ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

ทองใหม่

ผู้นำชุมชน
  • จำนวนเนื้อหา

    9,822
  • เข้าร่วม

  • วันที่ชนะ

    484

ทุกๆอย่างที่โพสต์โดย ทองใหม่

  1. ก.แรงงานสหรัฐฯเปิดเผยตัวเลขว่างงานลดลงส่งดาวโจนส์ปิดพุ่ง 120.71 จุด วันศุกร์ที่ 09 กรกฏาคม 2010 เวลา 07:10 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวต่างประเทศ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ (8 ก.ค.) ปิดบวกถึง 120.71 จุด หรือ 1.20 % โดยปรับบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 10,138.99 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 9.98 จุด หรือ 0.94% ปิดที่ 1,070.25 จุด และดัชนีแนสแดค ปิดบวก 15.93 จุด หรือ 0.74% ปิดที่ 2,175.40 จุด ตลาดหุ้นได้รับปัจจัยบวกหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขว่างงานรายสัปดาห์ลดลง จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 3 ก.ค. ลดลง 21,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 454,000 ราย ต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ค.เป็นต้นมา และลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์าดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 460,000 ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเฉลี่ย 4 เดือน ลดลง 1,250 ราย มาอยู่ที่ 466,000 ราย นอกจากนี้ ยังมีแรงส่งที่ทำให้การซื้อขายคึกคักจากการที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ขึ้นเป็น 4.5% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวเพียง 4.1% ขณะเดียวกัน ไอเอ็มเอฟได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 2.7% เป็น 3.3% ขณะที่คาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจยุโรปที่ใช้สกุลเงินยูโร ยังคงทรงตัวที่ระดับ 1% ส่วนการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย ไอเอ็มเอฟปรับเพิ่มคาดการณ์จากเดิม 7 % เป็น 7.5% โดยได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนเป็น 10.5% จากเดิม 10% ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจญี่ปุ่นเป็น 2.4% จากเดิม 1.9% และปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจอินเดียเป็น 9.4% จากเดิม 8.8% ขณะเดียวกันตลาดฯได้รับปัจจับบวกจาก ผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกในสหรัฐ ออกมาดีสอดคล้องกับการรายงานของสมาคมศูนย์การค้าระหว่างประเทศ (ICSC) ที่ระบุว่า ยอดค้าปลีกของสหรัฐในช่วง 5 เดือนแรกของปีบัญชีเริ่มต้น 31 เดือนมกราคมปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4% ซึ่งนับเป็นระดับสูงที่สุดนับแต่ปี 2549 ทางด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ส่งมอบเดือนส.ค. บวก 1.37 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปิดตลาดที่ 75.44 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และน้ำมันดิบเบรนท์ ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือนส.ค. บวก1.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปิดตลาดที่ 74.71 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
  2. ทองคำปิดลบ 2.80 ดอลลาร์สหรัฐ วันศุกร์ที่ 09 กรกฏาคม 2010 เวลา 07:20 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวต่างประเทศ ตลาดนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ (8 ก.ค.) ทองคำโคเม็กซ์ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 2.80 ดอลลาร์ มาปิดที่ระดับ 1,196.10 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ นักลงทุนคลายกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสัปดาห์ที่แล้วลดลง 21,000 ราย แตะระดับ 454,000 ราย ประกอบกับไอเอ็มเอฟปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกจาก 4.1% เป็น 4.5 % ทำให้ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยลดลงด้วย
  3. วิธีดูทิศทางทอง ต้าน๓----หนุน๓เป็นทิศทางทองที่จะเคลื่อนไหวในวันนี้ หากพุ่งทะลุต้าน๓หรือดิ่งทะลวงหนุน๓ แสดงถึงวันนั้นทองเคลื่อนไหวแรงเกินปกติ เส้นแดนเป็นเส้นที่จะแบ่งแยกทิศทางของทองที่จะขึ้นหรือลง หากทองเคลื่อนไหวอยู่ในทิศทางใดมากและนาน นั่นหมายถึงโอกาสเป็นไปได้มากที่ทองจะเคลื่อนไปในทิศทางนั้นๆ ในช่วงเวลานั้น (ยังต้องแบ่งออกในช่วงเวลาตลาดเอเซีย ยุโรป เมกาด้วย) ต้าน๑และหนุน๑หากถูกทดสอบแบบมีผล(ขึ้นลงมากกว่า๑ครั้ง)แล้วยืนอยู่ได้ นั่นคือทิศทางทองที่จะเดินต่อไปในช่วงเวลานั้น หากการวิเคราะเกิดขัดแย้งกันเมื่อไหร่ ให้หยุดมองดูอย่างเดียว ไม่ควรซื้อ-ขายในช่วงเวลานั้น แนวทางนี้เหมาะกับการเล่นสั้นมาก (เล่นแบบออนไลน์ในอนาคต) มีความแม่นยำถึง80%ครับ อีกอย่างข่าวปัจจัยพื้นฐานอาจเปลี่ยนทิศทางทองได้กะทันหันนะครับ ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์กับการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย ถัาติดดอยเมื่อทองต่ำลงมา หากยังมีเงินเหลืออยู่ ควรซื้อเพิ่ม เพิ่มที่ละนิด ต่ำอีกซื้ออีก เพื่อดึงต้นทุนที่สูงให้ต่ำลงมา ใครที่ยังไม่มีทองในมือควรทยอยซื้อเข้าอย่ามากนัก หากทองลงอีก เราก็ซื้ออีก ดีกว่าเวลาทองขึ้นเราไปไล่ซื้อในราคาที่สูง จดจำเป็นคติเตือนใจว่า เรามิอาจซื้อได้ในราคาที่ต่ำสุด และขายได้ในราคาที่สูงสุด ไม่มีการลงทุนใดที่ไม่เสี่ยง การบริหารพอร์ตให้ได้จังหวะ จะลดความเสี่ยงลงได้ครับ กราฟสำคัญ ปัจจัยพื้นฐานก็สำคัญ จิตวิทยาการโน้มเอียงของคนก็สำคัญ สิ่งเหล่านี้หากเป็นไปในแนวเดียวกัน ก็จะมุ่งไปทางนั้น หากแย้งกันก็ต้องดูฝ่ายไหนเหนือกว่า.....ด้วยเหตุนี้ไม่มีนักวิเคราะห์คนใดที่จะทำนายได้แม่นยำตลอดกาลได้ครับ
  4. วันนี้ยังคงอยู่ในกรอบการเคลื่อนไหวนี้ครับ 1247.5 ----------จุดสูงของวันที่30 มิย. หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อขึ้นจะเทขาย 1225.0-----------จุดต่ำของวันที่23 มิย. หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อขึ้นจะเทขาย 1214.40---------จุดสูงของวันที่02 กค. หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อขึ้นจะเทขาย 1185.00---------จุดต่ำของวันที่07กค. หากถึงและมีแรงต้าน ให้ซื้อขึ้น 1166.00---------จุดต่ำของวันที่21พค. หากถึงและมีแรงต้าน ให้ซื้อขึ้น หากด่านแตกทะลวงลง ให้ซื้อลง 1145.00---------จุดต่ำของวันที่03มีค. หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อลงเทขายและเปลี่ยนเป็นซื้อขึ้น เวลาอ่านแล้วต้องรู้จักคิดด้วยนะครับ เช่น"หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อขึ้นจะเทขาย" ต้องรู้จักคิดกลับ---"หากถึงและมีแรงส่งขึ้นต่อ ผู้ซื้อขึ้นก็ถือต่อ ผู้ซื้อลงให้ตัดเนื้อขายออกเสีย " อะไรทำนองนี้เป็นต้นนะครับ
  5. เส้นปากถุง (BollingerBandsเส้นสีขาวทั้ง๓เส้น)แบบง่ายๆ ไม่ปวดเศียรเวียนเกล้า เส้นบน---แนวต้าน เส้นกลาง---แนวโน้ม(สำคัญสุด) เส้นล่าง---แนวหนุน ลักษณะที่๑---ทิศทางขึ้นเบื้องต้น---เส้นบนหันหัวขึ้น เส้นกลางหันหัวขึ้น เส้นล่างหันหัวลง ลักษณะที่๒---ทิศทางขึ้นเต็มตัว---เส้นบน กลาง ล่าง ล้วนหันหัวขึ้น เมื่อเจอลักษณะทั้ง๒นี้ ราคาระหว่างวันที่ขึ้นๆลงๆ เมื่อเจอจุดที่เห็นว่าต่ำแล้วให้ซื้อเข้าได้เลยครับ ขอเพียงเส้นกลาง(แนวโน้ม)ยังหันหัวขึ้นอยู่ แม้ราคาเแท่งเทียนจะอยู่ต่ำกว่าเส้นกลาง ก็ยังซื้อเข้าได้ หากเส้นบนเดินขวางเมื่อไหร่ ให้ทยอยลดพอร์ตได้เลยครับ ลักษณะที่๓---เลือกทิศทาง---เส้นบนหันหัวลง เส้นล่างหันหัวขี้น ปากถุงแคบลง ถึงช่วงนี้ ให้ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว หากใครยังคิดอยากเคลื่อนไหว ก็จงเคลื่อนไหวไปหน้าทีวี จงอย่าทำการอย่างอื่นใด หากใครเป็นจอมยุทธ์ ก็ชิงเคลื่อนไหวก่อนใครได้ ขอแถมอีกนิด จงโฟกัสที่เส้นกลาง หากเส้นกลางเริ่มขยบหัวหัวขึ้นหรือลง ทิศทางอาจขึ้นหรือลงตามเส้นกลางแนวโน้มนั้น ลักษณะที่๔---เคลื่อนไหวในกรอบแคบ---เส้นบน กลาง ล่าง เดินขวางทั้ง๓เส้น หากใครเล่นออนไลน์ สามารถเล่นได้เล็กน้อยอย่ามาก เมื่อราคาแท่งเทียนใกล้เส้นบน จงขาย ใกล้เส้นล่าง จงซื้อ ต้องเข้าออกให้ทันการณ์ หาไม่แล้วจากกำไรอาจขาดทุนได้นา ขอบอก ลักษณะที่๕---ทิศทางลงเบื้องต้น---เส้นบนหันหัวขึ้น เส้นกลางหันหัวลง เส้ยล่างหัวหัวลง ลักษณะที่๖---ทิศทางลงเต็มตัว---เส้นบน กลาง ล่าง ล้วนหันหัวลง เมื่อเส้นล่างเดินขวางเมื่อไหร่ ผู้ที่ใจกล้าที่เล่นออนไลน์ เริ่มทยอยซื้อเข้าได้ที่ละนิด อัตราเสี่ยงยังมีอยู่บ้างนะครับ สิบอกไห่ วิธีดูเส้นปากถุงที่กล่าวมานี้ .....ไม่ใช่ตำราของฝรั่ง แบบของฝรั่งผมเคยอ่านมาบ้างแล้ว ยาวมาก ปวดหัว ทำความเข้าใจได้ยากมากๆๆๆๆ ...........เหมาะเฉพาะกราฟราย๔ชม.และช่วงปกติเท่านั้นนะครับ (บางครั้งตลาดจงใจคึงขึ้นลงอย่าแรงๆ แทบหัวใจวายสำหรับผู้มีทองในมือและผิดทิศทางของตัวเอง เรียกว่า ช่วงไม่ปกติครับ) ดูกราฟทุกครั้งให้ดูที่หัวมุมซ้ายบน จะบอกเวลา H4=4=ชม. H1=1ชม. D1=1วัน
  6. กราฟGold 1 ช่อง1 เส้นแดงอยู่เหนือเส้นเขียว---ทิศทางขึ้น ผู้เล่นออนไลน์ให้ดูเส้นปะ(เส้นปะสีขาว---เส้นแนวต้านและหนุน)และเส้นแนวโน้ม(เส้นแนวโน้ม---สีฟ้า---ทิศทางขึ้น สีเหลืองทอง—ทิศทางลง สีขาว—กำลังหาทิศใหม่)ประกอบ ตั้งจุดกำไรและขาดทุน เส้นเขียวอยู่เหนือเส้นแดง---ทิศทางลง ผู้เล่นออนไลน์ให้ดูเส้นปะ(เส้นปะสีขาว---เส้นแนวต้านและหนุน)และเส้นแนวโน้ม(เส้นแนวโน้ม---สีฟ้า---ทิศทางขึ้น สีเหลืองทอง—ทิศทางลง สีขาว—กำลังหาทิศใหม่)ประกอบ ตั้งจุดกำไรและขาดทุน เส้นแดงและเขียวประสานเป็นกากะบาด ---กำลังจะเปลี่ยนทิศ ให้ดูเส้นแนวโน้มประกอบ หากเส้นแดงและเขียวกำลังจะประสาน แต่ไม่ทันได้ประสานก็หันหันหัวกลับขึ้นหรือลง แสดงว่ากำลังมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนี่งเกิดขึ้น หากขึ้นทะลุเส้นปะแนวต้าน ให้ดูเส้นปะแนวต้านเส้นต่อไป หากลงทะลุเส้นปะแนวหนุน ให้ดูเส้นแนวหนุนเส้นต่อไป ส่วนจุดกลมเหลืองทอง---ทิศทางลง จุดกลมฟ้า---ทิศทางขึ้น หากกราฟวิ่งในยามปกติ พอเชื่อถือได้ หากกราฟวิ่งขึ้นลงแรงๆ คือยามไม่ปกติ ไม่อาจเชือถือได้ ช่อง2 ให้ดูเส้นสีม่วง ประกอบกับเส้นแนวโน้มในช่อง1 หากหันหัวไปในทิศทางเดียวกัน โอกาสที่จะผิดพลาดก็มีน้อย ส่วนเส้นปะสีเหลืองทองและฟ้า หากขึ้นเหนือเลข80 เข้าสู่เขตซื้อเกิน ระวังจะเปลี่ยนทิศได้ทุกเมื่อ หากลงต่ำกว่าเลข20 เข้าสู่เขตขายเกิน ระวังจะเปลี่ยนทิศได้ตลอดเวลา ช่อง3 ให้ดูทั้ง2เส้น คือเหลืองทองและฟ้า หันหัวไปทิศทางเดียวกันหรือไม่ เท่านั้นยังไม่พอ ให้ดูประกอบทิศทางในช่อง1ว่าเป็นทิศทางเดียวกันหรือไม่ หากทิศทางหันหัวในแนวเดียวกัน ทิศทางนั้นเชื่อถือได้ ดูกราฟทุกครั้งให้ดูที่หัวมุมซ้ายบน จะบอกเวลา H4=4=ชม. H1=1ชม. D1=1วัน
  7. คัมภีร์ไร้เทียมทาน ที่ไม่เคยบอกใครมาก่อน ไม่ห่วงไม่รักไม่บอกนะเนี่ย ฮาฮา แหย่เล่นจ้า 1247.5 ----------จุดสูงของวันที่30 มิย. หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อขึ้นจะเทขาย 1225.0-----------จุดต่ำของวันที่23 มิย. หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อขึ้นจะเทขาย 1214.40---------จุดสูงของวันที่02 กค. หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อขึ้นจะเทขาย 1185.00---------จุดต่ำของวันที่07กค. หากถึงและมีแรงต้าน ให้ซื้อขึ้น 1166.00---------จุดต่ำของวันที่21พค. หากถึงและมีแรงต้าน ให้ซื้อขึ้น หากด่านแตกทะลวงลง ให้ซื้อลง 1145.00---------จุดต่ำของวันที่03มีค. หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อลงเทขายและเปลี่ยนเป็นซื้อขึ้น เวลาอ่านแล้วต้องรู้จักคิดด้วยนะครับ เช่น"หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อขึ้นจะเทขาย" ต้องรู้จักคิดกลับ---"หากถึงและมีแรงส่งขึ้นต่อ ผู้ซื้อขึ้นก็ถือต่อ ผู้ซื้อลงให้ตัดเนื้อขายออกเสีย " อะไรทำนองนี้เป็นต้นนะครับ
  8. ผู้ค้าน้ำมันทุกรายประกาศลดราคาน้ำมัน60สต./ลิตรมีผลพรุ่งนี้ วันพฤหัสบดีที่ 08 กรกฏาคม 2010 เวลา 11:45 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ ผู้ค้าทุกรายประกาศปรับลดราคาน้ำมันทุกชนิดลงอีกลิตรละ 60 สตางค์ ยกเว้นดีเซล B3 ที่ลดลงแค่ลิตรละ 30 สตางค์ หลังสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มอ่อนตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา โดยจะมีผลตั้งแต่เวลา 05.00 น.ของวันพรุ่งนี้ (9 ก.ค.) ทั้งนี้จะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในสถานีบริการน้ำมันเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลวันพรุ่งนี้ เป็นดังนี้ เบนซิน 91 ลิตรละ 35.04 บาท, แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 31.24 บาท, แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 29.74 บาท, E85 ลิตรละ 18.82 บาท, ดีเซล B3 ลิตรละ 27.99 บาท และดีเซล B5 ลิตรละ 26.79 บาท นายวิทยา หวังจิตรารักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ การตลาดขายปลีก หน่วยธุรกิจน้ำมัน บมจ.ปตท.(PTT) กล่าวว่า ความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยซ้ำสอง ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มอ่อนตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือน แต่ราคาน้ำมันยังผันผวนและมีโอกาสดีดตัว หากมาตรการต่างๆ ที่ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปกำลังดำเนินการอยู่นั้นสามารถดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับมาได้ ประกอบกับทาง EIA ได้ปรับเพิ่มอัตราการเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันโลกปี 53 มาอยู่ที่ 85.82 ล้านบาร์เรลต่อวัน อีกทั้งยังคงต้องจับตามองสถานการณ์การก่อตัวของพายุในอ่าวเม็กซิโกที่อาจทำให้แหล่งผลิตต้องปิดดำเนินการชั่วคราว และกระทบต่อราคาน้ำมันต่อไปได้ ล่าสุดราคาปิดตลาดสิงคโปร์น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 69.15 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล น้ำมันสำเร็จรูปเบนซิน 95 อยู่ที่ 79.45 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 81.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล นายวิทยา กล่าวว่า การปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มดีเซลที่มีอัตราไม่เท่ากันในครั้งนี้ ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันไบโอดีเซล B5 มีความแตกต่างกันมากขึ้น จากเดิมที่ต่างกันอยู่ 0.90 บาทต่อลิตร เพิ่มเป็น 1.20 บาท/ลิตร ทั้งนี้เพื่อเป็นการจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใช้พลังงานทดแทน คือ น้ำมันไบโอดีเซล B5 ให้มากขึ้น ถือเป็นการเตรียมความพร้อมในการสร้างความคุ้นเคยให้กับผู้บริโภค ในการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B5 ตามนโยบายของภาครัฐฯ ที่จะกำหนดให้มีการจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล B5 เพียงชนิดเดียวในปี 54
  9. Tisco Market Insight : บทวิเคราะห์และกลยุทธ์รายวัน วันพฤหัสบดีที่ 08 กรกฏาคม 2010 เวลา 10:04 น. บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ Tisco Market Insight : บทวิเคราะห์และกลยุทธ์รายวัน สรุปภาวะตลาดวันก่อน •SET ปิด -0.84 จุด หรือ -0.10% มาที่ 814.68 โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 31,565.81 ล้านบาท ดัชนีกลุ่มแบงก์ -0.49%, กลุ่มพลังงาน -0.87% และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ -0.17% ตลาดหุ้นยังมีแรงซื้อเก็งกำไรในหุ้นขนาดกลาง และเล็ก ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ราคาไม่ค่อยเคลื่อนไหวมากนัก จึงทำให้ตลาดหุ้นโดยรวมแกว่งตัวกรอบแคบ โดยมีความเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาค ทิศทางตลาดวันนี้ •แนวโน้ม SET เดือนนี้ ; หาก SET ยืนได้เหนือ 805 จุด – จะขึ้นแบบผันผวนเป้า 840 จุด แนวโน้ม SET เดือนนี้ – ตราบใด SET ยังยืนเหนือ 805 จุด – แนวโน้มจะขึ้นแบบผันผวน เป้าปลายเดือนนี้ที่ 840 จุด อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นสหรัฐ ฯ และยุโรปยังไม่น่าวางใจ – ดังนั้นการเล่นหุ้นไทยในรอบนี้ต้องเพิ่มความระมัดระวังและกำหนดจุดขายหุ้นตัดขาดทุน หาก SET เกิดสัญญาณลบโดยลงปิดต่ำกว่า Sma.10 วันที่ 805 จุด จะลงสู่ 795 , 785 จุด แนวโน้มวันนี้ คาด SET เปิดกระโดดขึ้นทดสอบแนวต้าน 820 จุด ผ่านได้ไปต่อถึง 825 จุด กรณีขึ้นไม่ผ่าน 820 จุด ระวังลงทดสอบแนวรับ 815 , 813 จุด กลยุทธ์การลงทุน ; 1. Port ลงทุน ; ถือรอขาย 840 จุด 2. Port เก็งกำไร ; ซื้อ 815 , 813 จุด – ขึ้นขาย 820 , 825 จุด 3. รอบนี้ SET ผันผวน กำหนดจุดขายตัดขาดทุน (Stop Loss) หาก SET ลงต่ำกว่า 805 จุด 4. หุ้นแนะนำ ; BBL , KTB , KABNK , PTTEP , BANPU, SCC , TASCO, STEC, CK , TTW , KSL , KEST , ASP 5. กองทุน FIF ที่ลงทุนในจีน ; แนะนำทยอยซื้อเดือนนี้ ปัจจัยติดตาม วันที่ เหตุการณ์ 8 ก.ค. ประชุมดอกเบี้ยธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และสหภาพยุโรป (ECB) ตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทย ในเดือน มิ.ย. ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์ สิ้นสุดวันที่ 3 ก.ค. 9 ก.ค. ตัวเลขสินเชื่อบุคคลของสหรัฐฯ ในเดือน พ.ค. ตัวเลขสต็อกสินค้าภาคค้าส่งของสหรัฐฯ ในเดือน พ.ค. 13 ก.ค. ตัวเลขดุลการค้าของสหรัฐฯ ในเดือน พ.ค. 14 ก.ค. ประชุมดอกเบี้ยธนาคารกลางไทย (BOT) ตัวเลขยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ในเดือน มิ.ย. ตัวเลขสต็อกสินค้าภาคธุรกิจของสหรัฐฯ ในเดือน พ.ค. ตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์ สิ้นสุดวันที่ 11 ก.ค. 15 ก.ค. ประชุมดอกเบี้ยธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐฯ ในเดือน พ.ค. ตัวเลขผลสำรวจภาคการผลิต (Empire Manuf.) ของสหรัฐฯ ในเดือน ก.ค. ตัวเลขผลิตและอัตราการใช้กำลังการผลิตของสหรัฐฯ ในเดือน มิ.ย. ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์ สิ้นสุดวันที่ 10 ก.ค.
  10. กราฟตาแป๊ะซ้ายบน ตัวหนังสือสีเขียว 卖 ---ขาย ตัวหนังสือสีแดง买----ซื้อ เส้นสีแดงหนา---ขาขึ้น เส้นสีเขียวหนา---ขาลง ขวาบน เส้นสีแดง---เสนอซื้มากกว่าเสนอขาย เส้นสีเขียว---เสนอขายมากกว่าเสนอซื้อ ส่วนช่วงกลางที่มีแท่งสีแดงกับเขียวนั้น แท่งแดง---แรงซื้อขึ้น แท่งเขียว---แรงขายลง ขวาช่องสอง แท่งเหลืองคู่เส้นแดง---ขาขึ้น แท่งฟ้าคู่เส้นเขียว---ขาลง โดยปกติ ช่องนี้จะเปลี่ยนแนวโน้มช้ากว่าเพื่อน หากเปลี่ยนแนวโน้มเมื่อไหร่ เขาให้ขายออกหรือซื้อเข้าได้ทันที่ ยกเว้นมีปัจจัยพื้นฐานแรงๆแทรกเข้ามา จึงจะทำให้แนวโน้มกลับเปลี่ยนได้โดยกะทันหัน ซ้ายช่องสอง หน้าเหลืองแป๊ะยิ้ม---ขาขึ้น หน้าแดงแป๊ะร้องไห้---ขาลง แท่งสีเขียว---เพดาน แท่งสีแดง---พื้นดินโดยปกติ ช่องนี้จะส่งสัญญาณว่า กำลังจะเปลี่ยนแนวทางแล้วนะ แต่ยังไม่เต็มร้อย อาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยกะทันหันก็ได้ ต้องดูซ้ายบนและขวาช่อง๒ประกอบด้วย จึงจะให้ความมั่นใจได้ กราฟรายวัน
  11. กรีซเตรียมระดมทุน 4,500 ล้านยูโรสัปดาห์หน้า Posted on Thursday, July 08, 2010 วอลล์สตรีทพุ่งรับข่าวค้าปลีกสหรัฐฯ แม้ปัจจัยว่างงานยังกดดัน นักลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทุ่มออเดอร์ซื้อรับข่าวยอดค้าปลีกที่ออกมาเพิ่มความมั่นใจ ก่อนเข้าสู่ฤดูการประกาศผลประกอบการที่จะเริ่มต้นขึ้นในสัปดาห์หน้า ขณะที่มีการเก็งกันว่าภาคธนาคารในยุโรปจะสามารถผ่านด่านทดสอบความแข็งแกร่งภาคการเงินหรือ stress test ได้ในที่สุด หุ้นกลุ่มค้าปลีกใน S&P 500 บวกคึกคัก เมื่อสภาศูนย์การค้าระหว่างประเทศหรือ International Council of Shopping Centers แย้มตัวเลขยอดขายที่อาจโตขึ้นในอัตราเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งถือเป็นการผ่อนคลายความกังวลในเรื่องความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อาจยังน้อยจนเป็นอุปสรรคขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอยู่ในขณะนี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของสภาศูนย์การค้านี้ยังบอกด้วยว่า ยอดขายเท่าที่ผ่านมาในปีนี้มาจากในส่วนของธุรกิจค้าส่งและเชนร้านค้าหรู โดยมองว่าลูกค้าระดับพรีเมี่ยมเริ่มกลับเข้ามาในตลาดเป็นครั้งแรกๆ หลังจากเจอพิษเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่ร้านค้าส่งได้รับอานิสงส์จากลูกค้าที่นิยมหาสินค้าให้ได้ราคาดีที่สุด ความเห็นดังกล่าวก็ไปสอดคล้องกับมุมมองของ CFO ของธุรกิจสินค้าหรู อย่าง บริษัท Tiffany & Co. ที่บอกว่า ลูกค้าของตนมีความรู้สึกเชื่อมั่นมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน แม้จะไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใดในการที่ประเด็นทางเศรษฐกิจและความผันผวนของตลาดหุ้นจะเข้ามามีส่วนพัวพันกับจิตวิทยาผู้บริโภค สำหรับเรื่องสำคัญที่มีผลต่อแนวโน้มยอดขายปลีกนับจากนี้ ยังอยู่ที่ภาวะการมีงานทำของคนในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐฯ ออกมาลดลงในเดือนมิถุนายน ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งแรกในปีนี้ และนี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้นักวิเคราะห์ของค่ายดัง อย่างเช่น Citigroup ออกมาหั่นคาดการณ์แนวโน้มราคาหุ้นของกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ที่รวมถึงห้างดัง อย่างเช่น Macy’s และเชนร้านค้าปลีกรายอื่นๆ ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 7 วันทำการ หลังจากมีการคาดการณ์ว่ายอดค้าปลีกจะขยายตัวเร็วที่สุดในรอบ 4 ปี ซึ่งจะเป็นการส่งสัญญานว่าเศรษฐกิจได้หลุดออกจากภาวะถดถอยอย่างชัดเจนมากขึ้น + คาดการณ์ว่าน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์จะลดลง ราคาทองคำขยับขึ้น หลังจากที่ตลาดหุ้นและค่าเงินยูโรรีบาวด์กลับขึ้นมา หลังจากที่ราคาร่วงลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ ทั้งนี้ หลังจากที่ราคาทองคำขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,264.90 ดอลลาร์ เมื่อช่วงปลายเดือนมิ.ย. แล้วนั้น ราคาได้ปรับลดลงไปแล้วถึง 6 % Citigroup ดิ้นปล่อยกู้ดีลขายบอนด์ หลังค่าธรรมเนียมฮวบ ในช่วงที่ธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐฯยังไม่สามารถใช้กลยุทธ์การเก็บค่าธรรมเนียมจากลูกค้าได้เหมือนดังเช่นในช่วงที่เศรษฐกิจดีนั้น ธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่งก็หันมาใช้วิธีการปล่อยเงินกู้สำหรับดีลการออกพันธบัตร หลังจากที่ยอดขายตราสารประเภทนี้ปรับลดลงเกือบ 40% ปัจจุบัน ซึ่งเป็นสถิติที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2541 เป็นอย่างน้อย มีรายงานข่าวว่าธนาคาร Citigroup ปล่อยวงเงินกู้ร่วมกับ Credit Suisse Group และสถาบันการเงินอีก 12 แห่ง เพื่อเข้าร่วมในดีลการออกขายพันธบัตรของบริษัท Virgin Media ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรายการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (Pay TV) รายใหญ่อันดับ 2 ของอังกฤษ นอกจากนั้น สำนักข่าว Bloomberg ก็รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า Citigroup ยังไปเปิดวงเงินกู้ให้กับบริษัทรับก่อสร้างรายใหญ่ของสเปนด้วยเช่นกัน ด้วยมูลค่า 50 ล้านยูโร หรือราว 60 ล้านเหรียญ เพื่อที่จะเข้าร่วมในดีลการออกขายยูโรบอนด์ มูลค่า 700 ล้านเหรียญ ข้อมูลระบุว่า ผู้กู้ได้รับเงินสินเชื่อมาจากธนาคารที่ต่างแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งดีลการออกขายพันธบัตร หลังจากยอดขายตราสารประเภทนี้ลดลงมาเหลือ 1.18 ล้านล้านเหรียญในช่วงครึ่งปีแรก จากที่เคยอยู่ที่ 1.92 ล้านล้านเหรียญในปีที่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าปัจจัยที่ทำให้สภาวะการออกขายพันธบัตรไม่เป็นใจ ก็คือ วิกฤติหนี้ของประเทศในยุโรปนั่นเอง และถ้าดูจำนวนธนาคารต่อหนึ่งดีลการออกขายพันธบัตรประเภทที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง (High-Yield Bond) นั้น พบว่า มีจำนวนธนาคารพุ่งขึ้นสูงถึงเกือบ 3 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2543 ซึ่งก็เป็นเหตุให้ค่าธรรมเนียมที่แบงก์ได้รับ ถูกหั่นลงราว 57% โดยเฉลี่ยในแต่ละธนาคาร กรีซเตรียมระดมทุน 4,500 ล้านยูโรสัปดาห์หน้า สื่อกรีซรายงานว่า กรีซเตรียมระดมทุนจากการเปิดประมูลพันธบัตรมูลค่า 4.5 พันล้านยูโร (5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในสัปดาห์หน้า ซึ่งทางสำนักงานบริหารจัดการหนี้สินของกรีซคาดว่า จะมีการประกาศถึงแผนการดังกล่าวอย่างเป็นทางการในสัปดาห์นี้ การนำพันธบัตรรัฐบาลออกประมูลครั้งนี้นับเป็นการประเมินบรรยากาศของตลาดที่มีต่อเศรษฐกิจกรีซเป็นครั้งแรก หลังจากที่กลุ่มสหภาพยุโรป (EU) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ร่วมกันลงขันช่วยเหลือทางการเงินเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กรีซจะประมูลพันธบัตรอายุ 26 สัปดาห์ และ 52 สัปดาห์ เพื่อระดมทุนอย่างน้อย 2.1 พันล้านยูโร (2.63 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในสัปดาห์หน้า และจะประมูลพันธบัตรระยะ 13 สัปดาห์ในวงเงินขั้นต่ำ 2.4 พันล้านยูโร (3.01 พันล้านดอลลาร์) ปลายเดือนนี้ ทั้งนี้ กรีซ ซึ่งเผชิญกับมรสุมหนี้สาธารณะและปัญหาขาดดุลบประมาณได้รับเงินช่วยเหลือทางการเงินจากประเทศพันธมิตรในยุโรปและ IMF ในวงเงินรวม 1.10 แสนล้านยูโร (1.379 แสนล้านดอลลาร์) เป็นระยะเวลา 3 ปี ขณะที่ในปีนี้กรีซได้รับเงินกู้จากธนาคารต่างชาติที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยสูง ท่ามกลางความกังวลว่า กรีซอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ครบหลังจากที่ประเทศเผชิญวิกฤตหนี้สินครั้งรุนแรงในปลายปี 2552 ADB ชี้ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียควรเร่งลงทุนด้านการเกษตร ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในฟิลิปปินส์ ออกมากระตุ้นให้ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกเพิ่มการลงทุนในด้านการเกษตร เพื่อแก้ปัญหาความหิวโหยที่กำลังลุกลามไปทั่วและป้องกันราคาอาหารพุ่งสูงในอนาคต ADB แนะนำว่า ประเทศกำลังพัฒนาควรเพิ่มกำลังการผลิตอาหารให้ได้สองเท่าภายในปีพ.ศ. 2593 เพื่อรองรับประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดร.ฌาคส์ ดิอุฟ ผู้อำนวยการทั่วไปขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กล่าวในที่การประชุมการลงทุนเพื่อความมั่นคงด้านอาหารในเอเชียและแปซิฟิกว่า "การเพิ่มกำลังการผลิตอาหารให้ได้ตามเป้าต้องอาศัยการลงทุนด้านการเกษตรเกิน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีไปจนถึงปี 2593 เฉพาะเอเชียแปซิฟิกภูมิภาคเดียวก็ต้องใช้เงินลงทุนเกือบ 1.2 แสนล้านดอลลาร์" นายคานาโย นวานเซ ประธานกองทุนระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาเกษตรกรรม (IFAD) กล่าวว่า การเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรจะสำเร็จได้ด้วยการพัฒนาการบริหารพืชผล การใช้วิธีสมัยใหม่ที่มีความหลากหลาย การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในชนบทให้แข็งแกร่ง และการพัฒนาเทคโนโลยีหลังการเพาะปลูก นอกจากนั้นยังต้องมีเงินทุนที่เพียงพอสำหรับการวิจัยและพัฒนาด้วย ฮารุฮิโกะ คุโรดะ ประธาน ADB กล่าวว่า "การสร้างความมั่นคงด้านอาหารในระดับครัวเรือน ประเทศ และภูมิภาค เป็นภาระอันหนักหน่วงมาตลอดแม้แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจดีมากก็ตาม" "การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและมีสมดุลของเอเชีย รวมถึงบทเรียนที่ได้รับจากวิกฤตอาหารในปี 2551 จะช่วยให้เราสามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าเพื่อความมั่นคงด้านอาหารในอนาคต" ADB เปิดเผยว่า ปัจจุบันภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีผู้ยากไร้มากที่สุด และเป็นภูมิภาคที่เปราะบางที่สุดเมื่อได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและปัญหาเศรษฐกิจ "นอกจากนั้นเอเชียแปซิฟิกยังเป็นผู้ผลิตและบริโภคอาหารรายใหญ่ที่สุด เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตรที่จัดหาอาหารราคาประหยัดให้กับทั่วโลก ดังนั้นหากสามารถสร้างความมั่นคงด้านอาหารในภูมิภาคได้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะสะท้อนต่อไปทั่วโลก" การประชุมระดับภูมิภาคว่าด้วยความมั่นคงด้านอาหารครั้งแรกจัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาอุปสรรคเกี่ยวกับความมั่นคงด้านอาหารและหาทางข้ามผ่านอุปสรรคดังกล่าว รวมถึงโปรโมทภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกในฐานะจุดหมายปลายทางการลงทุนเพื่อความมั่นคงด้านอาหาร ทั้งนี้ การประชุมครั้งนี้ร่วมกันจัดโดยธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ และกองทุนระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาเกษตรกรรม BOJ เผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับขึ้นต่อกัน 5 ไตรมาส ธนาคารกลางญี่ปุ่นเปิดเผยผลการสำรวจในวันนี้ว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นในช่วงเดือนเม.ย. - ต.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 5 ไตรมาสแล้ว หลังจากที่เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ผลการสำรวจชี้ว่า ประชาชนที่รู้สึกว่าราคาปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้วมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ไตรมาสมาอยู่ที่ 35.8% แต่เจ้าหน้าที่ของแบงค์ชาติญี่ปุ่นมองว่า ดัชนีปรับตัวขึ้นเพราะราคาน้ำมันและอาหารสดที่สูงขึ้น ขณะที่ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจปีหน้าปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 และความเชื่อมั่นที่มีต่อสถานการณ์แวดล้อมภาคครัวเรือนก็ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 3 ไตรมาส สำหรับมุมมองที่มีต่อระดับราคาเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว ผู้ร่วมตอบแบบสำรวจซึ่งมองว่า ราคาปรับตัวขึ้นมากนั้น อยู่ที่ 5.2% ส่วนผู้ที่มองว่าราคาปรับตัวขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 30.6% เจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางญี่ปุ่นกล่าวว่า ผู้บริโภคอาจจะมีปฏิกริยาต่อราคาสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันสูงขึ้น เช่น น้ำมันและอาหารสด สำหรับคำถามเกี่ยวกับความกังวลเรื่องการจ้างงานและการทำงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ผู้ตอบแบบสอบถามที่รู้สึกค่อนข้างกังวลนั้น อ่อนตัวลง 2.2% แต่ผู้ที่รู้สึกกังวลเล็กน้อยเพิ่มขึ้น 3.7 จุด มาอยู่ที่ 49.4% จีนยันไม่ใช้ทุนสำรองฯ จนขัดขวางการลงทุนประเภทอื่น สำนักปริวรรตเงินตราแห่งรัฐของจีน (SAFE) ออกมาปฏิเสธกรณีที่มีกระแสความวิตกกังวลว่าทาง SAFE จะใช้การนำทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเป็นไม้ตายจนส่งผลกระทบต่อการลงทุนประเภทอื่นๆ SAFE ออกแถลงการณ์ผ่านทางเว็บไซต์ว่า การลงทุนต่างๆ จะถูกประเมินตามศักยภาพการลงทุน และเราจะไม่ควบคุมการลงทุนอื่นๆ ด้วยการนำทุนสำรองเงินตราต่างประเทศไปลงทุน แถลงการณ์ดังกล่าวนับเป็นฉบับที่ 2 ในสัปดาห์นี้ หลังจากที่เมื่อวานนี้ทาง SAFE ยืนยันว่าจีนยังคงสามารถบริหารจัดการสินทรัพย์ในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศให้อยู่ในสถานภาพที่มั่นคงได้ แม้ในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์การเงินโลก ธนาคารกลางจีนเปิดเผยว่าทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนอยู่ที่ระดับ 2.45 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยว่า จีนยังคงเป็นต่างชาติที่ถือครองพันธบัตรสหรัฐมากที่สุดในเดือนเมษายน โดยถือครองพันธบัตรมูลค่า 9.002 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ SAFE ยังระบุในแถลงการณ์ว่าตลาดพันธบัตรสหรัฐมีความสำคัญมากสำหรับทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีน และจีนจะปรับยุทธศาสตร์การลงทุนตามสภาพตลาด และย้ำว่าไม่ควรโยงให้เป็นเรื่องการเมือง จีนเน้นย้ำว่า จีนเป็นนักลงทุนด้านการเงินระยะยาวที่มีความรับผิดชอบ นอกจากนั้นยังแสดงความหวังว่าสหรัฐจะใช้มาตรการต่างๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งปัญหาเรื่องเสถียรภาพในการนำทุนสำรองเงินตราต่างประเทศไปลงทุนเป็นสิ่งที่จีนกังวลที่สุด ในแถลงการณ์ดังกล่าวยังระบุว่าทองคำไม่ใช่ช่องทางการลงทุนหลักของการนำทุนสำรองเงินตราต่างประเทศไปลงทุน เนื่องจากตลาดยังมีข้อจำกัดและราคามีความผันผวนมาก ศาล EU ตัดสินห้ามไรอันแอร์ ควบ แอร์ลิงกัส หวั่นผูกขาด ศาลสหภาพยุโรปตัดสินว่าคณะกรรมาธิการยุโรปได้ดำเนินการอย่างถูกต้องที่ขัดขวางการควบรวมกิจการระหว่างสายการบินไรอันแอร์ (Ryanair) กับสายการบินคู่แข่งอย่างแอร์ลิงกัส (Aer Lingus) เนื่องจากคณะกรรมการธิการยุโรปวิตกว่าการควบรวมกิจการระหว่างสายการบินทั้งสองอาจทำให้เกิดการผูกขาดในอุตสาหกรรมการบิน หน่วยงานต่อต้านการผูกขาดของอียูระบุว่า การควบรวมกิจการระหว่างสองสายการบินชั้นนำของไอร์แลนด์จะทำให้ทั้งสองสายการบินไม่ต้องแข่งขันกัน ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อผู้โดยสารซึ่งมีมากกว่า 14 ล้านคนต่อปี สายการบินไรอันแอร์ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำตัดสินของศาล แต่คณะลูกขุนได้ยกฟ้องคำอุทธรณ์ดังกล่าว พร้อมทั้งรับฟังผลกระทบด้านการแข่งขันซึ่งวิเคราะห์โดยคณะกรรมาธิการยุโรป รวมถึงข้อเสนอเพื่อการเยียวยาแก้ปัญหาด้วย แม้ศาลจะมีคำตัดสินดังกล่าว แต่สายการบินไรอันแอร์ยังคงซื้อหุ้นในแอร์ลิงกัส เพิ่มอีกเป็น 29.3% ส่งผลให้แอร์ลิงกัส ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมาธิการยุโรปเพื่อสั่งให้ไรอันแอร์ถอนการลงทุนในหุ้นทั้งหมดของแอร์ลิงกัส แต่คณะกรรมาธิการยุโรปปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าไม่มีอำนาจที่จะทำเช่นนั้นได้ "การควบรวมกิจการระหว่างสายการบินไรอันแอร์ และแอร์ลิงกัส จะทำให้เกิดการผูกขาดเส้นทางบิน 35 เส้นทาง ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับผู้โดยสารกว่า 14 ล้านคนที่เดินทางเข้าออกไอร์แลนด์ในแต่ละปี" ฮวาคิน อัลมูเนีย รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าว "ผมรู้สึกพอใจที่ศาลยืนยันว่าการกระทำของคณะกรรมาธิการยุโรปเป็นสิ่งที่ถูกต้อง" ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (พฤหัสบดีที่ 8 ก.ค. 53) • ตัวเลขน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ โดย EIA • ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ โดย กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ
  12. หยิบเงินหยิบทอง : บล.กิมเอ็ง วันพฤหัสบดีที่ 08 กรกฏาคม 2010 เวลา 09:56 น. บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง จำกัด ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ หยิบเงินหยิบทอง : บล.กิมเอ็ง กลยุทธ์วันนี้ 820! ประเด็นสำคัญวันนี้ แม้วานนี้ SET INDEX จะปิดลดลง แต่ก็เพียง 0.1% เทียบกับตลาดหุ้นในเอเชียปรับฐานลงราว 0.5% และตลาดหุ้นยุโรปกว่า 1% ถือว่าตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในฐานะที่ดีกว่า รวมถึงมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นกว่า 3.1 หมื่นล้านบาท พร้อมกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิเพียง 18 ล้านบาทเท่านั้น สำหรับตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าจะมีโอกาสไต่ระดับขึ้นทดสอบ 820 จุดได้ หลัง DJIA ทะลุ 10,000 จุด และราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้นกว่า US$2 น่าจะสร้างบรรยากาศการลงทุนรอบเอเชียในเช้าวันนี้จะเป็นบวก เม็ดเงินทุนต่างชาติที่เป็นลักษณะ Hot Money จะเข้ามาเก็งกำไรต่อตลาดเงิน - ตลาดทุนในตลาดหุ้นเอเชียเกิดใหม่ โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่อยู่ในฐานะที่น่าสนใจ เพราะต้นสัปดาห์หน้าตลท.จะนำ 10 บริษัทจดทะเบียนไป Road Show ที่ลอนดอน, การประกาศงบการเงิน 2Q53 ของกลุ่มธนาคาร และการประชุม กนง. วันที่ 14 ก.ค. ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ย RP1 วัน 25bps เป็น 1.50% หลังอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลบด้วยอัตราเงินเฟ้อติดลบมาหลายเดือนติดต่อกัน ขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ย่อมเป็นจังหวะที่ดีต่อการพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อปรับโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยให้กลับสู่ปกติมากขึ้น กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: KimEng เสนอให้ “ถือพอร์ตการลงทุน” และยังคงแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” KTB / MINT/ THAI และ “ขายทำกำไร” PTTAR / TMB การลงทุนทางเลือก: แนะนำให้นักลงทุน “ถือสถานะ Long ใน S50U10 ข้ามวัน” Stop Loss: S50U10 < 550 จุด ปิด Long และ เปิด Short Portfolio HOLD: CPF/ TASCO / MCOT/ TTCL/ BBL/ KTB/ PTT/PTTEP/ TPC/ MINT/ THAI Speculative Buy: KTB / MINT/ THAI Profit-Taking: PTTAR/ TMB Technical View แนวรับ 805-810 จุด และ 782-785 จุด ส่วนแนวต้าน 820-822 จุด, 830 จุด และ 850 จุด แนะนำให้ซื้อขายตามแนวโน้ม โดยอาจพิจารณาขายบริเวณ 820-830 จุด -Strategy Today ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปิดลดลง 0.84 จุด หรือ 0.1% มาอยู่ที่ 814.68 จุด พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นถึง 31,566 ล้านบาท แม้ว่าระหว่างชั่วโมงการซื้อขายจะเกิดแรงเก็งกำไรเข้ามา ทำให้ SET INDEX ขยับขึ้นทดสอบ 818 จุด แต่ไม่ผ่านในวานนี้เพราะเกิดแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธนาคารออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังวันก่อนหน้าราคาดีดตัวขึ้นอย่างโดดเด่น บวกกับบรรยากาศการลงทุนรอบเอเชีย และยุโรป เกิดแรงขายทำกำไรด้วยเช่นกัน 11.49 จุด หรือ 1.43% มาอยู่ที่ 815.52 จุด พร้อมกับมูลค่าการซื้อขาย 28,452 ล้านบาท บรรยากาศการลงทุนรอบด้านเช้าวันนี้ที่โดดเด่น KimEng เชื่อว่าวันนี้ SET INDEX จะมีโอกาสปรับตัวได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นในเอเชีย อีกวัน เนื่องจาก 1.คาดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะกลับเข้าเก็งกำไรในตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทย: เพราะเชื่อว่าความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวใน 2H53 และปัญหาในระบบธนาคารและหนี้สาธารณะสูงของกลุ่มยุโรป ได้สะท้อนไปยังดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับฐานลงแรงเกือบตลอด 2 สัปดาห์ก่อนหน้าแล้ว การเกิด Technical Rebound และการโยกเม็ดเงินจากตลาดตราสารหนี้เข้าสินทรัพย์เสี่ยง เพื่อเก็งกำไรช่วงสั้นก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินรอบนี้คาดว่าจะเป็น “Hot Money” ที่มีการลงทุนช่วงสั้นมากๆ จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังต่อการลงทุนมากยิ่งขึ้น 2.ตั้งข้อสังเกตตลาดหุ้นที่ปรับฐานลงกลับนำเงินพักที่ตลาดตราสารหนี้: ดังจะเห็นได้จากผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี และ 10 ปี คืนวานนี้ปิดที่ 0.63% และ 2.98% ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนไม่เลือกลงทุนในทองคำ ราคาทองคำปรับฐานลงหลุดแนวรับ US$1,200 ย่อมสะท้อนว่า ตลาดอาจมองการโยกเม็ดเงินลงทุนระหว่างตลาดตราสารหนี้ และสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้น – สินค้าโภคภัณฑ์ ในช่วงสั้น 3.ต้นสัปดาห์หน้าเริ่ม Road Show ที่ลอนดอน วันที่ 12-13 ก.ค. ได้แก่ BBL / BAY / TISCO/ PTT/ RATCH / TOP / CPALL /CPN / CPF/ MINT วานนี้ TISCO ซื้อสุทธิมากถึง 1,035 ล้านบาท อาจเป็นการสะท้อนถึงผลของการทำ Road Show ในช่วงต้นสัปดาห์ได้เช่นกัน ดังนั้นหากนักลงทุนต้องการเก็งกำไรต่อประเด็นนี้ KimEng ประเมินว่า PTT / RATCH / MINT ดูน่าสนใจต่อการเก็งกำไรเม็ดเงินทุนต่างชาติในช่วงสั้นนี้ 4.การประกาศงบการเงินของกลุ่มธนาคารในกลางสัปดาห์หน้า: ด้วยภาพของผลการดำเนินงานใน 2Q53 และแนวโน้มในช่วง 2H53 ที่ยังเป็นบวกทั้งจากการขยายตัวสินเชื่อ และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มกว้างมากขึ้น จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น ย่อมกลายเป็นจุดที่นักลงทุนต้องกลับมาพิจารณาลงทุนมากยิ่งขึ้น 5.และการประชุมกนง.ในวันที่ 14 ก.ค.: ตลาดและ KimEng เชื่อว่ากนง.จะพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ย RP1วัน 25bps เป็น 1.50% เพื่อปรับโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของระบบ เพราะหากประเมินจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ลบด้วยอัตราเงินเฟ้อ ณ ปัจจุบันจะติดลบไปราว 2.50-2.75% บวกกับภาพเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวในเกณฑ์ที่ดี เชื่อว่ากนง.จะใช้ปัจจัยเหล่านี้มาพิจารณาในการประชุมครั้งนี้ ด้านกลุ่มพลังงาน KimEng คงมุมมองเดิมคือ “ถือหุ้นเพื่อรอขาย” เท่านั้น และไม่เสนอให้ “ซื้อเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักอีกเช่นกัน” เพราะเชื่อว่าในช่วงสั้นราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า NYMEX จะเกิด Technical Rebound ได้ บวกกับความชัดเจนต่อกรณีมอนทาราภายในสัปดาห์นี้ แต่ภาพรวมของกลยุทธ์การลงทุนในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ KimEng คงน้ำหนักพอร์ตใจหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) เพื่อรองรับกับกระแสเงินทุนที่ไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยช่วงสั้นนี้ เพียงแต่หุ้นที่แนะนำไว้ก่อนหน้านี้ KimEng เสนอให้ถือเพื่อรอจังหวะขายทำกำไร แม้ว่าราคาหุ้นอาจจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบอยู่บ้างก็ตาม แต่เชื่อว่าท้ายที่สุด ราคาหุ้นขนาดใหญ่ที่เหลืออยู่ในพอร์ตนั้น จะกลับมาสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่น เนื่องด้วยปัจจัยพื้นฐาน และแนวโน้มผลการดำเนินงานที่เป็นบวก กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำให้นักลงทุน “เก็งกำไรระยะ 1-2 สัปดาห์” หุ้นดังต่อไปนี้ 1.KTB: ราคาปิด 13.10 บาท ราคาเหมาะสม 14.30 บาท a.กระแสเงินทุนทั่วโลกกลับเข้าสู่กลุ่มธนาคารอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นยุโรป หรือตลาดหุ้นสหรัฐฯ คืนวานนี้ กลุ่มธนาคารฟื้นตัวขึ้นอย่างโดดเด่น ย่อมส่ง Sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มธนาคารไทยด้วยเช่นกัน b.KELIVE ประเมินกำไรสุทธิใน 2Q53 ของ KTB จะทำกำไรได้ทั้งสิ้น 3,208 ล้านบาท เติบโต 4.3%qoq แม้ว่าจะไม่มีเงินปันผลจากกองทุนวายุภักษ์ใน 2Q53 ก็ตาม ทั้งนี้เป็นผลจากการเติบโตสินเชื่อ 2.74% qoq มากเพียงพอที่จะชดเชย NIM ที่ลดลงจาก 2.96% ใน 1Q53 เป็น 2.66% c.เชื่อว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานใน 2H53 จะยังเห็นการเติบโตต่อเนื่องทั้งจากเงินปันผลวายุภักษ์กว่า 800 ล้านบาทใน 3Q53, สินเชื่อที่เติบโตตามการเร่งการใช้จ่ายผ่านโครงการไทยเข้มแข็ง และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ กนง.อย่างน้อย 0.25% ส่งผลให้ KELIVE ปรับเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อในปีนี้ขึ้นจากเดิม 6% เป็น 12% 2.MINT: ราคาปิด 10.90 บาท ราคาเหมาะสมใน Bloomberg Consensus ที่ 12.50 บาท มีผู้ศึกษาทั้งสิ้น 17 ราย เป็นแนะนำ “ซื้อ” 13 ราย และ “ถือ” 4 ราย (หมายเหตุ: KELIVE ไม่ได้ทำการศึกษาหุ้นดังกล่าว จึงโปรดใช้วิจารณญาณต่อการตัดสินใจลงทุนมากขึ้น) a.MINT เป็น 1 ใน 10 หุ้นที่จะไป Roadshow ร่วมกับ SET และ TISCO ในลอนดอนวันที่ 12-13 ก.ค. b.ประเด็นแนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจการท่องเที่ยวในช่วงปลาย 3Q53 ต่อเนื่องถึง 4Q53 น่าจะเป็นจุดสำคัญต่อการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว 3.THAI: ราคาปิด 28.00 บาท a.มุมมองต่อธุรกิจการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวขึ้น แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากกรณีการเมืองในเดือนพ.ค.ก็ตาม ซึ่งรมว.การท่องเที่ยวยืนยันตัวเลขนักท่องเที่ยวปีนี้ที่ 15 ล้านคน ยังมีความเป็นไปได้ ยอดนักท่องเที่ยว 6M53 สูงถึง 7.4 ล้านคน และล่าสุดยอดนักท่องเที่ยวผ่านสนามบินสุวรรณภูมิสูงถึง 30,000 คน b.แนวโน้มผลการดำเนินงานใน 2Q53 ของ THAI จะติดลบจากผลกระทบของความวุ่นวายทางการเมืองในเดือนพ.ค. แต่คาดว่า THAI จะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนมาก สังเกตได้จากค่าเงินยูโรที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่องและในอัตราเร่งตลอด 2Q53 ที่ผ่านมา ย่อมทำให้ THAI จะยังมีโอกาสแสดงกำไรสุทธิได้ใน 2Q53 นี้ c.ยอดใช้บริการต่างๆ ของ THAI ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการฟื้นตัวจากกรณีการเมืองที่รวดเร็ว d.NVDR ทยอยสะสมหุ้น THAI อย่างต่อเนื่อง วานนี้ซื้อสุทธิอีก 54 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 110 ล้านบาท สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อหุ้น THAI เช่นกัน และ KimEng เสนอให้ “ขาย” PTTAR แม้ว่ามุมมองด้านปัจจัยพื้นฐาน KELIVE ยังคงเป็นบวกก็ตาม แต่หากประเมินจากประเด็นการลงทุนในช่วงสั้นจะพบว่าขาดปัจจัยสนับสนุนราคา ขณะที่ความเสี่ยงด้านผลการดำเนินงานใน 2Q53 จากค่าการกลั่นเฉลี่ยที่ต่ำกว่า 1Q53 และการขาดทุนจากสต็อกน้ำมันกว่า US$1/barrel ย่อมกดดันให้ราคาหุ้นจะฟื้นตัวได้อย่างจำกัด ขณะที่ Downside Risk ต่อการปรับประมาณการผลการดำเนินงาน รวมถึงราคาเป้าหมายมีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน รวมถึง “ขายทำกำไร” TMB หลังราคาหุ้นวานนี้ปิดเพิ่มขึ้นถึง 6.41% มาอยู่ที่ 1.66 บาท และทำระดับสูงสุดของวันที่ 1.76 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาปัจจัยพื้นฐานที่ 1.54 บาท อีกทั้งประเด็นการขายหุ้น 26% ของกระทรวงการคลังเชื่อว่าจะต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณาถึงความเหมาะสมของผู้ลงทุนรายใหม่ และราคาจำหน่าย ดังนั้นนักลงทุนควรพิจารณาขายทำกำไรออกไปก่อน What will DJIA move tonight? คืนนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ
  13. ไม่อาจขอบคุณทีละท่านได้ รวมยอดขอบคุณมา ณ ที่นี่เลยนะครับ
  14. การขึ้นเมื่อคืนนี้ยังไม่แรงพอที่จะเปลี่ยนกระแสทิศทางให้เป็นขาขึ้นได้อย่างเต็มตัว แนวต้านที่1215ยังกดดันอยู่ ต้องคอยดูจะผ่านแนวต้านนี้ได้ไม่ได้ หากไม่ผ่านโอกาสลงยังมีอยู่
  15. สรุปภาวะ Gold Futures By GT Wealth Management สรุปการซื้อขาย 7 ก.ค.53 และแนวโน้มราคาทองคำ วันนี้ 8 ก.ค.53ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- พฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม 2553 07:16:58 น. กรุงเทพฯ--8 ก.ค.--จีที เวลธ์แมเนจเมนท์ สรุปภาวะ Gold Futures By GT Wealth Management 7 ก.ค. 53 (ภาคบ่าย) ราคาทองคำในตลาดโลกวันนี้เคลื่อนไหวผันผวน โดยในช่วงเช้าราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากร่วงลงหนักอีกครั้งในช่วงคืนที่ผ่านมา โดยเฉพาะการขายในช่วงเปิดตลาดสหรัฐ แต่หลังจากราคาปรับตัวลงใกล้ระดับ 1,189 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ ก็มีแรงซื้อกลับเข้ามาทำให้ราคาขึ้นมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ 1,190 ดอลล่าร์ต่อออนซ์อีกครั้ง ขณะในช่วงบ่ายราคาเริ่มปรับตัวลดลงอีกครั้ง และเคลื่อนไหวแบบออกด้านข้างตลอดช่วงบ่าย ซึ่งในตลาดการลงทุนยังคงมีความกังวลหลังราคาทองปรับตัวลงแรงใน 3-4 วันที่ผ่านมาประกอบกับกองทุน SPDR เริ่มทยอยขายทองคำหลังซื้อสุทธิตลอดช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ขณะแรงกดดันในตลาดยุโรปเริ่มผ่อนคลายลง แต่นักลงทุนยังคงหยุดรอดูสัญญาณ ขณะการดำเนินนโยบายในการควบคุมรายจ่ายของหลายประเทศอาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัว และถดถอยทางเศรษฐกิจในอนาคต ค่าเงินบาทวันนี้อ่อนค่าเล็กน้อย เคลื่อนไหวใกล้ระดับ 32.45 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ ราคาทองคำในประเทศราคาเสนอซื้อ 18,300 บาท ราคาเสนอขาย 18,400 บาท ส่วนโกลด์ฟิวเจอร์วันนี้สัญญาสิ้นสุดอายุเดือนสิงหาคม (GFQ10) ปิดที่ระดับ 18,460 ปริมาณการซื้อขาย 3,409 สัญญา สัญญาสิ้นสุดอายุเดือนตุลาคม(GFV10) ปิดที่ระดับ 18,570 บาท ปริมาณการซื้อขาย 1,3260 สัญญา สัญญาสิ้นสุดอายุเดือนธันวาคม (GFZ10) ปิดที่ระดับ 18,650 บาท ปริมาณการซื้อขาย 279 สัญญา ปริมาณการซื้อขายรวมทั้งตลาด 5,014 สัญญา
  16. แรงซื้อเก็งกำไรหนุนทองคำปิดบวก 3 เหรียญ Posted on Thursday, July 08, 2010 สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้น จากแรงซื้อเก็งกำไรหลังจากสัญญาทองคำดิ่งลงอย่างหนักเมื่อวันอังคาร แต่ราคาดีดตัวขึ้นในกรอบที่จำกัดหลังจากทางการจีนระบุว่า ตลาดทองคำไม่ใช่ช่องทางการลงทุนหลักของจีน และรายงานที่ว่าธนาคารกลางทั่วโลกได้ขายทองคำให้กับธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ตลาดทองคำได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับยูโรและจากแรงซื้อเก็งกำไร นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์กยังเป็นอีกปัจจัยที่พยุงสัญญาทองคำปิดในแดนบวกด้วย อย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำดิ่งลงไปแตะระดับต่ำสุดในระหว่างวันที่ 1,185.00 ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากกมีรายงานระบุว่า จีนจะไม่นำทุนสำรองเงินตราต่างประเทศออกมาลงทุนในตลาดทองคำเป็นช่องทางหลัก เพราะตลาดทองคำมีขนาดที่จำกัดและราคาทองคำก็ผันผวนมากเกินไป นอกจากนี้ ตลาดทองคำยังถูกกดดันจากรายงานที่ว่า ธนาคารกลางทั่วโลกได้นำทองคำออกขายให้กับธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ซึ่งข่าวดังกล่าวได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมาก โดยรายงานระบุว่านับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2552 BIS รับซื้อทองคำจากธนาคารกลางทั่วโลกทั้งสิ้น 349 ตัน ซึ่งทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกสามารถระดมทุนได้ราว 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ลดการถือครองทองคำแท่งสู่ระดับ 1,316.481 ตันในช่วงเวลาที่สิ้นสุด ณ วันที่ 6 ก.ค. ซึ่งลดลง 2.434 ตันจากระดับของวันที่ 2 ก.ค.ที่ 1,318.915 ตัน - ทองคำ ส่งมอบเดือนสิงหาคม ปิดที่ 1,198.90 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ (+3.80 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์) - เงิน ส่งมอบเดือนกันยายน ปิดที่ 18.00 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ (+0.14 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์)
  17. ทองขึ้น 200บาท ขายออกทองแท่ง18,600บ./รูปพรรณ19,000บ. วันพฤหัสบดีที่ 08 กรกฏาคม 2010 เวลา 09:34 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ สมาคมค้าทองคำประกาศราคาซื้อขายทองคำแท่งและทองรูปพรรณวันนี้ (8 ก.ค.) ทองคำแท่งซื้อคืนที่บาทละ 18,500 บาท และขายออกที่บาทละ 18,600 บาท ส่วนทองรูปพรรณซื้อคืนที่บาทละ 18,237.48 บาท และขายออกที่บาทละ 19,000 บาท ราคาทองวันนี้ปรับขึ้น 200 บาท เมื่อเทียบกับราคาเมื่อวานนี้ (7 ก.ค.) โดยเมื่อวานนี้ราคาทองแท่งขายออกที่ 18,400 บาท และทองรูปพรรณขายออกที่บาทละ 18,800 บาท ขณะที่ราคาทองต่างประเทศปิดตลาดเมื่อคืนบวก 3.80 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
  18. 上方1215美元/盎司位置仍然存在较大卖盘压力,建议投资者在该位置下方暂时也逢高沽空小仓波段操作为主,止损位置可以设置在1218美元/盎司,短线波段操作区间为1180-1215美元/盎司内高抛低吸,目前1200美元/盎司附近建议投资者持币观望,暂时不做操作。 Top 1215 U.S. dollars / ounce are still there more selling pressure, the proposed location of investors in the rallies short selling below the time being mainly small warehouse-band operation, the stop position can be set up in 1218 U.S. dollars / ounce, short-term band operation interval 1180-1215 U.S. dollars / ounce throw buy low, sell high in the current 1200 U.S. dollars / ounce in the vicinity suggest that investors hold out for the time being do not do action.
  19. ทองคำปิดบวก 3.80 ดอลล์ วันพฤหัสบดีที่ 08 กรกฏาคม 2010 เวลา 09:12 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวต่างประเทศ ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (7 ก.ค.) ทองโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 3.80 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 1,198.90 ดอลลาร์สหรัฐออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,185.00 - 1,199.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยนักลงทุนเข้ามาซื้อเก็งกำไร หลังจากสัญญาทองคำดิ่งลงอย่างหนักเมื่อวันอังคาร ตลาดทองคำได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับยูโรและมีแรงซื้อเก็งกำไร รวมทั้งการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์กยังเป็นอีกปัจจัยที่พยุงสัญญาทองคำปิดในแดนบวก ท้ั้งนี้ สัญญาทองคำดิ่งลงไปแตะระดับต่ำสุดในระหว่างวันที่ 1,185.00 ดอลลลาร์ หลังจาก SAFE ระบุว่า จีนจะไม่นำทุนสำรองเงินตราต่างประเทศออกมาลงทุนในตลาดทองคำเป็นช่องทางหลัก เพราะตลาดทองคำมีขนาดที่จำกัดและราคาทองคำก็ผันผวนมากเกินไป นอกจากนี้ ตลาดทองคำยังถูกกดดันจากรายงานที่ว่า ธนาคารกลางทั่วโลกได้นำทองคำออกขายให้กับ BIS ซึ่งข่าวดังกล่าวได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมาก โดยรายงานระบุว่านับตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว BIS รับซื้อทองคำจากธนาคารกลางทั่วโลกทั้งสิ้น 349 ตัน ซึ่งทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกสามารถระดมทุนได้ราว 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์
×
×
  • สร้างใหม่...