ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
moddang

สาระน่ารู้....สุขภาพ.....

โพสต์แนะนำ

เพิ่มเติมนิดนึง... แต่ก่อนมดแดงไม่เคยเชื่อเลย แต่พอเพื่อนค่อยๆอธิบาย เหตุผล ที่มาที่ไป.....

 

เราเรียนมาด้วยกันค่ะ เขาตอบข้อโต้แย้งเราได้หมด ปัจจุบันเชื่อโดยไม่มีข้อโต้แย้งแล้ว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

- เวลาทานอะไร ให้เคี้ยวให้ละเอียดที่สุด ระดับแทบจะเป็นน้ำ ก่อนกลืน ทำให้ตับทำงานเบาลงไปแยะ

 

 

อ่านตรงนี้แล้วงงจังครับ ว่าอาหารที่ละเอียดหรือไม่ละเอียดไปเกี่ยวอะไรกับตับonion33.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ก็อปมาครับ ยังไม่ได้เช็ครายละเอียดอย่างจริงๆจังๆ

 

ภัยเงียบของสบู่เหลว

35628_full.jpg

 

ฮือฮาน่าตกใจ สบู่เหลวที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันไม่ใช่สบู่ แต่เป็นสารเคมีล้วนๆ เป็นแค่สารซักฟอกที่ใช้ในการผลิตน้ำยาล้างจาน ทำความสะอาดพื้น แถมถ้าใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลอามีนจะกลายเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด!!!

วารสารเกษตรกรรมธรรมชาติได้ตีพิมพ์บทความบทหนึ่ง เผยถึง เรื่องใกล้ตัวที่คนทั่วไปให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยมีใจความระบุว่า เดี๋ยวนี้สบู่เหลวที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันไม่ใช่สบู่ แต่เป็นสารเคมีล้วนๆ สบู่เหลวที่ดีจริงๆ จะ ต้องมีส่วนผสมของเนื้อสบู่อย่างน้อย 25% แล้วที่เหลือเป็นน้ำ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีสบู่เหลวแบบนี้วางขายอยู่เลย เพราะผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดที่วางขายอยู่นั้น เป็นแค่สารซักฟอกหรือดีเทอเจน ผสมกับสารเคมีสังเคราะห์อื่น แล้วทำให้อยู่ในรูปของเหลว

 

ซึ่งสารซักฟอก หรือดีเทอเจน ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้สบู่เหลวคงจะไม่เกิดขึ้นฉับ พลันทันที แต่จะสะสมเป็นปัญหาในระยะยาวได้ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะแทรกซึมลงไปในผิวหนัง อวัยวะภายใน และกระแสเลือดได้ทุกครั้งที่เราอาบน้ำ SLS หรือโซเดียมลอริลซัลเฟต เป็นตัวอย่างหนึ่งของสารเคมีหลักที่มักใช้ในสบู่ (คุณลองไปพลิกพวกผลิตภัณฑ์ซักล้างทุกอย่างดู จะเห็นส่วนผสมนี้จริงๆ บางทีใช้ชื่อว่าลอริล) และเป็นสารเคมีอันตราย"

 

ทั้งนี้ หลายประเทศในยุโรปและอเมริกามีกฎหมายห้ามใช้แล้ว และบางประเทศก็จำกัดให้มีการใช้น้อยลง แต่ในบ้านเรากลับใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งๆ ที่เป็นสารเคมีที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้อย่างง่ายและรวดเร็ว สามารถสะสมอยู่ในดวงตา สมอง หัวใจ ตับ และก่อปัญหาในระยะยาว หากยิ่งมีการใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลอามีน ก็จะกลายเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด

 

เพราะฉะนั้นเราอาจต้องถามตัวเองดูใหม่ว่าจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องใช้สบู่เหลว (ซึ่งจริงๆ แล้วคือสารเคมีล้วนๆ)

 

แต่ถ้ายังคงต้องการที่จะใช้ การใช้สบู่เหลวสำหรับเด็กก็จะดีกว่า (ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย เพียงแต่มีสารเคมีเจือจางกว่าเท่านั้น) แต่ถ้าจะให้ดีกลับไปใช้สบู่ก้อนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ขอขอบคุณข้อมูลแหล่งที่มาจาก women.thaiza.com

 

ไปหารายละเอียดมาเพิ่มเติมครับ

ขณะนี้ได้มีข่าวเกี่ยวกับสาร SLS ( Sodium Lauryl Sulfate) ว่าเป็นสารก่อมะเร็ง ทำให้ต่างประเทศได้ยกเลิกการใช้สารประเภทนี้ไปแล้ว แต่ในประเทศไทยยังมีการนำมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง โดยเฉพาะสบู่เหลว ซึ่งใช้กันทุกเพศทุกวัย อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้ ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาไม่ได้นิ่งนอนใจได้ทำการสืบค้นและติดตามข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารที่ใช้ในเครื่องสำอางมาโดยตลอด โดยเฉพาะกรณี ความปลอดภัยของสาร SLS ( Sodium Lauryl Sulfate) ในเครื่องสำอาง

 

สารโซเดียม ลอริล ซัลเฟต หรือที่นิยมเรียกในชื่อย่อว่า เอสแอลเอส (Sodium Lauryl Sulfate : SLS) เป็นสารที่มีคุณสมบัติลดแรงตึงผิวของน้ำ ทำให้เกิดฟอง ช่วยให้สิ่งสกปรก คราบไขมันหลุดออกไปได้ง่ายขึ้น จึงเรียกง่ายๆ ว่าเป็นสารทำความสะอาด นิยมใช้ทั้งในวงการอุตสาหกรรมและเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์หลายประเภท เช่น เครื่องสำอาง น้ำยาล้างจาน (โดยใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้) เครื่องสำอางที่นิยมผสมสารนี้ ได้แก่ เครื่องสำอางที่ใช้แล้วล้างออกด้วยน้ำ เช่น สบู่เหลว แชมพู ตลอดจนยาสีฟัน

 

และจากการศึกษาวิจัยทั้งในสัตว์ทดลองและในคน พบว่าอันตรายของสารนี้ คือ ระคายเคือง ต่อดวงตา และผิวหนัง โดยความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารนี้ในผลิตภัณฑ์ และระยะเวลาที่ผลิตภัณฑ์สัมผัสร่างกาย ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการที่ชัดเจนสรุปว่าสาร SLS มีความเสี่ยงต่อการก่อให้เกิดมะเร็งในคน ซึ่งข้อมูลความเสี่ยงต่อการก่อให้เกิดมะเร็งจากสารกลุ่มนี้ อาจมาจากสิ่งปนเปื้อนที่เป็นสารก่อมะเร็ง คือ 1,4 Dioxane แต่ปัจจุบันในกระบวนการผลิตสารทำความสะอาด สามารถกำจัดสิ่งปนเปื้อนนี้ได้ด้วยการใช้ระบบสูญญากาศ (ซึ่งไม่เป็นภาระเรื่องค่าใช้จ่ายมากนัก) อีกทั้งได้มีการศึกษาพบว่า โอกาสที่จะพบ 1,4 Dioxane ในเครื่องสำอางสำเร็จรูปมีน้อย จึงไม่ควรกังวลว่าสาร SLS ในเครื่องสำอางจะก่อให้เกิดมะเร็ง

 

ทั้งนี้เครื่องสำอางที่ผสมสาร SLS อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้บ้าง เช่น แชมพูเข้าตาทำให้แสบตา หรือฟอกสบู่เหลวนานเกินไป อาจระคายเคืองผิว ทำให้ผิวแห้งได้ ขณะนี้ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย รวมทั้งประเทศไทย มิได้ห้ามใช้สารนี้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง แต่หากผู้บริโภคต้องการหลีกเลี่ยงสาร SLS ในเครื่องสำอาง สามารถเลือกใช้เครื่องสำอางที่ฉลากระบุว่า “ Sodium Lauryl Sulfate Free” ได้

 

ขณะนี้มีสารทำความสะอาดอีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กัน คือ Sodium Laureth sulfate (SLES) ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองน้อยกว่า SLS และยังไม่มีข้อมูลความเสี่ยงเกี่ยวกับการเป็นสารก่อมะเร็ง

 

ดังนั้น ผู้บริโภคไม่ควรตื่นตระหนกกับเรื่องนี้จนเกินไป หากพบข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของสาร หรือผลิตภัณฑ์ใดๆ โดยเฉพาะข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเชิงบวก หรือเชิงลบ จำเป็นต้องตรวจสอบแหล่งที่มา ความน่าเชื่อถือของข้อมูล ศึกษาเปรียบเทียบข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง ตลอดจนข้อเท็จจริงต่างๆ ให้กระจ่างชัด ก่อนที่จะดำเนินการหรือตัดสินใจใดๆ

http://www.fda.moph..../tips/sls.shtml

 

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รู้ทันน้ำตาล ในผักผลไม้

 

 

 

สาวๆ ที่รักสุขภาพ มักจะเลือกทาน "ผัก-ผลไม้" เป็นพิเศษ เพราะทำให้ไม่อ้วนและสามารถช่วยระบบขับถ่ายได้ดี แต่ก็ยังมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับผัก-ผลไม้อยู่อีกเยอะ ถ้าอยากเป็นสาวที่ดูแลตัวเอง รักษาสุขภาพอย่างถูกวิธีแล้วละก็ ควรที่จะทำความเข้าใจเรื่องการรับประทานอาหารให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน

 

หลายๆ คนมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของผลไม้ โดยคิดว่าผลไม้มีปริมาณน้ำตาลสูงมาก ซึ่งไม่เกิดผลดีต่อร่างกาย ทำให้เกิดแนวคิดและมีความเชื่ออย่างแพร่หลายเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาว่า “การบริโภคผลไม้เป็นเรื่องไม่ดี และควรหันมามุ่งเน้นบริโภคเฉพาะอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำดีกว่า” ซึ่งการหลีกเลี่ยงบริโภคผลไม้ด้วยเหตุผลที่ว่า ผลไม้อุดมด้วยน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะจริงๆ แล้ว “ผลไม้สด” นั้นจัดเป็นหนึ่งในอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกายมากที่สุดในโลกเลยทีเดียว

 

ผลไม้ - สุดยอดอาหารที่มากคุณประโยชน์

 

สำหรับความคิดว่า ผลไม้มีแต่น้ำตาล นับเป็นความคิดที่ผิดมาก เพราะผลไม้สดให้คุณค่าทางอาหารหลากหลายประเภทมากกว่าแค่มีน้ำตาลธรรมชาติ แต่อุดมไปด้วยน้ำ วิตามิน เกลือแร่ ไฟเบอร์ และไฟโต

 

นิวเทรียนท์ หรือ สารธรรมชาติจากผักผลไม้ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย เช่นนี้แล้ว ลองคิดดูสิว่า จะมีอาหารชนิดไหนที่ให้สารอาหาร หลากหลายประเภทพร้อมๆ กัน โดยมีแคลอรี่เพียง 75 แคลอรี่ต่อการบริโภค 1 ครั้ง

 

และคุณรู้หรือไม่ว่า เมื่อเราบริโภคผลไม้ เราจะได้รับแคลอรี่จาก “คาร์โบไฮเดรต” โดยตรง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของ “ฟรุคโตส” ซึ่ง เป็นน้ำตาลธรรมชาติในผลไม้ แต่ คาร์โบไฮเดรตไม่ได้มีเฉพาะในผลไม้เท่านั้น แต่พบในอาหารจำพวกพืช (plant foods) ทุกชนิด ดังนั้น เมื่อเราพูดถึงคาร์โบไฮเดรตดจึงไม่ได้หมายถึงเฉพาะน้ำตาลธรรมชาติ แต่ยังครอบคลุมถึงแป้งสตาร์ช(starch) ซึ่งเป็นส่วนผสมเพื่อเพิ่มความหนืดในพุดดิ้ง เค้ก หรือขนมปัง ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งเกิดจากการคัดแยกเอาเฉพาะสารอาหารคาร์โบไฮเดรตออกมาเพื่อให้ มีองค์ประกอบอื่นๆ น้อยที่สุด และเซลลูโลสที่เป็นส่วนประกอบของโครงสร้างเซลล์เพื่อสร้างไฟเบอร์อีกด้วย

 

ดังนั้น เมื่อเรารับประทานผัก แคลอรี่ที่เราได้รับโดยส่วนใหญ่จึงมาจากคาร์โบไฮเดรต แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่คิดว่า ผักอุดมด้วย “คาร์โบไฮเดรต” ก่อนที่คุณจะเลิกบริโภค อาหารที่มีน้ำตาลหรือมีคาร์โบไฮเดรตสูง ขอให้คิดทบทวนถึงรูปแบบและประเภทของคาร์โบไฮเดรตที่คุณบริโภคด้วย เพราะ “คาร์โบไฮเดรต” จากธรรมชาติ ซึ่งพบมากในผลไม้ และอาหารจำพวกพืชชนิดต่างๆ เช่น น้ำตาล ไฟเบอร์ และแป้งสตาร์ช ล้วนแต่มีคุณค่าทางโภชนาการ ที่ดีเยี่ยม แตกต่างอย่างเด่นชัดจากแคลอรี่ที่ได้รับจากการบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้นในอาหาร ประเภทอื่นๆ ตั้งแต่ขนมหวานอย่างบราวนี่จนไปถึงบาร์บิคิวซอส

 

ถ้าเช่นนั้น...การบริโภคผลไม้ทำให้เราได้รับน้ำตาลเท่าไรแน่?

 

ลองมองผลไม้ใกล้ตัวอย่างส้ม คุณทราบหรือไม่ว่าส้มเพียง 1 ผลจะให้น้ำตาลธรรมชาติประมาณ 12 กรัม หรือราวๆ 3 ช้อนชา ขณะที่สตรอเบอร์รี่ 1 ถ้วย มีน้ำตาลเพียง 7 กรัม หรือน้อยกว่า 2 ช้อนชาเสียอีก นอกจากนี้ การรับประทานส้มหรือสตรอเบอร์รี่อย่างใดอย่างหนึ่งยังทำให้เราได้รับ “ไฟเบอร์”ประมาณ 3 กรัม และวิตามินซีในปริมาณพอเหมาะกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ร่วมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ดีต่อสุขภาพอย่างกรดโฟลิคซึ่งมีมากในผักโขม บร็อคโคลี่ กะหล่ำดาว และโปแตสเซียมที่พบได้โดยทั่วไป

 

ในแคนตาลูปและกล้วย ซึ่งมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย โดยให้แคลอรี่เพียง 50 - 60 แคลอรี่เท่านั้น ดังนั้น ผลไม้จึงไม่ได้มีแต่ “น้ำตาล” อย่างเดียวอย่างที่หลายคนเข้าใจ

 

ขณะที่ ถ้าหากเราดื่มน้ำอัดลมขนาด 20 ออนซ์ จะมีแคลอรี่สูงถึง 225 แคลอรี่ โดยเราจะไม่ได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน เกลือแร่ หรือไฟเบอร์ เหมือนที่ได้จากการบริโภคผลไม้ ซึ่งเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่ปรุงแต่งด้วยสีและรสนั้น มีส่วนผสมของน้ำตาลเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 60 กรัม หรือประมาณ 1/3 ถ้วยตวง นับเป็นการบริโภคที่มี ”น้ำตาลสูง” อย่างแน่นอน

 

ข้อมูลโดย : โภชนากรซูซาน โบเวอร์แมน ที่ปรึกษาของเฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด

 

ที่มา : http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9540000106607

 

http://www.meedee.net/magazine/med/foods-security/9467

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สุดยอดนวัตกรรมทางการแพทย์ไทย แค่เจาะเลือดพบทันที 10 โรคร้ายคร่าชีวิต

 

 

http://www.manager.co.th/mgrweekly/viewnews.aspx?NewsID=9540000110376

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สำหรับท่านที่อยากควบคุมน้ำหนัก ลองอ่านสิ่งต่อไปนี้

 

 

BMI (Body Mass Index)

 

 

is a measurement of body fat based on height and weight that applies to both men and women between the ages of 18 and 65 years.

 

BMI can be used to indicate if you are overweight, obese, underweight or normal. A healthy BMI score is between 20 and 25. A score below 20 indicates that you may be underweight; a value above 25 indicates that you may be overweight.

 

You can calculate your BMI by using our BMI Calculator below, or by using the BMI Formula.

 

Please remember, however, that this is only one of many possible ways to assess your weight. If you have any concerns about your weight, please discuss them with your physician, who is in a position, unlike this BMI calculator, to address your specific individual situation.

 

 

BMI Classification

 

18.5 or less Underweight

18.5 to 24.99 Normal Weight

25 to 29.99 Overweight

30 to 34.99 Obesity (Class 1)

35 to 39.99 Obesity (Class 2)

40 or greater Morbid Obesity

 

 

http://www.bmi-calculator.net/

 

 

 

 

การหาค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI)

 

คือ เป็นมาตรการที่ใช้ประเมินภาวะอ้วนและผอมในผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป สามารถทำได้โดยการชั่งน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม และวัดส่วนสูงเป็นเซนติเมตร แล้วนำมาหาดัชมีมวลกาย โดยใช้โปรแกรมวัดค่าความอ้วนข้างต้น

 

BMI = น้ำหนักตัว เป็นกิโลกรัม / ความสูงเป็นเมตรยกกำลัง 2 (เซนติเมตร)

 

ตัวอย่าง เช่น น้ำหนักตัว 60 กก. ส่วนสูง 170 ซม. เมื่อคำนวณผ่านโปรแกรมวัดค่าความอ้วน จะได้ค่า BMI ประมาณ 20.8 ดังนั้น ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) โดยเกณฑ์ของ BMI ควรอยู่ระหว่าง 18.5 - 22.9 ผลที่ได้คือ น้ำหนักปกติ

 

 

 

http://www.phyathai.com/phyathai/new/th/Template_new2008/Game/Game_BMI.html

 

!54

 

คำแนะนำสำหรับผู้มีรูปร่างสมส่วน ทำอย่างไรที่จะรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ และเอวไม่ขยาย การรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่และรอบเอวไม่ขยาย มีหลักการควบคุมอาหาร ดังนี้

 

1.กินอาหารสมดุล ควบคุมสัดส่วนและปริมาณอาหารแต่ละกลุ่มให้พอเหมาะในแต่ละวัน

ผู้หญิง ควรได้รับพลังงานวันละ 1600 กิโลแคลอรี

ผู้ชาย ควรได้รับพลังงานวันละ 2000 กิโลแคลอรี

 

2.กินอาหารเช้าทุกวันมื้อเช้าเป็นมื้อหลักที่สำคัญ

เพื่อให้พลังงานอาหารพอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย นอกจากนั้นจะช่วยให้ร่างกายไม่หิวมากในช่วงบ่าย และควบคุมอาหารมื้อเย็นให้กินน้อยลงได้

 

3.กินอาหารพออิ่ม

ในแต่ละมื้อไม่บริโภคจนอิ่มมากเกินไป

 

4.กินอาหารธรรมชาติไม่แปรรูป

เช่น เมล็ดธัญพืช (ข้าวกล้อง เผือก มัน ข้าวโพด) กลุ่มน้ำมัน (เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ถั่ว งา) เป็นต้น เพราะมีวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารสูง

 

5.กินผักและผลไม้รสไม่หวานให้มากพอและครบ 5 สี

คือ สีน้ำเงินม่วง สีเขียว สีขาว สีเหลืองส้ม และสีแดง เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่ และสารเม็ดสีจากผักผลไม้เพื่อเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันโรค

 

6.กินอาหารมื้อเย็นห่างจากเวลานอนไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง

เพราะช่วงเวลานอนหลับระบบประสาทสั่งงานให้ร่างกายพักผ่อน

จึงเกิดการสะสมไขมันในช่องท้องมากขึ้น

 

7.กินเป็น กินให้น้อยลง

คือ รู้จักหลีกเลี่ยงอาหารมันจัด หวานจัดและเค็มจัด อาหารในรูปไขมัน น้ำมัน เนย มาการีน น้ำตาล แป้ง และเกลือ เช่น เค้ก คุกกี้ มันฝรั่งทอด

โรตี ทองหยอด ฝอยทอง สายไหม ขนมขบเคี้ยว และของดอง ฯลฯ

 

 

http://konthairaipung.anamai.moph.go.th/page4.htm

 

 

ลดน้ำหนัก ลดรอบเอว มีขั้นตอนสำคัญดังนี้ !031

 

1.มีความตั้งใจ และมุ่งมั่นจริง ที่จะลดน้ำหนัก ลดเอว

 

2.สร้างความคิดที่ดี เช่น “ เราสามารถลดน้ำหนัก ลดเอวได้

 

3.ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นไปได้ของน้ำหนักที่จะลด โดยน้ำหนักจะต้องไม่ลดมากจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

 

4.ลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพ ควรลดประมาณ 5-10 % ของน้ำหนักตัวเมื่อเริ่มลด เช่น น้ำหนัก 70 กิโลกรัม ควรลดประมาณ

3.5- 7 กิโลกรัม

 

5.อัตราการลดน้ำหนักที่เหมาะสม คือ สัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม ถึง หนึ่งกิโลกรัม

 

6.ควบคุมพลังงาน จากอาหารให้ลดลง แต่ไม่ควรน้อยกว่าวันละ 1200 กิโลแคลอรี สำหรับผู้หญิงและไม่ควรน้อยกว่าวันละ 1600 กิโลแคลอรี สำหรับผู้ชาย

 

7.กินอาหารทุกมื้อ ต้องไม่งดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะน้ำหนักจะกลับมาเร็วเมื่อคุณไม่สามารถควบคุมอาหารได้ต่อเนื่อง

8.ลดปริมาณอาหารทุกมื้อที่รับประทาน

 

เช่น สัปดาห์แรกลดอาหารไปหนึ่งในสาม สัปดาห์ต่อไปลดลงครึ่งหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น หรือเริ่มแรกลดข้าวลงมื้อละ 1 ทัพพี งดของหวาน ลูกอม น้ำหวาน น้ำอัดลม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แล้วกินผัก ผลไม้ที่รสไม่หวานและมีกากใยให้มากขึ้น (กากใยจะไปขวางการดูดซึมไขมันที่ลำไส้เล็ก)

 

9.มีความอดทน ถ้ารู้สึกหิวทั้งๆ ที่เพิ่งกินไป ให้ ใช้วิธีเปลี่ยนอิริยาบถไปทำอย่างอื่นแทนเพียง 10 นาทีก็จะหายหิวได้ แต่ถ้าไม่หายหิวก็ให้กินผลไม้รสไม่หวานคำสองคำ หรือดื่มน้ำเปล่าช่วยบรรเทาความหิว

 

10.เคี้ยวอาหารช้าๆ ใช้เวลาเคี้ยวประมาณ 30 ครั้งต่อ 1 คำ และส่งความรู้สึกในรสชาติของอาหารให้สมองรับรู้ ศูนย์ควบคุม

 

ความหิว-ความอิ่มที่สมองจะรับรู้ว่ากินอิ่มแล้ว ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 15 นาที ดังนั้น อาหาร 1 จานเล็กในมื้อนั้น ควรใช้เวลาในการรับประทานไม่น้อยกว่า 15 นาที

 

 

 

http://konthairaipung.anamai.moph.go.th/page5.htm

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พบ "สูบบุหรี่" ทันทีหลังตื่นนอน เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเฉียด2เท่า

http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000125174

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แนะผู้ป่วยเบาหวานช่วงน้ำท่วม อย่าอดอาหาร-ย่ำน้ำท่วมขัง

 

 

 

ปลัด สธ.ห่วงผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่เป็นเบาหวาน ต้องกินยาหรือฉีดอินซูลินควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดทุกวัน แนะอย่าอดอาหาร ให้ตรวจหาแผลที่เท้าทุกวัน หลีกเลี่ยงการลุยน้ำท่วมขัง อาจเกิดบาดแผลโดยไม่รู้ตัว และติดเชื้อลุกลามได้ หากยาหรืออินซูลินหมดให้แจ้ง อสม.

 

นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่าขณะนี้สภาพน้ำท่วมขยายเป็นบริเวณกว้าง บางพื้นที่น้ำลึก ประชาชนจำนวนมากติดอยู่ในบ้านหรือต้องอพยพมาอาศัยอยู่ในที่สูง ได้รับความยากลำบาก กลุ่มที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ ผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ผู้พิการ เด็กเล็ก ขอให้ดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เบาหวาน ขอให้รับประทานยาหรือฉีดยาอย่างสม่ำเสมอ อย่าหยุดยาอย่างเด็ดขาด เพราะอาจทำให้อาการกำเริบได้ หากยาหรืออินซูลินหมดให้แจ้ง อสม. เพื่อประสานเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และหากอาการกำเริบให้โทรปรึกษาได้ที่หมายเลข 1669 ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง

 

สำหรับการปฏิบัติตัวของผู้ประสบภัยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว ซึ่งคาดว่าในพื้นที่น้ำท่วมขังขณะนี้จะมีนับแสนคน ในช่วงน้ำท่วมนี้ขอให้ดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ประการแรกอย่าเครียด ขอให้ทำใจยอมรับสภาพที่เกิดขึ้น และอยู่กับปัจจุบัน คิดแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า อย่ากังวลเรื่องในอนาคตข้างหน้ามากเกินไป ขอให้พูดคุยกับเพื่อนบ้าน เพื่อระบายทุกข์สุขร่วมกัน 2.นอนหลับ พักผ่อนให้เพียงพอ และ3.ให้รับประทานอาหารทุกมื้อ อย่าอดอาหาร เนื่องจากอาจทำให้ระดับน้ำตาลต่ำ หมดสติได้

 

นายแพทย์ไพจิตร์กล่าวต่อว่า ประการ สำคัญขอให้ผู้ที่เป็นเบาหวาน ดูแลความสะอาดของเท้าเป็นพิเศษ เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานมักจะมีอาการชาที่เท้า หากเกิดแผลหรือถูกของมีคมบาด หรือทิ่มตำอาจจะไม่รู้สึกเจ็บ จนแผลติดเชื้อลุกลามภายหลัง ขอให้ระวังอย่าให้เกิดแผลที่เท้า หากเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงการลุยน้ำ ย่ำน้ำท่วม โดยเฉพาะน้ำท่วมที่เน่าเสีย เนื่องจากหากเกิดโรคน้ำกัดเท้า เท้าเปื่อย จะทำให้ติดเชื้อง่าย และเป็นแผลลุกลาม เป็นอันตราย รักษาหายยาก หากจำเป็นต้องเดินลุยน้ำขอให้สวมรองเท้าบู้ท และอย่าให้น้ำเข้าไปในรองเท้า หลังจากลุยน้ำแล้ว ให้ล้างเท้าด้วยน้ำสะอาด เช็ดให้แห้งทุกครั้ง และตรวจดูเท้าทุกวันว่ามีบาดแผลเกิดขึ้นหรือไม่

นายแพทย์ไพจิตร์กล่าวต่อไปว่า กรณี ผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องฉีดยาอินซูลิน โดยทั่วไปมักจะให้เก็บอินซูลินไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดาเพื่อรักษาคุณภาพของ วัคซีน แต่ในกรณีที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมและตู้เย็นใช้การไม่ได้ ก็สามารถเก็บอินซูลินไว้ในห้องปกติได้ แต่ขอให้อยู่ในที่เย็นที่สุดคือในที่ร่ม ไม่ถูกแสงแดด หรือเก็บไว้ในภาชนะที่มีน้ำหล่อไว้เพื่อให้ความเย็นอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งจะช่วยถนอมคุณภาพอินซูลินได้เป็นการชั่วคราว และเมื่อตู้เย็นใช้การได้ให้รีบนำไปเก็บในตู้เย็นทันที

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ปริศนา “มะเร็งตับอ่อน” คร่าทั้งโนเบลแพทย์ และ “สตีฟ จ็อบส์”

http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000129013

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กายภาพบำบัดกับการปรับภาวะสมดุลของร่างกาย

 

 

 

การเกิดความเจ็บป่วยนั้นมีสาเหตุมาจากการที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมภาวะสมดุลภายในร่างกายได้

กลไกทางภาวะสมดุลนั้นพยายามต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมภายในร่างกายที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมภายนอกซึ่งเป็นผลจากการกินอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ การบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย การทำงานหรือการทำกิจกรรมต่างๆ การทำลายจากเชื้อโรคพยาธิหรือไวรัส การแทรกแซงของสิ่งแปลกปลอมหรือมลพิษต่างๆ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในเวลากลางวันกลางคืนและตามฤดูกาล ตราบใดที่ร่างกายยังสามารถปรับให้อยู่ในสภาพปกติได้แล้ว ตราบนั้นก็ยังไม่เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้น

 

การปรับตัวให้ร่างกายอยู่ภาวะสมดุลนั้น ความจริงไม่ว่าการแพทย์แผนตะวันตกหรือตะวันออกล้วนมีแนวคิดที่คล้ายกัน ในการแพทย์แผนตะวันตกได้อธิบายว่า ร่างกายควบคุมความสมดุลโดยใช้หลักการการป้อนกลับเชิงลบ เช่น เมื่อสารฮอร์โมนถูกผลิตมากเกินไป จะมีกระบวนการส่งสัญญาณให้ต่อมไร้ท่อหยุดการผลิต หรือลดการผลิตฮอร์โมนตัวนั้นให้น้อยลง ถ้าระดับฮอร์โมนต่ำกว่าปกติ กระบวนการไปเร่งการผลิตให้มากขึ้นซึ่งทางการแพทย์แผนจีนจะอธิบายการเกิดความสมดุลนี้ระหว่างหยินและหยาง ขณะที่แผนไทยอธิบายว่า ร่างกายสามารถปรับความร้อนและความเย็นให้อยู่ในภาวะสมดุล

 

การรักษาเกือบทุกชนิดจึงได้ไปรักษาที่โรคภัยไข้เจ็บโดยตรง แต่เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายปรับสภาพให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ การกินยานั้น ตัวยาไม่ได้ไปฆ่าเซลล์หรือเนื้อเยื่อของร่างกาย แต่กระตุ้นให้ร่ายกายสร้างภูมิคุ้มกันหรือผลิตสารต่างๆ ออกมาต่อสู้กับเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมนั้น การผ่าตัดเป็นเพียงวิธีที่ช่วยให้ร่างกายมีเงื่อนไขที่จะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้รวดเร็วขึ้น แต่อาจเกิดผลเสีย คือ ถ้ากระบวนการไปทำลายผ่าตัวนั้นระบบประสาท หลอดเลือดหรือเนื้อเยื่อต่างๆ มากเกินไป ร่างกายจะไม่สามารถปรับตัวเข้าสู่สภาพปกติได้ การผ่าตัดจึงควรเป็นวิธีการสุดท้ายที่นำมาพิจารณาใช้รักษาร่างกายของมนุษย์

 

สำหรับแนวทางการรักษาด้วยวิธีการทางกายภาพบำบัดยิ่งต้องคำนึงถึงความสมดุลของร่างกายเป็นหลัก และมุ่งที่จะปรับการทำงานของระบบต่างๆ ที่ทำงานมากเกินไปหรือน้อยเกินไปให้เข้าสู่สภาพเดิมได้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด

 

วิธีการทางกายภาพบำบัด คือ วิธีการที่นำเอาพื้นฐานทางกายภาพ อันได้แก่ กลศาสตร์ แสง เสียง ความร้อน ความเย็น กระแสไฟฟ้า มาช่วยกระตุ้นให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานได้เป็นปกติ ในกรณีที่ข้อต่อติดขัดเนื่องจากใช้งานมากเกินไป เกิดอาการฉีดขาดของพังผืดหรือกล้ามเนื้อ หรือเกิดการไม่ได้ใช้ข้อต่อนั้นเป็นเวลานาน เช่น อยู่ในเฝือก กายภาพบำบัดจะมุ่งทำให้ข้อต่อนั้นทำหน้าที่ตามปกติได้ โดยช่วยทำให้เคลื่อนไหว ถ้าผู้ป่วยขยับด้วยตนเองไม่ได้ หรือเคลื่อนไหวเองโดยใช้เครื่องช่วย เช่น ลูกรอก เชือก แขวนส่วนนั้นไว้เพื่อลดน้ำหนักของแขนขาหรือลดความต้านทานแรงเสียดสีกับพื้นผิวของเตียงนอน หรืออาจให้ออกกำลังกายในน้ำโดยอาศัยแรงลอยตัวของน้ำด้วยความรู้ทางชีวกลศาสตร์ ความผิดปกติและศึกษาต้นเหตุของการติดขัดนั้น

 

นักกายภาพบำบัดจึงสามารถแนะนำวิธีการออกกำลังกายจึงสามารถแนะนำวิธีการออกกำลังกายที่ถูกต้องโดยให้ผู้ป่วยเป็นผู้ทำด้วยตนเองในช่วงที่สามารถทำเองช่วยเหลือตนเองได้มากที่สุด การให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนซึ่งแตกต่างกันเพื่อให้ข้อต่อที่ติดขัดเคลื่อนไหวได้อีก และใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ หน้าที่ของข้อต่อแต่ละข้อมีความแตกต่างกันมาก ข้อต่อที่กระดูกคอ ข้อไหล่ ต้องการช่วงการเคลื่อนไหวมากจึงไม่มั่นคงนัก ขณะที่ข้อต่อที่กระดูกบั้นเองและขาต้องรับน้ำหนักมาก จึงต้องการความมั่นคงมาก และเคลื่อนไหวได้น้อยกว่าข้อต่อที่กระดูกบั้นเองและขาต้องรับน้ำหนักมาก

 

จึงต้องการความมั่นคงมากและเคลื่อนไหวได้น้อยกว่าข้อต่อของแขน ดังนั้นวิธีการรักษาอาการปวดคอจะแตกต่างกับวิธีการรักษาอาการปวดหลังที่บั้นเอวมาก

 

การจำกัดการเคลื่อนไหวของกระดูกคอในกรณีตกหมอน โดยกล้ามเนื้อเกร็งแข็งจนทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ ขณะที่การจำกัดการเคลื่อนไหวของกระดูกบั้นเอวกลับไม่มีปัญหาต่อชีวิตประจำวันมากนัก ในทางตรงข้ามการที่กระดูกบั้นเองไม่สามารถรับน้ำหนักของลำตัวได้ ในกรณีส่วนโค้งของหลังหายไปหรือหมอนรองกระดูกเคลื่อนออกมาจะสร้างความทรมานแก่ผู้ป่วยมากกว่าส่วนโค้งของกระดูกคอเปลี่ยนไป

 

การรักษาทางกายภาพบำบัดจึงไม่ควรมุ่งรักษาแต่ข้อต่อที่ติดขัดเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงหน้าที่ของข้อต่อที่มีต่อชีวิตประจำวันด้วย ในกรณีที่กล้ามเนื้ออ่อนกำลังลงเนื่องจากเกิดความผิดปกติของสมองไขสันหลัง รากประสาท หรือตัวกล้ามเนื้อเอง วิธีการทางกายภาพบำบัดที่จะกระตุ้นให้ผู้ป่วยให้กล้ามเนื้อนั้นได้อีกในระยะเวลาพอสมควร โดยอาจใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นกล้ามเนื้อเส้นประสาท ใช้เทคนิคพิเศษกระตุ้นระบบประสาท และให้ผู้ป่วยพยายามพลิกตัวลุกนั่ง เดิน โดยใช้กล้ามเนื้อส่วนที่ยังแข็งแรงอยู่ช่วยตนเอง หรือหาเครื่องช่วยเดินที่เหมาะกับสภาพของกล้ามเนื้อ เช่น การฝึกเดินโดยใช้ไม้ยันใต้รักแร้ ไม้เท้า แม้กระทั่งเก้าอี้ล้อเข็น

 

การที่ผู้ป่วยพยายามใช้ส่วนที่อ่อนแรงลง สามารถกระตุ้นให้ส่วนต่างๆ ของสมองและไขสันหลังกลับสู่สภาพเดิม หรือมีการสร้างวงจรใหม่ในสมองขึ้นมาอีกเพื่อทดแทนสมองส่วนที่เสียไปได้ ความเชื่อที่ว่ากล้ามเนื้อที่อ่อนแรงต้องให้ผู้อื่นบีบนวดจึงแข็งแรงขึ้นค่อนข้างล้าสมัย เพราะไม่ได้ทำให้สมองผู้ป่วยออกคำสั่งให้กล้ามเนื้อบีบตัว ผู้ป่วยต้องออกกำลังกาย พยายามช่วยตนเองทุกวิถีทางจึงจะมีโอกาสฟื้นจากโรคอัมพาตได้

 

ในกรณีที่เกิดอาการเจ็บปวดในส่วนต่างๆ ของร่างกาย วิธีทางกายภาพบำบัดจะมุ่งลดอาการเจ็บปวดนั้น โดยสืบค้นต้นเหตุของอาการเจ็บปวดและแก้ที่ต้นเหตุนั้น การรักษาอาจใช้กระแสไฟฟ้า คลื่นเสียงความร้อนลึกจากคลื่นวิทยุ แสงอินฟราเรด เลเซอร์ โดยต้องลดอาการเจ็บปวดนั้นควบคู่ไปกับการค้นหาต้นเหตุของการเจ็บปวดนั้น ตัวอย่างเช่น

 

อาการปวดศีรษะส่วนใหญ่เกิดจากความตึงของกล้ามเนื้อคอ

อาการปวดร้าวลงแขนขามักมีต้นเหตุจากเส้นประสาทแขนและขาถูกตึงมากเกินไปหรือถูกกดทับ

อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมักเกิดจากท่าออกกำลังกายหรือท่าทำงานที่ไม่ถูกต้อง

อาการปวดน่องเป็นเหน็บเกิดจากการไหลเวียนของเลือดไม่สะดวก

 

ถ้าไม่แก้ไขที่ต้นเหตุ แต่มุ่งรักษาอาการปวดที่ตำแหน่งที่ปวด ไม่เพียงแต่ทำให้อาการปวดไม่ทุเลาลง ยังอาจปวดยิ่งขึ้นจนผู้ป่วยทนไม่ได้ ทำให้ต้องกินยาลดปวดมาก เกิดอาการแทรกซ้อนทางกระเพาะลำไส้ หรือแก้ไขปัญหาโดยตัดส่วนที่เจ็บปวดออก เข้าทำนองปวดที่ไหนตัดที่นั่นออก ในที่สุดการผ่าตัดหลายครั้งอาการปวดก็ยังไม่ทุเลาลง

 

ที่สำคัญ คือ อาการปวดที่ใดที่หนึ่งอาจมีต้นเหตุมากมาย เช่น ผู้ป่วยที่ปวดหลังอาจเกิดจากข้อต่อ กระดูกหลังติดขัด กระดูกหัก กระดูกสันหลังเบี้ยว หลังค่อม โรคไต วัณโรค มะเร็งของกระดูก เส้นประสาทถูกกดทับ เลือดเลี้ยงไม่พอ กล้ามเนื้อฉีกขาดทำงานไม่สมดุล มีความผิดปกติของสมองหรือไขสันหลัง มีความผิดปกติของกระเพาะลำไส้ มดลูก หรือเกิดอารมณ์แปรปรวนของผู้ป่วย

 

นอกจากนี้ นักกายภาพบำบัดยังมีบทบาทในการฝึกผู้ป่วยที่สูญเสียอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น แขน ขา ให้ได้มีโอกาสใช้อวัยวะส่วนนั้นอีกโดยใส่แขนเทียม ขาเทียม แนะนำวิธีการทำงานที่ถูกต้องตามโรงงานต่างๆ เพื่อลดอาการปวดหลัง พัฒนาการเจริญเติบโตของเด็กให้นั่ง เดิน วิ่ง ได้ตามอายุ ป้องกันภาวะแทรกช้อนของปอด หรือฝึกผู้ป่วยให้หายใจและไอได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฝึกผู้ป่วยโรคหัวใจให้ออกกำลังกายเพิ่มสมรรถภาพของหัวใจให้ดีขึ้น

 

คงไม่มีผู้ใดปฏิเสธว่า ไม่ว่ายาวิเศษหรือวิธีการวิเศษ โดยให้เทคโนโลยีทันสมัย ยังไม่สามารถทำให้ผู้ที่ตายไปแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีก หรืออยู่ยงคงกระพัน อาจมีข้อยกเว้นบ้างสำหรับกรณีที่หัวใจหยุดเต้นชั่ว คราวโดยไม่รู้สาเหตุชัดเจนและอาจถูกกระตุ้นให้ฟื้นขึ้นมาได้

 

วิธีทางกายภาพบำบัดมุ่งหวังที่จะให้ร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่ปรับกลไกภาวะสมดุลให้ทำงานได้อย่างปกติหรือเกือบปกติโดยไม่ต้องพึ่งยากิน ยาฉีด หรือการผ่าตัด ซึ่งอาจต้องให้โอกาสร่างกายในระยะเวลานานพอสมควร และเมื่อร่างกายสามารถปรับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว ย่อมให้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข และมีอายุยืนนานขึ้นด้วยสุขภาพที่ดี

 

 

 

เขียนโดย: รศ.ประโยชน์ บุญสินสุข

 

 

 

http://www.physicalagency.com/main/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2.html

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แบบการบริหารข้อไหล่ในผู้ป่วยข้อไหล่ติด

 

 

http://www.samitivejhospitals.com/healtharticle_detail/%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94_662/th

 

 

ex1.jpg ex2.jpg

 

คว่ำมือจับไม้เท้าทั้งสองข้าง

* ใช้แขนข้างที่ปกติเป็นหลักในการยกไม้เท้าขึ้นทางด้านหน้า เหนือศีรษะ จับไม้เท้าด้วยมือทั้งสองข้าง สมมุติว่าไหล่ซ้ายติด

* ใช้อุ้งมือซ้ายจับปลายไม้เท้า

* ใช้แขนข้างที่ปกติเป็นหลักในการดันไม้เท้าขึ้นทางด้านข้าง ให้มือซ้ายสูง เหนือศีรษะ มากเท่าที่ทำได้

 

 

ex3.jpg ex4.jpg

 

 

 

ex5.jpg ex6.jpg

 

 

ex7.jpg ex8.jpg

 

 

ex8.jpg ex9.jpg

 

 

 

 

* คว่ำมือจับไม้เท้าทั้งสองข้าง

* ใช้แขนข้างที่ปกติเป็นหลักในการยกไม้เท้าขึ้นทางด้านหน้า เหนือศีรษะ

 

 

* จับไม้เท้าด้วยมือทั้งสองข้าง สมมุติว่าไหล่ซ้ายติด

* ใช้อุ้งมือซ้ายจับปลายไม้เท้า

* ใช้แขนข้างที่ปกติเป็นหลักในการดันไม้เท้าขึ้นทางด้านข้าง ให้มือซ้ายสูง เหนือศีรษะ มากเท่าที่ทำได้

 

 

* วางมือข้างที่มีปัญหา ไว้ระดับอก บนขอบประตู ดังรูป

* ก้าวขาเคลื่อนตัวไปข้างหน้า

* พยายามให้หลังตรงไว้

 

* เหยียดแขน ใช้หลังมือแตะกำแพง

* ก้าวขาเคลื่อนตัวไปข้างหน้า

* พยายามให้แขนเหยียดตรง ไหล่หมุนขึ้นจนด้านหน้าชิดกำแพง

 

 

 

* คว่ำมือจับไม้เท้าทั้งสองข้าง สมมุติว่าไหล่ซ้ายติด

* พยายามหมุนแขนข้างซ้ายออกจากลำตัว ใช้แขนข้างที่

ปกติเป็นหลักในการดันไม้เท้า ให้แขนซ้ายหมุนออกจาก

ลำตัวมากที่สุด

 

 

* วางแขนทั้งสองข้าง ไว้บนโต๊ะ เหยียดข้อศอกคว่ำผ่า

มือลง

* พยายามก้มศีรษะลง

* ให้มีความรู้สึก ตึงบริเวณข้อไหล่

 

 

* วางแขนข้างที่มีปัญหา ไว้บนโต๊ะ หงายผ่ามือขึ้นดังรูป

* เหยียดแขน ไถลไปด้านข้าง

* ขณะเดียวกันดันตะโพกออกมา

 

 

 

* นั่งด้านข้าง วางแขนข้างที่มีปัญหา ไว้บนโต๊ะ

* ก้มตัวไปทางด้านหน้า

 

 

 

* นั่งด้านข้าง วางแขนข้างที่มีปัญหา ไว้บนโต๊ะ

* ก้มตัวไปทางด้านหน้า

* เหยียดแขนออกไปทางด้านหน้า

 

 

 

* ยืน ใช้แขนข้างที่ปกติ จับผ้าเช็ดตัวห้อยลงมากลาง

หลังดังรูป

* จับชายผ้าอีกข้างด้วยไหล่ข้างที่ติด

* ใช้แขนข้างปกติ ดึงผ้าขึ้นช้าๆ จนรู้สึกตึงไหล่ข้างที่ติด

 

 

แปล และ เรียบเรียง โดย นพ. ชาติชาย ภูกาญจนมรกต

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

3 วิธีง่าย ๆ แก้อาการปวดต่าง ๆ /ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

 

 

 

 

โอ๊ย ปวดหลัง ปวดคอ ปวดหัว ทั้ง 3 อาการปวดนี้เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักเป็นกัน จากสถิติพบว่าคนเรา 80% มักมีอาการปวดต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งช่วงใดของชีวิต

 

 

 

ผู้คนจำนวนหลายล้านคนในอเมริกาต้อง เผชิญกับการปวดขั้นรุนแรง ประมาณ 27% ปวดหลัง 15% บ่นปวดหัวหรือไมเกรน อีก 15% ปวดคอ จากการศึกษาในเวปสุขภาพของแพทย์ที่สหรัฐอเมริกา มีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

 

อาการปวดบางประเภทอาจต้องพึ่งยาหรือแพทย์ในการดูแลรักษา แต่อาการปวดบางอย่างสามารถหายได้โดยการเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติตัวง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน

 

ท่านั่ง :uu

 

วิธีง่าย ๆ วิธีหนึ่งในการในการแก้ปัญหาการปวดคือการเปลี่ยนท่านั่งให้ถูกวิธี ร่าง กายของคนเราถูกออกแบบมาเพื่อการเดินรับอากาศบริสุทธิ์ในสวน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ใช่ถูกออกแบบมาเพื่อการนั่งทำงานที่โต๊ะทำงาน จ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลา 8-12 ชั่วโมงต่อวัน นักกายภาพบำบัดทางด้านกีฬาใน Nashville กล่าว

 

แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้วผู้คนหลายล้านคนต้องตกอยู่ในสภาพ นี้ เนื่องจากไม่สามารถเปลี่ยนงานเปลี่ยนอาชีพใหม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือการเปลี่ยนวิธีการนั่ง คนทั่วไปมักนั่งทับกระดูกเชิงกราน ซึ่งทำให้เกิดอาการตึงบริเวณกระดูกสันหลังส่วนล่าง อาการปวดหลังจึงเกิดขึ้น นอกจากนั้นแล้วเรายังชอบนั่งโดยการยื่นแขนและศีรษะไปข้างหน้า ท่านั่งที่ผิดท่านี้จะเป็นสาเหตุทำให้กล้ามเนื้อตึงในช่วงบ่าและคอ และท่าที่ศีรษะยื่นออกไปทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ แล้วเราควรจะนั่งอย่างไรดี งานวิจัยกล่าวว่าไม่มีเก้าอี้ที่ออกแบบมาอย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นวิธีที่ทำได้คือการหาตำแหน่งท่านั่งที่รองรับกระดูกของเราได้อย่าง เหมาะสม ดังนี้

 

• นั่งและให้กระดูกเชิงกรานรับน้ำหนักไปข้างหน้าทั้งหมด งุ้มหลังลง

• ทำอีกครั้งหนึ่งแต่คราวนี้ยกหลัง และยืดอกขึ้น ให้กระดูกสันหลังได้เคลื่อนไหว

• ทำกลับไปกลับมาในระหว่าง 2 ท่านี้หลาย ๆ ครั้ง ทำจนกระทั่งหาตำแหน่งตรงกลางที่เหมาะสมได้

 

 

อีกวิธีหนึ่งที่ทำได้คือการจัดที่ทำงานที่เอื้อและลดสภาวการณ์ปวด หลังแบบง่ายๆ ลอเรน พอไลท์ก้า นักกายภาพบำบัดจากมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน กล่าวว่า

 

• อย่าทำงานโดยใช้ Laptop

• ให้จัดคอมพิวเตอร์ในตำแหน่งที่ไม่ใช่ลักษณะการมองตรงไปข้างหน้าแบบตั้งฉาก แต่ให้จัดตั้งจอคอมพิวเตอร์ในลักษณะที่มองลงประมาณ 10 ดีกรี ไม่ควรก้มตัว โก่งหลังโค้งลงไป

• จัดที่วางเท้าใต้โต๊ะเพื่อให้ข้อเท้าได้รับการผ่อนคลายและยืดหยุ่น สิ่งนี้จะช่วยผ่อนน้ำหนักของร่างกายส่วนล่าง วางน้ำหนักลงบนสะโพก ลงน้ำหนักส่วนน้อยที่บริเวณหลัง

• ทุก ๆ ชั่วโมงให้ยืนขึ้น 2-3 นาที และบิดขี้เกียจ หรืออาจใช้วิธีให้หลังนอนราบแบนลงกับพื้น ด้านหลังของโต๊ะทำงาน พยายามยืดตัวไปมา

• ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็ก ๆ ทำเป็นกระบอกกรวยทรงตัน

• วางผ้าขนหนูบริเวณบ่ากดลงให้หลังชิดกับพนักเก้าอี้

• เลื่อนบ่าให้ผ้าขนหนูกลิ้งไปมา อย่าทำแรงเกินไป แต่ให้ผ้าขนหนูกลิ้งไปมาได้สะดวก

 

การนอนหลับพักผ่อน :53

มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ใหญ่ใช้เวลานอน 39% คือในแต่ละคืนจะใช้เวลานอนประมาณ 7 ชั่วโมง และนั่นอาจเป็นสาเหตุของการปวดเมื่อย การนอนเป็นเหมือนยารักษาสุขภาพ เมื่อเรามีเวลานอนไม่พอจะทำให้กล้ามเนื้อไม่กระฉับกระเฉง ทำให้อารมณ์หงุดหงิด และไม่ร่าเริง ในทางตรงกันข้ามเมื่อเราได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอร่างกายจะรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า กล้ามเนื้อตื่นตัวพร้อมที่ในการทำงาน 2 สิ่งที่ควรพิจารณาคือ ท่านอนและที่นอน เราควรหาที่นอนที่เหมาะสมสำหรับหลังของเรา

 

คราวนี้มาถึงคำถามที่ว่า ที่นอนแบบไหนดีที่เราควรเลือก สรีระของร่างกายคนเรามีความแตกต่างกัน บางคนชอบที่นอนแข็ง บางคนชอบนิ่ม ไม่เหมือนกันแต่ที่สำคัญต้องไม่นิ่มจนตัวจมเข้าไปที่ที่นอน ร่างกายของเราต้องการที่นอนที่สามารถรองรับกระดูกสันหลังในท่าที่เหมาะสมและสบาย อีกอย่างที่ควรคำนึงถึงคือหมอน เราต้องการหมอนหนุนที่ทำให้กระดูกสันหลังอยู่ในท่าที่เหมาะสม หากเรานอนตะแคงให้ใช้หมอนวางไว้ระหว่างขา หากเรานอนราบให้วางหมอนไว้ใต้เข่า ท่านอนและหมอนที่เหมาะสมจะทำให้นอนหลับสบายและไม่ไปกดทับกระดูกสันหลัง

 

การออกกำลัง :K2

เราอาจเคยได้ยินว่าการออกกำลังกายทำให้เกิดการปวดเมื่อย ดังนั้นจึงเป็นข้ออ้างของหลายคนในการไม่ออกกำลังกายแต่แท้ที่จริงแล้ว เราจะปวดเมื่อยมากยิ่งขึ้นหากไม่ได้รับการขยับเขยื้อน หากเราเคลื่อนไหวร่างกายและออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างสมดุล และไม่ปวดเมื่อยง่าย ๆ

 

คนส่วนใหญ่มักใช้การเดินในการออกกำลังกาย แต่พอไลท์ก้า นักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเราอาจเดินผิดวิธี หลายคนใช้วิธีการเดินด้วยหัวเข่า ไม่ใช่สะโพก วิธีแนะนำง่าย ๆ คือ

 

• เหยียดปลายเท้าทั้ง 2 ข้างออก

• แกว่งแขน

• ก้าวเท้ายาวๆ ไม่ใช่ก้าวสั้นๆ

 

การออกกำลังกายที่เหมาะสมจะช่วยให้มี ความยืดหยุ่นและมีกำลัง ทำให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง กระชับ อย่าใช้แต่เพียงข้อต่อ ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้แล้วการออกกำลังกายยังจะช่วยลดน้ำหนัก ซึ่งหากมีน้ำหนักมากเกินไปจะนำมาซึ่งความปวดเมื่อยต่าง ๆ ทั้งข้อต่อ สะโพก ข้อเท้า และส่วนล่างของหลังอีกด้วย

 

คำแนะนำเหล่านี้อาจไม่ช่วยให้อาการปวดต่าง ๆ หายหมดไปจนหมดสิ้น แต่หากเราลองพยายามทำสัก 2-3 อาทิตย์แล้ว จะทำให้ร่างกายเริ่มรู้สึกผ่อนคลายและที่สำคัญทำให้เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพา ยาที่อาจมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพตามมาอีกด้วย

 

 

http://www.manager.c...D=9540000151428

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ฟื้นพลังหนุ่มด้วยวิธี Cardio สั้นๆนะครับ ไม่ยุ่งยาก ใช้เกณฑ์อัตราชีพจรเป็นหลัก

ประมาณ 220-(อายุ+6หรือ12)... 6หรือ12 นี่เซฟตี้ตัวเองเน้นจับเวลาง่ายๆครับ

ใช้ Pulse Watch เดี๋ยวนี้ 2พันหน่อยๆร้านพวกเสือภูเขามีขาย หากไม่อยากซื้อก็จับที่ข้อมือดูนาฬิกาจับที่ 10 วินาทีเอา

สมมติอายุ 40ปี = 220-40=180 ครั้งต่อนาที 10วินาที=30 ครั้งครับ นับจริง 28-29 ก็พอเซฟก่อน

ห่างเหินการออกกำลังกายกันนานๆแค่วิ่งเหยาะๆก็รู้สึกเหนื่อยเร็ว แต่หากหัวใจยังดีปรับการหายใจได้ก็จะวิ่งได้ยาวขึ้นอีก

ฟื้นความหนุ่มได้จริงครับ...ใช้เกณฑ์นี้แล้วมีความสุขครับ.. ยิ่งเทรดได้ดีมีกำไร..ลืมเหนื่อยครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แพทย์แนะเทคนิคเลือกฟังดนตรีบำบัด รักษาโรค - สร้างสมดุลในร่างกายทุกวัย!

 

 

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แนะดนตรีบำบัดกำลังเป็นที่นิยมและสนใจของคนยุคปัจจุบัน เพื่อช่วยรักษา-ฟื้นฟู ผู้เจ็บป่วยทั้งร่างกายและจิตใจได้ให้มีสภาพที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันช่วยเสริมสร้าง สมาธิ-ความฉลาดให้เด็กในวัยเรียน ส่วนผู้ใหญ่บ้างาน อัลไซเมอร์ และผู้ป่วยมะเร็ง ช่วยลดอาการได้เช่นกัน เผยวิธีเลือกใช้ ‘ดนตรีบำบัด’ให้เหมาะกับคนทุกวัย ทุกโรคและทุกอาการเพื่อช่วยกระตุ้น และให้ผู้ฟังมีความสุขสบาย!

 

เสียงดนตรีมีคุณสมบัติทำให้เกิดความเพลิดเพลินผ่อนคลาย และทำได้แม้กระทั่งปลุกเร้าสร้างกำลังใจให้เกิดความฮึกเหิม หรือสงบนิ่งเป็นสมาธิ ขึ้นอยู่กับท่วงทำนองที่ใช้ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการใช้ดนตรีเพื่อเยียวยาทหารที่ได้รับบาดเจ็บ และพบว่าดนตรีสามารถลดระยะเวลาในการรักษา จึงเกิดแนวคิดเรื่องการใช้ “ดนตรีบำบัด” ซึ่งขยายผลไปสู่การกระตุ้นอารมณ์ พฤติกรรมต่างๆ และการบำบัดสมรรถภาพทางกายให้กับผู้ป่วยหลายกลุ่ม

 

นพ.อภิชาติ จริยาวิลาศ จิตแพทย์โรงพยาบาลเวชธานี ระบุว่า ดนตรีบำบัดเป็นการใช้ดนตรีและวิธีการทางดนตรีในการฟื้นฟู รักษา และพัฒนาด้านอารมณ์ ร่างกาย และจิตใจ เพื่อให้มีสภาพที่ดีขึ้น โดยดนตรีที่นำมาใช้ในการบำบัดต้องได้รับการเห็นชอบจากผู้เชี่ยวชาญในการ รักษา

 

“ดนตรีที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการบำบัด จะใช้ผ่านกิจกรรมที่ได้รับการออกแบบให้เหมาะกับผู้เข้ารับการบำบัด เช่น การร้อง การเล่นดนตรี หรือการฟังเพลง โดยวิธีการที่ใช้จะต้องเลือกอย่างระมัดระวัง ผู้บำบัดต้องมีการประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับอาการของโรค และพฤติกรรมที่แตกต่างกันไป เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการบำบัด”

 

ทั้งนี้ เสียงดนตรีมีองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ส่วน ได้แก่ ทำนอง ซึ่งประกอบด้วย ระดับเสียง(Pitch) ธรรมชาติของเสียง(Tone color) ความเข้มของเสียง(Tone intensity) ) และจังหวะ ประกอบด้วย จังหวะที่ปกติสม่ำเสมอ(Regular) จังหวะที่ไม่ปกติไม่สม่ำเสมอ(Irregular) จังหวะหนัก(Strong) จังหวะเบา(Weak) จังหวะยาว(Long) จังหวะสั้น(Short) โดยรายละเอียดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม กับแต่ละคน

 

นพ.อภิชาติ บอกอีกว่า เสียงดนตรีมีผลต่อการทำงานของสมองในหลายด้าน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจ มีผลการศึกษาพบว่าดนตรีสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอัตราการหายใจ, อัตราการเต้นของชีพจร, ความดันโลหิต, การตอบสนองของม่านตา, ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ และการไหลเวียนของเลือดได้

 

ปัจจุบันมีการใช้ดนตรีบำบัดเข้ามาช่วยในหลายๆ เรื่อง ทั้งสำหรับบุคคลทั่วไปเพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย เพิ่มพูนสมาธิ ปรับสภาพจิตใจให้อยู่ในสภาวะสมดุล มีมุมมองเชิงบวก และบำบัดผู้ป่วยที่มีปัญหาต่างๆ เช่น ผ่อนคลายอาการที่เกิดจากความเครียดของผู้ป่วย ลดความเจ็บปวดสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ปรับสภาพจิตใจให้เป็นคนใจเย็น ช่วยฝึกสมาธิ เป็นต้น

“การให้บริการดนตรีบำบัดในไทยมีทั้งในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน โดยเฉพาะในโรงพยาบาลของกรมสุขภาพจิตที่มีโครงการบำบัดที่ชัดเจนไม่ต้องเสีย ค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ดี ดนตรีบำบัดยังถือเป็นเรื่องใหม่ในวงการการศึกษา ปัจจุบันจึงมีสถาบันที่เปิดสอนอยู่ไม่กี่แห่ง เช่น มหาวิทยาลัยรังสิต วิทยาลัยดนตรี ด้านดนตรีบำบัด และวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น ทว่า ดนตรีบำบัดกำลังได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น โดยสังเกตได้จากสถานที่ให้บริการมีมากขึ้น และการศึกษาวิจัยในประเทศไทยที่มากขึ้น ซึ่งผลจากการวิจัยก็แสดงให้เห็นผลดีในการนำดนตรีบำบัดมาใช้” นพ.อภิชาติกล่าว

ด้าน นพ.จักรกริช กล้าผจญ หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เผยว่า ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู ได้นำดนตรีบำบัดมาใช้ในการฟื้นฟูร่างกายของผู้พิการ โดยใช้เครื่องเป่าเพื่อพัฒนาความจุปอด และเครื่องเคาะเพื่อลดอาการเกร็งและเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อ นอกจากนั้นยังใช้เครื่องดนตรีอื่นๆ เช่น คีย์บอร์ด การร้องเพลง การเต้น ตามความถนัดและความสมัครใจเพื่อให้ผู้พิการมีความสุข ความผ่อนคลายขณะทำกิจกรรม ซึ่งได้ผลดี จึงสร้างเครือข่ายดนตรีบำบัดเพื่อฟื้นฟูผู้ป่วยพิการทางกาย โดยทำไปแล้วใน 4 จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง และราชบุรี และผู้สนใจสามารถศึกษาการใช้ดนตรีบำบัดได้ที http://www.med.cmu.ac.th/dept/rehab/2010/index.php?option=com_content&view=article&id=42&Itemid=46&lang=th

 

ทั้งนี้ นพ.จักรกริช ได้แนะนำการใช้ดนตรีบำบัดเบื้องต้น เพื่อเยียวยาร่างกายและจิตใจในคนหลายๆ กลุ่ม ดังนี้

 

554000016856702.GIF

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...