ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

little devil

ขาใหญ่
  • จำนวนเนื้อหา

    171
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

ทุกๆอย่างที่โพสต์โดย little devil

  1. จนท.เฟดส่งสัญญาณใกล้ยุติวัฏจักรขึ้น ด/บ โดย ผู้จัดการออนไลน์ 1 สิงหาคม 2549 19:21 น รอยเตอร์ - เจ้าหน้าที่อาวุโสเฟด ชี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯใกล้ยุตินโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ที่ดำเนินติดต่อกันมานานถึง 2 ปีแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจแดนอินทรีเริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัว อย่างไรก็ตาม เจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก ระบุระหว่างการกล่าวปราศรัยที่มหาวิทยาลัยโกลเดนเกต ในวันจันทร์ที่ผ่านมา (31 ก.ค.) ด้วยว่า เมื่อพิจารณาถึงระดับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของสหรัฐฯในปัจจุบันที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คาด ทำให้ยากที่จะระบุชัดเจนลงไปได้ว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) ของเฟดจะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้าในวันที่ 8 สิงหาคมนี้หรือไม่ เธอกล่าวต่อไปว่า นโยบายการเงินของเฟดในตอนนี้อยู่ในช่วงที่ซับซ้อนมาก เพราะเฟดจะต้องถ่วงสมดุลความเสี่ยงถึง 2 ด้าน ระหว่างการตัดสินใจที่จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและปล่อยให้ระดับภาวะเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นต่อไป กับความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจได้รับผลกระทบ หากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเกินไป เยลเลน ได้แสดงทัศนะในเรื่องนี้ว่า เธอคิดว่าอัตราดอกเบี้ยเฟดฟันด์เรตในขณะนี้ อยู่ในระดับค่อนข้างเหมาะสมแล้วเมื่อพิจารณาถึงสภาวการณ์ปัจจุบัน นั่นคือ อยู่เหนือระดับปานกลางเล็กน้อย และคาดว่า เฟดไม่น่าจำเป็นต้องดำเนินนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป จนกระทั่งถึงจุดที่ระดับภาวะเงินเฟ้อปรับตัวลดลงมาจริงๆ แล้ว ขณะเดียวกัน วิลเลียม พูล ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ เผยกับผู้สื่อข่าวภายหลังการขึ้นกล่าวปราศรัยที่เมืองหลุยส์วิลล์ มลรัฐเคนทักกี ว่า มีโอกาส 50-50 ที่เฟดจะประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 18 ในการประชุมสัปดาห์หน้า พูลตั้งข้อสังเกตว่า ข้อมูลเกี่ยวกับระดับภาวะเงินเฟ้อขณะนี้ ค่อนข้างมีแนวโน้มเอนเอียงไปในทางที่จะสร้างแรงกดดันมากขึ้นกว่าที่คาดการณ์กัน ซึ่งอาจส่งผลให้ภาระความรับผิดชอบของเฟดยุ่งยากมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ตัวเลขการเติบโตของประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งเป็นปัจจัยประการหนึ่งในการควบคุมระดับเงินเฟ้อนั้น มีแนวโน้มที่จะปรับตัวถดถอยลง หลังจากที่เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (28) มีการเปิดเผยว่า ระดับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปรับระดับลดต่ำลง พูล เสริมต่อว่า นอกจากนี้ ยังปรากฏสัญญาณอีกด้วยว่า ระดับราคาพลังงานที่ขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ ได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงราคาสินค้าอื่นๆ แล้ว ทั้งนี้ ที่ผ่านมา เฟดได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาแล้วติดต่อกันถึง 17 ครั้งตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2004 เป็นต้นมา โดยในตอนแรกเฟดมีจุดประสงค์เพื่อปรับให้นโยบายมีความสมดุลมากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้เฟดดำเนินนโยบายคงอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจมากเกินไป ต่อมาวัตถุประสงค์ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนี้ก็เปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นเพื่อควบคุมแรงกดดันด้านภาวะเงินเฟ้อแทน {moscomment}
  2. ทองคำอาจกลับไปถึง 700$ อีกครั้ง เขียนโดย ระพิน ใจดี วันศุกร์ที่ ๐๔ สิงหาคม ๒๕๔๙ ทองคำอาจกลับไปถึง 700$ อีกครั้งในครึ่งปีหลังนี้ จากราคานำมันที่พุ่งขึ้นจากความตึงเครียดในตะวันออกกลางและการชะลอการขึ้น ดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา "ตราบเท่าที่ทองคำไม่หล่นลงไปต่ำกว่า 600$ ต่อออนซ์ในเดือนนี้" โตชิมิตสึ คาวานาเบ หัวหน้านักวิเคราะห์ จาก Japanese broker Taiheiyo Bussan Co. ผู้ซึ่งใช้กราฟช่วยในการทำนายทิศทางราคาทองคำ กล่าวแสดงความเห็น ทองคำส่งมอบทันทีได้แตะระดับสูงสุดในรอบ 26 ปีที่ 730.40$ ไปเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม และได้มีการซื้อขายที่ 650$ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ต้นทุนพลังงานอาจจะเพิ่มสูงขึ้นจากการเผชิญหน้าระหว่างอิหร่านกับชาติตะวันตกในโครงการนิวเคลียร์ และการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับฮิสบอลเลาะห์ในเลบานอนที่ขยายวง อิหร่านขู่ที่จะสร้างปัญหาในการส่งออกน้ำมันจากภูมิภาค หากสถานการณ์แย่ลง ทองคำได้ขึ้นมา 49% ในปีที่ผ่านมาจากที่นักลงทุนเปลี่ยนการลงทุนจากพันธบัตรไปเป็นรูปแบบอื่น หลักทรัพย์และสกุลเงินต่างๆและราคาน้ำมันที่สร้างสถิติล้วนมีส่วนทำให้เกิดเงินเฟ้อสูง นักลงทุนบางรายซื้อโลหะมีค่าในเวลาที่เกิดเงินเฟ้อหรือความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างชาติเพื่อเป็นเครื่องป้องกันและรักษามูลค่า ราคาน้ำมันซื้อขายที่ 75.60$ ต่อบาเรลในวันพฤหัส ใกล้ระดับสูงสุด 78.40$ ที่ทำไว้เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม เงินเยนญี่ปุ่นอาจขึ้นเมื่อเทียบกับดอลล่าร์หลังจากสมาชิกกรรมการนโยบายธนาคารแห่งญี่ปุ่น นาย อ้สซุชิ มิซูโนได้ให้สัญญานว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ เงินญี่ปุ่นได้ขยับสูงขึ้นไป 1.5% นับตั้งแต่ธนาคารกลางญี่ปุ่นขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 6 ปีเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ในเวลาเดียวกัน การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาอาจจะชะลอหลังรายงานสัปดาห์ที่แล้วได่แสดงการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ลดลงไปมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ในไตรมาสที่ 2 และลดโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 3 ปัจจัยหลักที่จะนำมาใช้พิจารณาราคาทองคำได้แก่การอ่อนค่าของดอลล่าร์ ราคานำมัน และเงินเฟ้อ ทองคำตลาดล่วงหน้าได้พุ่งขึ้นไป 873$ ในปี 1980 เมื่อ ดัชนีราคาผู้บริโภค US ได้กระโดดขึ้นไปมากกว่า 12% โลหะมีค่าได้ขยับไปในทิศทางตรงข้ามกับค่าเงินดอลล่าร์ ขึ้นไป 25% ปีนี้ ขณะที่ดอลล่าร์ตกไป 8.3% เมื่อเทียบกับยูโร ราคาทองคำประมาณ 700$ ต่อออนซ์ดูจะใกล้ความเป็นจริง ณ บางจุดในส่วนที่เหลือของปีนี้ ส่วนความคิดเรื่อง 1000$ ปีนี้ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก ถ้ามันจะเกิดขึ้น น้ำมันจะต้องดันผ่านราคา 80$ ขึ้นไปถึง 100$ เขากล่าว แปลจาก: http://www.engineeringnews.co.za/eng/news/today/?show=91144 {moscomment}
  3. โสมแดงสร้างฐานจรวดเล็งยิงญี่ปุ่น พร้อมจับมืออิหร่านพัฒนาขีปนาวุธ โดย ผู้จัดการออนไลน์ 3 สิงหาคม 2549 20:31 น. เอเอฟพี - เกาหลีเหนือกำลังทำงานใกล้ชิดกับอิหร่าน ในการพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกล โดยเป็นไปได้ว่าจะใช้เทคโนโลยีจีน ขณะเดียวกัน ก็กำลังสร้างฐานยิงจรวดขนาดใหญ่ขึ้นอีกหลายแห่ง ที่เล็งเป้าหมายไปยังญี่ปุ่น ตลอดจนสิ่งปลูกสร้างทางทหารของสหรัฐฯในแดนอาทิตย์อุทัย ทั้งนี้ตามรายงานที่ถูกนำออกเผยแพร่วันนี้(3) ของสถาบันกิจการต่างประเทศและความมั่นคงแห่งชาติ (ไอแฟนส์) ของทางการเกาหลีใต้ ไอแฟนส์บอกว่า เกาหลีเหนือพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลรุ่น แตโปดอง 2 กับทางอิหร่าน โดยสอดคล้องกับการพัฒนาขีปนาวุธรุ่น ชีฮับ 5 และ ชีฮับ 6 ของฝ่ายเตหะราน นอกจากนั้น จากการที่จีนมีการค้าขายอาวุธกับอิหร่าน จึงเป็นไปได้สูงมากที่จะมีการนำเอาการออกแบบและเทคโนโลยีจากจีนมาใช้ เชื่อกันว่าแตโปดอง 2 มีศักยภาพที่จะยิงจากเกาหลีเหนือไปถึงมลรัฐอะแลสกาของสหรัฐฯ โสมแดงได้ทดสอบยิงขีปนาวุธนี้เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ซึ่งแม้ประสบความล้มเหลว โดยทะยานขึ้นไปได้ไม่เท่าใดก็ตกลงสู่ทะเล แต่ก็ทำให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ออกมติประณาม รายงานฉบับนี้กล่าวว่า ความร่วมมือกันในการพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลรุ่นนี้ เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายระหว่างประเทศ ซึ่งรวมเอาปากีสถานเข้ามาไว้ด้วย จึงทำให้เป็นไปได้ที่เกาหลีเหนือซึ่งยากจน แต่กลับสามารถพัฒนาและประจำการขีปนาวุธต่างๆ ทั้งๆ ที่ขาดแคลนทรัพยากรและดำเนินการทดสอบได้เพียงจำกัด ไอแฟนส์ชี้ว่า ด้วยจำนวนขีปนาวุธที่มีพิสัยทำการระดับต่างๆ รวมกว่า 1,000 ลูก เกาหลีเหนือจึงเป็นเจ้าของคลังแสงขีปนาวุธใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก และเป็นศูนย์กลางในการแพร่กระจายขีปนาวุธ ไม่เพียงในแง่ของตัวอาวุธเอง หากยังในแง่การแพร่กระจายเทคโนโลยีด้วย ในอีกด้านหนึ่ง รายงานฉบับนี้บอกว่า โสมแดงยังกำลังสร้างฐานยิงจรวดใต้ดินแห่งใหม่ๆ ตามแนวชายฝั่งตะวันออกของประเทศตน และนำเอาขีปนาวุธรุ่นโรดองราว 200 ลูก ซึ่งมีพิสัยทำการไกลถึง 2,200 กิโลเมตร กับขีปนาวุธ เอสเอสเอ็น 6 อีก 50 ลูก ที่มีพิสัย 2,500 - 4,000 กิโลเมตร เข้าประจำตามฐานยิงใหม่ๆ เหล่านี้ "ฐานทัพใหม่ๆ เหล่านี้จัดสร้างขึ้นอย่างเป็นกลุ่มก้อนตามแนวชายฝั่งภาคตะวันออก สำหรับขีปนาวุธพิสัยกลางและพิสัยไกล ที่เล็งเป้าหมายไปยังญี่ปุ่น และบรรดาฐานทัพสหรัฐฯในญี่ปุ่น" ยุนดุกมิน ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมอาวุธของไอแฟนส์ อ่านข้อความตอนหนึ่งให้ผู้สื่อข่าวฟัง นอกจากนั้น รายงานนี้บอกว่า เกาหลีเหนือยังเพิ่งก่อสร้างฐานยิงจรวดใต้ดินแห่งใหม่ๆ ที่อยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขาใกล้พรมแดนติดต่อกับจีน เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกภายนอกโจมตี ขณะเดียวกัน โสมแดงก็กำลังสร้างฐานบัญชาการยิงจรวดแห่งใหม่ ในบริเวณใกล้เขตปลอดทหารซึ่งประชิดเกาหลีใต้ เพื่อบัญชาการฐานยิงจรวดเคลื่อนที่ 30 แห่ง ที่สามารถปล่อยขีปนาวุธรุ่น ฮวาซอง อันเป็นจรวดประเภทเดียวกับจรวดสกั๊ด โดยจะสามารถยิงถึงเป้าหมายทางทหารและทางอุตสาหกรรมในเกาหลีใต้ {moscomment}
  4. ชาติมุสลิม สั่ง ตะวันออกกลางหยุดยิง เลบานอนดับแล้ว 900 ศพ โดย ผู้จัดการออนไลน์ 4 สิงหาคม 2549 00:24 น. เอเอฟพี จากร่างคำแถลงการณ์ขององค์การการประชุมอิสลาม (โอไอซี) เรียกร้องให้เกิดการหยุดยิงในตะวันออกกลางทันที ซึ่งคำเรียกร้องนี้ได้รับการสนับสนุนจากทางองค์การสหประชาชาติ ด้านนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย กล่าวว่า ชาติมุสลิมควรส่งกองกำลังเข้าไปในเลบานอน เพื่อรักษาสันติภาพ จากคำแถลงการณ์ของโอไอซีที่ทางสำนักข่าวเอเอฟพีเห็นนั้น มีใจความว่า เราเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาติเติมเต็มความรับผิดชอบในการรักษาสันติภาพ และความมั่นคงนานาชาติ โดยไม่ล่าช้าอีกต่อไป ด้วยการตัดสินใจและบังคับให้มีการหยุดยิงในทันที โดยทางโอไอซีจะออกแถลงการณ์ฉบับสุดท้ายต่อไปในพฤหัสบดี (3) ด้าน นายกรัฐมนตรี อับดุลเลาะห์ อะห์หมัด บาดาวี ของมาเลเซีย ซึ่งขณะนี้ดำรงตำแหน่งประธานโอไอซี กล่าวระหว่างที่ประชุมฉุกเฉิน ว่า เราไม่สามารถออกคำแถลงการณ์ประณามความรุนแรงได้อีกต่อไป เราต้องเล่นบทเชิงรุกมากขึ้นในสถานการณ์ความขัดแย้งปัจจุบัน เราต้องแสดงให้เห็นถึงความพร้อมที่จะส่งกำลังเข้าไปรักษาสันติภาพ ภายใต้สัญลักษณ์ขององค์การสหประชาชาติ มาเลเซียพร้อมแล้วที่จะทำสิ่งนั้น เราต้องเรียกร้องบทบาทของโอไอซีเพื่อเข้าไปรับบทสร้างสันติภาพหลังจากที่มีการหยุดยิง ทั้งนี้ ทางนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ยังได้กล่าวหาอิสราเอล ว่า มีจุดประสงค์ที่ มากกว่า การนำตัวทหารอิสราเอล 2 คนที่ถูกกลุ่มฮิซบอลเลาะห์จับตัวไปเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม จนเป็นบ่อเกิดของวิกฤตในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียคนนี้ยังวิจารณ์คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นที่ไม่สามารถแม้แต่จะระดมเสียงประณามอิสราเอลที่ยิงขีปนาวุธสังหารประชาชนมากมายที่หมู่บ้านกอนา และฆ่าผู้สังเกตการณ์ของยูเอ็นจำนวน 4 คน ที่หมู่บ้านเคียม ก่อนหน้านี้ เมื่อวันพุธ(2) อดีตนายกรัฐมนตรีมหาเธร์ โมฮัมหมัด แห่งมาเลเซีย เรียกร้องให้ประชาคมโลกเลิกใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯและปอนด์สเตอริงในการทำธุรกรรมการเงินทุกประเภทเพื่อกดดันให้สหรัฐฯและอังกฤษเลิกสนับสนุนอิสราเอลในการเข่นฆ่าพลเรือนเลบานอน สำหรับผลการประชุมของผู้นำชาติสำคัญองค์การโอไอซีเมื่อวานนี้ ชาติสมาชิกได้ร่วมกันออกคำแถลงกดดันให้สหรัฐฯเปลี่ยนท่าทีเลิกหนุนหลังอิสราเอลได้แล้ว พร้อมกับเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการโจมตีเลบานอนทันที เพื่อที่หลังจากนั้นจะได้จัดส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปในบริเวณดังกล่าว นอกจากนี้ ชาติโอไอซียังขอให้มีการสอบสวน"อาชญากรรมสงคราม"ที่อิสราเอลกระทำต่อเลบานอนและปาเลสไตน์ ขณะที่อิกเมลิดดิน อีห์ซานโอกลู เลขาธิการใหญ่โอไอซีแถลงว่าหลายประเทศได้แสดงความพร้อมที่จะส่งทหารไปรักษาสันติภาพในเลบานอน ในนามของยูเอ็น อีห์ซานโอกลูกล่าวว่ากองทัพนี้ควรเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังเฉพาะกิจของยูเอ็นที่รักษาสันติภาพในเลบานอน(UNIFIL) ทว่า นายกรัฐมนตรีเอฮุด โอเมิร์ต แห่งอิสราเอลกล่าวกับสื่ออังกฤษเมื่อวานนี้ ปฏิเสธไม่ยอมรับบทบาทของUNIFIL แต่ก็ไม่ได้พูดชื่อยูเอ็นออกมาตรงๆ "กองกำลังใหม่ที่จะเข้ามารักษาความมั่นคงในเลบานอนนั้น ต้องเป็นทหารจริงๆ ไม่ใช่พวกที่เกษียณอายุราชการแล้ว และหวังจะมาใช้เวลาว่างในเลบานอน แต่กองกำลังนี้ก็ต้องพร้อมทำตามมติของยูเอ็นด้วย" โอเมิร์ตย้ำว่าอิสราเอลต้องการกองกำลังใหม่ที่แตกต่างจากกองทัพเดิม และต้องประกอบไปด้วยทหาร15,000 นายพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ครบชุด เพื่อเข้ามาดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ทางตอนใต้ของเลบานอน หากไม่ได้ตามนั้น อิสราเอลก็จะโจมตีกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนต่อไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความหวั่นวิตกว่าจะจัดตั้งกองทัพตามที่อิสราเอลต้องการได้ยากยิ่งนั้น ปรากฏว่า ยูเอ็นได้เลื่อนการประชุมเพื่อแก้วิกฤตในเลบานอนออกไปอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ชาติยุโรปเริ่มหันหน้าเข้าหาชาติผู้สนับสนุนกลุ่มฮิซบอลเลาะห์บ้างแล้ว โดยมิเกล อันเกล โมราติโนส รัฐมนตรีต่างประเทศของสเปน ได้เข้าพบกับประธานาธิบดีบาชาร์ อัลอัสซาด แห่งซีเรีย โดยผู้นำซีเรียรับปากว่าจะใช้อิทธิพลที่มีอยู่กดดันให้กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ทำให้การสู้รบในเลบานอนยุติโดยเร็ว ล่าสุด ทางเจ้าหน้าที่ของเลบานอนได้กล่าวในการประชุมชาติมุสลิมที่ประเทศมาเลเซีย ว่า การที่อิสราเอลโจมตีกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนนั้น ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 900 คน และบาดเจ็บอีก 3,000 คน {moscomment}
  5. หวั่นพิษน้ำมันฉุดเศรษฐกิจโลกถดถอย 7 สิงหาคม 2549 15:38 น. เอสแอนด์พีเตือนความขัดแย้งในตะวันออกกลางอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแตะ 250 ดอลลาร์/บาร์เรล หวั่นฉุดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ลากเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวอยู่แล้วประสบกับภาวะถดถอยได้ง่ายกว่าเมื่อ 1 ปีก่อน กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ระบุว่า สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอนจะอยู่ในวงจำกัด เรื่องนี้จะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง แต่ก็ได้คาดการณ์สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น 3 เหตุการณ์ด้วยกัน และสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือราคาน้ำมันจะทะยานขึ้นแตะบาร์เรลละ 250 ดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ส่วนสถานการณ์ที่เป็นไปได้มากที่สุดซึ่งอิงตามการสู้รบในวงจำกัดในตะวันออกกลางนั้น จะทำให้ราคาน้ำมันลดลงจากระดับปัจจุบันที่ 75 ดอลลาร์/บาร์เรล เหลือต่ำกว่า 70 ดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ และลดลงสู่ 60 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2551 นายเดวิด วิส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเอสแอนด์พี ระบุในรายงานว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวต่อไป ขณะที่การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอลงเหลือ 2.5% ในปี 2550 การขยายตัวของเศรษฐกิจยุโรปจะดำเนินไปเร็วขึ้นในปีนี้ และเอเชียจะยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม เอสแอนด์พีเตือนว่า อาจเกิดความหายนะ ถ้าอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุส ซึ่งเป็นช่องแคบในภูมิภาคอ่าวอาหรับระหว่างอิหร่านและโอมาน และเป็นทางสัญจรของเรือบรรทุกน้ำมันจากคูเวต ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ "อุปทานน้ำมันโลกจะลดลงประมาณ 20%" นายวิสกล่าวพร้อมคาดการณ์ว่า จะมีการใช้น้ำมันอย่างมากจากคลังสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ทั่วโลก โดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยทั่วโลกเหมือนในช่วงขาลงปี 2523-2525 คาดการณ์ในระดับกลางของเอสแอนด์พีระบุว่า อิหร่านจะระงับการผลิตน้ำมัน ซึ่งจะทำให้การส่งออกน้ำมัน 2.7 ล้านบาร์เรล/วันของอิหร่านหยุดชะงักลง โดยสิ่งนี้อาจเป็นการตอบโต้ของอิหร่านต่อการโจมตีแหล่งโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านหรือการตอบโต้ต่อการที่สหรัฐสนับสนุนอิสราเอล ในภาวการณ์ดังกล่าว ราคาน้ำมันอาจจะพุ่งขึ้นเหนือ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลชั่วคราว และทรงตัวใกล้ 95 ดอลลาร์ในช่วงต่อมา และเริ่มปรับตัวลงใกล้ช่วงสิ้นปีหน้า เมื่อคาดว่าอิหร่านจะกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐจะยังคงรุนแรง โดยจะเริ่มมีภาวะใกล้เคียงภาวะถดถอยในไตรมาส 4 และต่อเนื่องไปจนถึงกลางปีหน้า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อิหร่านเตือนว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกอาจจะแตะระดับ 200 ดอลลาร์/บาร์เรล หากสหรัฐชักจูงนานาชาติให้คว่ำบาตรต่ออิหร่าน เอสแอนด์พีระบุว่า การคว่ำบาตรน้ำมันต่อสหรัฐโดยอิหร่านและประเทศอาหรับอื่นๆ นั้น จะมีความเป็นไปได้อีกประการหนึ่ง แต่อาจมีผลกระทบน้อยกว่า แม้เวเนซุเอลาตัดสินใจเข้าร่วมก็ตาม "การคว่ำบาตรจะเกิดการรั่วไหลเพราะทันทีที่น้ำมันเข้าสู่ตลาด ก็จะไปยังที่ใดๆ ก็ตามที่มีเงิน โดยเราคาดว่าประเทศที่ทำการคว่ำบาตรส่วนใหญ่ลังเลที่จะบังคับใช้มาตรการสั่งห้ามอย่างเข้มงวด" นักเศรษฐศาสตร์ของเอสแอนด์พีกล่าวพลางเสริมว่า ในสถานการณ์ดังกล่าว ราคาน้ำมันอาจจะแตะระดับสูงสุดเหนือ 90 ดอลลาร์/บาร์เรลในระยะสั้น และร่วงลงอย่างรวดเร็ว {moscomment]
  6. อังกฤษ-มะกันคุมเข้มที่สนามบิน 'นมเลี้ยงทารก'ก็ต้องเปิดชิมก่อน โดย ผู้จัดการออนไลน์ 10 สิงหาคม 2549 21:45 น. เอเอฟพี/เอเจนซี - รัฐบาลอังกฤษและสหรัฐฯ วันนี้ (10) ต่างประกาศเพิ่มมาตรการเข้มงวดรักษาความปลอดภัย ที่ผู้เดินทางด้วยเครื่องบินจะต้องปฏิบัติตาม ภายหลังจากอังกฤษแถลงว่า ได้ทำลายแผนของผู้ก่อการร้ายที่มุ่งจะระเบิดเครื่องบินโดยสารกันกลางอากาศหลายลำ ในเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งสอง ทั้งนี้หนึ่งในมาตรการใหม่เหล่านี้ได้แก่ ผู้โดยสารซึ่งนำทารกไปด้วย จะต้องเปิดขวดนมชิมให้เห็นจะจะต่อหน้าเจ้าหน้าที่ นอกเหนือจากนมเลี้ยงทารกซึ่งต้องมีการทดลองชิมกันนี้แล้ว ผู้โดยสารจะนำของเหลวอื่นๆ ติดตัวขึ้นเครื่องบินไม่ได้ ประกาศกระทรวงการขนส่งของอังกฤษระบุ โดยที่แจกแจงด้วยว่า ผู้โดยสารยังจะไม่ได้รับอนุญาตให้นำกระเป๋าถือใดๆ ติดตัวขึ้นเครื่อง ยกเว้นแต่ข้าวของจำเป็น ซึ่งก็ต้องใส่ไว้ในถุงพลาสกติกใส ด้านกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ก็ออกประกาศใช้มาตรการเข้มงวดทำนองเดียวกัน รวมทั้งการห้ามผู้โดยสารนำเอาของเหลว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม, เจลใส่ผม, หรือ โลชั่น ติดตัวขึ้นเครื่องบิน ในประกาศของกระทรวงการขนส่งอังกฤษ ระบุแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้โดยสารซึ่งจะเดินทางในเที่ยวบินภายในประเทศและระหว่างประเทศเอาไว้ ดังนี้ -กระเป๋าสัมภาระทั้งหมด ต้องนำไปฝากเก็บไว้ที่ห้องสัมภาระของเครื่องบินโดยสารลำที่กำลังจะออกจากท่าอากาศยานของอังกฤษ -ผู้โดยสารอาจนำข้าวของเฉพาะที่ระบุข้างล่างนี้ ผ่านจุดตรวจค้นเพื่อรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยาน แต่ต้องบรรจุไว้ในถุงพลาสติก (ถ้าเป็นถุงใสจะดีเยี่ยม) เพียงใบเดียว ทั้งนี้ห้ามใส่ข้าวของใดๆ ไว้ในกระเป๋าต่างๆ ในตัวผู้โดยสาร สำหรับข้าวของที่อาจบรรจุในถุงพลาสติกติดตัว เพื่อผ่านจุดตรวจค้น ได้แก่ --กระเป๋าธนบัตรหรือกระเป๋าเงินขนาดใส่กระเป๋าเสื้อผ้าได้ พร้อมข้าวของที่บรรจุไว้ภายใน (ตัวอย่างเช่น เงิน, บัตรเครดิต, บัตรประจำตัว ฯลฯ) แต่ไม่ใช่กระเป๋าถือ --เอกสารการเดินทางที่จำเป็นต้องใช้ (ตัวอย่างเช่น หนังสือเดินทาง และตั๋วโดยสาร) --ยาที่สั่งจ่ายโดยแพทย์ ตลอดจนเวชภัณฑ์ที่จำเป็นและเหมาะสมสำหรับการโดยสารเครื่องบิน (เช่น ชุดประจำตัวผู้ป่วยโรคเบาหวาน) แต่ต้องไม่อยู่ในรูปของเหลว ยกเว้นแต่ที่ได้รับการตรวจยืนยันแล้วว่าเป็นของจริง --แว่นตาและแว่นกันแดด แต่ต้องไม่นำกล่องไปด้วย --ตลับใส่คอนแท็กต์เลน แต่ต้องไม่นำขวดน้ำยาล้างไปด้วย --สำหรับผู้เดินทางไปพร้อมกับทารก ได้รับอนุญาตให้นำ อาหารทารก, นม (ผู้โดยสารที่ไปกับทารกต้องชิมสิ่งที่บรรจุภายในขวดนมทุกๆ ขวด), และข้าวของเพื่ออนามัยของเด็ก (เช่น ผ้าอ้อม, ผ้าเช็ดทำความสะอาด, ครีม, และถุงบรรจุผ้าอ้อมใช้แล้ว) --ข้าวของเพื่ออนามัยของสตรี ที่จำเป็นและเหมาะสมสำหรับการโดยสารเครื่องบิน (เช่น ผ้าอนามัย, ผ้าเช็ดตัว, และผ้าเช็ดทำความสะอาด) แต่จะต้องนำออกจากกล่องบรรจุ --กระดาษทิชชู (ต้องนำออกจากกล่องบรรจุ) และ/หรือ ผ้าเช็ดหน้า, กุญแจ (แต่ต้องไม่ใช่ตลับกุญแจแบบที่ใช้ไฟฟ้า) -ผู้โดยสารทุกคนต้องผ่านการตรวจค้นด้วยมือ และรองเท้าตลอดจนข้าวของทั้งหมดที่พวกเขานำติดตัวก็ต้องผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ -รถเข็นสำหรับทารก และอุปกรณ์ช่วยการเดินก็ต้องผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ -ผู้โดยสารที่ขึ้นเครื่องบินในเที่ยวบินไปยังสหรัฐฯ ตลอดจนข้าวของทั้งหมดที่พวกเขาถือติดตัว รวมทั้งส่วนที่ได้มาหลังผ่านจุดตรวจด้วยเครื่องเอ็กซเรย์ส่วนกลางแล้ว จะต้องถูกตรวจเป็นครั้งที่สองที่ประตูทางออกไปขึ้นเครื่องบิน หากพบว่าผู้โดยสารยังมีของเหลวใดๆ ก็จะถูกนำออกไปทั้งหมด ทั้งทางการอังกฤษและสหรัฐฯต่างเตือนว่า ผู้โดยสารจะต้องเสียเวลาล่าช้ากว่าปกติอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง "มาตรการความปลอดภัยเพิ่มเติมเหล่านี้ จะทำให้การเดินทางสำหรับผู้โดยสารเกิดความยากลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่มีการสัญจรแออัดอยู่แล้วอย่างเช่นช่วงนี้ของปี แต่มาตรการเหล่านี้มีความจำเป็น และจะทำให้เที่ยวบินซึ่งออกไปจากท่าอากาศยานของสหราชอาณาจักร ยังคงมีความปลอดภัยอย่างเหมาะควร" คำแถลงของกระทรวงการขนส่งอังกฤษบอก {moscomment}
  7. รวบ 5 เซียนช่างทอง ผลิตทองปลอมตระเวนจำนำทั่วประเทศ โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 สิงหาคม 2549 14:59 น. ศูนย์ข่าวศรีราชา - รวบ 5 เซียนช่างทองกำแพงเพชร ตกงานเคลื่อนที่พร้อมอุปกรณ์ผลิตทองปลอมตระเวนจำนำขายฝากร้านทองทั่วประเทศ ร้านทองรับจำนำเพียบใช้น้ำยาตรวจสอบยังไม่รู้ต้องเผา วันนี้ (11 ส.ค.) นายสุปรีชา ปั้นประสงค์ อายุ 22 ปี เจ้าของร้านทองปัญญา เลขที่ 171/85 หมู่ 2 ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ได้แจ้งไปยัง พ.ต.ท.บำรุง รักษ์บำรุงสกุล สารวัตรเวร สภ.อ.สัตหีบ ว่า ได้มีแก๊งทองปลอม 6 คน นำทองปลอมเข้าไปจำนำในร้านแล้วออกมาได้ติดตามพบแล้วขอกำลังตำรวจจับกุมบุคคลที่อยู่ในรถเก๋ง โตโยต้า สีแดงเลือดหมู รุ่นโคโรน่า หมายเลขทะเบียน สค-8763 กรุงเทพมหานคร ซึ่งจอดอยู่หน้าธนาคารกรุงไทย สาขาสัตหีบ ถนนบ้านนา หมู่ที่ 2 ต.สัตหีบ ซึ่งสามารถควบคุมตัวได้เพียง 5 คน เป็นชาย 2 คนหญิง 3 คน ส่วนหญิงอีก 1 คน ได้ไหวตัวว่าจ้างรถจักรยานยนต์หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำควบคุมตัว น.ส.เมษา เจริญ อายุ 21 ปีอยู่บ้านเลขที่ 17 หมู่ 7 ต.ศรีสำราญ อ.พรเจริญ จ.หนองคาย น.ส.ละออ อิทธิริ อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 98/526 หมู่ 1 ต.บางบัวทอง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี นางนงลักษณ์ ศิริบูรณานนท์ อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 488 หมู่ 18 ต.ปางมะค่า อ.ขาณุวรลักษณ์บุรี จ.กำแพงเพชร นายสมหมาย ทองเปี่ยม อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 488 หมู่ที่ 18 ต.ปางมะค่า อ.ขาณุวรลักษณ์บุรี จ.กำแพงเพชร และนายบุญรุ่ง ทองเปี่ยม อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 488 หมู่ 18 ต. ปางมะค่า อ.ขาณุวรลักษณ์บุรี จ.กำแพงเพชร พร้อมรถเก๋งคันดังกล่าวไปทำการตรวจค้นภายในรถ พบอุปกรณ์ทำทอง 18 รายการ มีกิโลชั่งทอง ปรอท ตะกั่วนิ่ม พร้อมเตาแก๊สปิกนิก 1 ถัง จากการสอบสวน น.ส.เมษา เจริญ ได้ให้การรับสารภาพว่า ได้เป็นคนที่นำกำไรข้อมือทอง หนัก 1 บาท เข้าไปจำนำในร้านทองปัญญาจริง โดยอ้างว่าไม่ได้นำบัตรประชาชนติดตัวมา แล้วใช้ชื่อปลอมเป็น น.ส.อาพร สุกุทิพย์ เมื่อได้เงินมาแล้ว ก็รีบพากันไปขับรถเก๋ง โดยมี นายสมหมาย ทองเปี่ยม เป็นคนขับพาไปที่ธนาคารกรุงไทย สาขาสัตหีบ เพื่อนำเงินฝากธนาคาร และโอนไปให้ญาติที่บ้าน แต่เจ้าของร้านได้พาตำรวจมาติดตามจับกุมเสียก่อน ส่วนนางนงลักษณ์ ยังให้การปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องนี้ เพราะถูกชักชวนมาเที่ยวด้วยเท่านั้น สอบสวน นายสุปรีชา ปั้นประสงค์ เจ้าของร้านทอง ให้การว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.ได้มี น.ส.เมษา เจริญ โดยใช้ชื่อปลอมว่า น.ส.อาพร สุกุทิพย์ นำกำไรข้อมือหนัก 1 บาทเข้าไปจำนำ ขายฝากไว้เป็นเงิน 10,000 บาท จากการมองด้วยตาเปล่าและใช้กล้องส่องไม่สามารถล่วงรู้ว่าเป็นทองปลอม จึงได้เข้าไปหลังร้านใช้ไฟเผาดูถึง 3 ครั้ง จึงรู้ว่าเป็นทองปลอมและออกติดตามรถเก๋งคันที่มาจอด จนพบว่าจอดอยู่ที่หน้าธนาคารกรุงไทย สาขาสัตหีบ จึงได้ชี้ตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการควบคุมตัวมาทำการตรวจสอบ พบว่า แก๊งนี้เป็นแก๊งช่างทองที่กำแพงเพชรออกมาตระเวนทำทองปลอมด้วยการชุบทองชนิดหนามาก ส่วนทางด้าน นายปัญญา ปั้นประสงค์ เจ้าของร้านทองปัญญาสาขา 1 ตลาดสัตหีบ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2549 ได้มีมีแก๊งนี้เข้ามารูปแบบเดียวกัน อ้างว่า ไม่มีบัตรประชาชนนำสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท (หนัก 2 บาท 1 เส้น และ หนัก 1 บาท 1 เส้น) เข้ามาจำนำในราคา 30,000 บาท โดยใช้ชื่อว่า นายวรวัฒน์ อนุรักษ์ จนในที่สุดแก๊งนี้ได้นำกำไรทองมาจำนำที่ร้านทอง สาขา 2 อีก จึงได้ใช้ไฟเผาทองถึง 3 ครั้ง จึงรู้ว่าเป็นทองปลอม ซึ่งใช้น้ำยาตรวจสอบไม่สามารถล่วงรู้ได้อย่างแน่นอน และในวันนี้ได้มีเจ้าของร้านทองในพื้นที่สัตหีบมาดูตัวกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละร้านบอกว่ามีลักษณะเดียวกันมาทำการจำนำไว้เหมือนกัน ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ทางด้าน พ.ต.อ.สมไทย คำวัฒน์ ผกก.สภ.อ.สัตหีบ กล่าวว่า แก๊งนี้เป็นแก๊งทำทองปลอมเคลื่อนที่ได้ตรวจสอบจากหลายท้องที่โดยเฉพาะเขตกรุงเทพมหานคร ปรากฏว่าแก๊งทำทองปลอมแก๊งนี้เป็นแก๊งช่างทองระดับฝีมือที่ตกงาน จึงได้รวมตัวกันทำทองปลอมตระเวนขายและจำนำในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ คาดว่า ร้านทองและห้างทองจำนวนมากต้องรับจำนำไว้จำนวนมากแน่นอน ถ้าร้านทองใดที่เคยเจอรูปแบบนำทองเข้าไปจำนำแล้วบอกว่าไม่ได้นำบัตรประชาชนมายื่นเป็นหลักฐานให้ตรวจสอบทองว่าเป็นทองปลอม หรือไม่ แล้วมาแจ้งความดำเนินคดีได้ทุกวัน {moscomment}
  8. ทำไมคุณต้องซื้อทองคำเดี๋ยวนี้ เขียนโดย ระพิน ใจดี วันอาทิตย์ที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๔๙ 11 สิงหาคม 2459 โดย Steve Sjuggerud จาก The Daily Wealth www.dailywealth.com ทองคำไม่มีดอกเบี้ย มันเป็นแค่ก้อนโลหะสีเหลือง ถ้าธนาคารจ่ายดอกเบี้ยให้คุณ 7% สำหรับเงินสดของคุณ คุณควรจะเลือกที่จะมีเงินสดอยู่ในธนาคารมากกว่า มันเป็นความรู้สึกที่ถูกต้องในกรณีนี้ ใน 10 ปี คุณจะมีเงินเพิ่มเป็น 2 เท่า แต่ถือทองคำคุณยังคงมีแค่ทองก้อนเท่าเก่า ลองพิจารณากรณีนี้กัน ลองจินตนาการว่าธนาคารจ่ายดอกเบี้ยให้คุณ 0% แล้วที่นี้อะไรจะดึงดูดความสนใจมากกว่ากันระหว่างกระดาษดอลล่าร์หรือทองคำ ในกรณีนี้ ตามเหตุผลของนักลงทุน ควรจะเลือกทองคำ ซื้อทองคำ: ซัพพลายจำกัด ทองคำมันงดงาม หายาก และเปลี่ยนเป็นเงินสดง่าย ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ส่วนไหนของโลกใบนี้ แต่สำหรับกระดาษดอลล่าร์ มันก็เป็นแค่กระดาษ รัฐบาลสามารถพิมพ์มากตามที่อยากจะพิมพ์ รัฐบาลสามารถพิมพ์ธนบัตรเพื่อชำระหนี้ของตนเองได้ แต่เขาไม่สามารถสร้างทองคำได้ ซัพพลายของเงินกระดาษไม่มีจุดสิ้นสุด แต่ซัพพลายของทองคำมีขีดจำกัดอย่างมาก (พวกเขาบอกว่า ผลผลิตทองคำในประวัติศาสตร์โลกน่าจะพอดีกับสนามบาสเกตบอลเมอร์ดิสัน สแควร์ การ์เด้นท์) และมันยากที่จะสกัดออกมา บิลเกตต์ สามารถซื้อทองคำทั้งหมดจากเหมืองในโลกใน 1 ปีจากสมุดเช็คของเขา ตามกฏ การหมุนเวียนของเงินจะไปตามทางที่ดีที่สุดของมัน ถ้าอัตราดอกเบี้ยสูง ทองคำจะไม่ค่อยดีนักเมื่อเทียบกับเงินสด ถ้าดอกเบี้ยถูก เงินสดจะหมุนไปหาทองคำ และเมื่อดอกเบี้ยเป็น 0% ก็ต้องเป็นทองโดยไม่ต้องใช้สมองคิดให้เสียเวลา ซื้อทองคำ: อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง "แต่เดี๋ยวก่อน!" คุณพูดว่า "ดอกเบี้ยทะยานขึ้นในทศวรรษ 70.. ทองคำทำยังไงถึงได้วิ่งจาก 100$ ไป 800$ ในเวลานั้นได้?" ใช่! ดอกเบี้ยทะยานขึ้นไปในทศวรรษ 70 แต่ลองดูที่ "เรื่องจริง" ที่คุณได้เงินของคุณมา มาพิจารณาผลกระทบจากเงินเฟ้อกัน... อัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคารหรือในหน้าหนังสือพิมพ์ไม่ได้ให้ภาพรวมทั้งหมดแก่คุณ นี่คือเหตุผลว่าทำไม: ถ้าราคาของรายการที่คุณซื้อตามมูลฐานปกติ เช่น อาหาร แก๊ส และ ที่พักอาศัย เพิ่มขึ้นไป 5% และเวลาเดียวกัน ธนาคารจ่ายดอกเบี้ยให้คุณ 5% สำหรับเงินฝากของคุณ ธนาคารไม่ได้ชดเชยมูลค่าทรัพย์สินที่คุณถือในรูปเงินสดแทนที่จะเป็นทองคำ ในกรณีนี้ นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของคุณ ลบด้วย อัตราดอกเบี้ยหลังเงินเฟ้อตามความเป็นจริงอยู่ที่ 0% ย้อนไปในปี 1979 ดอกเบี้ยระยะสั้นได้อยู่ที่ 8% แต่เงินเฟ้อไปอยู่ที่ 13% ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยจริงติดลบอยู่ 5% มีอะไรที่สร้างความสงสัยให้ผู้คนรีบเร่งไปหาทองคำและทิ้งเงินกระดาษไหม? ในปี 1981, ประธานเฟดขณะนั้น นาย Paul Volker ได้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไปถึง 15% และเงินเฟ้ออยู่ที่ 6% ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ที่เกือบ 10% ในปี 1982 ทองคำลดลงต่ำกว่า 400$ ซื้อทองคำ: ทำไมคุณควรจะเปลี่ยนเงินของคุณจากเงินสด วันนี้, เราเห็นอัตราดอกเบี้ยประกาศอยู่ที่ประมาณ 5% ในเวลาเดียวกัน เงินเฟ้อก็อยู่ที่ราวๆ 5%... และประธานเฟดนายเบอนันเกได้กล่าวว่า เขาเกือบจะเสร็จสิ้นการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว... อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเกือบจะติดลบ... และทางเลือกที่ฉลาดคือเปลี่ยนจากเงินสดไปเป็นทองคำ คุณควรจะถือทองคำบ้าง, แม้ว่าความเสี่ยงในการลงทุนของคุณจะต่ำ เพราะทองคำและหุ้นโดยมากมักจะเคลื่อนสวนทางกัน ถ้าคุณยังไม่ได้ทำตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะทำ ที่มา: http://www.moneyweek.com/file/16672/the-real-reason-you-should-buy-gold-now.html {moscomment}
  9. ราคาแพง-แรงซื้อหาย 'ช่างทอง' 'ตกงาน' เป็นแสนคน! วันพุธที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๙ "รวบแก๊งช่างทองหลอกขายทองปลอม ...เป็นหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งในเนื้อข่าวระบุว่าแก๊งต้มตุ๋นแก๊งนี้จริง ๆ แล้วก็เป็น ช่างทองฝีมือดี แต่มาระยะหลังเกิด ตกงาน และตัดสินใจผิดคิดทำไม่ดีด้วยการปลอมทองด้วยฝีมือที่มีอยู่ออกหลอกจำนำหรือขายตามร้านทองต่าง ๆ กรณีที่เป็นข่าวนี้ก็ว่ากันไปตามกระบวนการตามกฎหมาย แต่ทั้งนี้...กรณี ช่างทองตกงาน ยุคนี้ เกลื่อน จิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมผู้ค้าทองคำ เผยว่า... ราคาทองคำที่สูงเกินกว่า 10,000 บาทต่อน้ำหนักทอง 1 บาทขึ้นไปแล้วในขณะนี้ถือว่าเป็นราคาที่แพงถึงแพงมากในยามเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งราคาทองก็แพง กำลังซื้อก็ลดลง โดยภาพรวมคนอยากจะซื้อทองแต่ไม่มีเงินจะซื้อหรือไม่ตัดสินใจซื้อ ส่งผลให้ยอดขายทองคำของร้านขายทองคำกว่า 6,000 ร้านทั่วประเทศ...ลดลงไปกว่า 60% ส่งผลให้ช่างทองในระบบกว่า 300,000 คน...มีปัญหา !! เป็นเรื่องปกติที่ช่างทองจะเกิดปัญหาว่างงาน ตกงาน เพราะในเมื่อยอดจำหน่ายลดลงเป็นประวัติการณ์ขนาดนี้ ทางร้านก็ไม่รู้ว่าจะ ส่งงานทำทองให้เท่าเดิมได้อย่างไร ซึ่งในเมื่อทองขายไม่ค่อยได้ ร้านทองเองไม่ว่าจะเป็นร้านทองขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ต่างก็พบกับปัญหาเช่นเดียวกัน นายกสมาคมผู้ค้าทองคำบอกต่อไปว่า... โดยปกติแล้วร้านขายทองคำแต่ละร้านจะไม่มีช่างทองประจำร้าน ช่างทองส่วนใหญ่จะทำงานแบบอิสระกันทั้งสิ้น กระจายตัวกันทั่วไปไม่เป็นหลักแหล่งแน่นอน เพราะถ้าเป็นช่างทองที่ประจำร้านเงินเดือนจะไม่มาก แต่ถ้าทำทองคิดเป็นราย ชิ้นรวมทั้งเดือนจะได้ราคาที่สูงกว่ามาก และสามารถรับงานได้อิสระจากทุกร้าน โดยช่างแต่ละคนก็จะมีความถนัดกันไปในแต่ละแบบ และยังทำงานกันเป็นเครือข่ายด้วย หมายความว่ามีช่างที่ติดต่อกับร้าน และส่งงานกันเป็นทอด ๆ ไป สำหรับสนนราคาค่าจ้างก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบของลวดลาย น้ำหนัก ความยากง่ายของงาน ถ้าช่วงไหนทองคำขายดี มีงานเยอะ มีงานมาก ช่างทองก็สามารถมีรายได้มาก อาทิ... สร้อยข้อมือ น้ำหนัก 1 บาท งานไม่ยาก ค่าจ้างก็มาก กว่า 100 บาทต่อเส้น ถ้าเป็นงานยาก งานประณีต ค่าจ้างประมาณ 200-300 บาทขึ้นไป เช่นเดียวกับ สร้อยคอ ก็ประมาณนี้ ส่วนถ้าเป็น แหวน วงเล็ก ๆ งานไม่ยาก ค่าจ้างก็จะไม่แพงมาก ไม่ถึง 100 บาทต่อชิ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วงานประเภทนี้จะเป็นแบบรับเหมากันไป คือทำคราวละมาก ๆ ค่าจ้างก็มากไปตามปริมาณ จิตติบอกอีกว่า... ยอมรับเลยว่าตอนนี้ทั้งร้านทองและช่างทองมีปัญหามาก !! ร้านทองเองก็ไม่สามารถจำหน่ายทองหรือระบายทองออกไปได้สักเท่าไหร่ จะหนีไปส่งออกก็ทำไม่ได้เพราะไม่เคยทำ และลักษณะทองคำที่ทำขายทั่ว ๆ ไป กับทองคำที่ส่งออกนั้นก็แตกต่างกัน ซึ่งไม่ใช่ว่าฝีมือช่างทองไม่ดี แต่ลวดลาย เทคนิคการเชื่อมมีความแตกต่างกัน ในเมื่อไม่สามารถระบายสินค้าออกได้ ทองขายไม่ได้ ช่วงนี้ร้านทองจึงมีปัญหา และก็ทำให้ช่างทองต้องตกงานไปด้วย !! ...นายกสมาคมผู้ค้าทองคำกล่าว ช่างหย่วย อดีตช่างทองที่ทำทองมานานกว่า 20 ปี และปัจจุบันขยับเป็นเจ้าของโรงงานทำทองรูปพรรณ เปิดเผยในเรื่องเดียวกันนี้ว่า... ตั้งแต่ทองมีราคาบาทละกว่า 10,000 บาทขึ้นนั้น ทำให้งานหายไปทันทีกว่า 60% จากโรงงานทำทองที่มีลูกน้องกว่า 100 คน ตอนนี้เหลือแค่เพียง 30-40 คนเท่านั้นเอง ช่างทองในกรุงเทพฯ ต้องกลับต่างจังหวัดกันไม่น้อย บ้างก็ไปทำนา หรือบางคนก็เปลี่ยนอาชีพไปเลย ช่างทองนั้นในระบบน่าจะมีประมาณ 300,000 คน แต่ตอนนี้เหลือถึง 30,000 คนหรือเปล่าก็ไม่รู้ กับระบบงานของช่างทอง ช่างหย่วยก็บอกเช่นกันว่า... ส่วนใหญ่ก็กระจัดกระจายไปทั่ว เป็นช่างอิสระ ไม่ได้อยู่กันเป็นหลักแหล่ง เวลาร้านทองมีงานเข้ามา ทางโรงงานจะเรียก ตามมาทำงานที่โรงงาน ซึ่งจะรับงานแบบเหมากันไป โดยร้านทองจะให้ทองคำแท่งมา แล้วก็สั่งว่าเอาแบบนี้ น้ำหนักเท่านี้ ปริมาณเท่านี้ เสร็จงานก็เลิกกันไป ช่างทองไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ทำทองคำแท่งให้ออกมาเป็นทองรูปพรรณเท่านั้น ยังมีงานที่ต้องช่วยออกแบบด้วย ซึ่งเป็นงานที่ประณีต แต่เมื่อราคาทองคำแพงขึ้น ค่าครองชีพแพงขึ้น ทำให้คนซื้อทองน้อยลงไปมาก ขนาดทองรูปพรรณที่แบบและลวดลายใหม่ ๆ ที่ช่างทองพยายามออกแบบออกมาใหม่ ๆ ที่คิดว่าสวย ทันสมัย และน่าจะขายได้ ยังขายไม่ได้เลย ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน พวก ช่างทองก็ต้องตกงาน เป็นธรรมดา จะพึ่งพาและรอรายได้จากงานทำทองเพียงอย่างเดียวคงแย่ ทุกวันนี้ช่างทองที่รู้จักกันก็เลิกกันไปหมดแล้ว บางคนก็กลับบ้านต่างจังหวัดกันไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้วช่างทองจะเป็นคนจากภาคอีสาน มีทุกจังหวัดเลย เมื่อมีงานทีก็ต้องไปตามตัวกันจากต่างจังหวัด ...ช่างหย่วยกล่าว ของหลายอย่างเมื่อราคาแพง...เจ้าของ-คนผลิตจะมีรายได้ดี แต่กรณีแบบนี้ต้องยกเว้นสำหรับ ทองคำรูปพรรณ ยุคทองแพง ช่างทอง ก็หมดชั่วโมงทองทำเงิน และบางคนก็คิดผิด-ทำผิด...เป็น นักตุ๋น. -ข้อมูลจาก http://dailynews.co.th/dailynews/pages/front_th/popup_news/Default.aspx?ColumnId=26233&NewsType=2&Template=1 {moscomment}
  10. อิหร่านซ้อมรบครั้งใหญ่โชว์แสนยานุภาพทางทหาร โดย ผู้จัดการออนไลน์ 21 สิงหาคม 2549 วานนี้ (20) สถานีโทรทัศน์อิหร่านได้รายงานการซ้อมรบของกองทัพ และแพร่ภาพการทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้จากพื้นดินขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วย โดยตามรายงาน ระบุว่า ขีปนาวุธที่นำมาทดสอบในครั้งนี้สามารถพุ่งไปได้ไกลประมาณ 50-150 ไมล์ เป็นขีปนาวุธที่อิหร่านพัฒนาขึ้นเองโดยอาศัยความรู้ที่มีอยู่ในประเทศ แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญภายนอกจะระบุว่าเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธส่วนใหญ่ของอิหร่านจะมาจากประเทศอื่นๆ ก็ตาม เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับต่อต้านภัยคุกคาม และเราควรจะทำตัวเป็นตัวอย่างให้แก่ประเทศอื่นๆ หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายงานโดยอ้างคำให้สัมภาษณ์ของโฆษกประจำกองทัพอิหร่านที่กล่าวเอาไว้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ ทางการอิหร่าน ระบุว่า การยิงขีปนาวุธในการซ้อมรบทางทหารครั้งนี้ ถือเป็นการแนะนำทฤษฎีใหม่ของการป้องกันตนเอง ทั้งนี้ การซ้อมรบทางทหารของกองทัพอิหร่านมีขึ้นในขณะที่อิหร่านกำลังเผชิญกับการเฝ้าจับตามองอย่างสูงจากนานาชาติประเทศที่มีต่อโครงการนิวเคลียร์ และการให้การสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์ เมื่อเดือนที่ผ่านมา คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ผ่านมติกำหนดเส้นตายให้อิหร่านยุติโครงการนิวเคลียร์ภายในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ ทว่า จนถึงบัดนี้อิหร่านก็ยังคงยืนกรานว่าจะไม่ต้องทำตามมติของสหประชาชาติ โดยยืนยันว่า การพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านเป็นไปเพื่อสันติเท่านั้นไม่ได้มีเจตนาจะผลิตอาวุธนิวเคลียร์แต่อย่างใด ทั้งนี้ หากต้องเผชิญกับภัยคุกคาม อิหร่านก็พร้อมที่จะส่งขีปนาวุธพิสัยไกลชาฮับ 3 ซึ่งสามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ได้ นอกจากนี้ ยังมีรุ่นที่พัฒนาจนสามารถยิงได้ไกลถึงมากว่า 1,200 ไมล์ ซึ่งก็หมายความว่า จะสามารถยิงไปถึงอิสราเอล และฐานทัพสหรัฐฯ ที่ประจำอยู่ในตะวันออกกลางด้วย
  11. ทำไมคุณถึงบอกว่าสมาคมฯกั๊กราคา เขียนโดย ระพิน ใจดี วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๔๙ สมัยผมขายทองใหม่ๆตอนปี 2540 เกิดวิกฤตฟองสบู่เศรษฐกิจเมืองไทยแตกพอดี วันๆไม่ได้ขาย รับซื้อแต่ทองเก่าเข้า สมัยนั้นสมาคมฯ ทำราคาต่ำกว่าเมืองนอกร่วม 200-300 บาท แต่ทุกคนก็ Happy ที่จะขาย แม้จะมีบ่นบ้างว่า น่าจะได้มากกว่านั้น วันนี้ เกือบ 10 ปีแล้ว สถานการณ์เปลี่ยนไป ผู้คนมีความสนใจข้อมูลข่าวสารมากขึ้น โดยเฉพาะข่าวสารที่รวดเร็วจาก internet ราคาทองคำเมืองนอก รับรู้ถึงประชาชนอย่างรวดเร็ว ข้อมูลเปิดกว้าง แต่ก็ไม่มีความชัดเจนจากสมาคมค้าทองคำว่าคิดราคาประกาศเป็นราคาทองคำเมืองไทยอย่างไร ทำไมถึงไม่เท่ากับที่คำนวณได้ มีสูตรยังไงกันแน่ สมาคมฯเองคงลังเลที่จะตอบคำถาม ทั้งที่จริงๆ มันเป็นสิ่งที่อธิบายได้ ราคาประกาศของสมาคมค้าทองคำ มีไว้เพื่อให้ร้านทองทั่วประเทศใช้อ้างอิงซื้อขายทองคำในราคาเดียวกัน เรียกว่า เป็น Fix Price ของราคาทองคำเมืองไทย ประมาณนั้นแหละครับ สิ่งที่รู้กันทั่วไปคือสูตรคร่าวๆว่า ราคาทองไทย = (( Spot Gold + Premium ) x 32.148 x THB x .965 )/65.6 หรือง่ายๆก็ ราคาทองไทย = ( Spot Gold + Premium ) x THB x 0.473 ปัญหาไม่ใช่สูตร แต่เป็นว่าทำไมคิดทีไร ไม่เท่าสมาคมฯอยู่เรื่อยใช่ไหมครับ ผมย้อนถามกลับว่า ราคาทองเมืองนอกที่เห็นน่ะ ฝรั่งเค้าได้มากันยังไง ผมขายทองมานาน แรกๆผมก็ยังตอบไม่ได้ มี Bid มี Ask ด้วย แล้วราคาในกราฟมันคืออะไร มาจากตลาดไหน ราคาที่เห็นมันเป็นราคาที่ปรากฏว่ามีการซื้อขายกันจริงในตลาดค้าทองคำหลักๆในโลก ไม่ว่าจะเป็น London ฮ่องกง อะไรแถวๆนี้ (NYMEX เป็นตลาด Future ผมเองยังไม่แน่ใจเลยว่าเกี่ยวไหม) แต่สรุปก็คือ เป็นราคาที่มีผู้ต้องการซื้อ และมีผู้ต้องการขายที่ราคานั้น และตกลงซื้อขายกันเป็นที่เรียบร้อย ก็โผล่ราคาให้เห็นในกราฟว่า "เฮ้! พวก ตอนนี้พวกไอซื้อขายกันราคานี้นะ พวกยูล่ะ ว่าไง" แหะๆ "ไอเหรอ ขอคิดดูก่อน" อ่า.. แล้วสมาคมค้าทองคำอยู่ในสถานะไหนในตลาดล่ะครับ คำตอบคือ เหมือนเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายรายเล็กๆรายนึงในตลาดโลกเท่านั้นเอง สมาคมค้าทองคำตั้งขึ้นจากกลุ่มผู้ค้าทองคำนะครับ ไม่ใช่เป็นตลาด Exchange trade แบบเมืองนอก เวลาจะซื้อขายทองคำจากตลาดโลก ก็คงไม่มีใครพรวดพราดซื้อขายราคาไหนก็ได้ ต้องตั้งราคาไว้ในใจใช่ไหมครับ ว่าต้องการซื้อที่ราคาเท่าไหร่ ต้องการขายที่ราคาเท่าไหร่ มองย้อนเข้ามาถึงตลาดผู้บริโภคบ้านเรา คือปลายทางและต้นทางของสินค้าใช่ไหม เป็นเหมือนหน้าร้านของสมาคมฯนั่นแหละ สมาคมฯ จะตั้งราคาวันนี้เท่าไหร่ดี ถึงจะมีคนซื้อ มีคนขาย และถ้ามีคนมาขายมากๆ ต้องเอาไปปล่อยในตลาดโลก ต้องตั้งราคาเท่าไหร่ จึงจะมีกำไร หรือ ถ้าขายดี ต้องนำเข้าทองคำ ซึ่งแน่นอน กรณีนี้ ค่า Premium ย่อมเพิ่มขึ้น (กรณีของหมุนเวียนแต่ในตลาดเมืองไทย Premium ก็ต่ำถึงไม่มี การมีและไม่มี Premium แค่นี้ ราคาก็ขยับต่างกันได้เป็นร้อยบาทแล้วนะครับ) ทำไมไม่ตั้งราคาตามตลาดโลก.. เป็นคำถามที่เจอบ่อย แต่ถ้าเข้าใจเหตุผลที่กล่าวไว้ข้างบน ก็จะรู้ว่าทำไม่ได้เต็มร้อยหรอกครับ และสมาคมก็ประกาศราคามั่วๆก็ไม่ได้ด้วย เพราะถ้ามันเบี่ยงเบนมากเกินไป เค้าก็จะเสียโอกาสในการซื้อขายเช่นกัน ตัวแปรที่เบี่ยงเบนราคาสมาคมฯ มาจาก ดีมานด์-ซัพพลาย ในตลาดบ้านเรานี่แหละ แค่คำนี้ สมาคมฯ ต้องคิดแล้วคิดอีก บางวันประกาศไม่ดี ราคาเมืองนอกไม่เห็นจะเปลี่ยนเลย แต่สมาคมขอเปลี่ยนราคาซะอย่างนั้น ถามว่า ทำได้ไหม? ทำได้สิครับ สมมุติ ถ้าคุณเป็นเจ้าของเงินบาทไทย (มองทองคำเป็นเงิน ไม่เห็นจะผิด เน๊อะ!) มีคนเอา US ที่กำลังจะอ่อนยวบมาขอแลก แรกๆ คุณมีเงินบาทไทยเยอะๆ คุณก็ให้แลกดีหรอก แต่พอมีคนมาแลกเยอะๆ คุณจะยอมปล่อยเงินบาทออกไปในอัตราเท่าเก่าจนหมดไหมล่ะ เมืองนอกยังไม่มีการ trade ซื้อขายเงิน มัน fix อัตราแลกเปลี่ยนไว้อยู่ตรงนั้น คุณจะเชื่อฝรั่งที่นอนหลับหรือจะเชื่อตัวคุณเอง ขึ้นอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อลดความต้องการลงพร้อมกับกำไรต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้น หรือจะปล่อยให้เขาแลกไปจนหมด? สมาคมกั๊กราคาหรือไม่.. ก็สมาคมฯ เป็นตัวแทนพ่อค้า ไม่ใช่ตลาด Exchange trade แบบเมืองนอก อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ จะซื้อจะขายก็จะกำหนดราคาที่ต้องการจะซื้อต้องการจะขาย เพื่อให้มีกำไร ไม่ใช่ต้องตามตลาดเมืองนอกเสมอไป ถามต่อว่า แบบนี้ ถ้าหาหน่วยงานมากำหนดราคาแทนสมาคมฯ เพื่อความเป็นธรรม ไม่ดีกว่าเหรอ คำตอบคือ ไม่ดีกว่าครับ ทองคำ ไม่ใช่ของใช้ในชีวิตประจำวันที่จำเป็น ถ้ามีหน่วยงานตั้งราคาแล้วฝ่ายผู้ค้าไม่เห็นด้วย เค้าก็ไม่ขายสิครับ เอาไป trade เมืองนอกดีกว่า ถามต่ออีกว่า แล้วผู้บริโภคจะทำไง หากสมาคมฯตั้งราคาไม่เป็นธรรม ก็ง่ายๆครับ อย่าไปซื้ออย่าไปขาย แค่นี้สมาคมฯก็โดนจวกแล้ว และร้านทองทั่วประเทศคงไม่มีใครอิงราคาสมาคมฯอีก จริงๆอยากจะบอกว่า เค้ากั๊กก็ได้เพียงนิดหน่อย แต่เบี่ยงเบนทิศทางตลาดจริงๆ ไม่ได้หรอกครับ คิดว่า แค่นี้ คงพอทำให้เห็นภาพโครงสร้างราคาประกาศของสมาคมค้าทองคำได้ชัดขึ้น ก่อนจาก.. ขอให้เข้าใจว่า บทความนี้ เป็นเพียงความคิดเห็นของผมคนเดียว ที่เอามาแชร์เพื่อนๆอ่านกัน เพื่อช่วยให้เพื่อนๆเข้าใจสมาคมฯ มากขึ้น ห้ามใช้เอาไปรุมจวกสมาคมฯนะครับ ผิดวัตถุประสงค์อย่างแรง!!! {moscomment}
  12. นักวิเคราะห์เสียงแตกในทิศทางราคาทองคำ เขียนโดย ระพิน ใจดี วันศุกร์ที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๙ นักวิเคราะห์และนักค้าให้ภาพที่คละกันในทิศทางของเงินสดและราคาทองคำในอนาคตที่น่าจะเป็นไปได้ ภาวะกระทิงอ้างถึงฤดูกาลที่แข็งแกร่ง ความเชื่อว่าความตึงเครียดในโลกยังคงดำเนินต่อไปเพราะปัจจัยอย่างนิวเคลียร์ของอิหร่านและความเป็นไปได้ที่ดอลล่าร์ยังจะอ่อนลงอย่างต่อเนื่องต่อไป ภาวะหมีตั้งข้อสงสัยในราคาที่สูงเป็นประวัติการณ์ของโภคภัณฑ์เริ่มเสื่อมถอยลงและธนาคารกลางจะจำกัดเงินเฟ้อซึ่งพอที่จะทำให้นักลงทุนหยุดการใช้โลหะเป็นเครื่องป้องกันเงินเฟ้อ ทองน่าจะไหลลงถ้าบรรดาโภคภัณฑ์ทั้งหมดอ่อนลงและความตึงเครียดในตะวันออกกลางไม่เลวร้ายลงไปกว่าเดิม Jim Steel รองประธานอาวุโสและนักวิเคราะห์โลหะของ HSBC กล่าว "มันขึ้นอยู่กับดอลล่าร์" เขากล่าว "ถ้าตลาดเห็นการสิ้นสุดการขึ้นดอกเบี้ยและดอลล่าร์อ่อน นั่นจะเพิ่งความกระฉับกระเฉงให้กับตลาดทองคำ แต่ถ้าไม่เกิดขึ้น อย่างน้อยแนวต้านจะต่ำลงมา" Gijsbert Groenewegen หุ้นส่วนจัดการ Gold Arrow Capital Management มองราคาทองคำขึ้นไปสูงถึง 850$ - 900$ ในเดือนต่อๆไปข้างหน้าเพราะปัจจัยฤดูกาลและความตึงเครียดในตะวันออกกลางจะดำเนินต่อไป "ผมว่า เราน่าจะเห็นการขึ้นอย่างสวยงามในเดือนกันยายนและเดือนตุลาคม" เขากล่าว "ตามฤดูกาลมันเป็นไตรมาสที่แข็งแกร่ง" ความต้องการโลหะปกติจะเริ่มดีขึ้นอีกครั้งก่อนคริสต์มาสและวันหยุดอื่นๆทั่วโลก เขากล่าว โดยมากโฟกัสของทองคำจะขึ้นกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ด้วย และขึ้นกับความกลัวเงินเฟ้อจะลดลงหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น การขึ้นดอกเบี้ยของ US อาจจะจบสิ้น ซึ่งจะกัดกร่อนดอลล่าร์ และจะเพิ่มราคาโลหะมีค่า Mr. Groenewegen กล่าว โลหะเงินก็ให้การสนับสนุนราคาทองคำ โดยเฉพาะถ้า Barclays' iShares Silver Trust ประสบผลสำเร็จในการผลักดัน exchange-traded fund ที่เริ่มไปเมื่อต้นปี เขากล่าวเสริม "และนั่นจะมีส่วนในการส่งเสริมราคาด้วยเพราะของในคลังลดลงและเหลือไม่มากแล้ว" Mr. Groenewegen กล่าว เงินน่าจะขึ้นไปราว 15$-25$ ต่อออนซ์ ขึ้นกับความต้องการจริงในตลาด Dan Vaught นักวิเคราะห์จาก A.G. Edwards กล่าวว่าเขาไม่ได้มองในแง่ดีนักเกี่ยวกับภาพของราคาทองคำในช่วงปลายฤดูร้อนและการร่วงลงก่อนหน้านี้จากหลายปัจจัย นี่จะลดภาพเงินเฟ้อที่เห็น ซึ่ง Mr. Vaught กล่าวว่า น่าจะสร้างความเสียหายกับราคาจากหลายตลาดที่เข้ามามีส่วนซื้อทองคำเพื่อป้องกันเงินเฟ้อ นักวิเคราะห์แนะว่า ราคาทองคำที่สูงตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิน่าจะมาจากความต้องการในภาคเครื่องประดับ โดยเฉพาะจากผู้บริโภคแต่ดั้งเดิมอย่างอินเดียและตะวันออกกลาง Mr.Vaught กล่าวว่า เขาไม่ประหลาดใจถ้าทองคำจะกลับมาถึงระดับแถวๆ 550$ แต่มันอาจตกไปไกลได้ถึง 475$ แต่ยังคงอยู่ในรอบขาขึ้น 5 ปี เขากล่าวว่า ปัจจัยที่จะขับเคลื่อนราคาให้สูงขึ้นแทนที่ความตึงเครียดในปัญหานิวเคลียร์อิหร่านและการก่อการร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น โลหะควรจะขึ้นจากการซื้อในช่วงเทศกาลวันหยุด "ดังนั้นเราอาจจะได้เห็นความแข็งแกร่งตามฤดูกาลบางส่วนจากการเข้าสู่ไตรมาสที่ 4" เขากล่าว ขณะที่ Peter Grandich นักเขียนจาก the Grandich Letter บรรยายลักษณะของดอลล่าร์เหมือน "ผู้ป่วยระยะสุดท้าย" การอ่อนของดอลล่าร์จะโน้มน้าวกระตุ้นให้ซื้อทองคำ "ประการแรกและสำคัญที่สุด ธนาคารกลางยังคงผลักดันความเข้มงวดทางการเงินอย่างต่อเนื่องและลดสภาพคล่องลง" เขากล่าว "แม้ว่าเฟดจะหยุดในเวลานี้ เรายังคงเห็นธนาคารกลางอื่นๆยังคงเข้มงวด รวมถึงจีนที่ขึ้นดอกเบี้ยไป" 23 Aug 2006 00:06 GMT WSJ(8/23) Analysts Differ On Direction For Gold Copyright ? 2006, Dow Jones Newswires (From THE WALL STREET JOURNAL) By Allen Sykora Analysts and traders are offering mixed views on where cash and futures prices in gold may be heading. Bulls cite seasonal strength, the belief world tensions will continue because of factors such as Iran's nuclear program and the potential for the dollar to continue its recent softening. Bears wonder whether historically high commodity prices in general might start to wane and whether central banks will curtail inflation enough that some investors will stop using the metal as an inflation hedge. Gold could slip if commodities as a whole ease and Middle East tensions don't deteriorate further, Jim Steel, senior vice president and metals analyst with HSBC, said. "It will all hinge on the dollar," he said. "If, in fact, the market sees an end to the rate cuts and the dollar weakens, that would restore vigor to the gold market. But unless that happens, I think the path of least resistance is lower." Gijsbert Groenewegen, managing partner with Gold Arrow Capital Management, looks for gold to rise to as high as $850 to $900 in the months ahead because of seasonal factors and expectations that tensions in the Middle East will continue. "I think we could see a nice rally in September and October," he said. "Seasonally, it's a strong quarter." Demand for metal typically starts to pick up ahead of Christmas and other coming holidays around the globe, he said. Much of gold's focus could also hinge on third-quarter economic activity and whether inflation fears subside. If so, U.S. rate increases may be over, which could undermine the dollar. "That would boost precious-metals prices," Mr. Groenewegen said. Silver could also provide support for gold, particularly if Barclays' iShares Silver Trust has to obtain more metal to back the silver exchange-traded fund launched earlier this year, he added. "That could boost the price also because the inventories have come down dramatically and there is not much left," Mr. Groenewegen said. Silver could rise to between $15 and $25 an ounce, depending on how tight the physical market gets, he added. Dan Vaught, an analyst with A.G. Edwards, described himself as "not particularly optimistic" about gold's prospects in late summer and early fall because of several factors. "First and foremost is the ongoing central-bank push toward greater monetary tightness and reduced liquidity," he said. "Although the U.S. Fed has paused for the moment, we continue to see other central banks taking up that tightening mantel, including China overnight boosting its interest rates." This reduces global inflation prospects, which Mr. Vaught said could hurt prices since many market participants have bought gold on the fear of inflation. The analyst suggested that high gold prices since spring could be "strangling" demand from the jewelry sector, particularly among traditional consumers such as India and the Middle East. Mr. Vaught said he wouldn't be surprised if gold revisits the $550 area, but noted that it could fall as far as $475 and still remain in a five-year uptrend. He said factors that could drive prices higher instead include tensions over Iran's nuclear program and the potential for terrorist attacks. He added the metal could get a boost from buying ahead of the holiday season. "So we may see some seasonal strength as we get out into the fourth quarter," he said. Meanwhile, Peter Grandich, publisher of the Grandich Letter, characterized the dollar as "terminally ill." Dollar weakness tends to prompt buying of gold. (END) Dow Jones Newswires August 22, 2006 20:06 ET (00:06 GMT) Copyright © 2006 Dow Jones & Company, Inc. ที่มา: http://framehosting.dowjonesnews.com/sample/samplestory.asp?StoryID=2006082300060000&Take=1 {moscomment}
  13. ทองคำ - ตลาดกระทิงทึ่ม เขียนโดย ระพิน ใจดี วันเสาร์ที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๔๙ โดย Eric Hommelberg 13 กันยายน 2006 www.golddrivers.com ในกรณีที่คุณพลาดมัน ราคาทองคำตกลงมาอย่างรวดเร็วเกือบ 60 ดอลล่าร์ ในช่วงเวลาน้อยกว่า 3 วันของการซื้อขาย เนื่องจากแรงสนับสนุนที่ถูกตัดออกไปราวกับสับมีดลงเนื้อเนย .. แน่ใจได้ว่า มันได้สร้างความหวาดกลัวแก่นักลงทุนทองคำจำนวนมากและมีคำถามถึงผมมากมายว่า จะทำยังไงต่อไป.. ที่ปรึกษาทองคำหลายท่านประกาศว่าตลาดกระทิงทองคำตายแล้ว จากการเบรคทะลุแนวขาขึ้น 5 ปีในดัชนี CRB สำหรับผู้เล่นในตลาดก็ใส่เกียร์เดินหน้าทำ short หรือ ขายทองคำออกที่ระดับราคานี้ ผมอยากจะบอกว่า "ขอให้โชคดี" แต่ผมคงไม่ คิดง่ายๆ การทำ short ควรจะมีความรอบคอบที่จะทำในระดับที่มีการซื้อ overbought อย่างรุนแรง ไม่ใช่ระดับที่มีการขาย oversold ตอนนี้ ตรงกันข้าม เราควรจะถือเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ โปรดฟังผมอธิบาย ประการแรกเลย, ทิศทางพื้นฐานของทองคำมันขึ้น ไม่ใช่ลง คุณจะดีใจไหมถ้ามีใครบอกคุณว่าปีที่แล้วคุณซื้อขายทองที่ราคา 475$ ตอนนี้มันปาไป 600$ แล้ว? อย่างสุดๆ ผมจะตอบรับทันที! * ทองคำ, ตลาดกระทิง หรือ หมี? * กราฟ rGold ชี้ให้เห็นโอกาสการซื้อครั้งสำคัญกำลังใกล้เข้ามา ทองคำ, ตลาดกระทิง หรือ หมี? ทิศทางพื้นฐานของทองคำยังคงเป็นบวกนับตั้งแต่วิกฤตทั้งหลายที่ขับเคลื่อนทองคำคงชี้ราคาทองคำสูงขึ้นต่อไปในปีต่อๆไปข้างหน้า .. ,มันไปไกลเกินขอบเขตการ update เล็กๆนี้จะอธิบายในรายละเอียด แต่ ปัจจัยหลักคือ * US ดอลล่าร์ * ดีมานด์/ซัพพลาย * น้ำมัน US ดอลล่าร์ การรักษาดอลล่าร์ที่ระดับนี้ ต้องใช้เงินต่างประเทศเข้ามาถึง 3 พันล้านดอลล่าร์ต่อวันทำงาน ณ จุดหนึ่ง โลกจะบอกว่า พอก็พอ ดอลล่าร์ที่ตกต่ำลงจะเปลี่ยนไปสู่การขึ้นของราคาทองคำ.. พาดหัวอย่างนี้ แน่นอนว่าไม่เสริมความเชื่อมั่นในดอลล่าร์เลย ช่องว่างการค้าสหรัฐขยายกว้างทำสถิติ 68 พันล้านดอลล่าร์ในเดือนกรกฎาคม วอชิงตัน (MarketWatch) -- การค้าสหรัฐขาดดุลขยายวงกว้างถึง 5% ในเดือนกรกฎาคม ทำสถิติ 68 พันล้านดอลล่าร์ ตามรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ แซงหน้าสถิติเดือนตุลาคมที่ทำไว้ 66.6 พันล้านดอลล่าร์ เอาล่ะ, การขาดดุลที่มีอยู่ตลอดมาจะจบมั๊ย? ล้มละลายมั๊ย? กรุณาอย่าคิดว่าไอเดียนี้ประหลาดนะครับ ตามความเห็น ศาสตราจารย์ Laurence Kotlikoff (นักเศรษฐศาสตร์สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจอาวุโสของประธานาธิบดี สมัยเรแกน) สหรัฐกำลังมุ่งไปสู่การล้มละลายอย่างแน่นอน อ้างมาจาก the Daily Telegraph เมื่อเร็วๆนี้ งบประมาณขาดดุลที่ใหญ่เหมือนลูกโป่งและเงินบำนาญและระเบิดเวลาสวัสดิการจะส่งเศรษฐกิจของอภิมหาอำนาจไปสู่การล้มละลาย ตามการวิจัยโดยศาสตราจารย์ Laurence Kotlikoff สำหรับเฟดแห่ง เซนต์หลุยส์ หนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของเฟด ศาสตราจารย์ Kotlikoff กล่าวว่า การวัดค่าบางอย่างบอกว่า สหรัฐได้ล้มละลายแล้ว "แปลความตามดิกชันนารี่ภาษาอังกฤษฉบับอ๊อกฟอร์ดคือ สหรัฐอเมริกาได้หมดสิ้นทรัพย์สิน หมดเกลี้ยง ล่อนจ้อน แร้งแค้น ขาดคุณสมบัติหรือสูญเสียจากผลของความล้มเหลวในการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้" ตามการวิเคราะห์ของเขา รัฐบาลสหรัฐอเมริกาล้มละลายไปแล้ว ตราบเท่าที่ยังไม่สามารถชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์สร้างจรวดถึงจะเข้าใจ เงินทุนสำรองของโลกซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยประเทศที่กำลังจะล้มละลายจะไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ ดังนั้น การออกไปของผู้คนจำนวนมากจากดอลล่าร์ สามารถคาดได้ในปีต่อๆไปที่กำลังมาและและในความจริงมันกำลังมาแล้ว ดังนั้น ถ้าออกจากดอลล่าร์แลัวจะไปไหน? เมื่อเงินกระดาษหมดความน่าเชื่อถือ มีเพียงทองคำที่เป็นทางเลือก นั่นคือสาเหตุว่าทำไม คุณถึงได้ยินการคุยกันเกี่ยวกับรัสเซีย จีน อาเจนติน่า เกาหลี และอื่นๆ กำลังเพิ่ม (หรือมีแผนที่จะเพิ่ม) การสำรองทองคำ ... ใช่เลย, ทองคำคือเงินตราและกำลังคลานกลับมาสู่ระบบเงินตราอย่างช้าๆอีกครั้ง George Kapasakis นักค้าเงินอาวุโสขาก Mizuho Corporate Bank ในซิดนีย์กล่าวเมื่อเร็วๆนี้ว่า "ธนาคารกลางทั้งหลายจะใช้ทองคำเป็นสกุลเงินที่ 4 แทน US ดอลล่าร์, ยูโร และ เยน" เพื่อป้องกันความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน ทองจะเพิ่มความแข็งแกร่ง ยากที่จะเถียง เมื่อคุณเห็นพาดหัวซ้ำๆ อย่างนี้ จีนควรจะซื้อทองคำ, ที่ปรึกษาธนาคารกลางกล่าว จีนควรจะใช้ทุนสำรองต่างประเทศของตนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซื้อทองคำและน้ำมันเป็นเครื่องป้องกันการตกต่ำอย่างกระทันหันของ US ดอลล่าร์ การหนีออกจากดอลล่าร์จะส่งผลให้ดอลล่าร์ตก มันง่ายๆอย่างนั้นแหละ! การตกของดอลล่าร์เป็นมิตรกับทองคำ (และโลหะอื่น) เพียงแค่พื้นฐานเรื่องดอลล่าร์ตกต่ำ มันยังไม่เหมือนอย่างที่บอกทั้งหมด ทองคำก็ถูกมองว่าถึงจุดสูงสุดซะเรียบร้อยแล้ว ดีมานด์/ซัพพลาย ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้นในแต่ละปี อินเดีย ประเทศที่ใช้ทองคำมากที่สุดในโลกถูกคาดหมายว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้นจากระดับ 800 ตันเป็น 981 ตันในปี 2010 และ 1153 ตันในปี 2015 ตามข้อมูลของ Associated Chambers of Commerce and Industry หรือ สมาคมหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งอินเดีย แล้วซัพพลายจะมาจากไหนในปีที่กำลังจะมาถึง ใครจะจัดการกับดีมานด์/ซัพพลายที่ขาดไปมากเกิน 1500 ตันต่อปี? ไม่ใช่ผู้ผลิตทองคำแน่ ตั้งแต่ผลผลิตจากเหมืองคงที่และลดลงในอีกหลายปีต่อไป พาดหัวอย่างนี้ จะบอกตัวมันเอง ผลผลิตทองคำจาก SA gold ตกลง 7.2% ปี/ปี 12/9/2006 12.34 โยฮันเนสเบิร์ก - South African gold มีผลผลิตลดลง 7.2% ในเชิงปริมาณในเดือนกรกฎาคม ขณะที่ผลผลิตจากเหมืองโดยรวมลดลง 0.8% เปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว ผลผลิตทองคำจากออสเตรเลียประจำปีลดลง 5% วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน 13.12 AEST ผลผลิตประจำปีจากออสเตรเลียลดลง 5% ผลผลิตทองคำที่ลดลงทั่วโลกใน 4 ปีต่อไปจะทำให้เกิดการแย่งชิงทองคำ ประธาน Newmont นาย Pierre Lassonde กล่าวว่า ผลผลิตที่ลดลงจะดำเนินไปอย่างน้อยที่สุดอีก 2ปีเพราะอุตสาหกรรมไม่ได้เติมเงินลงไปในดินเมื่อราคาทองคำมันยังถูกมาก น้ำมัน นักวิเคราะห์หลายคนประกาศว่า ตลาดกระทิงน้ำมันจบแล้วในสัปดาห์นี้ เออ, ไม่แปลกเหรอ สิ่งที่เราต้องทำคือหลีกเลี่ยงราคาน้ำมันที่สูงเพื่อให้ได้สิ่งที่แตกย่อยออกมาจากตลาด วาดภาพตลาดหมี และปัญหาได้รับการแก้ไขอีกครั้ง มันไปไกลเกินกว่าที่จะมาอธิบายว่าทำไมน้ำมันไม่ลงในปีต่อๆไปที่จะมาถึง แต่ผู้อ่านทั้งหลายสามารถไปดูเนื้อหาของทองคำและน้ำมันใน Gold Drivers Report ได้ แม้ว่าราคาน้ำมันจะคงที่ที่ระดับนี้ นับแต่นี้ไป (ซึ่งผมไม่เชื่อ) ราคาทองคำยังน่าจะอยู่แถวๆ 1000$ อยู่ดี ตามประว้ติค่าเฉลี่ยของน้ำมันและทองคำ.. สุดท้าย ถ้าคุณไม่เชื่อว่าทิศทางพื้นฐานของทองคำเป็นขาขึ้น คุณก็ไม่ต้องไปลงทุนอะไรเกี่ยวกับทองคำเลย อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณถูกโน้มน้าวว่าขาขึ้นของทองคำจะมีต่อไปอีกหลายปี (อย่างที่ผมกำลังทำ) ก็แค่หาจุดที่จะเป็นโอกาสในการซื้อ เรามีโอกาส 6ครั้งสำคัญนับตั้งแต่ปี 2001 และผมมีความเชื่ออย่างมากว่า เรากำลังเข้าใกล้โอกาสนั้นอีกครั้ง กราฟ rGold แสดงให้เห็นโอกาสในการซื้อ ผมได้ใช้กราฟความสัมพันธ์เพื่อจะเลือกจุดต่ำสุดในทองคำและ HUI ปัญหากับกราฟความสัมพันธ์แม้ว่าจะไม่แสดงให้คุณเห็นโอกาสในการซื้อทั้งหมด แต่ มันบอกคุณเมื่อคุณเข้าใกล้จุดต่ำสุดที่แท้จริง มาดูกราฟความสัมพันธ์ rGold ก่อน rGold บอกเราว่าครั้งสุดท้ายของนักฆ่าขาลงเพิ่งจะเป็นการปรับฐานครั้งสุดท้า นที่เริ่มมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม (rGold จะวิ่งระหว่าง GOLD BUY ZONE ไป GOLD SELL ZONE กลับกัน) จากที่กล่าวไว้ก่อนหน้า 6 ครั้งหลักของโอกาสในการซื้อที่เกิดขึ้นได้แสดงออกมาในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาและค่อนข้างชัดเจนว่าเรากำลังเข้าใกล้โอกาสนั้นอีกครั้ง แค่คาดคะเนด้วยตัวคุณเอง การซื้อใน green BUY zone ก่อนหน้า ทำกำไรได้ขนาดไหน อีกนัยหนึ่ง rGold ไม่ทำให้เราผิดหวังในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แน่ใจได้ว่า ผมไม่ได้บอกตรงนี้ว่า ทองคำจะพุ่งขึ้นอย่างกับจรวดจากจุดนี้ ไม่ใช่, ผมกำลังพูดว่า ความเสี่ยงของทองคำช่วงขาลงจากจุดนี้มันจำกัดมากๆ และใช่, rGold น่าจะอยู่ในช่วง green BUY ZONE อย่างสบายๆ ไปอีก 2-3 สัปดาห์ เมื่อคุณซื้อในช่วง green BUYzone คุณจะซื้อถูกและนั่นคืออะไรที่การลงทุนพูดถึง คือการซื้อต่ำและขายสูง rHUI ก็แสดงในรูปแบบเดียวกัน HUI แตะ green BUY zone เมื่อวานและการ ซื้อ HUI จากที่นี่จะดันคุณไปอยู่ข้างที่ถูก Ok, คุณจะพูดว่า จะให้ซื้อตอนนี้หุ้นที่ดูจะเละตอนนี้เหรอ? ไม่หรอก, มันไม่ง่ายขนาดนั้น ทองคำยังหาตัวมันเองในช่วงขาลงที่เริ่มเมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้ ดังนั้น การยืนยันการเบรคทะลุทิศทางขาลงของมันออกมาจะเป็นอะไรที่เฝ้ารออยู่ แปลจาก: http://www.kitco.com/ind/Hommelberg/sep132006.html {moscomment}
  14. "ทองคำ"ยังคงเป้าหมาย 1000 เหรียญ - แต่เมื่อไหร่? เขียนโดย ระพิน ใจดี วันจันทร์ที่ ๐๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ช่วงก่อนก็ 450 เหรียญ สร้างความห่อเหี่ยวให้ชาวดอยอึดอัดหาวเรอมาแล้ว มา่ช่วงนี้ คำว่า 1000 เหรียญกำลังกระพือออกมาเป็นระยะ กระตุ้นต่อมนักลงทุนทองคำให้สนใจรีบโดดเข้าตลาด ลองมาดูเหตุผลที่เขาสรรหามาบอกเล่าให้พวกเราฟังดูครับ ว่าน่าเชื่อถือสักแค่ไหน โดย Myra P. Saefong, MarketWatch อัพเดทล่าสุด: 7:33 AM ET 3 พย. 2006 ซานฟรานซิสโก (MarketWatch) -- ทองคำตลาดล่วงหน้าได้ไต่ระดับสู่จุดสูงสุดเหนือ 700 เหรียญ ย้อนไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และยังไม่เคยซื้อขายใกล้ระดับนั้นอีกนับแต่นั้นมา เมื่อทองคำถึงระดับ 728$ ในเดือนพฤษภาคม "มีความตื่นเต้นกันอย่างมาก" ทำให้คิดกันไปถึง 1000 เหรียญ หรือกระทั่ง 2000 เหรียญ หรือสูงไปกว่านั้น Steven Jon Kaplan นักเขียนอาวุโสจาก TrueContrarian.com กล่าว "นับตั้งแต่นั้น, เศรษฐกิจโลกเริ่มจะชะลอตัวลง และทำให้ดีมานด์ความต้องการโภคภัณฑ์ลดลงไปด้วย" เวลานี้ ราคาได้เริ่มต้นแสดงสัญญาณบางอย่างออกมา จากสถานการณ์กิจกรรมนิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือและอิหร่าน และสหรัฐได้กล่าวหาซีเรียว่ามีแผนการณ์ที่จะโค่นล้มรัฐบาลของเลบานอน US ดอลล่าร์ยังเสียมูลค่าและการแข่งขันจากการอ่อนตัวลงของสกุลเงิน นักวิเคราะห์กล่าวว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจะกระตุ้นให้ซื้อทองคำเป็นทางเลือกในการลงทุน และเบื้องหลังอย่างนั้น ทำให้ยากที่นักวิเคราะห์ราคาทองคำจะยอมแพ้การทำนายราคาทองคำที่ 1000 เหรียญ -- แม้ว่าพวกเขาจะยอมรับว่าระดับดังกล่าวจะไกลออกไปอย่างน้อยก็เป็นปี จากการทำนายตอนแรก "เราจะไม่แปลกใจที่จะเห็นราคาทองคำที่ระดับ 1000 เหรียญ หรือกว่านั้น เร็วที่สุดอาจเป็นบางช่วงของปี 2007 และช้าที่สุดในปี 2009" Julian Phillips นักวิเคราะห์จาก GoldForecaster.com กล่าว ในระยะสั้นแล้ว "ทองคำดูจะขึ้นเพราะความต้องการใช้งานจริง หรือ physical demand ซึ่งตอนนี้ได้เพิ่มการกลับเข้ามาของเฮดฟันด์ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของขาขึ้น" เขากล่าว "การขาดแคลนน้ำมันที่อาจเกิดขึ้นได้และแรงกดดันที่จะตามมา และตอนนี้มากกว่าคำว่าอาจจะ คือการขาดเสถียรภาพของระบบการเงินโลก เมื่อดอลล่าร์เริ่มออกอาการเป็นหนอง" ซึ่งเหล่านี้จะสนับสนุนราคาทองคำในระยะกลางและระยะยาว เขากล่าว วิกฤติดอลล่าร์ กุญแจสำคัญของการขึ้นของราคาทองคำคือการตายของดอลล่าร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีเลือกตั้ง "เงินร้อนที่ไหลเข้ามาเมื่อต้นปีแทบจะไปหมดแล้วและทองคำที่ขึ้นๆลงๆจะกลับ สู่ภาวะปกติ" Peter Grandich นักเขียนจาก the Grandich Letter กล่าว "การลดลงของดอลล่าร์ดูจะเป็นหัวใจหลักที่จะทำให้ทองคำค่อยๆขึ้นไปทำ new high อย่างช้าๆ ในปี 2007" เขากล่าว "ดอลล่าร์จะอ่อนแอลงกว่าที่เป็นมา" Ned Schmidt นักเขียนจาก the Value View Gold Report ยืนยันความเชื่อที่ตลาดหมีของ US ดอลล่าร์จะเร่งเข้ามาเร็วขึ้น หลังการเลือกตั้ง "ทองคำจะเป็นทางเดียวที่จะป้องกันผลจากการเลือกตั้ง ถ้าเดโมแครกชนะ ทองคำจะขึ้น และถ้ารีพลับริกันชนะ ทองคำก็จะขึ้น" ทั้งสองพรรค .. เกิดภาวะสูญญากาศผู้นำ ขณะที่ "ภาระหนี้ที่มากเกินไปของธนาคารกลางทั่วโลกจะใกล้สู่ระดับวิกฤติ" Schmidt กล่าว และธนาคารกลางต่างๆจะลดการถือครองหนี้สินสกุลดอลล่าร์ ซึ่งจะทำให้ดอลล่าร์อ่อนลงอีก และเศรษฐกิจจะเข้าสู่ความตกต่ำในไตรมาสแรกของปี 2007 ยังความตกต่ำแก่ดอลล่าร์เพิ่มไปอีก โดยรวม การเคลื่อนย้ายจากสกุลเงินดอลล่าร์อย่างต่อเนื่อง ขณะที่การค้าขาดดุลย์มากขึ้นและมากขึ้น ดอลล่าร์อยู่ในปัญหาที่เลวร้ายมาก ดังนั้นนักลงทุนในทองคำรู้ถึงความเสี่ยงในช่วงขาขึ้น ก็แค่นักค้าจะดึงราคาทองคำต่ำลงเพื่อเพิ่มโอกาสเข้ามาในช่วงระดับที่ลดราคา Peter Spina จาก GoldSeek.com แสดงความเห็น จุดแตกหักในตะวันออกกลาง อีกเหตุผลหนึ่งที่จะทำให้ทองคำขึ้นคือสิ่งที่ตลาดแทบจะไม่สนใจในช่วงหลัง: คือความตึงเครียดที่เกิดขึ้นใหม่ในตะวันออกกลาง "เหตุผลที่แข็งแกร่งที่สุดที่ควรจะถือทองคำเดี๋ยวนี้คือความจริงที่เรามี เรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำจอดอยู่นอกขายฝั่งอิหร่าน" Ralph Preston III ผู้บริหารบัญชีของ Heritage West Financial Inc. ฐานในซานดิเอโก กล่าว และซาอุดิอารเบียได้วางกำลังกองทัพเรือและกองกำลังพิเศษเพื่อป้องกันตามจุด ต่างๆรอบๆ Ras Tanura สถานีน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก Preston กล่าว ข่าวรายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า มีความเป็นไปได้ที่อัล-ไคดาจะโจมตีสถานีน้ำมันในอ่าวเปอร์เซีย และการท้าทาย UNSC ของอิหร่าน เรื่องการให้หยุดพัฒนายูเรเนียม -- และกับจีนและรัสเซีย ต่อต้านการกระทำใดๆที่จะลงโทษอิหร่าน บทบาทของสหรัฐ "ในการปกป้องเศรษฐกิจโลก ในการรักษาความมั่นคง, ราคาที่ถูก, และการรักษาความปลอดภัยการนำน้ำมันออกจากตะวันออกกลาง ดูเหมือนกำลังจะถูกทดสอบ" เขากล่าว Preston ชี้ให้เห็น "หลังการปฏิวัติในอิหร่าน ในปี 1979 การส่งออกน้ำมันเสียระบบและทองคำได้ทำราคาสูงสุดตลอดกาลในเวลาอันสั้น" นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ดูจะคัดค้านแนวคิดขาลงของทองคำ แต่ยังมีบางส่วน "ราคาที่ลดลงน่าจะมาจากการตกต่ำอย่างฮวบฮาบของราคาน้ำมันไปสู่ 35 เหรียญต่อบาเรล, การอ่อนลงของอิสลามทั่วโลก, การค้าเกินดุลของสหรัฐและการค้าขาดดุลของจีน" Kaplan จาก TrueContrarian.com ไม่เชื่อว่าทองคำจะรักษาการฟื้นตัวนี้ไว้จนกว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย "เมื่อเฟดลดดอกเบี้ย จะทำให้การจ่ายดอกเบี้ยต่ำลง อัตราที่แท้จริงของผลตอบแทนลดลงจะทำให้ทองคำแข่งขันได้มากขึ้นจากการเป็น ทางเลือกในการลงทุน" เขาอธิบาย Brien Lundin นักเขียนจาก Gold Newsletter ให้มุมมอง "อันตรายเบื้องต้น" ต่อภาวะกระทิงสำหรับทองคำ จากการที่ เกิดผลกระทบอย่างแรงในเศรษฐกิจเอเชีย "ซึ่งจะนำไปสู่ทั้งความต้องการใช้งานจริงจากฝั่งตะวันออก และ ตลาดกระดาษ(สัญญา)ในฝี่งตะวันตก ละทิ้งทองคำชั่วคราว" แต่เขาคาดว่าจะไม่เกิดขึ้น สำหรับราคาน่าจะอยู่ราว 650-850 เหรียญในช่วงสิ้นปี ตามคำกล่าวของ Phillips. อาจมีการซื้อขายกันในช่วง 800-900 เหรียญ ตอนสิ้นปี 2007 ตามข้อมูลจาก Value View Gold Report ของ Schmidt และอาจถึงกระทั่ง 1400 เหรียญต่อออนซ์ ตอนสิ้นปี 2010 ที่มา: http://www.marketwatch.com {moscomment}
  15. ทำนายทองคำจะทำลายสถิติ เขียนโดย ระพิน ใจดี วันศุกร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ โดย คริส ฟลัด ราคาทองคำและหุ้นทองคำดูจะสำราญไปได้อีก 3-5 ปี กับการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ตามข้อมูลจาก RBC Capital Markets ซึ่งเป็นเจ้าภาพการประชุมเหมืองทองคำประจำปีในลอนดอนวันนี้ สตีเฟ่น วอล์คเกอร์, ผู้บริหารของ global mining research ที่ RBC บอกในที่ประชุมว่าการ correction หรือการลดลงของราคาทองคำได้ผ่านช่วงเวลาของมันมาแล้ว ทองคำจะไปทดสอบระดับสูงสุดที่ 725 เหรียญต่อออนซ์ในต้นปีหน้า ในช่วงที่มีดีมานด์จากภาคจิวเวลรี่ที่สูงจากอินเดีย เขากล่าว ในปี 2007, นักลงทุนจะกระหายทองคำ และโลหะพื้นฐานอื่นๆคาดว่าจะถูกยกระดับขึ้นจากสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก จากที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยเพราะการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ RBC กล่าวว่า ทองคำอาจขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 850 เหรียญ ซึ่งถึงในปี 1980, โดยได้ความช่วยเหลือจากความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของทองคำในการเป็นทางเลือกในการลงทุน การขยายตัวของชนชั้นกลางในจีน, อินเดีย และตะวันออกกลางจะส่งผลกระทบด้านบวกในดีมานด์, สิ้นสุดการขยายเวลาการโละสต็อกโดยโรงงานจิวเวลรี่ RBC ทำนายว่าดีมานด์ในภาคจิวเวลรี่จะเพิ่มขึ้นในปีหน้าเป็น 2700 ตัน และจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในดีมานด์โดยรวมที่จะเพิ่มขึ้นราว 10.6% เป็น 3924 ตัน ซัพพลายรวมทำนายว่าจะเพิ่มขึ้น 9.2% เป็น 3980 ตัน โดยผลผลิตจากเหมืองคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6.4% เป็น 2655 ตัน และคาดว่าจะสูงสุดในปี 2008 ที่ 2898 ตัน และจะลดลงอย่างต่อเนื่องหลังปี 2009 gold exchange traded funds หรือ กองทุนแลกเปลี่ยนทองคำหลัก 5 แห่งที่ได้เพิ่มการถือครองทองคำขึ้นมาได้ซบเซาลงนับตั้งแต่เกินระดับ 17 ล้านออนซ์ในกลางฤดูร้อน แต่ RBC กล่าวว่า กองทุนถอนออกไปเพียงเล็กน้อยชี้ให้เห็นว่า ดีมานด์ยังแข็งแกร่ง "ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่เป็นทางเลือกที่ดึงดูดความสนใจนักลงทุนที่กำลังหาจุดเริ่ม [จากตลาดกลับตัว] และสำหรับธนาคารกลางต่างๆที่ต้องการทุนสำรองที่หลากหลาย" คุณวอล์คเกอร์ กล่าว เงินทุนสำรองต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างเร็วมากในเอเชีย, ตะวันออกกลาง และจีน RBC กล่าวว่า ทองคำให้ผลตอบแทนที่ดีกว่านับตั้งแต่ปี 2000 เมื่อเทียบกับตัวเลือกหลักอื่นๆ (ยูโร, เยน และ สเตริง) ซึ่งน่าจะปลุกใจให้ธนาคารกลางเหล่านี้ เพิ่มจำนวนการถือครองทองคำจากระดับปัจจุบันอีก 3% RBC ยังบอกอีกว่า หุ้นทองคำให้อัตราเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่ดีที่ระดับเวลานี้ จากที่ราคาของมันได้จากค่าเฉลี่ยของราคาทองคำที่ระดับ 570 - 580 เหรียญต่อออนซ์ แปลจาก The Financial Times เผยแพร่: November 9 2006 02:00 | Last updated: November 9 2006 02:00
  16. ทำไมราคาทองคำถึงเตรียมจะขึ้น เขียนโดย ระพิน ใจดี วันศุกร์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ นักประชากรศาสตร์ ทำนายว่ากลางศตวรรษ จำนวนประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปจะเพิ่มจำนวนจาก 7% เป็นมากกว่า 15% ของจำนวนประชากรโลก และสูงกว่านี้ในกลุ่มประเทศ OECD หรือ ประเทศในกลุ่มองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development) ความมั่งคั่งที่มากกว่าคนรุ่นก่อน ทำให้ความต้องการเพิ่มในสินทรัพย์จริง โดยเฉพาะเครื่องป้องกันเสี่ยงแบบดั้งเดิมคือทองคำและเงิน ขณะที่เกิดเศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่นำโดยบราซิล,รัสเซีย,อินเดีย และจีน ซึ่งก่อนให้เกิดความมั่งคั่งใหม่ และอาจได้เห็นประชากร 2 พันล้านคนเปลี่ยนจากชาวนาไปสู่ชนชั้นกลาง จากประชากรปัจจุบัน 6.5 พันล้านคน นักประชากรศาสตร์จากสหประชาชาติทำนายว่าจะถึง 7 พันล้านคนในปี 2013, 8 พันล้านคนในปี 2028, 9 พันล้านคนในปี 2054 และ 1 หมื่นล้านคนในปี 2200 การเติบโตนี้มาจากทางเอเชียนำโดยจีน, อินเดีย และตะวันออกกลาง และส่งผลต่อดีมานด์โลหะมีค่าทั่วโลกอย่างมโหฬาร จีน: พลังทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น จะเพิ่มดีมานด์ในทองคำ ทองคำฝังลึกในใจของชาวจีน กำเนิดจากการหลอมรวมของวัฒนธรรม, สังคม และ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และเพิ่มพูนจากการเป็นประเทศที่มีประสบการณ์จากการถูกปกครองในแบบเผด็จการ ทองคำแสดงถึงความสำเร็จและเป็นโชคที่ดีในจีน และหมายถึงการเพิ่มพูนและรักษาความมั่งคั่งของครอบครัว ตามข้อมูลจาก World Gold Council จีนต่อคนใช้ทองคำต่ำที่สุดในกลุ่มเศรษฐกิจเอเชีย ผู้สังเกตการณ์หลานท่านเชื่อว่าในระยะยาว ความต้องการใช้ทองคำจะขึ้นไปถึง 3 เท่า อีกจุดที่น่าสนใจ ตลาดค้าทองคำของจีนได้มีการเปิดเสรีไปเมื่อเร็วๆนี้เอง ชาวจีนสามารถลงทุนในทองคำได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1949 เซี่ยงไฮ้ได้เริ่มต้นตลาดแลกเปลี่ยนทองคำเป็นแห่งแรกจากแผนการณ์ตั้งตลาดแลกเปลี่ยนจำนวนหนึ่งตามเมืองหลักๆของจีน โดยได้รับอำนาจจาก China Bank, China Industrial & Commercial Bank, China Constructional Bank และ China Agricultural Bank ในการสร้างบัญชีทองคำ เพิ่มเติมอีกอย่าง มันมีความเป็นไปได้ที่ความต้องการจากธนาคารกลางจะเพิ่มขึ้น จากเจ้าหน้าที่ระดับสูงได้ขอให้มีการเพิ่มทุนสำรองทองคำเพื่อป้องกันการอ่อนตัวของ US ดอลล่าร์ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว จีนถือทุนสำรองต่างประเทศเป็นทองคำถึง 95% ปัจจุบันจีนสำรองไว้เพียง 1.3% เท่านั้น ต่ำกว่าที่ประเทศอื่นที่มีเฉลี่ยขั้นต่ำที่ 3-5% จีนมีทองคำสำรองประมาณ 600 ตันเป็นเพียงเศษของสหรัฐที่เชื่อว่าถือไว้ประมาณ 8500 ตัน ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนถึงเดือนมิถุนายนปี 2006 อยู่ที่ 941 พันล้านเหรียญ Richard Russell นักเขียนจาก Dow Theory Letters กล่าวว่า "ใครมีทอง คนนั้นเป็นคนตั้งกฏ" Russell เชื่อว่าจีนได้ยอมแพ้สงครามเพื่อเป็นหนทางชนะศึกชิงอำนาจในโลก ทางที่จีนเลือกคือความยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจ ทองคำจะย้ายไปสะสมในทิศทางที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ และตอนนี้ทองคำกำลังไหลมาสู่เอเชีย ละทิ้งจากสหรัฐและยุโรป อินเดีย: วัฒนธรรมสัมพันธ์รักกับทองคำ ประเทศที่บริโภคทองคำอันดับ 1 ของโลก และประชากร 1.1 พันล้านคนกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ปัจจุบัน อินเดียใช้ทองคำเกือบ 30% ของทองคำที่ผลิตออกมาในแต่ละปี ที่ประมาณ 720 ตัน และคาดหมายว่าจะเพิ่มเป็น 36% ที่ 980 ตันในปี 2010 และ 60% เป็น 1152 ตันในปี 2015 ตามข้อมูลจากหอการค้าอินเดีย ทองคำเป็นของขวัญปกติ ในหลายรูปแบบ และในงานแต่งงานปกติก็จะเป็นสินสมรส ฤดูกาลแต่งงานของอินเดียจะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนพฤษภาคมและแต่ละปีจะมีคู่แต่งงานประมาณ 8 ล้านคู่ ความมั่งคั่งจากน้ำมัน จะเพิ่มการนำเข้าทองคำสู่ตะวันออกกลาง ขณะที่ประชากรโลกทางตะวันตกแก่ลง เกินครึ่งของประชากรตะวันออกกลางจะอายุต่ำกว่า 18 ในเวลาไม่ถึง 10 ปี ปีที่แล้ว ธนาคารโลกเตือนว่า ต้องสร้างงานประมาณ 100 ล้านงานในปี 2015 ในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพในภูมิภาค ความมั่งคั่งจากราคาน้ำมัน จะเพิ่มความต้องการทองคำสู่ตะวันออกกลาง เช่นที่ดูไบได้นำเข้าทองคำเพิ่มขึ้นเกือบ 40% ใน 2 ปีที่ผ่านมา จาก 373 ตันในปี 2003 เป็น 522 ตันในปี 2005 แรงกระตุ้นในการซื้อทองคำแข็งแกร่งขึ้น จากการที่บางประเทศหมางเมินนโยบายของสหรัฐในภูมิภาคและมองหาการเคลื่อนย้ายจาก US ดอลล่าร์ OPEC และประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ได้มีการพูดคุยเรื่องการเปลี่ยนราคาน้ำมันมาเป็นยูโร แทนที่จะเป็น US ดอลล่าร์ ข้อเสนอจากอดีตนายกรัฐมนตรีมาเลย์เซีย ดร.มหาเธร์ ได้เสนับสนุนให้มีการซื้อขายน้ำมันในหน่วยยูโรหรือทองคำ เขายังสนันสนุนอย่างแรงกล้าในการสร้างสกุลเงินใหม่ของภูมิภาคเหมือนอย่างยูโร ซึ่งสนับสนุนด้วยทองคำเพื่อป้องกันการโจมตีเงินกระดาษของชาติที่อ่อนแอกว่า การผลิตทองคำยังทรงตัว แม้ว่าราคาทองคำจะขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมาตั้งแต่ปี 2000 การผลิตทองคำยังทรงตัว เมื่อเร็วๆนี้ World Gold Council ได้กล่าวเร็วๆนี้ว่า การผลิตคงไม่เพิ่มขึ้นและคงไม่ไปลดราคาลง ในปี 2005 การผลิตลดลง 2% ตามข้อมูลจาก Gold Field Mineral Services (GFMS) เหมืองในแอฟริกาใต้ลดลง 7% การผลิตทั่วโลกลดลง 114 ตัน มากที่สุดในเทอมน้ำหนักนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 GFMS ทำนายการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในการผลิตจากเหมือง และจากการขึ้นเล็กน้อยจากทองเก่า การขายของธนาคารกลางลดลง ในปี 2006 ครึ่งปีแรกลดลง 60% จากปีที่แล้ว และคาดการณ์ว่าครบปีคงต่ำกว่า 400 ตัน การผลิตครึ่งปีแรกลดลง 1.5% ที่ 1168 ตัน ลดลงมากสุดคืออินโดนีเซียและแอฟริกาใต้ ลดไป 6.1% ในช่วง 3 เดือนจบที่กรกฎาคม การผลิตทองคำคาดว่าจะไม่เพิ่มขึ้นในระยะ 2-3 ปี โดยเหมืองใหม่ยังต้องใช้เวลาในการสำรวจและพัฒนา ที่กล่าวมา การผลิตทองคำคาดว่าจะทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่ความต้องการยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากพื้นฐานเศรษฐกิจที่กล่าวมา แม้ว่าจะมีความสนใจเล็กๆที่เพิ่มจากนักลงทุน โลหะสีเหลืองก็สามารถขยับราคาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 16.11.2006 โดย Mark O'Byrne สำหรับ The Daily Reckoning. www.dailyreckoning.co.uk http://www.moneyweek.com/file/21679/why-the-price-of-gold-is-set-to-rise.html
  17. ทองคำกำลังจะวิ่งขึ้นหรือจะถอยลงกันแน่? เขียนโดย ระพิน ใจดี วันเสาร์ที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔ ทองคำได้ถูกคาดหมายว่าจะพุ่งขึ้นมากว่า 600 เหรียญต่อออนซ์ก่อนสิ้นปี 2006 โดยรายงานของ GFMS ที่ออกมาในเดือนเมษายน ราคาจริงได้ติดจรวจขึ้นไปถึง 725.75 เหรียญต่อออนซ์ในวันที่ 12 พฤษภาคมปีนี้ แม้ว่าราคาจะลงมานับจากนั้นและราคาซื้อขายปัจจุบันอยู่ที่ประมาณระดับ 620 เหรียญ ทำไมทองคำถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนั้น ปกติอารมณ์กระทิงทองคำมีพื้นมาจากสมรรถภาพของราคาที่แข็งแกร่งในช่วง 4 ปีหลัง และเป็นสิ่งที่เพิ่มความมั่นใจแก่นักลงทุน การวิ่งขึ้นในปี 2005 ได้ขจัดความรู้สึกต่อต้านทองคำที่ยังคงเหลือมาจากความผิดหวังในปี 1990 ความไม่สมดุลย์ของเศรษฐกิจสหรัฐ (ซึ่งตอนนี้ขาดดุลย์ทำสถิติใหม่ในไตรมาสที่สามปีนี้), ควบคู่ไปกับความสิ้นหวังในอนาคตของดอลลาร์ แต่เป็นนิมิตที่ดีสำหรับทองคำ ปัจจัยอื่นที่ GFMS อ้างถึง คือความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในดินแดนตะวันออกกลางและภัยคุกคามจากการก่อการร้ายทั่วโลกล้วนส่งผลทางบวกต่อโลหะสีเหลืองในปี 2006 ทองคำยังได้ประโยชน์จากความสนใจในโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุน ทั้งจากเรื่องความเสี่ยงและทางเลือกในการลงทุนนอกจากหลักทรัพย์, พันธบัตร และ เงินสด "แทนที่จะเป็นปัจจัยมูลฐาน ตลาดกระทิงทองคำในปัจจุบันได้รับการสนับสนุนจากการบูมของตลาดโลหะพื้นฐานและตลาดพลังงาน จากที่ได้ถูกพิสูจน์ให้เห็นในช่วงที่ตลาดเหล่านี้เกิดความผันผวน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนมิถุนายนและเดือนกันยายน" Marino Pieterse จาก Goldletter International บน Kitco.com กล่าว การอ่อนค่าลงในเดือนธันวาคม แต่อะไรที่ตก ในราคาทองคำตั้งแต่ช่วงกลางปีมา? ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน นักเศรษฐศาสตร์ได้ทำนายอีกครั้งว่า ทองคำจะทะยานขึ้นไปถึงระดับ 700 เหรียญ แต่ขาลงในช่วงเดือนธันวาคมดูจะดับความหวังนั้นไป ราคาทองคำถอยจาก 648.20 เหรียญในช่วงเริ่มเดือนธันวาคม มาเหลือระดับปัจจุบันราว 620 เหรียญต่อออนซ์ ตามที่ John Lee จาก Mau Capital Management บน Kitco.com กล่าว "ปกติ เดือนธันวาคมจะมีความผันผวนและมีปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง ดังนั้นอย่าไปอ่านอะไรให้มันลึกมากไปในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้าย" Lee และ Pieterse เชื่อว่า กระทิงทองคำยังไม่ถึงจุดจบ เรี่ยวแรงที่เพิ่มขึ้นกำลังจะมา ราคาน้ำมันที่ยังขึ้น จะเป็นปัจจัยหลักที่จะส่งผลต่อราคาทองคำ และ "กับการที่ ประเทศกลุ่มโอเปค ได้ล็อคราคาน้ำมันที่ประมาณ 60 เหรียญต่อบาเรล ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ราคาทองคำจะไม่หล่นลงไปต่ำกว่าระดับ 600 เหรียญอีก และตลาดกระทิงทองคำจะดำเนินต่อไปในปี 2007" เขากล่าว Lee กล่าวว่า การเบรคเอ็าท์ หรือการฝ่าแนวต้านในเดือนพฤศจิกายนเปรียบเทียบกับเงินสกุลหลักทั้งหมด ถือเป็นเหตุการณ์ที่มีนัยสำคัญและโลหะมีค่าน่าจะวิ่งต่อไปสู่ต้นปี 2007 "ในช่วง 2 เดือนสุดท้าย ทองคำได้แสดงให้เห็นพลังอันยอดเยี่ยมเมื่อเทียบกับน้ำมัน, โลหะพื้นฐาน และเงินสกุลหลักของโลก" เขาเสริมว่า "เราเชื่อว่าความแข็งแกร่งในตลาดเมื่อเร็วๆนี้เป็นแค่สัญญาณของสิ่งที่กำลังจะตามมา", กับตลาดโลหะมีค่าที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าโภคภัณฑ์อื่นๆในปี 2007 แปลจาก: http://business.iafrica.com/news/532787.htm
  18. รอสส์ นอร์แมน ทำนาย ราคาทองคำ ปี 2007 จะถึง 850 เหรียญ เขียนโดย ระพิน ใจดี วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๐ นักวิเคราะห์จาก ThaBullionDesk.com นาย รอสส์ นอร์แมน ผู้ซึ่งเป็นผู้ชนะของ LBMA ปี 2006 ในการทำนาย ราคาทองคำ ได้แม่นที่สุด ได้ทำนาย ราคาทองคำ ปีนี้ว่าจะขึ้นไปได้ถึง 850$ ต่อออนซ์ในปี 2007 "ผมคิดว่า ราคาจะขึ้นไปได้ถึง 850$ ในปีนี้" นอร์แมนกล่าว "เราทำนายราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 700$ โดยจะพุ่งสูงขึ้นไปสุดที่ 850$ ใน 4 จาก 5 ปีล่าสุด ทองคำขึ้นไปมากกว่า 20% ต่อปี โดยปี 2006 ขึ้นมา 23% เราทำนายว่าปี 2007 จะขึ้นไปอีก 20%" เขากล่าวว่า "มันเป็นบวกเอามากๆ" เพราะพื้นฐานตลาดที่เข้มแข็งและ "โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพราะปริมาณเงินสดมหาศาลจะเข้ามาสู่โภคภัณฑ์ (ประมาณ 120 พันล้านดอลล่าร์ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา), ซึ่งได้ทำให้โลหะทำสถิติสูงขึ้นทั่วกระดาน .. กองทุนบำนาญเกือบทั้งหมดได้ย้ายสินทรัพย์ของพวกเขาจำนวนหนึ่งเข้ามาสู่ทองคำ" "เป็นครั้งแรกในคนรุ่นนี้ที่มีตลาดทองคำเปิดขึ้นในประเทศจีน; ในปากีสถาน, ผู้คนจะเข้ามาสู่ตลาดทองคำในไม่ช้า" และประเทศอื่นๆ ก็ปล่อยนโยบายเสรีในการซื้อทองคำ "และอีกอย่าง ยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆในตลาดทองคำ เช่น ETFs, ซึ่งจะนำคนเข้ามาสู่ตลาด" "ธนาคารกลางก็ดูจะอยากขายทองน้อยลงกว่าเก่า และความจริง ธนาคารกลางบางแห่งกลับซื้อทองเข้าไปเก็บ" TheBullionDesk's Ross Norman calls $850 gold in 2007 By Jon Nones 09 Jan 2007 at 01:14 PM According to TheBullionDesk.com analyst Ross Norman, winner of the LBMA 2006 gold price forecasts, the price of gold could hit $850/oz in 2007. Below are excerpts from an article by Platts. "I think gold could hit $850 this year," said Norman. "We are predicting an average price of $700/oz with a spike to $850/oz. In four of the last five years, gold gained more than 20% per year, with a 23% rise in 2006. We are forecasting a further 20% rise in 2007." He said gold’s propects are "very positive" because of strong market fundamentals and "particularly because of the huge amount of cash coming into commodities (about $120 billion in the past few years), which have taken metals across the board to record highs ... almost every pension fund moving a percentage of their assets into gold." "For the first time in a generation the gold market is opened up in China; in Pakistan, people will soon enter the gold market" and other countries are liberalizing their policies on gold purchases by the public, said Norman. "In addition to that, there are new products in gold, such as ETFs, bringing an entirely new audience into the market." "Central banks seem less willing to sell gold than in the past, and the truth is that some central banks are buying gold," he concluded. (See CBGA activity.) แปลจาก: http://www.resourceinvestor.com/pebble.asp?relid=27892 เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: {Mosmodule module=RelatedItems}
  19. ทองคำ ยังสร้างความสับสนอีกครั้ง โอกาสในการเข้าซื้อ หรือ สัญญานการถอนตัว? เขียนโดย ระพิน ใจดี วันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๐ การร่วงลงมาปรับฐานของ ราคาทองคำ เมื่อเร็วๆนี้ ได้ทำให้นักวิเคราะห์ชี้ปัจจัยหลายตัวที่นำไปสู่ภาวะตกต่ำ แต่นี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว หรือ เป็นสัญญานถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น? ในช่วงไม่กี่สัปดาห์และไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ผู้เชียวชาญเกือบทั้งหมดได้ทำนายว่าจะมีการวิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็วเหนือระดับ 700 เหรียญ แต่ตลาดทองคำจริงๆกลับตอบสนองไปในทางตรงกันข้าม ร่วงลงอย่างเร็วกลับมาสู่ระดับ 660 เหรียญในวันพฤหัส แต่อย่างน้อยที่สุดยังแสดงให้เห็นการฟื้นกลับมาได้อีกเล็กน้อยในวันนี้ (ศุกร์ที่ 11) นี่คือโอกาสในการเข้าซื้อ หรือ การถอนตัวออกกันล่ะ? พื้นฐานที่ดียังคงนึกถึงได้เป็นประการแรก แต่ทองคำก็ยังฝืนพื้นฐานในช่วงที่ผ่านมาและไม่ต้องสงสัยว่ายังจะต้องเกิดขึ้นอีกในอนาคต แต่บางทีอาจจะยังไม่ใช่ตอนนี้ ถ้าดูรูปแบบราคา มันได้เคลื่อนขึ้นมาตามละดับทีละก้าวนับตั้งแต่ปี 1999 การร่วงลงอย่างเร็วเพื่อปรับฐานเกิดขึ้นมาล่าสุดในเดือนมกราคม มีนาคม และเวลานี้ คือต้นเดือนพฤษภาคม มีหลายทฤษฎี เกี่ยวกับเหตุที่ทำให้เกิดการดำดิ่งของราคาล่าสุด การแข็งค่าขึ้นเพียงเล็กน้อยของ US ดอลล่าร์ (แต่คงจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ) เพราะการที่เฟดหรือธนาคารกลางสหรัฐตัดสินใจที่จะไม่ลดดอกเบี้ยลง และ ECB หรือ ธนาคารกลางยุโรปก็ไม่ขึ้นดอกเบี้ย, ความผิดหวังที่ทองคำไม่สามารถทะลุขึ้นไป ขณะที่ตลาดหุ้นยังคงไต่ขึ้นได้, การขายทองออกมาเพิ่มเติมจากธนาคารกลาง (ของสเปนได้ประกาศว่าได้ขายออกมา 2.6 ล้านออนซ์ในเดือนมีนาคมและเมษายน), การปิดสัญญาเดือนมิถุนายนที่ตลาด Comex ทั้งหมดที่กล่าวมาและยังอีกสารพัดที่รวมๆกันได้ถูกอ้างโดยนักวิเคราะห์ว่าเป็นเบื้องหลังความตกต่ำครั้งนี้ ตามตรรกแล้ว เหตุผล(ข้อแก้ตัว)เหล่านี้ส่งผลระยะสั้นทั้งหมด - และจริงๆควรจะเป็นปัจจัยบวกสำหรับทองคำในช่วงเวลาที่กำลังใกล้เข้ามา, แต่ทำไมทองคำ มักไม่ค่อยเป็นไปตามหลักตรรกที่ว่า? บางทีตาม บางทีไม่ แม้ว่ากระทิงทองคำจะชี้ไปที่การวิ่งขึ้นตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และไม่ได้ขยับเร็วหรือชันจนเกินไป ทันทีที่เกิดการลดลงอย่างเร็ว อย่างเช่นที่เพิ่งเกิดไปไม่กี่วัน และมาถึงระดับที่กำหนด จะเกิด stop loss sales หรือ การขายเพื่อลดการขาดทุนที่สร้างขึ้นโดยคอมพิวเตอร์ กระตุ้นให้ราคาร่วงลงไปอีก นักวิเคราะห์กล่าวว่า มันจะเกิดเมื่อทองคำแตะระดับ 675 เหรียญ แล้วลำดับต่อไปที่ 670 เหรียญ แน่นอน คอมพิวเตอร์มีโลจิกตามที่โปรแกรมเพื่อหาจุดที่เสียหาย - แต่ไม่สามารถเห็น หรือวิเคราะห์ภาพใหญ่ และขณะที่มันสามารถหยุดความเสียหายครั้งใหญ่ได้ มันไม่สามารถโปรแกรมให้หาจุดที่อาจจะเป็นขาขึ้น และซื้อกลับ นั่นเป็นสิ่งที่นักลงทุนแต่ละคนสามารถคิดเอง ผมคิดว่าขาลงที่จะเกิดขึ้น เป็นโอกาสในการเข้าซื้อ แต่ขอให้มองทองคำเป็นแค่ส่วนหนึ่งของแผนการลงทุน ดอลล่าร์ยังคงอ่อนแอมาก แม้ว่าอะไรก็ตามที่เทรนระยะสั้นชี้ไป สหรัฐยังคงวิ่งเข้าสู่การขาดดุลย์อย่างมโหฬารและไม่มีสัญญานใดๆที่จะมีการแก้ไข ขณะที่การสนับสนุนดอลล่าร์จากธนาคารกลางซึ่งกลัวกลียุคทางการเงินหากดอลล่าร์ล่มสลาย จะยังคงทำให้การขึ้นของราคาทองคำอ่อนหรือเบาบางลง และนำไปสู่การร่วงเป็นครั้งคราวเมื่อมีปัจจัยที่เสริมเข้ามารวมหัวกันส่งผลต่อตลาดในระยะสั้น แปลจาก: http://www.mineweb.net/mineweb/view/mineweb/en/page33?oid=20795&sn=Detail
  20. ธรรมะ 9 ข้อ สำหรับการลงทุน เขียนโดย felm วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๐ โดย กาญจนา หงษ์ทอง ดับราคะ โทสะ โมหะ - "สติปัญญา" ช่วยลดเสี่ยง ในยุคที่จตุคามรามเทพ กลายเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจคนไทยจำนวนไม่น้อย จากรุ่นรวยธรรมดาๆ เดี๋ยวนี้มีรุ่นโคตรรวย ไปจนถึงอภิมหาเศรษฐี ขนาดนักลงทุนในตลาดหุ้นบางคน เดี๋ยวนี้จะเดินเข้าห้องค้า ยังพกจตุคามรามเทพติดตัวไปด้วย ไม่แน่ใจว่าอีกหน่อยจะมีรุ่น "รวยหุ้น" ออกมารึเปล่า ไม่ว่ายุคใดสมัยใด เราก็จะได้เห็นเศรษฐกิจมีการเจริญเติบโต สลับกับการถดถอยชะลอตัว ได้เห็นตลาดหุ้น ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยที่ขึ้นๆ ลงๆ ได้เห็นธรรมชาติที่แปรเปลี่ยน อากาศที่แปรปรวน ได้เห็นการคิด การประดิษฐ์ การผลิต การพัฒนาข้าวของ เครื่องใช้ หรือสินค้าใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน ข้อเท็จจริง ที่ปรากฏเหล่านี้แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในทุกหนทุกแห่งบนโลกใบนี้ ทั้งโดยฝีมือมนุษย์ และเกิดขึ้นโดยตามธรรมชาติ แทบจะทุกๆ วินาที มีการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ จะเกิดขึ้นมากมายหรือรวดเร็วเพียงใด หลักปฏิบัติตามแนวทางคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังคงทันสมัย In trend อยู่เสมอ เพราะยังสามารถปรับใช้ได้สำหรับการดำเนินชีวิตในทุกรูปแบบ ในทุกสถานการณ์ ไม่เว้นแม้การประยุกต์ใช้เพื่อการลงทุน การสร้างผลตอบแทนให้งอกงามตามที่ต้องการ เพราะหลักธรรม คำสอนในพระพุทธศาสนาสอนให้เรามีเหตุ มีผล สอนให้เราเห็นความจริงตามธรรมชาติ โลกจะเปลี่ยนไปเพียงใด ตลาดหุ้น อัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน ราคาทองคำ จะผันผวนสักแค่ไหน บริษัทจะกำไรหรือขาดทุน หากเราเข้าใจธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง คิดพิจารณาตามการเปลี่ยนแปลงอย่างมีเหตุมีผล เราก็จะสามารถบริหารการเปลี่ยนแปลง บริหารชีวิตให้ดำเนินไปได้อย่างไม่มีทุกข์ หุ้นจะตก ดอกเบี้ยจะต่ำ น้ำมันจะแพงเพียงใด การน้อมนำธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันจะทำให้เราเข้าใจ และมีกำไรจากการลงทุนได้เสมอ เนื่องจากพุทธศาสนาสอนให้เรามีเหตุ มีผล สอนให้เราเห็นความจริงตามธรรมชาติ ซึ่งเราจะเข้าใจธรรมชาติของการลงทุน และจะรับมือกับความผันผวน การขึ้นๆ ลงๆ หรือความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้น "อัจฉรา โยมสินธุ์" อาจารย์ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้นำเสนอ 9 หลักธรรม สำหรับการลงทุน เพื่อการลงทุนอย่างไม่เป็นทุกข์ และเพื่อความมั่งคั่งที่ยั่งยืน @ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท หลักธรรมข้อแรกที่พึงระลึกไว้เสมอทุกครั้งก่อนการตัดสินใจลงทุน ก็คือ อัปปมาทะ หรือความไม่ประมาท เพราะว่า ปมาโท มจฺจุโน ปทํ หรือความประมาทเป็นทางแห่งความตาย การวิเคราะห์การลงทุนอย่างมีสติ คือ ความไม่ประมาท เรามักได้ยินคำเตือนอยู่บ่อยๆ ว่า "การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน" ในยุคข้อมูลข่าวสารที่มารวดเร็ว และมีมากมาย เช่นในปัจจุบัน การศึกษาข้อมูลให้รอบคอบจึงเป็นเรื่องจำเป็น การพิจารณาข้อมูลข่าวสารอย่างไม่ประมาทจะช่วยให้เรารู้จักแยกแยะ สามารถคัดเลือกหลักทรัพย์ที่ดี หาทางเลือกในการลงทุนที่เหมาะสมได้ นอกจากนี้ ในแง่ของความไม่ประมาท อาจพิจารณาเป็นเรื่องการจัดสรรสินทรัพย์ หรือ Asset Allocation เพื่อลดความเสี่ยงได้ด้วย การไม่ประมาทในการจัดสรรสินทรัพย์ คือ เงินสำหรับการลงทุน ควรเป็นเงินส่วนที่ไม่จำเป็นต้องกันไว้เพื่อใช้จ่าย หรือไม่กู้หนี้ ยืมสินมาลงทุน เราควรพิจารณาว่า เราสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด แล้วจัดสรรสินทรัพย์ให้เหมาะสม ใครรับความเสี่ยงได้มากหน่อย ก็อาจจะลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้นหน่อย เพื่อผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น สัดส่วนการจัดสรรสินทรัพย์ที่ดี ถือเป็นความไม่ประมาทในการลงทุน ในทางตรงข้าม การไม่ลงทุนอะไรเลย ไม่สนใจจะสร้างดอกผลจากการลงทุน ก็ถือเป็นความประมาทเหมือนกัน เพราะอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน เราไม่รู้ว่าอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย ราคาสินค้าจะเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากน้อยเพียงใด แผนการเกษียณอายุของเราอาจจะถูกบั่นทอนได้เพราะความประมาทไม่สนใจการสร้างผลตอบแทนอย่างที่เราควรจะทำได้ @รู้และเข้าใจด้วยตนเองแล้วจึงเชื่อ หลักธรรมข้อที่สองที่ควรพิจารณา คือ หลักกาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หรือหลักความเชื่อที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงต่อชาวกาลามะไว้ว่า 1. อย่าเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา 2. อย่าเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา 3. อย่าเชื่อ ด้วยการเล่าลือ 4. อย่าเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา 5. อย่าเชื่อ ด้วยการนึกเดาเอาเอง 6. อย่าเชื่อ ด้วยการคาดคะเน. 7. อย่าเชื่อ ด้วยการตรึกตรองตามอาการ 8. อย่าเชื่อ ด้วยเห็นว่าถูกตามลัทธิตน 9. อย่าเชื่อ ด้วยเห็นว่าผู้พูดน่าเชื่อได้ และ 10. อย่าเชื่อ ด้วยนับถือว่าท่านเป็นครูของเรา อัจฉราบอกว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนให้เชื่อ ก็ต่อเมื่อเรารู้และเข้าใจด้วยตนเองแล้วจึงเชื่อ ใครที่ลงทุนตามข่าว ตามกระแส เลือกหุ้น เลือกกองทุน ตามที่เพื่อนแนะนำ ตามที่นักวิเคราะห์ชี้ชวน ตามที่ผู้รู้ลงทุน หรือตามหมอดูบอก อาจจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการลงทุน คงต้องทำการบ้านมากขึ้น พิจารณาทางเลือกในการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเองด้วยตนเอง ศึกษาที่มาที่ไปของแต่ละทางเลือกให้ถ่องแท้มากขึ้น สาเหตุที่เราไม่ควรลงทุนตามๆ กันไป ก็เพราะว่านักลงทุนแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน เราต่างมีเป้าหมายในการลงทุนที่แตกต่างกัน มีวิถีชีวิต มีข้อจำกัด มีความชอบ ความไม่ชอบ ความพึงพอใจที่แตกต่างกัน มีความสามารถในการรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน ทางเลือกในการลงทุนจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัว ทางเลือกในการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด จึงควรเป็นทางเลือกที่เรารู้ และเข้าใจอย่างดีที่สุด @รู้จัก-เข้าใจในการเลือกลงทุน-มีเงินทุนพร้อม หลักธรรมข้อที่สาม ที่ควรน้อมนำมาพิจารณา ก็คือ ปาปณิกธรรม 3 ประการ ที่เป็นหลัก เป็นองค์คุณสำหรับพ่อค้าวาณิช ซึ่งนักลงทุนจะนำมาปรับใช้ได้อย่างตรงไปตรงมา ปาปณิกธรรม 3 ประกอบไปด้วย 1. จักขุมา คือ ตาดี นักลงทุนต้องมีตาดี รู้จักเลือกหุ้น เลือกสินทรัพย์ที่จะลงทุน คือ ต้องดูของเป็นจึงจะสามารถสร้างกำไรได้ 2. วิธูโร คือ มีความจัดเจนในการลงทุน ต้องรู้ เข้าใจในการเคลื่อนไหวของตลาด รู้ความต้องการของตลาด และ 3. นิสสยสัมปันโน คือ ต้องพร้อมด้วยแหล่งเงินทุน ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า หรือนักลงทุน การมีเงินทุนพร้อม ย่อมได้เปรียบในหลายด้าน ปาปณิกธรรม 3 ถือเป็นคุณสมบัติที่ดีของนักลงทุนที่ทุกท่านสร้างให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง ลองพิจารณาดูว่า เรายังขาดข้อใดอยู่บ้าง ซึ่งหลักสองข้อแรก ทั้ง จักขุมา และวิธูโร สร้างได้จากการติดตามข่าวสาร การหาข้อมูล สะสมความรู้ หมั่นสังเกตความเป็นไป ใช้ความรอบคอบในการพิจารณาการลงทุน และจากประสบการณ์ที่สั่งสม ส่วนข้อสาม นิสสยสัมปันโน สร้างได้จากการขยันหมั่นเพียรทำงาน เก็บหอมรอมริบ สะสมทรัพย์จนมีเงินทุนพร้อมไปลงทุน. โภคา สนฺนิจยํ ยนฺติ วมฺมิโกวูปจียติ ทรัพย์สินย่อมพอกพูนขึ้นได้เหมือนดังก่อจอมปลวก @ลดความยึดมั่นถือมั่น ส่วนหลักธรรมข้อที่สี่ ที่ต้องเข้าใจ และจัดการตัดลดลงให้ได้ ให้หมดในการลงทุน ก็คือ อุปาทาน 4 หรือความยึดมั่น ถือมั่น การผูกพันเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ด้วยอำนาจกิเลส ด้วยมนตราแห่งตัณหา ตั้งแต่ 1. กามุปาทาน 2.ทิฎฐุปาทาน 3. สีสัพพตุปาทาน และ 4. อัตตวาปาทาน หรือไล่ไปตั้งแต่การยึดมั่นในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส การยึดมั่นในทิฎฐิ หรือทฤษฎี การยึดมั่นในข้อปฏิบัติ วิธีที่ทำตามๆ กันมา กระทั่งการยึดมั่นในตัวตน การถือความสำคัญของตัวตน ที่ไม่ได้เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์ของเหตุและผล ตัวอย่างง่ายๆ อย่างเช่น นักลงทุนส่วนใหญ่จะยึดติดกับภาพในอดีตของการลงทุน หลายคนเคยร่ำรวย หรือเคยเห็นคนร่ำรวยจากการลงทุน จึงมีภาพที่สวยงาม มีรสชาติที่หอมหวานของการลงทุนเป็นที่ยึด ส่วนหลายคนอาจจะเคยเป็นแมลงเม่าที่ต้องหมดเนื้อหมดตัวในตลาดหุ้น ก็จะยึดติดกับความเข็ดขยาดของตลาดหุ้น นอกจากนี้ ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่เลือกลงทุนในกองทุนรวม ในตราสารหนี้ หรือในหุ้นที่เคยทำกำไร เคยให้ผลตอบแทนที่ดีในอดีต โดยอาจจะลืมมองอนาคตของกองทุนรวม หรือตราสารเหล่านั้น หลายๆ กองทุนอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการกองทุนไปแล้ว หรือสภาพเศรษฐกิจที่ไม่เหมือนเดิมที่อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อนโยบายการลงทุนที่ดีในอดีต และมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่มั่นใจในตนเอง มีตัวตนเป็นใหญ่ เป็นที่ติดยึด เชื่อมั่นในทุกการตัดสินใจของตนเองโดยไม่ฟังเหตุผล ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว การยึดมั่น ถือมั่นเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนทั้งสิ้น เพราะอดีตที่ดี ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าอนาคตจะดีเสมอไป ทางที่ดีนักลงทุนควรจะต้องพิจารณาความสัมพันธ์ของเหตุและผลที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน การกระทำ การตัดสินใจ ทฤษฎี หรือวิธีปฏิบัติในอดีตควรจะถูกปรับปรุง ถูกนำมา Update ให้ทันยุคทันสมัยก่อนจะใช้เป็นเครื่องมือหรือส่วนประกอบเพื่อสร้างอนาคตในการลงทุน @ดับราคะ-โทสะ-โมหะ นอกจากอุปาทาน 4 แล้วยังมี อัคคิ 3 เป็นหลักที่ต้องเข้าใจ และต้องละให้ได้ หลักธรรมข้อที่ห้าจึงเป็นข้อพึงระวังใน อัคคิ 3 หรือ ไฟ 3 อย่าง ที่จะเผาผลาญจิตใจ ให้ร้อนรน หรือกิเลสที่ก่อขึ้นในใจจาก 1. ราคัคคิ ไฟคือ ราคะ 2. โทสัคคิ ไฟคือ โทสะ และ 3. โมหัคคิ ไฟคือ โมหะ ไฟทั้งสามนี้ คือ ความติดใจอยากได้ ความขัดเคืองไม่พอใจ ความหลงไม่เข้าใจสภาวะตามความจริง เราเห็นคนมากมายพยายามจะปั่นหุ้น เพื่อให้ได้กำไรมากขึ้น เราเห็นคนมากมายพยายามจะจับเสือมือเปล่า เพราะต้องการมีเงินมีทอง มีทรัพย์สมบัติมากขึ้น เราเห็นหลายคนโมโห โกธร ทะเลาะกันเพราะหุ้นตก เราเห็นหลายคนเจ็บป่วย ไม่สบายใจ วิตกกังวล กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะไม่ได้กำไรตามที่อยากได้ เราเห็นกระทั่งคนฆ่าตัวตาย เพราะขาดทุน เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนที่มีอยู่จริงของความโลภ ความโกธร ความหลง ไฟร้ายที่เผาผลาญจิตใจของนักลงทุนที่ไม่สามารถควบคุมจัดการตนเองได้ ไฟทั้งสามนี้ไม่มีใครช่วยเราดับมันลงได้ นอกจากตัวเราเองที่ต้องค่อยๆ ลดอุณหภูมิความร้อนของไฟให้เย็นลง ละวางเชื้อของไฟเหล่านี้ลงบ้างทีละเล็กทีละน้อย การแบ่งปัน การให้ทาน การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในรูปแบบต่างๆ จะช่วยเพิ่มองศาความเย็น และสร้างความสงบในจิตใจเราได้ ในมุมของการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความผันผวนมากๆ นักลงทุนควรจะกำหนดเพดานความอยาก และระดับการขาดทุนที่รับได้ให้ชัดเจน แล้วปฏิบัติตามเกณฑ์ที่วางไว้ อย่างเช่น หากราคาหุ้นในพอร์ตเพิ่มขึ้น 10% ก็จะขายเพื่อทำกำไร หากราคาหุ้นลดลง 5% ก็จะตัดใจขายทิ้งยอมขาดทุน ใครที่ถูกอัคคิ 3 ครอบงำมักจะทำไม่ได้ตามที่ตั้งใจคือ ในช่วงที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นก็อยากจะได้มากขึ้นไปอีกจึงมักรอต่อไป ในทำนองเดียวกัน หากหุ้นตัวไหนลดลง ก็ไม่ Cut loss ตามที่วางแผนไว้ กลับคิดเข้าข้างตนเองด้วยความเสียดายว่า เดี๋ยวราคาหุ้นมันต้องกลับเพิ่มขึ้น ที่สุดแล้วความลังเล อยากได้ ไม่อยากเสียก็มักก่อให้เกิดความเสียใจภายหลังเสมอ @ ฉันทะ-วิริยะ-จิตตะ หัวใจสู่ความสำเร็จ หลักธรรมข้อที่หกที่ต้องปฏิบัติให้ได้เพื่อให้การลงทุนประสบความสำเร็จก็คือ อิทธิบาท 4 ที่เป็นธรรมที่จะนำเราไปสู่จุดมุ่งหมายซึ่งประกอบไปด้วย 1. ฉันทะ คือ ความพอใจ ความมีใจรักในสิ่งที่ทำและต้องการทำให้ได้ผลดี 2. วิริยะ คือ ความพากเพียร การลงมือทำงานนั้นด้วยความพยายาม ความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค 3. จิตตะ คือ การเอาใจฝักใฝ่ ทำด้วยความคิด ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำ และ 4. วิมังสา คือ การไตร่ตรอง การหมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ ปรับปรุงสิ่งที่ทำ หากจะยกตัวอย่างผู้ประสบความสำเร็จในการลงทุนโดยมีอิทธิบาท 4 เป็นเครื่องหนุนนำความสำเร็จ ยกตัวอย่าง Warren Buffett นักลงทุนเลื่องชื่อระดับโลกก็คงจะไม่ผิด เพราะเส้นทางความสำเร็จของ Buffett ไม่ได้เกิดขึ้นแบบชั่วข้ามคืน ประเภทสุ่มๆ ซื้อหุ้นไว้วันนี้ พรุ่งนี้หุ้นขึ้นก็ร่ำรวยมหาศาล ตรงกันข้าม Buffett เป็นผู้มีความเพียร มีความวิริยะ อดทน ในการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของหุ้นอย่างละเอียดลออ เขาให้ความสำคัญกับความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม ความโปร่งใสของการบริหารงานในบริษัทที่เขาจะลงทุน เขาลงทุนเฉพาะในธุรกิจที่เขารู้จักเป็นอย่างดี ธุรกิจที่เขาเข้าใจความเป็นมาเป็นไปได้อย่างไม่มีข้อสงสัย เขาทำงานหนัก คิดอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ Buffett เป็นผู้มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อย่างชัดเจน การลงทุนของเขาคือ การทำงาน เขาทำงานเพื่อให้ได้งานที่ดีที่สุด เขาไม่ได้ลงทุนเพื่อทำกำไรมหาศาลเพราะต้องการร่ำรวย เขาเป็นมหาเศรษฐีระดับโลก แต่ยังใช้ชีวิตสมถะ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่หลงไปกับอำนาจเงินที่มีมากมาย เขายังบริจาคช่วยเหลือการกุศลด้วยเงินมูลค่ามหาศาลซึ่งมากกว่าส่วนเหลือเป็นมรดกไว้ให้ลูกหลานมากมายหลายเท่า เพราะเขาเชื่อว่าลูกหลานของเขาก็มีความรู้ ความสามารถที่จะทำงานหาเงินได้ไม่แพ้ตัวเขา หลักธรรมข้อที่เจ็ดของอ้างอิงพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า ยํ ลทฺธธํ เตน ตุฏฐพฺพํ ได้สิ่งใด พึงพอใจด้วยสิ่งนั้น หากเราได้ปฏิบัติ ได้ดำเนินชีวิต หรือลงทุนโดยมีธรรมะในหัวใจ นั่นหมายถึงเราได้ทำหน้าที่ของเราอย่างถูกต้อง สมบูรณ์แล้ว เราจะเข้าใจในธรรมชาติของการลงทุนว่าการลงทุนมีความเสี่ยง โดยความเสี่ยงสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ความเสี่ยงที่เราสามารถขจัดให้หมดไปได้ (Diversifiable Risk) ด้วยการกระจายการลงทุน (Diversification) อย่างเหมาะสม และความเสี่ยงที่เราไม่สามารถขจัดให้หมดไป ให้หายไปได้ (Non Diversifiable Risk) เพราะเกิดขึ้นเหนือการควบคุมของเรา @มีสติเป็นที่ตั้ง หลักธรรมข้อที่แปดเป็นหลักสำคัญที่ต้องมีเสมอสำหรับนักลงทุนก็คือ การมีสติ เพราะสติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำเป็นในที่ทั้งปวง การมีสติในทุกขั้น ทุกตอนของการลงทุนจะช่วยให้เราลงทุนได้อย่างมีความสุข มีความเข้าใจการลงทุน ไม่ต้องทุกข์ ทรมานใจเมื่อหุ้นตก ไม่หลงระเริงไปกับหุ้นที่กำลังขึ้น สติเป็นเครื่องกำกับความประพฤติ การกระทำ เราจะระมัดระวัง ไม่หลุด ไม่หลงไปกับคำเชื้อเชิญ อวดอ้างที่เกินจริง ไม่ถูกหลอก ถูกลากไปตามกระแสหุ้นปั่น แต่เราก็จะไม่พลาดโอกาสดีๆ ที่มีอยู่ตรงหน้า หากเรามีสติในการพิจารณาการเลือกลงทุน เราจะเข้าใจแนวคิดการลงทุนที่ว่า High Risk High Return สติจะเตือนให้เราจะเข้าใจตัวเองว่า เราจะสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน @มีปัญญาช่วยลดความเสี่ยง ส่วนหลักธรรมข้อที่เก้านี้คงต้องบอกว่าสำคัญที่สุดในการลงทุน คือ นักลงทุนต้องมีปัญญา เพราะปัญญาประเสริฐกว่าทรัพย์ ปญฺญาว ธเนน เสยฺโย เพราะปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นแก้ววิเศษของนรชนเพราะการลงทุนบนพื้นฐานการมีความรู้ มีปัญญา จะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้อย่างดีที่สุด ปัญญาช่วยให้เราเข้าใจตนเองได้ดีที่สุด เมื่อเราเข้าใจตนเองดีแล้ว การกำหนดเป้าหมายการลงทุนที่เหมาะสม การวางแผนการลงทุน รูปแบบ วิธีการลงทุนที่ดี ที่มีความเสี่ยงในระดับที่เรารับได้จะเกิดขึ้น รวมทั้งการลงมือปฏิบัติอย่างมีปัญญาจะช่วยให้เราเห็นหนทาง เห็นปัญหาอุปสรรคอย่างชัดเจน เหมือนเวลาที่เรามองน้ำสะอาดในแก้วใส เราจะเห็นตะกอนที่ลอยเคว้งคว้างในน้ำได้ชัดเจน การสร้างปัญญาในการลงทุน ทำได้โดยการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ การหาความรู้ในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ในกระบวนการศึกษา การฝึกฝนเพื่อให้เกิดปัญญาจะต้องใช้ความอดทน ความเพียรพยายาม ซึ่ง ขนฺติ หิตสุขาวหา ความอดทนนำสุขมาให้ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราพึ่งพาตนเอง ให้เราหมั่นศึกษาหาความรู้เสมอ ทรงสอนเสมอว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐได้ด้วยการฝึก ซึ่งการฝึก หรือการฝึกฝน ก็คือ กระบวนการในการศึกษาเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา ดังนั้น การลงทุนจะประสบความสำเร็จหรือไม่ จึงไม่ได้ขึ้นอยู่การลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่มีตัวเรา และสภาพแวดล้อมทั้งหมดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ผู้ที่รู้และเข้าใจความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยเหล่านี้อย่างครบวงจรจึงจะมีพอร์ต การลงทุนที่ไร้ทุกข์ และทำกำไรได้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม พึงระลึกไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน การปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของทุกศาสนาไม่มีความเสี่ยง ผู้ปฏิบัติเพียงมีศรัทธาในศาสนาของตนเป็นที่ตั้ง
  21. สะสมความมั่งคั่งผ่านทองคำ โดย felm วันเสาร์ที่ ๐๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ทองคำมีลักษณะที่พิเศษ ทองไม่มีการปันผล แต่ด้วยคุณลักษณะที่พิเศษ ทองก็เลยเป็นสินทรัพย์ที่เป็นกลางที่สุดในจำนวนสินทรัพย์ทั้งโลก ถ้าพูดถึงการทำธุรกิจค้าทองแนวใหม่ คงต้องนึกถึง "บุญเลิศ สิริภัทรวณิช" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออสสิริส จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจค้าทองคำแท่งโดยนำลักษณะของการค้าแนวใหม่เข้าใส่ในธุรกิจ ทำให้การลงทุนในทองคำเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากขึ้น สามารถซื้อขายได้ง่ายขึ้น โดยมีสาขาให้บริการถึง 4 สาขา ได้แก่ เยาวราช ,พหลโยธิน ,อโศก และสีลม โดยมีการให้บริการด้วยรูปแบบใหม่ทั้งบริการจัดส่ง บริการส่งมอบทองคำที่ตู้นิรภัย หรือรับฝากทอง ในวันนี้เราจะได้มารู้จักเขาในแง่มุมของการออม และการลงทุนส่วนตัวกันบ้าง บุญเลิศ สิริภัทรวณิช" สะสมความมั่งคั่งผ่านทองคำ โดย สรวิศ อิ่มบำรุง ทองคำมีลักษณะที่พิเศษ ทองไม่มีการปันผล แต่ด้วยคุณลักษณะที่พิเศษ ทองก็เลยเป็นสินทรัพย์ที่เป็นกลางที่สุดในจำนวนสินทรัพย์ทั้งโลก ถ้าพูดถึงการทำธุรกิจค้าทองแนวใหม่ คงต้องนึกถึง "บุญเลิศ สิริภัทรวณิช" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออสสิริส จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจค้าทองคำแท่งโดยนำลักษณะของการค้าแนวใหม่เข้าใส่ในธุรกิจ ทำให้การลงทุนในทองคำเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากขึ้น สามารถซื้อขายได้ง่ายขึ้น โดยมีสาขาให้บริการถึง 4 สาขา ได้แก่ เยาวราช ,พหลโยธิน ,อโศก และสีลม โดยมีการให้บริการด้วยรูปแบบใหม่ทั้งบริการจัดส่ง บริการส่งมอบทองคำที่ตู้นิรภัย หรือรับฝากทอง ในวันนี้เราจะได้มารู้จักเขาในแง่มุมของการออม และการลงทุนส่วนตัวกันบ้าง บุญเลิศเองแล้ว มองว่า การออมเป็นการ Saving เพื่อประโยชน์ในอนาคต ประโยชน์ที่ว่าเป็นประโยชน์ในส่วนที่เราคิดอยู่ในกรอบวงที่ขยายไปเรื่อยๆ เช่น กรอบการลงทุนของตัวเอง เป็นครอบครัว เป็นบริษัท เป็นสังคมที่กว้างขึ้นไปเรื่อยๆ สำหรับการออมเห็นได้ชัดว่ามันขึ้นอยู่กับสิ่งที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องรับผิดชอบ ปัจจุบันมีลูกแล้ว 4 คน เราพูดถึงว่าเวลาเราคิดๆ ถึงความมั่นคงในอนาคตของครอบครัว อย่างน้อย 30% ต้องออมในส่วนที่เป็นตัวเงินจริงๆ ในรูปของบัญชีเงินฝากแบงก์ไปเลย ส่วนการลงทุนเป็นเรื่องของการ Invest ลงทุนเพื่อที่จะได้กำไรกลับมาในอนาคต ถึงวัยหนึ่งผมอายุ 40 กว่าปี มันเริ่มจะมีมุมมองเรื่องการเติบโตทางธุรกิจแล้ว ในแง่ของการลงทุนเราก็จะมองในเรื่องของตัวธุรกิจไปด้วย มันไม่ใช่เรื่องที่คุณจะไปเอากำไรจากเงินที่คุณสะสม เช่น ไปซื้อหุ้น แล้วก็หวังว่าหุ้นตัวนั้นจะได้กำไรกลับมา แทนที่จะคิดว่าไปลงทุนในหุ้นบริษัทคนอื่นก็มาคิดลงทุนในหุ้นบริษัทตัวเองให้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็มองถึงการลงทุนระยะยาวในธุรกิจครอบครัวอย่างแท้จริง ซึ่งเราเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 แล้ว ก็มองว่าเราน่าจะทำอะไรที่เป็นบริษัท แล้วก็เป็นองค์กรที่มีธรรมาภิบาลจริงๆ ดังนั้น แนวความคิดที่ว่าเราจะไปลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์ แน่นอนว่าเขาเป็นบริษัทที่มีธรรมาภิบาลแล้วทำไมเราไม่มาลงทุนกับตัวเองแล้วทำตัวเองให้มันดีที่สุดไปเลย ดังนั้นในส่วนของการลงทุนส่วนตัวก็จะมีมุมมองในเชิงธุรกิจครอบครัวควบคู่กันไปด้วย "เราเปิด ออสสิริส เราก็มองเรื่องโมเดิร์น แมเนจเมนต์ เราสามารถที่จะลงทุนบริหารตัวเองได้ ลงทุนด้วย Human Resourse ลงทุนด้วยการลงทุนที่เราคิดว่าเป็นแนวคิดที่ดีแล้วก็บริษัทที่ดีในอนาคตด้วย เนื่องจากตัวเองทำธุรกิจค้าทองพอร์ตส่วนใหญ่จึงเป็นการลงทุนในทอง โดยเป็นพอร์ตทองส่วนตัวประมาณ 30% อีก 20% เก็บในรูปของเหรียญทอง(Gold Coin) อีก 40% ลงทุนในทองคำจริงๆ" บุญเลิศ อธิบายว่า เหตุผลที่ต้องมีพอร์ตทองเยอะ เพราะสามารถที่จะกระจายไปได้ง่าย เช่น ถ้าเอาไปช่วยธุรกิจบางส่วนที่ต้องการ เราก็สามารถนำทองของตัวเองไปช่วยเหลือในทางธุรกิจได้เช่นเดียวกัน อีกอย่างผมเห็น Performance ของทองมาตลอด ตั้งแต่ทองบาทละ 400 บาท จนปัจจุบันขึ้นมาสูงสุดที่บาทละ 13,000 บาท ทองคำจึงเป็นสินทรัพย์ที่สามารถที่จะลงทุนในระยะยาวได้ โดยเฉพาะผมอยู่ในธุรกิจทองคำต้องมองระยะยาวอยู่แล้ว เราไม่คิดว่าเราจะปิดร้านทอง ธุรกิจผมก็ 3 ชั่วอายุคนแล้ว ส่วนตัวก็คิดจะรักษาธุรกิจตรงนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการมีทองอยู่ในพอร์ตของตัวเองเป็นเรื่องที่ถูกต้องไม่ถือว่าเสี่ยงแต่ประการใด "เนื่องจากผมมีธุรกิจมาซัพพอร์ตการลงทุนในทองของผมๆ จึงเสี่ยงต่ำสุด เพราะท้ายสุดการลงทุนในทองส่วนตัวสามารถมาซัพพอร์ตธุรกิจทองได้" แต่ถ้าแนะนำกับนักลงทุนที่ลงทุนในทองคำโดยที่ไม่มีธุรกิจทองมาซัพพอร์ตการลงทุน ทองคำจะมีประโยชน์ช่วยให้พอร์ตการลงทุนของคุณมีสุขภาพดี(Healthy)ขึ้น ทั้งนี้ในพอร์ตควรจะมีทองคำอยู่ประมาณ 10-20% เพื่อให้พอร์ต มันมีสุขภาพที่ดีๆ อย่างไร เมื่อสินทรัพย์ประเภทอื่นมีเพอร์ฟอร์มแมนซ์ที่ดี ส่วนใหญ่ทองจะไม่ค่อยดี ถ้าสินทรัพย์ประเภทอื่นไม่ดี ทุกอย่างเกิดวิกฤตการณ์ หุ้นตก ทองจะช่วยป้องกันความเสี่ยงในภาวะวิกฤติอย่างนี้ได้ ทำให้พอร์ตที่คุณขาดทุน 80% ทองช่วยคุณได้ค่อนข้างดี เพราะฉะนั้นการมีทองคำในพอร์ต 10-20% เป็นสิ่งที่ดีสำหรับนักลงทุน อันนี้ไม่ได้พูดเพราะตัวเองทำธุรกิจค้าทองคำ แต่เพราะมองว่านี่เป็นกระแสสากลที่เราสามารถพูดถึงได้ทั้งโลก ที่ปัจจุบันคนเขามองว่าทองคำเริ่มจะเป็นภาษาสากลทั้งโลก ทองเริ่มจะเป็นสินทรัพย์ที่เป็นกระแสหลักมากขึ้นแล้ว "เพราะทองคำมีลักษณะที่พิเศษ ทองไม่มีการปันผล แต่ด้วยคุณลักษณะที่พิเศษ ทองก็เลยเป็นสินทรัพย์ที่เป็นกลางที่สุดในจำนวนสินทรัพย์ทั้งโลก ทองคำกำหนดด้วยราคาเดียวกัน ทองคำไม่เคยด้อยคุณค่า คนเราพูดถึงทองคำเมื่อ 4,000-5,000 ปีที่แล้ว ตั้งแต่สมัยอียิปต์ ปัจจุบันเราก็ยังพูดถึงเรื่องทองคำ อนาคตอีก 4,000-5,000 ปี ก็คงจะพูดถึงทองคำเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพที่สุดในเรื่องของตัวทองคำเอง ตัวทองเองก็มีคุณสมบัติที่พิเศษมากๆ คือ ทองคำไม่ย่อยสลาย แล้วไม่มีอะไรทำลายมันได้ด้วย" อย่างไรก็ตาม บุญเลิศ บอกว่า ถ้าลงทุนในทอง อย่าลงทุนด้วยมุมมองของการเก็งกำไร แต่ถ้าการเก็งกำไรเกิดมาจากการที่คุณได้กำไรโดยตัวมันเอง เนื่องจากคุณซื้อทองมาในต้นทุนเฉลี่ยที่ต่ำแล้วราคาตลาดปรับตัวสูงขึ้น เกิดมีส่วนต่างของกำไร(Capital Gain) แล้วคุณขายทำกำไรออกมา ก็เป็นวิธีคิดที่ถูก แต่ตรงจุดเริ่มต้นของการลงทุนไม่ควรเริ่มมาจากจุดนั้น มันควรจะเริ่มมาจากประโยชน์ของทองคำคืออะไร คือ การให้พอร์ตคุณมีสุขภาพที่ดี แล้วพอร์ตโฟลิโอคุณโอเค เพื่อ Hedging against อะไรบางอย่างเช่น ยูเอสดอลลาร์ ถ้าลงทุนด้วยบทบาทแบบนี้ผู้ลงทุนก็จะมองการลงทุนในทองในลักษณะของการถือครองระยะกลางถึงยาว ซึ่งตอนนั้นถ้านักลงทุนซื้อในต้นทุนที่ถูกแล้วบางครั้งราคามันปรับตัวลง ก็ไม่ถือว่าเป็นสภาพแมลงเม่า "ทองที่มันลงมามันไม่ถึงกับจะต้องตาย หมายถึงว่า มูลค่าของทองมันก็ลงไม่เกิน 10-15% มันก็เป็นด้วยมูลค่าของตัวทองคำเอง แต่ถ้าจะมาลงทุนทองในลักษณะเก็งกำไร มันจะรู้สึกว่าเดี๋ยวกำไรแล้ว เดี๋ยวขาดทุนแล้ว ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่ถูกต้อง ถ้าจะเก็งกำไร ไปลงทุนในตลาดหุ้นน่าจะเหมาะสมกว่า" สำหรับผู้ที่สนใจจะลงทุนในทองคำ ควรจะสนใจกับการเคลื่อนไหวของราคาทอง และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในทองคำให้ดี แล้วควรจะมองการลงทุนในทองคำระยะกลางถึงยาว เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสะสมความมั่งคั่งในระยะยาวจะดีกว่า BangkokBizNews
  22. เก็บทองเข้าพอร์ต ก่อนราคาพุ่งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ โดย Kumponys วันพุธที่ ๐๒ มกราคม ๒๕๕๑ ผมอ่านเจอบท ความจาก www.efinancethai.net เกี่ยวกับการลงทุนในทองคำ จึงขอนำมาเผยแพร่ต่อ ขอย้ำว่าไม่ได้เป็นการชี้นำให้ซื้อทองคำ เพียงอยากให้เห็นแนวความคิดของนักวิเคราะห์ และการที่ Us dollar อ่อนค่าจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า ทำให้ราคาทองคำในประเทศไทยไม่สูงเท่าที่คิดเพราะค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะทำ ให้ซื้อทองคำได้ถูกลง และการซื้อทองคำไม่จำเป็นต้องซื้อที่เยาวราชเท่านั้นนะครับ เชิญอ่านได้เลยนะครับ สำรวจแนวรบโลกการเงิน ก่อนเลือกสมรภูมิลงทุน (ตอนที่ 1) “รากไม่แน่น ปลายย่อมคลอน จึงควรเสริมแก่น ทอนปลาย” เจ้าหยุย ปราชญ์ราชสำนักถัง เปิดตัวคอลัมน์วันแรก ผู้น้อยขอนำหลักการพื้นฐานอันเป็นหัวใจแห่งความสำเร็จในการลงทุนมาทบทวนให้นายท่านซึ่งเป็นนักลงทุนฟังกันก่อน เพราะเมื่อกล่าวถึงความสำเร็จของการลงทุนเมื่อใด หลายท่านอาจนึกถึงการลงทุนในตลาดหุ้นเท่านั้น ด้วยว่าเป็นสมรภูมิการลงทุนที่มีความเร้าใจมากที่สุด และสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้เป็นรายวินาที ทำให้ลืมไปว่า ยังมีสมรภูมิการลงทุนให้เลือกอีกมากมาย และหากนายท่านเลือกได้ดีและจัดกองทัพได้เหมาะสมกับการทำศึกในแต่ละสมรภูมิแล้ว ความสำเร็จจากการลงทุนย่อมบังเกิดอย่างแน่นอน ผู้น้อยขอเอาหัว (คนอื่น) เป็นประกัน เกริ่นมาอย่างนี้ คงทำให้นายท่านนึกออกแล้วว่า หลักการพื้นฐานที่เป็นหัวใจแห่งความสำเร็จของการลงทุนนั้นอยู่ที่ ‘การเลือกสมรภูมิ’ นั่นเอง การลงทุนโดยทั่วไปย่อมแบ่งได้เป็น 2 ประเภทได้แก่ การลงทุนทางตรง เช่น การเปิดร้านอาหาร ร้านซักรีด ไปจนถึงกิจการใหญ่โตอย่างการสร้างสนามบิน (ในหนองน้ำที่งูเห่าชุม) ซึ่งความสำเร็จของการลงทุนประเภทนี้เบื้องต้นก็ต้องมาจากการเลือกสมรภูมิ หรือ กิจการที่มีอนาคตเป็นหลักเช่นกัน แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะการลงทุนประเภทที่ 2 นั่นคือ การลงทุนทางอ้อม หรือ ที่เรียกกันว่า ‘การให้เงินทำงาน’ ซึ่งมักเกิดปัญหาตรงที่เงินเกิดดื้อด้านไม่ยอมทำงานให้เราแถมบางครั้งยังหนีไปอยู่กับคนอื่นเสียอีก แต่ปัญหานี้ไม่ยากเกินจัดการหากนายท่านเข้าใจธรรมชาติและลักษณะเฉพาะของแต่ละสมรภูมิการลงทุน ก่อนที่จะเลือกทำศึกในชัยภูมิที่สอดคล้องกับจุดแข็งและความแข็งแกร่งด้านจิตใจของท่านเอง ถ้าจิตใจของท่านอ่อนไหวดุจดรุณีน้อยที่เกิดมาบนโลกอันโหดร้าย ก็ไม่สมควรออกศึก แต่ควรให้เงินนอนนิ่งอยู่ในธนาคารที่มีรัฐบาลเป็นประกัน แต่ถ้าหัวใจของท่านแข็งแกร่งดุจหินผาก็กระโจนสู่การนองเลือดในตลาดหุ้น เวลาที่ตัวเลขสีแดงครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของกระดานได้เลย แต่ก่อนที่จะประเมินความแข็งแกร่งของจิตใจท่านเอง ผู้น้อยขอกล่าวถึงสมรภูมิการลงทุนที่น่าสนใจให้ท่านได้สร้างความคุ้นเคยให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น เวลาออกศึกจะได้มั่นใจ ผู้น้อยขอเริ่มจากสมรภูมิที่มี่ความเสี่ยงต่ำอย่าง ‘ตลาดตราสารหนี้’ เป็นลำดับแรก เนื่องจากมีลักษณะใกล้เคียงเงินฝากที่เราทราบกันดีว่ามีความเสี่ยงต่ำเพียงใด ส่วนผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีให้ลงทุนในตลาดตราสารหนี้หลักๆก็มี พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรแบงก์ชาติ หุ้นกู้รัฐวิสาหกิจ หุ้นกู้บริษัทจดทะเบียน ในประเทศที่ตลาดเงินพัฒนาเต็มที่แล้วยังมีพันธบัตร หรือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยองค์การปกครองระดับต่างๆ ซึ่งช่วยทำให้การพัฒนาเขตการปกครองส่วนภูมิภาคหรือท้องถิ่นมีความคล่องตัวมาก ที่กล่าวมานี้เป็นบรรดาตราสารหนี้ระยะยาวที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ส่วนตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปีก็อย่างเช่น ตั๋วสัญญาใช้เงิน บัตรเงินฝาก เป็นต้น แต่พวกลูกผสมอย่าง ตราสารหนี้กึ่งทุนที่ออกโดยสถาบันการเงิน หรือที่เรียกว่า ไฮบริดบอนด์ หรืออย่างหุ้นกู้แปลงสภาพ ผู้น้อยจำต้องขอยกไปสาธยายกลไกการทำงานของมันให้เข้าใจถ่องแท้ในโอกาสต่อไปเพื่อให้สมกับที่อาสาเป็นกุนซือให้กับนายท่าน แต่ตอนนี้ขอกล่าวถึงธรรมชาติของตลาดตราสารหนี้ก่อนก็แล้วกัน ตลาดสารหนี้มีลักษณะอย่างหนึ่งที่ไม่มีสมรภูมิการลงทุนใดเหมือน นั่นคือการให้ผลคอบแทนที่คงที่ หรือ ค่อนข้างคงที่ จัดเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคงที่ หรือ ตายตัว ที่ฝรั่งเขาเรียกว่า ‘fixed-income assets’ ซี่งผลตอบแทนดังกล่าวก็อยู่ในรูปของอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ออกตราสารกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะจ่ายในอัตราเท่าไร จะจ่ายคงที่ หรือ ลอยตัว จะจ่ายทุกๆไตรมาส ครึ่งปี หรือ 1 ปี และที่สำคัญคือการกำหนดอายุ หรือ กำหนดคืนเงินต้นให้กับผู้ถือตราสารหนี้ เป็นการบอกว่า เขาต้องการยืมเงินของนายท่านนานแค่ไหน เพื่อให้นายท่านได้ตัดสินใจอย่างรอบคอบก่อนว่า พร้อมที่จะเป็นเจ้าหนี้เขาหรือไม่ หลังจากทราบเงื่อนไขของตราสารหนี้ที่นายท่านสนใจแล้ว ลำดับต่อไปต้องมาดูที่ความเสี่ยงของผู้ออกตราสารว่ามีโอกาสเบี้ยวหนี้หรือ ไม่ ซึ่งโชคดีได้ตกเป็นของนายท่านที่มีสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ อันดับเครดิตทั้งระดับโลก และ ระดับประเทศคอยจัดเรทติ้งให้ท่านทราบว่าตราสารหนี้แต่ละตัวนั้นมีความ เสี่ยงอยู่ในระดับใด สถาบันจัดอันดับเครดิตมีตั้งแต่ 3 บิ๊กระดับโลกอย่าง แสตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส หรือ เอสแอนด์พี มูดี้ส์อินเวสเตอร์สเซอร์วิส และฟิทช์เรทติ้งส์ จนถึงระดับท้องถิ่นของเราอย่างทริสเรทติ้งส์ ซึ่งทั้งหมดใช้ระบบการจัดเรทติ้งที่เป็นมารตรฐานเดียวกัน โดยกำหนดให้ตั้งแต่ระดับ BBB ขึ้นไปเป็นระดับที่น่าลงทุน ส่วนที่ต่ำกว่าระดับดังกล่าววถือเป็นระดับเก็งกำไร หรือ เป็นระดับ ‘junk bond’ เท่านั้น ซึ่งเป็นระดับที่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ หรือ มี ‘default risk’ สูง แต่ผู้ออกตราสารที่มีอันดับเครดิตต่ำๆมักแก้เกมด้วยการเสนออัตราดอกเบี้ย ที่สูงเข้าตำรา high risk high return เพื่อให้ตราสารหนี้ขายออก สำหรับบ้านเรานั้นตราสารหนี้ความเสี่ยงสูงไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไร เนื่องจากผู้กำกับดูแลตลาดเงินตลาดทุนของเรามีความพิถีพิถันรอบคอบและไม่ ยอมให้ผู้ออกตราสารที่มีความเสี่ยงสูงเกินไปออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มี ความเสี่ยงเกินรับได้เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดเงินตลาดทุนในประเทศเป็น สำคัญ แต่อย่างไรก็ดี การได้ครอบครองตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอยังไม่ถือเป็นชัยชนะในสมรภูมิการลงทุนนี้ เนื่องจากนายท่านยังต้องเอาชนะปัจจัยเสี่ยงอีก 2 ประการ ซึ่งถึงเเม้ไม่สามารถทำให้นายท่านหมดตัว หรือ สูญเงินต้น แต่ก็สามารถทำให้นายท่านต้องกุมขมับพร้อมคร่ำครวญว่า ‘กินดอกเบี้ยแบงก์ดีที่สุด’ นั่นเพราะตราสารหนี้ที่ท่านถืออยู่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำเสียแล้ว ปัจจัยที่ว่าคือ เงินเฟ้อ กับ ทิศทางอัตราดอกเบี้ย จริงอยู่เมื่อแรกซื้อตราสารหนี้ชุดใดชุดหนึ่งท่านย่อมเลือกชุดที่ให้ผลตอบ แทนสูงสุด และมีความเสี่ยงต่ำที่สุด ถ้าจะให้ดีต้องมีอายุสั้น หรือ ไถ่ถอนได้เร็วประมาณ 3-5 ปีกำลังเหมาะ คือเหมาะสำหรับนายท่านที่เป็นรายย่อยเพราะไม่ต้องไปหาสภาพคล่อง หรือ ปล่อยของในตลาดรองตราสารหนี้ที่ต้องเปิดพอร์ตตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป เพียงแต่ท่านซื้อตราสารหนี้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เป็นผู้จัด จำหน่ายซึ่งจะกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการซื้อเช่น 100,000 บาทขึ้นไป แล้วถือรับดอกเบี้ยไปเรื่อยๆรอเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน หรือ โชคดีหน่อยก็อาจมีการรับซื้อคืนเป็นระยะๆก็พอ แต่ทีนี้มันมีความเสี่ยงอยู่ว่า หากท่านซื้อตราสารหนี้ที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5% ต่อปี หลังจากผ่านไป 2 ปี ดอกเบี้ยเงินฝากประจำขึ้นไปอยู่ที่ 6% ต่อปี ส่วนเงินเฟ้ออยู่ 4.5% ต่อปี ขณะที่ตราสารหนี้ที่ท่านถืออยู่มีอายุ 6 ปี จึงเหลือเวลาอีก 4 ปีถึงจะไถ่ถอนได้ สิ่งที่ทำได้ ณ ขณะนี้คือ ภาวนาให้ลูกหนี้ที่ออกตราสารหนี้นั้นไถ่ถอนก่อนกำหนด เพื่อที่สภาพคล่องจะได้กลับมาอยู่กับท่านอีกครั้ง และก็ไม่ต้องทนทุกข์กับตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก แถมเอาชนะเงินเฟ้อได้เพียง 0.5% (อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5% - เงินเฟ้อ 4.5% = อัตราผลตอบแทนแท้จริง 0.5%) เป็นอันว่า การลงทุนในสมรภูมินี้ให้ประสบความสำเร็จ ท่านยังต้องสามารถประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยได้ อีกทั้งต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขด้านเวลาที่ผู้ออกตราสารหนี้กำหนด มา และในเมื่อท่านมีกุนซืออย่างผู้น้อยอยู่ทั้งคน ก็ไม่จำเป็นต้องไปคร่ำเคร่งศึกษาตำราเศรษฐศาสตร์ มหภาคจนเชี่ยวชาญในการคาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยให้เสียเวลา ทำการใหญ่ของนายท่าน เพราะผู้น้อยจะขอเสนอวิธีรัดในการตัดสินใจให้นายท่านลองพิจารณา (ในตอนต่อไป) By : มังกรในสระ eFinanceThai.com สำรวจแนวรบโลกการเงิน ก่อนเลือกสมรภูมิลงทุน (ตอนที่ 2) ผู้น้อยขออาสาเสนอหลัก ‘ยุทธบริหาร’ ในตำราหลักการปกครองแว่นแคว้นของมหาอาณาจักรจีนให้นายท่านได้เห็นถึงความสำคัญของการใช้กองทัพทำศึก ซึ่งกองทัพในที่นี้หมายถึงเงินของนายท่าน และการเรียกทัพกลับเพื่อรักษาความเป็นปึกแผ่นและอำนาจในการบัญชาทัพไว้กับนายท่าน หลักการดังกล่าวมีอยู่ว่า ‘เสร็จศึก เรียกทัพกลับ แลยึดดาบอาญาสิทธิ แลตราแม่ทัพคืน’ ซึ่งหมายความว่า นายท่านต้องหวงแหนกองทัพ และไม่ให้ใครครอบครองนานเกินไป เนื่องจากเสี่ยงต่อการเสียทัพ หรือ เสียประโยชน์ที่ควรจะได้รับ หลักการข้อนี้เป็นสิ่งที่กองทุนทั้งหลายต่างยึดถือกันอย่างเคร่งครัด จึงไม่แปลกที่เวลาเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติใดๆขึ้น กองทุนไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ต่างพร้อมใจกันถอนกำลัง ด้วยไม่อยากให้กองทัพทำศึกติดพันและเสียไพร่พลโดยเปล่าประโยชน์ หลักการข้อนี้นำมาตั้งเป็นกฎในการลงทุนในสมรภูมิตราสารหนี้ได้ว่า นายท่านควรจะใช้กองทัพทำศึกในช่วงเวลาที่ไม่นานเกินไป และต้องสำเร็จการโดยไม่เสียไพร่พล เพราะสมรภูมิตราสารหนี้นั้นแทบไม่ต่างกับการฝากเงินในบัญชีเงินฝากประจำ เพียงแต่นายท่านเลือกเมืองที่จะไปตีให้ถูก และใช้เวลาทำศึกไม่นาน เท่านี้ก็ชนะศึก โดยได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากเป็นรางวัล สูตรสำเร็จที่ผู้น้อยขอเรียนนายท่านก็คือ ขอให้เลือกตราสารหนี้ ที่ได้อันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ BBB ขึ้นไป ให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากประจำที่สูงที่สุดในขณะนั้นตั้งแต่ 0.75% ขึ้นไป และมีอายุไม่เกิน 3 ปี แต่ถ้ามีอายุเกินกว่านั้น นายท่านควรลดจำนวนกองทัพจากที่ตั้งใจไว้แต่แรก และตราสารหนี้นั้นต้องเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเท่านั้น เพื่อนายท่านจะได้ประโยชน์ถึง 2 ทางด้วยกัน กรณีสถานการณ์ศึกแปรผัน เช่นเมื่อดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ก็ยังคงได้ดอกผลสูงกว่าเงินฝาก และเมื่อดอกเบี้ยเป็นขาลง นายท่านยังมีกองทัพไว้ทำศึกในสมรภูมิอื่นที่จะให้ผลตอบแทนสูงยามดอกเบี้ยเป็นขาลงเสมอ แต่หากตราสารหนี้ที่ออกขายในขณะนั้นไม่เข้าเกณฑ์ตามที่ผู้น้อยกล่าว ขอนายท่านพิจารณาทำศึกในสมรภูมิอื่นแทนจะดีกว่า สมรภูมิถัดไปที่ผู้น้อยจะนำเสนอต่อนายท่านคือ ทองคำ โลหะล้ำค่าที่มนุษย์ห่ำหั่นแย่งชิงกันทุกยุคสมัย ส่วนคำพูดติดปากคุณแม่บ้านที่ว่า ‘เสียทองท่วมหัว ไม่ยอมเสีย...ให้ใคร’ คงจะใช้ไม่ได้แล้วในยุคนี้ และน่าจะเปลี่ยนเป็น ‘มีทองท่วมหัว ไม่มี...ก็ช่าง’ถึงจะเข้ากับยุคสมัยมากกว่า เนื่องจากต่อไปจะไม่มีทองราคาต่ำกว่า 10,000 บาท (ต่อ 1 บาททอง) ให้ซื้ออีกแล้ว ฉะนั้นเมื่อทองท่วมหัวใยจะไม่ดีกว่ามีอย่างอื่นให้ปวดหัวเล่า ผู้น้อยขอเรียนให้นายท่านทราบว่า ในบรรดาสินทรัพย์ทั้งหลาย ทองคำนั้นนับเป็นสิ่งที่สะท้อนสถานการณ์ความเป็นไปของโลกได้ดีที่สุด เมื่อไรก็ตามที่โลกเกิดความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ข้าวยากหมากแพง หรือ ตลาดเงินโลกเกิดความผันผวนรุนแรงและมีความเสี่ยงที่พังทลายได้ทุกเมื่อ เมื่อนั้นราคาทองคำจะทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างแทบไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อไรก็ตามที่โลกมีความสงบ ปราศจากสงคราม เศรษฐกิจโลกมีเสถียรภาพ ตลาดเงินมีเสถียรภาพ พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ราคาทองแทบจะไม่ขยับ และจะนิ่งอยู่หลายปีก่อนที่โลกจะถูกคุกคามด้วยความไม่แน่นอนอีกครั้ง และผู้ที่สร้างความไม่แน่นอนให้กับโลกของเราได้เก่งที่สุดก็คือ มหาอำนาจอเมริกา ดังที่นายท่านทราบดีว่า ในสมัยของประธานาธิบดีบิล คลินตัน ซึ่งท่านมีนโยบายหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และมุ่งรักษาสันติภาพของโลกไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ราคาทองคำในสมัยนั้นแทบไม่ขยับ เท่าที่ผู้น้อยทราบเห็นจะเคลื่อนไหวระหว่าง 6,000-7,000 บาทเท่านั้น แต่เมื่อท่านประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ขึ้นครองอำนาจ กระทั่งเกิดวินาศกรรม 9/11 ปี 2003 ราคาทองคำขึ้นมาเคลื่อนไหวระหว่าง 8,000-9,000 บาทโดยพลัน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อท่านผู้นำ ‘บุช’ ส่งกองทัพโหมทำศึกในอัฟกานิสถานและอิรัก ราคาทองคำสะท้อนความไม่แน่นอนที่โลกกำลังเผชิญด้วยการทะยานขึ้นทะลุ 10,000 บาทให้ประจักษ์แก่สายตาเป็นครั้งแรก แต่นายท่านอย่าหลงไปขอบคุณผู้สร้างความไม่แน่นอนให้กับโลกที่ทำให้ราคาทองวิ่งขึ้นเป็นอันขาด นายท่านต้องขอบคุณทองคำที่ทำหน้าที่ประกันความเสี่ยงและความไม่แน่นอนใดๆได้อย่างดีเลิศ ทว่าความดีความชอบของทองคำยังไม่หมดเท่านี้ ด้วยทองคำยังเป็นอาวุธที่ทรงพลานุภาพที่สุดในการเอาชนะเงินเฟ้ออีกด้วย ผู้น้อยขออธิบายให้นายท่านเกิดความกระจ่าง ทุกวันนี้ราคาทองคำได้ทะลุ 10,000 บาทไปแล้ว ขณะที่ก๋วยเตี๋ยวมีราคาชามละ 25 บาท ย้อนไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ทองคำมีราคาอยู่ที่บาทละ 4,000 บาท ส่วนก๋วยเตี๋ยวชามละ 10 บาทก็อิ่มโดยไม่ต้องเบิ้ล นายท่านลองเอาราคาทองสมัยนั้นหารด้วยราคาก๋วยเตี๋ยวดูจะพบว่า ทอง 1 บาทในขณะนั้นสามารถสวาปามก๋วยเตี๋ยวได้ 400 ชาม และปัจจุบันนี้ ราคาทองเกิน 10,000 บาทไปแล้ว ถ้านายท่านมีทอง 1 บาท ก็ยังคงสามารถซดก๋วยเตี๋ยวได้ 400 ชาม เหมือนเมื่อ 20 ปีก่อน นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่า มูลค่าของทองไม่เคยลดลงไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปอย่างไร ในฐานะกุนซือผู้ซื่อสัตย์ ผู้น้อยขอแนะนำให้นายท่านเก็บทองคำไว้ในพอร์ตการลงทุนของนายท่านเพื่อการมีชัยเหนือเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทั้งปวง ส่วนผลิตภัณฑ์ทองคำที่น่าลงทุนย่อมได้แก่ ทองคำแท่ง เพราะนายท่านจะมีต้นทุนในการซื้อเพียงบาทละ 100 บาทเท่านั้น แต่ถ้าเป็นทองรูปพรรณค่ากำเหน็จจะอยู่ที่บาทละ 500 บาทเป็นอย่างต่ำ มีต้นทุนสูงกว่าถึง 5 เท่า นอกจากทองคำแท่งแล้ว ผู้น้อยขอแนะนำให้นายท่านเช่าเหรียญทองคำที่ระลึกในโอกาสต่างๆเก็บไว้บูชาด้วย เพราะนายท่านไม่เพียงแต่ได้บุญเท่านั้น แต่นายท่านยังจะได้เห็นมูลค่าเพิ่มอีกหลายเท่าตัวจากเหรียญที่ระลึกอันเป็นสิริมงคงเหล่านั้น ถ้าไม่เชื่อ ผู้น้อยขอท้าให้ไปสืบราคาเหรียญทองคำองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชรุ่นสู้ ดูก็ได้ อัตราเช่าบูชาครั้งแรกอยู่ที่ 9,999 บาท แต่ขณะนี้ 40,000 บาทยังไม่พอเช่า ที่ผู้น้อยว่ามานี้มิใช่แนะให้นายท่านเช่าบูชาวัตถุมงคลทองคำเพื่อหากำไร ทว่าผู้น้อยอยากให้นายท่านได้ครอบครองสิ่งอันเป็นมงคล และมีคุณค่าน่าภูมิใจอย่างยิ่ง (จบตอนที่ 2) ในตอนหน้าผู้น้อยจะขอแนะนำให้นายท่านรู้จักกุนซือ ‘โอมเพี้ยง’ ผู้ชาญศึก ผู้ซึ่งจะสร้างความกระจ่างเกี่ยวกับการลงทุนในสมรภูมิทองคำนี้ ก่อนจะพบกับผู้น้อยอีกครั้งใน สำรวจแนวรบโลกการเงิน ก่อนเลือกสมรภูมิลงทุน ตอนที่ 3 By : มังกรในสระ eFinanceThai.com เก็บทองเข้าพอร์ต ก่อนราคาพุ่งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ ตะลึง...ตะลึง... ทองคำ พุ่งกระฉูดแตะระดับสูงสุดในรอบ 27 ปี แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองที่มองเห็นราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งเอา พุ่งเอา เพราะสาเหตุที่ดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลายคนต่างแปลกใจว่าทำไม ราคาทองคำในตลาดโลกถึงได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจัง โอมเพี้ยงจึงอาสามาแนะนำให้เก็บทองคำ อย่างแรกง่ายๆเลย เพราะว่าทองคำเป็นการเป็นการลงทุนที่มีสภาพคล่อง หรือซื้อง่ายขายคล่องนั้นเอง และราคามีมาตรฐาน รวมทั้งยังสามารถเก็บไว้ได้นานและใช้เป็นเครื่องประดับได้อีก หรือในยามเกิดสงครามทองคำนี้แหละคือสินทรัพย์ที่ดีที่สุด แต่ที่สำคัญต้องเก็บให้ไกลหูไกลตาโจรนะ แต่ถ้ากลัวขโมยขโจร ก็ไปฝากไว้ที่ธนาคารหรือใครจะไปฝากให้โรงรับจำนำดูแลก็ไม่ว่ากัน หลายคนคงจะสงสัยว่าทำไมดอลลาร์อ่อนค่า แล้วราคาทองคำถึงได้พุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง คำตอบก็คือทองคำถูกกำหนดราคาซื้อขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์ หากดอลลาร์อ่อนค่าก็จะทำให้ทองคำมีราคาแพงขึ้น แล้วสาเหตุที่ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าละคืออะไร? ก็เริ่มตั้งแต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่มีความเป็นไปได้จะเข้าสู่ ภาวะถดถอย และภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง หรือตลาดซับไพร์ม ที่บดบังการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 2 ครั้ง (0.75%) การเทขายเงินดอลลาร์ของเฮดจ์ฟันด์ จากความไม่เชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปัญหาการขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯต้องแบกรับมานาน ไปจนถึงประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศเริ่มเปลี่ยนสัดส่วนการถือทุนสำรอง ระหว่างประเทศในสินทรัพย์เงินดอลลาร์ไปเป็นสินทรัพย์ในรูปเงินสกุลอื่นๆ ราคาทองที่พุ่งกระฉูด ฉุดไม่อยู่ขณะนี้ เป็นเพราะกระแสคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุมวันที่ 11 ธันวาคมนี้ เลยตอกย้ำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงไปอีก เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจบางภาคส่วน ยังคงบ่งชี้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่จบสิ้น ประกอบกับภาวะซบเซาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกฉุดรั้งจากวิกฤตซับไพร์มยิ่งร้ายแรงมากขึ้น ดูได้จากตัวเลขเศรษฐกิจดังนี้ แม้โชดดีที่เศรษฐกิจในไตรมาส 3/2550 ทบทวนใหม่ขยายตัว 4.9% แต่ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจเดือนตุลาคม ลดลง 0.5% และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนพฤศจิกายนลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ที่ระดับ 87.3 จุด นั้น ก็เป็นสัญญาณว่าการใช้จ่ายผู้บริโภคจะชะลอตัว ส่วนยอดค้าปลีกเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ซึ่งเป็นอัตราน้อยที่สุดในรอบ 2 เดือน ขณะเดียวกัน เฟดยังได้ปรับลดประมาณการ การขยายตัวของเศรษฐกิจปีหน้าจาก 2.5%-2.75% มาอยู่ที่ 1.8%-2.5% พร้อมกับคาดว่าอัตราการว่างงานปีหน้าจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 4.8%-4.9% จาก 4.75% ที่ประมาณการครั้งก่อน ซึ่งก็เป็นเพราะปัจจัยลบที่รุมเร้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อ ไปจนถึงราคาน้ำมันที่พุ่งไม่หยุด ด้านสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติสหรัฐฯ ก็ออกมาคาดการณ์เช่นกันว่า จีดีพีไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะอยู่ที่ 1.5% ชะลอลงจาก 3.9% ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนจีดีพีปีนี้จะอยู่ที่ 2.1% น้อยที่สุดในรอบ 5 ปี สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ ที่หลายคนกลัวนักกลัวหนา ว่าจะนำพาเศรษฐกิจเดินลงสู่ห้วงเหวภาวะซบเซา ก็ยังไม่เห็นสัญญาณจะดีขึ้น เนื่องจากข้อมูลต่อไปนี้ยังคงบ่งชี้ว่าปัญหาในตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแต่เลวร้ายลงไปทุกที โดยยอดขายบ้านมือสองเดือนตุลาคมลดลง 1.2% ร่วงต่อเป็นเดือนที่ 8 มาอยู่ที่ 4.97 ล้านยูนิต และราคาบ้านลดลง 5.1% เฉลี่ยอยู่ที่ 207,800 ดอลลาร์ แม้ยอดขายบ้านใหม่เดือนดังกล่าว เพิ่มขึ้น 1.7% มาอยู่ที่ 728,000 ยูนิต แต่ยอดขายบ้านใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ลดลง 23.5% ส่วนราคาบ้าน Q3/2550 เพิ่มขึ้นเพียง 1.8% น้อยที่สุดในรอบ 13 ปี และราคาบ้าน 1 ใน 3 เมืองใหญ่ของสหรัฐฯ ไตรมาสดังกล่าว ลดลง 2% เฉลี่ยอยู่ที่ 220,800 ดอลลาร์ เนื่องจากมาตรฐานที่เข้มงวดในการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยทำให้ยอดขายบ้านลดลง 14% มาอยู่ที่ 5.42 ล้านยูนิต ขณะที่ดัชนีราคาบ้านสหรัฐฯ Q3/50 ลดลง 4.5% ร่วงมากสุดในรอบ 20 ปี แม้การก่อสร้างที่อยู่อาศัยเดือนตุลาคมจะเพิ่มขึ้น 3% มาอยู่ที่ 1.229 ล้านยูนิต เพราะยอดการก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์เพิ่มขึ้น แต่ยอดก่อสร้างบ้านขนาด 1 ครอบครัว ยังอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 16 ปี โดยลดลง 7.3% มาอยู่ที่ 884,000 ยูนิต ยัง...ยังไม่หมดแค่นี้ ถ้าเห็นตัวเลขการฟ้องยึดหลักประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย ก็ต้องอุทานคำว่า "God " แน่นอน ก็จะไม่ร้องได้อย่างไร เมื่อตัวเลขดังกล่าวใน Q3/50 เพิ่มขึ้นถึง 100.1% มีจำนวน 446,726 ราย จาก 223,233 ราย ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 33.9% จาก 333,731 ราย ในไตรมาสก่อนหน้า ด้านกองทุนเฮดจ์ฟันด์ และกองทุนต่างๆ ที่เคยถือครองเงินดอลลาร์ และลงทุนในตลาดหุ้นต่างหันไปลงทุนในตลาดทองคำมากขึ้น เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัญหาขาดดุลการค้าที่ยืดเยื้อมากว่า 3 ปี ซึ่งส่งผลให้มียอดสะสมในการขาดดุลการค้าสูงมาก จึงทำให้ความน่าสนใจที่จะถือครองดอลลาร์มีน้อยลง ขณะเดียวกันความวุ่นวายในตลาดเงินทั่วโลก ทำให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ขาดทุนจากตลาดเงิน ต่างปรับพอร์ตการลงทุน หรือย้ายฐานการลงทุนเข้ามาแก้มือในตลาดทองคำ แทนการลงทุนในตลาดหุ้นที่เกิดความผันผวนจากซับไพร์มที่กำลังลุกลามไปทั่วโลก อีกปัญหาใหญ่ที่เป็นเรื่องหนักอกของสหรัฐฯ คงหนีไม่พ้น Twin Deficit หรือการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลงบประมาณพร้อมกัน ยิ่งเป็นการตอกย้ำดอลลาร์อ่อนค่าไม่มีวันสิ้นสุด โดยในเดือนกันยายนสหรัฐฯยังขาดดุลการค้าสูงถึง 56.5 พันล้านดอลลาร์ แม้จะดีกว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ดุลงบประมาณในเดือนตุลาคมขาดดุลเพิ่มขึ้น 12.6% จากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 55.6 พันล้านดอลลาร์ ตราบใดที่ประเทศคู่ค้าที่สำคัญอย่างจีน ซึ่งสหรัฐฯเสียดุลการค้ามากที่สุด ไม่เร่งปฏิรูปอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนซึ่งมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ก็อย่าได้หวังเลยที่สหรัฐฯจะหลุดพ้นจากวังวนการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมูลค่ามหาศาลเช่นนี้ สุดท้ายประเทศที่พัฒนาแล้วต่างหันมาใช้ทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น ซึ่งในย่านเอเชียใช้ทองคำเป็นทุนสำรองรวมกันประมาณ 3 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว ด้านรัสเซียก็เตรียมเพิ่มสัดส่วนทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดเงิน ซึ่งภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ ได้เพิ่มปริมาณทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างคิดเป็นมูลค่าเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์ แล้วก็ได้ทราบสาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งทะยานมาแล้ว ทีนี้เรามาดูราคาทองคำในตลาดต่างๆกันบ้าง แล้วจะได้พิจารณาว่าควรจะเก็บทองในรูปไหนดี โดยทองคำในตลาดฮ่องกง ที่ชาวเอเชียเทรดกัน ซึ่งวันที่ 1 พฤศจิกายน ราคาทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ 793.55 ดอลลาร์/ออนซ์ (ทองคำ 1 ออนซ์ เท่ากับ 31.104 กรัม) และในวันที่ 30 พฤศจิกายน ราคาทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ 805.15 ดอลลาร์/ออนซ์ ภายในเวลา 1 เดือน ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ 11.6 ดอลลาร์ ส่วนทองคำในตลาดลอนดอนที่ชาวยุโรปเขาเทรดกัน วันที่ 2 พฤศจิกายน ราคาทองคำอยู่ที่ 788.85 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ และวันที่ 30 พฤศจิกายน ราคาทองเฉลี่ยอยู่ที่ 798.80 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ ภายในช่วงเวลาเพียง 1 เดือน เพิ่มขึ้น 9.95 ดอลลาร์ สุดท้ายราคาขายปลีกทองคำในบ้านเราซึ่งในวันที่ 1 พฤศจิกายน ทองรูปพรรณ 96.5% ขายบาทละ 13,100 บาท และรับซื้อบาทละ 12,416.04 บาท และวันที่ 30 พฤศจิกายน ทองรูปพรรณขายบาทละ 13250 บาท และรับซื้อบาทละ 12567.64 บาท ภายในเวลา 1 เดือน เพิ่มขึ้น 150 บาท ขณะที่ทองคำแท่ง 96.5% วันที่ 1 พฤศจิกายน ขายบาทละ 12,700 บาท และรับซื้อบาทละ 12,600 บาท และวันที่ 30 พฤศจิกายน ขายบาทละ 12850.00 บาท และรับซื้อบาทละ 12,750.00 บาท ภายในเวลา 1 เดือน ราคาทองคำเพิ่มขึ้น 150 บาท ..เอาเป็นว่าใครจะเลือกเก็บทองในรูปแบบไหนก็เลือกสรรตามสะดวกของแต่ละคนก็แล้วกันนะ แต่อย่าลืมคาถากำกับการลงทุนที่ว่า การลงทุนทุกอย่างล้วนมีความเสี่ยง! (เสี่ยงอย่างไง..ติดตามตอนต่อไป) By : โอมเพี้ยง eFinanceThai.com เก็บทองเข้าพอร์ต ก่อนราคาพุ่งกระฉูดฉุดไม่หยุด ตอนที่ 2 ขึ้นต้นว่าลงทุนแล้วล้วนแต่มีความเสี่ยงทั้งนั้น เพียงแต่มากน้อยแตกต่างกันไป ทองคำเองก็มีความเสี่ยงเช่นกัน แต่ไม่มากเท่ากับการลงทุนในตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆ เนื่องจากราคาทองคำขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยดังนี้ คือ อัตราแลกเปลี่ยนและราคาทองคำในตลาดโลก โดยราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับดอลลาร์ หมายความว่า ถ้าดอลลาร์แข็งค่า ราคาทองคำจะปรับลดลง แต่ถ้าดอลลาร์อ่อนค่า ราคาทองคำจะปรับเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันทองคำยังมีสภาพคล่องสูง ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ในทันทีทั่วโลก การลงทุนทองคำแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือหากจะซื้อทองคำไว้เพื่อเก็งกำไร ไม่ได้เป็นเครื่องประดับ ก็ควรจะซื้อ ทองคำแท่ง ที่มีตั้งแต่ 1 บาท ถึง 100 บาท (ทองคำแท่ง น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม และทองคำ 1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.1508 ออนซ์ ) หรือหากจะซื้อเพื่อเก็งกำไร และเป็นเครื่องประดับด้วย ประมาณว่า two in one ก็ต้องซื้อ ทองรูปพรรณ (ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม) แต่ต้องเสียค่ากำเหน็จด้วย ทีนี้พอพูดถึงค่ากำเหน็จบางคนยังงงๆ ว่าค่ากำเหน็จคืออะไร เวลาไปซื้อทองคำทีไร เจ้าของร้านก็จะกดเครื่องคิดเลข บวกนั้นบวกนี้ สุดท้ายบวกค่ากำเหน็จ ทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า what is ค่ากำเหน็จ แต่ก็ต้องจ่ายให้เขาไป เอาละวันนี้มารู้กันเลยว่า “ค่ากำเหน็จ คือค่าแรงในการทำทองรูปพรรณ “ซึ่งทอง 1 บาท จะเฉลี่ยอยู่ที่ 500-600 บาท แล้วแต่ชนิดและความยากง่ายของลายที่เลือก แล้วสิ่งหนึ่งที่ควรจะจำไว้คือ หากต้องการจะขายทองคำก็ควรจะนำไปขายร้านเดิมที่ซื้อมา เพราะจะได้ราคาดีและราคายุติธรรมกว่านำไปขายร้านอื่นๆ เพราะร้านทองนั้นๆจะทำสัญลักษณ์ทองคำของตัวเองไว้ทั้งนั้น และถ้าจะให้ดีเมื่อเวลาจะซื้อทองควรจะไปเลือกซื้อแถวเยาวราช เพราะทองรูปพรรณที่นั้นมีความบริสุทธิ์ที่ 96.5% ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งเยาวราช เนื่องจากได้รับการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพโดยสมาคมค้าทองคำ ในขณะเดียวกันถ้าอยากได้กำไรมากๆ เป็นกรอบเป็นกำก็ควรจะให้ทองคำอยู่กับเรานานๆ เพราะจะซื้อวันนี้ขายพรุ่งนี้เหมือนหุ้นคงไม่ได้ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะปานกลางถึงระยะยาว นั่นก็หมายความว่าควรจะลงทุนมากกว่า 2 เดือนขึ้นไป ตอนนี้ทุกคนเริ่มมีคำถามอยู่ในใจแล้วว่า โอกาสมีมากน้อยแค่ไหนที่ราคาทองคำจะพุ่งต่อ แล้วจะพุ่งต่อไปอีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี ซึ่งโอมเพี้ยงก็มีคำตอบเอาไว้ให้อยู่แล้วว่า แน่นอนมันต้องขึ้นต่ออยู่แล้ว แล้วจะช้าอยู่ใย รีบไปหาทองคำเก็บกันซะ อย่างที่บอกไปว่าทองคำเดินสวนทางกับดอลลาร์ ตราบใดเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่สามารถปีนป่ายออกมาจากหลุมซับไพร์มได้ และวังวนการขาดดุลการค้ายังไม่ผ่านพ้นไป แล้วมีหรือที่ดอลลลาร์จะไม่อ่อนค่าลง เริ่มสงสัยกันแล้วใช่มั้ย เพราะอะไร... เหตุใด... ทำไม...โอมเพี้ยงถึงได้เชียร์ให้ซื้อทองคำ ขอบอกไว้ก่อนว่าไม่ได้เป็นประชาสัมพันธ์ หรือไม่ได้มีได้ มีเสียกับร้านทองแถวเยาวราช ที่เชียร์ก็เพราะว่าเกาะติดความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจและพอรู้ทิศทางของดอลลาร์อยู่บ้าง ซึ่งก็คือตัวชี้ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำนั่นเอง ก็เลยอยากแลกเปลี่ยนความรู้ที่มีให้บางคน ที่กำลังเริ่มต้นเข้าสู่ถนนทองคำได้ทราบกัน จากข้อมูลที่เล่ามาทั้งหมดนี้ หลายคนคงจะนึกภาพออกแล้วว่าทองคำจะเดินหน้าหรือถอยหลัง ถ้างั้นก็ขอยืมสโลแกนหมอลักษณ์มาใช้บ้างแล้วกันว่า ขอฟันธง!.. เลยว่าราคาทองคำยังคงเป็นขาขึ้นและจะสูงอย่างนี้ต่อไปอีกแน่นอน โดยราคาทองคำเริ่มเป็นขาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อปลายปี 2547 โดยราคาทองคำโลกเริ่มปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 17 ปี ที่เฉลี่ยประมาณ 455 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 9% จากช่วงต้นปี และที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือ ราคาทองคำเริ่มสูงขึ้นเกือบ 80% นับตั้งแต่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2544 โดยประเทศที่ซื้อทองคำจากตลาดโลกในแต่ละปีมากที่สุดก็คืออินเดียเพื่อนบ้านในทวีปเอเชียของเรานี้เอง เพราะชาวอินเดียดูจะเป็นคนที่รักชอบทองคำเป็นพิเศษ โดยมีการคาดการณ์กันว่าในปัจจุบันคนอินเดียเก็บทองคำในรูปทองแท่งหรือเครื่องประดับไว้ในเซฟของธนาคาร และในบ้านรวมกันไม่ต่ำกว่า 15,000-20,000 ตัน ก็เลยอยากจะบอกต่อไปอีกว่า อินเดียซึ่งดั่งเดิมชอบทองคำอยู่แล้ว จะยิ่งมีความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น เพราะกำลังซื้อที่มากขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ สุดท้ายก่อนจะจบเรื่องเงินๆทองๆนี้ไปต้องขอย้ำอีกครั้งว่า ตราบใดดอลลาร์ยังอ่อนค่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัวและวิกฤตซับ ไพร์มที่ยังพ่นพิษไม่หยุด อาจส่งผลให้เฟดต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ยิ่งจะตอกย้ำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงไปอีก นั่นก็คือปัจจัยที่ทำให้ทองคำมีราคาแพงขึ้น ขณะเดียวกันการอ่อนค่าของดอลลาร์ยังเป็นปัจจัยหลักทำให้นักลงทุนหันไปกัก ตุนทองคำซึ่งเป็นหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด ในยามที่เกิดวิกฤตในตลาดเงิน รวมถึงกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่กำลังปั่นราคาเพื่อเก็งกำไร และการลดสัดส่วนใช้ดอลลาร์เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศของหลายๆประเทศ ด้วยการหันไปใช้ทองคำเป็นทุนสำรองแทน ปัญหาการขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯต้องแบกภาระต่อไปและยังไม่รู้หลุดพ้นเมื่อ ไหร่ ไปจนถึงปัจจัยเสี่ยงด้านราคาน้ำมันที่ยังคงกดดันให้นักลงทุนหันไปถือครอง ทองคำแทน เนื่องจากปัญหาโครงการนิวเคลียร์อิหร่านที่ยืดเยื้อมานานยังไม่รู้จะออกหัว ออกก้อย ตัวเลขปริมาณสำรองน้ำมันรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ภัยธรรมชาติ และการตัดสินใจลดหรือเพิ่มการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปค ไปจนถึงปัจจัยด้านภูมิศาสตร์ทางการเมืองอื่นๆ ยังเป็นสาเหตุทำให้ราคาน้ำมันผันผวน ซึ่งนั่นก็คือปัจจัยทำให้ทองคำมีเสน่ห์และมีความสนใจมากกว่าน้ำมัน By : โอมเพี้ยง eFinanceThai.com ขอให้ความรู้เพิ่มเติมว่า สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และสมาคมค้าทองคำ เป็นผู้ตรวจสอบและควบคุมความบริสุทธิ์ทองคำที่ 96.5% ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศครับ
  23. 10 คำทำนาย เศรษฐกิจ ดอลล่าร์ และทองคำปี 2008 โดย kumponys วันศุกร์ที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๑ แปลคำทำนายของนักวิเคราะห์ท่านหนึ่งมาฝากครับ เห็นว่าน่าสนใจดี ทำนายไว้เมื่อวันที่ 11 ก่อนหน้าเฟดลดดอกเบี้ย 10 วัน ผมว่าคำทำนายเกี่ยวกับเฟด วันนี้เริ่มเห็นลางๆแล้ว รีบเข้ามาอ่านเพิ่มความฮึกเหิมกันก่อนครับ โดย เจสัน ฮัมลิน 1) สภาวะเศรษฐกิจสหรัฐจะเสื่อมโทรมลง และสุดท้ายผู้คนส่วนใหญ่จะพบว่า ความกลัวตัว "R" (คงหมายถึง Recession หรือความตกต่ำทางเศรษฐกิจ) มันเป็นความจริง เฟดจะยื่นมือเข้ามาพยายามทำทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อยับยั้งมัน แต่มันล่าช้ามานานจนแผนต่างๆของเฟดที่ออกมาเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจจะล้มเหลวในที่สุด 2) วิกฤติซัพไพร์มจะรุนแรงมากขึ้นจากการลดลงของมูลค่าทรัพย์สินที่เผยออกมาเพิ่มขึ้นและการขาดทุนรายไตรมาสมโหฬารของยักษ์ใหญ่ทางการเงิน ความช่วยเหลือที่ออกมาเท่าไหร่ก็ไม่เคยเพียงพอและความผ่อนคลายจะเกิดขึ้นได้เพียงระยะสั้นจากการประกาศอัดฉีดเม็ดเงินเมื่อจำเป็น อย่างน้อยที่สุด หนึ่งธนาคารขนาดใหญ่หรือสถาบันการเงินจะปิดตัวเองลงเมื่อจบไตรมาสที่ 2 3) ราคาอสังหาริมทรัพย์จะยังคงลดลงในปี 2008 การปรับราคารอบใหม่จะนำไปสู่การยึดจำนองรอบที่สองและใหญ่ขึ้น ความเลวร้ายในตลาดการเงินและอสังหาริมทรัพย์จะอยู่เหนือเรา ไม่ได้อยู่ข้างหลังเราแล้ว 4) เฟดจะลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง (ต่ำกว่า 3%) และเทดอลล่าร์จนท่วมตลาดในความพยายามช่วยเหลือเศรษฐกิจ แต่มันดูจะน้อยเกินไปและสายเกินไปแล้ว จะมีการฟื้นตัวชั่วขณะ แต่ความเงียบและผลกระทบจากการเข้ามาก้าวก่ายของเฟดจะสร้างความแตกตื่นในตลาดทำให้เกิดการเทขายขนานใหญ่ แม้จะยืดเวลาออกไปได้ก็ตาม 5) ดอลล่าร์จะลดค่าต่ำลงมากเพราะการพิมพ์ออกมาด้วยอัตราเร่งสูงสุด และธนาคารกลางต่างประเทศและสถาบันการค้าจะเร่งหนีออกเร็วยิ่งกว่าที่จะเห็นในปี 2007 ประเทศจีนจะยังเปลี่ยนทุนสำรองของตนเองออกจากดอลล่าร์ สร้างแรงกดดันขาลง และดันเงินยูโรเข้ามากลายเป็นทุนสำรองใหม่ของโลก การคลายเยนแครี่เทรด (เลิกกู้เยนที่ดอกเบี้ยต่ำไปลงทุนที่อื่นที่ผลตอบแทนสูงกว่า) จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะดันดอลล่าร์ลงสู่ new low หรือระดับต่ำสุดครั้งใหม่ในปี 2008 จะมีการฟื้นตัวเล็กๆเป็นระยะ ซึ่งจะโน้มน้าวให้ผู้คนเห็นว่าดอลล่าร์กำลังจะกลับมา แต่มันจะจบปีด้วยมูลค่าที่ลดลงไป 10-15% 6) น้ำมันจะดิ่งลงไปสู่ระดับ 80 เหรียญต่อบาเรล จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของซัพพลาย อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อและสงครามในตะวันออกกลางจะดันน้ำมันกลับขึ้นมายืนเหนือ 100 ดอลล่าร์ต่อบาเรล และน่าจะเห็นราคาพุ่งแหลมขึ้นไปถึง 150 เหรียญได้ ในกรณีสงครามกับอิหร่าน 7) ทองคำจะสร้างสถิติใหม่สูงสุดในปี 2008 เร่งเร็วเสียกว่า 31% ที่เพิ่มขึ้นในปี 2007 นักลงทุนจะเริ่มสนใจทองคำมากขึ้นจากที่มันจะแข็งแกร่งเพราะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่ต่ำลง ดอลล่าร์ที่ลดค่าลง หุ้นน้ำมันและหุ้นทองคำจะให้ผลตอบแทนที่น่าประทับใจ เหมืองขนาดเล็กจะไปได้ดีกว่าขนาดใหญ่ และโลหะเงินจะไปได้ดีกว่าทองคำเล็กน้อย ราคาจะผันผวนได้อาจจะถึง 50 เหรียญต่อวัน จะมีการซื้อขายอยู่ระหว่าง 770 - 1120 เหรียญในปี 2008 ทองคำจะต้องทรมานกับการปรับฐานใหญ่ในบางจุด แต่มันจะสั้นกว่าการปรับฐานที่เคยเกิดก่อนหน้า และราคาที่ลดลงในช่วงใดๆจะเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมในการเข้าซื้อ 8) การเมืองที่ไม่สงบจะมีมากขึ้นในอิหร่าน ปากีสถาน และที่ไกลออกไป สหรัฐจะเข้าไปประเทศอื่นและก่อสงครามใหม่ ความตึงเครียดจะเพิ่มขึ้นกับรัสเซียและจีน ผู้ซึ่งมองความเคลื่อนไหวของสหรัฐเป็นพลังที่ฉกฉวยและคุกคามสิ่งที่พวกเขาสนใจในภูมิภาค 9) คงไม่ทำนายว่าใครจะชนะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ แต่จะทำนายว่าจะมีการชุมนุมของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง มีความขัดแข้งเกิดขึ้นมากและพุ่งเป้าไปที่การโกงจาการใช้การลงคะแนนด้วยเครื่องลงคะแนน การนับใหม่ การฟ้องร้อง การประท้วง และความแตกแยกในอเมริกา โดยเฉพาะจากการที่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจกระทบต่อตังค์ในกระเป๋าพวกเขา 10) สต๊อกพลังงานทางเลือกจะไปได้ดีในปี 2008 นำโดยการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ภาวะโลกร้อนจะยังคงเป็นประเด็นร้อน รัฐบาลจะเพิ่มเงินสนับสนุนโดนเฉพาะถ้าเดโมแครกชนะการเลือกตั้ง เทคโนโลยีใหม่ๆจะทำให้พลังงานทางเลือกมีประสิทธิภาพและเพียงพอ ปี 2008 จะเป็นปีที่ยากสำหรับนักลงทุน แต่โอกาสย่อมมีอยู่ตลอดเวลา ผม (ผู้วิเคราะห์) จะลงทุนยาว(ซื้อเก็บ)ในทองคำและเงิน เก็บ juniors (เข้าใจว่าเป็นหุ้นเล็กๆ) ที่มีคุณภาพไปตามทาง และผมจะลงทุนในหุ้นพลังงานสะอาด รวมถึงพลังงานแสงอาทิตย์ ลม และยูเรเนียม ทางด้านสั้น (ขาย) ผมจะเพิ่มโพสิชั่นจากการลดลงของอสังหาริมทรัพย์และตลาดการเงินโดยการถือ Ultrashort ETFs (SRS) และ (SKF) (น่าจะหมายถึงกองทุนระยะสั้นมากๆ) แปลจาก: http://www.goldstockbull.com/10-predictions-for-2008-economy-dollar-gold/
  24. อีเลียตเวฟทองคำ update 22 ของคุณ Alf Field เขียนโดย kumponys วันศุกร์ที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๑ เวลา ใครศึกษาการนับคลื่นอีเลียตเวฟในทองคำ น่าจะเคยได้ติดตามผลงานของคุณ Alf Field ที่มีการปรับปรุงการนับมาอย่างต่อเนื่องมาบ้าง คราวนี้ปรับปรุงล่าสุด บอกว่า จุดต่ำสุดรอบนี้คือคลื่น C ของ 2 ยักษ์ ลองมาดูเหตุผลของเขากันครับ 2 ครั้งล่าสุด คุณ Alf Field ได้ update แก้ไขความผิดพลาดในการนับคลื่น โดยครั้งที่ 20 มองว่า คลื่น a ย่อยของ A คือ C หรือขา 2 ยักษ์ และกำลังจะพุ่งขึ้น แต่ราคาก็หล่นลงมา จนเกิดคลื่น A ซึ่งใน update 21 ก็มองว่า คือ C หรือ ขา 2 ยักษ์เช่นกัน ซึ่งก็ผิดอีกรอบ จนเที่ยวนี้ ก็บอกว่า จุดต่ำสุดรอบนี้คือ C อีกหรือขา 2 ยักษ์อีก (แต่ไม่ยืนยัน) อย่าแปลกใจที่เห็นแกเปลี่ยนไปเรื่อย เพราะทฤษฎีอีเลียตเวฟมันมองไปได้หลายแบบ และจนกว่าจะจบคลื่นทั้งชุดนั่นแหละ เราถึงจะรู้ว่า ไอ้ที่นับนั่น ถูกหรือผิด บางคนสงสัยว่า แล้วแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร ตอบว่า มีสิครับ อย่างน้อย ก็ลดโอกาสความน่าจะเป็นอาจจะสัก 3 แนว เหลือ 2 แนว ก็ยังดี จริงมั๊ย คลื่นอีเลียตเวฟของคุณ Alf Field น่าจะอิงราคาที่ลอนดอนนะครับ อาจมีตัวเลขต่างจากใน MT4 ที่เราดูกันอยู่บ้างนิดหน่อย อีเลียตเวฟเที่ยวนี้ แกให้เหตุผลในการมองเป็นขา 2 ยักษ์ไว้ดังนี้ 1. ความสัมพันธ์ระหว่างคลื่น A และคลื่น C (ของขา 2 ยักษ์) ควรจะมีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกัน ในกรณีนี้ คลื่น C อยู่ที่ประมาณ 1.618 เท่าของคลื่น A โดย A ขาดทุนไป 158 เหรียญ และ 1.618 เท่าของ 158 เหรียญ คือ 255 เหรียญ หากเราลบกับยอดคลื่น B เที่ยวนี้ที่ 986 เหรียญ จะได้เป้าหมายปลายทางที่ 731 เหรียญ ซึ่งใกล้เคียงกับราคาปิดตลาด 740 เหรียญ และราคาต่ำสุด 736 เหรียญที่เกิดขึ้น (สำหรับใน MT4 161.8% อยู่ที่ 756 เหรียญครับ ซึ่งถือว่าถึงแล้ว) 2. ขนาดของการปรับฐานก็เหมาะสม คือลดลงราว 27% โดยจากคาดการณ์ไว้คือราว 25-30% 3. การ Retracement หรือการถอยกลับมาราว 38% วัดจากการขึ้นจาก 256 เหรียญ ถึง 1011 เหรียญ ซึ่งเป็นตัวเลขความสัมพันธ์ปกติของอีเลียตเวฟ อยู่ที่ 723 เหรียญ แค่ใต้ระดับต่ำสุดสัปดาห์ที่แล้วไปนิดเดียว (ใน MT4 ลง 38.2% แทบจะพอดีเลย) 4. มีความสัมพันธ์ของอารมณ์ในตลาด ซึ่งเป็นปกติในจุดต่ำสุดของคลื่น 2 และ C ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวได้ปรากฏขึ้น ความสัมพันธ์ของอารมณ์ตลาดอธิบายดังนี้ คลื่น 1 ยังไม่เชื่อว่าจะขึ้น (การเริ่มต้นที่ยังไม่สำเร็จ) คลื่น 2 การมองโลกในแง่ร้าย (ผมบอกคุณแล้วว่ามันไม่ใช่ครั้งสุดท้ายหรอก!) คลื่น 3 การมองโลกในแง่ดี (เฮ้ ขึ้นรถได้แล้ว!) คลื่น 4 โอกาสมาถึงแล้ว (ซื้อเมื่อราคาลง:buy on the dips!) คลื่น 5 สนุก ตื่นเต้น (มุ่งสู่ยอดดอย) คลื่น A โอกาสลวง (False opportunity) คลื่น B ลากขึ้นไปเชือด (False rally) คลื่น C หมดอาลัยตายอยาก เราพิจารณาได้ว่า ความหมดอาลัยตายอยาก ความกลัวเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว หุ้นทองคำโดนทุบอย่างไร้ความปราณี โลหะเงิน ลดลงไปถึง 50% ผู้ชี้นำตลาดที่มีชื่อเสียงบางรายที่เคยบอกว่าทองคำเป็นกระทิงมาก่อนหน้านี้ ส่งสัญญาณการขาย เลห์แมนบราเธอร์หลังพิงฝา เป็นการมองโลกในแง่ร้ายมากที่สุดที่เกิดที่การสิ้นสุดคลื่น C ในคลื่น 2 ยักษ์ เงื่อนไขนี้ลงตัวพอดีที่จุดต่ำสุดของทองคำที่ 740 เหรียญ มองไปข้างหน้าหน่อย ถ้า 740 เหรียญคือจุดต่ำสุดของคลื่น 2 ยักษ์ ตลาดจะต้องเข้าสู่คลื่น 3 ยักษ์ ซึ่งคาดว่าจะเป็นคลื่นขาขึ้นที่แข็งแกร่งมากที่สุดด้วยการขึ้นขนานใหญ่ได้อย่างน่าประหลาดใจ การขึ้นมาเป็น 100 เหรียญในช่วงแค่ 24 ชั่วโมงนับว่า ลงตัวพอดีกับรูปแบบนี้ การขึ้นขนานใหญ่ในวันเดียว ไม่ได้เกิดจากคลื่น 3 ยักษ์ทำ ยังจำเป็นต้องมีการพิสูจน์อีก เมื่อเราพอใจและเชื่อว่า 740 เหรียญเป็นจุดต่ำสุดจริงๆ เราสามารถพิจารณารูปแบบโครงสร้างของคลื่น 3 ยักษ์ รวมถึงการปรับปรุงเป้าหมาย และความเห็นสุดท้าย ถ้าเราอยู่ที่คลื่น 3 จริง มันต้องตั้งหน้าขึ้น ขึ้น ขึ้นลูกเดียวจากตรงนี้! แปลจาก : http://news.goldseek.com/AlfField/1221742096.php
  25. ธนาคารกลางขายทองคำตามข้อตกลง CBGA หมดรึยัง? เขียนโดย kumponys วันจันทร์ที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๑ ปัจจุบัน (2551) เรากำลังอยู่ในปีที่ 4 ใน 5 ปีของข้อตกลงการขายทองคำฉบับที่ 2 ของธนาคารกลาง ที่เรียกว่า Central Bank Gold Agreement หรือย่อๆว่า CBGA โดยมีข้อตกลงคร่าวๆคือการขายทองคำออกมารวมไม่เกิน 500 ตันต่อปี มาดูตารางการขายทองคำในรอบ 4 ปีที่ผ่านมากันดูหน่อยครับว่าเหลือโควต้ากันอยู่เท่าไหร่ และข้อตกลงฉบับที่ 3 จะว่ากันยังไงต่อ ตามตาราง ประเทศที่ยังมีโควต้าเหลือเยอะสักหน่อย จากที่ประกาศไว้ก็จะมี ฝรั่งเศส โปรตุเกส สวิสเซอร์แลนด์ ออสเตรีย และสวีเดน หมายเหตุ 1. ตามตาราง รวมเอา สเปนและเบลเยี่ยมที่ไม่ได้ประกาศว่าจะขายไว้ก่อนหน้า โดยมียอดรวม 177.1 ตันใน 2 ปีหลัง 2. แต่ไม่รวมการขายที่ไม่ประกาศอื่นๆ 3. การขายของเยอรมัน เพื่อการผลิตเหรียญทองคำ ซึ่งไม่น่าจะนับตามวัตถุประสงค์ที่ประกาศไว้ 4.ยังเหลือตัวเลข 3 เดือนหลังที่ยังไม่ได้มารวม และต้องปรับแก้อีกครั้ง เมื่อได้ตัวเลขมา 5. การประกาศขายเพิ่มอีก 250 ตันของสวิสเซอร์แลนด์ถูกนับรวมด้วยแล้ว 6. เรารวมการซื้อของรัสเซียเมื่อปีที่แล้วไว้ด้วย 7. ตามตาราง เป็นรายงานรายสัปดาห์ของธนาคารกลางยุโรป ซึ่งมีการขายออกมา update ล่าสุดคือ 287 ตัน ในปีที่ 4 ขณะที่ World Gold Council ชี้ว่ามีการขายประมาณ 335 ตันจนถึงเวลานี้ ถ้าเป็นเช่นนั้น สวิสเซอร์แลนด์น่าจะเกือบเสร็จสิ้นโปรแกรมการขายหรือจะเสร็จสิ้นในสิ้นเดือนกันยายนนี้ และเริ่มต้นสำหรับปีสุดท้าย และการขายเพิ่มจากสวีเดนเพื่อให้ครบตามจำนวนอาจได้เห็นตามที่ได้ลงนามไว้ ดูเหมือนว่า 1. ฝรั่งเศสไม่ได้ขายทองคำออกมาช่วงหลายเดือนหลังๆนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าคงจะหยุดขายแล้ว 2. สวิสเซอร์แลนด์ขายเกือบครบ 150 ตันตามโปรแกรม และน่าจะจบลงในปี 2008 3. โปรตุเกสไม่ได้ขายออกมาใน 2 ปีหลัง 4. ออสเตรียไม่ได้ขายออกมาปีล่าสุด 5. สวีเดนเป็นผู้ขายออกมาช้าๆ แต่คงขายตามที่ประกาศจนหมด 6. สเปนไม่เคยประกาศ แต่ดัมพ์ลงมาก้อนใหญ่แล้วค่อยบอกทีหลัง 7. เราเชื่อว่า ธนาคารกลางยุโรปได้เสร็จสิ้นโปรแกรมการขายแล้ว และอาจไม่ขายอีก เหลือใครอีก? ไม่น่ามีนะ! ความสับสนอลหม่านทางตลาดการเงินมา จากการตอบสนองกับดอลล่าร์ เพราะการแข็งค่า เพราะนักลงทุนเทขาย พื้นฐานทองคำไม่เคยเปลี่ยนสักนิด และการขายเกือบทั้งหมดมาจากนักลงทุนระยะสั้น พวกเขาดูเหมือนจะขายเพื่อเก็บผลกำไร เหตุผลในการขายทองคำของธนาคารกลางยุโรป จริงๆแล้วมาจากการต้องการสนับสนุนความเชื่อมั่นของเงินสกุลยูโรที่สร้างขึ้นใหม่ในปี 1999 ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการขายทองคำครั้งแรกของธนาคารกลาง ก่อนหน้านี้ สหรัฐและ IMF ก็พยายามอย่างเดียวกัน ในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับเงินกระดาษ แต่นโยบายอย่างนั้นต้องการเงินสกุลที่มีเสถียรภาพและราคาที่มั่นคง ซึ่ง 2 ทศวรรษหลังก็ทำได้ และยูโรก็ทำได้บางส่วน แต่ไม่ทั้งหมด เพราะปัญหาภายในของยูโรโซนที่มีเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ทองคำจึงยังเป็นทุนสำรองที่ยอดเยี่ยมในการสร้างสมดุลกับดอลล่าร์ และดังนั้น ธนาคารกลางจึงยังต้องสงวนทองคำไว้เป็นทุนสำรอง เราเชื่อว่า ข้อตกลงครั้งต่อไปของธนาคารกลาง จะมีวัตุประสงค์ในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดโดยยังจำกัดเพดานการขายทองคำในอนาคต แต่ละปี แต่ไม่ได้ตกลงว่าจะต้องขาย เพื่อเรียกความเชื่อมั่นตลาดและเปิดทางให้ธนาคารกลางมีทางเลือก สภาคองเกรสยอมให้ IMF ขายทองคำ 400 ตัน คงจะเป็นแค่การขายให้สถาบันโดยตรง ถ้าเราสันนิษฐานถูกต้อง การขายทองคำของธนาคารกลางแทบจะเป็นแค่อดีตไปแล้ว! Sep 19, 2008 - 06:40 AM By: Julian_DW_Phillips แปลจาก http://www.marketoracle.co.uk/Article6344.html
×
×
  • สร้างใหม่...