ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

little devil

ขาใหญ่
  • จำนวนเนื้อหา

    171
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

ทุกๆอย่างที่โพสต์โดย little devil

  1. ทองคำอาจไปถึงระดับราคาปี 1980 เขียนโดย ระพิน ใจดี วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๔๙ By Ciara Linnane, MarketWatch Last Update: 8:16 AM ET Apr 12, 2006 จาก GFMS Gold Survey 2006 ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพุธ ราคาทองคำอาจขึ้นไปอย่างแข็งแกร่งในอีก 2ปีข้างหน้า จากการชลอตัวของเศรษฐกิจอเมริกาและดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะเป็นส่วนผลักดันให้ราคาผ่าน 850$ ซึ่งเป็นราคาสูงสุดเมื่อปี 1980 ไปได้ โดยกระแสการลงทุนได้กลบความต้องการในตลาดที่แท้จริงที่ถดถอย ระดับราคาที่เหนือระดับ 600$ อยู่ในระดับที่ปลอดภัยและยังเป็นไปได้ที่จะขึ้นต่อไปได้อย่างแข็งแกร่งในอีกปีหรือสองปีข้างหน้า ถ้าสถานการณ์ประจวบเหมาะ ก็อาจทำลายสถิติสูงสุดในปี 1980 ที่ 850$ ได้เลย ตามความเห็นของ Philip Klapwijk ประธานของ the independent precious metals research consultancy. ทองคำจะได้แรงสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากแรงกดดันของภาวะเงินเฟ้อและสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยมันยังรักษาบทบาทเป็นตัวป้องกันความเสี่ยงในการลงทุน การขึ้นของตลาดโลหะเมื่อปีที่แล้วได้ทำให้มันเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจของสถาบันการลงทุนต่างๆ ซึ่งกำลังหาสิ่งที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าตลาดหลักทรัพย์และพันธบัตรรัฐบาล GFMS เชื่อว่า ปรากฏการณ์นี้ยังเป็นช่วงเริ่มต้นแต่อย่าแปลกใจที่จะได้เห็นพวกนักลงทุนระยะยาวเช่นกองทุนบำนาญเข้ามาในตลาด commodities และจะเป็นส่วนหนุนให้ราคาทองคำสูงขึ้นไป ในปี 2006 นี้ ขอแค่ส่วนเล็กๆของสินทรัพย์ที่หันมาลงทุนในทองคำ ราคาก็พร้อมที่จะทะยาน สำหรับตัวแปรสำคัญที่เป็นอุปสรรคของราคาคือความต้องการที่ลดลง จากการสำรวจที่พบในปี 2005 ความต้องการในอุตสาหกรรมจิวเวลรี่เพิ่มขึ้น 100 ตันในครึ่งปีแรก เมื่อราคายังอยู่แถวๆ 400$ และสินค้าทางเอเชียยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ความต้องการลดลงอย่างรวดเร็วในไตรมาสที่ 4 โดยเฉพาะอินเดียซึ่งเป็นตลาดใหญ่ เพราะราคาทองเริ่มพุ่งและเคลื่อนไหวรุนแรง จากที่ได้ทราบกันสำหรับ 2-3 เดือนแรกในปีนี้ เราอาจได้เห็นความต้องการในอุตสาหกรรมจิวเวลรี่ลดลงไปถึง 500 ตันสำหรับยอดทั้งปีก็เป็นได้ ทำให้การซื้อขายตำกว่าการผลิตจากเหมืองไป 400 ตัน การผลิตจากเหมืองเพิ่มขึ้น 2% ในปี 2005 โดยมาจากการที่เหมือง Grasberg ในอินโดนีเซีย สามารถกลับมาผลิตได้อีกครั้งหลังเหตุการณ์แผ่นดินเลื่อนในปี 2003 และจากเหมือง Yanacocha ในเปรู ในปี 2006 คาดหมายว่าผลผลิตจะเพิ่มสูงขึ้นราว 4% โดยมาจากเหมืองใหม่ที่ได้เริ่มทำงานแล้ว แปลจาก: http://www.marketwatch.com/News/Story/Story.aspx?guid=%7BF3D1E4C3%2D2FF4%2D49F0%2DA96E%2D472D5A2DA0EF%7D&siteid=mktw&dist= ข้อมูลเพิ่มเติมจาก: http://www.thebulliondesk.com/content/reports/tbd/gfms/GFMS_GS06_overview.pdf {moscomment}
  2. ราคาทองคำอาจจะถึง $ 1,000 จากการปรับสูงขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๔๙ ราคาทองคำอาจจะถึง $ 1,000 จากการปรับสูงขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ 20/4/2006 Jim Rogers อดีตหุ้นส่วนของ George Soros ผู้ซึ่งเคยคาดการณ์ล่วงหน้าว่าทองคำจะพุ่งในปี 1999 กล่าวว่าการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันและวัตถุดิบต่างๆจะเป็นอย่างถาวร ผลักดันให้ราคาทองคำพุ่งทะลุระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ $ 1,000 โดยระยะสั้นที่สุดของสภาวะกระทิงในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์คือ 15 ปี และยาวที่สุดคือ 23 ปี ดังนั้น ยังมีระยะทางอีกยาวไกล โดยราคาน้ำมันดิบราคาทองคำอาจจะถึง $ 1,000 จากการปรับสูงขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ 20/4/2006 Jim Rogers อดีตหุ้นส่วนของ George Soros ผู้ซึ่งเคยคาดการณ์ล่วงหน้าว่าทองคำจะพุ่งในปี 1999 กล่าวว่าการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันและวัตถุดิบต่างๆจะเป็นอย่างถาวร ผลักดันให้ราคาทองคำพุ่งทะลุระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ $ 1,000 โดยระยะสั้นที่สุดของสภาวะกระทิงในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์คือ 15 ปี และยาวที่สุดคือ 23 ปี ดังนั้น ยังมีระยะทางอีกยาวไกล โดยราคาน้ำมันดิบ ทองแดงและสังกะสีพุ่งสูงที่สุดจากการที่กองทุนและนักเก็งกำไร หาแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นและพันธบัตร โดยผลผลิตจากทั่วโลกถูกจำกัดจากการลงทุนที่ลดลงและผลผลิตที่กระจัดกระจาย ขณะที่ความต้องการวัตถุดิบที่มากขึ้นจากจีนซึ่งเป็นประเทศซึ่งเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุด โดยความไม่สมดุลย์ระหว่าง Supply และ Demand ของสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลายเป็นสิ่งที่เลวร้ายในขณะนี้ และมันไม่ใช่ฟองสบู่ ราคาทองแท่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 25 ปี ที่ $ 624.8 ในวันนี้แต่ยังต่ำกว่าระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ $ 850 ในปี 1980 ส่วนราคาน้ำมันพุ่งสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ $ 71.6 ที่ตลาด New York เมื่อวานนี้ ส่วนราคาทองแดงสูงสุดในรอบ 9 ปี เขากล่าวว่าเป็นไปได้ที่ราคาทองจะแตะที่ระดับ $ 1,000 ถ้าหากว่าเราได้เห็นการถล่มทลายของสิ่งแวดล้อมของเศรษฐกิจมหภาค นำโดยการร่วงลงของค่าเงิน Us dollar Jim Rogers เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องจากการที่เขาได้เห็นการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก่อนที่ราคาจะขยับ ตัวเลขดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ Goldman Sachs เพิ่มขึ้น 13 % ในปีนี้เทียบกับดัชนีหุ้น Standard&Poor'sเพิ่มขึ้น 4.8% ราคาสินค้าเกือบทุกชนิด ต่างทำราคาสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสภาวะกระทิง Rogers ผู้ซึ่งก่อตั้งกองทุน Quantum ร่วมกับ George Soros ในปี 1970 แต่เขาไม่ได้ทำนายว่าราคาจะถึง $ 1,000 เมื่อไหร่ โดย ณ.ขณะที่เขากล่าวราคาทองคำอยู่ที่ $ 623.1 การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนเป็นสิ่งกระตุ้นความต้องการน้ำมันและวัตถุดิบเพื่อใช้ในโรงงาน บ้าน และ รถยนต์ โดยจีนมีประชากร 1,300 ล้านคน มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ 10.2 % ทียบกับ 9.9 % ในไตรมาสก่อน โดยจีนเป็นประเทศที่บริโภคเหล็กรายใหญ่ที่สุดในโลก ทองแดง และสังกะสี และเป็นผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก โลหะทองแดงที่ตลาดเซี่ยงไฮ้เพิ่มขึ้นมา 88 % ในปีที่ผ่านมาสูงสุดในประวัติศาสตร์ จากการคาดว่าปริมาณความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ราคาทองคำที่อินเดียประเทศที่บริโภคทองคำมากที่สุดในโลกราคาทองได้เพิ่มขึ้น 35 % ในปีที่ผ่านมาเขากล่าวว่าไม่มีการค้นพบเหมืองน้ำมันหลักๆในช่วง 35 ปีที่ผ่านมา และผลผลิตจากบ่อน้ำมันหลักๆกำลังลดลง เว้นเสียแต่ว่าจะมีใครทำอะไรอย่างรวดเร็ว เพราะราคาน้ำมันกำลังจะพุ่งสูงขึ้นอีกในช่วง10ปีข้างหน้า และเช่นเดียวกันกับเหมืองทองไม่มีการเปิดเหมืองหลักใหม่มานานหลายปี และต้องใช้เวลานานกว่าจะเร่งผลผลิตออกมาจากเหมืองใหม่นี้ และทองคำในเหมืองเก่ากำลังพร่องลง ในขณะที่ความต้องการทองคำกำลังเพิ่มมากขึ้น Rogers Says Gold to Reach $1,000 as Commodities Soar April 19 (Bloomberg) -- Jim Rogers, the former George Soros partner who foresaw the start of a commodity rally in 1999, said the boom in energy and raw material prices will endure, driving gold to a record $1,000 an ounce. ``The shortest bull market for commodities lasted 15 years, the longest 23 years,'' Rogers, 63, said in an interview. So if history is any guide, ``they've got a long way to go.'' Prices of crude oil, copper and zinc are at records as speculators and hedge funds seek investments delivering greater returns than stocks and bonds. Global supplies have been curbed by lack of investment and output disruptions, making it harder to meet demand led by China, the world's fastest growing major economy. ``Supply and demand is terribly out of balance for nearly all commodities right now,'' Rogers said in Singapore April 17. ``This is not a bubble.'' Bullion for immediate delivery reached a 25-year high of $624.80 an ounce today, still below an all-time peak of $850 for spot gold in 1980. Crude oil rose to a record $71.60 a barrel in New York yesterday and copper gained the most in nine years. Price `Attainable' ``Gold at $1,000 is attainable, but to achieve it we'll have to see a further deterioration in the macro-economic environment leading to a decline in the dollar,'' said Hong Kong-based Alastair McIntyre, head of marketing at ScotiaMocatta, the bullion unit of the Bank of Nova Scotia. ``Jim Rogers is a respected figure as he saw the move in commodity prices before it happened,'' he said by phone today. The Goldman Sachs Commodity Index has increased 13 percent this year, compared with a 4.8 percent gain in the Standard & Poor's 500 stock index. ``Nearly everything makes a new all-time high in a bull market,'' said Rogers, who co-founded the Quantum hedge fund with Soros in the 1970s. He didn't predict when gold would reach $1,000 an ounce. The precious metal traded at $623.10 an ounce at 1:45 p.m. Singapore time today. China's booming economy is fueling demand for energy and raw materials needed for factories, homes and cars. The nation, home to 1.3 billion people, grew 10.2 percent in the first quarter, up from 9.9 percent in the previous three months. China is the world's biggest consumer of steel, copper and zinc and the second-largest user of energy. Copper Gains Copper prices in Shanghai have gained 88 percent in the past year to a record on expectations of increased demand. Gold prices in India, the world's largest consumer of the metal, have increased about 35 percent in the past year. ``Nobody has discovered a major oilfield in over 35 years. All the major oilfields are in decline,'' said Rogers. ``Unless someone does something quickly, the price of oil is going to go a lot higher over the next decade.'' He depicted a similar scenario for metals. ``Nobody has opened any major mines anywhere in the world for many years and it takes a long time to bring new mines on stream,'' he said. ``All the old mines are in the process of being depleted and demand is continuing to grow.''
  3. ความรุ่งโรจน์ของทองคำที่จุดประกายจากความไม่แน่นอน เขียนโดย ระพิน ใจดี วันเสาร์ที่ ๐๖ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ราคาโลหะที่ถีบสูงขึ้นเหมือนเป็นเงินตราอีกตัวหนึ่ง แต่นั่นยังไม่ใช่สถิติที่แท้จริง โลหะมีค่า ถูกนักลงทุนใช้ในการลดและป้องกันความเสียงในธุรกิจจากสถานการณ์เงืนเฟ้อ US ดอลลาร์เวลานี้ได้ซื้อขายกันที่ราคาต่ำสุดในรอบ 1 ปีเมื่อเทียบกับเงินยูโร และ 7 เดือนเมื่อเทียบกับเยนญี่ปุ่น และยังคาดว่าจะไหลลงต่อไปอีก ทองคำได้ไต่ระดับมาถึง 150 เหรียญแล้วในปีนี้ Peter Grandich กล่าวใน Grandich Letter ว่า 'The only one who doesn't know the U.S. dollar is dead is the U.S. dollar.' มีแต่คนที่ไม่รู้จัก US ดอลลาร์ที่ตาย (แปลผิดขออภัย งงเหมือนกัน) และการคล้อยต่ำลงในพลังการซื้อของเงินตราที่ไม่ใช้ทุนสำรองเลยได้พูดกันขยายวงกว้างออกไป ทองคำได้เริ่มเป็นที่สนใจสำหรับคนที่ต้องการเงินตราที่เป็นทางเลือกอื่น นาย เบน เบอเนเก ประธาน FED ได้กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าอาจจะหยุดรอบการขึ้นดอกเบี้ยเป็นการชั่วคราว ซึ่งได้เพิ่มแรงกดดัน ส่งผลทำให้ US ดอลลาร์อาการสาหัสอย่างที่เห็น และความกังวลในปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่าน ที่จุดประกายความสนใจในการลงทุนในทางเลือกอื่นๆ เวลานี้ กว่า ล้านล้านล้าน US ดอลลาร์ ที่ลอยกระจายไปทั่ว ผู้คนหนีจากเงินกระดาษ ไปหาเงินตราอย่างทองคำและโลหะเงิน ซึ่งเป็นคู่แข่งที่ชวนตาชวนใจอย่างมาก Peter Spina จาก GoldSeek.com กล่าว "ทองคำคือเงินตรา" ไปสู่ตัวเลข 4 หลัก มูลค่าของทองคำ ณ สิ้นปี 2006 น่าจะไปเกือบ 2 เท่า นับเริ่มจากต้นปี นั่นเป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์ทำนาย แม้จะมีการทำราคาสูงสุดในรอบ 25ปี ไปในการซื้อขายตั้งแต่เดือนธันวา ทองคำตลาดล่วงหน้า ปิดที่ 680$ เมื่อวันพฤหัส เป็นระดับที่เราไม่เคยได้เห็นนับแต่ปี 1980 ราคาตอนต้นปีนี้เริ่มที่ประมาณ 519$ และจากการที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนในทองคำมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ เราน่าจะได้เห็นราคาที่ 800$ และอาจเป็นไปได้ถึง 1000$ ในสิ้นปี จากคำกล่าวของนาย John Person จาก National Futures Advisory Service. ดูทุกองค์ประกอบจะเคลื่อนไปในทิศทางนั้น และมันจะไม่ใช่เป็นการไม่มองดูสภาพความเป็นจริงที่จะไปถึงได้ในช่วงเวลาสั้นๆอย่างนี้ ความตึงเครียดในสถานการณ์อิหร่าน ปะกอบกับการที่ FED ให้ข่าวสารที่สับสน เป็นเหตุผลที่ทำให้ทองคำยังคงไต่ระดับขึ้นไป Person กล่าว โดยสรุป มันเป็นความต้องการง่ายๆตรงๆ จากนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสียงจากภาวะเงินเฟ้อที่มากขึ้น และจากความต้องการจริง ในการซื้อจิวเวลรี่ของผู้บริโภคทั่วโลก เขากล่าว แปลจาก: http://www.marketwatch.com/News/Story/Story.aspx?column=Commodities+Corner&siteid=mktw&dist= {moscomment}
  4. สมาคมค้าทองคำรับปากพร้อมกำหนดราคาทอง-ค่ากำเหน็จอย่างเป็นธรรม โดย ผู้จัดการออนไลน์ 16 พฤษภาคม 2549 14:15 น. สมาคมค้าทองคำรับปากหน่วยงานรัฐพร้อมให้ความร่วมมือ ดูแลความเป็นธรรมของการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำตามตลาดโลก แต่ขอให้ประชาชนเข้าใจการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำไม่ใช่เอกชนกำหนด โดยขึ้นอยู่ตลาดโลก แต่พร้อมที่จะประกาศการเปลี่ยนแปลงราคาทองให้ถี่ขึ้นและพร้อมที่จะร่วมกันกำหนดราคากลางค่ากำเหน็จทองทุกชนิดใหม่ แต่ยืนยันค่ากำเหน็จที่คิดอยู่ในอัตรา 400 บาทเป็นธรรม นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังร่วมประชุมกับสมาคมค้าทองคำและนางรัศมี วิศทเวทย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ทางสมาคมค้าทองคำพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการซื้อและขายทองคำแท่งและทองรูปพรรณที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในแต่ละวันอย่างเป็นธรรมต่อผู้บริโภคให้มากที่สุด แต่ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำในแต่ละวัน ประเทศไทยไม่ใช่เป็นผู้กำหนด จึงได้มีการตกลงกันว่าจะยึดราคาทองคำอ้างอิงที่ตลาดฮ่องกงเป็นหลักเพื่อให้ราคาทองคำไม่เปลี่ยนแปลงมากเกินไป อย่างไรก็ตาม นายศิริพล กล่าวว่า ได้ให้ทางสมาคมค้าทองคำกลับไปพิจารณาว่า ควรที่จะประกาศราคาทองคำที่มีการเปลี่ยนแปลงแต่ละวันว่า จะมีการประกาศให้ประชาชนได้รับทราบแต่ละช่วงเวลาอย่างไร เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้การขึ้นและลงของทองคำแต่ละชั่วโมงและแต่ละวัน รวมทั้งให้แจ้งมายังกรมการค้าภายในและสคบ.เพื่อจะได้แจ้งไปยังแต่ละจังหวัดได้รับทราบด้วย นอกจากนี้ ทางสคบ.จะไปพิจารณาร่วมกับสมาคมค้าทองคำอีกครั้งหนึ่งในการคิดค่ากำเหน็จทองคำและทองบริสุทธิ์ชนิดต่าง ๆ ที่อยู่ในท้องตลาดแต่ละชนิดใหม่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนของการคิดค่ากำเหน็จและเท่าที่ทางสมาคมค้าทองคำได้อธิบายเกี่ยวกับการคิดค่ากำเหน็จโดยปรับขึ้นมาเป็น 400 บาทนั้น เข้าไปเกี่ยวข้องกับด้านแรงงานของช่างทำทองและค่าสูญเสียและอื่นๆ ซึ่ง สคบ.จะไปพิจารณาร่วมกับสมาคมค้าทองคำเพื่อกำหนดราคากลางค่ากำเหน็จขึ้นมาใหม่เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรรมต่อทุกฝ่าย อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวอีกว่า กรมการค้าภายในยังได้แจ้งให้ทางสมาคมค้าทองคำได้รับทราบว่าตามกฎหมายชั่งตวงวัดได้กำหนดให้ร้านค้าทองคำทั่วประเทศจะต้องปรับเปลี่ยนเครื่องชั่งที่มีจุดทศนิยม 2 ตำแหน่งใหม่ในเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งทางสมาคมฯ จะกลับไปแจ้งให้กับสมาชิกกว่า 7,000 ร้านทั่วประเทศ ที่จะต้องปรับเปลี่ยนเครื่องชั่งใหม่ในปีหน้าเพื่อให้ประชาชนผู้ซื้อทองคำเกิดความสบายใจว่าจะไม่ถูกโกงในเรื่องของน้ำหนักทองคำแต่ละชนิด ด้านนางรัศมี กล่าวว่า สคบ.จะร่วมพิจารณากับสมาคมค้าทองคำเกี่ยวกับการคิดค่ากำเหน็จทองคำแต่ละชนิดให้เกิดความชัดเจน คาดว่าน่าจะสรุปกำหนดราคากลางค่ากำเหน็จได้ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ และในปีนี้ทาง สคบ.จะเข้มงวดออกตรวจสอบร้านค้าทองคำทั่วประเทศที่จะเข้าไปดูถึงความบริสุทธิ์ของทองคำว่าเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่และตรวจด้านสลากว่าเป็นไปตามที่กำหนดไว้หรือไม่ นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำกล่าวว่า ทางสมาคมฯ พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐทุกรูปแบบและจะกลับไปดูว่าการประกาศเปลี่ยนแปลงราคาทองคำแต่ละวันให้มีความถี่มากขึ้นจะสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหน เพราะยอมรับว่าในตลาดต่างประเทศมีการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำวันหนึ่งนับเป็นร้อยครั้ง จึงต้องดูว่าหากจะมีการประกาศราคาทองคำให้ถี่ขึ้นจะสามารถทำได้หรือไม่ แต่อยากทำความเข้าใจว่า แม้ราคาทองคำจะมีการเปลี่ยนแปลงแต่ละวันในช่วงนี้ถี่มาก ซึ่งการนำเข้าทองคำไม่ได้เกิดขึ้นขณะนั้น และร้านทองคำน่าจะขายได้ในราคาสูง ซึ่งความจริงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแต่ละร้านมีการขายทองคำออกไปแล้วและจะต้องซื้อกลับเข้ามาใหม่ เมื่อคิดคำนวณแล้วถือว่ากำไรไม่มาก บางครั้งก็ขาดทุนเพราะการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำในแต่ละวันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมทำธุรกิจร้านทองมากว่า 50 ปีไม่เคยเห็นราคาทองคำเปลี่ยนแปลงขึ้นลงในแต่ละวันอย่างรวดเร็วจนบางครั้งผู้ค้าทองคำต้องเป็นผู้รับความเสี่ยงเอง หากไปถามร้านทองคำทั่วประเทศแต่ละร้านมีกำไรน้อย บางครั้งก็ขาดทุน เช่น ค่ากำเหน็จที่ปรับขึ้นมาเป็น 400 บาทที่ไม่เคยได้ปรับมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว และเมื่อหักค่าใช่จ่ายค่ากำเหน็จที่ร้านทองจะได้รับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากดูในตลาดต่างประเทศ เช่น ฮ่องกงและสิงคโปร์มีการคิดค่าสูญเสียเพิ่มอีกร้อยละ 5 และค่ากำเหน็จอีกร้อยละ 10 ของมูลค่ากับผู้ซื้อทองคำ ซึ่งถือว่าสูงกว่าไทยมาก ดังนั้นการคิดค่ากำเหน็จที่ปรับเพิ่มขึ้นมาถือว่าต่ำและเชื่อว่าประชาชนน่าจะรับได้ นายจิตติกล่าว
  5. เตือนผู้ซื้อทองเพื่อหวังเก็งกำไรระยะสั้นอาจเจ็บตัว เพราะมีความเสี่ยงสูง วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๙ มีคำเตือนถึงผู้ที่ซื้อทองเพื่อหวังเก็งกำไรระยะสั้นว่าอาจจะเจ็บตัว เพราะมีความเสี่ยงสูง ขณะที่สมาคมค้าทองคำ ขอความเห็นใจค่ากำเหน็จที่คิดอยู่ที่ 400 บาท ถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับต่างประเทศ นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก สัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ มีความผันผวน ราคาทองคำลดลงและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากวันก่อนราคาทองในตลาดโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 719 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่เมื่อคืน อยู่ที่ 683 ดอลลาร์ และเชื่อว่าจะปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในเร็ว ๆ นี้ ทำให้ราคาทองแท่งและทองรูปพรรณจะมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้ค้าทองคำอยากเตือนผู้บริโภคที่หวังซื้อทองคำเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น ควรพิจารณาให้รอบคอบ หากจะซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะยาวและเป็นการออมก็เป็นเรื่องที่ดี แต่เชื่อว่าราคาทองคงจะไม่ถึง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ตามที่นักวิเคราะห์ทำนายใน 1-2 ปี สำหรับการประชุมร่วมกับกรมการค้าภายใน และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เกี่ยวกับการกำหนดค่ากำเหน็จทอง ที่มีการปรับเพิ่มเป็น 400 บาท ในขณะนี้ ยืนยันว่าเป็นราคาที่ต่ำมาก ขณะที่ต่างประเทศคิดค่ากำเหน็จถึงร้อยละ 10 ของจำนวนราคาทองซึ่งสูงกว่าไทยหลายเท่า ข้อมูลจาก http://tna.mcot.net/i-content.php?clip_id=pqSTpao=
  6. หวนกลับมาอิงทองคำ เขียนโดย ระพิน ใจดี วันจันทร์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ผู้จัดการ โดย ปีเตอร์ มอริซี 16 พฤษภาคม 2549 16:50 น. ตอนนี้ ทองคำซื้อ-ขายกันกว่า US$700 ต่อออนซ์*ไปแล้ว เมื่อปี 2001 มันยังมีราคาเพียงแค่ $258 เหรียญเท่านั้น นี่เป็น 1 ในหลาย ๆ สัญญาณของการตื่นทอง ที่ได้กลายเป็นกระแสโลกไปแล้ว นอกจากนี้ เรายังเห็นวี่แววจากธนาคารกลางหลายแห่งในโลก ว่าอาจจะหวนกลับไปใช้ทองคำ เป็นเครื่องหนุนค่าเงินสกุลต่าง ๆ อีกครั้งหนึ่ง อะไรเป็นสาเหตุหลัก ? เรื่องของเรื่องก็คือนโยบายเศรษฐกิจของทำเนียบขาว นั่นเอง SPEAKING FREELY หวนกลับมาอิงทองคำ โดย ปีเตอร์ มอริซี Back to the gold standard By Peter Morici Speaking Freely is an Asia Times Online feature that allows guest writers to have their say. Please click here if you are interested in contributing. ตอนนี้ ทองคำซื้อ-ขายกันกว่า US$700 ต่อออนซ์*ไปแล้ว เมื่อปี 2001 มันยังมีราคาเพียงแค่ $258 เหรียญเท่านั้น นี่เป็น 1 ในหลาย ๆ สัญญาณของการตื่นทอง ที่ได้กลายเป็นกระแสโลกไปแล้ว นอกจากนี้ เรายังเห็นวี่แววจากธนาคารกลางหลายแห่งในโลก ว่าอาจจะหวนกลับไปใช้ทองคำ เป็นเครื่องหนุนค่าเงินสกุลต่าง ๆ อีกครั้งหนึ่ง อะไรเป็นสาเหตุหลัก ? เรื่องของเรื่องก็คือนโยบายเศรษฐกิจของทำเนียบขาว นั่นเอง (*1 ปอนด์อะวัวร์ดูปอยส์ = 16 ออนซ์อะวัวร์ดูปอยส์ 1 ออนซ์อะวัวดูปอยส์ = 28.349 กรัม หรือ = 0.283 ขีด 1 ชั่งหลวง เท่ากับ 600 กรัม = 80 บาท (น้ำหนัก) = 320 สลึง) ปัจจุบัน อุตสาหกรรมเครื่องประดับและเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นตัวใช้อุปทานทองคำที่ออกใหม่ ปีละ 85% แม้การผลิตจะลดลงนิด ความต้องการใช้ในภาคอุตสาหกรรมดังกล่าวจะสูงขึ้นหน่อย แต่ทั้งหมดนี้ก็เอามาอธิบายราคาทองคำแพงขึ้นไม่ครบ เพราะหากนำทองบ่อใหม่ขึ้นมาขาย ราคาก็จะยังถูกกว่า $700 เหรียญ/ออนซ์ เพราะคนซื้อ-ขายทองหน้าใหม่ ที่ใหญ่มาก ๆ ในตลาดทองคำ ตอนนี้คือกองทุนการซื้อ-ขายเงินตรา (exchange-traded funds) ทองแท่งไม่ทราบจำนวนเท่าไหร่ ไหลไปเก็บอยู่ตามโกดังของนักลงทุน ที่หมดความเชื่อถือในเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว และบางที พวกเขาก็อาจจะช่วยกันเบิกฤกษ์ กลับไปใช้ทองคำหนุนค่าเงิน ดังเช่นที่แล้วมาก็เป็นได้ ในปี 1944 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund) ก่อตั้งระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (fixed currency-exchange rates)* ขึ้นมา ยังผลให้เงินดอลลาร์และเงินสกุลอื่น ๆ ต้องอิงกับราคาทองคำ แต่ระบบนี้ล้มเหลว เพราะต้นทุนการผลิตทองคำที่สูงขึ้น ๆ ดันราคาทองคำในอุตสาหกรรม ให้สูงขึ้นกว่ามูลค่าที่ใช้อิงกับเงินตรา อัตราแลกเปลี่ยนจึงไม่คงที่อีกต่อไป และรับไม่ไหว ความสามารถในการผลิต และสมรรถนะการแข่งขันในญี่ปุ่นและเยอรมนี สูงกว่าสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา และการขาดดุลการค้า ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ค่าเงินปอนด์ เงินฟรังก์ และเงินดอลลาร์ (*ตามข้อตกลงที่เบรตตันวู๊ด ที่กำหนดให้ค่าเงินดอลลาร์ต้องอ้างอิงกับทองคำ) พอเงินปอนด์กับเงินฟรังก์แข็งค่าเกินจริง เงินทั้ง 2 สกุลก็ถูกปรับค่าลง เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ เงินเยน และเงินมาร์ก และพอค่าเงินดอลลาร์แข็งเกินจริงบ้าง ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันก็สั่งยกเลิกอิงค่าเงินดอลลาร์กับราคาทองคำในปี 1972 และในที่สุด ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ก็เป็นอันถูกยกเลิกไปในปลายปี 1973 นั้นเอง ผลก็คือราคาทองถีบตัวขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงราคาสูงสุดที่ $700 เหรียญ เมื่อเดือนตุลาคม 1980 ตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมานี้ ธนาคารกลางของชาติต่าง ๆ ต้องค่อยปลดเปลื้องตนเอง ออกจากการใช้ทองคำเป็นเงิน และหันมาสำรองเงินดอลลาร์มากขึ้น ๆ และก็ทำแบบเดียวกับเงินเยนและเงินมาร์ก (ต่อมาก็เป็นเงินยูโร) แต่ในปริมาณที่น้อยกว่า พวกเขาระบายทองคำออกขาย จนในที่สุด ราคาทองคำก็ตกลงมาเหลือ $255 เหรียญ/ออนซ์ เมื่อเดือนกรกฎาคม 1999 และมาที่ $258 เหรียญ/ออนซ์ เมื่อเดือนเมษายน 2001 สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ด้วย 2 ปัจจัย คือ 1) ในสหรัฐ ผู้ว่าธนาคารกลางพอล โวลค์เก้อร์ (Federal Reserve chairman) ลงแส้จัดการกับภาวะเงินเฟ้อ และ 2) ประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ และโรนัลด์ เรแกนช่วยกันวางทิศทางเศรษฐกิจในประเทศ โดยการเปิดเสรีให้กับอุตสาหกรรม (deregulation) มาตรการทั้ง 2 ช่วยปลดปล่อยพลังการผลิตและความคิดประดิษฐ์สร้าง ทำให้สหรัฐมั่งคั่งขึ้นกว่า 15 ปีที่แล้วมา และทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีค่าสูงกว่า และคงที่กว่า เหมาะสำหรับกักตุน (สำรอง) ดีกว่าทองคำ แต่เพียงไม่กี่ปีมานี้ การขาดดุลงบประมาณแบบทำลายสถิติมาเรื่อย นโยบายพลังงานและสภาพแวดล้อมที่บ้อท่า และค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเกินไป เมื่อเทียบกับเงินหยวนจีน และเงินสกุลอื่น ๆ ในเอเชีย ก็ทำให้สหรัฐขาดดุลการค้าอย่างมากมายมหาศาล เงินดอลลาร์ และหลักทรัพย์ที่ซื้อ-ขายโดยเงินดอลลาร์ ไหลออกสู่ตลาดทุนระหว่างประเทศ (capital markets*) เพิ่มขึ้นปีละ $700 พันล้านเหรียญต่อปี จนขณะนี้มีมูลค่าถึง $5 ล้านล้านเหรียญเข้าไปแล้ว และนี่เองที่ทำให้ความเชื่อมั่นต่อค่าเงินดอลลาร์ลดลง ๆ (*การลงทุนและการปล่อยกู้ระยะยาว) เพื่อที่จะคุมไม่ให้เงินหยวนจีน สูงค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ รัฐบาลจีนต้องขนเงิน $200 พันล้านเหรียญ ออกไปซื้อหุ้นในต่างประเทศทุก ๆ ปี มีธนาคารกลางในโลกน้อยรายนัก ที่จะกลับไปซื้อทองคำมาสำรองไว้อีก ขณะนี้นักเศรษฐศาสตร์บางคน กำลังหารือกับธนาคารนกลางจีน (People's Bank of China) ให้ออกไปซื้อทองคำมาตุน แทนเงินดอลลาร์บ้าง ดังนั้น การปรับลดค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินหยวนลงให้มาก จึงดูเหมือนจะเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว และหากทำเช่นนั้น ก็เท่ากับต้องปรับกับค่าเงินเอเชีย ไปเกือบจะทุกสกุลเลยทีเดียว และในเมื่อสินค้าอุปโภค-บริโภคในโลกส่วนใหญ่มาจากจีนและเอเชีย สำหรับเจ้าของเหมืองทองในแอฟริกาใต้หรือรัสเซีย เงินดอลลาร์ก็ดูมีค่าน้อยกว่า และเงินสกุลอื่น ๆ ในเอเชียก็ดูมีค่ามากกว่า ในกรณีนี้ ราคาทองคำที่ซื้อด้วยเงินหยวนหรือเงินวอน (เกาหลีใต้) อาจจะไม่ขึ้น และอาจจะตกลงด้วยซ้ำ แต่หากใช้เงินดอลลาร์ซื้อ ราคาทองก็จะสูงกว่ามาก นักลงทุนระหว่างประเทศ หากขืนเอาทรัพย์สินไปลงในเงินดอลลาร์ก็หน้าโง่ อย่างไรก็ตาม เงินสกุลที่ดูดีมีราคา แต่ทว่ามีรัฐบาลที่ห่วยแตก ในการดูแลควบคุมเงินเฟ้อ หรือรักษาสัญญากับนักลงทุนต่างชาติ ไม่เชื่อก็กลับไปบอกแม่ ให้เอาเงินไปซื้อพันธบัตรในเกาหลีหรือจีนดูสิ ? หากนักลงทุนเอกชนก็ยังคลางแคลงใจในเงินดอลลาร์ และหันไปตุนทองเอาไว้เรื่อย ๆ ธนาคารกลางในประเทศต่าง ๆ ก็จะถูกบีบ ให้หันไปอิงราคาทองคำ หากนักลงทุนไม่มั่นใจในค่าเงินสกุลต่าง ๆ ที่มีเงินดอลลาร์หนุน ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ที่หันไปหาพันธบัตร ที่ซื้อ-ขายโดยเงินหยวน เงินวอนเป็นหลัก ก็คงจะหน้าโง่พอ ๆ กับนักลงทุนเอกชนนั่นเอง อะไรทำให้สหรัฐขึ้นมาเกยตื้นแบบนี้ ? ก็อย่างที่เอ่ยมาแล้วนั่นแหละครับ รากเง้าของมันคือการขาดดุลงบประมาณมหาศาล นโยบายเลว ๆ ต่อพลังงานและสภาพแวดล้อม ที่ยิ่งทำให้การค้าขาดดุลทรุดหนักลงไปอีก นั่นคือทำให้ประเทศต้องพึ่งพิงน้ำมันจากต่างชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ และจากเหตุทั้งหลายทั้งปวงที่เอ่ยมา เงินเหรียญก็มาซบตาย (พูดให้เว่อร์ ๆ เอาไว้) อยู่ที่ตีนรัฐบาลของประธานาธิบดีจอร์ช ดับเบิลยู บุชนี่เอง ยิ่งเมื่อมีการตัดสินใจเมื่อสัปดาห์ก่อน ที่ไม่ยอมขึ้นป้ายว่าจีนเป็นพวกแหกกฎทางการเงิน (ที่ชี้ให้เห็นว่าประธานาธิบดีสหรัฐ ยังคงปฏิเสธไม่ยอมแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าที่รากเง้าเสียที) ก็ยิ่งไม่ช่วยอะไรให้ให้ดีขึ้นมาบ้างเลย หากรัฐบาลสหรัฐไม่จัดระเบียบเศรษฐกิจในบ้านของตน ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทองคำก็จะกลายเป็นเงิน (ธนบัตร) และเงินสกุลอื่น ๆ หากต้องการเป็นเงิน (ธนบัตร) ก็จะต้องใช้ทองเป็นตัวหนุน Peter Morici is a professor at the University of Maryland's Robert H Smith School of Business, former chief economist at the US International Trade Commission, and a commentator on economic and political issues. {moscomment}
  7. สมาคมค้าทองคำฝากข่าวประชาสัมพันธ์ วันพุธที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๔๙ สมาคมค้าทองคำฝากข่าวประชาสัมพันธ็ - 22/05/2006 23:32 22 พฤษภาคม 2549 เรื่อง กำหนดวันหยุดเป็นกรณีพิเศษ เนื่องในพระราชวโรกาสพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เรียน สมาชิกสมาคมค้าทองคำ ร้านทองในเยาวราช ร้านขายส่ง ร้านสมาชิกในกรุงเทพฯและปริมณฑล เนื่องในพระราชวโรกาสพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ซึ่งจะมีรัฐพิธี และพระราชพิธีในโอกาสที่สมเด็จพระราชาธิบดี และสมเด็จพระราชินีต่างประเทศ เสด็จมาร่วมงาน ฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในเดือนมิถุนายน ที่จะถึงนี้ ในการนี้ที่ประชุมคณะกรรมการสมาคมค้าทองคำจึงมีมติในการประชาสัมพันธ์ ให้สมาชิกร่วมกันแสดงความจงรักภักดี หยุดร้านในช่วงวันที่ 12 และ 13 มิถุนายน 2549 ซึ่งวันดังกล่าวได้ถูกกำหนดโดยคณะรัฐมนตรี ให้เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ เฉพาะหน่วยงานที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลด้วย จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และขอความร่วมมือ รวมถึงช่วยประชาสัมพันธ์ให้สมาชิกทราบด้วย ขอแสดงความนับถือ นายปาณะพงษ์ สุทธิวงศ์ ผู้จัดการสมาคมค้าทองคำ {moscomment}
  8. วิตก'ฟองสบู่'ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เสี่ยงฉุดศก.โลก-ตลาดการเงินทรุด วันจันทร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๔๙ โดย ผู้จัดการออนไลน์ 28 พฤษภาคม 2549 20:19 น. เอเอฟพี - การปรับตัวสูงขึ้นอย่างดุดันของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นโลหะอาทิ ทองคำ เงิน ทองแดง รวมไปถึงไม้ซุง ผลิตภัณฑ์น้ำมันปิโตรเลียม เรื่อยไปจนถึงสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตรบางตัว ได้ก่อให้เกิดกระแสความวิตกกันมากขึ้นเรื่อยๆ ว่ามันกำลังเป็น "ฟองสบู่" ซึ่งอาจกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกรวมไปถึงตลาดการเงิน "ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ด้านอุตสาหกรรมในปัจจุบันนั้น ได้พุ่งทะยานสูงขึ้นไปไกลยิ่งกว่าครั้งใดที่เราเคยประสบกันมาในยุคสมัยใหม่" สตีเฟน โรช หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของมอร์แกนสแตนลีย์ กล่าว "โลกเราทุกวันนี้กำลังตกอยู่ในวงล้อมของฟองสบู่อีกฟองหนึ่ง นั่นก็คือสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งจะต้องแตกอย่างแน่นอนในวันใดวันหนึ่ง ดังนั้น คำถามสำคัญคือเมื่อใดเท่านั้น" โรชกล่าวว่า การบูมของสินค้าโภคภัณฑ์เวลานี้ โดยเนื้อหาสาระแล้วเป็นฟองสบู่ฟองเดียวกัน ที่ได้โยกย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ไปยังอสังหาริมทรัพย์ และบัดนี้จึงมาถึงวัสดุขั้นปฐมภูมิทั้งหลาย เขาเสริมว่า การที่จะยุติวงจรของการปั่นฟองสบู่สินทรัพย์เช่นนี้ได้ ขึ้นอยู่กับว่าบรรดาธนาคารกลางของชาติใหญ่ๆทั่วโลกจะมีความกล้าดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังหรือไม่เท่านั้น ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์บางตัวจะปรับตัวลดลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีระดับใกล้เคียงกับสถิติสูงสุดอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันซึ่งเมื่อปี 2002 เคยซื้อขายกันอยู่ที่ราวบาร์เรลละ 18 ดอลลาร์ ขณะนี้ก็ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 70 ดอลลาร์ สำหรับทองคำ ราคาได้พุ่งขึ้นสูงมากจาก 380 ดอลลาร์เป็น 700 ดอลลาร์ในระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปี ด้านราคาโลหะเงินเฉพาะแค่ในปีนี้ก็ปรับขึ้นมาแล้วถึง 70% ขณะที่ราคานิกเกิลและทองแดงก็ได้ปรับตัวสูงขึ้นทำสถิติใหม่มาแล้วหลายครั้ง นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูงขึ้นนั้น แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงสภาพการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกอันรวมไปถึงจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภควัตถุดิบรายใหญ่ แต่ก็มีสาเหตุผลักดันมาจากบรรดานักเก็งกำไรด้วย วอร์เรน บัฟเฟตต์ พ่อมดการเงินผู้เป็นตำนานด้านการลงทุน ประธานบริษัทเบิร์กไชร์ แฮธอะเวย์ เคยให้สัมภาษณ์ทำนองนี้กับหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์ โดยเขาบอกว่า "เรากำลังเฝ้ามองตลาดที่สนองตอบต่อแรงเก็งกำไรมากกว่าจะมาจากปัจจัยพื้นฐานจริงๆ" กระนั้นก็ดี นักวิเคราะห์บางส่วนแย้งว่า การดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำของธนาคารกลางใหญ่ๆเป็นปัจจัยที่ทำให้มีเงินสดหลั่งไหลเข้ามาในตลาดการเงินเป็นจำนวนมาก จนกระตุ้นให้บรรดานักลงทุนมองหาช่องทางการลงทุนใหม่ๆที่จะนำเงินนี้ไปหากำไรมากยิ่งขึ้น อาทิ ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจนเกือบถึงระดับต่ำสุดเท่าที่เคยกระทำมา เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะเงินฝืดภายหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน 2001 และยังคงนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเรื่อยมา ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่นก็ยังคงใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ย 0% อยู่เช่นกันขณะที่อัตราดอกเบี้ยของธนาคารยุโรปอยู่ที่ 2.5% อย่างไรก็ดี แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน จะส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนหันเหปรับเปลี่ยนช่องทางการลงทุน แต่นักวิเคราะห์บางรายก็คาดว่า ไม่น่าจะที่ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลักๆอย่างน้ำมันปรับตัวดิ่งลงอย่างรวดเร็วได้ บาร์ต เมเลค นักวิเคระห์จากบีเอ็มโอ เนสบิตต์ เบิร์นส์กล่าวว่า การพุ่งสูงขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาจจะยังไม่ยุติในตอนนี้ เพราะนักลงทุนยังคงมองหาช่องทางลงทุนใหม่ๆเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงอื่นๆอยู่ ดังนั้น จึงคาดว่าราคาโลหะพื้นฐาน ทองคำ และพลังงานน่าจะมั่นคงไปได้อีกหลายๆ ไตรมาส และกระทั่งอาจพุ่งทำสถิติใหม่ได้ด้วยซ้ำ ในเมื่อความเป็นจริงมีอยู่ว่า ดีมานด์บริโภคยังแข็งแกร่ง ขณะที่ซัปพลายยังไม่ได้มีการเพิ่มขึ้น {moscomment}
  9. ร้านทองชอบเสี่ยงรับเศรษฐกิจแย่ ไม่ยอมทำประกัน วันอังคารที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๔๙ โพสต์ทูเดย์ เศรษฐกิจตกสะเก็ด แนวโน้มอาชญากรรมเพิ่ม ร้านค้าทองไม่หวั่น อาศัย ป้องกันตัวเอง เมินทำประกันภัย นายวิชา ดำรงสินศักดิ์ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย เปิดเผยว่า ปัจจุบันยังไม่ค่อยมีร้านค้าทอง ทำประกันทรัพย์สินกับบริษัทมากนัก และ ร้านค้าทองก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญด้วย เพราะ ร้านค้าทองส่วนใหญ่จะมองว่าไม่ค่อยมีเหตุ โจรกรรมเกิดขึ้นกับร้านค้าทองเท่าไร เห็นได้จาก ที่ผ่านมามีข่าวการปล้นร้านค้าทองไม่มาก เมื่อเทียบกับอาชญากรรมประเภทอื่น ดังนั้น ร้านค้าทองจึงเลือกที่จะป้องกันและระวังด้วย ตัวเองมากกว่า โดยการติดตั้งระบบรักษา ความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นการติดกล้องวงจรปิด หรือประตูเปิดปิดอัตโนมัติ หรือการที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจบริเวณ ร้านค้าทองเป็นประจำ นายสมนึก สงวนสิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สินทรัพย์ประกันภัย กล่าวว่า บริษัทได้ให้บริการประกันภัยเบ็ดเสร็จคุ้มครองผู้ค้าอัญมณีมานาน 3 ปีแล้ว และได้รับการ ตอบรับเป็นอย่างดี ปัจจุบันมีฐานลูกค้าประมาณ 60-70 ราย มีเบี้ยในส่วนนี้ประมาณ 30 ล้านบาท ด้วยทุนประกันรวมที่ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเบี้ยประกันถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับทุนประกันที่คุ้มครอง โดยจะเริ่มต้นที่ 0.01% ของทุนประกัน เช่น หากทุนประกันที่ 10 ล้านบาท จะจ่ายเบี้ยประมาณปีละ 7-8 พันบาทเท่านั้น อย่างไรก็ตาม บริษัทจะรับประกันไว้เอง 10-20% เท่านั้น ส่วนที่เหลือส่งไปให้การประกันภัยต่อแทน ซึ่งที่ผ่านมาการรับประกันภัยอัญมณีของบริษัทยังไม่เคยถูกเรียกเคลมประกันจากลูกค้าเลย ถือว่าประสบความสำเร็จมาก และปัจจุบันก็มีการรับประกันภัยสำหรับร้านทองแล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับพอสมควร และ เป็นลักษณะแบบบอกต่อปากต่อปาก โดยเฉพาะร้านค้าทองที่เป็นของคนรุ่นใหม่หรือทายาท เจ้าของร้านเดิมที่หันมาทำประกันภัยมากขึ้น เพราะเทียบกับเบี้ยประกันที่จ่ายแล้วถือว่าน้อยมากหากเกิดเหตุร้ายขึ้น แต่ถ้าเป็นร้านค้าทองของคนรุ่นเก่าจะไม่ค่อยอยากทำประกัน ซึ่งอาจจะติดค่านิยมเก่าๆ แม้ช่วงนี้เศรษฐกิจชะลอตัว อาจมีปัญหาอาชญากรรมเพิ่มขึ้น แต่เราก็ไม่ได้เข้มงวด เรื่องเงื่อนไขทำประกันเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด หากเห็นว่าร้านไหนยังไม่ปลอดภัยพอก็จะแนะนำให้ปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม นายสมนึก กล่าว http://www.posttoday.com/newsdet.php?sec=finance&id=99680 {moscomment}
  10. Gold Fields sees bullion down to $500 in mid-term วันพุธที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙ Gold Fields sees bullion down to $500 in mid-term Tue May 30, 2006 4:16 PM GMT JOHANNESBURG (Reuters) - The gold price is likely to fall to around $500 per ounce in the medium term, before resuming its long-term uptrend, South Africa's Gold Fields Ltd said on Tuesday Gold Fields sees bullion down to $500 in mid-term Tue May 30, 2006 4:16 PM GMT JOHANNESBURG (Reuters) - The gold price is likely to fall to around $500 per ounce in the medium term, before resuming its long-term uptrend, South Africa's Gold Fields Ltd said on Tuesday The volatile rally in the price has hit jewellery demand, which is a main driver of the price, Chief Executive Ian Cockerill told a strategy presentation. "Clearly jewellery demand is critical for the maintenance of this upward trend...in the medium term, we would see the gold price setting at or around the high $400s to $500 an ounce." The gold price rose by as much as 45 percent this year, peaking at $730 an ounce on May 12, but has fallen since then to trade at $654 on Tuesday. The weakening in the price had let off some critical steam, which was positive, Cockerill added. "I'm not unhappy that the price has come back, because clearly it did run away from itself," he said. "We do believe that despite the recent pullback, the gold price is very much in its upward trend and in some respects the recent pullback was quite healthy." Gold Fields, the world's fourth biggest gold producer, has operations in South Africa, Australia, Ghana and Venezuela. http://za.today.reuters.com/news/NewsArticle.aspx?type=businessNews&storyID=2006-05-30T141607Z_01_BAN051371_RTRIDST_0_OZABS-MARKETS-GOLD-GOLDFIELDS-20060530.XML {moscomment}
  11. Gold Fields CEO says bullion could hit $1,000 วันพฤหัสบดีที่ ๐๑ มิถุนายน ๒๕๔๙ Gold Fields CEO says bullion could hit $1,000 Wed May 31, 2006 4:33 PM GMT By Eric Onstad JOHANNESBURG (Reuters) - The gold price could hit $1,000 per ounce over the next few years, partly fuelled by hefty investment demand from oil producers with excess cash, the chief executive of South Africa's Gold Fields said on Wednesday. Only after several more years of rallying prices would they probably return to equilibrium levels, but these would be double the level of previous down cycles, Ian Cockerill told Reuters. He was clarifying comments made to a strategy presentation on Tuesday, when he said prices could move down to around $500 per ounce. "I see the price continuing from these levels and moving higher, and in fact could move significantly higher over the next couple of years. I would not be surprised to see it going up into four figures in dollar terms, that's a very real possibility," he said in an interview. The spot gold price surged by as much as 45 percent this year, peaking at $730 an ounce on May 12, but has fallen since then to trade at $658 per ounce on Wednesday afternoon. "A longer term equilibrium price is closer to $500, if one looks at the fundamental level, but I don't see us being in any danger of getting to that level in the short-term, I see that as much longer term. I see the prices going higher from here not lower, and then going back (down)." If gold eventually touched a base level around $500 per ounce, that would mean that the equilibrium price was twice the level compared to lows set in 1999 at around $250 per ounce. "No market goes up forever and neither does it go down forever, but when it does ultimately pull back, we don't see it going back below the $500 mark, that's for sure." PETRO DOLLARS DRIVING PRICE A main driver of the current gold price, similar to 1980 when prices touched $850 per ounce, was from oil producing nations seeking a home for a windfall in revenues, he said. "Excess petro dollars sloshing around in the Middle East was one of the principal drivers of the gold price back in the 1980s and over the last 12-18 months we've seen an increase in petro dollars in the Middle East," he said. Many analysts see a correlation between a rising oil price, which can fuel inflation, and the price of gold, which is often seen as a hedge against inflation. The price of gold has risen 160 percent since touching lows in 1999 while Brent crude futures have shot up 265 percent. "Gold, despite having a fairly healthy run since 2001, is still incredibly cheap on the gold-oil ratio and I think there's still lots of upside potential just taking that into account." Long-term investors such as pension funds were also now investing in gold, which should give the market healthy support if short-term speculators decide to liquidate, he added. The recent correction in the gold price is healthy and could help revive jewellery demand if prices stabilise, Cockerill said. "It's price stability, irrespective of price levels, that is important to jewellery demand... it's the volatility that kills jewellery demand, not the actual price itself," he said. "The recent run-up in the dollar price was very rapid, a little bit quicker than I had anticipated, so I wasn't surprised to see this pull back." Gold Fields Ltd is the world's fourth biggest gold producer, with operations in South Africa, Ghana, Australia and Venezuela.
  12. ทองคำจะลงไปถึงไหนกัน? เขียนโดย ระพิน ใจดี วันศุกร์ที่ ๐๒ มิถุนายน ๒๕๔๙ 30 พฤษภาคม 2549 www.golddrivers.com Eric Hommelberg ให้ความเห็นว่า ทองคำอาทิตย์นี้ดูจะแกว่งจากความกลัวที่เพิ่มขึ้นกับคำแนะนำให้ขายทองคำทิ้ง แล้วสัญญาณทางเทคนิคปัจจุบันบอกอะไรบ้าง ทองจะลงไปถึงระดับ เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ตามที่นักวิเคราะห์หลายคนทำนายจริงเหรอ เมื่อไหร่ถึงจะหยุด นักวิเคราะห์หลายท่านแนะนำให้ขายทองคำทิ้ง ณ จุดที่ทองคำเด้งขึ้นมาตอนนี้ เหตุผลเพราะ นับตั้งแต่ทองคำมีการซื้อมากเกินไป ทองคำจะต้องย้อนกลับมาที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (200 dma) ซึ่งอยู่ที่ระดับราคา 540-550$ ขึ้นอยู่กับว่าทองคำจะมาเส้น 200 dma นี้เร็วแค่ไหน เขาไม่เห็นด้วยกับ การที่ทองคำจะกลับมาเส้น 200 dma ในขณะนี้ ซึ่งนั่นจะเป็นการทะลุต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 35 ปีของทองคำที่ 572$ (ปรับตามเงินเฟ้อ) ซึ่งเป็นจุดแนวต้านสำคัญระหว่างปี 1993-1996 และสุดท้ายออกมาได้ในปี 2006 เมื่อแนวต้านที่อยู่ได้อย่างยาวนานสามารถหลุดผ่านขึ้นมาได้ ก็จะกลายเป็นแนวรับที่แข็งแกร่งอย่างมาก เขาจึงไม่เห็นทางที่ทองคำจะร่วงไปต่ำกว่า 572$ เพราะฉะนั้นเห็นได้ชัดว่า ไม่มีทางกลับไปที่เส้น 200 dma ในเวลานี้ได้ เมื่อลงไปไม่ได้ เราลองมาหาแนวรับที่แข็งแกร่งต่อไปของทองคำแทนดีกว่า กราฟแสดงเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน (50 dma) ของทองคำ ซึ่งขณะนี้ขยับมาอยู่ 627$ ซึ่งก็อยู่ในพื้นที่ระดับ 620$-640$ ที่กำหนดโดย FIB ที่ 50%-61% ของระดับ 551$-730$ ที่ราคาทองคำเคลื่อนมาเมื่อเร็วๆนี้ จากกราฟแสดงให้เห็นแนวรับสำคัญที่ 640$-620$ ซึ่งถูกทดสอบไม่ผ่านมาแล้ว 4 ครั้ง จุดที่น่าสนใจคือรูปแบบที่พบ คุณสามารถเห็นเส้น down trend ( เส้น A) ยังอยู่สมบูรณ์ หรืออีกนัย ระดับ 640$ สามารถรับได้ดีในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะนี้ เส้น 50 dma จะขยับขึ้นมา 2 จุด มาอยู่ในพื้นที่ 640$ ในสิ้นสัปดาห์หน้า และเช่นกัน สิ้นสัปดาห์หน้า down trend ( เส้น A) จะขึ้นมาถึงด้วย ดังนั้นสำหรับทองคำจะสร้างหรือจะหยุดมันในสัปดาห์ต่อไป ถ้าแนวรับสามารถรับอยู่ (เขาคาดว่าอย่างนั้น) down trend ก็จะถูกทะลุขึ้นมาได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการเด้งอย่างแรงของทองคำ และจะเป็นลางดี สำหรับสัปดาห์ต่อๆไป จุดสำคัญ - ทองคำยังคงอยู่ในช่วงขาลง แต่มีแนวรับแข็งแกร่งที่ 640$ - เส้น down trend จะผ่านบริเวณ 640$ ในสิ้นสัปดาห์หน้า - ทองคำอาจทะลุผ่านแนว 640$ ขึ้นมา หรือ อาจอาจทะลุแนวรับลงไป แปลจาก: http://www.kitco.com/ind/Hommelberg/may302006.html {moscomment}
  13. เช็กสุขภาพเศรษฐกิจโลก ครึ่งปีหลัง 2549 (1) มะกันใกล้ Dangerous Zone เขียนโดย ระพิน ใจดี วันอังคารที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๔๙ ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 30 ฉบับที่ 3800 แม้ มิถุนายนจะเป็นเดือนสุดท้ายของครึ่งปีแรกของปี 2549 แต่นักวิเคราะห์หลายสำนักมักจะคอยสังเกต และติดตามสัญญาณเตือนที่ปรากฎขึ้นในเดือนนี้อย่างใกล้ชิด เพราะเชื่อว่าจะเป็นตัว "นำทาง" สภาวการณ์ที่จะเกิดขึ้นในครึ่งปีถัดไป ได้อย่างแม่นยำนำทาง" สภาวการณ์ที่จะเกิดขึ้นในครึ่งปีถัดไป ได้อย่างแม่นยำ ยก ตัวอย่าง รายงานการสำรวจแนวโน้มธุรกิจ ประจำเดือนมิถุนายน 2549 ของ Duke University ร่วมกับนิตยสารดัง CFO magazine เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อมูลที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง จากวงการธุรกิจและนักวิเคราะห์ทั่วโลก เพราะสะท้อนมุมมองของหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ ฝ่ายการเงิน หรือ chief financial officers : CFO ของบริษัทต่างๆ ทั่วโลก ต่อประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ และตัวแปรต่างๆ ที่มีผลต่อเศรษฐกิจ น่าสนใจ ว่า ผลสำรวจชิ้นนี้ได้สะท้อนปัจจัย "ร่วม" หลายๆ ตัว ที่อยู่ในความกังวลของพวกเขา อาทิ เศรษฐกิจสหรัฐ โดยซีเอฟโอส่วนใหญ่เริ่มกังวลกับแนวโน้มของเศรษฐกิจสหรัฐ มากกว่าผลสำรวจครั้งก่อน โดยพบว่ามีเพียง 24% ของกลุ่มตัวอย่าง มองเศรษฐกิจสหรัฐในด้านดี ลดลงอย่างฮวบฮาบจาก 42% ในครั้งก่อน ที่น่าสนใจคือ มีซีเอฟโอที่มองแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐในด้านบวกน้อยลง เพิ่มขึ้นเป็น 46% ในการสำรวจครั้งล่าสุดนี้ ทำไม พวกเขาจึงมองเศรษฐกิจสหรัฐในด้านบวกน้อยลง ประการ แรก หากฟังจากคำอธิบายของอาจารย์สายการเงิน จาก Duke University จะพบว่า เป็นเพราะซีเอฟโอส่วนใหญ่เชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเข้าใกล้จุดที่มีความเสี่ยง หรือ dangerous zone มากขึ้นทุกทีแล้ว เนื่องจากซีเอฟโอ โดยเฉพาะในกลุ่มตัวอย่างที่มาจากบริษัทอเมริกัน ยอมรับว่า พวกเขาอาจจำเป็นต้องปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอีก 3.1% ภายใน 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งหมายความว่าเงินเฟ้อจะต้องขยับตาม ซึ่งหากการขยับราคาสินค้าของสหรัฐ ดันเงินเฟ้อขึ้นไปที่ 3.5% เมื่อใด ระดับนั้นคือ จุดอันตรายของเศรษฐกิจสหรัฐ เพราะจะเป็นระดับที่ผลกำไรของภาคธุรกิจเอกชนจะถูกกระทบอย่างแรง จุดอันตรายของเศรษฐกิจสหรัฐจะมาเร็วขึ้น หากราคาน้ำมันดิบโลกขยับขึ้นไปเหนือระดับ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล บังเอิญ เช่นกันว่า ในวันเดียวกับที่เผยแพร่ผลสำรวจนี้ อลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ ได้ส่งสัญญาณเตือนว่า โลกเริ่มอยู่ในจุดที่เปราะบางมากยิ่งขึ้นที่จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน แพง ซึ่งผู้ผลิตน้ำมันควรจะเร่งสูบน้ำมันดิบออกมาให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ ในอนาคต ที่สำคัญ กรีนสแปนยังส่งคำเตือนโดยตรงมายังผู้บริโภคอเมริกันว่า แม้ว่านับจากทศวรรษ 1940 เป็นต้นมา ชาวอเมริกันจะสามารถแบกรับภาระน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นได้อย่างสบายมือ แต่ "ภูมิคุ้มกัน" ต่อผลกระทบจากราคาน้ำมันแพงกำลังจะหมดลง คำเตือนของ กรีนสแปน มีขึ้นระหว่างที่เขาเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการฝ่ายความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศประจำวุฒิสภา ซึ่งถือเป็นการแสดงความเห็นครั้งแรก นับจากที่เขาอำลาตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา "การปรับเพิ่มขึ้นไปมากๆ ของราคาน้ำมันดิบโลกจะเป็นตัวเร่งให้เกิดการหดตัวทางเศรษฐกิจ ครั้งมโหฬาร" กรีนสแปนกล่าว ทั้ง นี้ นับจากต้นปี 2545 จนถึงปัจจุบัน ราคาน้ำมันพุ่งทะยานขึ้นไปแล้วกว่า 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากระดับเมื่อ 4 ปีก่อน เฉพาะปี 2547 ปีเดียว ราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้นเป็น 2 เท่า กรีนสแปนวิจารณ์ประเทศผู้ผลิต น้ำมันว่า นอกเหนือจากซาอุดีอาระเบียแล้ว แทบจะไม่มีประเทศผู้ผลิตรายใด มองเห็นอันตรายจากราคาน้ำมันแพง ที่มีต่อเศรษฐกิจ ตลอดจนผลกระทบ ต่อความสามารถที่จะขายน้ำมันของพวกเขาเอง ที่น่าสนใจคือ คำเตือนของกรีนสแปนในเรื่อง ภูมิต้านทานของสหรัฐ ไม่ใช่เป็นการกล่าวเกินจริงอะไรนัก เพราะเมื่อไม่นานมานี้ หนังสือพิมพ์ยูเอสเอ ทูเดย์ได้ตีแผ่ผลกระทบจากราคาน้ำมันแพงลิ่ว ต่อบริษัทต่างๆ ที่ต้องพึ่งพาน้ำมันเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตผลิตภัณฑ์ ไล่ตั้งแต่กลุ่มปิโตรเคมีภัณฑ์ ยาง พลาสติก เรื่อยมาจนถึงผู้ผลิตลิปสติก ยาระงับกลิ่นตัว ชุดกีฬา และเครื่องนอนต่างๆ ล้วนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า น้ำมันแพงได้ทำให้ต้นทุนการผลิตของบริษัทเหล่านี้ถีบตัวสูงขึ้น ทำให้แต่ละบริษัทต่างพยายามหาทางลดผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นการปรับราคาสินค้า ลดปริมาณการผลิต แต่เมื่อราคาน้ำมันดิบยังคงแกว่งตัวในระดับสูงเป็นเวลานาน หลายบริษัทจำเป็นต้องเลือกการแช่แข็งเงินเดือน หรือปรับให้เป็นเปอร์เซ็นต์เล็กน้อย ขณะที่บางรายได้ตัดใจลดจำนวนพนักงาน และปิดสายการผลิตบางส่วน อาทิ บริษัทคอนติเนนตัล ไทร์ ที่ตัดสินใจปลดพนักงานออก 481 ตำแหน่งเมื่อเดือนที่แล้ว โดยมีผลตั้งแต่ 1 กรกฎาคม ขณะที่ดูปองต์เลือกการขึ้นราคาสินค้าเป็นทางออก โดยประกาศปรับราคาสินค้าในระดับที่แตกต่างกันไป แต่ที่น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่การขึ้นราคาสินค้าครั้งแรกของผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ โดยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 และไตรมาสแรกของปีนี้ ดูปองต์ได้ปรับราคา สินค้าไปแล้วเฉลี่ย 5% และ 3% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม จุดอันตรายของเศรษฐกิจสหรัฐ ไม่ได้อยู่ปัจจัยน้ำมันและเงินเฟ้อ แต่การปะทุของสองปัจจัยแรก จะกลายเป็นแรงกดดันสำคัญที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ ไม่สามารถยุติภาวะขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ได้ดังที่คาดหวังไว้ นัก ธุรกิจกังวลกับตัวแปรดอกเบี้ยมากพอๆ กับเงินเฟ้อ เพราะทุกปัจจัยในสหรัฐล้วนแต่สัมพันธ์ และมีผลซึ่งกันและกันทั้งสิ้น ในผลสำรวจของ Duke/CFO ระบุชัดว่า ซีเอฟโอส่วนใหญ่อยากให้เฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ยได้แล้ว เพราะหากดอกเบี้ย ยังขยับจากระดับ 5% ในปัจจุบัน ขึ้นไปถึง 5.5% เมื่อใด จะส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งหากดอกเบี้ยยืนอยู่เหนือ 6% จะส่งผล กระทบต่อตัวเลขผลประกอบการของพวกเขา อย่างรุนแรง ผลเสียหาย ที่ตามมาเป็นลูกโซ่ ไม่ได้จำกัดแค่ในแวดวงธุรกิจ แม้แต่ในตลาดทุน ก็มักจะเป็นเหยื่อรายแรกๆ หากเฟดส่งสัญญาณชัดว่า แนวโน้มขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะยังไม่ยุติลงง่ายๆ ดังที่ ดัชนีดาวโจนส์ของตลาดหุ้นนิวยอร์ก ทรุดตัวต่อเนื่อง 3 วันติดต่อกัน อันเนื่องมาจากการส่งสัญญาณของเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดคนใหม่ที่แสดงความวิตกต่อเงินเฟ้อออกมาอย่างไม่ปิดบัง เฉพาะ การซื้อขายระหว่างวันเมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา ดาวโจนส์ดิ่งฮวบลงกว่า 100 จุด ก่อนจะขยับขึ้นมาติดลบ 71.24 จุด หรือลดลง 0.65% ต่อเนื่องจากเมื่อวันจันทร์ ที่ดาวโจนส์ ทรุดตัวไปก่อนหน้าแล้วเกือบ 200 จุด รวม 3 วันทำการ ดาวโจนส์ปรับตัวลงกว่า 316 จุด และส่งผลให้ปรอทวัดอุณหภูมิตลาดหุ้นสหรัฐ ลงมาอยู่ต่ำกว่าระดับ 11,000 จุด เป็นครั้งแรก นับจากวันที่ 9 มีนาคม สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณที่น่า เป็นห่วง และต้องเฝ้าติดตามอย่างระวัง เพราะการแกว่งของเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งมีมูลค่ามากถึง 12 ล้านล้านดอลลาร์นั้น หากเกิดขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อใด ย่อมหมายถึงเศรษฐกิจทั่วโลก ย่อมจะต้องแกว่งตาม ที่มา: http://www.matichon.co.th/prachachart/prachachart_detail.php?s_tag=02for01120649&day=2006/06/12 {moscomment}
  14. ราคาทองคำ ความเปลี่ยนแปลงทางปัจจัยพื้นฐาน เขียนโดย felm วันพุธที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๙ ราคาทองคำในตลาดทองของไทยปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและทำสถิติสูงสุดในประวัติการณ์อีกครั้ง โดยแตะระดับสูงเกินระดับ 12,900 บาท/บาท ในเดือนพฤษภาคม 2549 หลังจากที่ทะลุระดับ 10,000 บาท/บาท เมื่อกลางเดือนธันวาคมปี 2548 มาแล้ว ตามราคาทองคำในตลาดโลกที่ทำสถิติใหม่ ทะลุระดับ 700 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2549 ซึ่งเป็นราคาทองคำต่างประเทศสูงสุดในรอบ 26 ปี ราคาตลาดทองของไทยนั้นเคลื่อนไหวตามราคาทองคำต่างประเทศเนื่องจากการค้าทองคำของไทยเป็นทองคำที่นำเข้าจากต่างประเทศ การกำหนดราคาทองคำไทย จึงขึ้นอยู่กับราคาทองคำในต่างประเทศเป็นหลัก บทความนี้จะนำเสนอถึงสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลง และแนวโน้มของตลาดทองคำในตลาดโลกว่ามีการเปลี่ยนแปลงใดบ้าง และผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย หลังจากที่ได้ทางกลุ่มการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคได้นำเสนอไว้เมื่อเดือนธันวาคม 2548 ไปแล้ว o ราคาทองคำในตลาดทองของไทยแตะระดับสูงเกินระดับ 12,900 บาท/บาท สอดคล้องกับราคาทองคำในตลาดโลกที่ทำสถิติใหม่ แตะระดับ 700 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ สูงสุดในรอบ 26 ปี o อุปสงค์เพื่อการลงทุนเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ขณะที่ความต้องการในรูปเครื่องประดับหดตัวลงอย่างมาก เนื่องจากราคาทองคำที่สูงขึ้นทำให้มีผลต่อการบริโภคในระยะสั้น o ปริมาณความต้องการทองคำเพื่อการลงทุนแม้จะหดตัวลงจากปีก่อนแต่ยังอยู่ในระดับสูง ส่วนด้านมูลค่ามีการขยายตัวในระดับที่สูง และเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของอุปสงค์โดยรวม o นักลงทุนสถาบันต่างๆ เริ่มมาลงทุนในทองคำ ทั้งกองทุนที่ลงทุนด้านทองคำโดยเฉพาะ และกองทุนสวัสดิการต่างๆที่หันมาถือครองทองคำในระยะยาว รวมทั้งธนาคารกลางต่างๆ ขายทองคำลดลง o อุปทานทองคำในตลาดโลกแม้ว่าจะลดลงตามความต้องการที่ลดลงแต่ก็มีความสมดุล อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตทองคำจากเหมืองที่เปิดใหม่ในปี 2548 นั้นใกล้จะถึงระดับเต็มกำลังการผลิตแล้ว o ราคาทองคำในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น มีปัจจัยหลักมาจากความต้องการลงทุนเป็นหลัก o ปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำได้แก่ 1. สถานการณ์ทางการเมือง 2. ราคาน้ำมันดิบ 3. ค่าเงินสหรัฐ o แนวโน้มราคาทองคำในตลาดต่างประเทศและในประเทศในปี 2549 คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงต่อไป และมีความผันผวนมากขึ้นในระยะสั้น แต่จะผันผวนน้อยกว่าปี 2523 o ราคาทองคำที่สูงมากขึ้นส่งผลให้การนำเข้าลดลง แต่ก็ทำให้การส่งออกเครื่องประดับทองคำหดตัวลงไปด้วย ข้อความหรือทัศนะที่ปรากฏในบทวิเคราะห์นี้เป็นความเห็นของกลุ่มการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค มิได้สะท้อนความเห็นของหน่วยงานที่สังกัด หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับบทความนี้ โปรดติดต่อนายปณิธาน สุขสำราญ ที่มา : กลยุทธ์กลุ่มการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและระหว่างประเทศ {moscomment}
  15. สื่อเทศทึ่งในหลวง "Best King Ever" วันเสาร์ที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๙ ความ ยิ่งใหญ่และความจงรักภักดีของปวงชนชาวไทยที่แสดงออกต่อพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ที่ดำเนินมาตั้งแต่วันที่ 9-13 มิถุนายนรวมทั้งการเสด็จร่วมงานเฉลิมพระเกียรติของประมุขและตัวแทนราชวงศ์ ต่างชาติ 25 ประเทศ ได้รับการเผยแพร่ออกสู่นานาประเทศผ่านการนำเสนอข่าวของสื่อต่างชาติค่าย น้อยใหญ่ทั่วโลก เริ่มจากสำนักข่าวพีเพิลส์ เดลี ออนไลน์ของจีน เกาะติดข่าวรายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินยังพระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อทรงร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และในการรับเสด็จสมเด็จ พระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีต่างประเทศที่ทรงเข้าร่วมงานครั้งนี้ โดยพีเพิลส์ เดลี ให้ความสำคัญกับพระราชดำรัส ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งว่า การทะนุบำรุงประเทศชาตินั้น มิใช่เป็นหน้าที่ของผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ หากเป็นภาระรับผิดชอบของคนไทยทุกคน ที่ต้องขวนขวายกระทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อธำรงรักษาชาติบ้านเมืองให้เจริญมั่นคงและผาสุกร่มเย็น "ข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง จึงมีภาระหน้าที่เช่นเดียวกับคนไทยทั้งมวล" สำนัก ข่าวบรูไดเร็กต์ รายงานการเสด็จพระราชดำเนินของ สมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี อัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ และสมเด็จพระราชินีราชา อิสตรี เป็งงีรัน อานัก ฮัจญะห์ ซาเลฮา ที่ทรงเข้าร่วมในพิธีถวายพระพรชัยมงคล และทอดพระเนตรขบวนเรือพระราชพิธี สมเด็จพระราชาธิบดีโบลเกียห์ทรง เป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์นานเป็นอันดับ 2 รองจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงเป็นกษัตริย์ที่มีอาวุโสสูงสุดท่ามกลางพระราชวงศ์ต่างประเทศที่มาร่วมงาน ทั้งสองราชวงศ์มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นตั้งแต่ครั้งสถาปนาความสัมพันธ์ทาง การทูตเมื่อปี 2527 และความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น เพราะมีการเสด็จเยือนของพระราชวงศ์และผู้นำรัฐบาลของทั้งสองประเทศเป็นระยะ ขณะ ที่สำนักข่าวกัลฟ์ เดลี นิวส์ ของบาห์เรน ให้น้ำหนักไปที่ขบวนเรือพระราชพิธี ซึ่งนับเป็น การแสดงที่อลังการของประเทศที่มีประเพณีเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ "กัลฟ์ เดลี นิวส์" ตั้งข้อสังเกตว่า ก่อนหน้าที่ขบวนเรือจะเคลื่อนได้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่ในที่สุดท้องฟ้าก็แจ่มใสขึ้นก่อนขบวนเรือพระราชพิธีจะเริ่มต้นเพียงเล็ก น้อย เว็บไซต์สำนักข่าวต่างประเทศชั้นนำของโลก อาทิ บีบีซีและซีเอ็นเอ็น ต่างให้ความสนใจเกาะติดพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อเนื่อง เว็บไซต์ บีบีซี ได้จัดทำรายงานพิเศษหลายชุด อาทิ "In pictures" ซึ่งให้หัวเรื่องว่า "Best King Ever" ถ่ายทอดความรู้สึกเทิดทูน และจงรักภักดีของคลื่นมหาชนชาวไทยเรือนล้าน แห่แหนไปรอเข้าเฝ้าฯชมพระบารมี ระหว่างเสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชรพระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2549 "Life in pictures" บอกเล่าพระราชกรณียกิจนับจากเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ การเสด็จออกเยี่ยมเยียนประชาชนในพื้นที่ชนบทที่ยากจน และทรงมีบทบาทสำคัญในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตทางการเมืองในประเทศไทย ขณะ ที่สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นนำบทความเรื่อง "Thailand King "s got that swing" ของสำนักข่าวเอพีมาตีพิมพ์เผยแพร่ในเว็บไซต์ โดยบอกเล่าพระอัจฉริยภาพด้านดนตรี โดยเฉพาะดนตรีแจ๊ซ บทความชิ้น นี้ได้เกริ่นนำว่า "สำหรับคนไทยจำนวนมากแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นเสมือน "พ่อของแผ่นดิน" แต่สำหรับ นักดนตรีแจ๊ซกลุ่มเล็กๆ พระองค์ยังทรงเป็น "กษัตริย์แห่งสะวิงแจ๊ซ" เนื้อ ความตอนหนึ่งระบุว่า "...ทุกวันเสาร์ พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รัก พระชนมายุ 76 พรรษาของไทย จะทรงเป่าแซกโซโฟนร่วมกับนักดนตรีชาวไทย 10 ท่าน นอกจากนี้ พระองค์ยังเคยทรงเล่นดนตรีแจ๊ซร่วมกับนักดนตรีที่ถือเป็นตำนานของวงการอย่าง เบนนี กู๊ดแมน สแตน เกตซ์ ไลโอเนล แฮมป์ตัน และ เบนนี คาร์เตอร์ ขณะที่ บทความของเอพีได้คัดพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯตอนหนึ่ง ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ไว้เมื่อปี 2539 ว่า "...พระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาวิชาดนตรีระหว่างทรงศึกษาอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ เป็นเวลาหลายปี ในครั้งนั้น พระองค์ทรงตัดสินใจว่า จะทรงเล่นทรัมเป็ต หลังได้ทรงรับฟังการเล่นดนตรีของวงดนตรีวงหนึ่ง ที่รีสอร์ตริมเชิงเขาแห่งหนึ่ง แต่พระราชชนนีทรงเห็นว่า ทรัมเป็ตเป็นเครื่อง ดนตรีที่ต้องใช้กำลังในการเล่นมากเกินไป จึงทรงประนีประนอมยอมให้พระองค์เล่น แซกโซโฟนได้" สำนักข่าวซีเอ็น เอ็นยังเผยแพร่รายงานข่าวการเสด็จร่วมงานเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากประมุขและพระราชวงศ์ต่างชาติ ในเว็บไซต์ ซีเอ็นเอ็น เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. โดยกล่าวถึงพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า พระองค์ทรงดำรงไว้ซึ่งสถานะพระมหากษัตริย์ในระบบรัฐธรรมนูญที่ใช้พระราช อำนาจผ่าน 3 สถาบันหลัก คือนิติบัญญัติ ตุลาการ และบริหาร เป็น กษัตริย์ผู้ทรงใช้บารมีอันเป็นที่เคารพรักโน้มน้าวให้ฝ่ายต่างๆ ลดทิฐิและหันหน้าเข้าหากัน ในขณะที่สังคมไทยกำลังประสบกับปัญหาการเมืองภายในประเทศ และพระองค์ยังทรงเป็นกษัตริย์ผู้ได้รับความจงรักภักดีและดำรงไว้ซึ่งสถานะ ของระบอบพระมหากษัตริย์ที่เข้มแข็งที่สุดในบรรดาประเทศแถบเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ ขณะที่ แดนนี่ กิ้ตติ้งส์ รองบรรณาธิการข่าวเอเชียจาก น.ส.พ. เดอะ วอลล์สตรีต เจอร์นัล ได้กล่าวถึงสถานะความยิ่งใหญ่และความจงรักภักดีของประชาชนชาวไทยต่อพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ในบทความ เรื่อง "A King for All Season" ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ว่า การแสดงออกอย่างเด่นชัดในเช้าวันที่ 9 มิ.ย. หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อปวงชนชาวไทยเรือนแสนร่วมใจกันสวมเสื้อเหลืองรอรับเสด็จฯและร่วมกัน เปล่งคำถวายพระพร "ทรงพระเจริญ" อย่างกึกก้องนั้น เป็นการแสดงออกถึงความรักและความเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทย ทั้ง ยังได้หยิบยกคำพูดของ นายชาร์ลส เมห์ล ชายชาวอเมริกัน เจ้าหน้าที่ในโครงการแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ที่ระบุว่า ประชาชนชาวไทยทุกคนรักในหลวงมาก และพวกเขายินดีที่จะตายเพื่อพระองค์ มากล่าวถึงด้วย http://www.matichon.co.th/prachachart/prachachart_detail.php?s_tag=02p0104150649&day=2006/06/15 {moscomment}
  16. Big Gold Sell-Off in Next Three Months By Charlotte Mathews 19 Jun 2006 at 12:11 PM EDT JOHANNESBURG (Business Day) -- Signatories to the second Central Bank Gold Agreement could sell 209 tonnes of gold in the next three months, compared with 291 tonnes sold in the first nine months of this year, according to the latest World Gold Council data. Total end-user demand for gold in the first quarter was 835,7 tonnes, of which 534,8 was from the jewellery industry, 104,8 from industrial and dental users, and 196,1 from investors. The second Central Bank Gold Agreement, covering the five years to September 2009, provides for its 10 signatories altogether to sell a maximum of 500 tonnes of gold a year. The first agreement, covering the five years to September 2004, provided for 2000 tonnes to be sold in that period. The agreements were intended to remove the destabilising effect on the gold market of uncertainty about central banks' selling plans. A council spokesman said on Thursday that the council expected sales in the current year of the agreement to be at or close to the 500-tonne annual limit. It was not yet certain whether sales in the later years would reach the limit. The statistics show the biggest sellers of gold among the signatories this year to be France, the Netherlands and the European Central Bank. Although central banks' policy decisions to sell down gold reserves were a major factor depressing the gold price in the past 20 years, gold bulls suggest the policies could change. It was speculated that even if European and North American central banks continued to sell, the Middle and Far East could build up gold reserves as a defence against a weakening dollar. But the council's latest quarterly report on world official gold holdings shows tonnages held by China, Taiwan, India, Lebanon, Saudi Arabia, Indonesia and Kuwait remain unchanged. Morocco and Jordan reduced theirs. {moscomment}
  17. Newmont บอกทองคำจะกลับมาอีกหลังเดือนกันยายน เขียนโดย ระพิน ใจดี วันพุธที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๔๙ By News wire reports June 26, 2006 ทองคำจะฟื้นกลับมาอีกครั้งหลังเดือนกันยายน จากดอลล่าร์อ่อนค่า Pierre Lassonde ประธาน Newmont Mining Corp ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองทองยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของโลก กล่าวแสดงความเห็น ราคาทองคำได้ตกลงไป 20% จากระดับราคาสูงสุดในรอบ 26 ปีเมื่อเดือนที่แล้ว โดยมีเหตุบางส่วนจากการที่ดอลล่าร์ดีดกลับขึ้นมา ทำให้โลหะมีค่าลดความน่าสนใจในการเป็นทางเลือกในการลงทุนไป ดอลล่าร์น่าจะต้องลดลงไปอีกอย่างน้อย 30% เมื่อเทียบกับเงินสกุลต่างๆ Lassonde กล่าวให้สัมภาษณ์ในสวิสเซอร์แลนด์ ทองคำยังเพิ่งจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นของภาวะกระทิง และสิ่งที่ทำให้มันเป็นเช่นนั้นคือ US ดอลล่าร์ การที่ราคาทองหล่นลงตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้วเป็นแค่ การปรับฐานเล็กๆครั้งหนึ่ง และในเดือนกันยายนมันก็จะจบสิ้นแล้ว ราคาทองคำอาจจะแตะระดับ 850$ ในปีหน้าถึง 18 เดือนแล้วจะไต่ระดับขึ้นไปถึง 1000$ ระหว่างภาวะกระทิงของตลาดซึ่งอาจจะคงอยู่ต่อไปราว 5-10ปี เขากล่าว โดยทองคำได้เริ่มไต่ระดับมาจากระดับต่ำสุดในรอบ 20ปี เมื่อปี 1999 ที่ 251.95$ Lassonde ผู้ที่มองข้ามผลผลิตจากเหมือง 200 ตันเมื่อปีที่แล้ว กล่าวว่า Newmont ไม่ได้เตรียมวางทางหนีทีไล่ในการขายทองคำและก็ไม่มีแผนเพราะเขาเชื่อในภาวะกระทิงของทองคำ US ดอลล่าร์จะอ่อนค่าลงเพราะความย่ำแย่ในการขาดดุลบัญชีของอเมริกา Lassonde ผู้ซึ่งเป็นประธานของ World Gold Council ด้วย กล่าวแสดงความเห็น ขึ้นอยู่กับดอลล่าร์ การขยายเพิ่มขึ้นของการขาดดุลของอเมริกา หมายถึงการที่ต้องใช้ดอลล่าร์มากขึ้นในการแปลงเป็นเงินสกุลอื่นเพื่อจ่ายเป็นค่านำเข้าสินค้า และมันยังชี้ว่า ดอลล่าร์จำเป็นต้องอ่อนค่าลงไป เพื่อทำให้ผู้ส่งออกของอเมริกาส่งออกได้ถูกลงและนำเข้าแพงขึ้นเพื่อปิดช่องว่าง การขาดดุลการค้าของอเมริกา มีปริมาณมหาศาลเกิน 800 ล้านดอลล่าร์เป็นครั้งแรก ในปี 2005 ประมาณ 80% ของการค้าทองคำเกิดในอเมริกา ดอลล่าร์จะต้องตกลงไปถึงระดับที่มั่นคง และเวลานั้นจะทำให้ทองคำเพิ่มค่า Newmont มีฐานที่ Denver เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลกปีล่าสุด ก่อนหน้านี้คือ Barrick Gold Corp ที่มีฐานในโตรอนโต โดย Newmont ได้ใช้เงิน 1 หมื่นล้านดอลล่าร์ซื้อคู่แข่งคือ Placer Dome Inc. ทำให้ปีนี้กลายมาเป็นบริษัทเหมืองที่ใหญ่ที่สุด Newmont says gold rally will resume after September By News wire reports June 26, 2006 Golds rally will resume after September as the dollar declines, said Pierre Lassonde, the president of Newmont Mining Corp., the worlds second-largest gold producer. Gold has dropped 20 percent from a 26-year high last month, partly as the dollar rebounded, reducing the appeal of precious metals as an alternative investment. The dollar still has to decline at least 30 percent against a basket of currencies, Lassonde said today in an interview in Switzerland. "Gold is still early in the bull market and what makes it so is basically the U.S. dollar," Lassonde, 59, said at the London Bullion Market Association conference in Montreux, Switzerland. The drop in gold prices since last month was "a mini-correction. By September it will all be over." Gold for immediate delivery rose 80 cents, or 0.1 percent, to $582.25 an ounce at 3:36 p.m. London time. Prices may touch $850 in the next year to 18 months and then climb over $1,000 during a bull market which may last five to 10 more years, he said. Gold has climbed from a 20-year low of $251.95 in 1999. Lassonde, who oversaw gold production of 200 tons in mines last year, says Newmont doesnt hedge its gold sales and has no plans to because hes "bullish" on gold. The U.S. dollar will weaken because of the worsening U.S. current-account deficit, said Lassonde, who is also chairman of the World Gold Council. Depending on Dollar A widening U.S. deficit means more dollars need to be converted into foreign currency to pay for imports. It also indicates the dollar may need to weaken to make U.S. exports cheaper and imports more costly to close the gap. The U.S. current-account deficit, the broadest measure of trade, surpassed $800 billion in 2005 for the first time. About "80 percent of golds moves has to do the U.S. dollar," Lassonde said. The dollar has to fall to stabilize the current-account deficit and "that at the end of the day is going to make gold more precious." Denver-based Newmont Mining was the worlds largest gold producer last year before Barrick Gold Corp., based in Toronto, spent $10 billion buying rival Placer Dome Inc. this year to become the largest. ที่มา: http://www.rockymountainnews.com/drmn/money/article/0,2777,DRMN_23908_4802469,00.html {moscomment}
  18. ''เวเนซูเอลา''ชี้งดส่งน้ำมันดิบให้สหรัฐฯราคาทะลุ 100 ดอลล์/บาร์เรล วันอังคารที่ ๐๔ กรกฏาคม ๒๕๔๙ ผมเข้าไปอ่านข่าวจากเว็บบอร์ดสมาคมค้าทองคำ เห็นคุณ JJ Post ข่าวนี้ไว้เลยนำมาให้อ่านกันนะครับ http://www.goldtraders.or.th/webboard/index.php?topic=246.from1151891172;topicseen#msg2581 ''เวเนซูเอลา''ชี้งดส่งน้ำมันดิบให้สหรัฐฯราคาทะลุ 100 ดอลล์/บาร์เรล "เวเนซุเอลา"เตรียมระงับการส่งน้ำมันดิบให้แก่สหรัฐ ราคาน้ำมันดิบจะทะลุระดับบาร์เรลละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นอีกบาร์เรลละ 20-30 ดอลลาร์สหรัฐ กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ประธานาธิบดีฮิวโก ชาเวซ ของเวเนซุเอลาระบุว่า หากเวเนซุเอลาระงับการส่งน้ำมันดิบให้แก่สหรัฐ ราคาน้ำมันดิบจะทะลุระดับบาร์เรลละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นอีกบาร์เรลละ 20-30 ดอลลาร์สหรัฐ ไม่ใช่ 11 ดอลลาร์สหรัฐตามที่รัฐบาลสหรัฐคาดการณ์ไว้ ชาเวซ ผู้ทำสงครามคำพูดกับรัฐบาลประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ของสหรัฐ ย้ำมาโดยตลอดว่าเวเนซุเอลา ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันมากเป็นอันดับ 5 ของโลกจะระงับการส่งน้ำมันให้สหรัฐหากถูกสหรัฐรุกราน คำขู่ดังกล่าวทำให้วุฒิสมาชิกริชาร์ด ลูการ์ จากรัฐอินเดียนา พรรครีพับลิกันขอให้สำนักงานบัญชีของรัฐบาลจัดทำรายงานผลกระทบหากเวเนซุเอลาระงับการส่งออกน้ำมัน ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 12 ของน้ำมันที่สหรัฐนำเข้าทั้งหมด ผู้นำเวเนซุเอลาแถลงระหว่างเยือนปานามาอย่างเป็นทางการเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานว่า หากเวเนซุเอลาระงับการส่งน้ำมันให้สหรัฐ ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากที่รัฐบาลสหรัฐคาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นบาร์เรลละ 11 ดอลลาร์สหรัฐ และจะทะลุระดับบาร์เรลละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดราคาน้ำมันดิบสหรัฐเมื่อวันศุกร์เพิ่มขึ้น 3 เซนต์ ไปปิดที่บาร์เรลละ 70.87 ดอลลาร์สหรัฐ สถิติของกระทรวงพลังงานสหรัฐระบุว่า เดือนเมษายนปีนี้สหรัฐนำเข้าน้ำมันจากเวเนซุเอลาเฉลี่ยวันละ 1.17 ล้านบาร์เรล ด้านทางการเวเนซุเอลาแจ้งว่า มีกำลังผลิตน้ำมันวันละ 3.3 ล้านบาร์เรล แต่นักสังเกตการณ์เชื่อว่าผลิตได้เพียงวันละ 2.6 ล้านบาร์เรลเท่านั้น ผู้นำเวเนซุเอลา ยืนยันว่าจะระงับการส่งออกน้ำมันให้สหรัฐต่อเมื่อถูกสหรัฐโจมตีเท่านั้น แต่ก็พยายามหาตลาดส่งออกใหม่ เช่น บราซิลและจีน รวมทั้งโน้มน้าวให้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันอย่างอิหร่านและรัสเซียเข้าไปลงทุน. โดย : eak อีเมล์ : @hotmail.com วันที่ : 2006-06-24 12:26:14 ข้อมูลจาก http://webboard.mthai.com/5/2006-06-24/246629.html
  19. Raise gold holdings, China told วันพุธที่ ๐๕ กรกฏาคม ๒๕๔๙ Raise gold holdings, China told China should take advantage of any weakness in bullion prices to build up its official gold holdings as part of a strategy for diversifying its foreign exchange reserves, a senior government economist said Monday. Tuesday, July 04, 2006 China should take advantage of any weakness in bullion prices to build up its official gold holdings as part of a strategy for diversifying its foreign exchange reserves, a senior government economist said Monday. Xia Bin, head of the financial research institute of the Development Research Center, a think tank under the Cabinet, also proposed that Beijing allow the yuan to fluctuate within a wider range against the dollar. "It is practical for China to increase its holdings of gold by choosing an appropriate time to buy, because compared with other big trading countries the percentage of gold in China's reserves is seriously low," Xia said in an article on his agency's Web site. Xia also suggested China establish an international investment fund with the aim of increasing returns from its US$900 billion-plus (HK$7.02 trillion) stockpile of reserves. Chinese individuals should be permitted to buy into the fund, which would allow them to hold foreign exchange indirectly, he wrote. The economist also recommended that China could use part of the foreign reserves to support its companies in carrying out mergers and acquisitions abroad, and to help them import key equipment, raw materials and core technologies. Xia also recommended that Beijing allow the yuan to trade more freely, because that would help ease pressure on monetary policy. The yuan is allowed in theory to rise or fall by 0.3 percent against the dollar on a given trading day, but in reality it has fluctuated by only a fraction of that each day since the currency was freed from a dollar peg last July. Xia said that even if China increased its exchange rate greatly, the United States would still have a large trade deficit because part of the Sino-US trade gap would be replaced by those between the United States and other southeast Asian nations. REUTERS ข้อมูลจาก http://www.thestandard.com.hk/news_detail.asp?pp_cat=22&art_id=22112&sid=8690191&con_type=1 {moscomment}
  20. N Korea tests long-range missile วันพุธที่ ๐๕ กรกฏาคม ๒๕๔๙ North Korea has test-fired at least six missiles, including a long-range Taepodong-2, despite repeated warnings from the international community. US officials said the Taepodong missile - thought capable of reaching Alaska - failed shortly after take-off, while the others fell into the Sea of Japan. The US called the tests "provocative" and Japan has announced sanctions. The UN Security Council is due to hold an emergency meeting later on Wednesday to discuss the developments. The closed UN session was requested by Japan, which said it was co-ordinating its response to the missile tests with the US and other countries. Japanese and South Korean military are on high alert in the wake of the tests, and share prices have fallen in both countries. Australia said it expected North Korea to make further test firings. Strong condemnation Pyongyang remained defiant. A foreign ministry official said such launches were a matter of national sovereignty, Japanese media reported. In the US, White House spokesman Tony Snow said the launches "demonstrate North Korea's intent to intimidate other states" and Washington would take necessary steps to protect itself and its allies. President George W Bush is sending Assistant Secretary of State Christopher Hill out to the region. Japan - one of North Korea's harshest critics, and in easy reach of a long-range missile - announced bans on the entry of North Korean officials, chartered flights and a ferry. The North Koreans have again clearly isolated themselves Tony Snow, White House press secretary In quotes: Missile reaction Diplomatic debate over tests N Korea's missile programme In the US, White House spokesman Tony Snow said the launches "demonstrate North Korea's intent to intimidate other states" and Washington would take necessary steps to protect itself and its allies. President George W Bush is sending Assistant Secretary of State Christopher Hill out to the region. Japan - one of North Korea's harshest critics, and in easy reach of a long-range missile - announced bans on the entry of North Korean officials, chartered flights and a ferry. See the possible range of North Korea's missiles In South Korea - which has been anxious to promote reconciliation with its unpredictable northern neighbour - the government called an emergency cabinet meeting soon after the tests took place. South Korea has consistently opposed the imposition of sanctions, but in recent days it warned of cutting food aid to the North should the missile tests go ahead. Analysts said the firing - North Korea's first test of a long-range missile since a self-imposed moratorium in 1999 - would also seriously damage prospects for stalled international talks on the North's nuclear programme. Heightened alert According to US officials, the North fired at least six missiles over a four-hour period, beginning at 0332 Japan Time (1832 GMT). South Korea has confirmed that five of the missiles were medium-range versions of the old Soviet Scud missile. The sixth was the long-range Taepodong-2, fired from the Musudan-ri missile base. The Taepodong-2 crashed 42 seconds after it was launched, according to US sources. The US and North Korea's neighbours have been on heightened alert in recent weeks amid suspicions that Pyongyang was preparing to launch the Taepodong-2, which has a range of up to 6,000 km (3,730 miles), putting parts of the US within striking distance. The BBC's Charles Scanlon in Seoul says the North has been feeling under pressure and ignored in recent months, with the US refusing to negotiate on its demands over its nuclear plans. Long-running talks over North Korea's nuclear capabilities have stalled, with six-party negotiations on the issue being repeatedly postponed as neither Washington nor Pyongyang are prepared to give ground. North Korea may see this action as a way to get attention and break the diplomatic log jam, our correspondent adds. The tests came as the US celebrated its Independence Day holiday and launched the space shuttle from Florida. The last time North Korea tested a long-range missile was in 1998, when it launched a Taepodong-1 over northern Japan.
  21. Bank of Portugal sells 15 tonnes of gold 07/04/06 11:12 am (GMT) LISBON (AFX) - The Bank of Portugal said it has sold 15 tonnes of gold from its reserves in the last few months. The bank said the sales were aimed at diversifying its external reserves, with the proceeds to be kept in a special reserve at the central bank. Last December, the bank sold 10 tonnes of gold. The sales were carried out as part of the European Central Bank's agreement on gold sales which limits annual gold sales to 500 tonnes up to 2009. newsdesk@afxnews.comอีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน afp/jlw/lam ข้อมูลจาก http://www.forextv.com/FT/AFX/ShowStory.jsp?seq=127531
  22. ดอลล่าร์ตกต่ำ ทองคำ จะไปถึงไหน เขียนโดย ระพิน ใจดี วันเสาร์ที่ ๐๘ กรกฏาคม ๒๕๔๙ www.moneyweek.com โดย Paul van Eeden. 07.07.2006 จากความคาดหมายที่ FED ได้ขึ้นดอกเบี้ยข้ามคืนเมื่อวันพฤหัส 0.25% เป็น 5.25% แทนที่จะส่งดอลล่าร์ขึ้นกลับดิ่งลง ในคำแถลงเพิ่มเติมของ FED ที่ดูจะชี้ให้เห็นทัศนคติของการที่จะขึ้นดอกเบี้ยต่อไปลดความแข็งกร้าวลงและจะพิจารณาทั้งทางด้านเงินเฟ้อและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจคู่กันไปนับตั้งแต่มีสัญญานการชะลอตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจ นี่หมายถึงการจบการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ด้วย ดังนั้นดอลล่าร์จึงตก ราคาทองคำขึ้นในทิศทางตอบสนองต่อการอ่อนของค่าเงินดอลล่าร์ และการสิ่งที่ได้เห็นโดยบังเอิญ ตลาดทองคำมักจะนำไปเป็นบทสรุปที่สิ่งที่แย่ที่สุดเบื้องหลัง อย่างไรก็ตาม ฉันยังคงระมัดระวังเพราะราคาของโลหะพื้นฐานโดยรวมยังคงสูงเกินจริงตามความเห็นส่วนตัวและเมื่อราคาโลหะพื้นฐานตกลง พวกมันจะลากเอาทองคำตามลงไปด้วยชั่วคราว เพราะว่าสถาบันการลงทุนต่างๆหลายแห่งที่ซื้อโภคภัณฑ์ตามไอเดียซุปเปอร์ไซเคิลหรือภาวะกระทิงที่จะอยู่อย่างยาวนาน ก็จะซื้อทองคำไว้ด้วย และถ้าขาย พวกนี้จะขายทั้งกระดาน ด้านบวกของทองคำคือแรงกดดันต่อการขึ้นของ US ดอลล่าร์ จากการคาดการณ์โดยส่วนตัวแล้ว ดอลล่าร์จะต้องตก โดยเฉลี่ยราวๆสัก 35% ในข้อคิดเห็นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ฉันได้อ้างถึงองค์กร the Organization for Economic Co-operation and Development (OECD) ที่ได้กล่าวไว้ในนิตยสาร Forbes ว่า ดอลล่าร์จะต้องตกลงไปราว 35% ถึง 50% เพื่อสร้างสมดุลย์บัญชีของอเมริกา เมื่อสัปดาห์ที่แล้วฉันเห็นบทความอ้างถึง Daniel Gros ผู้อำนวยการของ the Centre of European Policy Studies (CEPS) กล่าวว่า ความผิดพลาดในดุลบัญชีการชำระเงินและการลงทุนจากนอกอเมริกาเพิ่มขึ้นถึง 2.7 ล้านล้านดอลล่าร์ เขาทำนายถึงการลดค่าเงินดอลล่าร์อย่างมาก ในเดือนมีนาคม ฉันได้อธิบายว่าทั้งจีนและญี่ปุ่นต้องยอมให้ดอลล่าร์ตกและทั้งคู่ต้องไม่มีใครพยายามรักษาค่าเงินดอลล่าร์ไว้ ในความคิดเห็นหลายครั้ง ฉันได้เขียนถึงการเปลี่ยนทัศนคติของจีนเกี่ยวกับดอลล่าร์และในเดือนมีนาคม ฉันรายงานว่าญี่ปุ่นได้เปลี่ยนทัศนคติของตนเองเช่นกัน โดยการพูดถึงการสิ้นสุดนโยบายอัตราดอกเบี้ย 0% ใกล้จะมาถึง แม้ว่าจีนและญี่ปุ่นยังไม่มีการกระทำจริงๆจังๆออกมาสักอย่าง จีนยังไม่มีการปรับตะกร้าเงินสำหรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน และญี่ปุ่นก็ยังไม่เริ่มการขึ้นดอกเบี้ย ก็ไม่ได้แปลว่าความเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้น ญี่ปุ่นได้ประกาศอีกครั้งในสัปดาห์นี้ว่านโยบาย 0% จบแล้วและได้เสนอให้ธนาคารแห่งญี่ปุ่นเริ่มต้นการเพิ่มดอกเบี้ยเมื่อจบฤดูร้อนนี้ อัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นที่สูงขึ้นจะทำลายการค้าเงิน เยน-ดอลล่าร์ และนำไปสู่การเพิ่มอัตราแลกเปลี่ยน (การลดค่าเงินดอลล่าร์) Henry Paulson ผู้ได้รับการเสนอชื่อจากประธานาธิบดีบุชเป็นรัฐมนตรีคลัง บอกกับคณะวุฒิสภาว่า อเมริกาจะต้องรุกเพื่อกระตุ้นให้จีนเพิ่มความยืดหยุ่นของค่าเงินหยวน แปลตรงๆว่า จีนต้องยอมให้ US ดอลล่าร์ตก (ว่างั้นเถอะ!!!) เมื่อดอลล่าร์ตกราคาทองคำในหน่วย US ดอลล่าร์จะขึ้น และตามการคำนวณของฉัน ราคาทองคำจะขึ้นไปที่ประมาณ 1000 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ นั่นทำให้ราคาทองคำขณะนี้ที่ประมาณ 600$ ต่อออนซ์ดูน่าสนใจเอามากๆ ถ้าฉันไม่ได้ลงทุนอะไรที่เกี่ยวกับทองคำไว้ ฉันจะรีบซื้อเดี๋ยวนี้เลย แต่อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ยังมีความเสี่ยงในราคาทองคำที่อาจจะตกลงไปไกลขึ้น ก่อนที่มันในท้ายสุดจะขึ้นไปตัวเลข 3 หลัก (เอ ตอนนี้ก็ 3 หลักแล้วนี่นา สงสัยเขียนผิดรึเปล่า) เพราะฉนั้นฉันจะยังไม่ลงทุนเต็มตัวในตอนนี้ ฉันพยายามตลอดเวลาที่จะจัดวางสถานการณ์ที่ win-win ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงลงทุนในทองคำส่วนหนึ่งและถือเงินสดไว้ส่วนหนึ่ง ถ้าทองขึ้นฉันก็ Happy ถ้าทองลงฉันสามารถซื้อเพิ่มที่ราคาถูกกว่าเดิม และฉันก็ Happy ทำให้หลับง่ายและไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับราคาทองคำในสัปดาห์หน้า หรือ เดือนหน้า แปลจาก: http://www.moneyweek.com/file/15017/what-will-a-dollar-slump-mean-for-gold.html'>http://www.moneyweek.com/file/15017/what-will-a-dollar-slump-mean-for-gold.html What will a dollar slump mean for gold? 07.07.2006 As anticipated the US Federal Reserve raised the overnight interest rate on Thursday by one quarter of a percent to 5.25%. Instead of rallying on the news the dollar plummeted. In the accompanying statements the Fed seemed to indicate that its stance towards further interest rate increases has softened and it would consider both inflation and economic growth going forward. Since there are clear signs the economy might be slowing down this could mean the end of the Fed's rate hikes - hence the dollar fall. The gold price rose in direct response to the weaker dollar and a casual observation of the gold market might lead one to the conclusion that the worst is behind us. Nonetheless, I remain cautious because base metals prices are still grossly overvalued in my opinion and if base metals prices fall they could drag the gold price down temporarily. That's because many of the institutions that bought into the commodity super-cycle idea also bought gold, and if they sell, they will sell across the board. The positive for gold is that pressure on the US dollar is increasing. My own expectation is that the dollar has to fall, on average, roughly another 35%. In the May 29th Commentary I mentioned that the Organization for Economic Co-operation and Development (OECD) was quoted in Forbes as saying the dollar had to fall by 35% to 50% in order to balance the US current account. Last week I saw an article quoting Daniel Gros, a director of the Centre of European Policy Studies (CEPS) saying that accounting errors in America's balance of payments and net international investment position add up to a staggering $2.7 trillion. His prediction: A substantial depreciation of the US dollar. In March I explained that both China and Japan have to let the dollar fall as neither of the two could unilaterally keep the dollar where it is. In several commentaries I have documented China's changing stance towards the dollar and in March I reported that Japan had changed its stance as well, by saying that the end of its zero interest rate policy had arrived. However, neither China nor Japan has actually done anything substantial yet. China has not rebalanced the basket of currencies against which the renminbi exchange rate is set and Japan has not yet started raising interest rates. That does not mean changes are not coming. Japan announced again this week that its policy of zero interest rates is over and suggested that the Bank of Japan could start raising interest rates by the end of summer. Higher Japanese interest rates would kill the yen-dollar carry trade and could lead to a rise in the yen-dollar exchange rate (devaluation of the dollar). President Bush's Treasury secretary nominee, Henry Paulson, told a Senate panel that the US has to aggressively encourage China to make its currency more flexible. Translated, it means that China has to allow the US dollar to fall. As the dollar falls the gold price in US dollars will rise and according to my calculations the gold price should rise to about $1,000 an ounce. That makes the current gold price of around $600 an ounce look very attractive. If I did not own any gold related investments I would be aggressively buying right now. But, as I said earlier, there is also some risk that the gold price could fall further before it eventually rises to triple digits. Therefore I would also not be fully invested at this time. I always try to engineer win-win situations, which is why I own a lot of gold investments and I have a lot of spare cash. If the gold price goes up, I'm happy. If the gold price goes down, I can buy more at lower prices, and I'm happy. It also makes it much easier to sleep well at night and not worry about what the gold price is going to do next week or next month. http://www.moneyweek.com/file/15017/what-will-a-dollar-slump-mean-for-gold.html First published on Kitco.com (www.kitco.com) By Paul van Eeden. Paul van Eeden works primarily to find investments for his own portfolio and shares his investment ideas with subscribers to his weekly investment publication. For more information please visit his website (www.paulvaneeden.com). If you would like to read more from Paul, you can sign up to get his weekly commentary at http://www.paulvaneeden.com/commentary.php. {moscomment}
  23. ซื้อทองซะถ้าคุณเชื่อว่าดอลล่าร์จะลดค่า เขียนโดย ระพิน ใจดี วันอาทิตย์ที่ ๐๙ กรกฏาคม ๒๕๔๙ โดย Jackie Steinitz 07 Jul 2006 at 11:13 AM EDT ลอนดอน (ResourceInvestor.com) -- World Gold Council เพิ่งจะตีพิมพ์รายงานฉบับหนึ่ง โดย 2 นักวิชาการที่มีฐานในสกอตแลนด์ Eric Levin และ Robert Wright เกี่ยวกับปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดราคาทองคำทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รายงานได้บรรยายครอบคลุมถึงการศึกษาเศรษฐกิจโดยใช้เทคนิคการคำนวณที่เรียกว่า cointegration regression techniques เพื่อตรวจหาตัวกำหนดราคาทองคำที่แท้จริง ใช้ข้อมูลระหว่างปี 1833-2005 ปัจจัยสำคัญ 5 ตัวที่พบจากรายงานได้แสดงไว้ในรายการด้านล่าง และได้ขยายความต่อในส่วนถัดไป สิ่งที่พบเกือบทั้งหมดฟ้องออกมาในข้อที่ 5 คือ : ซื้อทองซะ ถ้าคุณเชื่อว่าดอลล่าร์จะลดค่าไปตามสภาพความเป็นจริง ปัจจัยหลักที่พบ 1. มีความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างราคาทองคำและระดับราคาทั่วๆไปของ US ดอลล่าร์ โดย 1% ของอัตราเงินเฟ้อที่ขึ้นมา จะนำไปสู่การเพิ่มขึ้น 1% ของราคาทองคำ 2.ไม่ว่าจะมีความเบี่ยงเบนขนาดไหน จากความสัมพันธ์ระยะยาวจากเหตุปัจจัยซึ่งกระทบกับดีมานด์และซัพพลายของทองคำ โดยเฉพาะกับเงินเฟ้อของ US และ ความแปรปรวนของเงินเฟ้อ, ความเสี่ยงทางฐานะการเงิน, อัตราแลกเปลี่ยน และ gold lease rate (อัตราสัญญาเช่าทองคำ) ความเบี่ยงเบนระยะสั้นนี้ สามารถมีระยะเป็นปีๆ และจะเป็นแค่การชะลอการกลับเข้าสู่อัตราในระยะยาว 3. ไม่มีความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญระหว่างราคาทองคำและเงินเฟ้อของโลกและความแปรปรวนของเงินเฟ้อ, รายได้ของโลก และ ดัชนีของทองคำ ( โดยเฉพาะกับดัชนี S&P500 ) 4. ทองคำสามารถทำกำไรจากการเป็นเครื่องป้องกันเงินเฟ้อระยะยาวสำหรับนักลงทุนในประเทศที่สกุลเงินเสื่อมค่าเมื่อเปรียบเทียบกับดอลล่าร์โดยมากกว่าผลต่างระหว่างอัตราเงินเฟ้อของประเทศและของ US ตามประวัติประเทศเหล่านี้ รวมถึง อินเดีย จีน ตุรกี ซาอุดิอารเบีย และ อินโดนีเซีย มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ประเทศเหล่านี้อยู่ในกลุ่มที่เป็นอันดับต้นๆที่เป็นผู้ซื้อทองคำ 5. ถ้าคุณเชื่อว่าดอลล่าร์เสื่อมค่าเมื่อเปรียบเทียบกับเงินสกุลอื่นซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ (และผู้เขียนจะให้เหตุผลที่ดีๆหลายๆเหตุผลว่าทำไมน่าจะเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่าผลสุดท้ายจะเกิดเมื่อไหร่และปริมาณเท่าใด) ดังนั้น ผู้ถือครองทรัพย์สินในรูปของ US ดอลล่าร์ ควรจะทำกำไรจากการถือครองทองคำ เพราะ * การลดค่าเงินดอลล่าร์จะทำให้ราคาทองคำถูกลงสำหรับนักลงทุนนอก US ซึ่งจะเพิ่มความต้องการทองคำและดังนั้นราคาทองคำในหน่วย US ดอลล่าร์จะเพิ่ม * การลดค่าเงินดอลล่าร์จะเพิ่มเงินเฟ้อของ US ทองคำจะแสดงบทเป็นเครื่องป้องกันเงินเฟ้อ เงินเฟ้อเป็นปัจจัยระยะยาวที่กำหนดราคาทองคำ ผู้เขียนสันนิษฐานว่า ราคาของทองคำระยะยาวควรจะขึ้นตามเส้นซึ่งเป็นพื้นฐานจากเงินเฟ้อ เพราะมันสัมพันธ์กับขอบเขตของราคา พวกเขาได้ทดสอบทั้งเงินเฟ้อของ US และเงินเฟ้อโลกเป็นตัวแปรในการอธิบายและพบว่า * ระดับราคาเงิน US เป็นตัวทำนายที่ดีที่สุด ซึ่งการเพิ่มขึ้น 1% ของราคาเงิน US จะนำไปสู่การเพิ่มขึ้น 1% ของราคาทองคำ (ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%) พวกเขาสรุปว่า ทองคำมีผลชะงัดในการป้องกันเงินเฟ้อ * หลังจากการตกใจอย่างแรง มันจะใช้เวลานานในการกลับมาสู่ความสัมพันธ์ระยะยาว ระยะการแก้ไขความผิดพลาดอยู่ที่ประมาณ 0.019 หมายถึงความผิดพลาดในแต่ละเดือนจะลดลง 2% จากเดือนก่อนหน้า ดังนั้น หลังจาก 5 ปี 2/3 ของความเบี่ยงเบนจากความสัมพันธ์ระยะยาวจะได้รับการขจัด ตามกราฟด้านล่างที่นำมาจากรายงาน แสดงถึงความสัมพันธ์ระยะยาว ในปี 1833 ราคาทองคำอยู่ที่ 20.65$ ต่อออนซ์ ซึ่งมีค่าเท่ากับ 415$ ในปี 2005 และราคาจริงในปี 2005 ก็อยู่ที่ 445$ แสดงโดยนัยว่า มีความแตกต่างน้อยมากกับราคาจริงในช่วง 172 ปี กราฟยังแสดงชัดเจนถึงเวลาที่ขยายออกไปเมื่อทองคำได้เคลื่อนหนีจากความสัมพันธ์ระยะยาวกับเงินเฟ้อและเมื่อปัจจัยระยะสั้นเข้ามากำหนดราคา ปัจจัยระยะสั้น Levin และ Wright ตั้งสมมุติฐานว่าการเคลื่อนของราคาในระยะสั้นถูกกำหนดโดยดีมานด์และซัพพลายที่ซึ่ง * ซัพพลายระยะสั้นของทองคำขึ้นกับปริมาณจากผู้ผลิตทองคำ ไม่ว่าจะผ่านการเช่าทองคำหรือการสกัด และด้วยความเต็มใจของธนาคารกลางที่จะให้เช่าทองคำ โดยขึ้นกับหลายปัจจัยเช่นอัตราการเช่า ดอกเบี้ยการเช่า ระดับของความวุ่นวายทางการเมืองและการเงิน * ดีมานด์ของทองคำขึ้นกับความต้องการการใช้ (สำหรับ จิวเวลรี่ เหรียญตรา ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อื่นๆ) ซึ่งจะสวนทางกับราคาทองคำ, และความต้องการทองคำเพื่อการลงทุน ส่วนหลังนี้ได้รับอิทธิพลจากความคาดหวังเกี่ยวกับเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย, ความกลัว, ผลตอบแทนของสินทรัพย์อื่นและการขาดความสัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่น, และอัตราดอกเบี้ยจริง (ซึ่งนี่เป็นต้นทุนในการถือทองคำ) พวกเขาได้ทดสอบอิทธิพลของตัวแปรที่จะอธิบายตามมาต่อราคาทองคำในระยะสั้น โดยใช้เทคนิคการคำนวณที่เรียกว่า cointegration regression techniques กับข้อมูลรายเดือนของปี 1976-2005 1. เงินเฟ้อของ US และของโลกและความแปรปรวน: บนฐานที่ว่า การเพิ่มขึ้นของตัวแปรเหล่านี้จะเพิ่มความจำเป็นของการป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อซึ่งส่งผลต่อดีมานด์และราคาของทองคำ 2. รายได้ของโลก: การเพิ่มรายได้อาจเพิ่มความต้องการจิวเวลรี่ทองคำ 3. อัตราแลกเปลี่ยนดอลล่าร์ การตกของค่าเงินดอลล่าร์จะทำให้ราคาทองคำถูกลงสำหรับนักลงทุนที่อยู่นอก US ดอลล่าร์ 4. อัตราเช่าทองคำ: เป็นตัวแทนอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของโลกและเป็นต้นทุนในการถือทองคำ มันยังเป็นปัจจัยสำคัญในทางฝั่งด้านซัพพลาย 5. ดัชนีสถิติของทองคำ (สัมพันธ์กับดัชนี S&P500): ซึ่งกำหนดดีมานด์หลักทรัพย์สำหรับทองคำ ถ้าลดลงหลักทรัพย์จะแปนปรวน 6. ความเสี่ยงฐานะทางการเงิน: การเพิ่มขึ้นของความสับสนทางการเงินและความเสี่ยงทางการเงินจะเพิ่มความต้องการทองคำแต่จะลดความเต็มใจของธนาคารกลางในการให้เช่าทองคำ 7. ความเสี่ยง (ที่วัดโดยดัชนีความเสี่ยงทางการเมืองทั่วโลก): ความเสี่ยงที่มากขึ้นทางการเมืองจะเพิ่มความดีมานด์หรือความต้องการทองคำและลดซัพพลาย ปัจจัยสำคัญที่สุดที่พบคือ ความสัมพันธ์กับเงินเฟ้อของ US, ความแปรปรวนและความเสี่ยงทางการเงิน และความสัมพันธ์ด้านกลับกับอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราเช่าทองคำ ส่วนรายได้ของโลก เงินเฟ้อโลก และดัชนีสถิติของทองคำพบว่าไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ดัชนีความเสี่ยงทางการเมืองพบว่าจำเป็นต้องมีการตรวจสอบหาความจริงเพิ่มเติม จากที่มีมา 10 ช่วงเวลา แต่ละช่วงเดือน ตัวแปรไม่สามารถอธิบายความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของราคาทองคำได้ อย่างราคาร่วงปี 1999 เป็นตัวอย่าง ที่เริ่มจากข้อตกลงของธนาคารกลางในครั้งแรก ส่วนช่วงอื่นๆ มีความชัดเจนน้อยกว่า ความสำคัญของความเสี่ยงในราคาน้ำมันโดยใช้ดัชนีย่อยของความเสี่ยงทางการเมืองจาก 10 อันดับต้นของประเทศผู้ผลิตน้ำมันลบด้วยของ US ความเปลี่ยนแปลงของระดับราคา US ดอลล่าร์พบว่าสำคัญมากที่สุดเชื่อถือได้ 36% ตามด้วยอัตราแลกเปลี่ยน 18% ทองคำในฐานะเครื่องป้องกันความเสี่ยงสำหรับนักลงทุนที่ไม่ใช่ของ US Levin และ Wright แสดงกราฟสำหรับผู้ซื้อและผู้ผลิตหลักของทองคำซึ่งแสดงหรือ ไม่ก็ตาม ทองคำได้เป็นเครื่องป้องกันเงินเฟ้อที่ดี ตัวอย่างกราฟด้านล่างแสดงทองคำอินเดียมีผลดีมากในการป้องกันเงินเฟ้อใน 30 ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำในปี 1976 อยู่ราวๆ 1100 รูปี ตั้งแต่นั้นราคาได้ขึ้นมาประมาณ 10 ครั้ง แนวป้องกันเงินเฟ้อขณะนี้ต้องมีมูลค่าประมาณ 11000 รูปี แต่ยังไงก็ตาม ทองคำขึ้นไปเกิน 20000 รูปี ในปี 2005 และเพิ่มมากกว่าราคาเงินเฟ้อเสมอ กราฟหลายตัวแสดงให้เห็นว่าทองคำมีผลดีในการป้องกันเงินเฟ้อในหลายประเทศ รวมทั้งจีน และ ซาอุดิอารเบีย เช่นเดียวกับ ประเทศที่ประสบกับเงินเฟ้อสูงมากเช่นตุรกีและอินโดนีเซีย แต่กระนั้นก็ตาม บางประเทศอย่างเช่นออสเตรเลีย และญี่ปุ่น กลับไม่มีผลอะไร แทนที่จะเป็นทองคำ นักลงทุนอินเดียได้ซื้อสินทรัพย์ในรูปดอลล่าร์ ซึ่งคงพอใจกับการขึ้นเช่นกันกับทองคำแต่ผลตอบแทนเพิ่มเติมในรูปดอกเบี้ยและขจัดความเสี่ยงในราคาทองคำไป อย่างไรก็ดีนักลงทุนเสียประโยชน์จากการสวมจิวเวลรี่ ผู้เขียนสรุปว่า อาจมองได้ว่า ดอกเบี้ยของดอลล่าร์ดีกว่าที่ทองคำให้ ยังไม่มีการคาดการณ์การลดลงของค่าเงินดอลล่าร์เมื่อเทียบกับรูปี อย่างไรก็ดี ส่วนถัดไปจะให้เหตุผลถึงการลดค่าเงินดอลล่าร์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และนั่นเป็นเหตุที่นักลงทุนอินเดียจะอยากถือทองคำมากกว่า การลดค่าเงินดอลล่าร์ ผู้เขียนอ้างถึงความเห็นของนักวิเคราะห์ที่มีมากขึ้นว่าการลดค่าเงินดอลล่าร์มีโอกาสเกิด บางส่วนเพราะการเพิ่มขึ้นอย่างมากของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีน และบางส่วนเพราะการขาดดุลบัญชีอย่างมากอยู่แล้วของอเมริกาซึ่งดูจะแย่ลงอีก (พวกเขาอ้างถึงรายงานของ OECD ซึ่งให้ 5 เหตุผลของการความคาดการขาดดุลบัญชีที่แย่ลงและ 14 การประเมินราคา ช่วง 12-90% ของการลดค่าเงินดอลล่าร์นั้นจำเป็นต่อการคืนความสมดุลย์) ในรายงาน ผู้เขียนไม่ได้อธิบายถึงความนุ่มนวลหรือความแข็งกระด้างของการลงของดอลล่าร์และขอบเขตของการลดค่า พวกเขากล่าวว่ามันเพียงพอที่จะพูดได้ว่าดีกรีที่มีนัยสำคัญต่อการลดค่าจะทำให้เกิดผลกระทบที่ใหญ่และกว้างต่อสินทรัพย์ทางการเงินรวมทั้งทองคำ ในกรณีนี้ พวกเขาอ้างว่า ผู้ถือครองสินทรัพย์ US จะทำกำไรจากการถือทองคำจากเหตุผลที่กล่าวข้างต้น * การลดค่าเงินดอลล่าร์จะทำให้ราคาทองคำถูกลงสำหรับนักลงทุนนอก US ซึ่งจะเพิ่มความต้องการทองคำและดังนั้นราคาทองคำในหน่วย US ดอลล่าร์จะเพิ่ม * การลดค่าเงินดอลล่าร์จะเพิ่มเงินเฟ้อของ US ทองคำจะแสดงบทเป็นเครื่องป้องกันเงินเฟ้อ มีการศึกษาทางสถิติมากมายในปัจจัยที่กำหนดราคาทองคำ Lewin และ Wright แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม: ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค, ปัจจัยการเก็งกำไรและการเคลื่อนของราคาอย่างมีเหตุผลทั้งระยะสั้นและระยะยาว และปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองและการเงินโดยมองทองคำเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง แปลจาก: http://www.resourceinvestor.com/pebble.asp?relid=21333 {moscomment}
  24. ดอกเบี้ยขึ้นทั่วโลก โอกาสดีในการซื้อ ทองคำ เขียนโดย ระพิน ใจดี วันอาทิตย์ที่ ๒๓ กรกฏาคม ๒๕๔๙ โดย Doug Casey และ Bud Conrad 20 กรกฎาคม 2006 เวลา 09:48 AM EDT STOWE, Vt. (Casey Research Advertorial) -- อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกกำลังขยับขึ้นไปเพราะเงินเฟ้อและความเสี่ยงของการไม่ยอมชำระหนี้เพิ่มสูงขึ้น ผู้ให้ยืมต้องการชดเชยโอกาสที่พวกเขาจะไม่ได้รับเงินกลับมา เมื่อเงินดูจะสูญเสียอำนาจการซื้อ ผู้ให้ยืมก็ต้องการชดเชยความสูญเสียโดยการเรียกเก็บดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นและผู้ยืมก็สมัครใจที่จะจ่ายมันในความหวังที่จะเห็นเงินลดค่าลงไปกว่าเดิม ในกรณีที่รัฐบาลเป็นลูกหนี้ ความเสี่ยงนับว่าต่ำมาก ถ้าจำเป็น ลูกหนี้อย่างรัฐบาลสามารถพิมพ์ธนบัตรเพื่อชำระหนี้ได้ตลอดเวลา ดังนั้น การขึ้นดอกเบี้ยของรัฐบาลลูกหนี้ เป็นภาพสะท้อนชัดเจนของแรงกดดันของภาวะเงินเฟ้อ และนั่นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นผลเชิงบวกต่อทองคำแน่นอน จากภาพด้านบน แสดงอัตราดอกเบี้ย 12 เดือนของรัฐบาลลูกหนี้ที่ขึ้นมา 3 ปี สัญญาณบ่งชี้การเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อสอดคล้องกับการแข็งขึ้นของราคาทองคำและโลหะเงินในช่วงเวลาเดียวกัน ภาพนี้และภาพต่อไปแสดงให้เห็นความเชื่อที่ผิดๆที่คุณได้ยินมาว่า การขึ้นดอกเบี้ยส่งผลร้ายต่อราคาทองคำ ความจริงมันเป็นตรงกันข้ามเลย กราฟจากภาพด้านบน ติดตามค่าเฉลี่ยของผลตอบแทน 12 เดือนของดอกเบี้ยที่จ่ายโดยรัฐบาลสหรัฐ,ญี่ปุ่น,แคนาดา,ออสเตรเลีย,นิวซีแลนด์,สหราชอาณาจักร,สวิสเซอร์แลนด์,สวีเดน,เดนมาร์ก และ อียู. ด้านบน เส้นสีแดงแสดงราคาทองคำที่ควรจะเป็นในปี 2006 โดยปรับค่าให้ถูกต้องตามการวัดเงินเฟ้อโดยใช้ CPI. (Consumer Price Index: ดัชนีราคาผู้บริโภค) กุญแจสำคัญในการประเมินอัตราดอกเบี้ยคือความสูงของมันหลังจากลบค่าอัตราเงินเฟ้อ ด้วยมาตรฐานดังกล่าว มันยังไม่สูงในขณะนี้ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น เงินเฟ้อก็จะสูงตามไปด้วย ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยที่บังคับใช้ยังต่ำอยู่ แต่เงินเฟ้อกำลังนำไปสู่ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ใน 12 เดือนที่ผ่านมา CPI ได้เพิ่มขึ้นไป 4.2% และถึงขณะนี้มันกำลังวิ่งอยู่ที่อัตรา 5.2% ของอัตราประจำปี 2006 และกำลังเร่งไปที่ 5.7% ใน 3 เดือนสุดท้าย ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะสั้นอยู่ประมาณ 5% มันยังคงเกือบเป็น 0 หลังจากลบกับอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยจริงแทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าต่ำกว่าที่พวกเขา(รัฐบาล)มอง เพื่อจะหลีกเลี่ยงการรายงานเงินเฟ้อที่สูง กระทรวงพาณิชย์ได้ปรุงแต่งหนังสือในช่วงไม่กี่ปีหลังนี้ ตัวอย่างหนึ่งคือการใช้ค่าเช่าที่อยู่อาศัยในการคำนวณ CPI แทนที่จะเป็นมูลค่าบ้าน โดยไม่สนใจราคาบ้านที่เพิ่มสูงขึ้น แต่จากนี้ไปการมองข้ามนี้ จะส่งผลกระทบในทางตรงกันข้าม จากการที่ค่าเช่าบ้านเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและราคาบ้านยังคงทรงตัว ยิ่งกว่านั้น อัตราค่าเช่าที่ใช้คำนวณได้หักค่าสาธารณูปโภคในค่าเช่า ดังเช่น ค่าพลังงานที่ขึ้น อัตราค่าเช่าที่คำนวณได้จึงต่ำกว่าอัตราค่าเช่าจริง เราควรเขียนหนังสือเกี่ยวกับการหลอกลวงของรัฐบาล บรรทัดสุดท้ายคือเงินเฟ้อมันสูงกว่าที่รัฐบาลบอกเรา หนึ่งในตัววัดที่ถูกจับตามองมากที่สุดที่เพิ่มขึ้นมากได้ถูกอบ(คนไทยคงเรียกว่าดอง)ไว้เรียบร้อย เมื่อประชาชนทั่วไปถูกทำให้ช๊อคจากตัวเลขเงินเฟ้อที่สูง อัตราดอกเบี้ยจะสะท้อนสิ่งนั้น เมื่อมองจากภาพดังกล่าว การร่วงลงอย่างกระทันหันและแรงของราคาโลหะมีความสำคัญเล็กๆกับนักลงทุน ทองได้วิ่งนำหน้าตัวมันเองจากแรงผลักดันของนักค้าเข้าทำกำไรแล้วก็ถูกทำให้เสียขวัญ และราคาก็หัวปักลงมา แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงภาพใหญ่ในทองคำและเงิน โลกยังจมอยู่กับทะเลหนี้ ระดับน้ำทะเลยังคงเพิ่มสูงขึ้นจากการใช้จ่ายโดยอเมริกาและรัฐบาลอื่นๆ หนี้ที่หนักของรัฐบาลออกมามาจากระบบการเลือกตั้งและการหลีกเลี่ยงการตัดค่าใช้จ่าย แม้ว่าพวกเขาจะอยากตัด เช่นกรณีสหรัฐทำสงครามกับอิสลาม ในความเป็นจริง สถานการณ์แย่เอามากๆ ยากที่จะเยียวยา ยิ่งกว่าตอนที่มันได้นำทองคำไปสู่ตลาดกระทิงในปี 1970 ย้อนไปในขณะนั้น เศรษฐกิจไม่ได้อยู่บนฟองสบู่ของบ้าน ไม่ได้วางอยู่บนปลายเข็ม เวลานั้นธนาคารกลางชาติต่างๆยังวิ่งหาดอลล่าร์ เวลานั้น คุณยังไม่มีเงินดอลล่าร์เป็นร้อยๆพันล้านในต่างประเทศ และเวลานั้น คนต่างชาติ มีจำนวนมากในเวลานี้ไม่ได้เป็นมิตรกับอเมริกา ไม่ถือเงินเป็นดอลล่าร์เป็นพันล้านเป็นทุนสำรอง ควรทำอะไรและเมื่อไหร่ ขณะที่มันยังให้ความมั่นใจ พูดอย่างนักเสี่ยงโชค มีความน่าสนใจขณะนี้กับหุ้นทองคำที่คุณภาพสูงแต่การลงทุนต่ำ เพื่อจะเห็นราคาทองคำวิ่ง จากปัญหาความวุ่นวายในตะวันออกกลาง หรือเมื่อเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธ มันสำคัญที่อย่าไปคาดหวังมากและเร็วเกินไป แม้ว่าขณะเขียนบทความ สงครามได้หยุดกลางคัน นักค้าได้ขายทองคำทิ้งเพราะความคิดเห็นที่น่าขำที่ว่า US ดอลล่าร์เป็นสกุลเงินที่เป็น"ที่พักที่ปลอดภัย" และเพราะความเข้าใจผิดที่ว่า ดอกเบี้ยที่สูงจะส่งผลร้ายต่อทองคำ ความจริงเรายังอยู่ในช่วง slow season หรือ ช่วงซบเซาของทองคำอยู่ ช่วงเทศกาลแต่งงานของอินเดียยังคงอีกเป็นเดือนหรือกว่านั้น และขณะที่วิกฤตทางการเงินที่หลีกเลี่ยงไม่ได้กำลังจะมาในไม่ช้า มันดูจะไม่ได้มาในเดือนสองเดือนนี้ ฤดูร้อนจะยังดำเนินต่อไปนานเท่าที่มันจะเป็น, กับปริมาณการซื้อขายที่เบาบางของหลักทรัพย์ทองคำและราคาที่แกว่งในตัวของมันเองเพื่อตีฝ่าการตกต่ำครั้งนี้ เพราะฉะนั้น คำแนะนำที่ดีที่สุดที่ให้ได้ ใน 2 เดือนต่อไปคือซื้อทองคำและหลักทรัพย์ทองคำเฉพาะจากในราคาที่ร่วงต่ำ ไม่ใช่จากแรงดลใจของการฟื้นตัวจากระเบิด คุณจะรู้เมื่อมันตกลงถึงจุดที่เป็นระยะต่อไปของตลาดกระทิงที่จะอยู่ชั่วชีวิต เมื่อมันเกิดขึ้นในปีหรือสองปีนับจากนี้ (ไม่แน่ใจว่าจะนานกว่านั้นไหม) เงินเฟ้อจะทะยาน การค้าในตลาดจะพินาศ ผู้ถือพันธบัตรจะทิ้งถุงเปล่าที่ถืออยู่(พันธบัตรที่ไร้ค่า) และทองคำจะซื้อขายดีในจุดสูงสุดของภาวะตลาดกระทิงที่ไม่รู้จักตาย ถ้าคุณไม่ซื้อทองคำตอนนี้ คุณอาจไม่เสียดายในเดือนสองเดือนนี้ แต่คุณจะเสียดายมันในอีกไม่นานและสำหรับส่วนที่เหลือตลอดชีวิตคุณด้วย ระหว่างเวลานี้จนถึงเวลานั้น ความมีวินัยในการเลือกซื้อเฉพาะหุ้นทองคำและเงินที่มีคุณภาพจากราคาที่ตกต่ำ คุณจะมีโอกาสที่หลากหลายในการสร้างผลตอบแทนที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคุณ แปลจาก: http://www.resourceinvestor.com/pebble.asp?relid=21783 {moscomment}
  25. Norman, Ross ได้อันดับ 1 ในการทำนายราคาในครึ่งแรกปี 2006 เขียนโดย ระพิน ใจดี วันศุกร์ที่ ๒๘ กรกฏาคม ๒๕๔๙ เก็บมาฝากครับ นาย Norman, Ross แห่ง TheBulliondesk.com ปีนี้ได้อันดับที่ 1 ในครึ่งปีแรก สำหรับคำทำนายราคาทองคำ โดยปีที่แล้วแกได้อันดับที่ 10 แต่ในปีนั้นความแม่นยำของทุกคนอยู่ระดับ 90% ขึ้นไปกันหมด ปีนี้ทุกรายไม่มีใครได้ถึง 90% มีแกโด่งมาคนเดียวที่ระดับความแม่นยำถึง 94.8% ตารางแรก ถ้าใครเคยดูที่ website น่ำเชียง คงเคยเห็นมานานแล้ว ตั้งแต่ต้นปีครับ มีแกทำนายโด่งไปถึง 760$ อยู่คนเดียว ผมเห็นแล้วยังไม่ค่อยเชื่อเลย โดยต่ำสุดอยู่ที่ 520.75$ ซึ่งใกล้ความจริงเอามากๆ (สูงสุด 732$ ต่ำสุด 536 นะ ถ้าจำไม่ผิด) ตารางถัดไปเป็นผลความแม่นยำของแกที่โด่งมาคนเดียวเลยครับ ไม่รู้มีเอี่ยวกับพวกเด็กๆหรือเปล่า 555 สุดท้าย ย้อนไปดูคำทำนายของแกสักที (ผมเคยอ่านแล้วก็ผ่านไปเลย) แกมองว่าปัจจัยที่ส่งเสริมราคาทองคำยังมีมาก ปัจจัยภายนอก เช่น การอ่อนของค่าเงินดอลล่าร์ เงินเฟ้อ ความตึงเครียดในปัญหาอิหร่าน การขึ้นดอกเบี้ยน้อยเกินไป การขาดดุลการค้าของอเมริกา หวัดนก น้ำมัน ปัจจัยภายในเช่น ความซบเซาของเหมือง ความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากการมีตลาดแลกเปลี่ยนใหม่และความสะดวกที่มีมากขึ้นจากการมีเครื่องมือช่วยในการลงทุน จาก 4 ปีหลังที่ราคาขึ้นมา 23% 25% 5% 20% ตามลำดับ ทองน่าจะเป็นขึ้นต่ออีกปี โดยเหมือนกันกับปีก่อนๆที่ครึ่งปีแรก ไม่หวือหวา แต่จะเริ่มเร่งเครื่องในครึ่งหลัง และไม่คิดว่าจะมีฟองสบู่ซึ่งมาในปี 2007 Ross Norman TheBullionDesk.com, London Range: $520.75 - $760 Average: $618 2006: arguably the toughest gold price forecast to make in a generation. Disconcertingly the market appears to have migrated from something that one could readily measure and weigh according to a reliable set of supply/demand statistics. External factors are likely to remain positive for gold: US dollar weakness, inflation, geopolitical tension (Iran), fewer US rate rises, US trade deficits, avian flu, the (non) performance of other competing asset classes and a favourable tide across the commodity complex, particularly oil. Internal factors look equally compelling: stagnating mine production, demand rising through the opening of new bullion exchanges and increased the availability of gold through structured products and other investment vehicles. In short: more of the same. After annual price rises of 23%, 25%, 5% and 20% over the last four years, we believe gold is in for another bumper year - just like the others - that is slow in the first half but accelerating in the second. We do not expect the word "gold bubble" to be in regular use - that comes in 2007. ที่มา: http://www.lbma.org.uk/publications/forecast%202006/forecast2006Norman.htm http://www.lbma.org.uk/publications/forecast%202006/forecast2006_gold.htm http://www.resourceinvestor.com/pebble.asp?relid=21609#combined {moscomment}
×
×
  • สร้างใหม่...