ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

Peet

ขาประจำ
  • จำนวนเนื้อหา

    28
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

โพสต์ ถูกโพสต์โดย Peet


  1. ขอบคุณครับ

     

    ลุ้นตั้งแต่ 17 Oct 2013 ผลปรากฏว่าเป็นไปตามที่ผมคาดไว้ว่าเลื่อน

     

    ที่คิดว่าเลื่อนเพราะยังไม่พร้อม หมายถึง America เองไม่พร้อม


  2. วันนี้ไปอ่านเรื่อง FED เรื่อง IMF เกี่ยวข้องอย่างไรกับตระกูล Rothchilds อ่านแล้วโลกนี้มันเหมือนกับว่ามีคนบงการอยู่ทุกอย่างทุกเรื่องนะ เช่นเรื่องสงครามโลกทั้งสองครั้ง พวกเค้าก็อยู่เบื้องหลัง

    • ถูกใจ 1

  3. ไปทำงานหรือครับ (ถ้าไปเที่ยวคงไม่เลือกไป?! :)) ในใจกลางเมืองมีส่วนที่ยังพอมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจอยู่นิดเดียวเอง ถ้าไม่นับตึกของบริษัทรถ และพวกต.ม. นอกนั้นเป็นบ้านร้าง อาคารร้างกันเสียเกือบหมด ส่วนที่มีคนอาศัยอยู่ก็ดูน่ากลัวๆพิลึก

     

    ขนาดปีที่แล้ว ตำหรวดดีทรอยท์ ยังออกมาประกาศเลย ว่าถ้าเข้ามาในเมืองนี้ละก็ ระวังตัวกันดีๆนะ (เพราะตำหรวดก็โดนตัดงบ จนไม่มีกำลังเพียงพอที่จะมาไล่จับโจรแล้ว)

     

    http://www.ibtimes.c...own-risk-842953

     

    ใช่ครับไปทำงาน ติดต่อบริษัทพวกรถยนต์แหล่ะครับ

    เมืองทั้งเมืองมี Shopping ใหญ่ๆอยู่ที่เดียว เทียบไม่ได้กับเมืองไทยเลย

    ในตัวเมืองมี Creek town ที่พอเดินเที่ยวได้แต่ก็เล็กๆ


  4. ผมเพิ่งไปเมืองดีทรอยซ์มา

    เมืองทั้งเมืองเงียบเหงามาก บรรยากาศน่ากลัว พอพระอาทิตย์ตกก็ไม่กล้าเดินไปไหน มันวังเวง คนดำก็เยอะ

    • ถูกใจ 2

  5. In God We Trust มันแปลว่า ในนามของพระเจ้าพวกเราเชื่อมั่น

    แปลอีกทีหมายความว่า เงินดอลของอเมริกาการันตีโดยพระเจ้า ไม่เหมือนเงินประเทศอื่นที่พระเจ้าไม่สนใจรับรอง

    • ถูกใจ 1

  6. เด็กอู่ทองพอแบ่งปันประสบการณ์ได้ไหมครับว่าโดนไปอย่างไร

    จะได้เป็นข้อเตือนของเพื่อนๆที่ยังไม่โดนน่ะครับ


  7. http://www.usdebtclock.org/

     

    เว็บนี้เป็นตัวเลขสำคัญต่างๆด้านเศรษฐกิจของ USA เว็บมันเจ๋งดี

    ผมดูอยู่สักพักรู้สึกว่าตัวเลขหนี้สาธารณะมันปั่นเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับภาษีที่จะเก็บได้ แถมยังเร็วกว่า GDP อีก

     

    ถ้าเป็นแบบนี้มันมีแต่พอกพูนๆ ซักวันต้องล้มครืนแน่ แต่ก็คาดไม่ได้ว่าจะกี่ Trillion ถึงจะอยู่ไม่ได้

    • ถูกใจ 3

  8. No Margin, No Problem

     

    Posted April 17th, 2013 by Jim Sinclair & filed under General Editorial.

     

     

    My Dear Friends,

    I suspect that what has just occurred is a near collapse of the fractional gold system. The keys are the many years to re-deliver gold to Germany from New York and AMRO’s suspension of its gold program.

    No one can deny that paper gold is being manipulated lower while physical gold is in high demand. Investors are not selling tonight but in the less liquid times the same perps are again using high volume offering scare tactics.

    What is occurring tonight is the central planner’s answer to the faltering fractional gold system. This will result in higher long term gold prices, not lower.

    Like every can kick that has been executed, this is an attempt to camouflage the occurrence which would end the paper gold market. If you have no margin, you have no problem.

    Sincerely,

    Jim

     

    ลุงจิมแกโพสไว้ว่า

    เพื่อนที่รักทั้งหลาย

     

     

    ฉันสงสัยว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นกาลใกล้เวลาล่มสลายของระบบซื้อขายทองที่แยกส่วน (คือระบบที่แยกการซื้อขายระหว่างทองกระดาษ กับทองจริง) ปัจจัยหลักที่ช่วยพยุงไว้คือยังมีเวลาอีกหลายปีเพื่อที่จะส่งมอบทองไปยังประเทศเยอรมนีจากนิวยอร์กและการระงับ โปรแกรมซื้อขายทองของธนาคาร AMRO

     

    ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่าทองกระดาษทองถูกบงการให้ลดลง ในขณะที่ทองจริงมีความต้องการสูง นักลงทุนยังไม่ได้ขายคืนนี้ แต่ในช่วงเวลาที่มีสภาพคล่องน้อย พฤติกรรมเดียวกันถูกใช้อีกครั้งโดยใช้การเสนอขายที่มีปริมาณสูงเป็นกลยุทธ์

     

    สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้คือคำตอบของนักวางแผนส่วนกลาง (ของผู้บงการ) เพื่อที่จะทำให้ตลาดทองกระดาษมีสภาพกระย้องกระแย้ง ซึ่งในระยะยาวจะทำให้ราทองสูงขึ้น ไม่ใช่ต่ำลง

     

    เหมือนกับว่าทุกคนที่เคยโดนเตะ (หมายถึงคนที่เคยตกเป็นเยื่อตลาดทองกระดาษ) ถูกดำเนินการปลดปล่อยแล้ว ปรากฏการร์ครั้งนี้เป็นความพยายามปิดบังอำพราง ซึ่งในที่สุดตลาดทองกระดาษจะสิ้นสุดลง หากคุณไม่เล่นมาร์จิ้น คุณไม่มีปัญหา

     

    จริงใจนะ

    จิม

    • ถูกใจ 4

  9. คุณ next หายไปไหนครับ QE3 ออกแล้ว ออกแบบ no limit ระยะยาวกันไปเลย ไม่ต้องถามหา QE4 QE5 เลยนะ ออกครั้งเดียวจบ


  10. ผมคิดว่า

    ตอนนี้ตลาดกำลังยื่นบททดสอบหน้าใหม่อยู่ครับ

    กระทิงจะสบัดผู้ขี่ใหม่ออกจากหลังเสมอ

     

    ใครใจหวั่นไหวก็จะรีบปล่อยครับ

    ตลาดจะเก็บไว้เฉพาะคนจริงเท่านั้น

     

    จำได้ว่าคุณเน็กซ์พูดเอาไว้อย่างทำนองนี้

     

    ข้าพเจ้าเห็นว่าอย่างนี้


  11. สาวเก่งมากๆ

     

    ผู้ชายที่ไหนจะกล้าจีบล่ะครับ

     

    ผมคนหนึ่งแหล่ะ กลัวคุณเธอจะเล่นทุกเม็ด ไล่ทุกดอก

     

    พลอทกราฟพฤติกรรมแล้วหาสัญญานนอกใจกันเลยทีเดียวอ่ะคร้าฟฟ :lol:

    • ถูกใจ 2

  12. การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญมากเลยนะครับ จะยากดีมีจน ก็ควรมีการศึกษา

    ถ้ารัฐบาล(ประเทศอะไรก็ตาม) อยากจะให้คนมีการศึกษา น่าจะให้เรียนฟรี มากกว่าการปล่อยกู้ครับ

    การปล่อยกู้ส่วนใหญ่ทุกวันนี้ เป็นการเสกเงินมาจากอากาศ กดในคอมพิวเตอร์สองสามทีก็เสกเงินขึ้นมาได้

    ทำให้เงินเฟ้อไปโดยปริยาย

     

    คนปล่อยกู้ออกแรงกดคอมพิวเตอร์เพื่อสร้างเงินมาปล่อยกู้

    แต่คนกู้ ต้องใช้หยาดเหงื่อ แรงงาน (และน้ำตา?) ในการหาเงินมาใช้คืนคนปล่อยกู้

     

    เมื่อเงินเฟ้อแล้ว ก็จะทำให้ค่าครองชีพ จนถึงค่าเรียนเพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหาย

    เหมือนที่อเมริกา เึคยปล่อยกู้ซื้อบ้านแบบทิ้งๆขว้างๆ ไม่มีงานทำ ยังสามารถซื้อบ้านราคา $300,000 ได้

    ทำให้ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ราคาบ้านสูงเกินความเป็นจริงไปมาก

     

    ไม่รู้อย่างนี้จะเรียกว่าเป็น cost-push inflation หรือ demand-pull inflation ดี

    เพราะมันเป็นวงจรอุบาทว์ กู้ได้ง่าย ก็ demand-pull พอเงินเริ่มเฟ้อแล้ว ก็กลายเป็น cost-push

    เสร็จแล้วก็ต้องมีการสร้างเครดิตเพิ่ม ก็เกิด demand-pull อีก

     

    ตอนนี้ในอเมริกา ผมก็มองว่าค่าเรียนหนังสือ ก็เริ่มเฟ้อแบบราคาบ้านแล้วละครับ

    ถึงแม้ว่าการศึกษาจะสำคัญขนาดไหน ทุกอย่างก็มีจุดคุ้มทุนของมัน

    ถ้าผมต้องจ่ายเงิน(ณ ตอนนี้) 2 ล้าน ใน 4 ปี (ปีละ 5 แสน) เพื่อที่จะเรียนจบมหาวิทยาลัยรัฐ

    ถ้าไม่มีคนให้กู้ ผม และคนอีกจำนวนมาก ก็คงไม่เรียนปริญญาตรี ออกมาหางานทำ หรือเรียนสายอาชีพ เพื่อรีบออกไปทำงาน

    แต่ถ้ามีคนปล่อยให้กู้ ก็คงมีคนจำนวนหนึ่ง ที่หันมาเรียนป.ตรีแทน (และมหาลัยก็อาจจะได้ใจ ค่อยๆขึ้นค่าเทอมอีกในระหว่างปี)

     

    -----------------------------------------------------------------------------------------------

     

    ไปหาตัวเลขมาลองดูเล่นๆนะครับ

     

    http://registrar.ber...n/feesched.html

    มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่เบิร์กลีย์ ค่าเรียนเทอมละ $7230 (เหมาจ่าย)

    ค่าแรงขั้นต่ำของรัฐแคลิฟอร์เนียอยู่ที่ $6400 แต่หลังหักสารพัดภาษีแล้ว เหลือ เดือนละประมาณ $4160

    บิก แม็ค ชิ้นละ $4.07

    เรียนที่อเมริกาหนึ่งเทอม ใช้เงิน 1.7 เท่า ของเงินเดือนขั้นต่ำ หรือซื้อบิค แมคได้ 1776 ชิ้น (อิ่มได้ 592 วัน)

     

    http://www.inter.chu...dents/frame.htm (ตัวเลขเมื่อปี 2008)

    จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ค่าเรียน (เฉลี่ยสองกลุ่ม) เทอมละ 15,000 บาท (เหมาจ่าย และบวกค่าธรรมเนียมต่างๆโดยประมาณเข้าไปแล้ว)

    ค่าแรงขั้นต่ำของไทยอยู่ที่ 300 บาท/วัน หรือ 9000 บาท/เดือน (เงินเดือนไม่ถึงหมี่น ไม่เสียภาษี?)

    บิค แม็ค ชิ้นละ 70 บาท

    เรียนที่จุฬาฯหนึ่งเทอม ใช้เงิน 1.67 เท่า ของเงินเดือนขั้นต่ำ หรือซื้อบิค แม็ค ได้ 214 ชิ้น (อิ่มได้เพียง 71 วัน)

     

    ถ้าเทียบกับเงินเดือน ค่าเล่าเรียนของทั้งสองมหาวิทยาลัยใกล้่เคียงกันมาก

    แต่ถ้าเทียบกับ บิค แม็ค อินเด็กซ์ แล้ว เมืองไทยเรียนหนังสือแพงกว่าที่อเมริกาอยู่โขเลยนะครับ

     

    สมัยคนรุ่นอายุ 60++

    เรียนหนังสือที่อเมริกา ขยันทำงานหน่อย มีตังพอประทังชีวิตได้ เรียนจบออกมา ไม่เป็นหนี้ ไม่เป็นทาส

    เดี๋ยวนี้คนที่เรียนหนังสือ มีน้อยคนที่จะสามารถขยันทำงานส่งตัวเองเรียน และจบมาแบบไม่เป็นหนี้ ไม่เป็นทาสได้

    ส่วนมาก ก็ต้องขอพ่อแม่ (ซึ่งกำลังซื้อของเงินเก็บพ่อแม่ ก็ถูดริดรอนด้วยเงินเฟ้อไปด้วย) หรือไม่ก็ต้องกู้รัฐบาล

    หรือสถาบันการเงินต่างๆเพื่อมาใช้จ่าย

     

    -----------------------------------------------------------------------------------------------

     

     

    บวกประเด็นนี้ เข้ากับปัญหาที่นโยบายของรัฐบาลอเมริกา สนับสนุนให้ "ส่งออก" งานออกไปนอกประเทศ

    (ปากว่า ตาขยิบ บอกว่าต้องการสร้างงาน แต่นโยบายเอื้อ+สนับสนุน ให้บริษัทเอางานออกไปนอกประเทศ)

    ทำให้คนจำนวนมาก ที่จบใหม่ๆ (ต้องเริ่มใช้หนี้แล้ว) หางานไม่ได้ และต้องทำงาน และอยู่อย่างลำบาก เพื่อที่จะเอาเงินไปจ่ายหนี้

    ซึ่งไอ้งานที่ต้องจำใจทำนั่น ก็ไม่จำเป็นต้องมีปริญญาเสียด้วยซ้ำ

     

    และเมื่อคนพวกนี้เริ่มวิ่งไม่ไหว ก็จะตกลงไปในเหวที่รออยู่ ลึกถลำลึกลงไปเรื่อยๆ

    • ป่วย ไปหาหมอ เป็นหนี้ เพิ่ม (งานที่ต้องจำใจทำ มักจะไม่มีประกันสุขภาพให้ --- และเนื่องจากคนส่วนมากมีประกันสุขภาพ
      ก็ทำให้ธุรกิจยา / ร.พ. ได้ใจ โขกคนใข้ได้เต็มที่ ทำให้เงินเฟ้อขึ้นไปอีก น้ำเกลือในร.พ.ในอเมริกา เคยเห็นถุงละ $60+ นะครับ ซื้อที่เมืองไทยถุงละร้อยสองร้อย)
      เป็นไข้หาหมอในอเมริกา คลินิคถูกๆ/โทรมๆ ครั้งนึงก็ $60 + ค่ายาประมาณ $50 ถ้าไม่มีประกัน สรุป หาหมอครั้งละ 3300, ไปร.พ.เอกชน ในอาการพอๆกัน โดนอย่างมากก็ 2000 บาท ถ้าไปคลินิคเล็กๆ ยิ่งถูกลงไปอีก
       
    • ป่วยครั้งต่อไป หมอไม่ยอมให้หา เพราะหนี้เก่าก็ยังไม่จ่าย ต้องไปโรงพยาบาลรัฐ
       
    • ร.พ. รัฐ ไปที ก็ต้องรอเป็นวัน(หรือหลายวัน) กว่าจะได้รักษา ในที่สุดก็ต้องเลือกเอา ว่าจะตกงาน หรือจะป่วยต่อไป

    พอถึงจุดที่สุดแล้ว คนที่ตกลงไปในเหว ก็จะไม่สามารถจ่ายหนี้ค่าเรียนหนังสือได้ กลายเป็นหนี้เสีย

    หนี้ก้อนนี้ เป็นหนี้ที่รัฐบาลการันตีไว้ นั้นหมายความว่า รัฐบาลก็ต้องเอาเงินภาษีประชาชนมาจ่าย

     

    เมื่อเอาเงินภาษีมาจ่ายมากๆเข้า ก็ทำให้งบประมาณไม่พอ ต้องขึ้นภาษี + พิมพ์เงินเพิ่ม อีก

    เสร็จแล้วเราก็ต้องวนกลับไปข้างบน แล้วเปลี่ยนตัวเลขภาษีจาก 35% กับ อัตราเงินเฟ้อ เป็นตัวเลขอื่นๆที่สูงขึ้น

     

    ถึงจุดๆหนึ่ง คนก็จะไม่กล้ากู้เงินออกมา เพราะกลัวไม่มีปัญญาใช้หนี้

    ทำให้เศรษฐกิจติดขัด เพราะไม่มีการใช้จ่าย และเมื่อถึงเวลานั้น

    สิ่งที่นักวิเคราะห์หลายๆคนกลัวกันมากๆ ก็คือปัญหา debt collapse

    หรือการที่ไม่สามารถต่อยอดหนี้เพิ่มขึ้นได้อีกนี่หล่ะครับ เมื่อถึงเวลานั้น ระบบเศรษฐกิจก็คงถูก reset ซักหนึ่งที

    คงมีคนเป็นจำนวนมากที่เจ็บตัว(ทางเศรษฐกิจ) หากเกิด debt collapse ขึ้น

     

    สิ่งทีพวกพวกเจ้ามือแชร์ของวงนี้ (สถาบันการเงิน) กลัวที่สุด ก็น่าจะเป็น debt collapse

    ช่วงที่มีวิกฤตตอนปี 2008/2009 ถ้าสังเกตุดู รัฐบาลอเมริกัน จะออกมากระตุ้นให้คนใช้จ่าย

    และสร้างหนี้ ด้วยการลดภาษีเวลาซื้อบ้าน และลดภาษีเวลาซื้อรถยนต์ใหม่ (ถ้ารถใหม่กินน้ำมันน้อยกว่าคันที่มีอยู่)

    หาเหตุผลอะไรได้ ก็อ้างกันไป เรื่องซื้อบ้าน ก็บอกว่าทุกชนชั้นจะได้มีบ้าน ทำให้ "อเมริกัน ดรีม" เป็นจริง

    (คนแย่งกันซื้อเพราะอยากลดภาษี ก็ทำให้ราคาบ้านพุ่งขึ้น แต่พอหมดโปรโมชัน ราคาบ้านก็ตกต่อ ไม่รู้ว่าคนที่

    ไปแย่งซื้อกันมานี่ไจะได้ อเมริกันดรีม หรือ อเมริกันไนท์แมร์)

     

    ส่วนเรื่องรถ ก็บอกว่าเพื่อสิ่งแวดล้อม ใช้รถกินน้ำมันน้อย ดีกว่า ใช้รถกินน้ำมันเยอะ

    (แต่รถคันเก่าที่กินน้ำมันเยอะ ต้องเอาไปทำลายทิ้ง ถึงจะได้ลดภาษี! เสียของจริงๆ)

     

    เหตุผลลึกๆที่สุด เจ้ามือเค้าน่าจะกลัว debt collapse ครับ ไม่ใช่อย่างอื่น

    -----------------------------------------------------------------------------------------------

     

    ประเด็นเรื่องนี้ ผมไม่ได้มองที่ว่ามีการศึกษาดี หรือไม่ดี ผมเชื่อว่าทุกคนเห็นด้วยว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว

    แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกา เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ว่าระบบที่เป็นอยู่ ทำให้การศึกษาเป็น commodity อย่างหนึ่ง

    ซึ่งหากำไรได้ ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นเรื่อยๆโดยไม่จำเป็น คนที่ได้ประโยชน์คือสถาบันการเงิน ที่ปล่อยกู้ และได้ดอกเบี้ยงามๆ(เข้ากระเป๋าตัวเอง)

    แต่ถ้าหนี้เสียเมื่อไหร่ ก็เอาเงินภาษีประชาชนมาจ่าย

     

    ถ้ามองเฉพาะประเด็นการปล่อยกู้เพื่อการศึกษา ผมว่าสิ่งที่สังคมอเมริกันได้ มีไม่มากเท่ากับ ความเสียหายในสังคมที่เกิดขึ้นครับ

     

    เห็นควรด้วยอย่างมากๆ

     

    อเมริกันชนกู้ซื้อทุกอย่างจริงๆ ใช้จ่ายแบบไม่มีออม เพราะว่าพวกเขามั่นใจว่าเมื่อแก่มีรัฐสวัสดิการ

    เมื่อตกงานมีเบี้ยประกันยังชีพซึ่งก็พอๆกับค่าแรงขั้นต่ำ


  13. เมื่อวานไปซื้อทองแท่งมา ได้กระดาษไม่ได้ทองจริง ร้านบอกว่าได้ทองจริงเมื่อไรก็ไม่รู้ ถ้ามาแล้วจะโทรไปบอก

     

    ในที่สุดก็เอากระดาษกลับบ้านแบบงงๆ

    ไรว๊ะกำเงินไปเป็นฝ่อนได้กระดาษมาแผ่นเดียวเนี่ยนะ :lol:


  14. สิ่งที่เกิดขึ้นในการ์ตูน กำลังจะกลายเป็นเรื่องจริงในอนาคตอันใกล้

     

    หากคุณติดตาม เศรษฐกิจโลกและกระทู้นี้มาอย่างต่อเนื่อง คุณย่อมรู้ว่า "มันสื่อถึงอะไร" .....

     

    ปล. ดูตั้งแต่นาทีที่ 4 เป็นต้นไปนะครับ ...

     

    http://www.youtube.com/watch?v=Cf4wlKsqUKc&feature=player_embedded

     

     

    การ์ตูน (อาจหมายถึงสื่อสัญญานของพวกอิลูมินาติ) แสดงว่าอีกไม่นานเงินกระดาษดอลลาร์จะมลายหายไปเป็นผุยผง ทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจรุนแรงมาก มีประกาศโดยองค์กรชายใส่หน้ากาก บอกให้ไปรับเงินสกุลใหม่เป็นเหรียญทอง คนก็ไปเข้าคิวกันยาวมาก มีกลุ่มพระเอกจีไอโจจะไปขัดขวางแต่ก็โดนพวกประชาชนรุมทำร้าย

     

    นี่อาจเป็นสัญญานที่พวกอิลูมินาติส่งมา ว่ามาสเตอร์แพลนอาจเป็นแบบนี้ :D


  15. ช่วงนี้ตลาดเอเซียไล่เก็บของอยู่

     

    ต้องดูตลาดลอนดอนปิด แล้วตามด้วยตลาดนิ้วโยก ว่าจะทุบลงอีกหรือเปล่า (ถ้ามีแรง)

×
×
  • สร้างใหม่...