ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

moddang

ขาใหญ่
  • จำนวนเนื้อหา

    5,270
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

  • วันที่ชนะ

    48

โพสต์ ถูกโพสต์โดย moddang


  1. ปรากฏการณ์ ธรรมชาติ เมฆจานบิน

    :o :huh: :wub:

     

    Lenticular เป็นภาษาลาติน มีความหมายว่า รูปทรง เลนส์ (Lens - Shaped ) เมฆรูปทรงเลนส์ ( Lenticular cloud )

     

    เป็น ปรากฏการณ์ธรรมชาติแสนประหลาดและสวยงาม มันช่างดูคล้ายจานบินไม่มีผิด

     

    และหาก ปรากฏเมฆรูปทรงเลนส์ขึ้นในสมัยก่อน รูปภาพวัตถุบินลึกลับที่มีการจารึกไว้ก็อาจเป็นปรากฏการณ์นี้ก็เป็นไปได้

     

    image011.jpg

     

     

    สาเหตุของการเกิด เมฆจานบิน :o

     

    เมื่ออากาศชื้นอิ่มตัวพัดผ่านยอดเขา สูง หรือบริเวณภูเขา จะทำให้เกิดการไหลของกระแสอากาศชื้น

     

    แบบลูกคลื่นขนาดใหญ่ หลายระลอกขึ้น เมื่ออากาศชื้นถูกพัดไหลขึ้นสูงขึ้นเรื่อยตามระลอกคลื่น

     

    อุณหภูมิจะค่อยลดลง เรื่อยจนถึงจุดที่ทำให้อากาศชื้นเริ่มกลั่นตัว ทำให้เกิดปรากฏการณ์เมฆจานบิน

     

    เมื่อเมฆไหลลงมาต่ำ เรื่อยๆ อุณหภูมิจะสูงขึ้น เมฆจะ ค่อยๆ ระเหยกลับไปอยู่ในสภาพของอากาศชื้นอีกครั้ง

     

    รูปทฤษฎีการเกิดปรากฏการณ์เมฆจานบิน โดยความสูงที่จะเกิดปรากฏการณ์นี้จะอยู่ที่ระหว่าง 6,000 - 12,000 เมตร

     

     

    image012.jpg

     

    image013.jpg

     

     

     

    ปรากฏการณ์ ธรรมชาติ เมฆสวยที่สุดในโลก

     

     

     

    Mammatus Clouds เมฆแมมมะทูส หรือเมฆตะปุ่มตะปํ่า (Bumpy clouds)

     

    เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่จะ ทำให้เมฆเกิดเป็นเซล เป็นปุ่มเล็กปุ่มน้อย คล้ายถุงห้อยลงมาจากท้องฟ้า

     

    โดยคำว่า "mammatus" มาจากภาษาลาติน mamma แปลว่าเต้านม ซี่งมาจากการที่ก้อนเมฆมีลักษณะคล้ายเต้านมของวัว

     

    โดย แต่ละปุ่มมีขนาดใหญ่ 1 - 3 กิโลเมตร ยืนยาวลงมาประมาณ 0.5 กิโลเมตร เรียงรายยาวหลายร้อยกิโลเมตร

     

    ปรากฏการณ์นี้อาจเกิดขึ้น 15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง

     

    ปรากฏการณ์เมฆแมมมะทูส มีส่วนเชื่อมโยงกับการเกิดพายุใหญ่หรือก่อนเกิดพายุ ทอร์นาโด

     

    image016.jpg

     

    image018.jpg

     

     

     

    ปรากฏการณ์ ธรรมชาติ รุ้งกินน้ำสวยที่สุดในโลก

     

     

    Rainbow รุ้งกินน้ำ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการหักเหของแสงที่เกิดขึ้นในละอองน้ำ

     

    สะท้อน ออกมาทำให้เห็นสีของแสงทั้ง 7 สี คือ สี ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง ส้ม แดง

    image027.jpg

     

    รุ้งกินน้ำ สองตัว ซ้อนกัน ภ่ายที่ทุ่งใน Whitestone , Alaska

     

     

    image028.jpg

     

    image029.jpg

     

    image030.jpg

     

    ภาพ รุ้งกินน้ำ สุดสวยน้ำอาดจะดูผิดธรรมชาติ เนื่องจากการใช้เทคนิคภ่ายที่เรียกว่า " HDR Technique "


  2. MOR LEK คุณเก่งมากขึ้นเลย และเพื่อนที่อ่านก็ได้ประโยชน์มากขึ้นด้วย วันนี้เอาเพลงมาฝาก ฉงน ว่าทำได้ไง หรือเปล่า ก็มันหนังอ่ะ

    !Announce

     

     

    ดูแล้วซึ้งมากๆ


  3. จากที่อ่านพบว่าบางท่านยังงงหาวิธีแก้ไขไม่ได้ ...(.เป็นสิ่งที่ตัวเองเคยประสบมาก่อนเวลาไปที่เว็บใดๆแล้วไปต่อไม่ได้ ) เพราะไม่เหมือนเก่า มันวกไปวกมานิดนึง..... :wacko: เลยทำมาให้ดูค่ะ

     

    !Hot !_Rd

     

    1 เข้าที่ กระทู้แรกๆ เลยนะคะ ถ้าเป็นสมาชิกเว็บ คำว่าแก้ไขมีแน่นอน อยู่ขวามือค้านล่างของกระทู้แรก

     

    2 เข้าไป คลิ๊กที่ อิดิเตอร์เต็มรูปแบบ ( แปลตรงตัวเด้ะเลย = แก้ไขเต็มรูปแบบ ) ก็จะไปสู่หน้าที่ต้องการ หัวข้อกระทู้ บรรทัดแรก .... คำอธิบายกระทู้ คือบรรทัดที่ 2

     

    3 เมื่อแก้ไขเสร็จ .... ต้องการดูว่าใช่หรือไม่ ถูกใจไหม ไปที่ แสดงตัวอย่างการโพสต์

     

    4. เมื่อ O.K กด ส่งข้อความที่แก้ไข

     

     

    เดี๋ยวนำภาพมาให้ดูเต็มๆเลย

     

     

    cs6au.jpg

     

     

    e6d.2.jpg

     

     

    4buj3.jpg

     

     

    ap3z4.jpg


  4. !10 !10 !10 ผมก็งมหาอยู่เหมือนกันครับ เห็นเฮียกัมว่าต้องเข้าไปแก้ไขที่กระทู้แรกของเรา แ้ล้วเลือกใช้อิดิเตอร์เต็มรูปแบบ แต่ของผมอันแรกมันไม่มีคำสั่งแก้ไข

     

    ไปบอกที่โพรไฟล์คุณ ที่ใช้ชื่อ ♂ ۩Ψ ۞ĻũŽįFęŕ۞ Ψ۩' แล้ว มีปัญหาเดี๋ยวจะขึ้นกระทู้ทำให้ดูค่ะ


  5. ไหน.... ไหนก็ได้เริ่มเปิดกระทู้ไปแล้ว บางท่านเข้ามาอาจผิดหวังที่ไม่ได้บอกข้อมูลไว้ และ เผื่อบางท่านยังหาไม่เจอ ก็เลยจะมาชี้แนะให้ค่ะ

     

     

    ตอนนี้นอกจาก PM ก็ยังมี Profile ให้คุยกันได้ง่ายๆ นะคะ ...

     

    PM..... อยู่ตรงรูปซองจดหมายใต้ชื่อ user name ( ถ้าจะหาซองจดหมายของตัวเองไม่มีนะคะ ก็เพราะจดหมายจะถูกส่งจากเพื่อนค่ะ )

     

     

     

    8vpm1.jpgnhpm2.jpg

     

     

    ส่วน profile.... อยู่ที่ชื่อ username หรือบริเวณรูป เอาเม้าไปคลิ๊กได้เลย

     

    0prof.jpg


  6. !thk เฮียกัมคะ ที่เหน็ดเหนื่อยโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ก็ขอเป็นได้แค่กำลังใจคะ :P เพราะทำอะไรไม่เป็น

    แต่เข้าเวปนี้มันช้าจังเลย แถมรูปแสดงอารมณ์ก็ขึ้นมาเป็นบางส่วนบางส่วนก็หายไปเหมือนโดนกระทู้บัง ตัวเองก็ใช้คอมฯไม่ค่อยเก่งเลยไม่รู้ว่าเป็นที่อะไรคะ

    ยังไงก็จะค่อยๆลองไปคะ !thk อีกครั้งคะ

     

    ไม่ช้าเลยนะค่ะ :huh:

     

    ใช้ firefox ก็เหมือนเดิม

     

    แต่ตัวเองไม่ใช้ IE... แต่เฮียแนะนำ I E8 ก็ีดีค่ะ แต่ไม่สะดวกเวลาโพสต์ ตองเปิดข้อมูลหลายหน้า ขณะนี้มีปัญหากับ firefox นิดนึง..... จึงมาใช้ google chrome เพราะสะดวกเร็วกว่าเยอะ แต่รำคาญ curser มันชอบกระโดดไปข้างหน้า


  7. สวัสดีค่ะ.... :wub:

     

    ขอบคุณมากๆ ที่ทำบ้านหลังนี้ให้น่าอยู่มากๆ เข้ามาอยู่บ้านหลังนี้หลายวัน ยังไม่ได้คารวะเจ้าของบ้านเลย สนุกสนาน มีเพื่อน มีของเล่น มากขึ้น ไม่รู้จะกล่าวอะไร นอกจากขอบคุณค่ะ และเอาเพลงมาฝากค่ะ

    !thk

     

    บ้านเรา......

     

    http://www.youtube.com/watch?v=3_oY1ZCS9aU&feature=player_embedded#!

     

    ส่วนเพลงข้างล่าง ภาพธรรมชาติสวยๆค่ะ.......


  8. sim ของมือถือโดนลักลอบใช้ได้แล้ว !!.................forward mail

     

    :unsure: :angry:

     

    โปรดระวัง ถ้าคุณได้รับสัญญาณโทรศัพท์บนมือถือของคุณว่า

    ช่างเทคนิค Cellnet หรือ Vodafone บอกคุณว่า

    พวกเขากำลังทำการตรวจเช็คโทรศัพท์ของคุณ

    และบอกให้คุณต้องกด # 90 หรือ 90 #

     

    ตอนนี้มีบริษัทหลอกลวงฉ้อฉล วางอุบายนี้ขึ้นมา

    ถ้าคุณได้รับสัญญาณโทรศัพท์ดังกล่าว คุณต้องวางสายโทรศัพท์ทันที

    ถ้าคุณกด # 90 หรือ 90 # ล่ะก็ พวกเขาจะสามารถเข้าไปใน sim card ของคุณได้

    และสามารถทำการใช้โทร.ออกจาก sim card นั้น

     

    โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น จะเป็นของคุณ

    กรุณาบอกคนอื่นๆด้วย

     

    --------------------------------------------------------------

     

    -- ห้ามเปิด เวป นี้ เด็ดขาด --

    เว็บ----siamstreet.com และ digithais.com

     

    ปล่อย ไวรัส อย่าเปิด แถมข้อมูลยังโดนแฮ็กด้วยบอกต่อด้วย โหด มาก

    เตือนทุก คน ฟอร์เวิร์ดต่อด้วย นะ !

     

    Virus ชื่อ kali มันจะมากับเมล์ชื่อ Let watchTV .

    อย่า เปิด เพราะ harddisk คุณจะเกลี้ยงทุกอย่างโดย ทันที

    ส่งต่อด้วยยังไม่มีวิธีแก้ไข ไม่ควรเปิด เว็บ Siamstreet.com และ Digithais.com

     

    ***** ขอย้ำ ว่า FORWARD ต่อด้วย นะ

    • ถูกใจ 1

  9. ความว่างที่สร้างความสุข

    :huh: :blink: :blush:

     

     

    นัก ปราชญ์ชาวเอเชียกลางคนหนึ่งเล่าว่า มีชายหนุ่มอยู่คนหนึ่ง แกเป็นคนอัตคัตความสุข พยายามแสวงหาความสุขจากวิธีการต่างๆ แต่แล้วก็ยังรู้สึกว่า ไม่ใช่ความสุขแท้ที่ตัวเองต้องการ

     

    อยู่ มาวันหนึ่ง มีผู้แนะนำว่า ถ้าอยากมีความสุขก็ควรจะมีบ้านเป็นของตัวเอง เพราะในบ้านของเรานั้น เราสามารถเป็นเจ้าของทุกอย่างในบ้านโดยที่ไม่ต้องมีใครมาคอยกวนใจ ซ้ำยังมีอิสระที่จะเสกสรรค์ปั้นแต่งหรือจัดบ้านให้เป็นไปตามความต้องการของ ตนเองอย่างไรก็ได้

     

    เขา เชื่อตามที่มีผู้แนะนำ จึงตัดสินใจสร้างบ้านขึ้นมาหลังหนึ่ง เมื่อแรกสร้างบ้านนั้น บ้านของเขาหลังใหญ่ทีเดียว พอมีบ้านแล้ว เขามีความสุขมาก เขาเริ่มจัดบ้านตามต้องการ และเริ่มหาข้าวของต่างๆ มากมาย มากองไว้ในบ้านทีละอย่างสองอย่าง จนกระทั่งวันหนึ่ง ห้องว่างๆ ในบ้านของเขาก็หายไป ทุกพื้นที่ในบ้านเต็มไปด้วยข้าวของระเกะระกะ มองไปทางไหนก็รกหูรกตา

     

    ที นี้ชายหนุ่ม เริ่มรู้สึกว่าบ้านของตนเองช่างเป็นสถานที่ที่ไม่น่าอยู่ อากาศก็อุดอู้ เขาเริ่มบ่นกับตัวเองว่าคิดผิดถนัดที่สร้างบ้านขึ้นมา เพราะนึกว่าบ้านจะให้ความสุขได้นานๆ บางวันเขาก็ครุ่นคำนึงว่า น่าจะสร้างบ้านให้หลังใหญ่กว่านี้ จะได้บรรจุอะไรต่อมิอะไรได้เยอะๆ ตามต้องการ

     

    ขณะ ที่เขาเริ่มไม่มีความสุขเพราะบ้านกลายเป็นโกดังเก็บของนั้นเอง ก็มีนักปราชญ์คนหนึ่งผ่านมาแถวนั้น เขาบ่นดังๆ จนปราชญ์คนนั้นได้ยิน นักปราชญ์หนุ่มจึงแนะนำว่า ถ้าเขาอยากให้บ้านเป็นสถานที่แห่งความสุข ก็ไม่เห็นจะยากอะไร เพียงแต่ขนข้าวของทั้งหมดออกมาวางข้างนอกบ้านเสียก็หมดเรื่อง

     

    ชาย หนุ่มได้ยินเช่นนั้น รีบทำตามทันที เขาเริ่มขนข้าวของซึ่งโดยมากล้วนเป็นสิ่งซึ่งไม่จำเป็น หากแต่เขาเก็บเอาไว้เพราะความละโมภมากกว่าออกมาทิ้งนอกบ้าน ขนอยู่สองวัน จนบ้านว่าง โล่ง และดูกว้างขึ้นมาผิดหูผิดตา คราว นี้เขามีความสุขมาก รำพึงกับตัวเองว่า แหม บ้านของฉันช่างกว้างขวาง และน่าอยู่เสียนี่กระไร นักปราชญ์ได้ยินแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม ก่อนจะเปรยขึ้นมาว่า บ้านของเจ้าน่ะ มันกว้างขวาง ว่าง โล่ง และน่าอยู่มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เจ้าของหากล่ะที่ทำให้มันไม่น่าอยู่ ด้วยการบรรจุอะไรๆ ที่เกินจำเป็นใส่เข้าไปจนบ้านกลายสภาพเป็นกองขยะดีๆ นี่เอง

     

    ใช่หรือไม่ว่า คนส่วนใหญ่ที่กำลังกวาดตามองหาความสุขและพยายามที่จะเติมสิ่งนั้นสิ่งนี้เข้าไปในชีวิต แต่แล้วก็ยังคงรู้สึก “พร่อง” หรือหมักหมมไปด้วยความทุกข์อยู่เหมือนเดิม ไม่แตกต่างอะไรกับชายเจ้าของบ้านในนิทานปรัชญาเรื่องนี้

     

     

    การ จัดการชีวิตให้มีความสุขนั้น ทางที่ถูก อาจไม่ใช่การใส่อะไรลงไปในชีวิต แต่แท้ที่จริงแล้ว คือการถ่ายเท ปล่อยวาง หรือระบายบางสิ่งบางอย่างออกจากชีวิตมากกว่า

     

    ใน พุทธศาสนานั้น เราถือกันว่า ความสุขอาจเกิดจากความมี (สามิสสุข) ก็ได้ แต่ที่เหนือกว่านั้น ความสุขอาจเกิดจากความเป็นอิสระจากความมีก็ได้ด้วย (นิรามิสสุข)

     

    บ้านแห่งชีวิตของเรา เมื่อแรกสร้างก็ดูโปร่ง โล่ง เป็นระเบียบเรียบร้อย สบายหูสบายตา แต่เมื่ออยู่กันไป อะไรๆ ก็ชักจะเพิ่มขึ้น และบางทีเพิ่มมากมายจนกลายเป็นปัญหาอันบั่นทอดต่อความสุขในชีวิตคู่

     

    จะดีกว่าไหม หากมีเวลาว่าง คนรักกัน น่าจะลองหาวิธีทำพื้นที่หัวใจให้ว่างด้วยการถอดถอนบางอย่างทิ้งออกไป

     

    ขอเพียงเรียนรู้ที่จะลดบางอย่างลงไป ความสุขในหัวใจก็คงจะเพิ่มขึ้น

     

    ความสุข บางครั้งอาจไม่ได้ผูกพันอยู่กับความมี

     

    แต่บางที อาจมาจากความว่าง


  10. นิทานสอนใจ : ครูกับนักเรียน

     

    :D :D

     

     

    คุณครูทอมป์สันโกหกนัก เรียนชั้น ป.5 ของครูทั้งชั้นซะแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มสอนเลยด้วยซ้ำ คุณครูบอกว่า ครูรักเด็กเท่ากันหมดทุกคนเลย แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆ ท่าทางขี้เกียจคนหนึ่งชื่อ เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ ครูทอมป์สันได้จับตาดูเท็ดดี้มาปีนึงและสังเกตว่าเขาไม่ค่อยเล่นดีๆ กับเด็กคนอื่นเท่าไหร่

     

    เสื้อผ้าของเขาสกปรกและเค้าตัวเหม็นหึ่งอยู่ตลอดเวลาด้วยแหละ และบางทีเท็ดดี้ก็เกเร ถึงขั้นที่ว่าครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจงานของเท็ดดี้ด้วยหมึกสีแดง กากบาทไปหนาๆ และใส่ตัว F ตัวใหญ่ๆ ลงไปบนหัวกระดาษ

     

    โรงเรียนที่คุณครูทอมป์สันสอน คุณครูต้องทบทวนประวัติของเด็กแต่ละคนด้วย แต่คุณครูก็ไม่ยอมตรวจประวัติของเท็ดดี้ จนกระทั่งเหลือแฟ้มสุดท้าย แต่ทันใดนั้นเมื่อคุณครูตรวจแฟ้มเข้า ครูทอมป์สันก็แปลกใจใหญ่ เมื่อพบว่า ครูชั้น ป.1 ของเท็ดดี้วิจารณ์มาว่า "น้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดและร่าเริง ทำงานเรียบร้อย มารยาทดี เป็นเด็กที่น่ารักมากทีเดียว"

     

    ส่วนคุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.2 เขียนว่า " เท็ดดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เพื่อนๆ ชอบกันทุกคน แต่กำลังมีปัญหาเพราะแม่ของเท็ดกำลังป่วยหนัก และชีวิตทางบ้านต้องลำบากมากแน่ๆ "

     

    คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.3 เขียนว่า “เขาเสียใจมากที่เสียแม่ไป เขาพยายามเต็มที่แล้วแต่คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรักความสนใจเขาเท่าไหร่ และชีวิตที่บ้านเขาต้องส่งพลกระทบต่อเขาแน่ๆ ถ้าไม่มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ”

    คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.4 เขียนว่า “เท็ดดี้ไม่ยอมเข้าสังคมและไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าที่ควร ไม่ค่อยมีเพื่อนและหลบหนีจากห้องเรียน

     

    ตอน นี้ คุณครูทอมป์สัน รู้ถึงปัญหาแล้วและอับอายในการกระทำของตนเองมาก ครูรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก เมื่อนักเรียนในห้องซื้อของขวัญวันคริสต์มาสมาให้ ห่อในกระดาษสีสดๆ พร้อมผูกโบว์อย่างดี ยกเว้นแต่ของเท็ดดี้ ของขวัญของเท็ดดี้ถูกห่ออย่างหยาบๆ ในกระดาษลูกฟูกหนาๆ ที่ได้มาจากถุงใส่กับข้าว ครูทอมป์สันกัดฟัน เปิดกล่องของเท็ดดี้ดูกลางกองของขวัญอื่น ๆ

     

    เด็กบางคนเริ่มหัวเราะเมื่อเห็นว่า เท็ดดี้ให้กำไลลูกปัดที่ไม่ครบเส้น และขวดน้ำหอมที่เหลือน้ำอยู่ก้นขวดแก่เธอ แต่ครูก็หยุดเสียงหัวเราะของเด็กๆ

     

    เมื่อ ครูเอ่ยขึ้นว่ากำไลเส้นนั้นสวยเพียงใด สวมมันไว้ที่ข้อมือ และฉีดน้ำหอมไปบนข้อมือด้วย เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ เฝ้ารออยู่จนเย็นให้นานพอที่จะพูดว่า " ครูทอมป์สันครับ วันนี้ครูตัวหอมเหมือนที่แม่ผมเคยหอมเลยครับ "

    หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้าน ครูทอมป์สันก็ร้องไห้เป็นชั่วโมง หลังจากวันนั้นเอง คุณครูเลิกสอนหนังสือ เลิกสอนการเขียนและเลิกสอนเลขคณิต แต่คุณครูเริ่มสอนเด็กๆ แทน คุณครูทอมป์สันเอาใจใส่เท็ดดี้เป็นพิเศษ

     

    เมื่อครูพยายามช่วยเขา จิตใจของเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตอบรับเร็วขึ้นเท่านั้น ภายในสิ้นปีนั้นเอง เท็ดดี้ได้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้อง และถึงวันนี้แม้ว่าคุณครูจะบอกว่าครูรักเด็กทุกคนเท่ากัน แต่ความจริง เท็ดดี้ก็ได้กลายไปเป็น "ศิษย์โปรด" ของครูไปแล้ว

     

    หนึ่งปีต่อมา คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตู จดหมายนั้นมาจากเท็ดดี้ บอกครูว่าคุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี หกปีต่อมา ครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก บอกว่าเขาเรียนจบม.ปลายแล้ว ได้ที่สามในทั้งระดับ และคุณครูยังคงเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิต

     

    สี่ปีหลังจากนั้น คุณครูก็ได้จดหมายอีก บอกว่าแม้ว่าชีวิตเขาจะลำบากบ้างเขาก็ไม่ได้เลิกเรียนหนังสือ และจะจบปริญญาตรีในเร็วๆ นี้ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง (เหรียญทอง) และยังย้ำกับครูทอมป์สันว่า คุณครูเป็นครูที่ดีที่สุดและเป็นครูคนโปรดในชีวิตของเขา

     

    จากนั้นสี่ปีผ่านไปจดหมายอีกฉบับหนึ่งก็มา ครั้งนี้เขาอธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้ว เขาตัดสินใจที่จะเรียนต่ออีกนิด จดหมายนั้นอธิบายว่า คุณครูยังเป็นครูคนที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี ครั้งนี้เขาลงชื่อในจม.ของเขายาวขึ้นอีกหน่อย จดหมายนั้นลงชื่อว่า "นพ. ทีโอดอร์ เอฟ. สต๊อดดารด์ "

     

    เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลินั้นก็ยังมีจดหมายมาอีก เท็ดดี้บอกว่า เขาได้เจอสาวคนหนึ่งและก็จะแต่งงานกัน เขาบอกมาในจม.ว่าพ่อของเขาได้เสียไปเมื่อสองสามปีก่อนและ เขาสงสัยว่าคุณครูทอมป์สัน จะตกลงมานั่งในที่นั่งสำหรับพ่อเจ้าบ่าวในงานแต่งงานหรือไม่ แน่นอนที่สุด ครูทอมป์สันมา และทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น

     

    คุณครูใส่กำไลข้อมือเส้นนั้น เส้นที่มีลูกปัดหายไปหลายลูก และต้องฉีดน้ำหอมที่เท็ดดี้จำได้ว่าแม่เขาฉีดตอนที่ฉลองเทศกาลคริสต์มาส ครั้งสุดท้ายด้วยกัน

     

    ครูกับศิษย์กอดกันกลมเลย และคุณหมอเท็ดก็กระซิบในหูคุณครูทอมป์สันว่า " ขอบคุณมากนะครับคุณครูที่เชื่อในตัวผม ขอบคุณครูมาก ที่ทำให้ผมรู้สึกสำคัญและแสดงให้ผมเห็นว่าผมสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่ง ต่างๆ ได้ "

     

    ครู ทอมป์สันกระซิบตอบพร้อมน้ำตานองหน้าว่า " หมอเท็ดจ๊ะ เธอเข้าใจผิดแล้วแหละ เธอต่างหากที่สอนครูว่าครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ ครูไม่รู้จักการสอนที่แท้จริง จนกระทั่งครูได้พบได้รู้จักเธอนั่นแหละ "

     

    นิทาน เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนเราควรเติมเต็มหัวใจของคนอื่นด้วยความรักเสียแต่วันนี้ โปรดจำว่า ไม่ว่าคุณจะไปไหน หรือทำอะไร คุณจะมีโอกาสที่จะสัมผัส และเปลี่ยนอนาคตของคนอื่นในทางทีดีขึ้นด้วยเสมอ

     

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก มีธรรมหนึ่งดอทคอม


  11. เพื่อนนั้นสำคัญไฉน

     

    ผศ.พญ. สุทธิพร เจณณวาสิน (Assist. Prof. SUTTIPORN JANENAWASIN)

    จิตแพทย์

    Faculty of Medicine Siriraj Hospital

    คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

     

     

     

    คุณว่า “เพื่อน” นั้น สำคัญมั้ย

    เหตุที่ตั้งคำถามนี้ขึ้นมา เพราะเพื่อนมีบทบาทในชีวิตของคนเรามากทีเดียว บางคนยอมตายแทนเพื่อน บ้างก็ให้กำลังใจและให้ยืมเงินเมื่อธุรกิจล้ม เป็นคนที่ฟังเราคร่ำครวญยามอกหัก กอดคอไปไหนไปกัน เที่ยวด้วยกันได้ทุกที่ หรืออาจเป็นคนที่ช่วยเถียงแทนเรา แบ่งขนมให้เรากินในวันที่ลืมขอเงินจากแม่ก็เป็นได้ และอีกหลายสิ่งที่คุณได้จากเพื่อน ซึ่งจะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับวัยและสภาพแวดล้อม

     

     

    เพื่อนแต่ละวัย

     

    เมื่อยังเด็ก เพื่อนมีประโยชน์หลักคือ เอาไว้เล่นด้วย

    พอเข้าวัยรุ่น เพื่อนเริ่มมีความสำคัญมากขึ้น จนอาจสำคัญกว่าคนในครอบครัว เพราะการมีเพื่อนหมายถึงว่าเรามีคนยอมรับ ซึ่งแปลได้ต่อว่าเราดีพอ การได้อยู่กลุ่มเพื่อนคนดังจะทำให้วัยรุ่นรู้สึก “ยืด” เหมือนผู้ใหญ่ที่ขับรถหรูหรือถือกระเป๋าแบรนด์เนม แต่แม้จะไม่ได้อยู่กลุ่มคนดัง การมีกลุ่มเพื่อนก็ยังทำให้รู้สึกมีพรรคพวกที่ชอบสิ่งเดียวกัน ทำอะไรสนุก ๆ แผลง ๆ ด้วยกันได้ เข้าใจเราอย่างที่คนอื่นโดยเฉพาะผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ นอกจากนี้ครูมักให้ทำ รายงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นกลุ่มอยู่เสมอ ฉะนั้นคนในวัยนี้จะรู้สึกกดดันมาก หากไม่มีเพื่อน มิหนำซ้ำวัยรุ่นบางคนไม่สามารถทำอะไรตามลำพังได้ ต้องมีเพื่อนไปด้วยตลอด เช่น กินข้าว เข้าห้องน้ำ จนบางคนถึงขั้นยอมตามเพื่อนทุกอย่างหรือให้เพื่อนเอาเปรียบเพราะกลัวถูกทิ้ง ก็มี

    แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป รูปแบบการคบเพื่อนอาจเปลี่ยน แต่การให้ความสำคัญกับเพื่อนอย่างมากของวัยรุ่นยังคงอยู่ ซึ่ง ผู้ปกครองควรเข้าใจ ไม่ตำหนิว่าไร้สาระ แต่ควรหาโอกาสบอกพวกเขาอย่างสม่ำเสมอว่าการมีเพื่อนเป็นสิ่งที่ดี แต่การขาดเพื่อนในบางช่วงก็เป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นได้ และไม่ได้หมายความว่าเราไม่ดีพอ ที่สำคัญคือบางครั้งเราต้องกล้าปฏิเสธและหาเพื่อนใหม่ ถ้าเพื่อนที่มีอยู่กำลังชักนำเราไปในทางที่ผิด

     

    ในวัยผู้ใหญ่ เรา ควรจะเลิกยึดติดเพื่อนเหมือนสมัยวัยรุ่น รวมทั้งต้องเปลี่ยนความคาดหวังต่อเพื่อนด้วย เพราะเพื่อนที่เคยไปไหนไปกันได้ทุกเวลา อาจมีภาระการงานหรือครอบครัวมาทำให้ไม่สามารถไปได้ คนที่เคยฟังเราคร่ำครวญเป็นวันอาจต้องตัดบทในครึ่งชั่วโมง กลุ่มก๊วนที่เคยเหนียวแน่นก็มักต้องสลายลง แม้ฟังดูจะน่าเศร้าเสียดาย แต่จริง ๆ แล้วก็เป็นเพียงกระบวนการธรรมชาติที่ทุกสิ่งย่อมต้องเปลี่ยนแปลง และถ้าเราสามารถปรับตัวตามได้ก็จะมีความสุข เพราะธรรมชาติของวัยผู้ใหญ่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีงานที่มั่นคง สามารถดูแลตัวเองและครอบครัว ซึ่งรวมตั้งแต่คู่สมรส ลูก จนถึงพ่อแม่ที่เริ่มชราลงได้

    แม้ว่าในวัยผู้ใหญ่ เพื่อนจะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอันดับแรก แต่เพื่อนก็ยังมีความสำคัญในวัยนี้ เพื่อนอาจช่วยเปิดมุมมองใหม่ ให้แง่คิดที่แตกต่าง คำแนะนำในเรื่องงานหรือครอบครัว รวมถึงเป็นตัวเชื่อมไปถึงโอกาสในงานและธุรกิจ นอกเหนือไปจากเดิมที่ร่วมเฮฮา กิน เที่ยว แม้ว่าเราอาจโทรศัพท์คุยกันเพียงเดือนละครั้งจากที่เคยวันละ2ครั้งสมัยวัย รุ่น หรือพบกันเพียงปีละ2-3ครั้ง แต่คุณค่าของมิตรภาพไม่ได้วัดเพียงแค่ปริมาณ คุณภาพต่างหากที่สำคัญกว่า

     

    ประเภทของเพื่อน

     

    เราอาจอยากได้เพื่อนที่มาหาเราทุกครั้งที่เรียกหาอย่างที่เห็นในละคร โทรทัศน์ หรือเพื่อนตายอย่างที่เห็นในนิยายกำลังภายใน แต่ในชีวิตจริงคงเป็นไปได้ยาก แล้วถ้าได้เพื่อนกินล่ะไม่แย่หรือ ความจริงแล้วเพื่อนกินไม่ได้แย่เสมอไป เพราะบางครั้งเราก็อาจต้องการมีใครมากินกับเราในยามเหงา หรืออยากได้เพื่อนกินมาร่วมเฮฮาในวันที่เรามีความสุข อย่างไรก็ตามหากคุณคบใครเป็นเพื่อน ลองดูนะคะว่าเพื่อนคุณเข้าข่ายแบบไหน

     

    1.เพื่อนที่ทำเรามีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งมีทั้งเพื่อนที่ร่วมสุข สนุกสนานเฮฮาผ่อนคลายด้วยกัน และเพื่อนที่ร่วมทุกข์ รับฟัง ให้คำปรึกษาหรือช่วยเหลือยามเรามีปัญหา อาจบ่นหรือดุว่ายามเราทำอะไรโง่ ๆ รวมถึงเพื่อนที่มาขอความช่วยเหลือจากเรา ก็สามารถจัดอยู่ในกลุ่มนี้ถ้าไม่มากจนทำให้เราเดือดร้อน เพราะการที่เรามีโอกาสช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นกำลังใจ คำแนะนำ หรือทรัพย์สิน ทำให้เราภูมิใจในตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้อาจอยู่ในเพื่อนคนเดียวหรือหลาย ๆ คนก็ได้ แต่โดยทั่วไปเพื่อนคนเดียวอาจไม่สามารถเป็นได้ทุกอย่าง

     

    2.เพื่อนที่ทำเรามีชีวิตที่แย่ลง เช่น เดียวกับเพื่อนกลุ่มแรก ในกลุ่มนี้มีทั้งเพื่อนที่ร่วมสนุกสนาน แต่ต่างกันตรงที่เพื่อนกลุ่มนี้จะทำให้เราสนุกโดยเสียสุขภาพ เงินทอง อิสรภาพ หรือแม้กระทั่งชีวิต เช่น ชักชวนเล่นการพนัน ใช้สารเสพติด ซิ่งรถ หรือทำร้ายผู้อื่น และเพื่อนกลุ่มนี้ก็ยังมีเพื่อนที่ร่วมทุกข์ในทางที่ผิด เช่น ชวนกินเหล้า ชกต่อย วิวาท สาดน้ำกรดเพื่อแก้แค้นหรือทวง “ศักดิ์ศรี” นอกจากนี้พวกที่หลอกลวง ข่มขู่ เอาเปรียบหรือใช้ประโยชน์จากเราก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย

     

    เราจึงควรทบทวนว่าเพื่อนที่เรามีอยู่จัดอยู่ในกลุ่มไหน เพราะแม้การมีเพื่อนเป็นสิ่งที่ดีแต่ถ้าต้องมีเพื่อนที่ทำเรามีชีวิตที่แย่ ลง การไม่มีน่าจะดีกว่า และการสลัดเพื่อนที่แย่ ๆ ออกไปก็เป็นการเปิดโอกาสให้คนดี ๆ ได้เข้ามาคบกับเรา เพื่อนที่ดีควรจะเป็นได้ทั้งผู้ให้และผู้รับ ผู้นำและผู้ตาม นอกจากนี้อย่าลืมที่จะทบทวนดูด้วยว่า เราเองเป็นเพื่อนแบบไหน อย่าหลงลืมนึกว่าเพื่อนเป็นแม่ ลูก ธนาคาร จิตแพทย์ เจ้านาย หรือทาสเรา

     

    สุดท้ายอย่าลืมว่าตัวเราเองก็นับเป็นเพื่อนที่เก่าแก่และใช้เวลาอยู่กับเราได้ มากที่สุด ฉะนั้นจริง ๆ แล้วไม่มีเวลาไหนหรอกที่เราไม่มีเพื่อนเลย เพราะตัวเรายังคงเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ และพร้อมจะตามใจเราทุกอย่างอยู่เสมอ

     

    "ฉะนั้นจึงควรใส่ใจดูแลสุขภาพกายและใจของเพื่อนคนนี้ด้วยนะคะ"

    http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=782


  12. ขนมคุ๊กกี้ห่อหนึ่ง..กับการตัดสินคน

     

    --------------------------------------------------------------

     

    ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี

    จำเป็นต้องรอเวลาถึง3 ชั่วโมง

    ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง

    เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1 เล่ม และคุ๊กกี้ 1 ห่อ

    และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกิน ฆ่าเวลาไปพลาง ๆ

     

    เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง

    เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุ๊กกี้

    เพื่ออ่านและกินไปพลาง ๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้าง ๆ เธอมีชายหนุ่ม

    ซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา

     

    สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ

    ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุ๊กกี้ออกจากถุง

    ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันอย่างละชิ้น

    เธอมองด้วยความโกรธ

    แต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ

    เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุ๊กกี้และเฝ้ามองนาฬิกา

     

    ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป

    เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า "ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการศึกษาแล้วละก็....

    ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย"

     

    ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น

    ทั้งสองส่งสายตามองกัน เมื่อคุ๊กกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย

    เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร

    ชายหนุ่มค่อย ๆ หยิบคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็น 2 ชิ้น

    ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น

     

    เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า

    "เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดๆ

    ช่างไร้การศึกษา ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ"

    เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง

    ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม

     

    ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่อย่างสบายแล้ว

    เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง

    ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่อ เธอตกใจมาก

    ถ้าคุ๊กกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า.....

    คุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน

     

    เธอลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม

    แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า

    มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง

    เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอนั่นเองที่ไร้มารยาท

    เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง

     

    มีกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า

    สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด

    มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น

    และทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง

    ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากมาย

     

    นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนตัดสินผู้อื่น

    หลาย ๆ สิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี

    แล้วคอยสังสัยตัวเองว่า

     

     

     

     

    " เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง?

     

    เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือไม่ "

     


  13. ว่าด้วยเรื่องของนิทาน..... /ฝากคุณพ่อ คุณแม่

     

    "ต้นแอปเปื้ล กับ เด็กน้อย"

     

    :o :D

     

    -------------------

     

     

    กาล ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว (เพื่อไม่ให้เสีย concept การขึ้นต้นนิทาน) มีต้นแอปเปื้ลใหญ่อยู่ต้นนึง และก็มีเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งชอบเข้ามาอยู่ใกล้ๆ และเล่นรอบๆ ต้นไม้นี้ทุกๆ วัน เขาปีนขึ้นไปบนยอดของต้นไม่ และก็กินผลแอปเปิ้ล แล้วก็นอนหลับไปภายใต้ร่มเงาของต้นแอปเปื้ล เด็กน้อยรักต้นไม้ และต้นไม้ก็รักเขา

     

    เวลาผ่านไป..... เด็กน้อยโตขึ้น และเขาไม่มาวิ่งเล่นรอบๆ ต้นไม้ทุกวันอีกแล้ว

     

    วันหนึ่งเด็กน้อย กลับมาหาต้นไม้ เด็กน้อยดูเศร้าๆ

     

     

    "มาหาฉัน จะมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม

     

    "ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วนะ ฉันไม่อยากเล่นรอบๆ ต้นไม้อีกแล้ว ฉันต้องการของเล่น ฉันอยากได้เงินไปซื้อของเล่น" เด็กน้อยตอบ

     

    "ฉันไม่มีเงินหรอก...เก็บลูกแอปเปิ้ลของฉันไปขายสิ แล้วเอาเงินไปซื้อของเล่น" ต้นไม้ตอบ

     

    เด็กน้อยเก็บแอปเปิ้ลไปหมดต้น แล้วจากไปไม่กลับมาเล่นกับต้นไม้

     

    ต้นไม้ดูเศร้า......

     

    วันหนึ่งเด็กน้อยกลับมา เขาดูโตขึ้น ต้นไม้รู้สึกดีใจตื่นเต้นมากที่ได้เจอ

     

    "มาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม

     

    "ฉันไม่มีเลามาเล่นหรอก ฉันมีครอบครัวแล้ว และต้องทำงาน ตอนนี้เราต้องการบ้าน ช่วยฉันได้ไหม"

     

    "ฉันไม่มีบ้าน แต่..ตัดกิ่งก้านฉันไปสิ...แล้วเอาไปสร้างบ้าน"

     

    ดังนั้นเด็กน้อยคนนั้นจึงตัดกิ่งก้านทั้งหมดไป และจากไปอย่างมีความสุข

     

    เป็นอีกครั้งที่ต้นไม้ถูกทิ้งให้เดียวดาย และเศร้า....

     

    และวันหนึ่งในฤดูร้อน เด็กน้อยคนเดิมก็กลับมาอีก ต้นไม้ดีใจมาก

     

    "มาหาฉันเหรอ มาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม

     

    "เปล่า ฉันรู้สึกผิดหวังในชีวิต และเริ่มแก่ขึ้น ฉันอยากแล่นเรือไปพักผ่อนไกลๆ ให้เรือฉันได้ไหม"

     

    "ใช้ลำต้นของฉันซิ เอาไปสร้างเรือ เพื่อเธอจะได้เล่นเรือมีความสุข" ต้นไม้ตอบ

     

    ดังนั้น เด็กน้อยจึงตัดลำต้นไม้ไป เขาล่องเรือไป และไม่กลับมาอีกนาน

     

    จนกระทั่งหลายปีผ่านไป ในที่สุดเด็กน้อยคนเดิมก็กลับมา

     

    คราวนี้เขาดูแก่มากๆ

     

    "ฉันเสียใจ ฉันไม่เหลืออะไรจะให้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่เหลือ มีเพียงรากที่กำลังจะตาย" ต้นไม้พูด

     

    "ฉัน ไม่มีฟันจะกินแล้ว ฉันปีนไม่ไหว และฉันแก่แล้ว ตอนนี้ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่อยากได้ที่พักพิง ฉันเหนื่อยมาหลายปีแล้ว" เด็กน้อยตอบ

     

     

     

    "งั้นมานั่งลงข้างๆ ฉันสิ....แล้วหลับให้สบาย"

     

    เด็กน้อยนั่งลงข้างๆ ต้นไม้ดีใจ ยิ้ม... และน้ำตาไหล...

     

    ....end.....

     

    นี่เป็นเรื่องสำหรับทุกๆ คน ต้นไม้ในเรื่องคือพ่อแม่ เมื่อเราเป็นเด็กตัวเล็กๆ เรารักที่จะเล่นกับพ่อแม่... เมื่อเราโตขึ้น บางคนทอดทิ้งพ่อแม่ให้เดียวดาย และกลับไปหาท่านเมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่าง หรือเมื่อมีปัญหา ไม่ว่าอย่างไร..พ่อและแม่เราก็จะอยู่และให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทำได้ หว้งเพียงให้เรามีความสุข..

     

    ....แล้วต้นไม้ของคุณล่ะ...เด็กน้อย.....Huh?


  14. ที่ผ่านมา ....เก็บของเก่ามาเล่าใหม่ค่ะ มีแทรกใหม่ๆบ้าง เกรงคุณหมอเล็กจะเบื่อ ซะก่อน

    :mellow: :blush: :blink:

     

     

    " ความรู้สึกพอ "

     

    ไม่ใช่มาจากการเติมเต็มสิ่งที่คุณต้องการ

     

    แต่มาจากการตระหนักว่า คุณมีมากมาย

     

    และเพียงพอเมื่อประตูแห่งความสุขปิดลง

     

    ประตูอีกบานหนึ่งก็จะเปิดออก

     

    แต่บ่อยครั้งเรามัวแต่จ้องบานประตูที่ปิดลงเท่านั้น

     

    ไม่ได้สังเกตเห็นประตูอีกบานหนึ่งที่เปิดออกเพื่อเรา

     

    จริงอยู่ พวกเรามักจะรู้ว่าตนเองมี ก็ต่อเมื่อเราสูญเสียมัน

     

    แต่พวกเราก็ต้องคอยจนกว่าของสิ่งนั้นมาถึง จึงจะรู้ตัวว่าเราไม่มีมัน

     

    การมอบความรักทั้งหมดให้กับผู้อื่น

     

    มิได้หมายความว่าเราจะได้รับความรักตอบกลับมาอย่างเท่าเทียมกัน

     

    อย่าหวังว่ารักผู้อื่นแล้วผู้อื่นจะรักตอบ

     

    จงสนใจแค่ ให้ความรักนั้นเติบโตขึ้นในใจพวกเขา แต่ถ้าไม่เติบโตขึ้นเลย

     

    ก็จงพอใจกับความรักที่เติบโตขึ้นในใจของคุณเอง

     

     

     

    หนึ่งนาที จึงจะทำลายคนๆ หนึ่งได้

     

    หนึ่งชั่วโมง จึงจะชอบคนๆ หนึ่งได้

     

    หนึ่งวัน จึงจะรักคนๆ หนึ่งได้

     

    แต่ต้องใช้เวลาตลอดชั่วชีวิต จึงจะลืมคนๆ หนึ่งได้

     

     

    จงอย่ามองเพียงรูปภายนอกเพราะสักวันมันจะหลอกคุณ

     

    จงอย่ามองแค่ความร่ำรวย ทรัพย์สมบัติ เพราะสักวันมันจะซีดจางลง

     

    หาใครสักคนที่ยิ้มให้คุณ เพราะเมื่อมีรอยยิ้ม จะทำให้อารมณ์ของคุณดีขึ้น

     

    หาใครสักคนที่ทำให้คุณอมยิ้มได้จากใจจริง บางครั้งเมื่อคุณคิดถึงใครสักคน

     

    ความคิดถึงนั้นอาจถึงขั้นให้คุณคว้าตัวเขาออกมาจากความฝัน โอบกอดตัวเขาเอาไว้

     

    ไล่ตามความฝันของคุณเอง ไปยังที่ๆ คุณอยากไป เป็นอย่างคนที่คุณอยากเป็น

     

    เพราะคุณมีเพียงชีวิตเดียว ซึ่งหมายถึงมีเพียงโอกาสเดียว

     

    ในการทำสิ่งที่คุณอยากทำ

     

     


  15. การแพทย์ชีวโมเลกุล.....

    :) :huh: :wub:

     

     

    มนุษย์เราเมื่อเกิดมา แล้ว ย่อมจะต้องแก่ เจ็บไข้ได้ป่วย และตายเป็นธรรมดา แต่กว่าจะตายหรือหมดอายุขัย บางทีเราต้องทนทุกข์ทรมาน กับการเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะ นานนับเดือนนับปี เพราะอวัยวะต่างๆ เสื่อมไปอย่างไม่ย้อนคืน

     

    เป็นเวลานานมาแล้ว ที่เราพยายามต่อสู้กับความแก่และความเจ็บป่วยแม้จะรู้ว่าในที่สุดต้องพ่าย แพ้ แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ขอให้ชีวิตที่เหลืออยู่มีคุณภาพ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมากจนเกินไปนัก

     

    ร่างกายมนุษย์ ประกอบด้วยเซลล์จำนวนมากมาย เซลล์ต่างๆ มาประกอบกันเป็นอวัยวะ แล้วทำหน้าที่ต่างๆ กัน เมื่อคนอายุมากขึ้น เซลล์ก็จะค่อยๆ เสื่อมลงไป เซลล์เหล่านี้บางส่วนก็ตายไปบ้าง ในขณะที่ส่วนใหญ่ยังไม่ตาย แต่ไม่สามารถทำงานได้ เปรียบกับแบตเตอรี่รถยนต์ที่น้ำกรดแห้ง ก็จะไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ เมื่อมีเซลล์ที่เสื่อมและหยุดทำงานมากขึ้น ก็ก่อให้เกิดอาการของโรคต่างๆ

     

    นอกจากความเสื่อม ของเซลล์ตามปกติแล้ว สิ่งแวดล้อมในโลกปัจจุบัน เช่น น้ำ อาหาร อากาศ ก็ล้วนเต็มไปด้วยสารพิษมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นอันตรายต่อเซลล์อย่างมาก ทำให้เซลล์ของร่างกายเสียหายเพิ่มขึ้น การใช้ยารักษาโรคที่มีอยู่ เป็นการแก้ไขปลายเหตุเป็นส่วนใหญ่ เช่น โรคเบาหวาน ใช้ยาไปลดน้ำตาลในเลือด แต่ยังไม่มียาหรือสารใดที่มีข้อพิสูจน์ชัดเจนว่า สามารถซ่อมแซมการทำงานของตับอ่อนและฮอร์โมนอินซูลิน เป็นต้น

    paul_niehans.jpg

     

     

    ประวัติศาสตร์ ของการแพทย์ชีวโมเลกุลวิทยาการใหม่ในการซ่อมแซมเซลล์

     

    ความหวังของมนุษย์ในการฟื้นฟูเซลล์ มีหลักฐานความเป็นไปได้ ตั้งแต่เมื่อประมาณ 70 ปีมาแล้ว เมื่อปี ค.ศ. 1931 ศ.นพ. พอล นีฮาน ศัลยแพทย์ชาวสวิส ได้เอาน้ำที่ได้จากการบดเซลล์ต่อมพาราไทรอยด์จากสัตว์ ฉีดเข้าผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อกระตุกเกร็ง เนื่องจากถูกตัดต่อมพาราไทรอยด์โดยบังเอิญ ซึ่งเป็นผลจากการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ครั้งก่อน ปรากฏว่าผู้ป่วยหายจากโรคชักเกร็งได้ และไม่มีการแพ้ใดๆ จากการติดตามผู้ป่วยไปอีก 25 ปีหลังจากนั้น เขาเรียกการรักษาชนิดนี้ว่า "Live Cell Therapy"

     

    หลังจากนั้น แพทย์ในยุโรปโดยเฉพาะเยอรมันก็ได้พัฒนา Live Cell Therapy หรือ การปลูกถ่ายเซลล์สด จนแพร่หลาย มีการค้นพบว่า น้ำที่ได้จากการบดเซลล์หนึ่ง จะไปซ่อมแซมเซลล์ชนิดเดียวกัน เช่นเซลล์ตับก็จะไปซ่อมแซมที่ตับ ทฤษฎีนี้เรียกว่า Cell Heal Cell กลายเป็นที่ฮือฮากันอย่างมากในหมู่บุคคลชั้นสูง (เนื่องจากค่าใช้จ่ายการรักษาค่อนข้างแพง) แพทย์ประสบผลสำเร็จในการรักษาโรคที่สิ้นหวังแล้ว

     

    ชื่อเสียงของ Live Cell Therapy โด่งดังมากในยุโรป เมื่อนายแพทย์พอลล์ นีฮาน ตัดสินใจรับรักษาสันตะปาปา Pius ที่ 12 ซึ่งป่วยหนัก หมดหนทางรักษา แพทย์หลวงทั้งหลายลงความเห็นว่า ท่านจะมีพระชนม์ชีพอยู่ต่อไปอีกไม่นาน การตัดสินใจรับรักษาท่านสันตะปาปาครั้งนั้น นับว่ามีความเสี่ยงมาก และสร้างความหนักใจให้กับนายแพทย์พอลล์ นีฮานไม่น้อย ทั้งจากพระอาการที่เพียบหนัก และจากคณะแพทย์หลวงที่จ้องซ้ำท่านทันทีหากพระอาการไม่ดีขึ้น แน่นอนหากว่าไม่เป็นไปตามคาด ก็คงจะถึงจุดจบของ Live Cell Therapy ที่ท่านทุ่มเทศึกษาค้นคว้ามาตลอดชีวิต ครั้งนั้นหลังจากนายแพทย์นีฮาน เดินทางไปรักษาท่านที่กรุงโรม ประมาณ 1 เดือน สันตะปาปาปิอัสที่12 ก็กลับฟื้นขึ้นมาและมีสุขภาพแข็งแรงได้อย่างปาฏิหาริย์

     

    ในยุคนั้นคนดังอย่าง ชาลี แชปปลิ้น, ประธานาธิบดี คอนราด อาดีนาว แห่งเยอรมัน, ประธานาธิบดีวินสตัน เชอร์ชิลแห่งอเมริกา, นายพลชาลล์ เดอ โกล แห่งฝรั่งเศส, ดไวท์ ไอเซนฮาว, สมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น, กษัตริย์โมรอคโค, กษัตริย์ซาอุดิอาราเบีย, กษัตริย์เยเมน ฯลฯ ล้วนเป็นบุคคลที่มีทะเบียน เป็นผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วย Live Cell Therapy ในเยอรมันมาแล้วทั้งสิ้น

     

    จนกระทั่งแพทย์ชาวเยอรมัน คือ นายแพทย์คาลล์ ทอยเรอร์ ตั้งสมมุติฐานว่าความสำเร็จของ Live Cell Therapy ไม่ได้เกิดจากการฉีดเซลล์ที่ยังมีชีวิตทั้งเซลล์ แต่น่าจะเกิดจากโปรตีนที่อยู่ภายในเซลล์ที่ยังคงลักษณะทางชีวภาพไว้ได้ (Bioavailability) นายแพทย์คาลล์ประสบความสำเร็จในการแยกสารชีวโมเลกุลภายในเซลล์ออกด้วย วิธีการที่สามารถคงลักษณะชีวภาพได้สมบูรณ์ โดยใช้กรดย่อยผนังเซลล์ภายใต้ความเย็นสูง แล้วแยกนิวเคลียสของเซลล์ออก สกัดเฉพาะไซโตพลาสซื่มเก็บภายใต้ภาวะสุญญากาศ วิธีการดังกล่าวได้รับการจดสิทธิบัตรในเวลาต่อมา

     

    ชีวโมเลกุลที่สกัดได้จะมีคุณสมบัติซ่อมแซมเซลล์แบบ จำเพาะเจาะจง เช่น ชีวโมเลกุลจากเซลล์ตับของสัตว์ ก็ซ่อมแซมเซลล์ตับในร่างกายมนุษย์ นอกจากนี้ ขบวนการดังกล่าวยังทำให้เอกลักษณ์ของเซลล์ที่เรียกว่า HLA ซึ่งอยู่บนผนังเซลล์ถูกลบไป จึงไม่มีการต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกัน ปราศจากการแพ้โดยสิ้นเชิง

     

    ความสำเร็จของนายแพทย์คาลล์ กลายมาเป็นความหวังสำหรับคนธรรมดาที่แม้ไม่ได้เป็นผู้มีชื่อเสียง มีเงินทองมากมาย ก็สามารถเข้าถึงการรักษาที่ได้ผลอัศจรรย์นี้ได้ และรัฐบาลเยอรมันก็ได้ขึ้นทะเบียนยาที่ทำจากชีวโมเลกุลจำนวน 100 ตำรับเมื่อประมาณปีค.ศ. 1950 และใช้รักษาโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ทุกชนิดอย่างได้ผลมาจนกระทั่ง ถึงทุกวันนี้

     

     

    ความจริงเกี่ยว กับการแพทย์ชีวโมเลกุล

     

    ในห้วงอายุของมนุษย์ โดยทั่วไปเซลล์ต่างๆ จะแบ่งตัวชดเชยการสึกหรอประมาณ 50-60 ครั้ง จากการศึกษาพบว่า ชีวโมเลกุล ช่วยให้เซลล์แบ่งตัวได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4-6 ครั้ง ซึ่งเท่ากับว่าทำให้ช่วงอายุของคนยืนยาวขึ้นนั่นเอง

     

    การทำงานของเซลล์ต่างๆ มีหัวใจหลักคือการสร้างโปรตีน แล้วโปรตีนที่ได้ก็ไปทำหน้าที่ต่างๆ เช่น เป็นน้ำย่อย เป็นฮอร์โมน เป็นเนื้อเยื้อต่างๆ ฯลฯ การสร้างโปรตีนในเซลล์จะคล้ายกับการ ปั้มตรายาง เมื่อใช้ไปนานๆ เข้า น้ำหมึกเริ่มแห้ง ตรายางเริ่มสึก คุณภาพของการปั้มก็จะเสียไป ชีวโมเลกุล จะไปซ่อมแซมเซลล์ดุจการซ่อมตรายาง และเติมน้ำหมึก ทำให้คุณภาพการปั้มดีขึ้น

     

    นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ว่า การแพทย์ชีวโมเลกุล สามารถช่วยกำจัดเซลล์ผิดปกติ ตลอดจนคำสั่งที่ผิดพลาดต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดโรคมะเร็ง จึงใช้เป็นทั้งการป้องกัน และรักษาโรคมะเร็งได้หลายชนิด

     

    ปัจจุบันมีแพทย์ประมาณ 20,000 คนในยุโรปโดยเฉพาะเยอรมัน ใช้ การแพทย์ชีวโมเลกุล ในการรักษาผู้ป่วย และมีประเทศที่ให้การรับรองการรักษาด้วยวิธีนี้แล้วทั่วโลก จำนวน 48 ประเทศ มีผู้ป่วยที่รับการรักษาแล้วประมาณ 150 ล้านคน

     

     

    ทำไมการแพทย์ชีวโมเลกุลจึงไม่แพร่หลาย

     

    ความจริงการแพทย์ชีวโมเลกุลแพร่หลายในยุโรปมานาน แต่ความรู้นี้จำกัดเฉพาะในยุโรปที่พูดภาษาเยอรมัน ต้องยอมรับกันว่าประเทศที่มีบทบาทและทรงอิทธิพลในวงการแพทย์ทั่วโลกคือ อเมริกา ตราบใดที่อเมริกายังไม่รู้จักวิธีการรักษาอย่างนี้ ตราบนั้นก็เป็นการยากที่วงการแพทย์ทั่วๆ ไปจะเข้าใจและยอมรับ

     

    อย่างไรก็ตาม เริ่มมีหลักฐานมากขึ้นในประเทศอเมริกาและประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษอื่นๆ ในความพยายามที่ใกล้เคียงกัน และเป็นการสนับสนุนทฤษฎีเซลล์ซ่อมเซลล์

     

    เมื่อปีค.ศ. 1999 กุน เธอร์ โบเบล ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ ในการที่เขาพิสูจน์ว่า โปรตีนของเซลล์ มีรหัสที่ใช้ระบุว่า จะเดินทางไปยังจุดหมายที่ไหน เพื่อทำงานที่จำเพาะเจาะจง

     

    และล่าสุดนี้ นิตยสาร Nature ฉบับวันที่ 5 เดือนเมษายน 2001 ตีพิมพ์ผลงานวิจัยของแพทย์จาก New York Medical College สหรัฐอเมริกา แพทย์ทำการทดลองในหนู โดยการผูกเส้นเลือดหัวใจของหนู กระตุ้นให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย จากนั้นนำเซลล์ต้นตอ (Stem cell) จากไขสันหลังของหนูอีกตัวหนึ่ง ฉีดเข้าไปตรงกล้ามเนื้อหัวใจที่ตายไปแล้ว ผลปรากฎว่า เกิดการสร้างเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจใหม่ ทดแทนเซลล์ส่วนที่ตายไปแล้ว ได้ถึง 68% ภายใน 9 วัน นอกจากนี้ คณะนักวิจัยยังสัญญาว่า การพัฒนาความรู้นี้เพื่อเป็นยารักษาโรค จะเป็นไปได้ อีกภายในเพียง 3 ปีข้างหน้านี้เท่านั้น

     

    อย่างไรก็ตาม อยากจะกล่าวในที่นี้ว่า ดีแล้วที่อเมริกากำลังพัฒนาความรู้ด้านนี้ขึ้น เพราะในที่สุดจะมีผลให้เกิดการยอมรับในวงกว้าง แม้ว่าความจริงแล้วแพทย์เยอรมันได้พัฒนาความรู้นี้มาก่อนหน้าถึงเกือบ 50 ปี จนผลิตยารักษาโรคที่ใช้ทฤษฎีนี้ ช่วยเหลือผู้ป่วยที่สิ้นหวังมาแล้วนับล้านๆ คน

     

    ในเมืองไทยเอง ทราบว่ามีผู้หนึ่งที่ได้ไปศึกษาการแพทย์ชีวโมเลกุลที่ประเทศเยอรมันจน สำเร็จ ได้รับ Diploma of Organotherapy and Immunotherapy คือ อ.พรรณทิพา วัชโรบล หลังสำเร็จวิชาแล้ว ได้ร่วมก่อตั้งศูนย์การแพทย์ชีวโมเลกุลที่ประเทศบาห์เรน ให้คำปรึกษากับแพทย์ในตะวันออกกลาง ที่ต้องการใช้การรักษาด้วยชีวโมเลกุล ล่าสุดได้รับรางวัล Medal Award ในสาขา Organotherapy and Autohaemotherapy จากสถาบันการแพทย์ชีวโมเลกุลในเยอรมัน และได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาแพทย์ (Medical Consultant) ด้าน Organotherapy และ Autohaemotherapy ในเอเชียและตะวันออกกลาง

     

     

    คำถามคำตอบที่ น่าสนใจ

     

    Biomolecular Therapy คืออะไร ?

     

    หลักการของ Biomolecular Therapy คือ การซ่อมแซมเซลล์ด้วย Xenogenic Peptide ซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่ภายใน Cytoplasm ของเซลล์ กล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า เป็นการรักษาโรคที่ต้นเหตุคือ โดยการซ่อมแซม Cell ที่เสื่อมสภาพด้วยการใช้สาร Biomolecule ที่สกัดจาก Cellนั้นๆ

     

    ใครเป็นคนริ เริ่มการรักษาวิธีนี้?

     

    ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 70 ปีที่แล้ว ศาสตราจารย์นายแพทย์ Paul Niehans (ค.ศ. 1931) ศัลยแพทย์ชาวสวิส ได้เป็นผู้ค้นพบวิธีการรักษาด้วยเซลล์ที่มีชีวิตอยู่ Dr. Niehans เป็นศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญทางระบบต่อมไร้ท่อ และได้ศึกษาวิธีปลูกถ่ายต่อมไร้ท่อ มาเป็นเวลาหลายปี ในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1931 Dr. Niehans ได้รับคนไข้ฉุกเฉินคนหนึ่ง ซึ่งมีอาการ กล้ามเนื้อชักเกร็ง เนื่องจากเธอถูกทำลายต่อม parathyroid จากการผ่าตัด

     

    เนื่องจากเป็นภาวะฉุกเฉินและไม่สามารถทำ Endocrine transplant ได้ทันที Dr. Niehan จึงตัดสินใจ นำ parathyroid gland จากสัตว์ มาบดในน้ำเกลือ แล้วนำน้ำที่ได้ฉีดเข้ากล้าม โดยทำภายในเวลาไม่เกิน 4 ชั่วโมงนับจากนำต่อมพาราไทรอยด์ออกจากสัตว์ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นการใช้เซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ในที่สุดผู้ป่วยหายจากการชักเกร็ง ตั้งแต่วันนั้น และต่อมาอีก 25 ปีหลังจากนั้น

     

    ตั้งแต่นั้นมา การรักษาด้วย Living Cell จึงได้มีการศึกษากันอย่างแพร่หลายทั่วยุโรป โดยเฉพาะที่ประเทศเยอรมัน และเมื่อองค์การอาหารและยาของประเทศเยอรมัน ให้การรับรองการรักษานี้แล้ว ก็ได้มีผู้ป่วยคนสำคัญๆ ได้รับอานิสงส์จากความสำเร็จของ Living Cell Therapy มากมายทั้งจากในยุโรปเอง และจากสหรัฐอเมริกาก็ได้เดินทางมารับการรักษาที่ Sanatorium ในเยอรมันหลายท่าน เช่น ประธานาธิบดี Konrad ADENAUER, Theodor HEUSS, POPE PIUS XXII, Winston CHURCHILL, Chale DE GAULLE, Dwight D. EISENHOWER, Charles CHAPLIN, สมเด็จพระจักรพรรด์ญี่ปุ่น กษัตริย์ Morocco, กษัตริย์ ซาอุดิอาราเบีย กษัตริย์เยเมน และบุคคลสำคัญอื่นๆอีกหลายคน

     

    ส่วนการรักษาที่เรียกว่า Biomolecular Therapy นั้น ก็ได้พัฒนามาจาก Living Cell Therapy ของ Dr. Niehan นั่นเอง เนื่องจากการรักษาด้วยวิธี Living Cell Therapy นับว่ายุ่งยากมากและต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงมากจนคนธรรมดาแทบจะไม่มีโอกาสได้ รับการรักษา เพราะ Cell ทุก Cell ต้องผ่านการควบคุมคุณภาพจากรัฐบาลว่าปกติและปลอดภัยจากเชื้อ ตาม Standardของ Transplantationทุกประการ

     

    เป็นที่น่ายินดีว่า ปัจจุบันนี้แม้คนธรรมดาที่ไม่ได้มีชื่อเสียงและไม่ได้มีเงินทองมากมาย ก็ไม่ต้องท้อแท้ใจว่าจะไม่มีโอกาสได้รับการรักษาด้วยวิธีซึ่งเป็นที่ยอมรับ ว่าได้ผลดีมากกับแม้กระทั่งโรคที่สิ้นหวังแล้ว ทั้งนี้เพราะ ศาสตราจารย์นายแพทย์ Karl THEURER ได้พัฒนา Biomolecular Therapyขึ้น

     

    THEURER เชื่อว่าความสำเร็จของ Fresh Cell Transplantation มิได้เกิดจาก Cell โดยตรง แต่เกิดจาก activity ของ molecule ต่างๆ ที่อยู่ภายในเซลล์ และเพื่อที่จะขจัดความกลัวของแพทย์ทั่วๆ ไปที่เกรงว่า Fresh Cell Transplant อาจก่อให้เกิด severe allergic reaction หรือ immune sensitization ที่รุนแรง (ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การแพ้ไม่เคยเกิดกับ Cell Therapy) ดังนั้น ภายหลังจากการการศึกษาและทดลองอย่างหนัก THEURER จึงพัฒนาวิธีการรักษาสภาพของ molecular cell component ได้สำเร็จโดยวิธี Acid-vapour-lysis ต่อ Lyopphylized organ powderในสุญญากาศซึ่งวิธีการนี้ได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ ไม่สามารถทำเลียนแบบได้

     

    การนำเซลล์มาทำ Lyophylized นอกจากจะทำลายเชื้อทุกชนิดแล้ว จะทำให้เซลล์สูญเสียลักษณะเฉพาะทาง สปีชี่ส์ของเซลล์ กล่าวคือระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม แต่ยังคงสภาพทางด้านความจำเพาะเจาะจงต่ออวัยวะไว้อยู่อย่างครบถ้วน กล่าวคือ Lyophylized ที่ได้จาก cell ของอวัยวะหนึ่ง ก็จะไปรักษาอวัยวะนั้นๆ อย่างจำเพาะเจาะจง ทำให้นอกจากได้ผลในการรักษาแล้วยังปลอดภัยมากๆอีกด้วย

     

    Biomolecular therapy ยังเป็นการทดลองอยู่ใช่หรือไม่?

     

    พัฒนาการของ Biomolecular Therapy ได้ผ่านทั้ง 3 Phase มาเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ การวิจัยและรวบ รวมหลักฐานสนับสนุนทฤษฎีนี้จากห้องทดลอง, การทดลองกับสัตว์ และการทดลองทางคลีนิคเพื่อสรุปผลทั้งหมด จนนำมาสู่การใช้ในทางการแพทย์ในปัจจุบัน โดยได้รับการรับรองจากรัฐบาลเยอรมันให้ใช้เป็นยารักษาโรคได้ มาเป็นเวลากว่า 40 ปีมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้อยู่ในระยะทดลองแต่อย่างใด ปัจจุบันได้มีการผลิตยารักษาโรคทั้งที่เป็นเม็ด เป็นแคปซูล และยาฉีด ซึ่งสกัดจาก Biomolecule ใน Cell ต่างๆ เพื่อรักษาโรคต่างๆ จำนวนมากกว่า 100 ประเภท มีการจัดประชุมทางวิชาการว่าด้วย Biomolecular Therapy ทุกๆ สัปดาห์เพื่อพัฒนาวิธีการบริหารยาให้ได้ผลสูงสุดและรักษาโรคได้ดีที่สุด

     

    Cell ของร่างกายสามารถซ่อมแซมได้จริงหรือ?

    Cell ต่างๆ ในร่างกายมนุษย์มีการแบ่งตัวเพื่อสร้าง Cell ใหม่ทดแทนอยู่ตลอดเวลา โดยอาศัย Cell เก่าเป็นต้นแบบ โครงสร้างโมเลกุลที่อยู่ภายในเซลล์มีความสำคัญอย่างมากต่อการซ่อมแซมเซลล์ ที่สึกหรอ หากจะเปรียบเทียบการซ่อมแซมเซลล์กับการปั้มตรายาง คุณภาพของงานพิมพ์ตรายางจะขึ้นอยู่กับ 2 ส่วนคือ ตรายาง กับแป้นหมึก หากตรายางเสียหายไปจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือจากความชรา ก็ย่อมทำให้งานพิมพ์ออกมามีความบกพร่อง หรือแม้ตรายางปกติดีแต่แป้นหมึกแห้งก็ย่อมจะทำให้งานพิมพ์ตรายางนั้นด้อย คุณภาพ

     

    Biomolecular Therapy ได้รับการพิสูจน์จากห้องปฏิบัติการมาแล้วนับไม่ถ้วน ว่าช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอและเสียหายให้ดีขึ้น เปรียบเหมือนกับทำให้ตรายางและแป้นหมึกมีคุณภาพดีขึ้นใหม่อีกครั้ง นอกจากนี้ยังพบว่า ตามปกติวงจรชีวิตของ เซลล์มนุษย์ทั่วไปมีการแบ่งตัวราว 50-60 ครั้ง Biomolecular therapy ช่วยเพิ่มการแบ่งตัวของ Human Cell มากเพิ่มขึ้นไปกว่าเดิมอีก 4-6 ครั้ง ซึ่งก็หมายความว่าทำให้อายุมนุษย์ยืนยาวขึ้นและแข็งแรงขึ้น

     

    Biomolecular Therapy มีการแพ้หรือไม่

     

    ความสำเร็จของ Biomolecular therapy ประการหนึ่งคือ ปราศจากการแพ้โดยสิ้นเชิง เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกาย สามารถจดจำเนื้อเยื่อแปลกปลอมได้ก็เฉพาะเมื่อเป็น Cell ทั้ง Cell ร่วมกับเนื้อเยื้อองค์ประกอบ แต่ Biomolecular Therapy มิได้มีเซลล์หลงเหลืออยู่อีกต่อไป นำเอาเพียงสารภายในเซลล์มาใช้ ซึ่งยังคงมีผลในการรักษา Cell อย่างจำเพาะเจาะจงต่ออวัยวะแต่ภูมิคุ้มกันไม่สามารถจดจำได้ว่าเป็นสิ่งแปลก ปลอมจึงไม่มีการต่อต้านเกิดขึ้น

     

     

    Biomolecular Therapy ควรใช้เมื่อไร?

     

    ปัจจุบันการรักษาด้วย Biomolecular Therapy ครอบคลุมถึงโรคต่างๆมากขึ้นเช่น

     

    1.เพื่อการฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายซึ่งเสื่อม สภาพจากอายุหรือจากอุบัติเหตุ

     

    2.โรคภัยไข้เจ็บที่มีผลทำลายอวัยวะ ต่างๆ เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ม้าม ลำไส้ กระเพาะอาหาร สมอง ดวงตา กล้ามเนื้อ กระดูก ฯลฯ หรืออาจกล่าวได้ว่า ทุกๆอวัยวะยังมีทางที่จะฟื้นฟูและซ่อมแซมอยู่

     

    3.โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันภูมิแพ้

     

    4.โรคพัฒนาการทางสมองผิดปกติในเด็ก

     

    5.ใช้เป็นวิธีรักษาร่วม ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งจะทำให้มะเร็งเล็กลง และผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ภูมิคุ้มกันสูงขึ้นอวัยวะภายในต่างๆทำงานได้ดีขึ้น

     

    วิทยาการการ แพทย์ชีวโมเลกุลได้นำมาใช้กับกลุ่มผู้ป่วยดังต่อไปนี้:

     

    โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำ ภูมิแพ้ รูมาตอยด์ กระดูกเสื่อม ข้อเสื่อม โรคไต ความพิการทางสมอง ระบบประสาทถูกทำลาย โรคเครียด โรคตับ โรคสมองเติบโตช้าในเด็ก Mental Retardation Autism โรค เลือด โรคฟัน โรคของตับอ่อน ต้อหิน ต้อกระจก ภูมิคุ้มกันต่ำ ภูมิคุ้มกันไวเกิน โรคหู โรคตา โรคความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ ภาวะมีบุตรยาก โรคผิวหนัง สิวหัวช้าง Peripheral Vascular Disease (Raynaud's syndrome) โรค Parkinsonโรคแผลกระเพาะอาหาร เป็นต้น

     

    มีการกำหนดอายุ ของผู้ที่จะเข้ารับการรักษาหรือไม่?

    ในทางปฏิบัติคือ ไม่มี แม้กระทั่งเด็กอายุ 4 เดือนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Mongolism หรือ สมองได้รับความกระทบกระเทือนในระหว่างการคลอด และการพัฒนาการ ไปจนกระทั่งผู้สูงอายุที่เกิน 90 ปีขึ้นไป ก็สามารถรักษาได้ด้วย Biomocular Therapy หากมีโรคที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมของเซลล์ความเสียหายของเซลล์จากสาเหตุ ต่างๆ

    Biomolecular Therapy สามารถรักษาได้ทุกโรคหรือไม่

    ไม่แน่นอน การรักษาทุกประเภทย่อมมีข้อบ่งชี้ จากประสบการณ์ของการรักษาด้วย Biomolecular Therapy มานานกว่า 40 ปีทำให้เราสามารถกำหนดข้อบ่งชี้ในการรักษาด้วย Biomolecular Therapyได้อย่างเป็นระบบและมีหลักการ

     

    การตรวจร่างกายทั้งระบบ รวมถึงการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการตรวจการทำงานของหัวใจและการไหลเวียนโลหิตอย่างละเอียด จะใช้ในการตัดสินใจว่าผู้ป่วยสมควรเข้ารับการรักษาด้วย Biomolecular Therapyอย่างไรบ้าง

     

    หลักการของ Biomolecular Therapy คือ การซ่อมแซมเซลล์ด้วย Xenogenic Peptide ซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่ภายใน Cytoplasm ของเซลล์ กล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า เป็นการรักษาโรคที่ต้นเหตุคือ โดยการซ่อมแซม Cell ที่เสื่อมสภาพด้วยการใช้สาร Biomolecule ที่สกัดจาก Cellนั้นๆ

     

    สถิติที่น่าสนใจ

     

    ** ผู้ป่วยทั่วโลก มากกว่า 150ล้านคน ได้รับการรักษา ด้วยวิธี Biomolecular Therapyในรูปแบบต่างๆ

     

    ** แพทย์กว่า 20,000 คนทั่วโลกโดยเฉพาะยุโรปและเยอรมัน ใช้วิธีการรักษาด้วย Biomolecular Therapyอยู่ในปัจจุบัน

     

    **ประเทศต่างๆทั่วโลก 48ประเทศ ให้การรับรองวิธีการรักษาด้วย Biomolecular Therapyและมีแพทย์ที่ศึกษาและรักษาโรคด้านนี้อยู่

     

    ** รายงานและการวิจัยทางคลีนิคมากกว่า 3,000ชิ้น จัดทำขึ้นโดยแพทย์ทั้งในโรงพยาบาลและคลีนิคต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ Biomolecular Therapy

     

    ** รายงานทางการแพทย์ยืนยันว่า 68% ของโรคที่สิ้นหวังแล้ว (Hopeless Case)สามารถรักษาให้ฟื้นคืนมาได้ด้วยวิธีการ Biomolecular Therapy

    สรุปจุดเด่นของ การรักษาด้วยชีวโมเลกุล คือ

     

    ** ใช้รักษาโรคที่รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผลแล้ว ดังที่นายแพทย์คาลล์กล่าวไว้ว่า เป็นการ “ให้ความหวัง สำหรับผู้ที่สิ้นหวังแล้ว” (offer new hope for the hopeless)

     

    ** ไม่มีการแพ้ ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ใช้ได้แม้กระทั่งในเด็กทารก

     

    ** เป็นการรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่รักษาที่อาการ ยกตัวอย่างในโรคเบาหวานชนิดที่ต้องใช้อินซูลิน ความผิดปกติอยู่ที่ Islet of Langerhans แพทย์ปัจจุบันใช้อินซูลินจากภายนอกเข้าไปชดเชย ซึ่งต้องใช้ไปตลอดชีวิต ส่วนการแพทย์ชีวโมเลกุล ใช้สารชีวโมเลกุลจากตับอ่อนเข้าไปซ่อมเซลล์ตับอ่อน

     

    ** เป็นการรักษาโดยการฟื้นฟูร่างกายทั้งระบบ การเจ็บป่วยของมนุษย์ไม่ได้เกิดเป็นอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง แต่มักจะเชื่อมโยงกันทั้งระบบ การรักษาที่ได้ผลจึงเน้นการรักษาทั้งร่างกายแบบองค์รวม

     

     

    http://www.biotherapycenter.com/xe/th_biomolecular_therapy


  16. โรคภูมิแพ้....

     

     

     

    โรคภูมิแพ้คืออะไร

     

    ภูมิแพ้ คืออาการที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวเรา ซึ่งในคนปกติไม่เกิดปฏิกิริยานี้ สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาภูมิไวเกินเรียกว่า สารก่อภูมิแพ้ ซึ่งเป็นไปได้มากมายเช่น ฝุ่น รา ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ แม้กระทั่งอาหาร

     

    อาการของภูมิแพ้เกิดขึ้นได้ในหลายๆ อวัยวะ เช่น ผิวหนัง จมูก ตา ฯลฯ

     

    ภูมิแพ้พบในคนทั่วไปมากถึง 15-45 % ของประชากรทั้งหมด และพบอาการจากไซนัสอักเสบมากที่สุดในบรรดาผู้ป่วยโรคภูมิแพ้

     

    อาการของโรคภูมิแพ้

     

    โรคภูมิแพ้มีได้หลาย อาการ ตามอวัยวะที่ร่างกายเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เช่น อาการจาม น้ำมูกไหล คัดจมูก คันจมูก คันตา คันบริเวณเพดานปากและลำคอ โรคหอบหืด เยื่อบุตาอักเสบ หน้าแดง บวม ผื่นคันทางผิวหนัง ฯลฯ

     

    กลไกการเกิด ปฏิกิริยาภูมิแพ้

     

    ภูมิแพ้ทั่วๆ ไป มักเกิดจากปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันที่ชื่อ IgE เมื่อร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ เข้าไปในร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จะทำการจดจำและสร้างภูมิคุ้มกัน IgE ต่อสารนั้น และเมื่อร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าไปอีก สารก่อภูมิแพ้ จะไปจับกับ IgE ซึ่งอยู่บนเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดขาวนี้จะแตกออกและปล่อยสารปฏิกิริยาภูมิแพ้ ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นคือ ฮิสตามีน (histamine) ฮิ สตามีน ทำให้เยื่อบุจมูก เยื่อบุตา ลำคอ เกิดการอักเสบ เกิดการบวม และสร้างเมือกออกมามากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการ คัดจมูก น้ำมูกไหล และคันจมูกตามมา

     

    ปฏิกิริยาที่กล่าวถึง ดังกล่าวข้างต้น เกิดขึ้นในทุกคน แต่ผู้ที่มีอาการโรคภูมิแพ้ จะเกิดปฏิกิริยาดังกล่าวมากกว่าคนปกติ จึงเรียกกันว่าเป็นปฏิกิริยาภูมิไวเกิน

     

    ทำไมจึงเป็นโรคภูมิ แพ้

     

    โรคภูมิแพ้ มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่ายขึ้น เมื่อได้รับสารแปลกปลอม ซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้ เข้ามาในร่างกายต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆ จนกระทั่งร่างกายเกิดปฏิกิริยา มีการสร้างภูมิคุ้มกันต่อสารชนิดนั้น เมื่อเราได้รับสารก่อภูมิแพ้นั้นเข้าไปอีก ก็จะเกิดปฎิกิริยาภูมิแพ้ วิธีรักษาโรคภูมิแพ้ชนิดนี้ ต้องสร้างภูมิคุ้มกันอีกประเภทหนึ่งขึ้นมา เพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ นายแพทย์ Theurer ชาวเยอรมัน ได้ค้นพบวิธี Autohaemotherapy ประยุกต์ เรียกว่า Counter-sensitisation สามารถรักษาภูมิแพ้ให้หายได้ในบางราย ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป

     

    ในระยะหลังมานี้ เนื่องจากความก้าวหน้าทางด้าน Immunology มี การพูดถึงสาเหตุใหม่ๆ ในการเกิดโรคภูมิแพ้ เช่น การติดเชื้อซ้ำซากยาวนาน ทั้งที่เกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส ยีสต์ หรือพยาธิ หรือปัจจัยภายนอกใดๆ ที่คงอยู่ในตัวเรา หรือสัมผัสกับร่างกายเรา โดยที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดออกได้หมด เป็นเวลาต่อเนื่องกันนาน ๆ ในที่สุดก็จะกระตุ้นปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน ให้ผลิตภูมิคุ้มกันชนิดกว้างและมีความเจาะจงน้อย ซึ่งจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อสารต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นคนแพ้สิ่งต่างๆ ได้ง่าย และบางครั้งมีภูมิคุ้มกันที่ต่อต้านเนื้อเยื่อของตนเองเกิดขึ้น กลายเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง การรักษาภูมิแพ้ชนิดนี้ ต้องกำจัดเชื้อที่เป็นสาเหตุให้หมดไป และเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สามารถต้านทานเชื้อโรคได้ดีมากยิ่งขึ้น

     

    มีอาการภูมิแพ้อีก ประเภทหนึ่ง ที่เป็นเฉพาะเวลาร่างกายประสบกับภาวะเครียด ทั้งทางร่างกายหรือทางจิตใจก็ตาม เนื่องจากความเครียดจะเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ด้วยการกระตุ้นต่อมไร้ท่อต่างๆ เช่น ต่อมหมวกไต ต่อมไทรอยด์ การสร้างกรดในกระเพาะอาหาร ฯลฯ เมื่อเวลาผ่านไป ระบบป้องกันตนเองของร่างกายจะค่อยๆ อ่อนแอลงไป ร่างกายเกิดการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น ด้วยการเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อฝุ่นละออง และสารต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย มีเสมหะแห้งๆ ในคอตลอดเวลา น้ำมูก มึนงง ไม่สดชื่น ฯลฯ

     

    โรคภูมิแพ้ที่เกิด จากอาหาร

     

    มีคนจำนวนมาก ที่เชื่อว่าตนเองแพ้อาหาร อย่างใดอย่างหนึ่ง อาหารที่ทำให้แพ้ได้บ่อยได้แก่ ไข่ ถั่วชนิดต่างๆ อาหารทะเล สตรอเบอรรี่ เป็นต้น บางคนแพ้สารที่ปนเปื้อนมากับอาหาร หรือ สารที่ใช้ในการถนอมอาหาร การแพ้อาหารเกิดอาการได้แตกต่างกัน เช่น ท้องเดิน มีผื่นแดงขึ้นตามตัว ปวดศรีษะ หน้าบวม ปวดข้อ เวียนศรีษะ

     

    การแพ้อาหารอาจแบ่งออก ได้เป็น ๒ ประเภท คือ การแพ้ที่ปรากฎชัดเจน กับการแพ้ที่ไม่ปรากฎชัดเจน การแพ้อาหารที่ปรากฏชัดเจนนั้น แพทย์จะสามารถตรวจพบปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน เช่น การขีดลงบนผิวหนังให้ผลบวก แต่การแพ้อาหารอีกประเภทหนึ่ง ที่มีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คือ การแพ้ที่ไม่ปรากฏชัดเจน ผู้ป่วยจะมีอาการแพ้ต่ออาหารปกติที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น นม ข้าวโพด แป้งข้าวสาลี น้ำตาล ชอคโกแลต สีผสมอาหาร กลิ่น สารถนอมอาหาร โดยจะเกิดการแพ้แบบค่อยเป็นค่อยไปและสะสมใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี อาการที่พบได้คือ อ่อนเพลีย คัดจมูก ปวดท้อง ปวดข้อปวดกล้ามเนื้อ หรือมีอาการทางประสาท ผู้ป่วยมักจะไม่รู้ว่าตนเองแพ้อาหาร และอาการจะเป็นแบบเรื้อรัง ทำให้ผู้ป่วยต้องแสวงหาหมอ แสวงหายามารักษาตนเอง โดยไม่มีทีท่าว่าจะหาย การแพ้อาหารประเภทหลังนี้ อาจเกิดจากร่างกายได้รับสารเคมีตกค้างที่มาในอาหาร พฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ส่งเสริมสุขภาพ การมีอนุมูลอิสระมากเกินไป หรือการมียีสต์เจริญงอกงามมากเกินไปในลำไส้ โดยยีสต์จะแบ่งตัวและแตกหน่อ ฝังตัวเองลงไปในเยื่อบุลำไส้ ส่งผลให้อาหารโมเลกุลใหญ่ที่ยังย่อยไม่สมบูรณ์ จะถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้เข้าไปในกระแสเลือดได้ อาหารโมเลกุลใหญ่เช่นนั้น ร่างกายจะถูกกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน ทำให้แพ้อาหาร

     

    การรักษาโรค ภูมิแพ้

     

    แพทย์มักแนะนำให้ผู้ ป่วยหลีกเลี่ยงจากสารที่ทำให้แพ้ คำแนะนำนี้ดูเหมือนจะเป็นไปได้เฉพาะกรณีเท่านั้น เพราะบางครั้งผู้ป่วยไม่อาจทราบได้ว่าตนเองแพ้อะไรบ้าง และบางครั้งสิ่งที่แพ้ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน

     

    การออกกำลังกายอย่าง สม่ำเสมอ รักษาความสมดุลย์ของร่างกายทั้งทางร่างกายและจิตใจ การลหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารพิษ การเพิ่มความสามารถของร่างกายในการต้านอนุมูลอิสระ เหล่านี้มีความสำคัญในการสู้กับโรคภูมิแพ้

     

    การใช้ยาในการรักษาโรค ภูมิแพ้ เป็นการรักษาตามอาการ มากกว่าที่จะกำจัดสาเหตุที่แท้จริง แพทย์จะใช้ยาต้านปฏิกิริยาภูมิแพ้ เช่น ยาต้านฮีสตามีน ในรายที่รุนแรงมากๆ อาจต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น Cyclosporin หรือต้องให้สเตียรอยด์ ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบรุนแรง แต่มีผลข้างเคียงมาก เช่น กดภูมิคุ้มกัน, ทำให้กระดูกผุ, ฯลฯ

     

    การทดสอบทางผิวหนัง (Skin Test) และ ฉีดกระตุ้นการสร้างภูมิ เพื่อรักษาอาการแพ้ ทำโดยทดสอบว่าผู้ป่วยแพ้อะไรบ้าง แล้วฉีดสารก่อภูมิแพ้ในปริมาณน้อยๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่สามารถป้องกันการเกิดภูมิแพ้ได้ การรักษาชนิดนี้ต้องใช้ระยะเวลานาน คือฉีดติดต่อกัน 9-12 เดือน หลังจากนั้นต้องฉีดกระตุ้นไปอีกเป็นระยะ เช่น เดือนละครั้ง อาจนาน 3-5 ปี อย่างไรก็ตาม ผลการรักษาไม่สู้จะดีนัก เมื่อเทียบกับเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษา เพราะไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสามารถหายจากโรคภูมิแพ้แน่นอน และผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มักจะแพ้สารหลายตัว วิธีการนี้จึงเรียกได้ว่าค่อนข้างยุ่งยาก สิ้นเปลือง เสียเวลานาน และไม่ค่อยได้ผล

     

    Biomolecular Therapy ในแง่ของการรักษาภูมิแพ้ มีหลักการดังต่อไปนี้

     

    เสริมสร้างระบบป้องกันตนเองของร่างกาย (Body defense mechanism) คือ การปกป้องทุกหนทางที่ร่างกายมีโอกาสสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ ด้วยการให้ biomolecule สำหรับ เยื่อบุลำไส้ เยื่อบุจมูก เยื่อบุทางเดินหายใจ ผิวหนัง เยื่อบุช่องปากและคอ

     

    เสริมสร้างและปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ตลอดจนระบบน้ำเหลือง ด้วยการให้ biomolecule ของ ต่อม Thymus, Lymphatic system, Spleen, bone marrow

     

    เสริมสร้างและปรับสมดุลของระบบต่อมไร้ท่อและฮอร์โมน ตลอดจนระบบเมตาโบลิซึ่ม ซึ่งมีความสำคัญในการรักษาแบบองค์รวม ด้วยการให้ biomiolecule ของ corpus luteum, testis, mammary gland, parathyroid, liver, spleen, pancreas, adrenal gland

     

    เสริมสร้างและปรับสมดุลให้ร่างกายทนทานต่อภาวะเครียด และช่วยเหลือกลไกการควบคุมร่างกายจากระบบประสาทส่วนกลาง โดยการให้ biomolecule ของ Cerebrum, diencephalons, pituitary gland, epiphysis.

     

    Biomolecular Therapy จะช่วยยืนยันความสำเร็จในการรักษาภูมิแพ้ ผู้ป่วยมีโอกาสหาย หรือปลอดอาการในอัตราที่สูง การรักษาไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน ปลอดภัยกว่าการใช้ยา ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เพราะเป็นการให้สารจากธรรมชาติ ไม่มีสารเคมี หรือสารสังเคราะห์ ผู้ป่วยหายจากโรคเพราะร่างกายแข็งแรงขึ้น และต่อสู้กับโรคภูมิแพ้ด้วยกลไกภายในตัวของผู้ป่วยเอง

     

     

    http://www.biotherapycenter.com/xe/th_allergy


  17. ' สัญชาตญาณแมงป่อง' โดย ท่าน ว.วชิรเมธี

     

     

     

    ปุจฉา

     

     

    ใน ที่ทำงานของผมมีคนอยู่ประเภทหนึ่งครับ วันๆ งานการไม่ค่อยทำ เอาแต่จ้องหาเหตุจับผิดคนโน้นคนนี้ ความดีของคนอื่นไม่เคยสนใจ แต่ถ้าใครทำอะไรเสียหายสักนิดหนึ่งละก็ คนๆ นี้ชอบนัก

     

    ผมอิดหนา ระอาใจกับคนประเภทนี้มาก อยากจะไปเสียให้พ้นๆ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะสมัยนี้ คิดจะเปลี่ยนงานไม่ใช่เรื่องง่าย ผมเลยอยากรู้ว่า คนบางคนที่วันๆ เอาแต่จ้องหาเรื่องเล่นงานคนอื่นนั้น เขาเป็นคนประเภทไหน จะรับมือเขาได้อย่างไรครับ

     

    วิสัชนา

     

    เร็วๆ นี้มีลูกศิษย์คนหนึ่งมาเล่านิทานให้ผู้เขียนฟัง พอได้ฟังแล้วก็ทำให้เกิดความสว่างโพลงในหัวใจได้ไม่น้อย คุณน่าจะได้ฟังนิทานเรื่องนี้ดู บางทีอาจจะทำให้หายข้องใจได้บ้างว่า คนบางคนนั้น เขามี “ธาตุแท้” ของเขามาอย่างนั้นเอง

     

    นิทาน นั้นมีอยู่ว่า

     

    มีอยู่วันหนึ่ง เจ้าแมงป่องตัวหนึ่ง ไต่ไปมาตามริมฝั่งน้ำจนเซ็งชีวิต เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า ถ้าได้ข้ามน้ำไปยังฝั่งโน้น คงมีอะไรให้ทำมากกว่าการไต่ไปมาอยู่ที่เดิมอย่างซ้ำซากเป็นแน่

     

    มัน มองหาวิธีที่จะข้ามน้ำไปยังฝั่งโน้นอยู่หลายวัน และในที่สุด โอกาสก็มาถึงจนได้ เมื่อมันพบกบตัวหนึ่งกำลังจะว่ายข้ามน้ำไปยังฝั่งตรงข้ามพอดี เจ้าแมงป่องเห็นเช่นนั้น จึงขอเป็นผู้โดยสารขี่หลังกบไปชมวิวฝั่งโน้นบ้าง กบนึกสังหรณ์ใจแปลกๆ จึงถามว่า

     

    “แมงป่องเพื่อนรัก เธอจะรับประกันได้อย่างไรละว่า เมื่อฉันให้เธอขี่หลังข้ามไปฝั่งโน้นแล้ว เธอจะไม่แว้งมาต่อยฉัน”

     

    “กบเพื่อนรัก ทำไมจึงมองฉันในแง่ร้ายเช่นนั้น ถ้าคนอย่างฉันไม่มีคุณธรรมต่อเพื่อนเช่นเธอเสียแล้ว ในโลกนี้ คงหาคนดีไม่ได้อีกแล้ว”

     

    “มั่นใจ นะว่าเธอจะไม่ต่อยฉันกลางแม่น้ำแน่ๆ” กบคาดคั้น

     

    “โธ่เพื่อนเอ๋ย - - ถ้าฉันต่อยเธอ ฉันก็จมไปพร้อมๆ กับเธอนะสิ” แมงป่องอธิบายอย่างสมเหตุสมผล

     

    “เออ จริงของเธอสินะ มาสิ ถ้างั้นเธอขึ้นขี่หลังฉันได้เลย เราจะข้ามไปฝั่งโน้นด้วยกัน”

     

    ว่าแล้ว เจ้าแมงป่องก็ได้ขี่หลังกบสมใจ กบน้อยพาเพื่อนร่วมทางลอยไปสักพักหนึ่งก็จะถึงฝั่ง พอเห็นฝั่งเคลื่อนตัวมาใกล้ทุกที เหลืออีกเพียงศอกเดียวเท่านั้นก็จะถึงฝั่ง แมงป่องก็เผลอตัวต่อยหลังกบเข้าอย่างถนัดถนี่ กบร้องด้วยความเจ็บปวดขึ้นสุดเสียง พอรู้สึกตัว กบก็หันมาถามแมงป่องว่า

     

    “ไหน แกรับปากว่าจะไม่ต่อยฉัน แล้วนี่แกทำอะไรลงไป”

     

    “ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้คิดจะต่อยเธอเลย แต่มารู้สึกตัวอีกที ฉันก็ต่อยเธอไปแล้ว” แมงป่องตอบอย่างเสียไม่ได้ ไม่ยี่หระกับสิ่งที่ตนทำแม้สักนิด

     

    อนิจจา กบน้อยพอลอยแตะฝั่ง ก็ถึงแก่กรรมไป ส่วนแมงป่อง ก็ขึ้นฝั่งอย่างสบายใจ ดูไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรกับสิ่งที่ตนเป็นคนก่อแม้แต่น้อย...”

     

     

     

    ทันทีที่ฟังนิทานเรื่องนี้จบ ผู้เขียนนึกถึงคำๆ หนึ่งขึ้นมาทันที นั่นคือคำว่า

     

    “สันดาน”

     

    ขออภัย หากคำนี้เป็นคำไม่สุภาพ แต่ผู้เขียนรู้สึกว่า ในโลกนี้ มีคนบางประเภทจริงๆ ที่เกิดมาแล้วทำตัวเป็น “อันธพาล” โดยสายเลือด โดยความเคยชิน จนเป็นนิสัย

     

    เรา ไม่ทราบว่า คนที่รู้สึกมีความสุขเสมอ กับการได้ทำร้ายคนอื่นทั้งโดยตรงและโดยอ้อมนั้น เขาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมอย่างไร ได้รับการศึกษามาอย่างไร แต่พอมาเจอกับเรา เขาก็ได้กลายเป็นคนที่มีความสุขกับการเป็นคนเลวไปเสียแล้ว

     

    สำหรับคน ประเภทนี้ คุณคงไม่ต้องไปทำร้าย หรือตอบโต้เขาอีกแล้ว การที่เขาเป็นคนเช่นนั้น นับว่าเป็นเคราะห์กรรมของเขามากพออยู่แล้ว เพราะทั้งชีวิตนี้ คนเช่นนี้จะไม่ได้รับความรักจากใครเลย ลึกๆ แล้วคนที่มีความสุขกับการหาทุกข์ให้คนอื่นนั้น เขาเป็นคนน่าสงสาร บางทีหากเราสามารถคลี่ปมของเขาออกมาดูได้ ก็จะเห็นว่า คนอย่างนี้ควรได้รับความเห็นใจ มากกว่าจะซ้ำเติมเขา

     

    ปล่อยเขาไปเถอะ คุณ

     

    การที่เขาเป็นคนเลว (โดยสันดาน) แล้วยังไม่รู้สึกตัวนั้น ก็ทำให้เขาสร้างกรรมหนักหนาสาหัสแก่ตัวเองมากพออยู่แล้ว เราไม่ควรจะเลวร่วมขบวนกับเขา ด้วยการหาวิธี “เอาคืน” แก่เขาเลย

     

    การ ไม่ยุ่งกับคนประเภทนี้ คือ วิธีรับมือที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง

     

     

    พระ พุทธเจ้าเคยเล่านิทานว่า ในอดีตชาติ พระองค์ทรงเคยเกิดเป็นราชสีห์เจ้าป่า จู่ๆ วันหนึ่งมีหมูสกปรกที่ชอบนอนกลิ้งเกลือกในหลุมอุจจาระเหม็นคลุ้งมาท้าสู้กัน ราชสีห์เจ้าป่ามองดูเจ้าหมูสกปรกแล้วก็คำรามขึ้นว่า

     

    “เจ้าหมูสกปรก เอ๋ย หากเจ้าต้องการชัยชนะ ข้าก็ยินดีจะยกชัยชนะนั้นให้เจ้าเดี๋ยวนี้เลย แต่จะให้ข้าไปสู้กับเจ้านั้น ข้าไม่สู้หรอก ข้ายินดียอมแพ้เสียยังจะดีกว่าไปสู้กับหมูสกปรกอย่างเจ้า”

     

    คน บางคนนั้น มีธาตุแท้ไม่ต่างอะไรกับแมงป่อง และมีความสุขกับการทำความเลวเหมือนกับหมูป่าที่ชอบคลุกอุจจาระ หากคนเห็นเช่นนี้เข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิตของเรา วิธีที่ดีที่สุด ไม่ใช่การไปสู้กับเขา แต่ควรถอยออกมาจะดีกว่า การถอยนั้น บางครั้งไม่ใช่การยอมแพ้ แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดรูปแบบหนึ่ง

     

    คน บางประเภทนั้น เขาเป็นมนุษย์ประเภทสูญเสียสามัญสำนึกขั้นพื้นฐาน ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วถูกผิด หากคุณไม่ถอยให้เขา ก็มีแต่เจ็บตัวฟรี ดีไม่ดีอาจวอดวายหายนะถึงชีวิต และจะหวังให้คนชนิดนี้สำนึกผิดนะหรือ ไม่มีทางเสียหรอก

     

    แมงป่องน่ะคุณ เวลามันต่อยใคร มันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไปได้อย่างไร จะให้เขาสำนึกจึงเป็นเรื่องไกลเกินฝัน

     

    ทางที่ดีที่สุด คือ อยู่ห่างๆ ไว้ ปลอดภัยที่สุด.


  18. มันยังไม่ค่อยสบายดีนักค่ะ ก็ไปหาวิธีให้สบายตัวเร็วๆค่ะ เช่น ฝังเข็ม อ๊ะ พูด ซีเรียสไปอะเปล่า ก็เลยยังไม่มีเวลาเล่น และต้องพาพ่อ ไปหาหมอด้วย

    ไหน ไหนก็พูดถึงการฝังเข็ม เลยเก็บเอามาฝา

     

    --------------------------------------------------------------------------------

     

    การฝังเข็มรักษาโรคอะไรได้บ้าง ?

    :unsure: :o :D

     

     

    แนวคิดที่ถือเป็นแก่นกลางของการแพทย์แผนโบราณจีนนั้นได้แก่ แนวคิดเกี่ยวกับ "สมดุลแห่งชีวิต" นั่นคือว่า

     

    การที่ชีวิตของคน ๆ หนึ่งจะดำรงอยู่ได้อย่างปกติสุขนั้น จะต้องดำรงอยู่ในสภาวะที่สมดุลระหว่างร่างกายของคนผู้นั้นกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และระหว่างระบบอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่งกายของผู้นั้นได้วย หากมีปัจจัยเหตุใดเหตุหนึ่งมาทำลายความสำดุลในการดำรงชีวิตของร่างกายนั้นกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม มันจะนำไปสู่การเสียสมดุลของระบบอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย และก็จะทำให้ร่างกายเกิดการเจ็บป่วยขึ้นมาได้

     

    ในขณะเดียวกัน การเสียสมดุลของระบบอวัยวะภายในร่างกายเองก็จะยิ่งทำให้ร่างกาย ไม่สามารถปรับตัวให้สมดุลกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และหากไม่ได้รับการแก้ไข ชีวิตก็จะถึงจุดดับสิ้นไปในที่สุด

    ตามทฤษฎีการแพทย์จีนนั้น เชื่อว่า

     

    "............ภายในร่างกายของคนเรา จะมีเลือดและลมปราณซึ่งได้รับมาจากพ่อแม่โดยกำเนิด ไหลหมุนเวียนไปตามเส้นลมปราณต่าง ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วทั้งร่างกาย เป็นพลังงานผลักดันใหอวัยวะต่าง ๆ สามารถเคลื่อนไหวทำงานได้ และมีการทำงานที่ประสานสอดคล้องกันเป็นอย่างดี ร่างกายจึงสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ

     

    เมื่อมีเหตุใดเหตุหนึ่งทำให้การไหลเวียนของเลือดลมปราณติดขัด อวัยวะต่าง ๆ ก็จะทำงานผิดปกติไป หากความผิดปกตินั้นไม่สามารถปรับแก้ไขกลับคืนมาได้ ร่างกายก็จะเกิดการเสียสมดุลกับธรรมชาติ แล้วมีอาการของโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้น ......."

     

    บรรพบุรุษชาวจีนในยุคโบราณได้ค้นพบว่า การใช้เข็มปักลงไปยังจุดบางตำแหน่งในร่างกาย สามารถกระตุ้นลมปราณให้ไหลเวียนต่อไปได้ โดยไม่ติดขัด จึงทำให้อวัยวะที่ทำงานผิดปกติไปนั้นกลับคืนสู่สภาพปกติ สามารถขจัดปัจจัยที่ก่ออันตรายแก่ร่างกายออกไป จากนั้นความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นก็จะหายไปได้

     

     

    ตามแนวคิดของการแพทย์แผนโบราณจีนนั้น การฝังเข็มมีฤทธิ์ในการรักษาโรค 3 ประการ คือ

     

    1. แก้ไขการไหลเวียนของเลือดลมปราณที่ติดขัด

    2. ปรับการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายให้อยู่ในสมดุล

    3. กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย เพื่อกำจัดเหตุปัจจัยที่เป็นอันตรายออกไปจากร่างกาย

     

     

    ในช่วง 200 กว่าปีที่ผ่านมานั้น อันเป็นยุคที่อารยธรรมการแพทย์แผนตะวันตกได้แก้วหนาและแพร่หลายไปทั่วโลก แนวคิดการแพทย์แผนโบตราณดังกล่าวข้างต้นถือว่าเป็นเรื่องที่ "ไม่เป็นวิทยาศาสตร์และไร้เหตุผล" ทำให้วิชาการฝังเข็มได้รับความนิยมลดน้อยลงมาโดยตลอด

     

    อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งศตวรรณที่ผ่านมานี้ วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ได้เจริญก้าวหน้ามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความก้าวหน้าในทางวิทยาศาสตร์ระบบประสาท (neuroscience) และการค้นคว้าเกี่ยวกับการฝังเข็มในเชิงวิทยาศาสตร์ก็ได้ค่อย ๆ พิจสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แนวคิดที่ชาวจีนได้เสนอเอาไว้ตั้งแต่โบราณนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องโดยพื้นฐาน

     

    จากการศึกษาพบว่า เมื่อปักเข็มลงบนร่างกาย มันสามารถกระตุ้นทำให้หลอดเลือดบริเวณนั้นขยายตัว ทำให้การไหลเวียนของเลือดเป็นไปได้สะดวกขึ้น ภาวะเลือดคั่งของบริเวณนั้นึงลดลง ช่วยทำให้มีสารอาหารและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณนั้นเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ทำให้สารของเสียที่คั่งค้างบริเวณนั้นลดน้อยลง ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณที่มีการบาดเจ็บ ได้รับการซ่อมแซมให้กลับคืนสู่สภาพปกติได้

     

    ในกรณีที่มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลายตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เมื่อปักเข็มลงไปลึกจนถึงชั้นกล้ามเนื้อแล้วกระตุ้นด้วยวิธีที่เหมาะสมกล้ามเนื้อที่หดเกร็งก็จะมีการคลายตัวออกมาได้ ฤทธิ์ของการฝังเข็มในข้อนี้มีประโยชน์มาก ในการรักษาอาการเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อที่หดเกร็งอยู่เสมอ ดังเช่น ในกรณีของการปวดแขนขา ปวดต้นคอ ปวดหลัง ปวดบั้นเอว เป็นต้น

     

    วิธีการรักษาทางกายภาพบำบัด (Physiotherapy) หลาย ๆ อย่าง เช่น การนวด การประคบด้วยความร้อน การใช้คลื่นความถี่สูงอุลตราซาวนด์ ก็มีฤทธิ์ช่วยให้มีการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น หรือมีการคลายตัวของกล้ามเนื้อเฉพาะบริเวณนั้นคลายกับการฝังเข็มเหมือนกัน

     

    แต่ว่าการฝังเข็มมีข้อที่เดินกว่าตรงที่ มันสามารถคลายกล้ามเนื้อมัดที่อยู่ลักได้ดีกว่า และสามารถปักเข็มเลือกคลายกล้ามเนื้อเฉพาะบริเวณใดบริเวณหนึ่งตามที่ต้องการก็ได้

     

    การฝังเข็มไม่เพียงแต่ จะช่วยทำให้หลอดเลือดบริเวณที่ปักเข็มขยายตัวเท่านั้น แต่หลอดเลือดฝอยทั่วร่างกายก็จะมีการขยายตัวอย่างเหมาะสมอีกด้วย ทำให้เนื้อเยื่อทั่วร่างกายได้รับสารอาหารและขจัดของเสียที่คั่งค้างได้ดีกว่า

     

    http://www.thaiacupuncture.net/public/index.php?option=com_content&task=view&id=22&Itemid=1


  19. นอยชวานสไตน์ก็อยากไปเหมือนกัน พูดแบบนี้แสดงว่ายังไม่เคยไป อิอิ

    ส่วนสวิสเป็นประเทศที่ถ่ายรูปมาแล้วสวยกว่าของจริง(ในสายตาิอิผมน๊ะ)

     

     

     

    ไม่ใช่ ทายผิด ไม่อยากบอกว่าไปมานานมากๆๆๆๆๆๆ ตั้งแตเอ๊อะๆๆๆ พาพ่อ กะแม่กะน้องไป อิอิ เดี๋ยวจะเดาอายุถูก แต่ interlaken ยังไม่ได้ไป ครั้งหลังสุด ไปที่ schonenwerd ไม่รู้จะเรียกว่าตำบล หรืออำเภอ อยู่ไม่ไกลจากเมือง Olten วันนี้โม้ซะหน่อย พูดถึงอดีตแล้วมีความสุขที่ได้เที่ยว ทำงาน มีตังใช้ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก ทุกคนแข็งแรงดี


  20. "ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่ เลว" .... โดยท่าน ว.วชิรเมธี

     

     

     

    หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าว “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” กันมาบ้างแล้ว

     

    คำกล่าวนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของจิต หรืออีกนัยหนึ่งของความคิดได้เป็นอย่างดีว่า จิตกำหนดวัตถุ หรือกายเป็นไปตามอำนาจของจิต

     

    ผู้รู้ท่านหนึ่งเคยกล่าวถึงความสำคัญของจิต หรือความคิดไว้ว่า

     

     

    “เธอจงระวังความคิด เพราะความคิดจะกลายเป็นการกระทำ

     

    เธอจงระวังการกระทำ เพราะการกระทำจะกลายเป็นนิสัย

     

    เธอจงระวังนิสัย เพราะนิสัยจะกลายเป็นบุคลิก

     

    เธอจงระวังบุคลิก เพราะบุคลิกจะกำหนดชะตากรรมของเธอ”

     

     

     

     

    ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่า เรามีความคิดหรือวิธีคิดอย่างไร ในทางพุทธศาสนานั้น ท่านให้ความสำคัญกับวิธีคิดเป็นอันมาก พระนักปราชญ์ท่านหนึ่งได้ประมวลวิธีคิดในพุทธศาสนาไว้ว่ามีมากกว่า ๑๐ วิธี

     

    วิธีคิดอย่างหนึ่ง ซึ่งเราควรนำมาปรับใช้ในชีวิตก็คือ วิธีคิดเชิงบวก

     

    วิธีคิดเชิงบวก หมายถึง การ รู้จักเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งโดยมากมักแสดงตัวให้เราได้สัมผัสในแง่ลบ แต่พอเราพลิกมุมมองใหม่ เราจะได้อะไรดีๆ จากเรื่องลบๆ เหล่านั้น

     

    เช่น ในชีวิตจริงของผู้เขียนซึ่งทำงานกับคนหมู่มาก มักจะพบกับคำชมและคำด่าอยู่เสมอ ๆ เมื่อแรกเผชิญกับคำชม ผู้เขียนก็ฟู ครั้นพบกับคำด่าก็แฟบ แต่เมื่อเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อคำชมและคำด่า ก็รู้สึกว่า ได้คุณค่าจากคำด่าคำชมเป็นอันมาก

     

     

    คำชมนั้น สำหรับคนที่ไม่คิดอะไรมาก ดูเหมือนว่า ไม่ลำบากใจเลยที่จะน้อมรับ แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว คำชมนั่นแหละคืออันตรายยิ่งกว่าคำด่า เพราะ หากเรารู้ไม่ทัน คำชมจะทำให้เราหลงตัวเองและมีโอกาสลืมตัวสูง ส่วนคำด่า ถ้าพิจารณาไม่ดีก็ทำให้เราเสียศูนย์ได้ง่ายๆ แต่หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งด้วยวิธีคิดแบบมองโลกในแง่ดี บางทีคำด่ากลับมีค่ามากกว่าคำชม

     

     

    คำด่ามีค่ามากอย่างไร ?

     

    (๑) คำด่า คือ กระจกเงาสะท้อนความบกพร่องของงานที่เราทำ

     

    (๒) คำด่า มักแฝงคำแนะนำมาด้วยเสมอ

     

    (๓) คำด่า บอกเราว่า สิ่งที่เราทำอยู่นั้นหากมีคนที่คิดไม่เหมือนเราเขามองดูอยู่ เขาเห็นอะไรในสิ่งที่เรามองไม่เห็นบ้าง

     

    (๔) คำด่า คือ กระดาษทรายอย่างดี ที่คอยขัดสีฉวีวรรณให้เรามีความกลมกล่อมลงตัวเหมือนพระประธานที่ต้องถูกกระด าษทรายขัดสีฉวีวรรณจนผุดผ่อง

     

    (๕) คำด่า ทำให้เราไม่ประมาทผลีผลามทำอะไรด้วยความเชื่อมั่นมากเกินไป

     

    (๖) คำด่า ทำให้รู้ว่า มีคนรักหรือเกลียดเรามากน้อยแค่ไหน

     

    (๗) คำด่า ทำให้รู้ว่า อย่างน้อยก็มีคนสนใจในสิ่งที่เราทำ หรืออย่างน้อย สิ่งที่เราทำมันกำลังส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงมีคนอุทิศตนมาสนใจและด่าอย่างเป็นงานเป็นการ

     

    (๘) คำด่า จะทำให้เราได้หันกลับมาดูภูมิธรรมของตนเองว่า เข้มแข็งมากน้อยแค่ไหน เมื่อทุกข์กระทบแล้วธรรมกระเทือน หรือกิเลสกระเทือน ถ้าธรรมกระเทือนแสดงว่าเราฝึกตนเองมาดี แต่ถ้ากิเลสกระเทือนแสดงว่า ต้องกลับไปฝึกจิตตัวเองใหม่ให้เข้มแข็งกว่านี้

     

    (๙) คำด่า ทำให้เราได้รู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครหนีโลกธรรม ๘ ได้ (ได้ลาภ เสื่อมลาภ,ได้ยศ เสื่อมยศ,สรรเสริญ นินทา,สุข ทุกข์)

     

    (๑๐) คำด่า คือ บทเรียนเรื่องการปล่อยวางตัวกูหรืออัตตาที่ดีที่สุด เพราะหากเรายังปล่อยวางตัวกูไม่ได้ เราก็จะต้องหาวิธีด่าคืนอยู่ไม่สิ้นสุด แต่เมื่อเราปล่อยวางตัวกูได้แล้ว คำด่านั่นเองคือบททดสอบที่ดีที่สุด

     

     

    เพราะคำ ด่ามีคุณค่ามากกว่าคำชมดังกล่าวมานี้เอง ทุกครั้งที่ถูกด่า ผู้เขียนก็บอกตัวเองว่า ไม่เลวเหมือนกัน ได้พบอาจารย์ใหญ่ที่เข้มงวดอีกแล้ว เวลาเจอคำชม ผู้เขียนจะบอกตัวเองว่า ระวังเอาไว้หน่อย โบราณท่านเตือนว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” ถ้าเราไม่หวั่นเกรงต่อคำด่า ไม่เสียท่าต่อคำชม ชีวิตก็สบายไปแล้วครึ่งหนึ่ง

     

    ในทุกวันที่เราต้องทำงานกันตัวเป็น เกลียว เชื่อเหลือเกินว่า เราแต่ละคน คงจาริกอยู่ท่ามกลางคำด่าและคำชมกันทั้งนั้น หลังอ่านบทความนี้จบแล้ว ลองเปลี่ยนมุมมองต่อคำชมคำด่าดู แล้วเราจะพบว่า สิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์อย่างคำด่านั้น จริงๆ แล้ว แฝงเพชรนิลจินดาแห่งสติปัญญาเอาไว้อย่างแวววาวพราวพรายไม่น้อยเลยทีเดียว

     

    โดย ท่าน ว.วชิรเมธีhttp://www.vimuttayalaya.net/DharmaDaily.aspx?id=49&page=9


  21. เปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา

     

     

    img3_59572.jpg

     

     

    ปัญหาคือส่วนหนึ่งของชีวิต เตรียมใจพร้อมต้อนรับมันดีกว่า

     

    "ปัญหา" เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็อยากเลี่ยงหลีก แต่ไม่มีใครที่หนีมันพ้นได้ เพราะปัญหาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ในเมื่อเราไม่มีวันหนีปัญหาพ้น จะไม่ดีกว่าหรือหากเราเตรียมใจให้พร้อมเพื่อต้อนรับมันอยู่เสมอ

     

     

    การมองว่า "ปัญหา" เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ไม่มีใครหนีพ้น เช่นเดียวกับเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราเผชิญกับปัญหาได้โดยไม่ทุกข์มากนัก แต่วิธีที่ดีกว่านั้นก็คือการเปลี่ยน "ปัญหา" ให้กลายเป็น "ปัญญา" เพราะนอกจากจะไม่ทุกข์หรือ "ขาดทุน" แล้ว ยังได้ประโยชน์เป็น "กำไร" กลับมาด้วย

     

    ขอให้สังเกตคำว่า "ปัญหา" กับ "ปัญญา" นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก ต่างกันแค่ตัวเดียวคือ "ห" กับ "ญ" ในชีวิตจริง สิ่งที่เรียกว่า "ปัญหา" นั้นก็อยู่ใกล้กับ "ปัญญา" มากเช่นเดียวกัน

     

    ปัญหาสามารถก่อให้เกิดปัญญาได้หากรู้จักมองหรือใคร่ครวญกับมัน นักเรียนจะเฉลียวฉลาดได้ก็เพราะหมั่นทำการบ้าน การบ้านนั้นคืออะไรหากไม่ใช่ปัญหาหรือโจทย์ที่ต้องขบคิด ถ้าครูไม่ขยันให้โจทย์หรือตั้งคำถามให้นักเรียนขบคิด นักเรียนก็ยากที่จะเกิดปัญญาได้

     

    คนทั่วไปนั้นเมื่อเจอปัญหาก็จะเป็นทุกข์หรือกลัดกลุ้มไปกับมัน แต่ถ้าลองตั้งสติและพิจารณาให้ดี ปัญหาก็จะกลายเป็นปัญญาได้ไม่ยาก เมื่อ ๘๐ ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษคนหนึ่งได้เพาะเลี้ยงแบคทีเรียไว้ในจานเพื่อใช้ใน การศึกษาวิจัยเรื่องไข้หวัด วันหนึ่งเขาพบว่ามีเชื้อราเข้าไปปนเปื้อนและทำลายแบคทีเรียที่เพาะเอาไว้ นั่นหมายความว่าเขาต้องเพาะแบคทีเรียขึ้นใหม่

    เจ้าเชื้อราตัวนี้สร้างปัญหาให้นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ แต่แทนที่จะโมโห เขากลับฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้ามันฆ่าแบคทีเรียที่เพาะในจานได้ มันก็ต้องกำจัดแบคทีเรียที่ในร่างกายคนได้เช่นกัน ปัญญาเกิดขึ้นแก่นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ทันที นำไปสู่การค้นพบเพนนิซิลินหรือยาปฏิชีวนะ ซึ่งในเวลาไม่นานสามารถช่วยชีวิตผู้คนนับร้อยล้านคนทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้คืออเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่งนั่นเอง

     

    โลก ก้าวหน้าได้เพราะเรารู้จักเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา มองให้แคบลงมา ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหลังจากประสบวิกฤต บางคนเป็นโรคหัวใจเจียนตาย ภัยร้ายได้บังคับให้เขาต้องหันมาทบทวนชีวิตของตน และพบว่าการหมกมุ่นอยู่กับตนเอง ตัดขาดจากผู้อื่น และจมอยู่กับความหดหู่เศร้าหมอง เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เขามีอาการดังกล่าว เขาจึงปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เข้าหาผู้คน ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อผู้อื่น และปล่อยวางความกังวลหม่นหมอง ไม่นานสุขภาพของเขาก็ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น เขายอมรับว่า การเป็นโรคหัวใจเป็นสิ่งดีที่สุดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเขา

     

    เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา แทนที่จะคร่ำครวญหรือตีอกชกหัว ลองใคร่ครวญดูให้ดี จะพบว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถ้าเรามองสัญญาณนี้ออก นั่นแสดงว่าปัญญาได้เกิดแก่เราแล้ว ขั้นต่อไปก็คือเปลี่ยนทัศนคติ พฤติกรรม หรือการใช้ชีวิตให้ถูกต้อง เหมาะสม และชาญฉลาด

     

    ไม่ควรมองว่าปัญหาคือ "ทางตัน" ถ้ามองให้ดีในตัวปัญหานั้นก็มี "ทางออก" ด้วยเหมือนกัน อย่าลืมว่า สลักที่ล็อคประตูนั้นก็เป็นสลักอันเดียวกับที่ใช้เปิดประตู สวิตช์ที่ปิดไฟก็เป็นอันเดียวกับที่ใช้เปิดไฟให้สว่าง ฉันใดก็ฉันนั้นในคำถามก็มีคำตอบเฉลยอยู่

     

    จะว่าไปแล้วปัญหาหรือความทุกข์ทั้งหลายไม่ได้มีไว้ให้เราคร่ำครวญ แต่มีไว้ให้ใคร่ครวญนั่นเอง ในความทุกข์นั้นก็มีทางออกจากความไม่ทุกข์แฝงอยู่เสมอ ในภาพยนตร์เรื่อง Batman Begins เด็กชายบรู๊ซ (ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นมนุษย์ค้างคาว)ได้พลัดตกลงไปในหลุม เมื่อพ่อช่วยขึ้นมาแล้ว ได้ถามลูกว่า "รู้ไหมทำไมคนเราถึงหกล้ม" ลูกนึกไม่ออก พ่อจึงเฉลยว่า "ก็เพื่อเราจะได้รู้วิธีลุกขึ้นมาไงล่ะ"

     

    ความ ทุกข์มีขึ้นก็เพื่อสอนเราให้รู้จักหลุดพ้นจากความทุกข์ ปัญหาเกิดขึ้นก็เพื่อสอนเราให้เกิดปัญญา ด้วยเหตุนี้ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากคือครูที่มาสอนให้เราฉลาดขึ้นนั่นเอง

     

     

    จาก: นิตยสาร Teens & Family


  22. นิทาน ตะปู

     

    1_display.jpg

     

     

    มีเด็กน้อยคนหนึ่งที่สีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก

    พ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขา หนึ่งถุง และบอกกับเขาว่า

     

    ทุกครั้งที่เขารู้สึกโมโห หรือโกรธใครสักคน

    ให้ตอกตะปู 1 ตัวเข้าไปกับรั้วที่หลังบ้าน

     

    วันแรกผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเขาไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว

    และก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันที่ผ่านไป

     

    ก็ลดจํานวนลง น้อยลง น้อยลง เพราะเขา รู้สึกว่า

    การรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง ให้สงบ ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ

     

    และแล้วหลังจากที่เขาสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น

    ใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบกับพ่อและบอกกับพ่อของเขาว่า

     

    เขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้ว

    ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็นมา พ่อยิ้ม และบอกกับลูกชายของเขาว่า

     

    ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเจ้าต้องพิสูจน์ให้พ่อรู้

    โดยทุกๆ ครั้งที่เขาสามารถควบคุมอารมณ์ ฉุนเฉียวของตนเองได้

     

    ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน 1 ตัว ทุกครั้ง[/b]

    วันแล้ววันเล่า เด็กน้อยคนนั้นก็ค่อยๆ

     

    ถอนตะปูออกทีละตัว จาก 1 เป็น 2 ....

    จาก 2 เป็น 3 จนในที่สุดตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออก จนหมด

     

    เด็กน้อยดีใจมากรีบวิ่งไปบอกกับพ่อเขาว่า

    ฉันทำได้ ในที่สุดฉันก็ทำจนสำเร็จ !!

     

    พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่จูงมือลูกของเขาออกไปที่รั้วหลังบ้าน

    และบอกกับลูกว่า ทำได้ดีมาก ลูกพ่อ และเจ้าลองมองกลับไปที่รั้วเหล่านั้นสิ

     

    เจ้าเห็นหรือไม่ว่า รั้วนั้นมันไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือน..กับที่มันเคยเป็น

    จำไว้นะลูก เมื่อใดก็ตามที่เจ้าทำอะไรลงไปโดยใช้อารมณ์

     

    สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผล เหมือนกับการเอามีดที่แหลมคมไปแทงใครสักคน

    ต่อให้ใช้คำพูด ว่า ขอโทษ สักกี่หน ก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด

     

    ไม่อาจลบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับเขาคนนั้นได้ ฉันใดก็ฉันนั้น กับเพื่อน ..

    เพื่อนเปรียบเสมือน อัญมณีอันมีค่าที่หายาก เป็นคนที่ทำให้เรายิ้ม

     

    เป็นคนที่คอยให้กำลังใจและยินดีเมื่อเราพบกับความสำเร็จ

    เป็นคนที่คอยปลอบใจเราเมื่อยามเศร้า ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรา

     

    และจริงใจกับเราเสมอ ... แสดงให้เขาเห็น ว่าเราห่วงใยเขามากแค่ไหน

    และระวังสิ่งที่เราทำไป ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ

     

    และจงจดจำไว้เสมอว่า คำขอโทษ

    ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่ก็ตามแต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น

    คือ รอยร้าวที่เขาคงไม่อาจลืมมันได้ ...... ตลอดไป

     

    หวังว่านิทานนี้คงช่วยให้พวกเรา อยู่ร่วมกัน ทำงาน ร่วมกัน คบกัน

     

    ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกันขึ้นเรื่อยๆ ตลอดไป.....


  23. ข้อคิดดีๆค่ะ

     

     

    สิ่งที่แข็งที่สุด..

    เอาชนะได้ด้วย..สิ่งที่อ่อนที่สุด

    ------------

     

    เมื่อประตูบานหนึ่งปิด.. อีกบานหนึ่งก็เปิด..

    แต่บ่อยครั้ง..ที่เรามัวแต่จ้องประตูบานที่ปิด

    จนไม่ทันเห็นว่า...มีอีกบาน-ที่เปิดอยู่

    -----------

     

    อย่ามัวค้นหา..ความผิดพลาด

    จงมองหา..หนทางแก้ไข

    -----------

     

    อารมณ์ขัน..เป็นสิ่งยอดเยี่ยมที่สุด..

    ที่ช่วยรักษาสิ่งอื่นได้...

    เพราะทันที-ที่เกิดอารมณ์ขัน

    ความรำคาญ..และความขุ่นข้อง-หมองใจ..จะหายไป

    กลับกลายเป็น..ความเบิกบานแจ่มใส..ของจิตใจ

    เข้ามาแทนที่

    ------------

     

    อย่ากลัว..ที่จะนั่งหยุดพัก..

    เพื่อคิด

    -----------

     

    1 นาที..ที่คุณโกรธ

    เท่ากับ..คุณได้สูญเสีย 60 วินาที

    แห่งความสงบในจิตใจ..ไปแล้ว

    ------------

     

    หนทางเดียว..ที่จะรักษาภาพพจน์ได้..คือ..

    การซื่อสัตย์..ตลอดเวลา

    -------------

     

    ผู้ชนะ..ไม่เคยลาออก

    และผู้ลาออก..ก็ไม่เคยชนะ

    ------------

     

    ออกซิเจน..สำคัญต่อปอดเช่นไร

    ความหวัง..ก็เป็นเช่นนั้น

    ต่อความหมาย..ของชีวิต

    -------------

     

    การมีชีวิตอยู่-นานเท่าใด..

    มิใช่..สิ่งสำคัญ

    สิ่งสำคัญ..ก็คือ .มีชีวิตอยู่-อย่างไร

    -------------

     

    เราเข้าใจชีวิต..

    เมื่อมองย้อนหลัง..เท่านั้น

    แต่..เราต้องดำเนินชีวิต..ไปข้างหน้า

    ------------

     

    ไม่มีสิ่งใด..ช่วยให้คุณ..ได้เปรียบคนอื่น

    มากเท่ากับ..

    การควบคุมอารมณ์..ให้สงบนิ่ง..อยู่ตลอดเวลา

    ในทุกสถานการณ์

    ------------

     

    ความอดทน..

    คือ..เพื่อนสนิท..ของสติปัญญา

    -------------

     

    พรสวรรค์ยิ่งใหญ่..ของมนุษย์

    คือ .การที่เราสามารถ..เอาใจเขา-มาใส่ใจเราได้

    -------------

     

    ในธรรมชาติ..ไม่มีสิ่งใดดีพร้อม

    แต่ทุกอย่าง..ก็สมบูรณ์แบบในตัวเอง

    ต้นไม้..อาจบิดเบี้ยว-โค้งงอ..อย่างประหลาด

    แต่ก็ยังคง..ความงดงาม

    -------------

     

    มักพูดกันว่า..

    กาลเวลา..เปลี่ยนทุกสิ่ง

    แต่จริงๆแล้ว .

    คุณ..ต้องเปลี่ยนทุกสิ่ง..ด้วยตนเอง

×
×
  • สร้างใหม่...