ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

little devil

ขาใหญ่
  • จำนวนเนื้อหา

    171
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

ทุกๆอย่างที่โพสต์โดย little devil

  1. เขียนโดย ระพิน ใจดี วันศุกร์ที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๑ โดนกันเป็นแถวครับ พวกเฮดฟันด์โยกเงินไปดัน US ดอลล่าร์ที่กำลังย่ำแย่ คาดว่าคงดีได้พักเดียว ไม่นานต้องโยกกลับมาที่เดิม แต่พวกเราอย่าเพิ่งคาดหวังนะครับ ว่าราคาจะสามารถกลับมา 1000 เหรียญได้ในเร็ววัน ถ้าไม่มีเหตุการณ์พิเศษอะไรออกมา มอง chart ระยะยาวกันดู จะเห็นว่า การลงครั้งนี้ น่าจะจบคลื่น 3 ของคลื่นใหญ่ และคลื่น 5 ย่อยเป็นที่เรียบร้อย จากนี้คงเป็นการทำคลื่น 4 ของคลื่นย่อยและคลื่นใหญ่ ที่ไม่น่าจะกลับขึ้นไป 1000 เหรียญได้เร็วหรอก จาก indicator ที่วงให้ดู จะเห็นว่า ราคายังไม่อยู่ในแดนลบเลย แปลได้ว่า มันเพิ่งจะเริ่มต้นการปรับฐาน แบบนี้น่าจะออกได้ 2 แนวครับ - ราคาเด้งขา b ขึ้นไปได้แถว 950-960 เหรียญแล้วลงมาทำขา c ต่ำลง แบบนี้ เจอ 880-850 เหรียญ - ราคาออก sideway ครับ คืออาจทำสามเหลี่ยมชายธงอีกก็เป็นได้ แบบนี้ ก็คงเด้งเหมือนกัน แต่จะุไม่ลงต่ำกว่า 904 เหรียญอีก คงต้องดูทิศทางในวันจันทร์อีกทีว่า ขา a ของเราที่ 904 เหรียญจะเป็นของจริงหรือไม่ ถ้าไม่หลุดต่ำกว่า 904 โดยดีดกลับขึ้นไปเกิน 940 เหรียญได้ ก็น่าจะเป็นไปตามคาดครับ ส่วนตัวเชื่อว่า ดอลล่าร์แข็งค่าได้ระยะสั้นเท่านั้น การพักตัวของราคาทองคำ คงไม่กินเวลานาน บวกกับช่วงเมษายน ความต้องการทองคำมีมาก เชื่อว่า ราคาแถว 900 เหรียญ หรืออย่างแย่ แถวๆ 880 เหรียญ ก็น่าจะเอาอยู่ครับ เลยเมษายนไป ราคาทองคำอาจถอยมาพักตัวอีกรอบ ค่อยดูอีกทีว่าจะอยู่แถวไหน เชื่อว่า ไม่น่าต่ำกว่า 850 เหรียญนะ
  2. เขียนโดย ระพิน ใจดี วันพุธที่ ๐๒ เมษายน ๒๕๕๑ ไม่รู้ว่ารอบนี้ ผมจะใจเย็นเกินไปหรือเปล่า ระดับ 880 เหรียญที่คาดไว้ก็มาแล้ว ปกติ ผมจะแนะนำให้เริ่มเข้าซื้อแล้ว แต่พอดู chart บวกกับความเห็นของนักวิเคราะห์เมืองนอกในตอนนี้ รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะออกมาในวันนี้ ทำให้ต้องเปลี่ยนใจครับ ค่อนข้างเชื่อว่า ราคาขั้นต่ำ 850 น่าจะมาอย่างเร็ว จนไม่กล้าเก็บกัน มาดู chart กันก่อน เมื่อคืน ราคาลงมาติด trendline ที่ลากมาจาก high เดิม 2 ยอด คือบริเวณ 730 เหรียญ เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2005 กับบริเวณ 846 เหรียญในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว จริงๆดูเหมือนจะเป็นแนวรับที่น่าสนใจครับ RSI เข้าเขตการขายมากเกินไปแล้ว stoch ก็ต่ำเตี้ยติดดินขนาดนั้น แต่ถ้าใครดู chart ในอดีต จะเห็นได้ว่า ระดับเส้น 200 วัน ซึ่งลงไปต่ำกว่าอีกนิดหน่อยบริเวณ 800-827 เหรียญ ดูน่าจะถูกทดสอบในหนนี้ค่อนข้างแน่นอนครับ ไหนๆก็เกือบถึงแล้ว จริงไหม คืนนี้มีข้อมูลสำคัญที่จะออกมา ผมว่า ไม่น่าเป็นข้อมูลที่เป็นมิตรกับราคาทองหรอก 12:15 ตัวเลขการจ้างงานเดือนมีนาคม คาดการณ์ว่าแย่ลง แต่ถ้าแย่น้อยลงล่ะ? 13:30 เบอนันเกแถลง รายนี้ ช่วงนี้เป็นศัตรูกับทองคำชัวร์ 14:30 สต๊อกน้ำมัน น่าจะส่งราคาน้ำมันลง และทองก็จะลงตาม น้ำมันวันนี้ยังยืนได้ 100 เหรียญ แต่คืนนี้คงยืนไม่ไหวนะ คงต้องดูว่า ทองคำจะลงไปได้ถึงไหน คำแนะนำ - ใครอยากซื้อตรงนี้ กรณีไม่มีของ พอทน (แต่ไม่แนะนำเท่าไหร่) - ใครอยากซื้อเพิ่ม อดใจรอดูทิศทางอีกนิด รับรอง ราคาไม่พุ่งหนีมือเราหรอก - ใครติดดอย (แปลว่าเงินเย็น เพราะไม่ปล่อยสักที) รอก่อนครับ ผมว่า ช่วง summer ของฝรั่งปีนี้ ราคาน่าจะไล่กลับขึ้นมา มากกว่าจะลงนะ ถือรอถึงสิ้นปี ราคาระดับ 1000 - 1200 เหรียญยังดูสดใส ราคาทองคำ ยังคงอยู่ในภาวะกระทิงครับ ตราบเท่าที่ยังไม่หลุด 800 เหรียญ
  3. เขียนโดย ระพิน ใจดี วันศุกร์ที่ ๐๔ เมษายน ๒๕๕๑ เมื่อคืน US ดอลล่าร์อ่อนจากตัวเลขการขอเงินช่วยเหลือตกงานมากขึ้น ทำให้ทองคำดีดขึ้นมาได้ วันนี้ ราคาขึ้นมายืนรอตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าว่า จะลดลง 50000 ตำแหน่ง แต่จากตัวเลขการจ้างงานของ ADP วันก่อน ชี้ว่า ตัวเลขการจ้างงานวันนี้ น่าจะดีกว่าคาดนะครับ รอดูทิศทางไปก่อนดีกว่ามั๊ย ราคาเมื่อคืน 4.4.51 904.78 low 888.22 high 908.67 - ข้อมูลการจ้างงานจาก ADP (คนละหน่วยกับของคืนนี้ที่จะออกโดยกระทรวงแรงงานของรัฐบาล)วันก่อนบอกว่า คงไม่ลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้นนะครับ ทองอาจลงได้ - ถ้าเศรษฐกิจดี US ดอลล่าร์แข็ง ทองก็ลงได้อีก - ถ้าเศรษฐกิจแย่ลง US ดอลล่าร์อ่อน แต่น้ำมันที่ยืน 104 เหรียญเมื่อคืน อาจหล่น ทองอาจลงได้ (เอ๊ะยังไง โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง 555 ) - คืนนี้วันศุกร์นะครับ (น่ากลัวมั๊ย) ปัจจัยที่จะทำให้ราคาทองคำขึ้นตอนนี้ ผมว่ายังไม่มีเลย นอกจากการหลอกล่อจากกองทุนอย่างเดียว มาดู chart กันดีกว่า วันนี้มาดูรายชั่วโมงกันหน่อย ราคาเมื่อคืน ยังไม่ยอมขึ้นไปทดสอบเส้น neckline 910 เหรียญเลย - และเหนือ neckline ขึ้นไป ก็ยังเจอ trendline ขาลงกดไว้แถว 910 เหรียญเมื่อวาน วันนี้ขยับลงมาเหลือแถวๆ 906 เหรียญในตอนกลางคืน - ถัดขึ้นไปอีกหน่อย เส้น 200 วันรายชั่วโมงยืนแถว 920 เหรียญ ก็ยังผ่านยาก - RSI, Stoch เริ่มเต็ม ภาพรวม ราคาน่าจะยังขึ้นไม่ได้นะครับ ถ้าจะให้ดี คือ sideway ยืนเหนือ 900 เหรียญให้ได้ในคืนนี้ และไม่หลุดไป 880 อีกในช่วงสัปดาห์หน้า รอให้สัญญาณต่างๆลดลง แล้วค่อยๆดีดผ่านแนวต้านด้านบน - ราคาผ่านเส้น 200 วันรายชั่วโมงแถว 920 เหรียญได้ จะช่วยยืนยันการกลับมาของกระทิง - ถ้าพยายามดันขึ้นผ่าน 910 เหรียญคืนนี้ แต่ไม่สำเร็จ Head&Shoulder ของคุณพงษ์เกียรติจะแผลงฤทธิ์ ลากทองลงไปต่ำได้ถึง 830-800 เหรียญได้เลย สรุปเหมือนเดิม ใจเย็นๆรอดูไปก่อนดีกว่าครับ ซื้อแพงหน่อยแต่ชัวร์ ตอนนี้ถือคติ ตกขบวนดีกว่าติดดอย
  4. เขียนโดย kumponys วันจันทร์ที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๒ บทก่อน เกริ่นกันไว้ในประเด็นกว้างๆ บทนี้ เรามาทำความรู้จักกลไกการทำงานของ Gold Futures ตั้งแต่คอนเซปต์ของมัน และแนวทางปฏิบัติที่ทำให้มันประสบความสำเร็จในการที่จะผูกติดราคามันไว้กับราคาทองคำจริงได้อย่างลงตัวได้ยังไง มาเริ่มทำความรู้จักกันที่ลักษณะของ Gold Futures คร่าวๆกันก่อน - Gold Futures เป็นสัญญาจะซื้อจะขายทองคำ มีวันหมดอายุหรือวันสิ้นสุดสัญญา บ้านเราใช้เดือนคู่ คือ ก.พ. เม.ย. มิ.ย. ส.ค. ต.ค. ธ.ค. เป็นเดือนหมดอายุ มีให้เลือกซื้อขายทีละ 3 ซีรีส์ เช่นเดือนนี้เดือนมกราคม จะมีสัญญาเดือน ก.พ เม.ย. และ มิ.ย. ให้เลือกซื้อ ตามสะดวก แต่โดยมาก จะซื้อขายกันกระจุกตัวอยู่ในเดือนใกล้สุด เพราะจะมีสภาพคล่องหรือมีคนเข้ามาซื้อขายกันมากสุดนั่นเอง - Gold Futures บ้านเรา จะคำนวณราคาอ้างอิงมาจากดอกเบี้ยที่ปราศจากความเสี่ยง หรือดอกเบี้ยนโยบายที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นคนประกาศนั่นแหละ โดยปัจจุบัน (มค. 52) อัตราดอกเบี้ยคือ 2% - จากการใช้ดอกเบี้ยคำนวณราคาอ้างอิง เมื่อถึงวันสิ้นสุดสัญญา ราคาของทองคำจะเท่ากับหรือเกือบเท่ากับราคาทองของจริงเสมอ เพราะหากใครถือจนหมดสัญญา ราคาทองคำวันหมดสัญญาจะไม่มีดอกเบี้ยมารวมด้วย เพราะดอกเบี้ยมันคูณด้วย 0 วันนั่นเอง ราคาที่ใช้ในการคำนวณกำไรขาดทุน จะใช้ราคาทอง London A.M. Fixing Price ซึ่งเป็นราคาตามประกาศของลอนดอนในช่วงเช้าเป็นหลัก (ไม่ใช่ราคาตามประกาศสมาคมฯบ้านเรานะครับ) มีอะไรที่ยืดยาวกว่านี้ แต่เอาไว้พูดเมื่อถึงเวลาที่จะต้องพูดก็ยังไม่สาย จะได้ไม่งงกัน ข้อกำหนดที่เขาคิดไว้ ทำให้เกิดสินค้าให้เล่นครั้งละ 4 ตัวพร้อมกันเป็นอย่างน้อย โดยมีราคาต่างกันเล็กน้อยตามเวลาและสถานที่ - 4 รายการแรก คือ ทองคำ spot หรือของจริง ตามด้วย 3 รายการ จากทองคำสัญญาเดือนต่างๆ 3 ซีรีส์ ตามที่บอกไว้ข้างบน - ทองคำจริง อาจแบ่งย่อยได้อีก เป็นตลาดในประเทศ และต่างประเทศ หากเราเข้าถึงได้ ตารางข้างล่าง แสดงตัวอย่างการคำนวณราคาอ้างอิง สำหรับแต่ละซีรีส์ สมมุติว่า วันนี้วันที่ 1 มค. 52 ราคาทองคำจริง (Realtime) = 14000 ราคาทองคำ Futures = ราคาSpot+(ราคาSpot x อัตราดอกเบี้ย x อายุที่เหลือของสัญญา) โดยดอกเบี้ยเท่ากับ 2% ราคา Spot 14,000.- ก.พ.(อายุ 2 เดือน) 14,047.- เม.ย.(อายุ 4 เดือน) 14,093.- มิ.ย.(อายุ 6 เดือน) 14,140.- จะสังเกตว่า ผมใช้คำว่า ราคาอ้างอิง เพราะมันไม่ใช่ราคาจริงที่เกิดขึ้นในตลาด และผมบอกว่า มันคือสินค้าคนละตัวกัน ทำให้การซื้อขายสามารถไปคนละทิศละทางได้ และจุดนี้เองที่จะเกิดการเข้ามาแสวงหากำไรจากส่วนต่างของราคา และมีบุคคลสำคัญในตลาดที่เราเรียกว่า ผู้ค้ากำไร ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า arbitrageur รวมอยู่ด้วย ที่ผมบอกว่า สำคัญ เพราะ หากปราศจากคนกลุ่มนี้ กลไกราคาจะไม่สามารถทำงานได้สมบูรณ์ ราคาทองคำจริง กับ Gold Futures จะไม่มีทางไปด้วยกันได้ครับ คนกลุ่มนี้ ผมว่า ถ้ามองบ้านเรา อย่างน้อยจะมีกลุ่มผู้ค้าทองคำรายใหญ่ในสมาคมค้าทองคำด้วยแน่นอน เพราะสามารถเข้าถึงตลาดทองคำจริง และ Gold Futures ได้พร้อมกัน และที่สำคัญคือทุนหนา ผู้ค้ากำไร หรือ arbitrageur นี้ เมื่อเห็นราคา Futures กับของจริง ต่างกันจนสูงมากกว่าต้นทุนดอกเบี้ยที่ตนต้องเสีย(หรือเสียโอกาสจะได้รับ) ก็จะเข้า Short (ขาย) หรือ Long (ซื้อ) ในตลาดหนึ่ง ขณะที่จะกระทำในทางตรงข้าม ในอีกตลาดหนึ่ง เพื่อกินส่วนต่าง โดยปราศจากความเสี่ยง ปราศจากความเสี่ยงได้ยังไง? สมมุติว่า วันนี้วันที่ 1 มค. ราคา spot เท่ากับ 14000 บาท ตามตารางข้างบน แต่ราคาทองคำสัญญาเดือนกุมภาพันธ์ แทนที่จะเป็น 14047 กลับเป็น 14300 คือราคาสูงเกินจริง ผู้ค้ากำไร หรือ arbitrageur จะขายหรือ Short สัญญาเดือนกุมภาพันธ์ ที่ 14300 ขณะเดียวกัน ก็จะซื้อทองคำจริงที่ราคา 14000 ไว้ และถือไว้จนวันสิ้นสุดสัญญาเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งไม่ว่า ราคาในวันนั้นจะเป็นเท่าไหร่ ผู้ค้ากำไร จะได้ส่วนต่างราคา 300 บาทต่อทองคำ 1 บาทแน่นอน มากกว่าดอกเบี้ย 47 บาท ที่ต้องเสีย(หรือเสียโอกาสได้รับ) เช่น ราคาทองคำวันสิ้นสุดสัญญาอยู่ที่ 15000 บาท ทองคำจริง กำไรจากการซื้อไว้ 15000-14000 = 1000 บาท Gold Futures ขาดทุนจากการ Short ไว้ 15000-14300 = 700 บาท ผลต่างเท่ากับ กำไร 300 บาท แต่หากกลับกัน หากราคาทองคำอยู่ที่ 13000 บาท ทองคำจริง ขาดทุนจากการซื้อไว้ 14000-13000 = 1000 บาท Gold Futures กำไรจากการ Short ไว้ 14300-13000 = 1300 บาท ผลต่างเท่ากับกำไร 300 บาทเช่นกัน และการกระทำเช่นนี้จะเกิดอยู่ตลอด และจะมากขึ้นเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ราคายังห่างคุ้มพอที่จะทำ และราคาก็จะเข้าสู่ภาวะสมดุลย์ได้ในที่สุด ทั้งหมดที่เล่ามา คงพอทำให้พวกเราเข้าใจกลไกราคากันมากขึ้นบ้างนะครับ ว่าทำไม ราคาทองคำ Gold Futures กับทองคำจริงๆ ถึงผูกติดกัน หรือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันได้ ทั้งที่ไม่น่าจะมีอะไรมาเกี่ยวกันสักหน่อย บทต่อไป ค่อยมาลงลึกรายละเอียดกันอีกหน่อย บทละนิดนะครับ จะได้ไม่เวียนหัว ผมเขียนเอง ยังเวียนหัวเลย
  5. Gold Futures ฉบับชาวบ้านอ่าน เขียนโดย kumponys วันจันทร์ที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๒ ก่อนจะมีทองคำให้ซื้อขายในตลาดฟิวเจอร์อย่างจริงๆจังๆ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป เราควรจะมาทำความรู้จักมันกันซะหน่อย ว่ามันคืออะไร มีความเหมือนและต่างจากของจริงยังไงบ้าง โดยเฉพาะท่านที่ยังไม่เคยเล่นหุ้น ไม่เคยมีประสบการณ์การลงทุนในตลาดหุ้น น่าจะยังมองไม่เห็นอะไรชัดเจนนัก แม้จะมีหนังสือแนะนำทะยอยออกมา แต่ก็เป็นสาระแบบเป็นหนังสือชี้ชวนบ้าง เป็นทางการไปบ้าง อ่านแล้ว ไม่ค่อยได้สัมผัสตัวตนจริงๆ ของ Gold Futures สักเท่าไหร่ ราคา Gold Futures คือราคาทองคำอนาคตจริงหรือ? น่าจะตอบว่า ไม่จริงครับ ราคาของมัน มาจากการใช้ราคาของมันในปัจจุบันนี่แหละ บวกกับดอกเบี้ย หรือต้นทุนในการถือครองอื่นๆไปจนหมดเดือนที่กำหนด หรือพูดอีกนัยคือคุณตกลงจองซื้อทองคำในวันนี้ ด้วยเงินที่มีต้นทุน อย่างน้อยก็ดอกเบี้ยล่ะ ทองคำยังไม่ได้ แต่ตังค์ที่ต้องจ่าย ถูกคำนวณต้นทุนอนาคตเรียบร้อย ผมอยากจะนิยามว่า เป็นทองคำในอนาคตของคุณ ที่คุณจองซื้อมันในวันนี้ แต่มันไม่ได้บอกราคาทองคำในอนาคตให้คุณรู้ ว่างั้น ซื้อ Gold Futures ต่างอะไรกับทองคำจริงๆบ้าง ทองคำจริง อยากซื้อเท่าไหร่ก็ซื้อได้ ซื้อแล้วเอามานอนกอดได้ ขาดทุนยิ่งต้องกอดมันไว้นานๆ แต่ซื้อทองคำ Futures จะมีคนมาสะกิดคุณทุกวันว่า วันนี้ กำไรหรือขาดทุน ยิ่งขาดทุน ยิ่งเครียด เพราะจะถูกสะกิดให้เติมเงินเข้าไปในบัญชี หากยังอยากถือไว้ Gold Futures มีข้อกำหนดหลักๆ คือมันเป็นสัญญาจะซื้อ/จะขายทองคำ โดย 1 สัญญาจะเท่ากับ 50 บาท โดยการซื้อ ใช้แค่เงิน 10% เสียเงินค่าคอมมิชชั่นขั้นต้น 450 บาท + Vat 7% หรือ 481.50 บาท ตีมั่วๆง่ายๆ ก็ 500 บาทซะ ไปกลับประมาณ 1000 เท่ากับ 1 บาท คุณมีต้นทุนแล้ว 20 บาท ซึ่งยังถูกกว่าส่วนต่างของราคาสมาคม 5 เท่า (สมาคม 100 บาท) แปลว่า คุณมีโอกาสในการใช้เงินที่เคยซื้อทองคำได้แค่ 5 บาท มาซื้อทองคำ Gold Futures ได้ถึง 50 บาท และมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าเดิม 10 เท่า พร้อมๆกับส่วนต่างที่น้อยลงไปอีกบาทละ 80 บาท ข้อดีที่ชัดๆของ Gold Futures ที่ผมเห็น คือโอกาสในการขายก่อน หรือเล่นในตลาดช่วงขาลง กรณีไม่มีของอยู่ในมือ ซึ่งทองคำของจริง หรือ KGOLD หรือ TMBGOLD ไม่สามารถทำได้ ได้แต่รออย่างเดียว แต่อย่าเพิ่งนอนใจนะครับ นั่นเป็นด้านดีที่ทำให้คนเข้าสู่ตลาดจนลืมด้านไม่ดี คือมันสามารถพาคุณขาดทุนได้เพิ่มขึ้นอีก 10 เท่าด้วยเหมือนกัน บทต่อไป ค่อยมาลงรายละเอียด แนวคิดของ Gold Futures อีกที..
  6. การซื้อขาย Gold Futures เขียนโดย kumponys วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๒ ทองคำจริง เราคงจะคุ้นเคยกันพอสมควรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา.. น้ำหนัก.. วิธีการซื้อขาย เพราะกว่าจะมีถึงวันนี้ แต่ละคนคงเคยได้หิ้วมันไปกลับร้านทองมาหลายรอบแล้ว แต่สำหรับ Gold Futures หน้าตามันไม่เหมือนทองคำของจริง การซื้อขายก็ไม่เหมือนกัน บทนี้ เรามาทำความรู้จักมันละเอียดขึ้นสักหน่อยดีมั๊ย ตลาด Gold Futures เป็นแบบไหน? ผมขอนิยามว่า เป็นตลาดแบบจับแพะชนแกะ หรือการจับคู่เอาผู้ที่อยากจะซื้อมาเจอกับผู้ที่อยากขาย ผ่านระบบคนกลาง โดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องรู้ว่าใครเป็นใครหรอก Gold Futures จริงๆ เล่นเหมือนๆกับหุ้น โดยทำการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ บ้านเราก็คือ TFEX นี่เอง TFEX จะเป็นคนกำหนดกฏเกณฑ์การซื้อขาย คอยจัดการดูแลให้ผู้เกี่ยวข้องในตลาด ปฏิบัติตามสัญญา ตลาดนี้มีลักษณะอีกอย่างที่เรียกว่า zero sum games นะครับ มีคนได้มีคนเสียเท่าๆกันเสมอ การซื้อขาย Gold Futures เราต้องทำความรู้จักมันเสียก่อนนะครับ อันดับแรกเลย คือช่วงเวลาการซื้อขาย มี 2 ช่วง โดยก่อนหน้าเวลาทำการ 30 นาที จะเปิดให้ส่งคำสั่งเสนอซื้อ เสนอขายเข้าไป โดยยังไม่มีการจับคู่ผู้ซื้อและผู้ขาย เพื่อให้โอกาสนักลงทุน ได้พิจารณาทิศทางการลงทุน ดูว่า จะเล่นไปทางไหนดี เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์เท่านั้น เสาร์-อาทิตย์หยุด ช่วงก่อนเปิดตลาดภาคเช้า 9.15 น.- 9.45 น. (ส่งคำสั่งเสนอซื้อ เสนอขาย โดยไม่มีการจับคู่สัญญา) ช่วงเวลาทำการภาคเช้า 9.45 น. - 12.30 น. ช่วงก่อนเปิดตลาดภาคบ่าย 14.00 น. - 14.30 น. (ส่งคำสั่งเสนอซื้อ เสนอขาย โดยไม่มีการจับคู่สัญญา) ช่วงเวลาทำการภาคบ่าย 14.30 น. - 16.55 น. - กลางคืน ไม่มีการซื้อขายนะครับ ตรงนี้ผมว่าทำให้หลายคนคิด เพราะราคามักสวิงแรงในช่วงกลางคืน ใครจะถือข้ามวันก็ต้องคาดเดาทิศทางดีๆ และผมว่า เมื่อมีการซื้อขายจริง มีโอกาสสูงที่เราอาจจำเป็นต้องถือสัญญาข้ามวันเสียด้วย - ส่งคำสั่งเสนอซื้อ เสนอขาย โดยไม่มีการจับคู่สัญญา หมายความว่ายังไง? คนเล่นหุ้นคงพอรู้ แต่คนไม่เคยเล่นอาจจะงงเล็กน้อยถึงมากที่สุด มันหมายถึงคุณหรือใครๆ จะส่งคำสั่งซื้อขายเข้าไปก่อน ทุกๆคนที่อยู่ในตลาดจะได้ดู และเห็นทิศทางเริ่มต้น แต่ก็นั่นแหละ ใครจะมั่ว ส่งคำสั่งเข้าไปหลอกล่อคนอื่นในตลาดก็ได้ในช่วงนี้ พอก่อนถึงเวลาทำการจริง ก็ถอนคำสั่งออกไปซะงั้น เราต้องระวังหลงกลเหมือนกัน ชื่อของสัญญา: Gold Futures เหมือนหุ้นทั่วๆไปที่ต้องมีชื่อ เพื่อใช้อ้างอิงในการซื้อขาย เช่นเดียวกับหุ้นในตลาดหุ้น โดย Gold Futures จะมีรูปแบบดังนี้ GF + Code เดือน + ปี 2 หลัก เดือนสำหรับ Gold Futures จะใช้เฉพาะเดือนคู่ Code เดือน ได้แก่ G: กุมภาพันธ์ J: เมษายน M: มิถุนายน Q: สิงหาคม V: ตุลาคม Z: ธันวาคม ตัวอย่าง Code ที่สมบูรณ์แล้ว เช่น ทองคำสัญญาเดือนกุมภาพันธ์ปี 2009 จะมี code เป็น GFG09 ทองคำสัญญาเดือนเมษายนปี 2009 จะมี code เป็น GFJ09 ขนาดของสัญญา: หากเราซื้อ 1 สัญญา จะเท่ากับเราซื้อทองคำ 50 บาท และใช้เงินลงทุน ที่เรียกว่า หลักประกัน หรือ margin 10% หรือหมายความว่า หากเราจะซื้อขาย Gold Futures ต้องเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ไว้ประมาณ 75000 บาท (ยังไม่ชัดเจน ล่าสุดได้ยินว่าราว 66500 บาท) จะเห็นว่า ขนาดสัญญา ใหญ่มาก ผมเชื่อว่า ไม่นาน ขนาดสัญญาจะปรับลดลงมาแน่นอน ไม่งั้น ตลาดคงไม่สามารถขยายตัวได้ง่ายนัก ใครจะเข้าเล่นในช่วงแรกๆ หากเป็นรายย่อย อาจต้องทำใจกับความเสี่ยงที่มากเอาการ ระยะห่างของสัญญา: 10 บาท หมายความว่า เราสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้แค่หลักสิบ หลักหน่วยส่งไม่ได้ เช่น 14010 ได้ แต่ 14011 ไม่ได้ อายุของสัญญา: Gold Futures ต่างจากทองคำจริง ตรงที่มีอายุนี่แหละครับ โดยวันหมดอายุคือวันทำการก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือนที่หมดอายุ เช่นของเดือนกุมภาพันธ์ปี 2009 วันที่ 28 ตรงกับวันเสาร์ วันทำการสุดท้ายคือวันศุกร์ที่ 27 ดังนั้น วันหมดอายุของ GFG09 คือวันที่ 26 นั่นเอง หากเราถือจนหมดอายุ สัญญาของเราสิ้นสุดลง และจะได้ราคาตามราคาลอนดอนในภาคเช้า (London A.M. Fixing Price) แต่หากเราต้องการเล่นต่อ เราต้องขายและไปซื้อสัญญาของเดือนถัดไปแทน ค่าธรรมเนียมหรือค่าคอมมิชชั่น: 450 บาท สำหรับสัญญาที่ 1-5 350 บาท สำหรับสัญญาที่ 6-20 และ 250 บาท สำหรับสัญญาที่ 21 ขึ้นไป แถมด้วย Vat อีก 7% (ปล. ได้ยินว่าล่าสุดปรับไปเป็น 500 บาทแล้ว) การซื้อขาย ก่อนอื่นต้องไปสมัครและเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ที่เป็นสมาชิกของ TFEX รายใดรายหนึ่งก่อน รวมถึงร้านทองที่เป็น Selling Agent หรือ Introducing Agent ด้วย ก่อนซื้อขาย ควรทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ต่างๆอีกครั้งนะครับ บางที ผมอาจไม่ได้พูดถึง เพราะกลัวว่า ละเอียดไป คนอ่านเริ่มต้นจะงง เมื่อเปิดบัญชีแล้วก็เริ่มเทรดโดย - นำเงินเข้าบัญชี เพื่อวางเงินหลักประกันขั้นต้น (Initial Margin) ซึ่งกำหนดไว้ประมาณ 10% เราอาจใส่ไว้มากกว่านั้นไว้กันเหนียว เพราะหากราคาเปลี่ยนแปลงจนเราขาดทุนและเงินเหลือต่ำกว่าระดับ เงินประกันรักษาสภาพ (Maintenance Margin) เราจะถูกเรียกให้เติมเงินเข้าไปให้เต็มจนเท่ากับระดับ Initial Margin อีกครั้ง เรียกเงินก้อนนี้ว่า เงินประกันผันแปร (Variation Margin) หรือเรียกว่า Margin Call นั่นเอง การถูกเรียกเติมเงิน เราต้องทำให้เสร็จ 1 ชั่วโมงก่อนปิดทำการวันถัดไป และต้องระวังการถูก Force close หรือบังคับปิดสัญญาหากราคาทองคำผันผวนมากจน Margin เหลือต่ำกว่า 30% (ของ Initial Margin) - ส่งคำสั่งซื้อขาย ทำได้ทั้งผ่านเจ้าหน้าที่ หรือผ่านอินเทอร์เนท โดยบางคำสั่งจะไม่สามารถส่งผ่านเนทได้ ต้องผ่านเจ้าหน้าที่เท่านั้น เช่น การส่งคำสั่งซื้อขายที่มากหรือน้อยกว่าราคาปัจจุบันเกิน 5% หรือ การส่งคำสั่งซื้อขายข้ามซีรีส์เดือนที่เรียกว่าคำสั่ง Combo (เป็นการเล่น Spread กินส่วนต่างระหว่างสัญญา 2 ตัว) หรือ คำสั่งซื้อขายเกิน 20 สัญญา คำสั่งซื้อขายใน Gold Futures สำหรับนักลงทุน น่าจะมี 3 ลักษณะ หากซื้อ เราจะเรียกว่า Long (จริงๆ คำว่า Long ในภาษาอังกฤษ เขาหมายถึง การส่งคำสั่งจองซื้อ แต่คนไทยเรียกง่ายๆว่าซื้อ ซึ่งง่ายแต่พาสับสนดี) หากขาย เราเรียกว่า Short (และเช่นกัน คำว่า Short หมายถึงการจองขาย) โดยการขาย เราไม่จำเป็นต้องซื้อก่อน ก็สามารถขายได้ครับ นี่คือข้อดีที่ผมเห็นในตลาด Gold Futures การเล่น Spread หรือการเลือกซื้อสัญญาเดือนหนึ่ง แต่ไปขายอีกเดือนหนึ่ง อันนี้เป็นการเล่นกับส่วนต่างของราคาของแต่ละเดือน หากเห็นว่าห่างไปหรือแคบไป เราก็สามารถส่งคำสั่ง combo หรือการส่งคำสั่งซื้อและขายออกไปพร้อมกัน วิธีนี้ โบรกเกอร์จะคิด Margin แค่ 1 ใน 4 เท่านั้น เพราะความเสี่ยงต่ำกว่าการซื้อขายปกติ แต่เปลืองค่าคอมครับ เพราะโดนค่าคอมไปกลับ 2 ชุด เท่ากับ 2 เด้งเลย รายละเอียด เทคนิคการเล่นตรงนี้ คงต้องไปศึกษาฝึกปรือกันเองอีกทีนะครับ แค่เล่าให้ฟังว่า มีวิธีเล่นกินส่วนต่างแบบนี้ได้ด้วย - ทุกๆวัน โบรกเกอร์จะคำนวณกำไรขาดทุน โดยคำนวณจากราคาซื้อขายเฉลี่ย 5 นาทีสุดท้าย เรียกว่า Mark to Market หากกำไร โบรกเกอร์จะนำเงินใส่ให้ในบัญชี เราสามารถเบิกออกมาใช้ได้เลย แต่หากขาดทุน และ Margin เหลือต่ำกว่าระดับ Maintenance Magin เราต้องเติมเงินเข้าไปให้เต็มหรือเกินระดับ Initial Margin ไปก่อน 9 โมงเช้าของอีกวัน ไม่งั้นเราจะ trade ไม่ได้ (ก็มันเต็มวงเงินแล้ว) และภายใน 1 ชั่วโมงก่อนตลาดปิดทำการ หากยังไม่เติมเงิน ก็จะถูก Force close ไป ตรงนี้เป็นจุดที่ผมเห็นว่า สำหรับนักลงทุนระยะกลางหรือยาว อาจต้องคิดนิดนึงครับ ระบบมันบีบให้เราต้องติดตามทุกวัน ทุกเวลา แต่สำหรับคนเล่นสั้นๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร - ปิดสัญญา โดยการส่งคำสั่งด้านตรงข้ามเข้าไป หรือ ปล่อยให้สัญญาหมดอายุ ซึ่งอย่างแรก ก็คิดกำไรขาดทุนจากราคาเปิดสัญญากับราคาปิดสัญญา ส่วนหากรอหมดอายุ ก็คำนวณกำไรขาดทุนจากราคาเปิดสัญญากับราคาที่คำนวณจากตลาดลอนดอนตอนเช้า (London A.M. Fixing Price) ผมพยายามอธิบายแบบเบื้องต้น ไม่ได้เจาะลึกอะไรมาก เพื่อให้ท่านที่ยังไม่เคยเล่นหุ้นพอเข้าใจนะครับ หากใครอยากได้รายละเอียดมากขึ้น ในเวปไซด์ของน่ำเชียง ดูจะมีคำอธิบายรายละเอียดพร้อมตัวอย่างที่ดีอยู่แล้ว ลองเข้าไปดูได้ ตาม link ข้างล่างนี้ครับ http://www.namchiang.com/th/gold-story/269-gold-futures-.html
  7. คุณ เพนกบินบินขยันกว่าอีก อยากกดบวกให้สิบคะแนนเลย (แต่กดไม่เป็น :P )จริงๆตัวเองไม่ได้ขยันหรอกค่ะ กลัวว่าเก็บไว้นานๆแล้วจะขี้เกียจ

  8. ทอง VS ปรอท เขียนโดย kumponys วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ร้านทอง ตกเป็นจำเลยบ่อยครั้ง ว่าขายทองผสม ขายทองไม่เต็ม ขายทองชุบให้ โดยสาเหตุหนึ่งที่ถือว่าเป็นอันดับต้นๆเลยทีเดียวคือ ปรอท สารที่จัดว่าเป็นอันตรายแต่ยังคงมีใช้อยู่ในชีวิตประจำวันอยู่มาก ลองมาทำความรู้จักมันเพิ่มดีไหมครับ.. ธาตุ ปรอท เป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ได้มีการบันทึกไว้ว่าอารีสโตเติล (Aristotle) รู้จักปรอทเมื่อ 1600 ปีก่อนคริสต์ศักราช ปรอทมีชื่อภาษาอังกฤษว่า mercury แต่มีสัญญลักษณ์ Hg ซึ่งตั้งขึ้นโดย Berzelius มาจากคำลาติน hydrargyrum ซึ่งมีความหมายว่าเงินเหลว (liquid silver) เพราะลักษณะภายนอกเหมือนโลหะเงิน แต่สามารถไหลหรือกลิ้งไปมาได้ทำนองเดียวกับของเหลว ต่อมาได้มีการเรียกว่า "quicksilver" ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เรียกกันมาตั้งแต่สมัยโบราณเช่นกัน คนโบราณรู้จักนำปรอทไปชุบหรือเคลือบผิวโลหะต่าง ๆ เช่น ทองแดง ทองคำ ในสมัยกลางนักเล่นแร่แปรธาตุ (alchemist) ได้พยายามหาวิธีเปลี่ยนปรอทให้เป็นทองคำ (ในตารางธาตุ ทองเป็นธาตุลำดับที่ 79 ส่วนปรอท เป็นธาตุลำดับที่ 80 ติดกันเลยครับ) ปรอท ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ขั้นตอนการทำเหมืองเลยทีเดียว โดยใช้ปรอทในการเอาทองออกมาจากแร่ที่มีทองอยู่ ปรอทจะเปลี่ยนเป็นอะมัลกัม (amalgam) รวมกับทอง (มีความคล้ายคลึงกับอะมัลกัมที่มีปรอทและเงินผสมอยู่ที่ใช้อุดฟัน) เพื่อจะแยกเอาทองออกจากส่วนประกอบอื่นๆ เช่นหินและดิน จากนั้นทองก็จะถูกเอาออกมาจากอะมัลกัมโดยการต้มเพื่อแยกปรอทออกมา ปรอทจะถูกนำกลับมาใช้ใหม่โดยทำภายในตู้ที่ปิดอย่างดี งานเครื่องถมทองของไทย ก็ใช้ปรอทในการลงถมเช่นกัน โดยรีดทองคำบริสุทธิ์ให้เป็นแผ่นบาง ตัดเป็นฝอยเล็ก ๆ และบดจนเป็นผง ผสมกับปรอท กวนให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว เรียกว่า "ทองเปียก" แล้วนำวัตถุที่จะแตะทองมาทำความสะอาดให้หมดความเค็ม ด้วยน้ำส้มมะขามหรือน้ำมะนาว เช็ดทำความสะอาดแล้ว ตะทองบริเวณลวดลายที่ต้องการตกแต่ง เมื่อถูกความร้อนปรอทจะระเหย เหลือแต่ทองคำที่แตะแต่งไว้ตามลาย ต้องทำซ้ำกันเช่นนี้หลายครั้ง จนได้ความหนาตามต้องการ งานกะไหล่ หมายถึง เคลือบภาชนะและของใช้ต่าง ๆ ด้วยทองหรือเงิน ด้วยวิธีการใช้ปรอททา ทำให้ร้อนแล้วจึงปิดแผ่นทองหรือแผ่นเงิน กะไหล่ เป็นคำที่มาจากภาษาเปอร์เซีย ว่า kalayi. ปัจจุบันช่างทำเครื่องใช้ที่เป็นเงินเป็นทองมักใช้วิธีชุบแทนกะไหล่ เพราะทำได้เร็วกว่าถูกกว่า แต่การชุบนั้นทองจะเคลือบผิวบางมาก ผิวทองจึงไม่ติดทนเท่ากะไหล่. คำว่า กะไหล่ บางคนเรียกว่า กาไหล่ หรือ ก้าไหล่ (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ให้ใช้ว่า กะไหล่ แต่ก็เก็บคำว่า กาไหล่ ไว้ด้วย) วิธีการทำก็คล้ายวิธีการทำทองเปียกโดยใช้ปรอทเช่นเดียวกัน แต่ใช้วิธีการชุบ แทนการทา การเคี่ยวทองรวมกับปรอท ไม่ใช่เรื่องยากเลย แค่นำผงทองลงไปคน อาจใช้ไฟอ่อนช่วย ก็สามารถทำให้ทองรวมตัวกับปรอทได้แล้ว เช่นนี้เอง ปรอทจึงถูกนำมาใช้ในขั้นตอนการทำทองตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะการรวมตัวกันที่ง่าย ดังนั้น เมื่อทองรูปพรรณที่เราสวมใส่ ไปถูกกับสารที่ใช้ในชีวิตประจำวันที่มีส่วนประกอบของสารปรอท เราจึงพบทองกลายเป็นสีขาว กลายเป็นที่มาของความเข้าใจผิดนั่นเอง มาดูกันว่า ชีวิตประจำวันเราเจออะไรบ้างที่มีสารปรอท สำหรับร้านทองเอง มักเจอมากที่สุดคือพวกพยาบาลกับร้านทำฟัน ร้านทำฟันนั้น ตัวหลักที่ถูกใช้งานทุกวัน และมีส่วนผสมของปรอทอย่างมากคือ อะมัลกัม (amalgam) ที่ใช้อุดฟันนั่นเอง โดยมีส่วนผสมประมาณ ถึง 50% ที่เหลือคือ โลหะเงินเป็นหลัก ตามด้วย ตะกั่ว ทองแดง สังกะสี ตามแต่สูตรของผู้ผลิตจะคิดค้นกันมา เมื่อทองที่สวมใส่ไปทำฟันด้วย( ไม่รู้ว่าจะใส่ไปทำไม) โดนน้ำกรอฟันที่อุด ซึ่งวัสดุอุดฟันหรือ อะมัลกัม นั่นเอง กระเด็นใส่ ปรอทที่ปนเปื้อนมากับน้ำกรอฟัน ก็เหมือนพบเนื้อคู่ โดดเข้าจับติดหนับไม่ปล่อย เห็นเป็นดวงๆ ตามรอยที่กระเด็นมา ยารักษาฝ้าบางชนิด ที่ทำให้หน้าขาววอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยาที่โฆษณาว่าทำให้หายได้ทันที มักมีส่วนผสมของสารปรอท ซึ่งสามารถใช้ได้ผลจริง แต่อาจมีอันตรายจากการสะสมปรอทที่ผิวหนัง และในร่างกายได้ สำหรับผมเอง ยังไม่เคยเจอกรณีทองโดนยารักษาฝ้าครับ แต่คิดว่า ถ้าโดนก็คงเป็นเรื่องเช่นกัน ยาแดง หรือ เมอร์คิวโรโครม (mercurochrome) ถือเป็นยาสามัญคู่บ้านมาช้านาน ปัจจุบันลดความนิยมลง หันมาใช้ตัวอื่นที่ได้ผลเช่นกันแต่ไม่แสบ ไม่เป็นอันตรายเท่า เช่น โพวิโดน-ไอโอดีน (เบทาดีน) ยาแดง ใช้ทาพวกแผลสดที่เป็นถลอกตื้นๆไม่ลึก เพราะว่ามันจะทำให้เกิดสะเก็ดแผลแห้งเร็วคลุมแผลไว้ไม่ให้เชื้อโรคเข้าแผล ไม่ควรทาลงบนแผลโดยตรง เพราะกลายเป็นแผลจะหายยากและอาจเป็นอันตรายจากสารปรอทแทน ยาแดงใช้สารปรอทเป็นหลัก ซึ่งมีผลในการฆ่าเชื้อโรคเป็นอย่างดี ถ้าใครเคยสังเกต หลังการทายาแดง จะเห็นว่า มีเงาสะท้อนให้เห็นชัดเจนเพราะมีโลหะหนักเช่นปรอท เป็นส่วนประกอบในอัตราค่อนข้างสูงนั่นเอง ทิงเจอร์ใส่แผลสด (merthiolate) ได้ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียมานานแล้ว บางทีคุณอาจจะเคยใช้ทาที่บริเวณแผลเพื่อฆ่าเชื้อในตอนเด็กก็เป็นได้ ประเทศสหรัฐอเมริกาได้หันมาใช้ทิงเจอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของปรอทแทนตั้งแต่ปี 1999 แล้ว แต่ผมเชื่อเหลือเกินว่า เมืองไทย น่าจะยังคงใช้กันอยู่ ส่วนตัวผม พยาบาลทั้งที่ทำปรอทแตก และที่ไม่ได้ทำแตก ยังมีวนเวียนมาถาม หรือ แม้กระทั่งมาด่าก่อนก็มี ผมจึงเชื่อว่า ยังคงมีการใช้ยาที่มีส่วนประกอบของปรอทอยู่ในงานรักษาพยาบาลอย่างแน่นอนครับ รวบรวมข้อมูลจาก: http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet5/topic2/Hg.html โดย ดร.ชัยวัฒน์ เจนวาณิชย์ http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=25 โดย ศ. ดร.กาญจนา นาคสกุล http://www.mercola.com/1999/archive/thimerosal.htm http://kanchanapisek.or.th/kp6/BOOK21/chapter4/t21-4-l3.htm เครื่องถม สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน ขอบคุณ เภสัชกรหญิง สุกัญญา ภัทรจินดา สำหรับข้อมูลด้านยา
  9. คุณแพ้ทองหุ้มรึเปล่า เขียนโดย kumponys วันเสาร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ สาวๆทั้งหลาย คงเคยประสบปัญหา การใส่ต่างหูแล้วเกิดอาการแพ้ คัน บวม อักเสบ กันมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย บางรายแพ้แต่อยากสวย จำต้องทนกับการใส่มัน เพื่อให้อินเทรนด์ หรือ บางรายไม่อยากทน ก็หนีไปเล่นของแท้ หรือไม่ก็ไม่ใส่มันซะเลย ผมขายทองหุ้มประเภทต่างหู จี้ มาก็หลายปี สำหรับลูกค้าทุนน้อย หรือบางคนเบื่อง่ายชอบเปลี่ยนบ่อย สมัยก่อนลูกค้าบางรายใส่แล้วเกิดอาการคัน บางรายก็ไม่เป็น หรือ เป็นบ้างนิดหน่อย แต่ ปัจจุบัน ยุคทองแพงระดับเงินหมื่นแล้ว ไฉนทองหุ้ม ที่ราคาแพงขยับขึ้นไปตาม แต่คุณภาพดันสวนทางกัน ลูกค้าบ่นกันมากขึ้น จะว่าลูกค้าผิวบางลงคงไม่ใช่ บางคนสมัยก่อนก็ไม่เห็นแพ้แต่เดี๋ยวนี้กลับแพ้ สอบถามผู้ผลิต ก็ยืนยันว่า คุณภาพคับแก้วเหมือนเดิม ลูกค้าคิดมากไปเอง (รึเปล่า) ไม่เป็นไร สำหรับเมืองไทยแล้ว ผมว่าการผลิตคงยังไม่มีมาตรฐาน คงจะหวังพึ่งอะไรไม่ได้ เรามาหาสาเหตุกันดีกว่า ปกติอาการแพ้โลหะ สามารถเกิดขึ้นได้กับโลหะหลายชนิด เท่าที่ทราบ น่าจะมีเพียง ทอง 99.99% กับ เสตนเลสชนิดที่ผลิตเพื่อใช้ในวงการศัลยกรรม ที่ไม่น่าจะมีคนแพ้เลย แต่ตัวการสำคัญที่ตกเป็นจำเลยของพวกเรางานนี้ ขอยกให้ นิกเกิลเป็นพระเอกครับ มีประชากรถึงประมาณ 10-20% พบว่ามีการแพ้เจ้านิกเกิลตัวนี้ อาการแพ้ มักเกิดโดยที่จะต้องเคยสัมผัสถูกสารแพ้มาอย่างน้อยครั้งหนึ่งก่อน แล้วร่างกายถูกกระตุ้นให้สร้างภูมิต้านทานขึ้นมา เมื่อสัมผัสซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ก็ทำให้เกิดอาการแพ้ การสัมผัส ครั้งแรกกับครั้งหลัง อาจห่างกันเป็นวัน ๆ เป็นเดือน หรือเป็นปีก็ได้ โลหะที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ง่าย เช่น นิกเกิล โครเมียม โคบอลด์ เงิน ปรอท เรามาทำความรู้จักเจ้านิกเกิลสักเล็กน้อยก่อนครับ กว่า 65% ของการใช้นิกเกิลในโลกตะวันตกนั้นเป็นการใช้ทำสเตนเลสสตีล ,12% ใช้ในการทำซูเปอร์อัลลอยด์ อีก 23%เป็นการใช้ทำโลหะอัลลอยด์ ถ่านชาร์จ ทำเหรียญ ชุบโลหะ ประเทศที่บริโภคนิเกิลมากที่สุดคือ ญี่ปุ่น ซึ่งใช้ 169,600 ตันต่อปี(ข้อมูลปี 2005) ในวงการเครื่องประดับ นิกเกิลจะถูกใช้ชุบรองพื้นก่อนนำชิ้นงานไปชุบหรือเคลือบด้วยทอง เงิน หรือ ทองขาว(โรเดียม) เพื่อทำต่างหู สร้อยคอ สร้อยข้อมือ นาฬิกาข้อมือ แหวน และจี้ เพราะความที่มันเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี ทำให้ประหยัดน้ำยาชุบได้มาก ชิ้นงานสวยโดยไม่ต้องชุบหนา จริงๆ ผมได้ยินมาตั้งนานแล้วว่า เค้าเลิกใช้นิกเกิลแล้ว (จากคำบอกเล่าของผู้ผลิต) แต่จะให้เชื่อได้ยังไง ในเมื่อยังมีคนแพ้อยู่มาก ยิ่งปัจจุบันทองแพงขนาดนี้ ชุบบางได้เท่าไหร่ ยิ่งประหยัดต้นทุนเท่านั้น จริงไหม ท่านผู้ชม ประเทศต่างๆในยุโรปและอเมริกากำลังตื่นกลัวต่อพิษภัยของนิกเกิลที่อยู่ในเครื่องประดับ โดยกำหนดมาตรฐานของนิกเกิลในเครื่องประดับ (Offiicial Journal of the European Communities:L 188) ไว้ดังนี้ 1. เครื่องประดับที่มีก้านแทงสู่เนื้อเยื่อของร่างกาย เช่น ก้านต่างหู กำหนดให้มีนิกเกิลได้ไม่เกินร้อยละ 0.05 โดยน้ำหนัก 2. เครื่องประดับที่สัมผัสกับบริเวณผิวหนังส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย เช่น สร้อยคอ สร้อยข้อมือ นาฬิกาข้อมือ แหวน ต่างหู กระดุม ซิป เครื่องหมาย กำหนดให้มีปริมาณนิกเกิลที่ละลายออกมาไม่เกิน 0.5 ไมโครกรัมต่อพื้นที่ผิว 1 ตารางเซนติเมตร ใน 1 สัปดาห์ (0.5ug/cm2/week) จากเอกสารทางวิชาการได้ระบุถึงพิษภัยของนิกเกิลโดยเฉพาะก้านต่างหู ที่ชุบ หรือ เคลือบด้วยนิกเกิลในปริมาณที่มากเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดว่า จะทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังหรือเนื้อเยื่อบริเวณนั้น คือเมื่อแทงก้านต่างหูเข้าที่ใบหูแล้วเกิดแผล ร่างกายจะสร้างกลไกในการขับของเหลวจำพวกพลาสมา (plasma) และ แอนติบอดี (antibody) มายังบริเวณดังกล่าว เพื่อกำจัดเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่ติดมากับก้านต่างหู และซ่อมแซมเนื้อเยื่อส่วนที่ถูกทำลายนี้ ในพลาสมาและในแอนติบอดีมีสารประกอบของไนโตรเจน ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับนิเกิลที่เคลือบบนก้านต่างหู ทำให้นิกเกิลละลายออกมาและเข้าสู่เซลล์ของร่างกายบริเวณนั้น ทำให้ระบบสร้างภูมิคุ้มกันถูกทำลาย มีผลทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดอาการบวม อักเสบ เกิดผื่นคัน เป็นแผลพุพอง เน่าเปื่อย ในบางรายอาจรุนแรงถึงขั้นติดเชื้อรุกลามถึงแก่ชีวิตได้ นอกจากนี้นิกเกิลยังสามารถละลายได้ด้วยเหงื่อและซึมสู่ร่างกายของคนเราได้ทางผิวหนัง เดี๋ยวนี้เมื่องนอกตื่นตัวกับเครื่องประดับประเภท Nickel-Free เมืองไทยเองก็มีโรงงานที่ทำตามมาตรฐานยุโรป ส่งไปขายเช่นกัน และคิดว่า ไม่น่าจะมีขายอยู่เมืองไทย เพราะเท่าที่ทราบคือแพงใกล้เคียงของแท้เลย คนไทยเจอราคาแบบนี้ ไม่ต้องถามครับ คงหนีไปใช้ของแท้แน่นอน รวบรวมข้อมูลจาก: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A5 http://www.simplywhispers.com/htdocs/html/News/safeearrings.html http://www.dss.go.th/dssweb/st-articles/files/cp_5_2544_nickel.pdf อันตรายของนิกเกิลที่ถูกมองข้าม โดย วนิดา ชุลิกาวิทย์ และ ปัทมา นพรัตน์
  10. เกร็ดเล็กน้อยกับการใช้งาน ทองรูปพรรณ เขียนโดย kumponys วันอาทิตย์ที่ ๑๖ กรกฏาคม ๒๕๔๙ มาเรียนรู้วิธีการใช้งานหรือการดูแลที่ถูกต้องง่ายๆ กันครับ ผมพยายามรวบรวมประเด็น เกร็ดเล็กเกล็ดน้อย ที่ผมแนะนำลูกค้าบ่อยๆ มาเล่าสู่กันฟังครับ บางประเด็นก็อาจจะง่ายๆ แต่มองข้ามกันไปก็มี บางประเด็นก็เป็นเรื่องชวนปวดหัวครับ กับการอธิบายให้ลูกค้าขึ้สงสัยให้เข้าใจ สร้อยดำจังเลย ทองไม่ดีหรือเปล่า ลูกค้าก่อนจะโทษว่าตัวเองไม่รู้จักการดูแลรักษา มักโทษร้านทองก่อนว่า สงสัยจะเอาทองเปอร์เซนต์ไม่ดีให้ ผมมักจะถามลูกค้าว่า คุณซื้อเสื้อผ้าใส่มันทุกวันโดยไม่ซักบ้างไหม ทำนองเดียวกัน สร้อยที่คุณสวมใส่ ถ้าคุณไม่ทำความสะอาดมันบ้าง คราบสกปรกมันก็หมักหมมอยู่แถวนั้นแหละ อย่าไปคิดว่า ตัวเราเป็นคนสะอาดสะอ้าน ลองสะอาดแบบใส่เสื้อแล้วไม่ซักดูสักเดือนสิครับ แหะๆ หลังจากแขวะลูกค้าพอหอมปากหอมคอ โทษฐานที่มากล่าวหา ผมก็แนะนำวิธีง่ายๆในการดูแลทำความสะอาดสร้อยทองคำ ด้วยอุปกรณ์ง่ายๆที่มีอยู่ที่บ้านนั่นแหละ ได้แก่ น้ำยาล้างจาน ( หรือแฟ๊บหรือผงซักฟอกก็พอได้) แปรงสีฟันเก่าๆ สักอัน 1. ถ้าลวดลายไม่ซับซ้อนซอกซอนอะไรมาก ก็แปรงธรรมดากับน้ำยาล้างจาน แล้วตามด้วยน้ำเปล่าสักรอบ ก็เรียบร้อยครับ 2. หรือถ้าเป็นลายโปร่งหรือลวดลายที่แปรงถึงยาก 2.1 อาจใช้ต้มเอาเลย เอาสร้อย ลงหม้อ หรือ ถ้วยโลหะเล็กๆใส่น้ำพอท่วมสร้อย น้ำยาล้างจานนิดหน่อยก็พอ เยอะไปเดี๋ยวฟองล้น ต้มให้เดือดนานจนพอใจ อย่าถึงกับน้ำแห้งหมดล่ะครับ 2.2 หรือถ้ามีโซดาไฟ อาจใช้โซดาไฟแทน โดยแค่แช่สร้อยทิ้งไว้สักคืน ก็สะอาดดี(ถึงดีกว่า) คำเตือน โซดาไฟต้องใช้อย่างระมัดระวังนะครับ 2.3 ต้มน้ำเปล่า เพื่อขจัดน้ำที่ผสมน้ำยาล้างจานหรือน้ำโซดาไฟ ที่อาจตกค้างอยู่ตามซอกให้หมดไป 2.4 เอาแปรงปัดๆผิวงาน ขณะยังเปียกน้ำ ตามซอกที่พอจะเข้าถึงอีกที 2.5 หาไดร์เป่าผม มาจัดการเป่าจนกว่าจะแน่ใจว่า ไม่มีน้ำตกค้างตามซอก ลายที่มีน้ำขังแล้วออกยากๆ เช่น ลายโปร่งยักษ์ๆทั้งหลาย เช่น ลายทาโร่ยอดฮิต เป็นต้น อาจต้องใช้เวลาเป่านานหน่อย การต้ม ควรใช้กับรูปพรรณทองล้วนๆ ถ้าอย่างอื่นปน เช่นสีลงยา หรือ พลอย คงเป็นพิจารณาความเหมาะสมอีกทีนะครับ เทคนิคการถนอมตะขอสร้อย หลายท่านที่ชอบใส่สร้อยเส้นสั้นๆแล้วชอบถอดเข้าถอดออก มักจะมีปัญหาตะขอเสียรูปทรง ตะขอหัก แล้วก็ต้องมาเสียตังค์เปลี่ยนตะขอ หรือบางคนเกรงใจ กลัวร้านทองรวยช้า เปลี่ยนซะทั้งเส้น (ฮิฮิ หวาน!) แหม ก่อนจะเสียตังค์ มายืดอายุการใช้งานตะขอกันดีกว่า เทคนิคง่ายๆ ที่อาจมองข้ามกัน โดยมากการเปิดตะขอ มักจะแสดงพลังกันเต็มที่ ง้างกางออกไปด้านข้าง (บางคนเล่นเอาฟันงัดก็มี) โดยเฉพาะตะขอสร้อยเส้นใหญ่ๆ ตัวไหนหนาหน่อย พาลหาว่าทองไม่ดีไปซะอีก ผมแนะนำวิธีง่ายๆ ให้ใช้ปลายนิ้ว ย้ำว่าปลายนิ้วนะครับ ไม่ใช่ปลายเล็บ จับตะขอบิดเอียงไปด้านหน้า หรือ หลัง แค่พอให้ขยับห่วงของปลายสร้อยออกได้ก็พอ การบิดแบบนี้ ใช้แรงน้อยกว่า ตะขอไม่หักเร็ว และไม่เสียรูปง่ายครับ เพียงเท่านี้ คุณก็มีตังค์เหลือไว้เติมน้ำมันหลายลิตร ต่างหูแป้นหลวม กำไลแบบเปิดได้ ใช้นานๆแล้วล็อคไม่อยู่ แป้นต่างหู ปกติเมื่อใช้งานไปสักพัก มันจะหลวม วิธีการก็ง่ายๆครับ ถอดมันออกมา แล้วก็บีบด้วยปลายนิ้วให้มันชิดกัน แล้วก็ใส่กลับเข้าไปดู ว่าแน่นขึ้นไหม ปกติ ถ้าไม่เสียรูปไปมาก ก็จะแน่นขึ้นแน่นอนครับ ส่วนกำไลเปิดปิด เมื่อใช้งานไปสักพัก เดือยมันจะตก ลองหาปลายเข็มขนาดพอเหมาะแหย่ตรงๆ เข้าไปตามรูปครับ เพื่อให้แหนบสปริงมันสูงขึ้น เท่านี้ ก็จะแน่นอย่างกับตอนซื้อใหม่ ทั้งนี้ กำไลต้องไม่เบี้ยวนะครับ ถ้าเบี้ยว คงต้องลองดัดเบาๆให้เข้ารูป หรือ ไม่อยากเสี่ยง ก็ใช้บริการทางร้านทองครับ สร้อยบุบหรือฉีก อันนี้ไม่มีวิธีแก้หรอกครับ คงต้องให้ทางร้านทำให้(ถ้าทำได้นะ) แต่จะปรับความเข้าใจของลูกค้าว่า สร้อยทองคำรูปพรรณ มันไม่ได้แข็งแรงอย่างที่หลายๆคนคิด ต้องจับหรือใช้งานมันอย่าทะนุถนอมครับ ทองคำเป็นโลหะที่อ่อน สามารถทำ รูปพรรณได้ง่ายกว่าโลหะชนิดอื่นๆ สมัยก่อนทองรูปพรรณมีแต่ลายตันๆ การใช้งานสมบุกสมบันก็ไม่มีปัญหาเท่าไหร่ แต่ปัจจุบัน ด้วยราคาทองคำที่แพงขึ้นกับแพงขึ้น + มันสมอง สองมือช่าง ก็รังสรรค์ทองคำเส้นใหญ่ๆ ราคาเบาๆ สำหรับคน กระเป๋าไม่หนัก ให้ใส่แบบเห็นกันชัดๆ ไม่ต้องทนใส่สร้อยเท่าหนวดกุ้งอีกต่อไป ลูกค้าเดินเข้าร้านทองเกือบทุกรายก็ว่าได้ครับ บอกกับทางร้านว่า "ขอลายตันๆนะ" แต่เกือบทุกรายเช่นกันครับ เลือกลายที่เตะตาที่สุด คือใหญ่ที่สุดนั่นแหละ กลับไป ผลที่ตามมาคือ สร้อยบุบ สร้อยฉีก สร้อยขาด ชำรุดง่ายมากๆ จำเลยก็เป็นร้านทองตามเคย (ช่างไม่ยักโดนแฮะ) เมื่อรักจะใส่สร้อยโปร่ง ลองมาฟังคำแนะนำ เพื่อยืดอายุการใช้งานของมันครับ - อันดับแรกเลย อย่าคิดว่า ทองมันแข็งครับ บางคนขอลองกดดูสักหน่อย พอบุบแล้วก็ตกใจ แถมบางทีแก้ไม่ได้เสียด้วย - บริเวณหัวจรวด หรือ ห่วงร้อยตะขอ เป็นส่วนที่บุบ หัก งอ ฉีก ชำรุดบ่อยที่สุดเพราะความไม่รู้ของผู้สวมใส่เองเลยครับ บางทีจับหัวจรวดงัดเพื่อเปิดตะขอ ซึ่งไม่ควรอย่างยิ่ง การเปิดตะขอ ให้จับที่ตะขอบิดเลยครับ อย่าเอาส่วนของสร้อยงัดเด็ดขาด - อย่าห้อยจี้หนักเกินไป ควรดูขนาดที่เหมาะสมครับ สร้อยโปร่งจะสึกและขาดเร็วมาก ถ้าจี้มีน้ำหนักถ่วงมากเกินไป - สร้อยติดขัดกัน อย่าใช้แรงดึงให้มันคลาย ค่อยๆจับคลายออกมาอย่างใจเย็นๆครับ ห้ามใช้กำลังเด็ดขาด ว่างั้น!!! สารบางอย่าง ควรหลีกเลี่ยง - อันแรก ผมไม่แน่ใจว่ามีสารอะไรบ้าง ประเภท น้ำหอม หรือ น้ำยาทำผม อะไรพวกนี้แหละครับ บางครั้งทำให้ทองเปลี่ยนสีไปออกแดงๆแปลกๆ ใครทราบว่าเป็นน้ำยาตัวไหนที่ชัดเจนก็แนะนำมาได้ครับ - สารปรอท อันนี้ตัวสำคัญ เคยมีบทความเรื่องนี้แล้ว ลองไปหาอ่านได้ครับ คงไม่กล่าวถึง ทองรูปพรรณใช้ร่วมกับทองหุ้ม, เงิน, นาค - จี้ทองหุ้ม ห้อยกับ สร้อยคอทองคำ แล้วทำให้ทองตรงร่องตะขอสร้อยส่วนที่สัมผัสกับจี้ทองหุ้มนั้นคล้ำหรือดำ นั่นน่าจะเป็นเพราะว่า โลหะอื่นเช่นทองเหลือง,สนิมทองเหลือง ซึ่งสีมันคล้ำกว่าทอง และอาจจะแถมด้วยขี้ไคลคนใส่นั่นแหละ เคลือบลงไปบนผิวทองคำ ทำให้ดูคล้ำได้ สังเกตว่า ถ้าจี้เป็นทอง 90% ก็เป็นน้อยลง และ 96.5% ด้วยกันก็ยิ่งน้อยลงไปอีก - ส่วนกรณีเงินใส่คู่กับทองคำ เช่น แหวนเงินกับแหวนทอง หรือ จี้เงินสร้อยทอง หรือ จี้ทองสร้อยเงิน ค่อนข้างจะเห็นชัดเจน เพราะเงินเป็นโลหะที่อ่อนเช่นกันกับทอง ถึงแม้ว่าจะแข็งกว่าเล็กน้อย แต่ก็มีบางส่วนสามารถสึกไปติดบนผิวทองคำได้ สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้ากับเจ้าของร้านทอง มาอธิบายลูกค้าขี้สงสัยได้ไม่น้อย ผมทดลองถูชิ้นงานทองเหลือง(ชิ้นงานทองหุ้ม) กับ เงิน (แถมด้วยทองแดง) ลงบนผิวทอง ให้ดูกัน เพื่ออธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นครับ เมื่อคุณใส่มันด้วยกัน นอกจากเงินที่ทำให้ผิวทองคำดูขาวเพราะเงินสึกลงไปติดบนผิวทองอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ชิ้นงานอื่นแค่ทำให้ผิวทองเรียบ ดูสีผิดไปจากผิวงานเดิมเท่านั้นครับ เข้าใจว่า เพราะโลหะอื่น แข็ง การทดลองเพียงนิดหน่อยคงไม่สึกลงมาติดชิ้นงานให้เป็นที่สังเกตได้ แต่ก็เชื่อว่า การใช้งานนานๆย่อมมีสึกหรอและมาติดบนผิวงานทอง เช่นเดียวกับเงินครับ กรณีแหวนทองคำกับเงินที่นิยมใส่กัน ถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้ใส่แหวนนาคคั่นจะลดปัญหาได้ครับ ใครมี tip เด็ดๆเสริม หรือแนะนำอะไร ก็ Comment มาได้นะครับ ผมคิดออกแค่นี้แหละ
  11. คำเตือนนักลงทุนหน้าใหม่ วันพุธที่ ๐๔ มกราคม ๒๕๔๙ คงต้องยอมรับว่าในขณะนี้ มีความสนใจจากกองทุน และนักลงทุนทั่วโลกเข้ามาลงทุนในทองคำมากขึ้น จนกลายเป็นตลาดขาขึ้นของทองคำ แต่เนื่องด้วยในขณะนี้ ราคาทองคำในตลาดโลกมีการเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ คือมีการปรับขึ้นของราคาแบบรวดเดียว เป็นเวลาต่อเนื่องกันหลายวันมาแล้ว จากการเข้าซื้อทำราคาของบรรดากองทุนเก็งกำไร ทางห้างทองน่ำเชียง ขอเรียนเตือนท่านที่สนใจในการลงทุนในทองคำทุกท่านว่า 1 การลงทุนในขณะนี้มีความเสี่ยง ราคาทองคำขึ้นมามากได้ ก็มีโอกาสลงมากได้ แต่ราคาทองจะขึ้นไปที่เป้าหมายที่เขากำหนดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ในขณะนั้น 2 บรรดากองทุนต่างมุ่งหวังในผลกำไรสูงสุด ดังนั้นขอให้ทุกท่านที่ เข้ามาลงทุนในทองคำ ได้โปรดใช้วิจารณญานให้ดี ในการเข้าซื้อ หรือ ขาย 3 อย่าซื้อโดยไล่ราคา เมื่อราคาวิ่งขึ้นมาสูงมากแล้ว 4 ข้อมูลข่าวจากต่างประเทศ อาจจะเป็นการปล่อยข่าวหรือไม่ เพื่อให้มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาติดที่ราคาสูงที่เขาทำราคาขึ้นมา 5 ข้อสำคัญที่สุด คืออย่ากู้หนี้ยืมสิน มาเพื่อเก็งกำไรในทองคำ เพราะท่านอาจจะเดือดร้อนได้ หากราคาทองลดลง ควรจะลงทุนด้วยเงินเย็น ของท่านเองจะดีที่สุด 6 ควรซื้อทองคำเพื่อการลงทุน ไม่ใช่เก็งกำไร ขอให้ทุกท่านจะโชคดีในการลงทุนในทองคำ นะครับ ห้างทองน่ำเชียง
  12. A fool's Gold วันพุธที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๔๙ Chinese demand for oil and industrial metals has led to incredible returns for many investors. Another one of Earth's resources is getting in on the act -- gold. Fool contributor Jeremy MacNealy highlights various reasons the precious metal is gaining in popularity and outlines a few options for individual investors. By Jeremy MacNealy January 9, 2006 Lately, Mother Earth's resources have been very popular with investors. In particular, stocks associated with oil, industrial metals, and gold have been seeing incredible returns. There are many reasons for this, but one that keeps coming up time and time again is China's increasing urbanization. Recently, I had the opportunity to listen to Edward Morse, a former deputy assistant secretary of state of international energy policy, speak at Princeton University's Woodrow Wilson School of Public and International Affairs. One of the reasons Morse provided for today's energy situation, which he described as far more problematic than the one we faced in the 1970s, is the global phenomenon of urbanization, but particularly in China. Morse pointed out that the United States, which is considered a Western industrialized nation, currently has nine cities with populations over 1 million. China, on the other hand, is only 39% urbanized, but it already has 98 cities of over 1 million people. He added that the Chinese government has a plan in effect to increase its urbanization from 39% to 69% over the next decade. Unprecedented urban growth, along with inadequate operational refineries, is creating what he calls a crisis. Data from the International Energy Agency (IEA) validates Morse's analysis by projecting that China will increase its oil consumption by 7.2% in 2006. But in any crisis, there is opportunity, and refinery shortages have helped propel Valero Energy's (NYSE: VLO) stock to more than double over the past year in response to oil supply concerns. Fellow Fool Robert Aronen provides excellent analysis on the refinery situation and the price of oil. Beyond oil, prices for industrial metals have also increased in response to China as it consumes massive amounts of steel to keep up with the demand of explosive economic growth. A staggering figure: In 2004, China spent $13 billion on roughly two-thirds of the world's iron ore supplies. Fool contributor Stephen Simpson discusses the outlook for steel and iron in 2006. Titanium demand is also on the rise as aircraft manufacturers like Boeing (NYSE: BA) respond to higher energy costs, with the development of lighter aircraft using more of the lightweight metal. The net result of Chinese economic expansion and the need for more fuel-efficient aircraft caused metal manufacturer Allegheny Technologies' (NYSE: ATI) stock to increase approximately 100% over the past 12 months. In addition to oil and industrial metals, gold prices are also being substantially affected by China's expansion. Why gold, you ask? The demand for gold Last week, the price of gold jumped $20 per ounce in large part because of China's announcement that it plans to diversify its foreign reserves holdings. Many economists anticipated this, since China is currently the second-largest holder of U.S. Treasuries behind Japan, creating a need for China to create a stronger hedge against a weakening dollar. This follows a previous statement by Teng Tai, China's chief securities dealer, when he advised the country to increase its current gold reserve of roughly 600 tons to 2,500 tons in the near term and maintain around 3,000 tons over the long term. Gold speculators have anticipated such a move for some time, as China's current gold position is only 1.4% of its total foreign exchange reserve, according to figures from the International Monetary Fund. This percentage ranks it the lowest among the top 15 central banks with bullion reserves, according to a recent report from Credit Suisse First Boston. A move to 2,500 tons would make it the fifth-largest bullion holder, behind countries like the United States and Germany. Gold speculators are partying over the possibilities. Since 2001, the price of gold has doubled to its current level of around $535 per ounce. It provided investors with an 18% return in 2005, outpacing the S&P 500's 3% over the same period. We have to warp back to the late 1970s to find the last time there was such fervor for gold. But in addition to the China situation, there are other reasons why investors are adding more of the precious metal to their portfolio. For one, at no other time in the history of the stock market has gold been as accessible to armchair investors as it is today. The formation of superfunds streetTRACKS Gold (NYSE: GLD) and iShares COMEX Gold (AMEX: IAU) make it possible by a click of the mouse to designate a portion of your portfolio to the sole purpose of tracking gold prices. For example, since gold prices increased 18% in 2005, investors were awarded with an equal return by holding streetTRACKS Gold. But these funds have another effect in that every investment dollar put into them is matched by its equivalent in gold. So, as more and more investors flock to streetTRACKS Gold, the fund, in turn, buys more gold, essentially increasing the metal's demand on the market. And just how high has the demand for this fund risen? Consider that over the past year its total net asset value has increased an astounding 27.8% to $4.9 billion. China and individual investors, however, aren't the only ones eyeing gold. Economists have pegged other central banks like South Korea and South Africa as likely to increase gold positions. The Central Bank of Russia, for instance, recently announced that it plans to double its holdings of the precious metal. A piece of the action To get a piece of the gold action, in addition to the prior-mentioned funds, investors have other options. Miners like Newmont Mining (NYSE: NEM) offer the potential for massive gains, but like any business, they also carry operational risks. Fool contributor W.D. Crotty also cautions that many mining stocks already have future gold appreciation priced into their valuations. Another possibility is the Central Fund of Canada (AMEX: CEF), which maintains its assets of actual gold and silver in bank vaults. I looked into this fund last May, and since that time it has provided investors with over a 30% return. Yet another way to form your own hedge against economic uncertainties is to buy American Gold Eagle coins. There's nothing like owning the real deal. The problem with this option, however, is that commission fees and, in many states, sales taxes make an investment in coins less worthwhile. The rule of thumb I hear most in creating a hedge is allocating 5% of your portfolio into gold. My rule of thumb is whatever you're most comfortable with. I wouldn't bet the house on gold -- it's been a massive underperformer historically against the stock market. But the effect of China's rapid expansion, as well as domestic economic uncertainties, does lend credence to the strategy of shifting a portion of your portfolio into old faithful.
  13. Gold Fever เขียนโดย King of Darkness วันพฤหัสบดีที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๔๙ The soaring price of the yellow stuff isn't stopping Indians from indulging an old obsession. Plus: you can't wear stocks and bonds SUCHETA DASREUTERS/OTHK BEDAZZLED: Gold jewelry is an essential part of Indian culture Time Magazine BY ARAVIND ADIGA | MADRAS The shop floor of NAC Jewellers, a store in the South Indian city of Madras, is full of exquisitely wrought necklaces in gold and silver, but the prize possession of the owners is a photograph that hangs upstairs in a small office. It shows a tall crown studded with 4,000 diamonds and made from seven kilograms of gold. Four craftsmen from NAC Jewellers spent six months making the crown, at a cost of about $700,000. It now rests on a statue of the goddess Padmavathi Devi at the Tiruchanur Shrine in South India. Anantha Padmanaban, a partner of NAC Jewellers, proudly shows off a photo album full of snapshots of the work his shop has done for other Hindu shrines: a gold-plated archway for the temple at Guruvayur, a silver crown for the god Kubera at Badrinath, and gold and silver ornamentation for numerous other temples. All through India, Padmanaban says, famous temples are replacing the silver plating on their idols with gold, and smaller shrines are replacing copper deities with silver ones. "People in India have more money now," Padmanaban says, "and the result is that our temples are being covered in gold and silver." The gilding of the nation's temples is an aspect of one of mankind's great investment obsessions: the Indian love of gold. The country buys at least one-fifth of the global gold supply each year, making it the world's largest consumer of the metal. Experts believe that 15,000 to 20,000 tons of bars, ingots and jewelry is locked up in India's bank vaults and household safes. Indians are furiously adding to that horde. The World Gold Council estimates gold buying in India was up nearly 33% to 850 tons in 2005. The increase is all the more remarkable given the metal's surging pricegold hit a 24-year high of $541.20 an ounce on Jan. 6due in part to anxieties about terrorism, the war in Iraq and the value of the U.S. dollar. Although not all the gold imported into India is for domestic consumptionsome will be made into jewelry and exportedit's clear that India's gold appetite has not been markedly diminished even by sharply higher prices. The question is, why are Indians still buying? In many ways, gold lust is a relic of the bad old Indiaan India of weak investor rights and shaky financial systems, where people distrusted banks and the stock market and preferred to store their wealth in tangible assets, chiefly gold and property. The recent economic boom has given Indians a range of sophisticated and relatively secure financial instruments: mutual funds, stocks, bonds, even abstract art. Richer Indians are, indeed, diversifying their investments. "At the top end of society, yes, [gold] consumption is beginning to decrease," says K. Shivram, a vice president of the World Gold Council in Madras. The current surge in demand is being driven by the middle class and even by the poorevidence of an economic revolution taking place at the lower levels of Indian society Although India's current economic boom has been criticized for unevenly benefiting the rich, new wealth is percolating down in many parts of the country to newly empowered members of the working class such as Padma Kondababu, a 40-year-old maid in Madras. The first woman in her family to work outside the home, Kondababu makes $85 a month, a good salary by Indian standards. Whatever she can save, she says, she uses to buy gold, sometimes even in $12 installmentsenough for tiny stud earrings. "It's a matter of pride for people like me to buy gold," she says. "Gold used to be a few hundred rupees for a sovereign [a measure of eight grams] in the time of our parents, and yet they couldn't dream of buying it. Now it's six thousand rupees for a sovereign, and still we have the money to buy gold." It's no coincidence that consumption is highest in the south of India, which has in recent years seen some of the fastest economic growth and the most thorough dispersion of wealth to villages and small cities. The southern state of Kerala, not far from Madras, is full of billboards advertising gold jewelry. At most local weddings, the bride is expected to turn up covered in gold necklaces, bangles, and earrings. Ambika Menon, a Kerala social worker, says that the gold obsession is a manifestation of change. New money is breaking down old hierarchies and caste distinctions. "Putting gold on your daughter at her wedding is a way of announcing, 'I've arrived in society. I'm someone important,'" Menon says. But the financial burden can be too much. "Sometimes families go into debt to buy this gold for the weddings," says Kondababu. "Sometimes families get broken up by gold." Economists argue that the gold bug has other pernicious effects. If the money used to buy gold was invested in banks or stocks, rather than being locked up in a non-productive asset, it would boost India's GDP significantly, they say. But old ways of thinking die hard. Gold is seen by many as a safe haven in an uncertain world. "So many banks fail and close their doors, and ordinary people get hurt when that happens," says Jhansi Rani, a schoolteacher in Madras, pointing out the case of a close relative who had deposited his pension money in a private bank, only to see it close down suddenly and find that the funds had, apparently, disappeared. Yet despite the current boom, the number of people who see gold as a sound investment may be dwindling. The recent surge in bullion prices is keeping some Indians away from the gold stores, even though the wedding season, traditionally a time of heavy buying, has started, says Padmanaban, the Madras jewelry-store owner. "People have just stopped coming for two, three weeks," he says. "But in the end, they will accept this price. They have no other choice. They must buy gold for weddings." Won't Indians stop buying once they begin to understand they can get better returns in stocks and mutual funds? Sitting under a portrait of the seven-kilogram crown of gold that his shop crafted for the goddess Padmavathi Devi, Padmanaban begins to rock with laughter. "It may happen, but it'll take a hundred years." With reporting by R. Bhagwan Singh/Madras From the Jan. 16, 2006 issue of TIME Asia Magazine
  14. แห่ซื้อทองแท่งเก็งกำไร เขียนโดย silverroad วันศุกร์ที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๙ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ราคาทองคำล่วงหน้า(Future Market)ได้ขึ้นไปสุงสุดในรอบ 25 ปี ที่ 550 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ เนื่องมาจากนักลงทุนญี่ปุ่นได้นำเงินกำไรจากตลาดหุ้นโตเกียวไปลงทุนกะตลาดทองคำแท่งเป็นส่วนหนึ่งของการกระจายสินทรัพย์ หลังจากที่ตลาดหุ้นของโตเกียวมีการปรับตัวขึ้นมาสุงสุดในรอบ 5 ปี ทำให้นักลงทุนมีกำไรมากพอที่จะนำเงินบางส่วนมาลงทุนในรูปของสินทรัพย์ ซึ่งทองคำแท่งก็เป็นหนึ่งในแหล่งของการลงทุนสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมมากตัวหนึ่ง ซึ่งดูในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาจะเป็นแนวโน้มที่ธนาคารกลางจะขายทองซึ่งให้ผลตอบแทนน้อยเมื่อเทียบกับทุนสำรองอัตราแลกเปลี่ยน แต่ตลาดสกุลเงินไม่มีเสถียรภาพ ,ราคาน้ำมันที่ระดับสูงและความวิตกเกี่ยวกับข้อจำกัดด้านการค้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารกลางบางแห่งเริ่มพิจารณาลดการเก็บทุนสำรองเป็นดอลลาร์ จากความผันผวนและการทะยานขึ้นของราคาทองอย่างแรงนั้น ก็มาจากความต้องการของผู้บริโภคหรือกลุ่มนักลงทุนที่เห็นช่องทางการลงใหม่ๆและดูว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในตัวสูงและมุลค่าอาจจะเพิ่มมากขึ้นยิ่งไปในอนาคตด้วย ซึ่ง อินเดียเป็นประเทศผู้บริโภคทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก แต่ถือครองทองในทุนสำรองอยู่ 358 ตัน โดยจีนมีทองในทุนสำรองอยู่ 600 ตัน โดยทั่วโลกมีทองสำรองปริมาณราวๆ 31000 ตัน แต่สหรัฐเป็นประเทศที่ถือครองทองขนาดใหญ่ที่สุดของโลกมีทองคำแท่งในทุนสำรองประมาณ 64% เราจะเห็นว่าทองคำมีบทบาทในทุนสำรองของธนาคารกลางและต่อนักลงทุนทั้งหลายอย่างแน่นอนจึงทำให้ทองเป็นสินทรัพย์อีกตัวหนึ่งที่ในอนาคตที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเทียบกันสินทรัพย์ตัวอื่นๆ ทำให้นักลงทุนหรือสถาบันการเงินทั้งหลายต่างจับตามองและเข้าลงมาทุนกันอย่างมากทีเดียว
  15. COMEX gold closes at 1-week low on profit taking เขียนโดย Griffen วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๔๙ Wed Jan 18, 2006 2:28 PM ET Reuters 2006. All Rights Reserved. NEW YORK, Jan 18 (Reuters) - U.S. gold futures settled at a one-week low on Wednesday on investor and fund selling as some players ditched positions to lock in profits from recent 25-year highs after a fall in Tokyo metal prices overnight. At the New York Mercantile Exchange's COMEX division, February delivery gold sank $9.80 to end at $544.50 an ounce, after trading from $558.30 to $543.10, which was its lowest mark since Jan. 11. Dealers said futures extended a pullback from the prior day after Tokyo Commodities Exchange (TOCOM) gold tumbled on heavy selling timed to meet margin calls amid a drop in the Japanese stock market. The Nikkei share average <.N225> fell 3 percent Wednesday in a broad sell-off. "This is all Tokyo profit taking. It is a classic thing: as their stock market dumps, they can't sell their stocks so they have to get out of whatever they're long in, and obviously they're long gold," said a long-time COMEX gold trader. Japanese investors had been big boosters of gold in the last few months as many viewed the precious metals as a preferred asset to hold amid currency weakness. But the market has become increasingly volatile since Tokyo gold margins were raised, prompting occasional long liquidation by some funds and speculators. However, analysts' sentiment on gold remained mainly upbeat and they said it could soon rebound. Gold is up 4.9 percent in 2006, after rising 18 percent last year, on doubts about the economy and fears over high energy prices and global conflicts. But trading has been choppy this year, with speculative and fund selling seen at higher prices, while physical demand has abated above $500. Estimated COMEX gold volume just ahead of the close was 68,000 contracts, against Tuesday's 83,230-lot count. Open interest rose 3,446 lots to 361,704 contracts as of Jan. 17. Tuesday's high in COMEX gold, at $565.50, was the priciest for futures since January 1981. Dealers traced chart support in COMEX gold to $540 an ounce and resistance at $565 and $575. Spot gold traded to $543.60/544.40 an ounce in late New York trade versus Tuesday's close at $553.50/4.30. Wednesday's late London fix by bullion dealers was at $545. "A correction in gold may be useful for the market; we have warned that the metal is trading well above supportive physical demand," said John Reade at UBS. "If the correction takes the metal down to a level where physical demand reappears, then it will help confirm that gold truly has a place above $500/oz this year," he said. U.S. data on Wednesday hardly altered the view that the Federal Reserve will raise interest rates at month-end. Consumer prices in December fell unexpectedly by 0.1 percent but matched market forecasts when energy and food costs were excluded. The core Consumer Price Index rose an as-expected 0.2 percent. Net flows of capital into U.S. assets eased to $89.1 billion in November, which met expectations and was more than the $64.2 billion U.S. trade deficit for the month. Silver prices tumbled after hitting an 18-year high previously at $9.355 an ounce. COMEX March futures lost 20 cents, or 2.2 percent, to end at $8.873, after trading from $9.125 to $8.79. Spot silver fell to $8.80/83 an ounce, from its last New York finish at $8.98/9.01. The fix reached $8.875. In platinum, NYMEX April futures sank $19.20 to close at $1,029.90 an ounce. Tuesday, it hit a 26-year high at $1,059 as strong consumer and investment demand sparked fund buying. NYMEX platinum hit an all-time peak of $1,189.50 an ounce on March 5, 1980, an exchange spokeswoman said. Spot platinum was last worth $1,023/27. March palladium fell $11.45 to $273.90 an ounce. Spot palladium fetched $269/273.
  16. ตีกลับมาตรการเก็บภาษีทองคำ"สมคิด"ชี้ไม่จำเป็น วันอังคารที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๙ นาย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการพิจารณาแนวทางการกำกับดูแลการนำเข้าทองคำ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้า ว่า ตีกลับมาตรการเก็บภาษีทองคำ"สมคิด"ชี้ไม่จำเป็น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการพิจารณาแนวทางการกำกับดูแลการนำเข้าทองคำ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้า ว่า ไม่มีความจำเป็นต้องนำสินค้าทองคำบรรจุเป็นสินค้าควบคุม รวมทั้งไม่มีความจำเป็นต้องนำมาตรการจัดเก็บภาษีรายได้จากการเก็งกำไร และมาตรการภาษีมูลค่าเพิ่มการนำเข้าทองของผู้ส่งออก เพื่อลดปริมาณการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศมาใช้ เนื่องจากที่ผ่านมาสมาคมผู้ค้าทองคำให้ความร่วมมือกับรัฐบาลอย่างดี และสามารถกำกับดูแลปริมาณการนำเข้าปี 2548 ที่ผ่านมาไม่ให้เพิ่มขึ้นมากได้ "คงไม่เสนอให้ทองเป็นสินค้าควบคุม และไม่จำเป็นต้องเก็บภาษีอะไร เพราะปริมาณการนำเข้าก็ไม่มากอะไร รวมทั้งที่ผ่านมาปริมาณการนำเข้าก็ไม่ได้เพิ่มมาก จนผิดปกติหลังจากที่เราขอความร่วมมือผ่านสมาคมผู้ค้าทองคำไปแล้ว แต่ที่ผมกังวลและผมได้ขอความร่วมมือไปยังสมาคมค้าทองคำแล้ว คือให้ช่วยกำกับดูแลบริษัทผู้ค้าและนำเข้าทองซึ่งปัจจุบันพบว่ามีบริษัทที่เกิดขึ้นใหม่จำนวนมากให้ดี ต้องพยายามดึงให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคม เพื่อให้ง่ายต่อการกำกับดูแล" นายสมคิดกล่าว นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า มูลค่านำเข้าทองคำปี 2548 มีมูลค่า 105 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปีก่อน 18.02% หรือคิดเป็น 1.1% ของมูลค่าการนำเข้าสินค้ารวมของไทย ทั้งนี้หลังจากที่รัฐบาลขอความร่วมมือให้นำเข้าในปริมาณเท่าที่จำเป็น เพื่อป้องกันปัญหาการขาดดุลการค้า พบว่าปริมาณการนำเข้าเริ่มลดลงจากเฉลี่ยเดือนละ 13.4 ตันในช่วงครึ่งปีแรกเป็น 10.3 ตัน ข้อมูลจาก http://www.matichon.co.th/khaosod/khaosod_detail.php?s_tag=03eco04290149&day=2006/01/29
  17. ภาวะราคาทองกับปัจจัยค่าเงินที่มีแนวโน้มไม่แน่นอน เขียนโดย silverroad วันพฤหัสบดีที่ ๐๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2549 มา ราคาทองก็ทำราคาไปแต่ะระดับ New hight ในรอบ 24 ปี โดยมีข่าวก่อนหน้านั้นว่าเป็นเรื่องของกลุ่มนักลงทุนหรือกองทุนเข้าโหมทำกำไรโดยเฉพาะ กลุ่มตลาดของทางฝั่งเอเชีย( Tokyo ) ที่ช่วงก่อนสิ้นปี 2548 ถึงต้นปี 2549 ก็เข้าเล่นเก็งกำไรในตลาดทองกันอย่างหนักทำให้ราคาทองค่อนข้างผันผวน และเป็นราคาที่หลุด หรืออยู่นอกกลไกทางการตลาด ประกอบกับมีค่าเงินดอลล์ที่อ่อนค่าในช่วงกลางเดือนมกราคม ปี 2549 สาเหตุหลักคงไม่พ้นเรื่องข่าวที่ทางธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) มีการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ไปอยู่ที่ 4.50 % สาเหตุเรื่องปัญหาของเงินเฟ้อและการประกาศตัวเลขสำคัญ ๆ ทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวเลข GDP ที่มี เปอร์เซ็นต์ดีขึ้น ตัวเลขการว่างงานทีมีการลดลง ทำให้ดูโดยรวมแล้ว เศรษฐกิจสหรัฐ เริ่มมีการชะลอตัวลง ทำให้เฟดคาดว่าอาจจะไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกมากนัก หลังจากที่ได้มีการประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยไปก่อนหน้านั้น 0.25%แล้ว เมื่อปลายเดือน มกราคม 2549 ซึ่งทำให้นักลงุทนต่างไม่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจของสหรัฐ และได้มีการเทเงินดอลล์หรือโยกเงินดอลล์ไปเล่นหลักทรัพย์ตัวอื่นที่มีความมั่นคงและมีมูลค่ามากกว่า ซึ่งทองกับน้ำมัน ก็เป็นหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ที่นักลงทุนเล็งเห็น ประกอบกับมีนักลงทุนบางส่วน ที่เทเงินดอลล์มาซื้อหุ้นกลุ่มพื้นฐานต่างๆของไทย อีกทั้งโครงการ Mega Project ที่นักลงทุนต่างชาติต่างสนใจกัน ทำให้เงินบาทไทยกลับมาแข็งค่าขึ้นจาก 40 บาทกว่าๆ มาแต่ะที่ระดับ 39 บาทกว่าได้ในไม่กี่อาทิตย์ และทำสถิติของช่วงต้นปี ทำค่าเงินบาทแข็งค่ามาแต่ะที่ 38.95 ต่อดอลล์ ซึ่งบาทกลับมาแข็งค่าได้มากขึ้นจากเม็ดเงินชาวต่างชาติที่เทเข้ามาในไทย เพียงไม่กี่อาทิตย์ ตัวผู้เขียนเองยังมองว่าแนวโน้มระยะยาวทองมีโอกาสที่จะแต่ะ 600 เหรียญแน่นอนในปี 2549 แต่ช่วงนี้ คงต้องรอดูทิศทางของราคาทอง เพราะดันตัวขึ้นไปทำราคาค่อนข้างสูง ขณะที่บาทกลับแข็งค่าหลังจากเฟดประกาศปรับอัตราดอกเบี้ย ทองก็ปรับตัวลงมาเล็กน้อย แต่บาทกลับมาอ่อนค่าลงอีก เชื่อว่าระยะสั้น ๆ ทองอาจปรับตัวลดลงได้ ในขณะที่ค่าเงินบาทจะกลับมาอ่อนค่าได้อีกที่ระดับ 40 บาทกว่าๆ จากการที่นักลงทุนอาจจะมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนกลับไปลงทุนในต่างประเทศในระยะสั้น ๆ (ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า) เพราะดอกเบี้ยสหรัฐมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้นักลงทุนกลับมามีความมั่นใจแล้วโยกเงินไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น
  18. ใครอยากได้ทองมาทางนี้ วันเสาร์ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ตอลิบานให้ทอง 100 กก.จับตายมือวาดการ์ตูนล้อศาสดา โดย ผู้จัดการออนไลน์ 9 กุมภาพันธ์ 2549 04:34 น. เอเอฟพี : ผู้นำระดับสูงของกลุ่มตอลิบาน ระบุ จะมอบเงินรางวัลเป็นทองคำหนัก 100 กิโลกรัม ให้กับใครก็ตามที่สามารถสังหารคนวาดการ์ตูนล้อเลียนศาสดาได้ ส่วนใครที่สังหารทหารเดนมาร์ก นอร์เวย์ เยอรมนีได้จะได้รางวัลเป็นทองคำ 5 กิโลกรัม มุลเลาะห์ ดาดุลเลาะห์ ผู้บังคับบัญชาของกองกำลังตอลิบานให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอัฟกันอิสลามมิก เพรส หรือเอไอพี ผ่านทางโทรศัพท์ ว่า ถ้าหากใครสามารถสังหารคนที่วาดรูปการ์ตูนล้อเลียนศาสดามูฮัมหมัด ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เดนมาร์ก จะได้รับรางวัลเป็นทองคำหนัก 100 กิโลกรัม ดาดุลเลาะห์ ยังกล่าวอีกว่า ทางกลุ่มตอลิบานยังจะมอบทองคำหนัก 5 กิโลกรัมให้กับใครก็ตามที่สามารถสังหารทหารเดนมาร์ก เยอรมนี หรือนอร์เวย์ สำนักข่าวเอไอพี รายงานว่า ดาดุลเลาะห์มีตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาของกองกำลังตอลิบานที่คอยซุ่มโจมตีกองกำลังของฝ่ายรัฐบาล รวมถึงทหารของพันธมิตรที่ร่วมปฏิบัติการอยู่ในอัฟกานิสถาน นอกจากนี้ ยังอ้างคำพูดของดาดุลเลาะห์ ที่กล่าวว่า หลังจากที่ภาพการ์ตูนล้อเลียนศาสดาตีพิมพ์ออกมา สมาชิกของกลุ่มจำนวนมากมาเข้าชื่อรอเป็นมือระเบิดพลีชีพเพิ่มขึ้น
  19. Goldman Sachs is recommending to Sell gold วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ Goldman Sachs Group Inc. is recommending that investors get out of gold and lock in their gains just two months after it suggested they buy. On Dec. 5, the brokerage issued a list of its top trades for 2006, one of them being the purchase of gold futures for delivery in December 2006, priced then at $534.50 (U.S.).....อ่านต่อกดที่นี่ครับ http://www.namchiang.com/goldforum/viewtopic.php?p=618#618.
  20. Goldman sachs เปลี่ยนคำทำนายแล้ว เขียนโดย ระพิน ใจดี วันพุธที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่งบอกให้นักลงทุนขายทิ้ง อาทิตย์นี้เปลี่ยนซะแล้ว จากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น คงเป็นสาเหตุที่ต้องประเมินใหม่ครับ ลองมาดูกัน จากการเพิ่มขึ้นของความต้องการทองคำจากปีที่แล้ว และยังคงสูงขึ้นในปีนี้ Goldman Sachs Group ทำนายว่าราคาจะสูงขึ้นไป 28% ในปีนี้ และ 44% ในปีหน้า นักวิเคราะห์ Peter Mallin-Jones กล่าวว่า ราคาเฉลี่ยปีนี้คงอยู่ที่ $550 และเป็น $575 ในปี 2007 ขึ้นมาจากการทำนายครั้งก่อนที่ $430 และ $400 เหรียญ ความต้องการลงทุนในทองคำเพิ่ม 114% (เป็น 610 ตัน) ในปี 2005 และดูยังคงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในปี 2006 จากสาเหตุเหตุการณ์ต่างๆทั่วโลกขณะนี้ นอกจากนี้นักวิเคราะห์คนเดิม ยังทำนายว่า ราคาทองคำจะร่วงลงมา $485 ในปี 2008 จากที่เคยทำนายไว้ที่ $350 แต่ยังคงคำทำนายปี 2009 ไว้ที่ $350 ฝรั่ง Comment แซวกัน ผมเห็นตลกดี เลยลอกมาด้วย แกถามว่า นี่เป็นบริษัทเดียวกันกับที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วให้นักลงทุนรีบขายทอง ทิ้งรึเปล่า ที่มา: http://www.theglobeandmail.com/servlet/story/RTGAM.20060221.wgold0221/BNStory/Business/home Goldman sees gold at $575 JOHN PARTRIDGE Globe and Mail Update Increased investor demand for gold last year, and the prospect it will continue to rise have persuaded the European arm of U.S. investment dealer Goldman Sachs Group Inc. to bump up its price forecasts for the yellow metal by 28 per cent this year and 44 per cent for next year. Peter Mallin-Jones, a London-based metals analyst for the firm, said Tuesday he is forecasting bullion prices will hit an average of $550 an ounce this year and $575 an ounce in 2007, up from their previous forecasts of $430 and $400, respectively. Gold investment demand increased 114 per cent (to 610 tonnes) in 2005 and recent trading and exchange reports suggest strong trends continuing in 2006 due to a combination of abundant global liquidity, concerns over all major currencies, U.S. current account deficit and U.S. housing market, he said in a research note by way of explanation. Mr. Mallin-Jones is also forecasting that the gold price will fall back to $485 an ounce in 2008, rather than to $350, as he previously called for, but has left his 2009 forecast unchanged at $350. Comment: BRUCE DUNN from NEW JERSEY, United States writes: IS THIS NOT THE SAME COMPANY WHO SAID LAST WEEK GOLD WAS GOING LOWER AND THAT PORTFOLIO INVESTORS SHOULD LIQUIDATE HOLDINGS -AM I MISSING SOMETHING HERE ?
  21. Abare คาดการณ์ราคาทองคำปีนี้ 560$ ปีหน้า 580$ เขียนโดย ระพิน ใจดี วันพุธที่ ๐๑ มีนาคม ๒๕๔๙ ซิดนีย์ (ดาวโจนส์) นักวิเคราะห์ของรัฐบาลรัฐบาลออสเตรเลีย คาดการณ์ว่า ราคาทองคำยังคงแข็งแกร่งในปีนี้และปีถัดไป จากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ปัญหาหนี้สินของอเมริกา และ ปัญหาตะวันออกกลาง ราคาทองคำปัจจุบันซื้อขายกันอยู่แถวๆ 557 เหรียญ ซึ่งคาดการณ์ว่าราคาเฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ 560 เหรียญ และ 580 เหรียญปีหน้า Australian Bureau of Agricultural & Resource Economics, หรือ Abare กล่าวในรายงานวันอังคาร นอกจากเศรษฐกิจมหภาคแล้ว ยังคาดว่า ราคาทองคำจะมีแรงสนับสนุนจากการที่เก็งกันว่า ธนาคารกลางจะซื้อทองซึ่งจะทำให้การผลิตที่แท้จริงไม่พอเพียงกับความต้องการ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2008 จนถึงปี 2011 Abare คากการณ์ว่าราคาทองคำจะกลับเข้าสู่ราคาที่แท้จริงซึ่งคงลงตามราคาของสินค้า Commodities ตัวอื่นๆ ความกังวลจากแรงกดดันของภาวะเงินเฟ้อจะลดลง รวมถึงราคาน้ำมันก็จะกลับมามีเสถียรภาพ Abare คาดการณ์การผลิตทองคำจะเพิ่มขึ้น 2% เป็น 2557 ตัน ในปีนี้จากแหล่งผลิตในอเมริกาใต้ ออสเตรเลีย และ อเมริกา ส่วนอินโดนีเซียคาดว่าจะลดลง ปีที่แล้วเพิ่ม 1% เป็น 2495 จากการเพิ่มขึ้นในอินโดนีเซีย เปรู เม็กซิโก และจีน Abare คาดว่า การผลิตทองคำทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆจนถึงปี 2011 เพราะขาดโครงการขนาดใหญ่ที่จะมาตอบรับกับราคาทองที่สูงช่วงนี้ นักวิเคราะห์ของรัฐยังคาดการณ์การผลิตของออสเตรเลียยังคงอยู่ที่ 265 ตัน ณ สิ้นปีภาษี วันที่ 30 มิ.ย. 2006 ในปี 2006/07 ออสเตรเลียจะมีผลผลิตเพิ่มเป็น 302 ตัน 314 ตัน 326 ตัน 331 ตัน แล้วก็ 324 ตัน ที่มา: http://sg.biz.yahoo.com/060227/15/3z0fn.html
  22. รู้จักพวกโจรสลัด Hedge Fund วันพฤหัสบดีที่ ๐๙ มีนาคม ๒๕๔๙ มีHedge Fund หรือที่บางคนเรียกว่ากองทุนป้องกันความเสี่ยง แต่ส่วนใหญ่มักจะเรียกทับศัพท์ว่า เฮดจ์ฟันด์ นั้น เป็นสิ่งที่เริ่มคุ้นหูนักลงทุนไทยมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ผมเชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้จริง ๆ ว่ากองทุนพวกนี้เขาทำงานกันอย่างไร .....อ่านต่อกดที่นี่ครับ http://www.namchiang.com/goldforum/viewtopic.php?t=311
  23. สัญญานผิดของทองคำ เขียนโดย ระพิน ใจดี วันอังคารที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๙ ทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 25 ปี แต่อย่าไปให้ความสำคัญกับมันนัก ตามปกติเมื่อราคาทองคำขยับตัว มักจะเป็นช่วงที่เงินเฟ้อกับดอกเบี้ยมักจะทะยาน นักวิชาการหลายท่านให้ความเห็นว่า ราคาทองคำเมื่อเร็วๆนี้ที่ไปอยู่ที่ระดับ 550$ เป็นสัญญานที่ค่าเงินดอลลาร์จะพุ่งและทองคำจะสูงกว่าดอลลาร์เป็นร้อยเท่า แต่มีจุดเล็กๆที่ยืนยันแนวคิด คือเมื่อ US ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินยูโรเมื่อ 2 ปีก่อน ราคาทองคำอยู่ที่ 400$ ไม่มีการจุดประกายจากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร ทองก็เป็นสินค้า Commodity ตัวหนึ่ง ขึ้นกับ Demand และ Supply โดยความต้องการ หรือ Demand หลักสูงและร้อนแรงมากๆมาจากทางเอเชีย ขณะที่เหมืองและขบวนการนำกลับมาใช้ คงที่หรือถดถอย แหล่งใหม่ๆที่สำรวจ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4 ปี เพื่อพัฒนา ราคาทองคำน่าจะแตะ 600$ ได้ในปีนี้ แต่ไม่ใช่ระยะยาวกว่านั้น Australian financial firm Macquarie Research ทำนายราคาทองคำที่ 600$ ในฤดูใบไม้ผลินี้ แต่แค่ 400$ ในระยะยาว ส่วน JPMorgan คาดหมายราคาทองคำที่ 600$ ในปี 2007 แต่ 500$ ในระยะยาว เช่นกันกับน้ำมัน ราคาทองคำจะไม่กลับไปสู่ราคาต่ำสุดอย่างเมื่อ 5 ปีก่อน -- Jeffrey R. Kosnett แปลจาก: http://www.kiplinger.com/personalfinance/magazine/archives/2006/03/gold.html
  24. ทองจะถึง 600$ ภายในเมษา!!! เขียนโดย ระพิน ใจดี วันศุกร์ที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๔๙ ไปเห็นข่าววิเคราะห์เขาฟันธงว่า ราคาจะไป 600$ ภายในเมษา (เร็วปานนั้นเลย) ไม่รู้สร้างกระแสดึง rating ช่วยดันราคาให้สมใจคนให้ข่าวหรือเปล่านะ ผมพยายามแปลแบบเต็มๆมาฝากช่วยวิเคราะห์กัน ทองดูเหมือนกำลังกรุยทางขึ้นสู่ราคาสูงสุดใหม่ที่ 600$ ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แต่ระยะยาวยังไม่แน่นอน Jeffrey Christian จาก CPM Group บอกอย่างนั้น (จะเชื่อดีไหมเนี่ย ) ตลาดโลหะมีค่ามักจะไล่ราคาสู่จุดสูงสุดในช่วงธันวาคมถึงเมษายน และทองก็คาดว่าจะเป็นรูปแบบเช่นนั้นสู่การหมดอายุตลาดล่วงหน้า New York ในเดือนหน้า โดยเขามองที่ราคาระหว่าง 580$-600$ ราคาทองคำแตะระดับสูงสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ 574.6$ ขณะที่ April Comex futures แต่ะระดับ 579.50$ ราคาทองคำวันนี้อยู่ที่ 554$ / 540.9$ เมื่อเวลา 11.15 GMT คำถามว่านี่คือจุดสูงสุดของวัฏจักร หรือ เป็นแค่จุดสูงสุดของช่วง เขาสรุปว่าเป็นแค่จุดสูงสุดของช่วง ตัวแปรที่ช่วยผลักดันราคาทองคำ ผลักดันความต้องการลงทุนในทองคำยังไม่เปลี่ยนแปลง ตามเงื่อนเวลา ราคาทองคำจะต่ำลงไป แต่คงยืนเหนือ 500$ ได้ ในไตรมาสที่ 2 และ 3 ก่อนจะขึ้นต่อในปลายปีอีกครั้ง และแม้ว่าราคาทองคำ จะยังคงแข็งแกร่งในปี หรือ 2 ปีนี้ แต่เขาก็ไม่เชื่อทฤษฎี SUPER-CYCLE (วงรอบอันรุ่งโรจน์ของราคาทองคำ ที่มากกว่าที่คาด) ที่กล่าวว่า ทองคำจะยังคงสภาพเช่นนี้ได้ต่อไปจาก demand มหาศาลจากจีนและอินเดีย โดยจากพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนคือสิ่งที่ผลักดันความต้องการในการลงทุน ซึ่งไม่รู้ว่าจะคงอยู่นานเท่าไหร่ ตอนนี้เป็นปีที่ 6 แล้ว อาจได้เห็นปีที่ 7 แต่ปีที่ 8 คงต้องขอคิดก่อน เขาไม่แน่ใจ ความไม่แน่นอนในตลาดหุ้นและตลาดเงิน อัตราดอกเบี้ย การเมือง ล้วนส่งเสริมราคาทองในปีสองปีข้างหน้า แต่คงเอาแน่กับนักลงทุนไม่ได้ ผู้คนมักเฝ้าดูราคาขึ้นและเป็นสมมุติฐานที่จะอยูในตลาดต่อ ถ้าดูจากประวัติที่ผ่านๆมา ไม่มีเหตุผลที่จะตั้งสมมุติฐานว่า ราคามักจะร่วงเร็วกว่าตอนขึ้น ปล. ภาษาประกิตคนแปลไม่แข็งแรง อันไหนไม่แน่ใจ อ่านภาษาต้นฉบับประกอบและแนะนำได้นะครับ น้อมรับคำติชมเสมอ แปลจาก: http://za.today.reuters.com/news/newsArticle.aspx?type=businessNews&storyID=2006-03-16T112420Z_01_BAN641019_RTRIDST_0_OZABS-MARKETS-PRECIOUS-CPM-20060316.XML Gold price to hit $600 by April, future foggy - CPM Thu Mar 16, 2006 1:24 PM GMT By Eric Onstad JOHANNESBURG (Reuters) - Gold is likely to claw its way to a fresh peak near $600 per ounce over the next few weeks but the longer-term outlook is uncertain, Jeffrey Christian of consultants CPM Group said on Thursday. Metals markets traditionally surge to fresh highs during December-April due to seasonal factors and gold is expected to follow the pattern in the weeks leading up to the expiry of New York futures next month, he told a briefing in Johannesburg. "I'm looking for a move to $580-$600," he said. Spot gold soared to the highest levels in 25 years in early February at $574.60 per ounce while April Comex futures touched $579.50. Gold was at $554.00/540.90 at 1115 GMT on Thursday. "The question is whether this is a cyclical peak or a seasonal peak... our conclusion is we're seeing a seasonal peak at present," Christian said. "The factors that have been stimulating higher gold prices and stimulating higher investment demand for gold have not changed." Due to seasonal factors, however, prices are due to decline and consolidate above $500 during the second and third quarters, before rising late in the year again. "We have gone through a period of unbridled bullishness for commodities in general and precious metals specifically and we're moving to a more rational or reasoned approach," Christian said. NO SUPER-CYCLE Although gold prices should remain strong for a year or two, Christian does not believe in the "super-cycle" theory that says commodity prices can keep surging in the long-term due to heavy demand from China and India. "We've clearly seen a fundamental change, an upward shift in investment demand. The question is how long will it last," he said. "We're in a sixth year now, we probably have a seventh year to go, but do we have an eighth year? I'm not sure." A host of uncertainties in the world about stock and currency markets, interest rates and international politics would likely support gold prices in the next few years, but investors can also be fickle. "One of the things you have to worry about is the staying power of investors," he said during the briefing, sponsored by stockbrokers Noah Financial Innovation. "People tend to see the price rise and assume it's going to stay. If you look at the history of these markets there's no reason to assume that... prices tend to fall faster than they rise."
  25. ยังไม่เห็นจุดสิ้นสุดภาวะกระทิงตลาด Commodities เขียนโดย kumponys วันอาทิตย์ที่ ๐๒ เมษายน ๒๕๔๙ โดย Jon A. Nones 30 Mar 2006 at 11:19 PM EST St. LOUIS (ResourceInvestor.com) การประชุมประจำปีครั้งที่ 3 ของ American Stock Exchange Precious & Base Metals Investor ในนิวยอร์ควันนี้ (30 มีนาคม 2006) Van Eck Global analyst Charl Malan ให้ภาพรวมของตลาดโลหะสรุปความว่า ภาวะกระทิงตลาด Commodities ยังคงอยู่อีกหลายปี โดยดูอุปสงค์และอุปทานพื้นฐานของโลหะมีค่าและโลหะพื้นฐาน และชี้ให้เห็นถึงการขาดการค้นพบในแหล่งทรัพยากรใหม่ๆในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเหมือนกับในปี 1980 แต่ค่าใช้จ่ายในการสำรวจเพิ่มขึ้น คุณ Milan ไม่เสียเวลาคิดคำทำนายเลยว่า อนาคตของสินค้าทุกตัวจะอยู่ในภาวะกระทิง (ขาขึ้น) โดยเขาเชื่อว่าจะไม่เหมือนกับภาวะตลาดในปัจจุบันที่จะมีอุปทานไหลบ่ามาตอบสนองตลาดได้อย่างทันท่วงที โดยถ้าพิจารณาถึงเวลาในการพบแหลางทรัพยากรใหม่ๆกับเวลาที่ใช้ในการนำโลหะเข้าสู่ตลาด ขณะนี้สินค้าคงคลังอยู่ในระดับต่ำและเพียงพอตอบสนองความต้องการตลาดทั่วโลกได้เพียง 4 สัปดาห์และนี่ถือเป็นภาวะที่คับขันในตลาด Commodities โดยเฉพาะทองแดง ทองแดงในปี 2001 มีระดับเฉลี่ยประมาณ 5.8 สัปดาห์ แต่ในปี 2005 ได้คาดการณ์ว่าเหลือต่ำกว่า 2 สัปดาห์ด้วยซ้ำ Van Eck ยังเชื่อมั่นว่า ความตึงของตลาดยังคงมีไม่ใช่แค่ความขาดแคลนอุปทาน แต่กับของคงคลังก็เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ทองคำมีการผลิตสูงสุด 2600 ตันในปี 2001 แต่ก็ลดลง 8% ต่อปี แต่ปัญหาไม่ใช่แค่นั้น เหมืองทองคำหลายแห่งได้ผ่านจุดสูงสุดของกำลังการผลิตไปแล้ว การขาดแคลนเครื่องมือความชำนาญของแรงงานซึ่งทั้งหมดมีการผลิตที่ล้าสมัย ค่าใช้จ่ายในการผลิตทองคำและโลหะพื้นฐานอื่นๆได้เพิ่มขึ้น และ 25% ของค่าใช้จ่ายไม่สามารถเลี่ยงได้ ซึ่งระยะยาวแล้ว ราคาของสินค้า Commodity ที่สูงขึ้นจะอยู่กับตรงนี้ด้วย ความต้องการยังคงมีสูง ในปี 2002 ความต้องการจากจีนสำหรับโลหะมีประมาณ 20% ในอีก 5 ปีข้างหน้า ได้ประมาณความต้องการเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 35-40% โดยจีนยังคงเป็นประเทศที่กระหายทรัพยากรเพื่อการพัฒนาประเทศ มีข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจ - จีนมีแผนที่จะสร้างเมืองขนาดเดียวกับ Boston ทุกๆ 2ปี - จีนปัจจุบันใช้ซิเมนต์ประมาณ 40% ของการใช้ทั่วโลก - จีนมีโครงการสร้างทางหลวง 15000 เส้นทาง ประมาณ 164,000 กิโลเมตร หรือถ้าเอาถนนที่จะสร้าง มาพันรอบโลกจะได้ถึง 4 รอบ มองไปที่ อินเดีย บราซิล และรัสเซีย ที่หนุนความต้องการโลหะซึ่งจะส่งเสริมราคาโลหะในระยะยาว การลงทุนจากกองทุน คงมีตัวเลขใกล้ๆ 200 พันล้านเหรียญที่จะไหลเข้ามาในตลาด จากการศึกษาของ Citigroup กองทุนมีสัดส่วนอยู่ 12% ในโลหะพื้นฐานอย่างเดียว และการเติบโตของกองทุนในตลาด commodity ยังคงดำเนินต่อไป โดยตัวขับเคลื่อนใหม่ๆเช่น ETF (Exchange-Trade Fund) Index Fund และเครื่องมืออื่นๆ ที่มีพร้อมให้นักลงทุนเลือก มองภาพเศรษฐกิจ Malan มองทองคำในภาวะกระทิงหรือขาขึ้น ซึ่งมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับตลาดเงินตรา และเป็นตัวป้องกันความเสี่ยงกับเงินเฟ้อ/เงินฝืด ราเห็นทองคำเหมือนเงินสด มันเอาไปไหนมาไหนได้ มันมีค่า เป็นที่ยอมรับทั่วไป มีความยั่งยืน และไม่เหมือนเงินตราที่มีข้อจำกัด การขายทองคำของธนาคารกลางลดลง ทั้ง Bundesbank และ the Peoples Republic Bank of China ได้แสดงความต้องการที่จะถือครองทองคำเพื่อเป็นทุนสำรองมากขึ้น อีกหนึ่งตัวการใหญ่ที่สำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไม่มีความแน่นอนคือการขาดดุลบัญชีของอเมริกา ซึ่งสูงถึง 7% ของตัวเลข GDP ซึ่งสูงสุดในประวัติศาสตร์ และยังไม่เห็นทางที่ค่าใช้จ่ายจะลดลงทั้งสงครามในอิหร่านและการสร้างเมืองนิวออลีนใหม่ ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มเข้าสู่ภาวะฟองสบู่และถ้าฟองสบู่แตกเมื่อไหร่ก็จะส่งผลกระทบกับความต้องการบริโภคและการใช้จ่าย บทสรุป รอบวัฏจักรของ commodities ที่เริ่มเมื่อเร็วๆนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับรอบที่ผ่านมา ซึ่งรอบที่ผ่านมากินเวลาประมาณ 20ปีโดยเฉลี่ย รอบนี้เพิ่งจะเห็น 2-3ปี เราน่าจะเห็นนานกว่านี้แน่ Dale Doelling มองว่าทิศทางตลาดยังเป็นทิศทางเดิมและไม่มีสัญญาณกลับตัวขณะนี้ แปลจาก: http://www.resourcei...asp?relid=18359
×
×
  • สร้างใหม่...