ำ ในตู้เสื้อผ้า ใต้โต๊ะ มุมห้อง ซอกเตียง เพราะเป็นไปได้ว่าในจุดเหล่านั้นจะมีสิ่งสกปรกที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ และหากเจอซอกมุมที่มีฝุ่น มีแมลงที่อาจทำให้เราแพ้ ก็สามารถให้ทางโรงแรมจัดเจ้าหน้าที่มาทำความสะอาดอีกครั้งก่อนเข้าพัก หรือหากมีห้องพักอื่นว่างก็สามารถเปลี่ยนห้องได้ค่ะ

 

5. ปัด ๆ จัด ๆ ก่อนนอน : อย่า คิดว่าเมื่อเดินเข้าห้องพักแล้วเห็นเตียงจัดไว้สวย ๆ จะดีเสมอไปค่ะ (ต่อให้เป็นโรงแรม 5 ดาวก็เถอะ) เพราะเป็นไปได้เช่นกันว่าบนเตียงนอนหรือแม้แต่ในผ้าห่ม ผ้าปูเตียงเองอาจจะมีไรฝุ่น สิ่งสกปรก หรือแมลงตัวเล็ก ๆ เล็ดลอดเข้ามาแบบคาดไม่ถึง ก่อนขึ้นไปนั่งไปนอนบนเตียงให้ใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก ๆ ปัดที่นอนก่อน อย่ากลัวว่าจะไม่มีผ้าผืนเล็กไว้เช็ดหน้าเช็ดผมค่ะ ขอใหม่จากทางโรงแรมได้ค่ะ

 

6. อาบน้ำอาบท่า อย่ามัวแต่นอนกลิ้ง : แน่ นอนค่ะว่าหลาย ๆ โรงแรมมีเตียงนอนที่นอนสบายกว่าเตียงที่บ้าน แอร์ก็เย็น บรรยากาศก็ดี แต่ก็อย่าเผลอนอนกลิ้งอยู่เป็นวัน ๆ จนไม่ทำอะไรนะคะ เมื่อตื่นแล้วก็ควรจะอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาด เพื่อกำลังฝุ่นไร หรือสารเคมีที่อาจจะมีอยู่บนที่นอนให้หลุดออกจากผิวหนังของเราค่ะ

 

 

วิธีข้างต้นนี้ บางคนมองว่ายุ่งยาก ลำบาก หรือแม้แต่กลัวว่าทางโรงแรมจะไม่ยินยอมให้บริการดังกล่าว เพราะคิดว่าเรื่องมาก แต่อย่างหนึ่งที่อยากบอกให้ทราบไว้ค่ะว่าในแง่มุมของการบริการนั้น สิ่งเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของบริการที่จะทำให้ลูกค้าอย่างเราปลอดภัยและ ประทับจนไปบอกต่อ ซึ่งจะสร้างชื่อเสียงให้กับทางโรงแรมได้เช่นกัน และในแง่ของผู้บริโภคสินค้าและบริการอย่างเรา กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคก็มีมารองรับในเรื่องสินค้าและบริการที่ปลอดภัยอยู่ แล้ว

 

คงไม่มี ใครอยากจะเข้าไปพักแบบเสี่ยงว่าจะได้รับอันตรายจากสารเคมีหรือสิ่งที่ก่อให้ เกิดอาการแพ้หรอก จริงไหมคะ... ครั้งต่อไปที่ต้องไปพักในโรงแรม อย่าลืมลองนำไปทำกับดูนะคะ

 

 

 

ที่มา : http://health.kapook.com/view26120.html

 

 

http://www.meedee.net/news/ilife/general/8392

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แมลงสาบ! ภัยเงียบสู่ภูมิแพ้ !19

 

 

รศ.พญ.อัญชลี ตั้งตรงจิตรและคณะ

ภาควิชาปรสิตวิทยา

Faculty of Medicine Siriraj Hospital

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

p1.jpg

 

“แมลงสาบ” สัตว์สกปรกที่เป็นต้นกำเนิดสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของผู้ป่วยภูมิแพ้คนไทย

แมลงสาบที่พบในบ้านเรา ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์อเมริกัน สามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว กล่าวคือหากเราเห็นแมลงสาบในบ้าน 1 ตัว เท่ากับยังมีอยู่ในรังอีก 10-800 ตัว

สารก่อภูมิแพ้จากแมลงสาบจะมาจากส่วนต่าง ๆ ทั้งจากตัวมันเอง และส่วนต่างๆ ของแมลงสาบ เช่น ปีก หนวด ไข่ รวมทั้งสิ่งที่ขับถ่ายออกมา หรือจากสารคัดหลั่งของแมลงสาบ

หลายคนสงสัยว่า “ภูมิแพ้” นั้นคืออะไรกัน

 

อธิบายง่ายๆ ก็คือ โรคภูมิแพ้ เกิดจากปฏิกิริยาตอบสนองทางระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแบบไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้ (allergen) ซึ่งในคนปกติไม่เกิดอาการใดๆ แต่ในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ เมื่อได้รับสารนั้นจะกระตุ้นให้ร่างกายมีการสร้าง immunoglobulin E (IgE) มากเกินไป มีผลทำให้เซลล์ต่างๆ ทำงานมากขึ้น เกิดการอักเสบและมีการหลั่งสารเคมีชนิดต่างๆ ที่รู้จักกันดีคือสาร histamine ทำให้เกิดอาการแพ้และมีอาการแสดงต่างๆ แล้วแต่ว่าจะเกิดกับอวัยวะใด ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทุกระบบและทุกวัย

 

แม้โรคภูมิแพ้ จะเป็นโรคที่ไม่ติดต่อกัน แต่ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคคือ กรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม จะ มีสักกี่คนที่ทราบว่า สิ่งแวดล้อมที่กล่าวถึงนั้น รวมถึงบ้านพักอาศัยด้วย เพราะในบ้านมีสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ ฝุ่นบ้าน ขนสัตว์ ฯลฯ โดยเฉพาะแมลงสาบถือเป็นภัยร้ายใกล้ตัว ที่หลายคนมองข้าม ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงมากน้อยขึ้นอยู่กับสภาพความเป็นอยู่ หากเป็นอพาร์ทเมนท์ ที่ รวมห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัวไว้ที่เดียวกัน จะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ที่อาศัยในบ้านพัก หรือห้องเช่าที่มีการจัดแบ่งห้องต่าง ๆ ไว้อย่างเป็นสัดส่วน จากการสำรวจพบว่า ในส่วนที่เป็นครัวจะมีสารก่อภูมิแพ้จากแมลงสาบมากที่สุด รองลงมาคือ ห้องนั่งเล่นและห้องนอน

 

จากการศึกษาผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลศิริราชที่ผ่านมา พบว่า มีสาเหตุมาจากแมลงสาบ 44 – 60 % ของผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ทั้งหมด

 

 

อาการภูมิแพ้แมลงสาบ อาจมีเพียงเล็กน้อย เช่น คันที่ผิวหนัง คอ ตาและจมูก ที่พบบ่อยคือ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคแพ้อากาศ (Allergic rhinitis) และโรคหืด (asthma) ซึ่ง มักมีอาการเกิดขึ้นได้ตลอดปี หากเกิดอาการในกลุ่มเด็กจะมีความรุนแรงมากกว่า อาจทำให้เกิดโรคหอบหืดและหายใจไม่ออก จนต้องไปโรงพยาบาลอย่างฉุกเฉินหรือเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และมีโอกาสเสียชีวิตได้ถ้านำส่งโรงพยาบาลไม่ทัน

 

แพทย์จึงมักแนะนำให้ผู้ป่วยกำจัดหรือลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว และหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือได้รับสารก่อภูมิแพ้อย่างมุ่งมั่นและจริงจัง ถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการรักษาโรคภูมิแพ้ การกำจัดแมลงสาบต้องอาศัยหลายวิธีร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม โดยการรักษาความสะอาด กำจัดขยะและเศษอาหาร การควบคุมโดยใช้สารเคมี และใช้อุปกรณ์กำจัดแมลงสาบ

 

อย่างไรก็ตามโรคภูมิแพ้ไม่เฉพาะที่มาจากแมลงสาบนับวันจะพบมากขึ้น เพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป สิ่ง ที่เป็นปัญหาของการเข้ารับการรักษาของผู้ป่วยนั้น ส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าในบ้านจะมีสารก่อภูมิแพ้ใด จึงทำให้แพทย์เกิดแนวคิดในการทำชุดทดสอบต่าง ๆ เพื่อตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ในบ้านโดยเฉพาะเพื่อให้การดูแลรักษาผู้ป่วยให้มี ประสิทธิภาพมากขึ้น ในอดีตจะใช้ชุดตรวจสอบจากต่างประเทศซึ่งเป็นแมลงสาบคนละสายพันธุ์กับไทย ทำให้ไม่ได้มาตรฐาน แต่วันนี้เราสามารถพัฒนาน้ำยาดังกล่าวได้สำเร็จ และนำมาใช้ในการตรวจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

นอกจากนี้คณะผู้วิจัยนำโดย ศาสตราจารจารย์ ดร.วันเพ็ญ ชัยคำภา ยังได้พัฒนาวัคซีน โดยการนำโปรตีนของแมลงสาบกว่า 20 ชนิด มาตรวจสอบว่าชนิดใดก่อให้เกิดภูมิแพ้ เมื่อทราบว่าโปรตีนจากแมลงสาบชนิดใดที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้และเป็นโปรตีนที่ไม่พบในคน จึงนำมาพัฒนาเป็นวัคซีนต้นแบบสำหรับการรักษาโรคภูมิแพ้แมลงสาบได้สำเร็จเรียกว่า วัคซีนดีเอ็นเอ โดยการนำดีเอ็นเอที่สร้างโปรตีนแมลงสาบมาเชื่อมกับดีเอ็นเอของสารช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของคน ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนในผู้ป่วย

 

แม้ภูมิแพ้จะได้รับการรักษาแล้ว แต่ไม่อาจพูดได้ว่าหายขาด 100 % จากข้อมูลที่ผ่านมา มีเด็กประมาณ 30 – 50 % ถ้าได้รับการดูแลรักษาดี โตขึ้นอาจหายได้ แต่ในรายที่ไม่หายขาด สามารถดูแลรักษาไม่ให้อาการกำเริบได้

 

ถ้าไม่อยากเป็นภูมิแพ้แมลงสาบ ต้องหมั่นทำความสะอาด ดูแลสิ่งแวดล้อมภายในบ้านและรอบๆ ป้องกันดีกว่าแก้ไขนะคะ

 

 

 

 

http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=656

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณดื่มน้ำน้อยไปหรือเปล่า

โดย เอมอร คชเสนี

 

554000007236101.JPEG

 

 

คนเราสามารถอดอาหาร ได้นานเป็นเดือน แต่ถ้าขาดน้ำเพียงแค่ 3 วันก็ไม่รอดแล้ว น้ำมีความสำคัญต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายอย่างมาก เคยสังเกตไหมว่าในแต่ละวันคุณดื่มน้ำปริมาณมากน้อยแค่ไหน นักโภชนาการลงความเห็นว่า ปัจจุบันคนเมืองส่วนใหญ่ดื่มน้ำเปล่าไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย บางคนให้เหตุผลว่าน้ำเปล่าไม่ซ่า ไม่หวาน ไม่อร่อย เหมือนน้ำอัดลม น้ำผลไม้ หรือชา กาแฟ ทำอย่างไรเราจึงจะดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้นในแต่ละวัน

 

:huh: ความต้องการน้ำของแต่ละคนจะต่างกันไปตามอายุ ขนาดของร่างกาย กิจกรรมที่ทำ สภาพแวดล้อม และสภาวะของร่างกาย เด็กจะต้องการน้ำมากกว่าผู้ใหญ่ สภาวะบางอย่างก็ทำให้ร่างกายต้องการน้ำมากขึ้น เช่น มีไข้ อาเจียน ท้องเสีย ปัสสาวะบ่อย มีเหงื่อออกมากกว่าปกติ เป็นต้น

 

:lol: คำแนะนำสำหรับคนทั่วไปก็คือ ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว นี่ถือว่าเป็นปริมาณน้อยแล้วถ้าเทียบกับสารพัดสูตรที่ออกมาใหม่ว่าให้ดื่ม น้ำวันละเท่านั้นเท่านี้ การดื่มน้ำมากๆ ไม่เป็นผลดีสำหรับทุกคนเสมอไป แต่การดื่มน้ำน้อยเกินไป ก็ไม่ใช่ผลดีเช่นกัน

 

บางคนอาจจะไม่ชินที่ต้องพยายามดื่มน้ำให้ได้ตามปริมาณที่แนะนำ และดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน แรงจูงใจในการดื่มน้ำให้ได้เพียงพอในแต่ละวันก็คือ ต้องไม่ลืมนึกถึงผลเสียที่จะตามมาหากร่างกายขาดน้ำ

 

เคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณดื่มน้ำให้ได้มากขึ้นในแต่ละวัน มีดังนี้

- เมื่อตื่นนอนคุณมักจะกระหายน้ำ เป็นโอกาสดีที่จะดื่มน้ำตอนที่กำลังรู้สึกกระหาย เพราะคุณจะดื่มได้มากโดยไม่ลำบากเลย นอกจากจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ร่างกายแล้ว ยังช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายอีกด้วย

 

- อย่าดื่มน้ำเฉพาะเวลาที่ รู้สึกกระหาย แต่ให้ดื่มทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ เพราะหากรอให้กระหายน้ำก่อน นั่นแสดงว่าร่างกายของคุณเริ่มขาดน้ำแล้ว

 

- ไม่จำเป็นต้องดื่มครั้งเดียวให้หมดแก้ว ให้ใช้วิธีจิบทีละนิด แต่จิบบ่อยๆ ตลอดทั้งวัน จะไม่ทำให้รู้สึกจุกหรือปวดปัสสาวะหลังจากดื่มน้ำ

 

- หาขวดน้ำและแก้วน้ำวางไว้ใกล้ๆ ตัว โดยเฉพาะเวลาทำงาน จะช่วยให้คุณดื่มน้ำได้สะดวกขึ้น จะได้ไม่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานจนลืมดื่มน้ำ

 

- หากวางน้ำไว้ใกล้ตัวแล้วยังลืมอีก อาจจะลองใช้วิธีตั้งนาฬิกาเตือนให้ดื่มน้ำทุกๆ ชั่วโมง

 

- หากไม่ชอบรสชาติจืดชืดของน้ำเปล่า ลองบีบมะนาวลงไปเล็กน้อยก่อนดื่ม เพื่อช่วยเพิ่มรสชาติให้กับน้ำเปล่า

 

- หากคุณดื่มชากาแฟปริมาณมาก วันละหลายๆ แก้ว ก็ควรดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้นเพื่อชดเชยน้ำในร่างกายที่อาจจะสูญเสียไปจากการ ดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เนื่องจากกาเฟอีนปริมาณมากมีฤทธิ์ขับน้ำออกจากร่างกาย

 

- ทุกครั้งที่เสียเหงื่อจากการทำงานหรือการออกกำลังกาย อย่าลืมดื่มน้ำชดเชยกับที่ร่างกายต้องสูญเสียไป

 

- เมื่ออยู่กลางแดดหรืออยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด ควรดื่มน้ำเพื่อชดเชยน้ำที่ร่างกายสูญเสียไปเช่นกัน

 

- หากรู้สึกหนาว ควรดื่มน้ำอุ่นก่อนที่จะนึกถึงชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มชนิดอื่น น้ำอุ่นจะช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้เหมาะสมได้

 

- น้ำช่วยลดความอยากอาหารลง ได้ บางครั้งเมื่อเรานึกอยากกินอะไร มันอาจเป็นแค่ “ความอยาก” ไม่ใช่ “ความหิว” ดังนั้น ใครที่อยากลดน้ำหนัก หากรู้สึกหิวระหว่างมื้อ ลองดื่มน้ำเปล่าแทนก่อน ความอยากนั้นอาจจะหายไป

 

- ดื่มน้ำเปล่าไม่ทำให้อ้วนเหมือนน้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชาหรือกาแฟ เพราะน้ำเปล่าไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลที่อาจจะสะสมเป็นส่วนเกินในร่างกาย

 

- น้ำเปล่าช่วยให้ผิวสวย เพราะน้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเซลและเนื้อเยื่อในร่างกาย การดื่มน้ำจะช่วยชดเชยน้ำที่สูญเสียไป ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ไม่เหี่ยวแห้งง่าย

 

- ดื่มน้ำเปล่าช่วยให้ท้องไม่ผูก เพราะน้ำจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น อุจจาระไม่แข็งและไม่ต้องเบ่งจนทำให้เป็นริดสีดวงทวาร

 

- น้ำเปล่าราคาถูกกว่าน้ำดื่มอื่นๆ แถมบางแห่งมีบริการฟรีอีกด้วย

 

- หมั่นตรวจดูปัสสาวะของตัว เอง หากปัสสาวะใสดี แสดงว่าร่างกายของคุณได้รับน้ำอย่างเพียงพอ แต่หากปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม แสดงว่าคุณดื่มน้ำน้อยเกินไปแล้ว

คุณอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำได้อย่างทันทีทันใด จากคนที่ดื่มน้ำน้อย มาดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว ก็คงจะเป็นไปได้ยาก แต่เมื่อค่อยๆ ปรับพฤติกรรม เริ่มจากการดื่มน้ำ 1 แก้วในตอนเช้าทุกวันจนเป็นนิสัย จากนั้นค่อยๆ เพิ่มปริมาณการดื่มน้ำระหว่างวันให้มากขึ้นจนกลายเป็นกิจวัตร เมื่อคุณดื่มน้ำได้อย่างเพียงพอ จะรู้สึกได้เลยว่าสุขภาพของคุณดีขึ้น

 

 

 

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000067823

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตะคริวขึ้นขาตอนนอนหลับเจ็บสุดๆ

 

จะป้องกันตะคริวที่ขาขณะนอนได้อย่างไร?

 

ลองเทคนิคเหล่านี้ในการป้องกันดูนะครับ

 

* ในระหว่างวันดื่มน้ำให้มากเพียงพอ คือวันละ 8-10 แก้ว

* หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ และงดแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้คุณมีการเสียน้ำมากกว่าปกติ เกิดภาวะขาดน้ำได้

* เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ มีเกลือแร่ calcium, potassium, และ magnesium เช่น นมสด0% กล้วยหอม บล็อคเคอรี่ ถั่วอัลมอนต์ โยเกิร์ต ผักโขม

* ลองออกกำลังกายด้วยการขี่จักรยานเพื่อฝึกกล้ามเนื้อ

* ยืดกล้ามเนื้อน่อง และขา ก่อนนอนเป็นประจำ

 

!Announce ให้นวดที่บ่าซ้าย จากข้างคอไปถึงหัวไหล่ ที่เคยทำไม่กี่นาทีก็หายค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตะคริวขึ้นขาตอนนอนหลับเจ็บสุดๆ

 

จะป้องกันตะคริวที่ขาขณะนอนได้อย่างไร?

 

ลองเทคนิคเหล่านี้ในการป้องกันดูนะครับ

 

* ในระหว่างวันดื่มน้ำให้มากเพียงพอ คือวันละ 8-10 แก้ว

* หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ และงดแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้คุณมีการเสียน้ำมากกว่าปกติ เกิดภาวะขาดน้ำได้

* เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ มีเกลือแร่ calcium, potassium, และ magnesium เช่น นมสด0% กล้วยหอม บล็อคเคอรี่ ถั่วอัลมอนต์ โยเกิร์ต ผักโขม

* ลองออกกำลังกายด้วยการขี่จักรยานเพื่อฝึกกล้ามเนื้อ

* ยืดกล้ามเนื้อน่อง และขา ก่อนนอนเป็นประจำ

 

n6037.gif ให้นวดที่บ่าซ้าย จากข้างคอไปถึงหัวไหล่ ที่เคยทำไม่กี่นาทีก็หายค่ะ

 

อ่านแล้วงงจังครับขอถามหน่อยนะครับ

- นมสด0%นี่คืออะไรครับonion33.gif

-เป็นตะคริวที่ขา แล้วให้นวดที่บ่าซ้าย จากข้างคอไปถึงหัวไหล่ ????? เป็นการกดจุดหรืออย่างไรครับonion33.gif

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

!ee งง เหมือนคุณหมอเล็กเหมือนกันค่ะ ให้นวดที่บ่าซ้าย จากข้างคอไปถึงหัวไหล่ ที่เคยทำไม่กี่นาทีก็หายค่ะ

 

 

!01 ขอบคุณ พี่มดแดงนะค่ะ ขยันหาสาระมาให้อ่านกัน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...