ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
moddang

สาระน่ารู้....สุขภาพ.....

โพสต์แนะนำ

วันนี้เอาเรื่องหนักๆมาฝากค่ะ website นี้ทำไว้ดีมากทีเดียว

 

 

ความรู้ทั่วไปเรื่องเบาหวาน730609a5m8rb3ah6.gif

 

 

 

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง และก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดปัญหากับ ฟันและเหงือก ตา ไต หัวใจ หลอดเลือดแดง ท่านผู้อ่านสามารถป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆได้ โดยการปรับ อาหาร การออกกำลังกาย และยาให้เหมาะสม ท่านผู้อ่านสามารถนำข้อเสนอแนะจากบทความนี้ไปปรึกษากับแพทย์ที่รักษาท่านอยู่ ท่านต้องร่วมมือกับคณะแพทย์ที่ทำการรักษาเพื่อกำหนดเป้าหมายการรักษา บทความนี้เชื่อว่าจะช่วยท่านควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้น

 

โรคเบาหวานคืออะไร !_Rd

 

อาหารที่รับประทานเข้าไปส่วนใหญ่จะเปลี่ยนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน เซลล์ในตับอ่อนชื่อเบต้าเซลล์เป็นตัวสร้างอินซูลิน อินซูลินเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าเซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดเนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพของอินซูลินลดลงเนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอยู่เป็นเวลานานจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ เช่น ตา ไต และระบบประสาท

 

 

ฮอร์โมนอินซูลินมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างไร !38

 

Diabetes Mellitus

 

 

 

อินซูลินเป็นฮอร์โมนสำคัญตัวหนึ่งของร่างกาย สร้างและหลั่งจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อน ทำหน้าที่เป็นตัวพาน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย เพื่อเผาผลาญเป็นพลังงานในการดำเนินชีวิต ถ้าขาดอินซูลินหรือการออกฤทธิ์ไม่ดี ร่างกายจะใช้น้ำตาลไม่ได้ จึงทำให้น้ำตาลในเลือดสูงมีอาการต่างๆของโรคเบาหวาน นอกจากมีความผิดปกติของการเผาผลาญอาหารคาร์โบไฮเดรตแล้ว ยังมีความผิดปกติอื่น เช่น มีการสลายของสารไขมันและโปรตีนร่วมด้วย

 

อาการของโรคเบาหวาน :huh: :wub:

 

คนปกติก่อนรับประทานอาหารเช้าจะมีระดับน้ำตาลในเลือด 70-110 มก.% หลังรับประทานอาหารแล้ว 2 ชม.ระดับน้ำตาลไม่เกิน 140 มก.% ผู้ที่ระดับน้ำตาลสูงไม่มากอาจจะไม่มีอาการอะไร การวินิจฉัยโรคเบาหวานจะทำได้โดยการเจาะเลือด อาการที่พบได้บ่อย

 

คนปกติมักจะไม่ต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะในเวลากลางดึกหรือปัสสาวะอย่างมากไม่เกิน 1 ครั้ง เมื่อน้ำตาลในกระแสเลือดมากกว่า180มก.% โดยเฉพาะในเวลากลางคืนน้ำตาลจะถูกขับออกทางปัสสาวะทำให้น้ำถูกขับออกมากขึ้น จึงมีอาการปัสสาวะบ่อยและเกิดการสูญเสียน้ำ และอาจจะพบว่าปัสสาวะมีมดตอม

ผู้ป่วยจะหิวน้ำบ่อยเนื่องจากต้องทดแทนน้ำที่ถูกขับออกทางปัสสาวะ

อ่อนเพลีย น้ำหนักลดเกิดเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลจึงย่อยสลายส่วนที่เป็นโปรตีนและไขมันออกมา

ผู้ป่วยจะกินเก่งหิวเก่งแต่น้ำหนักจะลดลงเนื่องจากร่างกายน้ำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานไม่ได้ จึงมีการสลายพลังงานจากไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อ

อาการอื่นๆที่อาจเกิดได้แก่ การติดเชื้อ แผลหายช้า คัน

คันตามผิวหนัง มีการติดเชื้อรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณช่องคลอดของผู้หญิง สาเหตุของอาการคันเนื่องจากผิวแห้งไป หรือมีการอักเสบของผิวหนัง

เห็นภาพไม่ชัด ตาพร่ามัวต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงสายตา เช่นสายตาสั้น ต่อกระจก น้ำตาลในเลือดสูง

ชาไม่มีความรู้สึก เจ็บตามแขนขาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เนื่องจากน้ำตาลสูงนานๆทำให้เส้นประสาทเสื่อม เกิดแผลที่เท้าได้ง่าย เพราะไม่รู้สึก

อาเจียน

น้ำตาลในกระแสเลือดสูงเมื่อเป็นโรคนี้ระยะหนึ่งจะเกิดโรคแทรกซ้อนที่เกิดกับหลอดเลือดเล็กเรียก microvacular หากมีโรคแทรกซ้อนนี้จะทำให้เกิดโรคไต เบาหวานเข้าตา หากเกิดหลอดเลือดเลือดแดงใหญ่แข็งเรียก macrovascular โดยจะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อัมพาต หลอดเลือดแดงที่ขาตีบนอกจากนั้นยังอาจจะเกิดปลายประสาทอักเสบ neuropathic ทำให้เกิดอาการชาขา กล้ามเนื้ออ่อนแรง ประสาทอัตโนมัติเสื่อม

 

ใครมีโอกาสเป็นโรคเบาหวาน !19

 

สาเหตุของการเกิดโรคเบาหวานยังไม่ทราบแน่นอน แต่องค์ประกอบสำคัญที่อาจเป็นต้นเหตุของการเกิดได้แก่ กรรมพันธุ์ อ้วน ขาดการออกกำลังกาย หากบุคคลใดมีปัจจัยเสี่ยงมากย่อมมี่โอกาสที่จะเป็นเบาหวานมากขึ้น ปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานได้แสดงข้างล่างนี้

 

ใครที่ควรจะต้องเจาเลือดหาโรคเบาหวาน !_01

ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สองพบมากและมักจะวินิจฉัยไม่ได้ในระยะแรก การที่มีภาวะน้ำตาลสูงเป็นเวลานานๆทำให้เกิดการเสื่อมของอวัยวะต่างๆเช่น ตา หัวใจ ไต เส้นประสาท เส้นเลือด นอกจากนี้ยังพบว่ามีโรคความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในโลหิตสูงร่วมด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งในการวินิจฉัยให้เร็วที่สุดเพื่อลดภาวะแทรกซ้อน การตรวจคัดกรองเบาหวานในผู้ใหญ่ที่ไม่มีอาการ

 

ผู้ที่สมควรได้รับการเจาะเลือดตรวจตรวจหาเบาหวาน คือ !034

 

ประวัติครอบครัวพ่อแม่ พี่ หรือ น้อง เป็นเบาหวานควรจะตรวจเลือดแม้ว่าคุณจะไม่มีอาการ

อ้วน ดัชนีมวลกายมากกว่า27% หรือน้ำหนักเกิน20%ของน้ำหนักที่ควรเป็นสำหรับประเทศในเอเซียเราพบว่าเมื่อดัชนีมวลกายมากกว่า 23 จะพบผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานมากดังนั้นแนะนำว่าควรจะเจาะเลือดตรวจเบาหวานเมื่อดัชนีมวลกายมากกว่า 25 อยากทราบว่าดัชนีมวลกายเท่าไรคลิกที่นี่

อายุมากกว่า45ปี

ผู้ที่ตรวจพบ IFG หรือ IGT

ความดันโลหิตสูงมากกว่า140/90 mmHg

ระดับไขมัน HDL น้อยกว่า35 มก%และหรือ TG มากกว่า250 มก.%

ผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย

ประวัติเบาหวานขณะตั้งครรภ์หรือน้ำหนักเด็กแรกคลอดมากกว่า4กิโลกรัม

บุคคลที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวควรที่จะได้รับการตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือดทุก3ปี หากคุณเป็นคนที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวการป้องกันน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดโดยการออกกำลังกาย การควบคุมอาหาร การคุมน้ำหนัก

 

 

 

http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/endocrine/DM/intro.htm

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตะคริว

 

 

ตะคริว (muscle cramps) เป็นภาวะที่กล้ามเนื้อหดเกร็งเองโดยที่ร่างกายไม่ได้สั่งให้เกร็ง หรือหดตัว แต่กล้ามเนื้อนั้นหดเกร็งเองเป็นระยะเวลาหนึ่ง ร่างกายไม่สามารถควบคุมให้กล้ามเนื้อมัดนั้นๆ คลายตัวหรือหย่อนลงได้ ถ้าหากไม่ได้รับปฏิบัติที่ถูกต้อง กล้ามเนื้อที่เป็นตะคริวหรือหดเกร็งจะค่อยๆ คลายตัวทีละน้อยไปเอง แต่กว่าจะหาย คนที่เป็นตะคริวก็จะมีความเจ็บปวดค่อนข้างมาก โดยทั่วไปตะคริวมักเกิดไม่เกินสองนาที แต่อาจมีบางรายเกิดนานได้ถึงห้านาทีหรือนานกว่านั้น ในบางรายอาจเกิดบ่อยจนทำให้เกิดความทุกข์ทรมานได้ โดยทั่วไปตะคริวมักเกิดในผู้สูงอายุ และเกิดในตอนกลางคืน แต่ก็อาจเกิดในคนอายุน้อย และเกิดได้ทุกเวลา อาการนี้ถึงแม้จะไม่ส่งผลเสียถึงแก่ชีวิต แต่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ถ้าเกิดระหว่างว่ายน้ำ หรือขับรถ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

ปัญหาที่นักกีฬาแทบทุกคนเคยประสบ พบมา ไม่เป็นกับตัวเองก็เห็นด้วยตาคือเรื่องของกล้ามเนื้อเป็นตะคริว ในนักกีฬา อาจพบว่า บางครั้ง บางคนหายใจมากไปเกินกว่าร่างกายต้องการ เช่น เมื่อวิ่งไปนานๆ เกิดอาการเหนื่อย หากตื่นเต้นไปหรือไม่รู้จักหายใจให้ถูก แทนที่จะหายใจ ลึกๆ ยาวๆ กลับหายใจตื้นๆ สั้นๆ กระชั้นถี่ แบบนี้จะทำให้เกิดภาวะตะคริวได้ง่าย ตะคริวก่อให้อาการกล้ามเนื้อเกร็งแข็งและปวด ซึ่งจะเกิดขึ้นรวดเร็ว และมักจะเป็นอยู่เพียงไม่กี่นาที กล้ามเนื้อที่พบเป็นตะคริวได้บ่อยได้แก่กล้ามเนื้อน่องและต้นขา ตะคริวเป็นภาวะพี่พบได้บ่อยมาก ซึ่งจะพบได้เป็นครั้งคราวในคนเกือบทุกคน

 

Muscle_Cramps_02.jpg

 

สาเหตุ

1. สาเหตุของตะคริวเกิดความล้า กล้ามเนื้อจากการใช้งานติดต่อเป็นเวลานาน หรืออาจเกิดจากการกระแทก ทำให้เกิดการฟกช้ำต่อกล้ามเนื้อ หรืออาจเกิดจากภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย

2. สาเหตุการเกิดยังไม่ทราบแน่ชัด มีหลายทฤษฎี อาจเกิดจากการที่เอ็น และกล้ามเนื้อไม่ได้มีการยืดตัวบ่อยๆ ทำให้มีการหดรั้ง เกร็งได้ง่ายเมื่อมีการใช้กล้ามเนื้อนั้นมากเกินไป นอกจากนั้นยังอาจเกิดจากเซลล์ประสาท และเส้นประสาทที่ควบคุมการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติไป และประการสุดท้ายอาจเกิดจากการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อไม่ดีพอซึ่ง มักพบในคนที่มีโรคที่ทำให้หลอดเลือดตีบ เช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น

3. เกิดจากขาดเกลือ และแร่ธาตุอื่นๆ เช่น โปแตสเซี่ยม หรือ แมกนีเซียม ในผู้ป่วยที่ร่างกายเสียเกลือโซเดียม เนื่องจากท้องเดิน อาเจียน หรือสูญเสียไปทางเหงื่อเนื่องจากความร้อน อากาศร้อน หรือทำงานในที่ที่ร้อนจัด อาจเป็นตะคริวรุนแรง คือ เกิดกับกล้ามเนื้อหลายส่วนของร่างกาย และมักจะเป็นอยู่นาน ผู้ที่มีภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำก็อาจเป็นตะคริวได้บ่อย

4. เกิดจากกล้ามเนื้อบาดเจ็บ หรือ ใช้งานมากไป รวมทั้งการขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ อันเนื่องมาจากการเกร็งอยู่นานๆ ทำให้ตัดทางเดินของเลือด ในคนที่มีภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง เช่น คนสูงอายุ ก็มีโอกาสเป็นตะคริวได้บ่อยขึ้น และอาจเป็นขณะที่เดินนานๆ เนื่องจากการไหลเวียนของเลือดไปที่ขาไม่ดี

5. การหายใจเข้า-ออกมากไป เมื่อ ไม่มีความจำเป็นจะทำให้ร่างกายไม่สามารถใช้แคลเซี่ยมได้ เช่น คนที่เป็นโรคจิต โรคประสาท อาจหายใจหอบโดยไม่มีสาเหตุ ทำให้มือหงิกงอ ซึ่งก็ถือว่าป็นตะคริวอีกแบบหนึ่ง

6. ส่วนมากจะไม่มีสาเหตุร้ายแรงเป็นเพียงชั่วเดี๋ยวเดียวก็หายได้เอง บาง คนอาจเป็นตะคริวที่น่องขณะนอนหลับโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด บางคนอาจเป็นหลังออกกำลังมากกว่าปกติหรือนอนนั่งหรือยืนในท่าที่ไม่สะดวก นานๆ ทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่สะดวก

7. ในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์อาจเป็นตะคริวได้บ่อยขึ้น เนื่องจากระดับของแคลเซียมในเลือดต่ำ หรืออาจเกิดจากการไหลเวียนของเลือดไปที่ขาไม่สะดวก

 

Muscle_Cramps_03.jpg

 

ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดตะคริว

 

1. ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยมีสาเหตุ แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจเกิดจากยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาลดไขมันในเลือด ยาลดความดันโลหิตบางชนิด เป็นต้น นอกจากนั้นโรคทางกายบางอย่าง เช่น โรคไตวาย โรคเบาหวาน โรคของต่อมธัยรอยด์ ซีด น้ำตาลในเลือดต่ำ โรคพาร์กินสัน ร่างกายขาดสารน้ำ และความผิดปกติของเกลือแร่ในร่างกาย ได้แก่ แมกนีเซียม แคลเซียม โปแตสเซียม ยังทำให้เกิดตะคริวขึ้นได้ง่าย

2. การทำงานมากๆ จนเมื่อยล้าหรือนั่งขดแขนขาอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ ก็อาจทำให้เกิดตะคริวขึ้นได้เช่นกัน เพราะเลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงแขนขาได้สะดวก

3. เรื่องของเกลือ เราท่านมีความเข้าใจผิดๆ กันอยู่มากในเรื่องเกี่ยวกับเกลือ มักเข้าใจว่า ถ้าใครเป็นตะคริว ต้องเป็นจากขาดเกลือ จึงได้เห็น การรักษาตะคริวโดยให้กินเกลือกันอย่างแพร่หลาย ความจริงที่มีผู้พิสูจน์แล้วคือ คนทั่วไปมักไม่ขาดเกลือ ออกจะมีเหลือเฟือ เสียด้วยซ้ำไป

4. โปแตสเซียม ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายความร้อนที่เกิดขึ้น ในระหว่างการทำงาน เวลาวิ่งมีความร้อนเกิดขึ้นมากมาย มหาศาล โปแตสเซียม จึงถูกใช้งานหมดไปได้อย่างมาก

5. แมกนีเซี่ยม ช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อ โดยประสานงานกับแคลเซี่ยม แม้จะไม่เสียไปมากอย่างโปแตสเซี่ยม แต่ก็ขาดไม่ได้ ดังนั้น แร่ธาตุ ที่เราควรให้ความสนใจ คือ โปแตสเซี่ยม เนื่องจากมีการเสียไปในระหว่างออกกำลัง จึงต้องกินเข้า ไปชดเชยกันอาหารที่อุดมด้วยโปแตสเซียม คือ ผลไม้ ถั่ว และผัก

 

อาการ

ผู้ป่วยอยู่ๆ รู้สึกกล้ามเนื้อส่วนหนึ่งส่วนใด (เช่น น่อง หรือต้นขา) มีการแข็งตัว และปวดมาก เอา มือคลำดูจะรู้สึกแข็งเป็นก้อน ถ้าพยายามขยับเขยื้อนกล้ามเนื้อส่วนนั้นจะทำให้ยิ่งแข็งตัวและปวดมากขึ้น การนวด และยืดกล้ามเนื้อส่วนนั้น จะช่วยให้ตะคริวหายเร็วขึ้น ถ้าเป็นขณะนอนหลับ ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดจนสะดุ้งตื่น โดยทั่วไป จะเป็นอยู่เพียงไม่กี่นาทีก็หายได้เอง และไม่มีความผิดปกติอื่นๆ เกิดร่วมด้วย เมื่อหายแล้ว ผู้ป่วยจะรู้สึกเป็นปกติทุกอย่าง

 

การปฐมพยาบาล

 

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นมีหลักการดังนี้ ท่านจะต้องค่อยๆ ยืดกล้ามเนื้อออกให้อยู่ในความยาวที่ปกติของกล้ามเนื้อนั้นๆ และให้ยืดกล้ามเนื้ออยู่จนกระทั่งหายปวด อาจใช้เวลาประมาณ 1-2 นาที แล้ว ลองปล่อยมือดูอาการว่ากล้ามเนื้อนั้นๆ ยังเกร็งอยู่หรือไม่ ถ้ายังมีอยู่ ให้ทำซ้ำอีกจนกระทั่งปล่อยมือแล้วไม่มีการเกร็งตัว ถือว่าเพียงพอแล้ว

 

ขอยกตัวอย่างหากเกิดตะคริวที่ น่อง ให้ท่านรีบเหยียดเข่าให้ตรง และรีบกระดกปลายเท้าขึ้น อาจทำเองหรือให้คนที่อยู่ใกล้ๆ ช่วยก็ได้ ถ้าท่านทำเองอาจก้มไปเอามือดึงปลายเท้าเข้าหาตัว ค้างไว้ประมาณ 1 - 2 นาที จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องปวดได้เป็นอย่างดี การบีบนวดขณะกล้ามเนื้อเกร็งตัวไม่ควรทำ แต่ถ้าหากกล้ามเนื้อคลายตัวแล้ว อาจบีบนวดโดยใช้มือบีบนวดไล่จากเอ็นร้อยหวายขึ้นไปจนถึงข้อเข่า ใช้ทิศทางเดียว เพื่อช่วยให้การไหลเวียนของเลือดกลับไปสู่หัวใจได้ดีขึ้น

 

Muscle_Cramps_05.jpg

 

การรักษา

 

1. ขณะที่เป็นตะคริว ให้ทำการปฐมพยาบาล โดยใช้มือนวดกล้ามเนื้อที่เป็นตะคริว หรือยืดกล้ามเนื้อส่วนนั้นให้ตึง เช่น ถ้าเป็นตะคริวที่น่อง ให้เหยียดหัวเข่าตรง และดึงปลายเท้ากระดกเข้าหาเข้าให้มากที่สุด ถ้าเป็นตะคริวที่ต้นขาให้เหยียดหัวเข่าตรง ยกเท้าขึ้นให้พ้นจากเตียงเล็กน้อย และกระดกปลายเท้าลงล่าง ไปทางด้านตรงข้ามกับหัวเข่า เนื่องจากตะคริวเป็นการหดตัวไม่คลายของกล้ามเนื้อ จุดมุ่งหมายการรักษา จึงมุ่งที่การยืด และบีบเพื่อให้มันคลายตัว เช่นว่า ถ้าเป็นที่น่อง ให้ลองเอามือหนึ่งบีบที่ส่วนเป็นตะคริว อีกมือหนึ่งให้ดึงเท้าขึ้น เป็นการยืดกล้ามเนื้อน่อง

 

2. ถ้าเป็นตะคริวขณะเข้านอนตอนกลางคืนบ่อยๆ เช่นหญิงที่ตั้งครรภ์ คนสูงอายุ ก่อนนอนควรดื่มนมให้มากขึ้นและยกขาสูง ใช้หมอนรองจากเตียงประมาณ 10 ซม. (4 นิ้ว) ในหญิงตั้งครรภ์ อาจให้ยาเม็ดแคลเซียมแลกเทตกินวันละ 1-3 เม็ด

 

3. ถ้าเป็นตะคริวจากการเสียเกลือ โซเดียม เช่นเกิดจากท้องเดิน อาเจียน เหงื่อออกมาก ควรให้ดื่มน้ำเกลือผสมเอง ถ้าดื่มไม่ได้ ควรให้น้ำเกลือนอร์มัลซาไลน์ทางหลอดเลือดดำ

 

4. ถ้าเป็นๆ หายๆ บ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นขณะเดินนานๆ ควรแนะนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาสาเหตุ อาจมีความผิดปกติเกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือดที่ขา หรือมีภาวะหลอดเลือดแข็งจากเบาหวาน ความดันโลหิตสูงหรือโรคอื่นๆ ถ้าเป็นบ่อยมากควรหาสาเหตุ ตรวจเช็คว่ายาที่รับประทานอยู่เป็นสาเหตุของตะคริวได้หรือไม่ อาจต้องตรวจหาโรคทางกายดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปมักไม่ค่อยพบสาเหตุ

 

5. ในกรณีที่ไม่พบสาเหตุ ควรให้กินไดเฟนไฮดรามีน ขนาด 50 มก. ก่อนนอน อาจช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริวขณะเข้านอนได้ การแก้ไขในระยะยาว เราควรดูที่สาเหตุ ถ้าเป็นจากออกกำลังมากไป ให้ลดลง ถ้าเป็นจากขาดแร่ธาตุ ให้กินชดเชย ถ้าเป็นจากหายใจผิด ให้ฝึกหายใจเสียใหม่ เป็นต้น

 

6. การรักษาที่ดีอย่างหนึ่งคือ การยืดกล้ามเนื้อที่เกิดตะคริว นั้นให้คลายออกอย่างช้าๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดตะคริวที่น่องจะทำให้เกิดเกร็งปลายเท้าจิกชี้ลงพื้นดิน ก็ให้ทำการดันปลายเท้าให้กระดกขึ้นช้าๆ แต่ห้ามทำการกระตุก กระชากรุนแรงอย่างรวดเร็ว เพราะจะเจ็บปวดจนกล้ามเนื้อฉีกขาดได้ ในรายที่เป็นบ่อยๆ มีการใช้ยาบางอย่าง เช่น ควินีนและยาคลายกล้ามเนื้อบางชนิด ซึ่งอาจใช้ในระยะสั้นๆ เช่น 4-6 สัปดาห์และดูการตอบสนอง แต่ผลการศึกษาถึงประโยชน์ยังไม่ชัดเจนนัก และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ในบางราย เช่น เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวต่ำ ตับอักเสบ หูอื้อ เสียงดังในหู เวียนศีรษะได้ เป็นต้น ดังนั้นโดยทั่วไปมักไม่ค่อยได้ใช้กันทั่วไป

การป้องกัน

 

1. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะตะคริวมักเกิดในผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ หรือคนที่ขาดการออกกำลังกายที่ดีพอ

2. การฝึกการยืดกล้ามเนื้อบ่อยๆ อาจลดโอกาสการเกิดตะคริวได้ เช่น ที่น่องอาจทำได้โดยการกระดกเท้าขึ้นลง หรือเอามือแตะปลายเท้าขณะเหยียดเข่า ปั่นจักรยานอยู่กับที่ หรือยืนบนส้นเท้าห่างผนัง 1 ฟุตแล้วเอามือทาบผนังและค่อยๆ เหยียดแขนออกเพื่อยืดกล้ามเนื้อประมาณ 30 วินาทีแล้วทำใหม่ เป็นต้น

3. ถ้าออกกำลังกายหนักควรดื่มน้ำและเกลือแร่ทดแทนให้เพียงพอ

4. ควรพักผ่อนให้เพียงพอ

5. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

6. ผู้สูงอายุควรค่อยๆ ขยับแขนขาช้าๆ และหลีกเลี่ยงอากาศเย็นมากๆ

7. สวมรองเท้าที่พอเหมาะและอาจใส่ถุงเท้าตอนนอนเพื่อป้องกันการเกร็งของเท้า

8. ในรายที่เป็นบ่อยๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุตะคริว

 

 

 

ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ

ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

 

http://www.bangkokhealth.com/index.php/2009-01-19-04-23-16/2036-2009-01-26-08-50-58

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หิด

พญ.สมศรี ประยูรวิวัฒน์ อายุรแพทย์ แปลและเรียบเรียง

 

     มีคนไข้ 3 คน พ่อ แม่ ลูกสาวตัวน้อยตาแป๋ว มาหาหมอพร้อมกันทั้งครอบครัวด้วยผื่นคันมากจนสุดทนบริเวณง่ามมือ และตามตัวจนนอนไม่หลับ เมื่อดูผื่นก็เห็นรอยเกาจนตัวลาย โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กอายุเพียงขวบกว่าเกาจนน่าเวทนา

 

      อีกรายเป็นเด็กแบเบาะอายุประมาณ 4-5 เดือนเท่านั้น คุณแม่พามาหาหมอด้วยผื่นที่ง่ามมือเห็นเป็นตุ่มใสและรอยแดง ที่น่าขำคือ

หนูน้อยตัวเล็กนิดเดียว นอนหลับตาเกาทั้งฝ่ามืออยู่บนตักแม่แบบเด็กๆ ทั้งที่กล้ามเนื้อที่นิ้วยังอยู่ในช่วงกำลังพัฒนา ยังไม่สามารถทำงานเป็นเอกเทศได้

 

      ในกรณีที่พบผู้มีผื่นคันที่ง่ามมือที่เป็นกันทั้งครอบครัว และคันรุนแรงจนนอนไม่หลับ กระทั่งเด็กวัยไม่น่าจะเกา ยังเกาไม่หยุดทั้งยังหลับอย่างนี้ ไม่มีโรคอื่นเป็นหิดแน่นอน

หิด (Scabies) คือ ไร (mite) ชนิดหนึ่ง เป็นปรสิต (สัตว์ตัวเล็กๆ ที่อาศัยในร่างกายคน) ที่อาศัยอยู่ใต้หนังกำพร้า มีขนาดประมาณ

0.4 มิลลิเมตร มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

 

      เมื่อหิดโตเต็มวัยจะผสมพันธุ์กันบนผิวหนัง แล้วตัวผู้จะตาย ส่วนตัวเมียเจาะอุโมงค์ในชั้นหนังกำพร้าวันละ 2-3 มิลลิเมตรในตอน

กลางคืน เพื่อวางไข่ครั้งละ 2-3 ฟอง จนถึง 10-25 ฟองในตอนกลางวัน ไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัวอ่อน 3-4 วัน ตัวอ่อนมี 6 ขา มันจะคลานออกจากอุโมงค์เพื่อหาที่อยู่ใหม่ ตัวอ่อนใช้เวลาโตเต็มที่ประมาณ 2 สัปดาห์ ตัวโตเต็มวัยจะมี 8 ขา มีอายุขัย 30-60 วัน แต่ถ้าอยู่นอกร่างกายในอุณหภูมิปกติ มันจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 2-3 วันเท่านั้น

 

      หิดชอบอาศัยอยู่ตามผิวหนังที่มีความชื้น ได้แก่ ง่ามนิ้วมือ นิ้วเท้า สะดือ รักแร้ อวัยวะเพศ ขาหนีบ แต่ก็สามารถอยู่ได้ที่ข้อมือ ข้อเท้า ข้อศอก รักแร้ เอว หัวนม สะดือ ต้นขา สะบัก หัวหน่าว ก้นย้อย ไม่ค่อยพบหิดบริเวณใบหน้าและศีรษะซึ่งเป็นบริเวณที่มีไขมันมาก และฝ่ามือฝ่าเท้าที่ผิวหนังหนา ยกเว้นเด็กเล็กที่ผิวหนังยังมีไขมันน้อยและไม่หนา จึงพบรอยโรคได้ทั้งตัว คือมีผื่นที่หน้า ศีรษะ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หลังหู ร่องรอบคอด้วย

 

      โรคหิดติดต่อกันโดยง่ายดายเพียงการสัมผัสใกล้ชิดทางผิวหนังเท่านั้น จึงพบบ่อยในที่ที่ผู้คนอยู่กันหนาแน่นแออัด คนในครอบครัวเดียวกันอาจติดต่อผ่านทางการใช้ของใช้ร่วมกัน เช่น เครื่องนอน เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ

 

      อย่างไรก็ตาม หิดไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง และการเป็นหิดก็ไม่ได้บ่งบอกว่าคนๆ นั้นไม่รักษาความสะอาดหรือมีสุขอนามัยไม่ดี

 

สาเหตุ

     • เกิดจากหิด ซึ่งเป็นไรชนิดหนึ่งเข้าไปอาศัยอยู่ใต้หนังกำพร้า

 

อาการ

     อาการทางผิวหนังจะเริ่มปรากฏหลังจากหิดอาศัยอยู่ใต้ผิวหนังเป็นเวลา 10-20 วัน เกิดเมื่อร่างกายได้รับการกระตุ้นจากโปรตีนในน้ำลายหรือสิ่งขับถ่ายของตัวหิด แล้วเกิดปฏิกิริยาไวเกินของร่างกายต่อหิด ส่วนการติดโรคในครั้งต่อไป ใช้เวลาในการเกิดอาการประมาณ 24 ชั่วโมง โดยมีอาการดังต่อไปนี้

 

      • ผื่นเป็นเส้นนูนขยุกขยิกคดเคี้ยวคล้ายเส้นด้ายสั้นๆ 5-15 มิลลิเมตร ในระยะแรกของโรค อาจเป็นร่องคดเคี้ยวเป็นเส้นสีแดงหรือ

สีเทาอ่อนซึ่งเป็นอุโมงค์เล็กๆ ปลายสุดเป็นตุ่มน้ำใสซึ่งเป็นตำแหน่งที่หิดอาศัยและวางไข่

     • ตุ่มแข็ง หรือเม็ดสีแดงขนาด 0.5 เซนติเมตร เป็นลักษณะที่มักพบที่อวัยวะเพศชาย อัณฑะ

     • คันมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกลางคืนเมื่อร่างกายได้รับความอบอุ่น ในบรรดาโรคผิวหนังที่มีอาการคันทั้งหลาย หิดเป็นโรคที่มีอาการคันมากที่สุด มากกว่าอาการคันจากโรคผิวหนังใดๆ

     • ผื่นลมพิษ

     • รอยเกา อาจมีเลือดออกและแผลที่เกิดจากการเกา

     • ผิวหนังอักเสบที่เกิดจากการเกาจนอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เกิดเป็นตุ่มหนองได้

     • เจ็บบริเวณรอยเกาและตุ่มหนอง

ภาวะแทรกซ้อน

     • ติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนที่รอยเกา

     • ผิวหนังอักเสบ

 

การดูแลตนเอง   

     • ไปพบแพทย์

     • ทายาฆ่าหิดให้ทั่วตัวตั้งแต่ลำคอจรดปลายเท้าตามคำสั่งแพทย์ ระวังอย่าให้ยาเข้าตา

     • ทายาฆ่าหิดให้กับสมาชิกทุกคนในครอบครัวที่สัมผัสโรคแม้จะยังไม่มีอาการคัน เพราะอาจอยู่ในระยะแรกที่ยังไม่มีอาการคัน

 

การวินิจฉัย

     จากประวัติและลักษณะผื่นก็สามารถให้การวินิจฉัยโรคได้แล้ว อาจยืนยันโดยการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ด้วยการขูดบริเวณรอยโรคที่เป็นอุโมงค์และตุ่มใสซึ่งเป็นบริเวณที่หิดอาศัย แล้วนำไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะพบตัวหิด ไข่หิด และสิ่งขับถ่ายของหิด

 

การบำบัดรักษา

     • ให้ยาทาต้านหิด การทายาต้องทาให้ทั่วทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะส่วนที่เป็นซอกอับ มิฉะนั้นอาจกำจัดตัวหิดไม่หมด สำหรับเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ควรทาที่หน้าและคอด้วย

     • 0.3% gamma benzene hexachloride (Jacutin) เป็นยาที่ได้ผลดีที่สุด ใช้ทาหลังอาบน้ำและเช็ดตัวให้แห้งแล้วในตอนเย็น โดยทาให้ทั่วตัวหลังตั้งแต่คอจรดปลายเท้ายกเว้นศีรษะ ทิ้งไว้ 12 ชั่วโมง แล้วจึงล้างออกตอนเช้า เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน ทำซ้ำแบบเดิมอีก 1 สัปดาห์ถัดมา จนกว่าจะหาย เด็กอายุ 3-10 ปี ให้ทาทิ้งไว้เพียง 3 ชั่วโมงแล้วล้างออก การรักษาในเด็กเล็ก ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะหากใช้ยามากเกินไป ยาอาจถูกดูดซึมเข้าทางผิวหนังในปริมาณมากพอที่จะทำให้เป็นพิษต่อระบบประสาททำให้เด็กชักได้

     • 25% benzyl benzoate suspension ทาทั้งตัวตั้งแต่คอจรดปลายเท้าหลังอาบน้ำเช็ดผิวหนังให้แห้งแล้วในตอนเย็น ทิ้งไว้ 24ชั่วโมง จึงล้างออก หรือทาทิ้งไว้ 12 ชั่วโมงแล้วล้างออก 3 วันติดต่อกัน ทายาซ้ำอีกครั้งหลังจากครั้งแรก1 สัปดาห์ เพื่อฆ่าหิดรุ่นหลังที่ฟักออกจากไข่ เพราะยาชนิดนี้ฆ่าไข่หิดไม่หมด

     • ขี้ผึ้งกำมะถัน (6-10%sulfur ointment ) ทาทั่วตัว 2-3 วัน

     • ให้ยาต้านฮิสตามีนแก้คัน

     • ให้ยาต้านจุลชีพกรณีติดเชื้อแบคทีเรีย

     • รักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น

 

การป้องกัน

     • หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับผู้ที่เป็นหิด

     • ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ที่เป็นหิด เช่น เครื่องนุ่งห่ม ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ

     • ทายาทำลายหิดหลังสัมผัสผู้ป่วยแม้ไม่มีอาการคัน เนื่องจากอาจอยู่ในระยะฟักตัวของโรค

     • งดมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ยังมีอาการ

     • ซักของใช้ผู้ป่วย ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม เครื่องนอน เช่น มุ้ง ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ผ้าคลุมเตียง ด้วยน้ำร้อน หรือต้ม แล้วอบแห้งด้วยความร้อน หรือรีดด้วยเตารีด เพื่อกำจัดตัวหิดและไข่ที่ตกค้างในบ้านในระหว่างการรักษา

     • นำของใช้ในครัวเรือน เช่น ที่นอน หมอน เสื่อ พรม ฯลฯ ออกมาตากแดดจัดๆ

     • ของใช้ที่ต้มไม่ได้ ให้ทำความสะอาดแล้วเก็บแยกไว้เป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อรอจนกว่าหิดตายหมด

     • บ้านที่ปูพรมให้ใช้เครื่องดูดฝุ่นแล้วนำผงไปทิ้งนอกบ้าน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นอกจากจะเป็นขี้เรื้อนได้อย่างหมูอย่างหมาแล้ว

(สัตว์ชนิดอื่นๆก็เป็นครับ เกิดจากไรสปีชี่ส์เดียวกันต่างกันที่วาไรตี้ส์)

คนก็ยังมีหมัดอีกนะครับ แบบหมัดหมาหมัดแมวนี่ละ(คนละสปีชี่ส์กัน แต่หน้าตาคล้ายกันมาก)  

เชื่อหรือไม่ คนเอเชียพบน้อยพบในพวกฝรั่งขนดกๆ

เอารูปมาฝากด้วย ชื่อว่า Human flea( Pulex irritans)

 

post-21-096922100 1277903682.jpg

post-21-072908500 1277903692.jpg

post-21-097573800 1277903706.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ใหนๆก็ใหนๆเอาอีกซัก2ตัวครับคือ

เหาบนหัวชื่อ Pediculus humanus

เหาล่าง(โลน)ชื่อ Phthirus pubis

ดูๆไปแล้วคนเรานี่ไม่ต่างจากสัตว์เลย นอกจากจะพัฒนาใจให้ดีกว่าสัตว์ถึงจะเรียกว่ามนุษย์ได้(มโน+อุษย แปลว่าผู้มีใจสูง)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กดจุดหยุดอาการจุกแน่นท้อง

http://www.doctor.or.th/node/6598

 

 

ภาวะเศรษฐกิจในสังคมปัจจุบันนี้ ทำให้ประชาชนต้องรัดเข็มขัดตัวเอง ต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่คนชนบทนับว่ายังโชคดีกว่าคนในเมืองหลวงอยู่มากนัก ทั้งนี้เพราะค่าครองชีพต่างกันราวฟ้ากับดิน คนเมืองหลวงจึงต้องรับกรรม มีเรื่องให้คิดคิดคอยกังวลอยู่ร้อยแปดพันประการ แล้วสิงที่ตามมาก็คือ โรคกระเพาะอาหารไม่ย่อย จุกเสียด แน่นท้อง

 

"เมื่อก่อนผมไม่เคยมีอาการจุกแน่นท้องเลย เพิ่งจะเป็นเมื่อเร็วๆ นี้เอง"

"พวกหมอเขาบอกว่า สาเหตุมักจะเกิดจากการกังวล เช่น กังวลในปัญหาครอบครัว เกี่ยวกับการทำมาหากิน การงาน เป็นต้น สาเหตุเหล่านี้ทำให้กระเพาะอาหารทำงานไม่เป็นปกติ เลยมีอาการจุกแน่น (มีลมในกระเพาะอาหาร) ตรงบริเวณยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ หลังกินข้าวอิ่ม ถ้ามีอาการเรอหรือผายลม จะรู้สึกสบายขึ้น บางครั้งก็มีอาการเบื่ออาหร นอนไม่หลับ ท้องผูก ใจสั่น มึนศีรษะ"

 

"นั่นซิ เมื่อก่อนผมอยู่ตัวคนเดียวไม่ต้องคิดอะไรมาก เดี๋ยวนี้มีครอบครัวแล้ว ต้องวุ่นอยู่กับปัญหาครอบครัวและยังต้องหาเงินมากขึ้นไม่งั้นไม่พอผ่อนบ้าน ไม่พอใช้ น่าจะเป็นสาเหตุนี้ที่ทำให้มีอาการแน่นท้องอยู่เสมอ"

 

"ในทางการแพทย์ตะวันตก (แผนปัจจุบัน) การรักษา คือ ให้ยาพวก มิกต์คาร์มิเนตีฟ หรือยาธาตุน้ำแดง ถ้ามีอากากังวลใจ นอนไม่หลับ ก็ให้ยากล่อมประสาท เช่นไดอะซีแพม"

 

"ผมก็กินยาที่ว่ามานาน ไม่เห็นหายเลย ไม่รู้ว่าจะกินไปได้อีกนานเท่าไหร่จึงจะหาย"

"ก็อย่างว่าแหละ ทุกวันนี้เรามักจะเน้นเรื่องการรักษาเป็นหลัก แต่ไม่เคยสนใจที่จะเรียนรู้ป้องกันเลย เพราะการป้องกันนั้นยากกว่าการรักษา"

 

"ผมเห็นด้วยกับทรรศนะของคุณที่เน้นการป้องกันเป็นหลัก แล้วถ้าเผื่อมันเป็นตอนนี้ เราจะแก้ปัญหาเพราะ "หา" อย่างไรดีล่ะ"

"เอาง่ายๆ ก็ใช้วีการกดจุดก็แล้วกัน"

 

จุดที่กด จู๋ซานหลี, เน่ยกวาน

 

007-1_0.jpg

จุดเน่ยกวาน อยู่ห่างจากเส้นข้อมือระหว่างเอ็นทั้งสองโดยห่างจากเส้นข้อมือ 2 นิ้ว (รูปที่ 1)

 

007-2_0.jpg

 

จุดจู๋ซานหลี อยู่ใต้สะบ้าหัวเข่าล่างลงไปประมาณ 3 นิ้วข้างกระดูกหน้าแข้งด้านนอก (รูปที 2)

 

วิธีกด

 

ใช้ หัวแม่มือกด ที่จุดจู๋ซานหลี ทั้งสองข้างประมาณ 3-5 นาที หรือจะใช้จุดเน่ยกวานร่วมด้วยโดยกดข้างละ 3-5 นาที ก็จะช่วยให้ได้ผลดีขึ้น

ถ้าสามารถหาน้ำขิงโดยใช้ขิงแก่สดมาทุบให้แตกแล้วชงน้ำร้อนหรือต้มกิน จะช่วยให้อาการทุเลาลงเร็วขึ้น

 

 

   

 

   

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เอามาฝากครับ วิธีกินก็ง่าย ตัก1ช้อนชาโรยข้าว หอมอร่อยเชียวครับ(ผมโรยพร้อมจมูกข้าวอีก1ช้อนชา) ราคาก็ถูกๆ

 

งาดำ พืชเม็ดเล็ก แต่ให้คุณค่าสูง

ผู้ที่ต้องการให้สุขภาพกาย สุขภาพใจ แข็งแรงอยู่เสมอ ต้องรับประทานงาดำเป็นประจำทุกวัน วันละ 1 - 2 ช้อนกาแฟ เพราะในงาดำมีโปรตีนที่มีกรดอมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย คือ กรดอมิโนเมธิโอนีน ซึ่งกรดอมิโนชนิดนี้มีอยู่ในถั่วเหลืองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้น นักมังสะวิรัติจึงมักผสมงาดำลงในน้ำนมถั่วเหลืองเพื่อให้ได้สารอาหารครบบริบูรณ์ นอกจากนั้น ในงาดำยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัว มีโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ซึ่งช่วยลดคอเรสเตอรอลได้ด้วย ทำให้หลอดเลือดไม่แข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจ สำหรับผู้ที่วิตกกลัวหัวล้าน หรือ มีปัญหาผมร่วง ผมบาง ผมหงอก รากผมไม่แข็งแรง ถ้ารับประทานงาดำเสมอๆ จะช่วยได้มาก เพราะในงาดำมีกรดไขมันไลโนเลอิค (Linoleic acid) ช่วยเรื่องเส้นผมโดยเฉพาะ คนโบราณจึงนิยมนำน้ำมันงาดำมาทำน้ำมันใส่ผม ทำให้ผมดกดำ แม้อายุมากแล้ว หัวก็ไม่ล้าน ผมก็ไม่ร่วงแถมไม่หงอกอีกต่างหาก นอกจากบำรุงเส้นผมแล้ว กรดไขมันไลโนเลอิคยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น ผ่องใส ไร้รอยเหี่ยวย่นด้วย

 

สารอาหารในงาดำมากมายจนน่าทึ่ง

 

ในบรรดาพืชทั้งหลายที่คนรับประทานกันอยู่ทุกวันนี้ งาดำ เป็นพืชที่มีแคลเซี่ยมมากที่สุด สูงที่สุด และถ้าเทียบกับนมวัว งาดำก็มีแคลเซี่ยมมากกว่านมวัวถึง 6 เท่า ด้วยเหตุนี้จึงมีนมบางยี่ห้อ ผสมงาดำไว้ด้วย เพื่อเพิ่มปริมาณแคลเซี่ยมนั่นเอง ผู้ที่รับประทานงาดำเป็นประจำ จึงมีกระดูกและฟันแข็งแรง โรคฟันผุ โรคกระดูกพรุนลืมไปได้เลย นอกจากนั้น งาดำก็ยังมีสารอาหารอื่นๆ อีกมาก ทั้ง เหล็ก แมกนีเซี่ยม สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเซี่ยม ทองแดง ตลอดจนถึงวิตามิน B ชนิดต่างๆ ซึ่งช่วยระบบสายตา ระบบประสาท ทำให้นอนหลับสบาย ตื่นขึ้นมาก็กระฉับกระเฉง และยังมีวิตามิน E ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใสเต่งตึงอยู่เสมอ มีสารต้านโรคมะเร็ง และล่าสุดมีรายงานว่า ผู้ที่รับประทานวิตามิน E สม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ด้วย ดังนั้น ในงาดำก็มีวิตามิน E มาก จึงเหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน หรือ ผู้ที่ยังไม่เป็นแต่กลัวว่าจะเป็นโรคเบาหวานก็ควรรับประทานงาดำเพื่อป้องกันโรคดังกล่าว

 

จมูกข้าวและรำข้าวที่ถูกขัดสีทิ้ง เป็นส่วนที่มีสารอาหารต่างๆ มากมาย หากรับประทานสม่ำเสมอ จะให้ประโยชน์กับร่างกาย ดังนี้

 

1. ลดคอเลสเตอรอล และ ไตรกรีเซอร์ไรด์

 

สารแกมม่า-ออไรซานอล ทำหน้าที่เพิ่มระดับไขมันชนิดดี (HDL) ให้แก่ร่างกาย ซึ่งไขมันชนิดนี้จะไปช่วยขจัดคอเลสเตอรอล (LDL) รวมทั้งไตรกรีเซอร์ไรด์ (Triglycerides) จากหลอดเลือดและส่วนต่างๆ ของร่างกาย นอกจากนั้น น้ำมันจมูกข้าวรำข้าว ยังประกอบด้วยวิตามินอีกลุ่มโทโคโตรอินอล ไฟโตสเตอรอล และกรดไขมันโอเมก้า 3-6-9 ซึ่งมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล และ ไตรกรีเซอร์ไรด์ ได้ด้วย

 

2. ป้องกันโรคหัวใจและโรคที่เกิดจากหลอดเลือดตีบตัน

 

โรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคชาตามประสาทส่วนปลาย รวมทั้งโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ล้วนมีสาเหตุมาจากการที่หลอดเลือดอุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่ายกายไม่ทั่วถึง จึงเป็นเหตุให้เกิดโรคดังกล่าว สารอาหารต่างๆ ในน้ำมันจมูกข้าวรำข้าว ช่วยขจัดไขมันในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดสะอาด ปลอดโปร่งอยู่เสมอ เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ทั่วร่างกาย โรคร้ายดังกล่าวข้างต้นก็ไม่เกิดขึ้น

 

3. บำรุงสมอง บำรุงระบบประสาท

 

กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยบำรุงสมอง บำรุงเซลล์ในระบบประสาท ทำให้สมองดีอยู่เสมอ เด็กที่รับประทานน้ำมันจมูกข้าวรำข้าว จึงมีความจำดี ส่วนผู้สูงวัยหากได้รับประทานน้ำมันจมูกข้าวรำข้าว อยู่เสมอ ก็จะปลอดภัยจากโรคสมองเสื่อม ขณะที่โอเมก้า 6 และวิตามินบีคอมเพล็กซ์ เป็นส่วนประกอบของเซลล์ผิวหนัง และ เซลล์ในอวัยวะสืบพันธุ์ ช่วยให้ผิวหนังและระบบสืบพันธุ์ดีขึ้น

 

4. ป้องกันโรคมะเร็ง

 

โรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกอย่างไม่มีที่มาที่ไปในศตวรรษที่ผ่านมาและศตวรรษนี้ คือโรคมะเร็ง แต่น่ายินดีที่ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ พบว่า หากได้รับสารอาหารที่มีอยู่ในน้ำมันจมูกข้าวรำข้าว เข้มข้นถึง 5% ของกระแสเลือดในร่างกาย จะช่วยให้รอดพ้นจากการเป็นโรคมะเร็ง แม้ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งแล้ว ก็ช่วยได้ถึง 62% เนื่องจากในน้ำมันจมูกข้าวรำข้าว มีสารอาหารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ว่ากันว่า สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันจมูกข้าวรำข้าว มีมากกว่าในพืชทุกชนิดเท่าที่มีการค้นพบในเวลานี้

 

5. บำรุงผิวพรรณให้ผ่องใส และ ชะลอความแก่

 

น้ำมันจมูกข้าวรำข้าว มีวิตามินอีจำนวนมาก รวมทั้งวิตามินบีคอมเพล็กซ์ โอเมก้า 6 และเซลาไมซ์(Ceramide) ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกแล้วว่า สารอาหารดังกล่าว มีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง เปล่งปลั่ง ผ่องใสมีน้ำมีนวลอยู่เสมอ ทำให้แก่ช้า หรือ ชะลอความแก่ ที่มีรอยเหี่ยวย่นเกิดขึ้นแล้ว ก็ทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นหายไป

 

6. ควบคุมความสมดุลของระดับฮอร์โมนในร่างกาย

 

ร่างกายคนเราจะผลิตฮอร์โมนชนิดต่างๆ ออกมาเสมอ เพื่อให้การทำงานของอวัยวะต่างๆ ดำเนินไปได้อย่างปกติ หากร่างกายขาดฮอร์โมนชนิดใดชนิดหนึ่งก็จะเกิดโรคร้ายขึ้น เช่น ความผิดปกติเกี่ยวกับฮอร์โมนอินซูลิน ก็จะเป็นผลให้เกิดโรคเบาหวาน หรือ ความผิดปกติเกี่ยวกับฮอร์เอสโตรเจนในสตรี ก็จะเกิดอาการวัยทองและระบบประจำเดือน เป็นต้น จากการศึกษาวิจัย พบว่า สารอาหารหลายชนิดในน้ำมันจมูกข้าวรำข้าว ช่วยให้ร่างกายสามารถผลิตฮอร์โมนได้อย่างสม่ำเสมอและเกิดความสมดุล จึงทำให้ร่างกายแข็งแรงตลอดไป

 

7. ป้องกันโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศทั้งชายและหญิง

 

อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เกิดขึ้นได้กับทั้งชายและหญิง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของสังคม เพราะหากคู่สามีภรรยาอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุข หรือขาดความสมดุลทางเพศ ก็จะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย เช่น การหย่าร้าง การคบชู้สู่ชายหรือหญิง การประพฤติผิดต่อคู่ครอง การเที่ยวเตร่นอกบ้าน เป็นต้น สำหรับชายหญิงที่ได้รับสารอาหารต่างๆ ในน้ำมันจมูกข้าวรำข้าวเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ อีกทั้งสารเมลาโทนิน(Melatonin) ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายด้วย ก็จะทำให้รอดพ้นจากโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้ตลอดไป

 

8. บำรุงดวงตา สายตา ให้แจ่มใส ใช้งานได้ดีอยู่เสมอ

 

ดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญ หากขาดการบำรุง ก็จะทำให้ดวงตาเกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น น้ำเลี้ยงตาแห้ง ทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ดวงตา หรือ เป็นต้อชนิดต่างๆ เป็นต้น สารอาหารที่อยู่ในน้ำมันจมูกข้าวรำข้าว เช่น วิตามินเอ วิตามินบีคอมเพล็กซ์ เบต้าแคโรทีน ล้วนมีส่วนช่วยให้ดวงตาแจ่มใสและใช้งานได้ดีอยู่เสมอ

 

9. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

 

ในน้ำมันจมูกข้าวรำข้าว มีสารอาหารต่างๆ มากมาย ทั้งโปรตีน(จากพืช) ไขมันชนิดดีที่ร่างกายต้องการ(HDL) วิตามินต่างๆ ทั้งวิตามินเอ บีรวม อี ดี เค แร่ธาตุสำคัญๆ ที่ร่างกายต้องการก็มีอยู่ในน้ำมันจมูกข้าว เช่น แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส โปตัสเซี่ยม เซเลเนี่ยม โครเมี่ยม สังกะสี แมงกานีส นอกจากนั้น ยังมีเลซิติน ไลโซเลซิติน เซฟฟาลีน เบต้าแคโรทีน ซึ่งทั้งหลายทั้งปวง ล้วนทำให้สุขภาพแข็งแรง จึงทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่ดี ไม่เจ็บไม่ป่วย แม้ผู้ที่มีอาการป่วยแล้ว หากได้รับสารอาหารดังกล่าวอย่างเพียงพอและสมดุล ก็จะหายป่วยได้ ล่าสุด นายแพทย์บาร์รี่แห่งมหาวิทยาลัยไมอามี่ สหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิจัยผู้ป่วยเอดส์ โดยให้ทานเซเลเนี่ยมเป็นประจำ ปรากฎว่า ได้ผลดี ทำให้ภูมิคุ้มกัน (CD4) เพิ่มมากขึ้น ขณะที่เชื้อ HIV ลดลง ดังนั้น ผู้ที่ร่างกายปกติควรรับประทานน้ำมันจมูกข้าว เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงตลอดไป ส่วนผู้ที่ป่วยแล้ว ก็ควรรับประทานน้ำมันจมูกข้าว เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหาร ซึ่งจะทำให้หายป่วยอย่างรวดเร็ว

 

10. หลับสนิท จิตใจเบิกบาน

 

ยอมรับกันแล้วว่า การพักผ่อนด้วยการนอนหลับ คือ การพักผ่อนที่ดีที่สุด สารอาหารเมลาโทนิน ในน้ำมันจมูกข้าวรำข้าว จะทำให้นอนหลับสนิท หลับลึก ทำให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ เมื่อตื่นก็สดชื่นเบิกบาน จิตใจก็แจ่มใส ไม่เครียด ทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างมีความสุข

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ท้องอืด.... อาหารไม่ย่อย (ตอนที่ 1)

ศ.พญ.ศศิประภา บุญญพิสิฎฐ์

อายุรแพทย์ระบบทางเดินอาหาร

 

         สังเกตไหมคะว่า   น้อยคนนักที่จะไม่เคยมีอาการท้องอืดเลย  โดยเฉพาะคนในเมืองหลวง  แทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ที่มีอาการนี้กันทุกครัวเรือน  

 

 

        ผู้ที่มีอาการท้องอืด  จะรู้สึกปวดท้องส่วนบน  ทำให้แน่นท้อง มีลมในท้อง ต้องเรอบ่อยๆ บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อิ่มเร็ว หรืออาจมีอาการแน่นท้อง แม้กินอาหารเพียงเล็กน้อย และแสบบริเวณหน้าอก

 

         สาเหตุนั้น เกิดจากหลายอย่างด้วยกัน  ตั้งแต่

         

         1. โรคในระบบทางเดินอาหารเอง ได้แก่ โรคแผลในกระเพาะอาหาร  กระเพาะอาหารอักเสบ  มะเร็งกระเพาะอาหาร พยาธิในทางเดินอาหาร  อาการแสบบริเวณหน้าอก  ซึ่งอาจจะเป็นอาการของโรคกรดไหลย้อนได้

         2. โรคที่เกิดจากสิ่งภายนอก ได้แก่

            • ยาต่าง ๆ  ที่กิน  ยาหลายชนิดจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบ ได้แก่ ยาแก้ปวดข้อทั้งหลาย

            • ยาบางชนิด จะทำให้กระเพาะและลำไส้บีบตัวน้อยลง เช่น ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท ยาปฏิชีวนะบางอย่าง  

            • เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม เช่น สุรา  เบียร์  หรือน้ำชา  กาแฟ จะทำให้กระเพาะอาหาร

              อักเสบ รวมทั้งการระคายเคืองจากบุหรี่

         • ตลอดจนอาหารที่ย่อยยากหลายอย่าง รวมทั้งอาหารที่มีกากมาก ๆ  อาหารรสจัด อาหารหมักดอง        

         3. โรคของทางเดินน้ำดี เช่น นิ่วในถุงน้ำดี

         4.  โรคของตับอ่อน

         5.  โรคทางร่างกายอย่างอื่น ๆ เช่น เบาหวาน   โรคต่อมไทรอยด์  

         6. พฤติกรรมในการกิน ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการท้องอืด  โดยเฉพาะอาหารรสจัด จะทำให้เยื่อบุอาหารอักเสบ การกินอาหารรีบร้อน เคี้ยวไม่ละเอียด หรือกินครั้งละมากๆ  รวมทั้งกินอาหารที่ย่อยยาก  อาหารมัน

 

 

         สำหรับผู้ที่ชอบกินผัก  แม้จะมีเส้นใยมาก  ถ้ากินมากไปอาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืดขึ้นได้  เนื่องจากร่างกายเราไม่มีน้ำย่อยเส้นใยเหล่านี้  ต้องอาศัยแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่เป็นตัวช่วยย่อยสลาย   อย่างไรก็ตามอาหารประเภทผักก็มีประโยชน์  เพราะทำให้การขับถ่ายสะดวก

 

 

         เช่นเดียวกับอาหารประเภทนมนั้น ในคนแถบเอเชียจะไม่มีน้ำย่อยที่ย่อยนม  หรือถ้ามีก็มีปริมาณน้อย เมื่อกินนมเข้าไปมาก  อาจทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือท้องเสีย   ควรงดหรือค่อย ๆ  ดื่มนมทีละน้อย เพื่อให้ร่างกายปรับตัวจนดื่มนมได้ในปริมาณที่ต้องการ แต่หากดื่มนมเปรี้ยว   จะไม่มีอาการ  เนื่องจากในนมเปรี้ยวจะมีการย่อยนมไปเป็นบางส่วนแล้ว

 

 

         ท้องอืดบ่อย ๆ  ผิดปกติหรือไม่

         

         อาการท้องอืด  ถ้านาน ๆ  เป็นครั้งคราว  จะไม่เป็นไร  แต่ปัญหาที่พบบ่อยในคนที่ท้องอืด  คือ  โรคกระเพาะ อาจเป็นแผลในกระเพาะอาหาร หรือกระเพาะอาหารอักเสบ บางคนอาจเป็นโรคของทางเดินน้ำดี เช่น  นิ่วในถุงน้ำดี หรือจากอาหารที่เรากินเข้าไป    แต่ถ้าเป็นบ่อย  โดยเฉพาะผู้สูงอายุ  มักจะเป็นสัญญาณเตือนถึงอาการนำอย่างหนึ่งของมะเร็งในช่องท้อง  ร่วมด้วยอาการอื่น ๆ  เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด ซีด  ซึ่งควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัด

 

 

        แก้ไขเบื้องต้น

         

        การแก้ไขเบื้องต้น อาจใช้ยาสามัญประจำบ้าน ได้แก่ ยาขับลม หรือ ยาธาตุน้ำแดง ลองกินดูก่อน และปรับอาหารโดยกินอาหารอ่อนๆ  ย่อยง่ายแต่พอควร  ถ้ายังไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์

ส่วนการกินยาช่วยย่อย  อาจช่วยลดอาการท้องอืดได้บ้าง แต่ถ้าต้องกินทุกวัน คงจะไม่ถูกต้อง เพราะเราไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการท้องอืด ซึ่งอาจจะทำให้โรคเป็นมากขึ้นได้

 

 

         เมื่อใดควรไปพบแพทย์

       

              ผู้ที่มีอาการดังนี้  ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจค้นหาสาเหตุที่แท้จริง และทำการรักษา

              1. ในผู้สูงอายุ  เช่น อายุเกิน 40 ปี เพิ่งจะเริ่มมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ

เนื่องจาก พบว่ามะเร็งของกระเพาะอาหาร หรือตับมักจะพบในคนอายุเกินกว่า 40 ปี

               2. ในคนที่มีอาการท้องอืดร่วมกับมีน้ำหนักลด

               3. มีอาการซีด ถ่ายอุจจาระดำ

               4. มีอาเจียนติดต่อกัน หรือกลืนอาหารไม่ได้

               5. ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือมีก้อนในท้อง

               6. ปวดท้องมาก

               7. ท้องอืดแน่นท้องมาก

               8. การขับถ่ายอุจจาระเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็น เช่น อาการท้องผูกมากขึ้น  จนต้องกินยาระบายหรืออาการท้องผูกสลับท้องเดิน  เป็นต้น

         การรักษา

         

          ถ้าในคนอายุน้อยไม่ได้มีข้อบ่งชี้ว่าเป็นโรคที่อันตราย   แพทย์อาจให้ยามากิน และแนะนำวิธีปฏิบัติตัว   ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกิน   และนัดมาพบเพื่อดูอาการ    ถ้าไม่ดีขึ้น แพทย์อาจดำเนินการสืบค้นหาสาเหตุ ที่แท้จริงต่อไป

 

        เรื่องเล็กที่ไม่เล็ก หากละเลย  สุขภาพดีเกิดขึ้นได้ถ้าคุณใส่ใจ

 

                                      (-ต่อ-ตอนที่ 2)

 

 

http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=690      

 

http://www.thaigold.info/forum/index.php?topic=4633.60(-ต่อ-ตอนที่ 2)  

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณแม่ของซี ก็ชอบทานข้าวโรยงาดำค่ะ :blush: ส่วนตัวเองจะทานกาแฟใส่งาดำ :lol:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Economy class syndrome โรคฮิตของนักเดินทางไกล

 

บทความโดย  :   ผศ.นพ.วีรศักดิ์ เมืองไพศาล ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม

     

   

               

 

          มีข่าวพาดหัวการเสียชีวิตจากลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดที่ปอด สำหรับผู้โดยสารชั้นประหยัดบนเครื่องบิน ซึ่งเรียกโรคนี้ว่า Economy class syndrome จริงๆ ชื่อโรคนี้อาจตั้งไม่เหมาะนัก เนื่องจากภาวะนี้สามารถเกิดในผู้ที่โดยสารชั้นหนึ่งหรือชั้นธุรกิจได้ด้วย และยังเกิดในผู้ที่เดินทางโดยยานพาหนะอื่นๆ ที่ต้องนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน ดังนั้น ชื่อเรียกที่เหมาะสมน่าจะเป็น “โรคลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดในนักเดินทาง” (travelers thrombosis) เข้าใจที่มา

     

          การที่มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นในหลอดเลือดดำที่ขา เกิดจากการที่ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายเป็นเวลานาน ร่างกายขาดสารน้ำ ใช้ยานอนหลับ ดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ ความชื้นในห้องโดยสารต่ำ ขาดออกซิเจนและความดันในห้องโดยสารต่ำ โดยความเสี่ยงมักเกิดเมื่อเดินทางเกิน 4 - 6 ชั่วโมง หรือระยะทางไกลกว่า 5,000 กิโลเมตร จนกระทั่งลิ่มเลือดนั้นหลุดจากหลอดเลือดดำไปอุดหลอดเลือดที่ปอด เกิดอาการเหนื่อยอย่างเฉียบพลัน และอาจเสียชีวิตในที่สุด

     

      อีกภาวะหนึ่งที่อาจเกิดร่วมด้วย คือ travelers stroke พบว่า ร้อยละ 6 ของผู้ป่วยที่มีภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดที่ปอด อาจหลุดไปถึงหลอดเลือดแดงในสมองด้วย โดยผ่านทางช่องเปิดที่ผนังกั้นห้องหัวใจ (persistent foramen ovale หรือ PFO) ซึ่งโดยทั่วไปผนังนี้จะปิดตั้งแต่วัยทารกแรกเกิด แต่ร้อยละ 17-27 ของคนทั่วไปกลับไม่ปิด ทำให้ลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำเล็ดลอดไปห้องหัวใจด้านซ้ายโดยไม่ผ่านปอดและ หลุดไปอุดหลอดเลือดแดงในสมอง ส่งผลให้เกิดอัมพฤกษ์ได้ เช่น มีอาการใบหน้าเบี้ยว พูดลิ้นแข็ง หรือเสียภาษาพูด แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก เป็นต้น

     

          ส่วนคำถามที่หลายคนสงสัยว่า กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นและพบบ่อยแค่ไหน มีรายงานการศึกษา พบว่า ร้อยละ 4.5-10 มีผู้โดยสารเที่ยวบินระยะยาวที่ไม่มีอาการเกิดโรคลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือด ดำ และร้อยละ 0.39 ต่อผู้โดยสารหนึ่งล้านคน จะเกิดโรคลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดที่ปอด ซึ่งการเดินทางจะเพิ่มความเสี่ยงโดยเฉลี่ยเกือบ 3 เท่า และจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 ในแต่ละช่วงการเดินทางที่นานกว่า 2 ชั่วโมง โรคนี้พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า และมักพบในวัย 50 ปี ขึ้นไป ซึ่งระยะเวลาเดินทางโดยเฉลี่ย 10 ชั่วโมง หรือบินไกล 9,000 กิโลเมตร

           

               

                         

          ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดโรคนี้มีหลายประการ ตั้งแต่ภาวะอ้วน, มีภาวะการแข็งตัวของเลือดง่ายกว่าปกติ, เพิ่งได้รับการผ่าตัดใหญ่หรือผ่าตัดกระดูกชิ้นยาวๆ ภายใน 2 สัปดาห์,มีประวัติเป็นลิ่มเลือดดำอุดตันมาก่อน, การไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดดำไม่ดี เช่น มีเส้นเลือดขอด, มีประวัติเป็นเนื้องอกภายใน 2 ปี, รับประทานยาคุมกำเนิด, มีภาวะบางอย่างที่จำกัดการเคลื่อนไหว รวมถึงวัยก็มีส่วนคือผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นเช่นกัน

     

     ป้องกันก่อนสาย

   

      อย่างไรก็ตาม โรคนี้อาจป้องกันได้ด้วยการปฏิบัติดังนี้

     

            1. หลีกเลี่ยงการนั่งไขว้ขา หรือการนั่งงอสะโพกและเข่าอย่างมากเป็นเวลาติดต่อกันนานๆ

     

           2. ออกกำลังกายบริหารขาทั้งสองข้าง ลุกยืนและเดินบ่อยๆ

     

           3. ดื่มน้ำให้มาก หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ

     

           4. หลีกเลี่ยงการรับประทานยานอนหลับ

     

           5. ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดสูง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาเพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันไว้ก่อนเดินทาง นอกจากนั้น

 

มีการศึกษาในผู้ที่แข็งแรงดีพบว่าการใช้ถุงเท้าที่ใช้พันรอบขา สามารถลดโอกาสการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน โดยถุงเท้าจะออกแรงบีบกล้ามเนื้อขาเพื่อช่วยไล่เลือด

 

จากขากลับไปยังหัวใจ

     

      ใครที่เข้าข่ายนี้ ทำเถอะครับ ผลดีจะเกิดกับสุขภาพคุณเอง

     

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000008576

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ชอบนอนดึก-นอนไม่หลับ ทำลายสุขภาพระยะยาว

 

250121x9f4ez5xgq.gif

 

 

นายสมศักดิ์ตื่นแต่เช้าไปทำงาน ด้วยสภาพร่างกายอิดโรย ต้องติดตามดูฟุตบอลโลกนัดสำคัญติดต่อกันหลายคืนกับเพื่อนๆ ท่ามกลางกับแกล้มและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตลอดคืน เวลาเข้านอนก็รู้สึกหลับไม่สนิท เพราะตื่นเต้นจากเหตุการณ์ในเกมกีฬาทำให้นำเอากลับไปฝันต่อ

 

เด็กหญิงณิชา ชอบท่องอินเทอร์เน็ตติดต่อสื่อสารกับเพื่อนๆ เป็นชีวิตจิตใจ มักใช้เวลาตอนดึกๆ เพลิดเพลินจนติดลม กว่าจะได้นอนก็ตี ๑ ตี ๒ เข้าไปแล้ว นางอารี อาชีพพยาบาล ทำงานเข้าเวรดึกบ้าง เวรเช้าบ้าง เช่นเดียวกับนางสาวสมสกุล อาชีพแอร์โฮสเตส บริการผู้โดยสารสายการบินต่างประเทศ เวลาการนอนพักผ่อนไม่แน่นอนเหมือนคนทั่วไป หลังจากทำงานมา  ๕ ปี รู้สึกว่าตัวเองแก่ไปมาก สุขภาพระยะหลังก็ไม่ค่อยจะดี คนที่นอนไม่หลับ นอนไม่พอ นอนแล้วฝันบ่อยๆ (หลับไม่สนิท) นอนแล้วผวาตกใจตื่นกลางดึก เมื่อตื่นกลางดึกแล้วหลับต่อยาก คนที่นอนผิดเวลา เช่น นอนกลางวัน ทำงานกลางคืน จะมีความรู้สึกอ่อนเพลีย นอนไม่อิ่ม ต้องการพักมากกว่าคนทั่วไปคนที่นอนกลางคืนทำงานกลางวัน ที่กล่าวมาข้างต้นนี้จัดเป็นประเภทนอนไม่หลับ นอนไม่พอ นอนหลับไม่สนิท สรุปแล้วมีผลต่อสุขภาพเหมือนกัน

     

ทัศนะแพทย์แผนจีน ต่อการนอนหลับ

 

เวลากลางวัน เป็นหยาง ระบบประสาทส่วนกลาง จะถูกกระตุ้นให้มีความตื่นตัว หลังเที่ยงวัน พลังหยางของธรรมชาติจะค่อยๆ ลดลงจนถึงเที่ยงคืน ภาวะความตื่นตัวของระบบประสาทส่วนกลางค่อยๆ อ่อนล้าหรือลดลง การทำงานของคนเราควรจะต้องให้สอดคล้องกับสภาพธรรมชาติ และสภาพของ "นาฬิกาชีวิต" ของร่างกาย

เวลากลางคืน เป็นยิน ระบบประสาทส่วนกลางควรอยู่ในสภาพสงบและพัก เพื่อขจัดความเมื่อยล้าจากการทำงาน การเคลื่อนไหวของร่างกาย จิตใจ ตลอดวันที่ผ่านมา

การนอนหลับจึงเป็นวิธีการพักผ่อนตามธรรมชาติที่ดีที่ สุด ถ้าการนอนหลับเพียงพอ หลับสนิท และเป็นการหลับตอนกลางคืนในช่วงเวลาที่เหมาะสมก็จะทำให้ร่างกายมีการฟื้นตัว ได้ดีที่สุด เมื่อตื่นนอนตอนเช้าก็จะมีความสดชื่น มีสภาพร่างกาย สภาพของสมองที่พร้อมจะทำงานให้เกิดประสิทธิภาพดีที่สุด ปัญหาจะเกิดขึ้นมากมาย เมื่อร่างกายและสมอง ไม่สามารถพักผ่อน และฟื้นฟูสภาพได้จากภาวะการนอนไม่หลับ หลับไม่สนิท หรือหลับไม่พอ

 

ร่างกายคนเรามีระบบการทำงานของร่างกายที่มีกฎเกณฑ์ เพื่อดำรงไว้ซึ่งระบบสมดุล กฎเกณฑ์เหล่านี้เปรียบเสมือน "นาฬิกาชีวิต" การเคลื่อนไหวของมันเป็นไปตามวิถีการหมุนรอบตัวเองของโลก การเข้าใจกฎเกณฑ์ของ "นาฬิกาชีวิต" เป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของ ธรรมชาติรอบตัว นำมาซึ่งสุขภาพที่ดี อายุยืนยาว การปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ

 

ตัวอย่างกฎเกณฑ์ทางสรีระของร่างกาย เช่น

 

ความดันของหัวใจ ประมาณ ๗๒ ครั้ง/นาที

 

การหายใจ ประมาณ ๑๖ ครั้ง/นาที

 

อุณหภูมิของร่างกาย ช่วงเช้าต่ำกว่าช่วงค่ำ

 

ความดันเลือด ช่วงกลางวันสูงกว่ากลางคืน

 

รอบของประจำเดือนประมาณ ๒๘ วัน

 

การนอนไม่หลับ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับระยะยาวจะมีผลกระทบต่อกฎเกณฑ์ธรรมชาติของร่างกาย หรือสัญญาณชีวิต (vital sign)

 

สาเหตุของการนอนไม่หลับ

 

สาเหตุของการนอนไม่หลับ แพทย์แผนจีนมองว่า เกิดจากหลายสาเหตุ

 

๑. ใช้ความคิดมาก ทำลายหัวใจ (สมอง ประสาท) และระบบม้าม (การย่อย)

 

๒. ความผิดปกติของไต (หัวใจและไตไม่สัมพันธ์ประสานกัน)

 

๓. ร่างกายอ่อนแอ ตกใจง่าย พบเหตุการณ์ภายนอกมากระทบ จะทำให้จิตใจตื่นตระหนก นอนไม่หลับ

 

๔. ใช้ยาบำรุงพลังหรือยากระตุ้นพลังอย่างไม่เหมาะสม เช่น เขากวางอ่อน หมาหวง ยากระตุ้นหยางของร่างกาย

 

ข้อแนะนำเพื่อการนอนหลับที่ดี

 

การนอนหลับที่ดี ควรปฏิบัติตัวอย่างไร

 

๑. ตื่น นอนแต่เช้า หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เคลื่อนไหว ออกกำลังกายประมาณ ๒๐ นาที เพื่อกระตุ้น "นาฬิกาชีวิต"  (รับพลังหยาง) เพื่ออุ่นร่างกาย ระบบประสาท ในการทำงานของวันใหม่

 

๒. การกินอาหารเช้าและกลางวันไม่ควรอิ่มเกินไป เพราะจะทำให้ง่วงนอนตอนกลางวัน (โดยเฉพาะคนที่ชอบหลับกลางวันบ่อยๆ แล้วกลางคืนไม่หลับ) การที่มีความหิวเล็กน้อย ช่วยกระตุ้นไม่ให้หลับกลางวัน

 

๓. ก่อนนอน ๒ ชั่วโมง ถ้าเป็นคนหลับยาก อาจออกกำลังกายเบาๆ สัก ๑๕-๓๐ นาที จะทำให้การนอนหลับดีขึ้น

 

๔. การ นอนหลับ ต้องตั้งใจนอนจริงๆ นอนให้พอ ไม่ใช่สักแต่ได้นอน เช่น นอนเปิดไฟ เปิดโทรทัศน์ ทำให้รบกวนการนอน และถูกกระตุ้นตลอดเวลาระหว่างนอนหลับ

 

๕. ฝึก เคล็ดลับการผ่อนคลายก่อนการนอนหลับ ให้นอนหงาย ผ่อนคลายทั่วร่างกาย มือทั้ง ๒ ข้าง วางใต้สะดือ ลิ้นแตะเพดานบน เมื่อมีน้ำลายเกิดขึ้นในปากให้ค่อยๆ

 

กลืนลงไปช้าๆ เวลาที่สำคัญที่สุดที่ต้องหลับสนิทคือ ๐๑.๓๐-๐๒.๓๐ น. (จึงควรเข้านอนก่อน ๕ ทุ่ม) เพราะระดับฮอร์โมนและอุณหภูมิของร่างกายต่ำสุด ร่างกายมีผ่อน

 

คลายและมีการทำงานน้อยที่สุด

 

๖. ใช้ลูกบอลสุขภาพ (ปัจจุบันมีจำหน่ายเป็นหินกลมขนาดกำมือ) โดยหลักการคือ กระตุ้นเส้นลมปราณ ปอด เยื่อหุ้มหัวใจ และหัวใจ ที่วิ่งผ่านบริเวณฝ่ามือ โดยเฉพาะใจ

 

กลางฝ่ามือ มีจุดฝังเข็ม เรียกว่า เหลากง  บนเส้นลมปราณเยื่อหุ้มหัวใจ เวลาอ่อนเพลีย ระบบประสาทตึงเครียด เวลากระตุ้นจุดนี้จะทำให้มีการปรับระบบสมดุลของสมอง

 

และประสาทได้ กระตุ้นวันละหลายครั้ง ครั้งละ ๒๐-๓๐ นาที มือซ้ายมือขวาทำสลับกัน เวลากำคลายนาทีละประมาณ ๖๐ ครั้ง

 

๗. เท้าแช่น้ำร้อนก่อนนอน เป็นวิธีธรรมชาติและเสริมสุขภาพที่ดี นอกจากเป็นการทำความสะอาดเท้า ควรใช้ฝ่ามือถูนวดบริเวณเท้าไปด้วย เป็นการกระตุ้นเลือดพลังให้ไหล

 

เวียน อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อองค์รวมของร่างกาย เราสามารถส่งสัญญาณการกระตุ้นไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ (Reflexology ) น้ำที่ใช้แช่อยู่ที่ประมาณ ๔๐-๕๐

 

องศาเซลเซียส ความร้อนจะทำให้หลอดเลือดบริเวณเท้าขยายตัว การไหลเวียนเลือดและการขับระบายของเสีย และการได้รับอาหารของเนื้อเยื่อบริเวณเท้าเร็วขึ้น ช่วยฟื้นฟู

 

และขจัดความอ่อนล้าได้ดี การนวดที่บริเวณนิ้วก้อยของเท้าจะช่วยเรื่องของมดลูกและการปัสสาวะกลางคืน (เส้นกระเพาะปัสสาวะ ควรนวดร่วมกับจุดบำรุงไต หย่งฉวน ที่

 

บริเวณอุ้งเท้าทั้ง ๒) การแช่เท้าด้วยน้ำร้อน จะดึงเลือดจากข้างบนมาสู่ข้างล่าง ลดภาวะตึงเครียดของสมอง ทำให้หลับสบาย และไม่ค่อยฝัน

   * คอลัมน์: แพทย์แผนจีน

   * หมวดหมู่: แพทย์ทางเลือก, แพทย์แผนจีน

   * นักเขียนหมอชาวบ้าน: นพ.วิทวัส (ภาสกิจ) วัณนาวิบูล

 

http://www.doctor.or.th/node/1519

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ออกกำลังสมอง..... ต้านอัลไซเมอร์

รศ.พ.ญ.วรพรรณ  เสนาณรงค์

ภาควิชาอายุรศาสตร์

Faculty of Medicine Siriraj Hospital

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

 

            ความกังวลของลูกหลานที่มีต่อคุณตา คุณยาย หรือผู้สูงอายุที่บ้านมักมาจากโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะโรคที่สัมพันธ์กับอายุที่มากขึ้นอย่างอัลไซเมอร์

 

            อัลไซเมอร์ เป็นสาเหตุของอาการสมองเสื่อม (DEMENTIA ) ชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อย ซึ่งเกิดจากสารหลั่งในสมองที่เกี่ยวกับความจำลดลงและมีการตายของเซลล์สมองพบ ว่ามีสารผิดปกติ อมัยลอยด์ในสมองผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ทำให้การทำงานของสมองเสื่อมลงจนกระทั่ง ส่งผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วย ในช่วง 8 -10 ปี หลังจากเริ่มมีอาการและไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจะมีอาการสมองเสื่อมรุนแรง ยิ่งขึ้นจนกระทั่งไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตามปกติแม้กระทั่งการแปรง ฟัน ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักพบในผู้สูงอายุ 65 ปี ขึ้นไป แต่อาจพบในผู้ที่อายุน้อยกว่าก็ได้ซึ่งมักจะมีประวัติสมองเสื่อมใน ครอบครัวด้วย โรคนี้ต่างจากอาการสมองเสื่อมที่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ ตรงที่ยัง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากเพียงแต่ประคับประคองไม่ให้อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว การดูแลรักษาประคับ ประคอง เช่น การบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รักษาโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิต  ไขมันในเลือดสูง และรักษาจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด เข้าร่วมสังคมสม่ำเสมอ

           

             และที่สำคัญคือ ออกกำลังสมอง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้สมองทำงาน ไม่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น

 

การออกกำลังสมอง

           

             การออกกำลังสมอง หรือนิวโรบิกส์ เอ็กเซอร์ไซส์ (Neurobics Exercise) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยไม่ให้สมองเสื่อมเร็วกว่าวัย    ทั้งนี้การออกกำลังสมองเปรียบได้กับการออกกำลังของร่างกายที่จะต้องเคลื่อน ไหวเพื่อใช้กล้ามเนื้อหลายๆ ส่วนให้ทำงานเชื่อมโยงกัน ส่งผลให้ร่างกายเราแข็งแรงขึ้น  ดังนั้น การออกกำลังสมองจึงเป็นเสมือนการฝึกให้สมองส่วนต่างๆ มีการทำงานที่ประสานสัมพันธ์กัน ทำให้ระบบการทำงานของสมองแข็งแรงและมีพลังขึ้น เพราะเมื่อฝึกออกกำลังสมองบ่อยๆ สมองจะมีการหลั่งสารที่เรียกว่านิวโรโทรฟินส์ เปรียบเหมือน “อาหารสมอง” ที่ทำให้เซลล์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ“เดนไดรต์” ที่เชื่อมระหว่างเซลล์ ประสาททำงานดีขึ้น จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เนื้อเซลล์เจริญเติบโตและเซลล์สมองแข็งแรง

 

             เมื่อเซลล์สมองส่วนใหญ่แข็งแรง จะทำให้เกิด “พุทธิปัญญา” อันหมายถึง ความจำ สมาธิ การรับรู้ ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมการแสดงออก รวมไปถึง “การทำงานของสมองระดับสูง” คือ การคิด แก้ปัญหา หรือการตัดสินใจ และการวางแผนที่ดีขึ้น ทำให้การทำงานของสมองยังคงประสิทธิภาพดี แข็งแรง และชะลอความเสื่อม เรียกง่ายๆ ว่า “สมองแข็งแรง” เหมือนการออกกำลังให้ร่างกายนั่นเอง

 

            สำหรับหลักการออกกำลังสมองนั้น สามารถทำโดยส่งเสริมให้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ การได้ยิน การมองเห็น การได้กลิ่น  ลิ้มรส และการสัมผัส ได้ทำงานประสานเชื่อมโยงกับความพึงพอใจ หรือที่เกี่ยวข้องกับ “อารมณ์” (Emotional Sense) ได้ทำงานเชื่อมโยงกัน โดยใช้กิจกรรมในชีวิตประจำวันเดิมของเราเป็นตัว ช่วย เพียงแต่ต้องเปลี่ยนวิธีการไปจากเดิม

 

             ยกตัวอย่างเช่น มีการทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือทั้ง 2 ข้าง ทำงานประสานกัน เช่น การพรวนดิน การเย็บผ้า เนื่องจากพฤติกรรมและการรับรู้ต่างๆ  เกิดจากการทำงานประสานกันระหว่างสมองซีกซ้ายและขวา การใช้มือข้างขวา  สมองด้านซ้ายซึ่งบังคับมือขวาจะได้รับการกระตุ้น ขณะที่สมองด้านขวาบังคับการทำงานมือซ้าย ดังนั้นเมื่อเราฝึกทำกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องใช้ร่างกายซีกซ้ายและขวาทำงานเข้าด้วยกัน ก็เท่ากับช่วยให้สมองทั้งสองซีก ได้รับการกระตุ้นและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย

 

             การออกกำลังสมองนั้น สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าอยู่บ้านสามารถทำกิจกรรมเหล่านี้ที่บ้านได้ เช่น ในขณะฟังเพลงอาจ หลับตา เพื่อจะได้มีสมาธิจดจ่อกับดนตรีได้ดีขึ้น การปั้นตุ๊กตาด้วยดินน้ำมัน หรือประดิษฐ์ดอกไม้จากแป้ง ก็จะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสทางผิวหนังให้ได้รับรู้มากขึ้น

 

             ในระหว่างเดินทางก็ฝึกสมองได้ อย่างเมื่อต้องขับรถไปทำงานทุกวันก็ลอง เปลี่ยนเส้นทางที่ใช้อยู่เดิมบ้าง อาจเป็นเส้นทางใหม่ที่รู้อยู่แล้ว หรือเส้นทางทดลองขับก็ได้ เพราะทั้งวิวทิวทัศน์ กลิ่น และเสียงของเส้นทางใหม่จะช่วยกระตุ้นทั้งสมอง ชั้นนอกและฮิปโปแคมปัส ให้สร้างแผนที่เส้นทางชุดใหม่ขึ้นในสมอง หรืออาจเปลี่ยนวิธีการเดินทางบ้าง เช่น จากที่เคยขับรถก็อาจนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้ามาทำงานแทน ส่วนความเคยชินที่เปิดแอร์ระหว่างขับรถทุกวันก็ลองเปิดกระจกขับรถบ้าง แต่ก็ควรเลือกเส้นทางที่มีอากาศบริสุทธิ์ เพื่อเชื่อมโยงประสาทรับกลิ่นและเสียงภายนอกให้ทำงานประสานกันมากขึ้น

 

             ขณะทำงานก็อาจฝึกสมองไปด้วย เช่น พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานใหม่หรือคนที่ไม่ค่อยคุยด้วย เพื่อเติมข้อมูลใหม่ๆให้กับสมอง ทั้งการจำลักษณะใบหน้า เสียงพูดหรืออุปนิสัยส่วนตัวของเพื่อนร่วมงานคนนั้น หรืออาจจะชวนเพื่อนร่วมงานถกเถียง อภิปรายหรือพูดคุยในประเด็นที่ไม่เคยพูด เพื่อเปิดรับข้อมูลใหม่ๆ น่าดีใจที่คนไทยตื่นตัวกับความผิดปกติที่เกี่ยวกับความจำมากกว่าแต่ก่อน ถือ เป็นเรื่องดีที่ผู้ป่วยหรือญาติจะเอาใจใส่  สังเกตอาการผิดปกติมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการรักษา เพราะหากพบอาการผิดปกติเร็ว ยังไม่ร้ายแรง ก็จะสามารถรักษาได้ผลมากกว่าปล่อยทิ้งไว้นาน

 

         สำหรับ ท่านที่มีผู้สูงอายุในบ้านมีปัญหาความจำเสื่อมหรือความจำบกพร่อง อยากพูดคุยปรึกษา ติดต่อเราได้ที่ คลินิกความจำ ทุกวันพฤหัสบดี  เวลา 13.00 น.  โทร. 0 2419 7101-2 ได้ทุกวันทำการค่ะ

 

http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=718

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณเคยออกกำลังสมองมั้ย?

 

699271cdv95juxma.gif

       

  อีกบทบาทหนึ่งของนักกิจกรรมบำบัดในการใช้กิจกรรมต่างๆ เพื่อกระตุ้นเซลล์สมองให้ออกกำลัง เพราะร่างกายต้องการการออกกำลังเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงฉันใด เหตุใดสมองจึงไม่ต้องการการออกกำลังเพื่อป้องกันสมองฝ่อลีบเล่า          

 

           นักวิจัยพบว่าสมองส่วน Cerebral Cortex ของมนุษย์ สามารถสร้างเครือข่ายประสาท (Nerve Plexus) ซึ่ง เชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทแต่ละเซลล์ แม้ว่ามนุษย์ผู้นั้นจะมีอายุมากขึ้นแต่เครือข่ายเหล่านี้ก็ไม่หยุดเชื่อมต่อ ระหว่างกัน ซึ่งสรุปได้ว่าจำนวนเครือข่ายประสาทเหล่านี้เป็นตัวบ่งบอกว่าคนๆ นั้น จะมีอายุยืนยาวหรือไม่ ซึ่งโดยปกติเครือข่ายประสาทจะถูกสร้างเพิ่มขึ้นด้วยการออกกำลังสมอง

 

           ปัจจุบัน พบว่าถึงแม้เซลล์สมองจะลดลงในผู้สูงอายุ แต่ถ้ามีการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์มากขึ้น เซลล์เหล่านี้จะไปทดแทนและทำหน้าที่แทนเซลล์ที่ตายแล้ว ซึ่งทำให้สมองยังคงมีประสิทธิภาพทั้งๆ ที่อายุมากขึ้น จากงานวิจัยพบว่าคนทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ หรือความจำ จะอายุยืนยาวกว่าคนที่ทำงานโดยไม่ต้องใช้สมอง เช่น งานซักรีดประจำวัน ซึ่งโดยมากใช้ความเคยชินในการทำงาน ดังนั้นเราไม่ควรปล่อยให้สมองอยู่เฉยๆ แต่ควรจะต้องใช้สมองทำงานซึ่งจะทำให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การมีอายุยืนยาวขึ้น หากเราละเลยไม่ใช้สมอง ก็จะทำให้สมองเสื่อมและเหี่ยวแฟบลงในที่สุด

 

           ผู้ สูงอายุส่วนใหญ่จะไม่สามารถจำเหตุการณ์ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นได้ เพราะประสบการณ์ชีวิตของท่านเหล่านั้นสอนให้ท่านจำแต่เรื่องที่จำเป็น โดยสมองจะคัดเรื่องที่ไม่สำคัญทิ้งไปเพื่อให้สมองไม่ทำงานหนักเกินไป ดังนั้นถ้าเราต้องการป้องกันสมองถดถอย เราจะต้องใช้สมองทำงานหลายอย่าง เช่น ถ้าเราเก่งคำนวณ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของสาขาวิทยาศาสตร์ เราควรจะรู้ด้านศิลปะด้วย โดยอาจจะฝึกเล่นดนตรีและวาดภาพ ขณะเดียวกันถ้าเราเป็นนักดนตรี เราควรเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ในด้านวิทยาศาสตร์ การทำเช่นนี้จะช่วยกระตุ้นให้สมองอีกด้านหนึ่งทำงาน เป็นการป้องกันไม่ให้สมองทำงานหนักเกินไปเพียงด้านเดียว ดังนั้นเราควรสนใจหัดเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์บ้างในบางครั้งบางคราว ซึ่งการทำสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อนจะช่วยกระตุ้นเซลล์สมองให้สร้างเครือข่าย ประสาทเพื่อเชื่อมต่อกับเซลล์สมองอื่นๆ ในกระบวนการทำงานหรือการเรียน เป็นอีกกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นให้สมองสร้างเครือข่ายและเชื่อมกับระบบประสาท ซึ่งจะทำให้เราสามารถใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดอาการสมองถดถอยลง ทำให้อายุของเรายืนยาวขึ้นซึ่งช่วยให้เราสนุกกับการทำกิจกรรมในชีวิตต่อไป

เทคนิควิธีการง่ายๆ ที่จะช่วยออกกำลังสมอง มีดังนี้

   

1. พยายามเดินถอยหลังแทนการเดินไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว

2. พยายามนับเลขถอยหลัง เช่น 100, 99, 98 …. แทนการนับแบบปกติ 1, 2, 3 ….

3. ถ้าเคยชินกับการเขียนด้วยมือขวา ก็ลองใช้มือซ้ายหัดเขียน ในทำนองเดียวกันถ้าถนัดซ้าย ก็หัดเขียนมือขวา แล้วจะพบว่าในที่สุดเราสามารถใช้ทั้งมือขวาหรือมือซ้ายเขียนได้

4. ถ้าเป็นพนักงานบัญชีและทำงานกับตัวเลขทั้งวัน ลองพยายามหัดทำงานในเชิงศิลปะ เช่น ทำสร้อยข้อมือหรือสร้อยคอจากหินสีต่างๆ ทำงานเพ็นต์สีลายกระจกหรือขวด หรือหัดทำเค้กรูปแบบและลายต่างๆ

5. ถ้าทำงานสำนักงานและต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์ในห้องเย็นๆ ทั้งวัน หลังเลิกงานควรหากิจกรรมที่จะกระตุ้นร่างกายให้เคลื่อนไหวทำ เช่น ลีลาศหรือเต้นรำในจังหวะต่างๆ ว่ายน้ำ ดำน้ำ หรือ โยคะ เป็นต้น

6. ถ้าทำงานด้านศิลปะอยู่แล้ว ให้หัดเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ เรียนการใช้ลูกคิดแบบญี่ปุ่น หรือ หัดขับรถโกคาร์ท (Go Kart) เป็นต้น

7. ถ้าเป็นนักกีฬาอาชีพ และใช้กำลังทางร่างกายอยู่เสมอ อาจจะต้องพยายามใช้สมองเพื่อการคิด เช่น เล่นเกมส์ปริศนาอักษรไขว้ (Crossword) หรือเรียนภาษาต่างประเทศเพิ่มเติม

 

      นี่เป็นเพียงตัวอย่างเพื่อช่วยให้เกิดความคิดในการออกกำลังสมองทั้ง 2 ด้าน และทำให้มีการสร้างเครือข่ายประสาท (Nerve Plexus) เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายมากขึ้น เท่านี้ก็สามารถป้องกันสมองฝ่อได้โดยไม่ต้องใช้ยา

 

       ความ ลับคือ ถ้าเราทำงานอาชีพด้านใด ให้พยายามทำสิ่งตรงข้ามกับงานอาชีพที่ทำเป็นประจำ เพื่อให้สมองได้รับการกระตุ้นและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้สมองไม่ทำงานด้านเดียวหนักเกินไป

 

       “เริ่มเสียแต่วันนี้ อย่ารอจนคุณแก่เกินแก้ไข”

 

http://www.otat.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=5359526&Ntype=2

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับ :rolleyes: อ่านกว่าจะจบ :lol:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แค่หัดสวดก็แย่แล้วค่ะ  เอาแค่ไหว้พระธรรมดาก็ทำไม่ได้แล้วค่ะ  หามาเพิ่มอีกค่ะ  แต่ยังไม่มีเวลาหาเกี่ยวกับศาสตย์อื่นๆ  แค่นี้รับรองคุณ MOR LEK  แย้งได้ทุกข้อ  ยิ่งข้อหนึ่งด้วยแล้ว  ไม่อยากคิดเลย !53 !53 !54 !_07

 

"10 วิธีออกกำลังสมอง"

 

ณัฐธินันท์ ชาญชยาศีร์

 

-_- :wub:

 

         พอพูดถึงการออกกำลังคนส่วนใหญ่จะนึกถึงการออกกำลังกายเป็นหลัก จนบางครั้งลืมนึกถึงสมองซึ่งเป็นกองบัญชาการใหญ่ไปเลย ทั้งที่จริงสมองก็เหมือนร่างกายส่วนอื่นๆ คือถ้าใช้งานมากๆก็เกิดอาการเมื่อยล้าได้เหมือนกัน แต่ถ้าหากรู้วิธีการออกกำลังกายสมองอยู่เป็นประจำก็สมองก็จะปลอดโปร่ง มีความคิดสร้างสรรค์และฉับไวได้เร็วขึ้น

 

เราจึงแนะนำเกร็ดความรู้ 10 วิธีออกกำลังสมองดังนี้

         

[ 1. หลีกหนีความจำเจ หากทำอะไรซ้ำ ๆ นอกจะทำให้เรารู้สึกเบื่อแล้ว สมองก็เบื่อด้วยเหมือนกัน ลองหาอะไรใหม่ๆทำบ้าง เช่น เต้นรำ เรียนทำอาหาร จะช่วยให้เซลล์ประสาทผ่อนคลายหายเครียดจากงานประจำได้

         

2.   สูดกลิ่นใหม่ ๆ ถ้าจมูกเราได้กลิ่นเดิม ๆ บ่อยเข้า จะทำให้ประสาทส่วนรับกลิ่นชินชาต่อกลิ่นนั้น จนทำให้การรับกลิ่นอื่น ๆ ด้อยคุณภาพลงไปด้วย เราควรเปลี่ยนกลิ่นใหม่ เช่น กลิ่นน้ำหอม กลิ่นกาแฟ เป็นต้น

       

3.  รับรสสัมผัสใหม่ ๆ ขณะอาบน้ำลองเปลี่ยนจากการใช้ฟองน้ำถูตัวมาใช้ใยบวบ หรือใช้แต่มือเปล่า ถูตัวดูบ้าง เพื่อให้ประสาทสัมผัสได้รับสัมผัสทางกายที่แตกต่างกันบ้าง

         

4.  เปลี่ยนความถนัดส่วนตัว ลองเปลี่ยนมาใช้มือข้างที่คุณไม่ถนัดในการทำกิจวัตรส่วนตัวดูบ้าง ไม่ว่าจะหวีผม แปรงฟัน แล้วคุณจะพบว่าการหลีกจากความซ้ำซากจำเจไม่เพียงแต่ทำให้คุณรู้สึกสนุกสนาน แต่ยังทำให้สมองส่วนต่าง ๆ ได้ทำงานอีกด้วย

       

5.  หาทางเดินใหม่ ๆ ลองหาเส้นทางใหม่ ๆ ที่ใช้เดินเล่นไปที่ทำงาน หรือเดินกลับบ้านเพื่อสมองจะได้คิดหาเส้นทางและคุณจะได้พบสิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาอีกด้วย

       

6.  ปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม จัดบ้าน จัดสวน เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ เปลี่ยนรูปหรือนาฬิกาแขวนหรือออกไปพบปะผู้คนใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สมองด้านซ้ายซึ่งทำงานด้านความคิดสร้างสรรค์มีการพัฒนาที่ดีขึ้น

       

7.   เสริมความทรงจำด้วยกลิ่น ขณะพูดโทรศัพท์ หรืออ่านหนังสือ ลองสูดดมน้ำมันหอมระเหยไปด้วย เช่น กลิ่นมิ้นต์ หรือกลิ่นมะนาว จะช่วยกระตุ้นให้ความจำในรายละเอียดดียิ่งขึ้น

       

8.   ลองรับประทานอาหารรสชาติแปลกใหม่ทุกวัน เพื่อให้ประสาทรับรสทำงานได้ดีขึ้นรวมไปถึงบรรยากาศการตกแต่งที่แตกต่างจะทำ ให้สมองของคุณรู้สึกเหมือนได้ท่องเที่ยวไปในที่แปลกใหม่ด้วย

       

 9.  ปิดประสาทรับเสียง ลองใช้ที่อุดหูฝึกใช้แต่ตาและจมูกดูสักพัก จะเป็นการพัฒนาประสาทในการมองเห็นและการดมกลิ่นได้เป็นอย่างดี

       

10.  เติมความรู้สึกดี ๆ ให้กับคนรอบข้างอยู่เสมอ เพราะนอกจากจะช่วยเสริมสายใยความสัมพันธ์ให้แนบแน่นขึ้นแล้ว ความรู้สึกด้านบวกยังช่วยพัฒนาสมอง และอารมณ์ให้ดีขึ้นอีกด้วย

       

รู้วิธีออกกำลังกายสมองแล้วอย่าลืมรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อเสริมสร้างสมองให้พัฒนาความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ด้วย

แหล่งข้อมูล : http://www.geocities.com/care_h18/ch2.html

http://www.uniserv.buu.ac.th/forum2/topic.asp?TOPIC_ID=2858

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...