-
Content Count
1,809 -
Joined
-
Last visited
-
Days Won
14
Content Type
Profiles
Forums
บทความเทคนิค
Calendar
Blogs
Gallery
Downloads
Everything posted by บอนไซ
-
ที่มา: หุ้น+ข่าว+ทอง+บทความ+กองทุน
-
ที่มา: ยุคของร้านทองหมดแล้วจริงหรือ ภาค 1 และ ภาค2
-
บทวิจารณ์ทองคำอดีต และ การเล่นทองคำในปี 2013 บอนไซ 11-4-2556 ตอน วงกลมลอยลง ยิ่งลงยิ่งเร็ว อย่างนี้ต้อง ใช้ ชาวสวน แต่กลัว ชาวไร่จัง มาเมื่อไหร่ตัวใครตัวมัน …………………………………………………………………………. องค์ประกอบ พระเอกตัวที่ 1 วงกลม พระเอกตัวที่ 2 ชาวสวน พระเอกตัวที่ 3 ชาวไร่ .................................................................................... วงกลมหมายถึง ราคาทองคำที่ไต่ระดับลงมาจากจุด สูงสุด ในวันที่ 6 กันยายน 2011 ที่ราคา 1895 ลงมาโดย มีจุดต่ำสุด ใหม่ เรื่อยๆ ลงมาแล้วก็ขึ้นไปจุดสูงสุด โดยไม่ถึง จุดสูงสุดเดิม โดยมีบ้างช่วงอาจสูงกว่าเดิมแต่ก็อยู่ได้ไม่นาน ก็มาทำจุดต่ำสุดใหม่ แล้วก็ไปสูงสุดใหม่ ต่ำกว่าจุดสูงสุดครั้งที่แล้ว และ วงกลมขี้นและลงนี้เร็วขึ้น หมายถึง ความเร็วราคาต่ำลงโดยมีความเร็วของระยะเวลา เร็วขึ้น (ไปอ่านบทความก่อนหน้านี้ ทำนายทองคำหลังสงกราต์56 ดูนะครับ) พระเอกตัวที่ หนึ่ง วงกลม วงกลม ทองคำขึ้นในอดีต และ วงกลมที่กำลังลงเรื่อยๆในปัจจุบัน ผู้เขียนขอวิจารณ์เรื่องนี้ซึ่งจะขอบอกว่า เป็นความคิดของข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ครับกระผม (บอนไซเล่าประวัติศาสตร์อีกแล้ว ผิดครับ บอนไซ กำลัง วิจารณ์ประวัติศาสตร์ครับ) ทองคำขึ้นมา15-18ปี 700 เปอร์เซ็นต์ จาก 270 มา 1895 ได้อย่างไร ก็ต้องบอกว่า เกิดจากการการเริ่มคนเห็นคุณค่าของมันว่ามันควรจะคุณค่ามากขึ้นมากขึ้น มากขึ้น แต่เรื่องจริงก็คือ คนมีกิเลส มีความโลภ อยากได้เงินจากการลงทุน อยากได้กำไร มันเริ่มมาจาก --- ทองส่วนใหญ่อยู่ในเงินคงคลังของประเทศ และสังคมของคนมีเงิน เพื่อบอกฐานะของตนเองซึ่งก็ไม่มากนัก --- มาเป็นประชาชนที่อยากได้มันเพราะด้วยราคามันไม่ลง (มันเป็นวัตถุที่ไม่มีมูลค่าด้อยลง) --- มาเป็นทองหมดตลาดในโลกนี้ คนก็ยังหามัน ยังไงล่ะ มันก็ขึ้นไปอีก --- ยังไงต่อล่ะ ทองไม่มี ไม่เป็นไร ซื้อขายความเชื่อก็ได้ จึงเริ่ม สังคม ทองกระดาษ และเติบโตขี้นมีมูลค่าทั้งหมด มากกว่าทองจริง 3-4 เท่า ของ ทองจริงที่มีอยู่ในโลก สรุปวิจารณ์ช่วงทองขึ้น 15-18 ปีได้ว่า คนในโลกมาสนใจทองคำ (ข้าพเจ้าคิดเอาเองนะ)ว่า ไม่ถึงล้านคนทั้งโลก มาเป็น ทั้งโลกนี้ คนทั้งโลกนี้มาสนใจ ทองคำ ถามหามัน แสวงหามัน อยากได้มัน 5555 ความโลภ ความอยากได้ของคนนั่นเอง ทองขึ้นเริ่มมีกองทุน มาสร้าง ระบบ ทองคำกระดาษ เข้ามาตลาด เข้าก่อนก็รวยก่อน จาก1กองทุน มาเป็นร้อยกองทุน หรือ อาจจะเป็นพันกองทุน ก็ได้ ตัวอย่าง กองทุนเริ่ม 100 ล้านดอลลาร์ ปัจจุบันอาจจะกำไร อาจมีมูลค่า สองพันล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า นั้น เพราะ ขี้น 700 เปอร์เซ็นต์ แต่ 15-18 ปี ทองขี้นลงขึ้นลงนะครับ เป็นพันพันรอบนะครับ ****** (แต่พวกใหญ่ไม่จริง ทองคำมัน ก็แสบนะครับ พวกเจ๋งตอนทองสูงสุดแล้วลงมาครั้งเดียว กินรวบก็มีแต่ก็เปรียบเทียบแล้ว ก็ไม่มากนะ)**** มาถึงไฮไลค์กันดีกว่า ( บทนี้ไม่ ทำนายอนาคต นะครับ ถ้าผิดหวังขอโทษด้วย ไว้ใกล้ๆ 1450ล่ะกัน ถ้ามี ) วิจารณ์การลงของทองจาก 1895 มาถึงปัจจุบัน 1560 (ตอนที่เขียน 17.00 วันที่ 11 เม.ย. 56) ทองลงจาก hi price เพราะมีกองทุนที่ ต้องใช้ศัพท์ว่า ทรยศ เพื่อนฝูง อย่ารู้เลยไปหาอ่านเอาเดี๋ยวผมถูกฟ้องยิ่งไม่รวยเท่าไรอยู่ จริงๆมันน่าจะแย่งกันหนี โดยการขายทอง ขายก่อนได้ราคาดีกว่า ขายตอนหลัง แต่ก็ไม่เกิดขึ้น ผู้เขียนจึงขอวิจารณ์ ว่าในปัจจุบัน การสื่อสารดี การตลาดแนบเนียนกว่าแต่ก่อน กองทุนต้องมีการสื่อสัมพันธ์ต่อกัน ให้ทุกคน win win โดยรวมตัวกันปล่อยให้ทองที่ซื้อมาค่อยค่อยลง ค่อยค่อยขาย และผมยังบอกได้เลย ที่มันซื้อมาแต่ต้น ตั้งแต่ 600 หรือ 800 ดอลาร์มาถึง สูงสุด 1895 น่าจะขายไปได้ ไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ของสต๊อกทองคำกระดาษ ที่พวกกองทองถือกันอยู่ ย้ำอีกครั้งนะครับ วิจารณ์ คือ วิจารณ์ ผมอาจรู้ไม่จริง สรุปกันดีกว่า อ่านนาน ยิ่ง งงงง ทองคำจะต้องทำวงกลม ลอยลง มาเรื่อยๆ และ เร็วขึ้นตลอดปี 2013 นี้ ประเอกตัวที่สอง ชาวสวน เป็นการ เรียกคนที่ เล่น hi-sell and low-buy ก็คือคนที่เล่นสวนทางตลาด ทองจะขึ้น ก็ขาย ///// ทองจะลง ก็ซื้อ ผมขอวิจารณ์ว่า เหมาะกับการเล่นในช่วง นี้ ถึงปลายปีนี้ คือ ทองค่อยๆเป็นวงกลมลงมา ทองขี้น สองวันติด ก็เตรียมขาย (เล่น ลง) เลย ทองลงมาสองวันสามวันแล้ว ก็ซื้อให้ทองขึ้น ง่ายๆนะ พอล่ะ ง่ายดี จบ ชาวสวน ประเอกตัวที่ สาม ชาวไร่ เป็นการ เรียกคนที่ เล่น ทองขึ้น ก็เล่นตามน้ำขึ้นด้วย ยิ่งขึ้น ยิ่งซื้อให้มันขี้น ///// ทองลง ยิ่งซื้อให้มันลง ยิ่งลง ก็ยิ่งซื้อให้ลงอีก ************ชาวไล่ (ราคาทอง)****************** ผมให้เครดิต ชาวไร่เดินครั้งสุดท้าย คือ การไล่ลงของราคาทอง ในวันกลางคืนวันที่ 6 กันยา 2011 ถึง 10 กันยา 2011 แสบจริง เจ็บจัง กินรวบทุกกองทุน ทุกระดับราคา เจ๋ง กัน ฉิบ..... เลย และตั้งแต่นั้น ผมยังไม่เครดิตช่วงไหนเลย *************************************************** ชาวไร่ ที่อยู่ทั่วโลกนี้โปรดทราบ ถ้าต้องการให้ บอนไซ ให้เครดิต โปรดทำให้ราคา ขึ้น หรือ ลง ก็ได้ 3 วัน มากกว่า 250 ดอลลาร์ นะจ๊ะ แต่ ขอวิจารณ์ มันไม่เกิดในปี 2013 แน่นอน ( มันยังลงไม่ถึงจุด แลัวมันยังไม่มีสัญญาน ) กลัวเล็กๆก็ีพี่ เกา ถ้า น้องนิวมา ก็ ฉิบ....... บอนไซ 11-4-56
-
บทวิจารณ์ทองคำอดีต และ การเล่นทองคำในปี 2013 บอนไซ 11-4-2556 ตอน วงกลมลอยลง ยิ่งลงยิ่งเร็ว อย่างนี้ต้อง ใช้ ชาวสวน แต่กลัว ชาวไร่จัง มาเมื่อไหร่ตัวใครตัวมัน …………………………………………………………………………. องค์ประกอบ พระเอกตัวที่ 1 วงกลม พระเอกตัวที่ 2 ชาวสวน พระเอกตัวที่ 3 ชาวไร่ .................................................................................... วงกลมหมายถึง ราคาทองคำที่ไต่ระดับลงมาจากจุด สูงสุด ในวันที่ 6 กันยายน 2011 ที่ราคา 1895 ลงมาโดย มีจุดต่ำสุด ใหม่ เรื่อยๆ ลงมาแล้วก็ขึ้นไปจุดสูงสุด โดยไม่ถึง จุดสูงสุดเดิม โดยมีบ้างช่วงอาจสูงกว่าเดิมแต่ก็อยู่ได้ไม่นาน ก็มาทำจุดต่ำสุดใหม่ แล้วก็ไปสูงสุดใหม่ ต่ำกว่าจุดสูงสุดครั้งที่แล้ว และ วงกลมขี้นและลงนี้เร็วขึ้น หมายถึง ความเร็วราคาต่ำลงโดยมีความเร็วของระยะเวลา เร็วขึ้น (ไปอ่านบทความก่อนหน้านี้ ทำนายทองคำหลังสงกราต์56 ดูนะครับ) พระเอกตัวที่ หนึ่ง วงกลม วงกลม ทองคำขึ้นในอดีต และ วงกลมที่กำลังลงเรื่อยๆในปัจจุบัน ผู้เขียนขอวิจารณ์เรื่องนี้ซึ่งจะขอบอกว่า เป็นความคิดของข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ครับกระผม (บอนไซเล่าประวัติศาสตร์อีกแล้ว ผิดครับ บอนไซ กำลัง วิจารณ์ประวัติศาสตร์ครับ) ทองคำขึ้นมา15-18ปี 700 เปอร์เซ็นต์ จาก 270 มา 1895 ได้อย่างไร ก็ต้องบอกว่า เกิดจากการการเริ่มคนเห็นคุณค่าของมันว่ามันควรจะคุณค่ามากขึ้นมากขึ้น มากขึ้น แต่เรื่องจริงก็คือ คนมีกิเลส มีความโลภ อยากได้เงินจากการลงทุน อยากได้กำไร มันเริ่มมาจาก --- ทองส่วนใหญ่อยู่ในเงินคงคลังของประเทศ และสังคมของคนมีเงิน เพื่อบอกฐานะของตนเองซึ่งก็ไม่มากนัก --- มาเป็นประชาชนที่อยากได้มันเพราะด้วยราคามันไม่ลง (มันเป็นวัตถุที่ไม่มีมูลค่าด้อยลง) --- มาเป็นทองหมดตลาดในโลกนี้ คนก็ยังหามัน ยังไงล่ะ มันก็ขึ้นไปอีก --- ยังไงต่อล่ะ ทองไม่มี ไม่เป็นไร ซื้อขายความเชื่อก็ได้ จึงเริ่ม สังคม ทองกระดาษ และเติบโตขี้นมีมูลค่าทั้งหมด มากกว่าทองจริง 3-4 เท่า ของ ทองจริงที่มีอยู่ในโลก สรุปวิจารณ์ช่วงทองขึ้น 15-18 ปีได้ว่า คนในโลกมาสนใจทองคำ (ข้าพเจ้าคิดเอาเองนะ)ว่า ไม่ถึงล้านคนทั้งโลก มาเป็น ทั้งโลกนี้ คนทั้งโลกนี้มาสนใจ ทองคำ ถามหามัน แสวงหามัน อยากได้มัน 5555 ความโลภ ความอยากได้ของคนนั่นเอง ทองขึ้นเริ่มมีกองทุน มาสร้าง ระบบ ทองคำกระดาษ เข้ามาตลาด เข้าก่อนก็รวยก่อน จาก1กองทุน มาเป็นร้อยกองทุน หรือ อาจจะเป็นพันกองทุน ก็ได้ ตัวอย่าง กองทุนเริ่ม 100 ล้านดอลลาร์ ปัจจุบันอาจจะกำไร อาจมีมูลค่า สองพันล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า นั้น เพราะ ขี้น 700 เปอร์เซ็นต์ แต่ 15-18 ปี ทองขี้นลงขึ้นลงนะครับ เป็นพันพันรอบนะครับ ****** (แต่พวกใหญ่ไม่จริง ทองคำมัน ก็แสบนะครับ พวกเจ๋งตอนทองสูงสุดแล้วลงมาครั้งเดียว กินรวบก็มีแต่ก็เปรียบเทียบแล้ว ก็ไม่มากนะ)**** มาถึงไฮไลค์กันดีกว่า ( บทนี้ไม่ ทำนายอนาคต นะครับ ถ้าผิดหวังขอโทษด้วย ไว้ใกล้ๆ 1450ล่ะกัน ถ้ามี ) วิจารณ์การลงของทองจาก 1895 มาถึงปัจจุบัน 1560 (ตอนที่เขียน 17.00 วันที่ 11 เม.ย. 56) ทองลงจาก hi price เพราะมีกองทุนที่ ต้องใช้ศัพท์ว่า ทรยศ เพื่อนฝูง อย่ารู้เลยไปหาอ่านเอาเดี๋ยวผมถูกฟ้อง ยิ่งไม่รวยเท่าไรอยู่ จริงๆมันน่าจะแย่งกันหนี โดยการขายทอง ขายก่อนได้ราคาดีกว่า ขายตอนหลัง แต่ก็ไม่เกิดขึ้น ผู้เขียนจึงขอวิจารณ์ ว่าในปัจจุบัน การสื่อสารดี การตลาดแนบเนียนกว่าแต่ก่อน กองทุนต้องมีการสื่อสัมพันธ์ต่อกัน ให้ทุกคน win win โดยรวมตัวกันปล่อยให้ทองที่ซื้อมาค่อยค่อยลง ค่อยค่อยขาย และผมยังบอกได้เลย ที่มันซื้อมาแต่ต้น ตั้งแต่ 600 หรือ 800 ดอลาร์มาถึง สูงสุด 1985 น่าจะขายไปได้ ไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ของทองคำกระดาษ ที่พวกกองทองถือกันอยู่ ย้ำอีกครั้งนะครับ วิจารณ์ คือ วิจารณ์ ผมอาจรู้ไม่จริง สรุปกันดีกว่า อ่านนาน ยิ่ง งงงง ทองคำจะต้องทำวงกลม ลอยลง มาเรื่อยๆ และ เร็วขึ้นตลอดปี 2013 นี้ ประเอกตัวที่สอง ชาวสวน เป็นการ เรียกคนที่ เล่น hi-sell and low-buy ก็คือคนที่เล่นสวนทางตลาด ทองจะขึ้น ก็ขาย ///// ทองจะลง ก็ซื้อ ผมขอวิจารณ์ว่า เหมาะกับการเล่นในช่วง นี้ ถึงปลายปีนี้ คือ ทองค่อยๆเป็นวงกลมลงมา ทองขี้น สองวันติด ก็เตรียมขาย (เล่น ลง) เลย ทองลงมาสองวันสามวันแล้ว ก็ซื้อให้ทองขึ้น ง่ายๆนะ พอล่ะ ง่ายดี จบ ชาวสวน ประเอกตัวที่ สาม ชาวไร่ เป็นการ เรียกคนที่ เล่น ทองขึ้น ก็เล่นตามน้ำขึ้นด้วย ยิ่งขึ้น ยิ่งซื้อให้มันขี้น ///// ทองลง ยิ่งซื้อให้มันลง ยิ่งลง กูยิ่งซื้อให้ลงอีก *******************ชาวไล่ (ราคาทอง)************ ผมให้เครดิต ชาวไร่เดินครั้งสุดท้าย คือ การไล่ลงของราคาทอง ในวันกลางคืนวันที่ 6 กันยา 2511 ถึง 10 กันยา 2511 แสบจริง เจ็บจัง กินรวบทุกกองทุน ทุกระดับราคา เจ๋ง กัน ฉิบ..... เลย และตั้งแต่นั้น ผมยังไม่เครดิตช่วงไหนเลย *************************************************** ชาวไร่ ที่อยู่ทั่วโลกนี้โปรดทราบ ถ้าต้องการให้ บอนไซ ให้เครดิต โปรดทำให้ราคา ขึ้น หรือ ลง ก็ได้ 3 วัน มากกว่า 250 ดอลลาร์ นะจ๊ะ แต่ ขอวิจารณ์ มันไม่เกิดในปี 2013 แน่นอน ( มันยังลงไม่ถึงจุด แลัวมันยังไม่มีสัญญาน ) มีเล็กก็พี่ เกา ล่ะ ถ้า น้องนิว มาล่ะ ฉิบ..... แน่
-
ทำนายราคาทองคำหลังสงกรานต์ 56 อ่านไปเรื่อย อยากใจร้อน มีค่าทำนายอยู่ตอนสุดท้าย บอนไซ 8/4/2556 ภาพทองการขึ้นลงในอดีต 1976-1980 การขี้น 1 *******ผมของสรุปภาพใหญ๋1976 – 1980 (5 ปัขึ้น จาก 110 มา 840 ขัเร 580-600 เป็นภาพการขี้นภาพใหญ่ที่ 1****** 1980-1985 การลง 2 **************ขอสรุปภาพใหญ่ การลง1 ตั้งแต่ 840 จุด มา 280 จุด กินเวลา 5 ปั ลงมา 400 เปอร์เซ็นต์******************* 1985 - 1987 การขึ้น 2 **************ขอสรุปภาพใหญ่ การขึ้น2 ตั้งแต่ 1985 มา 1987 ประมาณ 2 ปั จาก 280 – 500 ขึ้น 90เปอร์เซ็นต์***************** 1987 – 1993 การลง 2 *********** 500 ลงมา 330 ตั้งแต่ มกราคา 1988 ถึง มิถุนายน 1990 มีสัญญาณผิดปกติการลงรุนแรงสุดท้ายประมาณ กุมภาถึง มิถุนายน 1990 จาก 420 เหรียญ มา 340 เหรียญ และสัญญานผิดปกติขี้นรุนแรงกลับคืนทันไปที่เดิม 420 กินเวลา เพียง 1 เดือน และลงมาเรื่อยๆถึงเมษา 1993 กินเวลา 5 ปั จาก 500 เหรียญ มา 330 เหรียญ คิดเป็น 70 เปอร์เซ็นต์************ 1993มกราคม – 1993 มิถุนายน 1993 การขึ้น 3 ******************การขึ้นที่ผมคิดว่าสำคัญตอบสนแงการลง 5 ปี คือ การขึ้น 6 เดือน กลับไปเกือบที่เดิมเลยคือจาก 330มา 410 แนวการแบบนี้ในอตีต ณ เวลานั้นยิ่งใหญ่มาก********************** 1993 ถึง 2001(เมษายน) การลง 3 ******************เป็นขาลงที่ซึ่มเศร้า ยาวนาน กินเวลาประมาณ 8 ปีเต็ม ทองลงจาก 410 มา ถึง 260 เหรียญ ผมยังจำได้ไม่ลืม ประเทศอังกฤษได้ขายทองในคลังสำรองประเทศในช่วงทองตกต่ำสุดและกล่าวว่า ทองคำในอนาคต จะมีค่า ด้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะในโลกเรามีการสำรองเงินตราต่างประเทศในรูปแบบที่ไม่ได้เอาทองคำมาเป็นเงินทุนสำรองประเทศกันแล้ว********************** 2001 - 2007 การขึ้น 4 *****************จาก 260 แนวต้านก็ปราฎเรื่อยๆ มีแนวต้านที่สำคัญคือ ที่ 500 แต่ก็ไม่รุนแรง มาที่แนวต้าน 1000จุด ทองจะถึง 1000 ตอนนี้นทุกคนไม่มีใครเชื่อทั้งวงการทอง ถ้ามากู ขาย มีทองเท่าไร กูก็จะขาย กูเบื่อขายทองแล้ว มีหลายร้าน หรือจะบอกว่า เลิกร้านตอนองมาไต่ระดับ 1000 ดอลลาร์ ราคาทองมาใต่ระดับ 1000 ประมาณ 2 ครั้ง ในเดือน มีนา 2007 (ทดสอบครั้งที่ 1) และมิถุนายน 2007 (ทดสอบครั้งที่2 การขึ้นครั้งนี้ขึ้นจาก 260 มา 1000 กินเวลา 6 ปั คิดเป็นการขึ้น 370-400 เปอร์เซ็นต์ มาราคม 2008 - กันยายน 2008 การลง 4 ****************กลางปีมีเหตุผิดปกติคือ มีเหตุการณ์ขีนไป100 เหรียญ แต่ก็มาลงต่อจนถึง 750 ทองจาก 1000 ลงมา 730 เหรียญ กินเวลา 1 ปี การขึ้นด้วยความผิดปกติในเดือนกันยายน 2508 จาก 750 เป็น 930 กลางเดือนตุลา 2008 ลงต่ำสุด 730 จุด สรุป การลงครั้งนี้ กินเวลา 1 มี จาก 1000 – 730 คิดเป็นการลงครั้งนี้ 26 เปอร์เซ็นต์ ตุลาคม 2008 - กันยายน 2511 การขึ้น 5 ***************ด้วยความผิดปกติในเดือนกันยายน 2508 จาก 750 เป็น 930 และใต่ระดับเป้าหมาย 1000 จุด และ ในปี 2508 มีนาคม ทดสอบ 1000 จุด (ครั้งที่ 3) อีกครั้ง จน ถึงต้นเดือนกันยายน 2508 (ทดสอบ 1000 จุดเป็นครั้งที่ 4 ในวันที่ 5-9 กันยา 2009 ขั้น 1000 เป็น 1050 (ผิดปกติ) 2-6 คุลาคม 2009 ขี้น จาก 1060 มา 1100 (ผิดปกติ) แล้วอะไรอะไรก็ผ่านไป 1000 จุด อตีตแล้ว ทองเดินหน้าที่แนวต้าน 1200 จุด แนวต้าน 1200 เป็นจิตวิทยา สำคัญ มากที่สุด แนวต้าน 1200 ในเดือนธันวาคม ปี 2009 ปี2010 ขี้นทั้งปี มกรา ถึง มิถยน 2011 จาก 1366ไป1505 กรกฎา ถึง กันยา 2011 จาก 1500 ไป 1800 ในสามเดือน ช่วงนี้ขี้น 50 ขึ้น 50 ลง 90 แล้วก็ขี้นลงไปมา แค่ภาพรวมขี้นครับ (ช่วงนี้ผิดปกติมากที่สุดตั้งแต่ทองขี้นมาตอน 1993 ซึ่งตอนนั้นทองตำสุดที่ 260 เหรียญ ต่อออนซ์) ผิดปกติแล้วยังไง 6 กันยายน 2011 ทองคำโลกทำประวัติศาสตร์ที่เคยมีมามูลค่า สูงสุดที่ 1895 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สรุป ขี้นครั้งที่ 5 จาก 750 จุด มา 1895 จุด กินเวลา 4 ปั ( ตุลา2008 ถึง 6 กันยา2011 ต้องสรุปภาพแห่งทศวรรษว่า จาก 270 ยูเอสดอลลาร์ต่อ ออนซ์ มา 1895 กินเวลา ตั้งแต่ 1993 ถึง กันยายน 2011 18ปี คิดเป็นการขึ้น 700 เปอร์เซ็นต์ การลง 6 ไฮไลน์มาแล้ว ค่อยๆอ่านนะครับ เป็นความจริงในตอนแรก 2011. - 2013 ก่อน สงกรานต์ จะทำนาย ในอนาคต คั้งแต่ หลังสงกราต์ 2556 ครับ ---ทองลง จาก วันที่ 5 กันยายน จากราคา 1895 จุด ถึง 25 กันยายน 2011 ราคา 1620 จุด ---ทองขึ้น จาก วันที่ 25 กันยายน จากราคา 1620 จุด ถึง 7 พฤศจิกายน 2011 ราคา 1800 จุด --- ทองลง จาก วันที่ 7 พฤศจิกายน 1800 จุด ถึง 25 พฤศจิกายน 2011 ราคา 1680 จุด ---ทองขึ้น จาก วันที่ 25 พฤศจิกายน 1680 จุด ถึง 2 ธันวาคม 2011 ราคา 1750 จุด ........................................................................................................................................................................... ---ทองลง จาก วันที่ 2 ธันวาคม 1750 จุด ถึง 29 ธันวาคม2011 ราคา 1540 จุด (ผิดปกติ) ---ทองขึ้น จาก วันที่ 29 ธันวา 2011 1540 จุด ถึง 28 กุมภา2012 ราคา 1780 จุด (ผิดปกติ) (คำ ว่า ผิดปกติ ของผมตั้งแต่ค้นคือ การมีคนปั่นราคา หรือ กองทุน หรือ ประเทศทำ order หรือมีเหตุการ รุนแรงในโลกโดยไม่เดาคิด ซึ่งอย่างสุดท้ายเกิดขี้นได้น้อยมากๆเช่น สงครามอ่าว- 919 ตึก เวลเทรด ) ---ทองลง จาก วันที่ 28 กุมภา 2012 1780 จุด ถึง 27 มิถุนายน 2013 ราคา 1550 จุด ( ลงเยอะแต่ไม่ผิดปกติ เป็นคนต้องการของตลาดโดยแท้จริงไม่ได้ข้ามคืนเป็นการซึมแบบสะท้อนสภาพตลาดอย่างแท้จริง ) .............................................................................................................................................................. ---ไม่ขึ้น ไม่ลง ไปเรื่อย 13 พฤษภาคม 2012 /// ถึง 19 กันยายน ทองอยู่ 1600 ยิ่งย้ำ ถึงความมีเสถียรภาพของราคา หมายเหต1 สรุป ปี 2012 ช่วง มกราคม ถึง มิถุนายน 1780- 1550 ทองก็ทยอยลงสะท้อนราคาตลาด และ ช่วงมิถุนายนถึง 19 สิงหา 2012 ก็ปกติ ขึ้น จากวิ่ง ขึ้นเล็กน้อย ระหว่าง 1550-1620 จะยิ่งย้ำ ถึงความมีเสถียรภาพของราคาทองคำ ในตลาดโลก ----15-25 สิงหา 2012 ทองขึ้น 1600- 1670 ขึ้น10 วันหลังมาสงบมา 8 เดิอน เป็นความ (ผิดปกติ) กันยาก็ขึ้นต่อทั้งเดือน ขึ้นถึง 5 ตุลาคม 2012 รวม 2 เดือน ขึ้น 1600-1800 (200 จุด) ----แล้วก็วิ่ง 1700-1800 คั้งแต่ สิงหา 2012 ถึง สิ้นปี 31 ธันวาคม 2012 รวมเวลา 4 เดือน หมายเหตุ 2 สรุป สิงหา 2012 วิ่งจาก 1600-1800 แล้วผลลัพธ์ของการที่กองทุนมาทำราคาทอง ท ำ ให้ทองกลับมาวิ่ง 1700 - 1800 ประมาณ 4 เดือน บทเรียน ที่จะบอก คือ ทุกครั้งที่ ผิดปกติ โดยการปั่น ขึ้น และ ลง จะมีผลในอนาคตของทอง เสมอ ---- ในวันที่ 2 มกราคม 2556 มีความ ผิดปกติ เกิดขึ้นกับ ราคาทอง 1700 ลง 1650 มีวัตถุประสงค์ให้ทองลงแต่ไม่สำ เร็จ ทองขึ้น ต้าน มาถึง วันที่ 21 มกราคม 2556 เกิดความผิดปกติอีก ปั่นรอบสอง จาก 1700 ลง 4 วัน 50 เหรียญ แค่ไม่สำเร็จ แต่ก็ บอกถึง แม้ไม่สำเร็จ แต่ ทอง ก็ต้าน ธรรมดา ไม่ ย้อนขี้น ---- ตั้งแต่ 21 มกราคม ทอง 1685 มีการทยอยลงมาเรื่อยๆ ในวันที่ 14 กุมภา 56 เกิดเรื่อง ผิดปกติ อีก ครั้ง มีการปั่นทองให้ ลง 7 วัน ถึง 21 กุมภา 56 ลงมาถึง จาก 1640 ลงมาที่ 1580 ---- แล้วหลังจาก 21 กุมภาพันธิ์ ทองไม่ขึ้นไม่ลง ถึง 11 มีนาคา 56 และ ต่อมาก็ทยอย ปรับ ตัว ขึ้น เล็กน้อย จากเดิม 1580 ขี้นมาในวันที่ 21 มีนาคม 2556 ----- 21 มีนา ถึง 7 เ มษายน 2556 ปรับลงเล็กน้อย มาสร้าง นิวโลค์ 1545 ตามมาตั้งนานเนื่อยยัง บอนไซมาเล่าประวัติศาสตร์อีกแล้ว ต่อไปนี้ อนาคตแล้วนะครับ มหัศจรรย์ที่ 1 (ราคาเป็นอย่างไรในอนาคต) ที่ผ่านมา ตั้งแต่ ทองทำ นิวไฮ ตั้งแต่ปี 2011 จะกล่าวได้ว่า ยังไม่มีสัญญานทอง คำ ที่จะเดินต่อทำ นิว ไฮ ใหม่ ผมเชื่อทองจะต้องลงมาถึง ประมาณ 25 เปอร์ เซนต์ ไม่ว่าจะไปต่อ (ขึ้นต่อ) หรือจะ ลง ต่อไป **คั้ง 1895 เท่ากับ 100 เปอร์เซนต์ **นับ 210 เท่ากับ 0 เปอร์เซนต์ 20 เปอร์เซนต์ เท่ากับ 1348 ///// 25 เปอร์เซนต์ เท่ากับ 1263 ** นับ 110 เท่ากับ 0 เปอร์เซนต์ 20 เปอร์เซนต์ เท่ากับ 1428 ///// 25เปอร์เซนต์ เท่ากับ 1338 จึงเป็นที่มาว่า ทองควรจะลงมาที่ อย่างน้อย 1450 จุด มหัศจรรย์ที่ 2 (เมื่อไรจะเห็น) ** ถ้านับทองขึ้นมา 210 มา 1895 เป็น 15 ปี ถ้าใครรู้ทฤษฎี การเกิดขึ้น เช่น สินค้าเจ้าตลาด มีส่วนแบ่งทางการตลาด 100 ล้าน ตั้งมา 10 ปี การที่เราจะแข่งขัน ให้อย่างเค้า อย่างน้อย 3 ปี ได้ 50 ล้าน ก็น่าพอใจ เช่นเดียวกับ การถอย ของ กิจการ กิจการ 100 ล้าน การถอถอย ปีละ 10 เปอร์เซนต์ ก็แย่มากแล้วแต่ก็เป็นไปได้ เรามาดูความ มหัศจรรย์ กัน 18 ปี ถอยปีละ 10 เปอร์เซนต์ 1895 นับ 18 ปั คิดทอนคืน ได้เป็น 10 เปอร์เซนต์ ที่ จุด ค่อปี (1895 ได้ 157 จุดต่อปี (10 เปอร์เซนต์) ถ้าราคา ทอง 1985 ยูเอส ดอลลาร์ ต่อ 1ออนซ์ ทองคำ ใน วันที่ 6 กันยายน2011 ทำ นาย 1895- 157 จุด ปี 2012 ต้องปรากฎประมาณกันยา ราคา 1738 (ทองลด10 เปอร์เซนต์) 2013 ต้องปราฎ ประมาณกันยา ราคา 1581 (ทองลด10 เปอร์เซนต์) ความจริงคือ ปีแรกทองลด 6 กันยา 2012 ราคาทองลดลง 1774 ลด ประมาณ 9 เปอร์เซนต์ ปัสองทองลดมาที่ 1581 วันที่ 20 กุมภาพันธ์ แปลว่า ทอง ลดเร็วขึ้น จากปีแรกที่ 9 เปอร์ เซนต์ ต่อปี มาเป็นประมาณ 15 เปอร์เซนต์ในปีที่สอง ขอทำนายว่า ไม่ว่าจะขึ้นต่อทำ นิวไฮ ใหม่ หรือ ไม่ จะต้องมาหา 1450 ในปี 2013 เมื่อบวก ทำนาย มหัสจรรย์1 สรุปได้ว่า ทองจะต้องลงมาอย่างน้อย 20 เปอร์เซนต์ ก่อนจะขึ้นหรือลงต่อที่ 1428 และ ทำนาย มหัสจรรย์2 สรุปได้ว่า น่าจะเป็นใน 2013 (ดูจากการลดลงของทองปีกว่าๆที่ผ่านมา) ผู้เขียนจึงขอ ฟันธงราคาทองในอนาคตหลังสงกรานต์นี้ ทองจะขึ้นสูงสุดได้ไม่เกิน 1650 ( บวกลบไม่เกิน30) ซึ่งโอกาศจะขึ้นไปถึงก็ยาก โอกาศมีแนวโน้มลงมาที่ 1450 ภายในปี 2013 นี้ ครีบ บอนไซ (ลูกป๋าสี่) เมษา2556
-
การบริหารสต๊อกทองอย่างไรให้ได้กำไร บอนไซ2544 บอนไซ เขียนเมื่อ10กันยายน2002 ทองคำไม่ขึ้นก็ลง ไม่ลงก็ขึ้น ไม่ลงไม่ขึ้นก็อยู่เฉยๆ คือไม่ขึ้นไม่ลง ถ้าเราเป็นเถ้าแก่ร้านทองทำอย่างไรล่ะที่จะได้กำไรจากการขายทอง ตอบ ก่อนอื่นการที่จะได้กำไรจากการการขึ้นลงของทองมีปัจจัยอยู่หลาย.อย่าง แต่ขอแบ่งการคิดเป็น สองระดับคือ ระดับเบื้องต้น 1. ต้องเฝ้าการเคลื่อนไหวของทองคำโดยการดูจาก เวบไซค์ ต่างๆเช่น kitco.com 2. ต้องเอาข้อมูลราคาทองจากภายในประเทศและต่างประเทศมาเปรียบเทียบกัน โดยจะมีสูตรที่คิดราคาได้ดังต่อไปนี้คือ (ราคาทองในตลาดปัจจุบันเหรียญสหรัฐต่อออนซ์) คูณ ค่าเงินบาทเมื่อเปรียบเทียบกับเหรียญสหรัฐ แล้ว หารให้เป็นกรัม (1 ออนซ์เท่ากับ 31.1035 บาท แล้วมาทำให้เป็นบาทไทยที่ 15.244 จะได้ทอง 99.99 แล้ว จะต้องมาคุณเป็น 96.5 เปอร์เซ็นต์ ตัวอย่าง ราคาทองวันนี้ 298 เหรียญสหรัฐ ค่าเงินบาทวันนี้ 36.8 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐ จะได้ 298 คูณ 36.8 หาร 31.1035 คูณ 15.244 คูณ 96.5 เปอร์เซ็นต์ จะได้ 5186 บาท ต้องมาเปรียบเทียบในเมืองไทยก่อนว่า วันนี้ราคาทองเท่าไร สมมุติว่าวันนี้ราคาทอง 5250 5150 ก็จะมีส่วนต่างอยู่ 5250-5186 จะได้เมืองไทยแพงว่า 64 บาท คุณก็ควรเปรียบเทียบทุกวันและราคาทองวันไหนที่เมืองไทยแพงกว่าน้อยที่สุดก็ควรไปซื้อทองวันนั้น หรือ ตัดราคาทองวันนั้น ระดับ การคิดแบบสูง ก่อนอื่นจะต้องบอกก่อนเลยว่า คุณไม่สามารถทำกำไรได้ทุกครั้ง และการใช้วิธีการคิดแบบนี้มีกำไรมากมีความเสี่ยงมาก เป็นเงาตามตัวไป โดยการ คาดการณ์ในอนาคต โดยจะต้อง ใช้ประสบการณ์จากการดูความ เคลื่อนไหวในระดับเบื้องต้นมาประเมินแนวโน้มในแต่ละตัวคือ ตัวแปรที่ หนึ่ง ราคาทองในตลาดโลกจะเป็นอย่างไรในอนาคต การเมืองในโลกใบนี้ เหตุการณ์ในต่างประเทศในอนาคต ว่าทองจะขึ้นจะลง จะมีสงครามกันหรือไม่ เศษฐกิจของโลกจะมีแนวโน้มในอนาคตเป็นอย่างไร ตัวแปรที่ สอง อัตราแลกเปลื่ยนการเงินมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพหรือไม่ การเมืองในประเทศ เป็นอย่างไร แนวโน้วในอนาคตจะ อ่อนค่า หรือ ไม่ หรือ คิดว่าค่าจะแข็งขึ้น ………………………………………………………………………………………………….. ตัวแปรที่ หนึ่ง และตัวแปรที่สอง นำมาผสมประสานเพื่อนำมาคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคต ว่าทองคำในเมืองไทยใน 4-5 วัน หลังจากนี้จะขึ้นหรือลง ถ้าคิดว่าจะขึ้น ก็ ต้องเก็บเงินสดไว้ในธนาคารน้อย เอาเงินมาซื้อทองเข้าสต็อกมาก ถ้าคิดว่าจะลง ก็ ต้องเก็บเงินสดไว้ในธนาคารมากๆ ทองในสต็อกน้อยหน่อย ขอบอกไว้เลยว่าท่านที่คิดว่าอยากจะได้กำไรจากการขายทองมากๆท่านจะต้องเป็นคนที่ไม่หมุนเงิน คือจะต้องมีเงินเย็นท่านจะต้องที่ทั้งสต็อกทองและมีทั้งสต็อกเงินสดไว้ ถ้าท่านหมุนเงินมากมาก ท่านจะเสี่ยง เล่นหน้าเดียวนั่นหมายถึงว่า ทองจะต้องขึ้นอย่างเดียว ถ้าลงเป็นขาดทุน ท่านจะเป็นคนที่เสียเปรียบในการทำงานอย่างมาก วิธีที่ท่านจะต้องปฏิบัติได้เมื่อทองมีแนวโน้มในอนาคตว่าจะขึ้น รีบตัดราคากับร้านขายส่งให้ทองเป็นเงินสดโดยเร็ว รีบเลือกทองเข้าสต็อกไว้มากๆ ถือเงินสดไว้น้อยๆ ให้ประวินการคัดทองเก่าให้ช้าลงและให้ใช้เงินสดในการซื้อทองมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้ราคาทองเก่าที่ลูกค้านำมาเปลื่ยนหรือขายกับเราให้สูงขึ้นกว่าปกติ เพราะอาทิตย์หน้าก็กำไรอยู่แล้ว วิธีที่ท่านจะต้องปฏิบัติเมื่อทองมีแนวโน้มในอนาคตว่าจะลง ประวิงไม่ตัดราคาทองกับร้านขายส่ง ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้มีทองในสต็อกไว้พอขายไม่ต้องเข้าของมาก รีบคัดทำทองเข้ามาเปลื่ยนร้านขายส่งให้เร็วทีสุดและมากที่สุด ไม่ควรรับทองเก่าหน้าร้านในราคาสูง เพราะเสี่ยงอาจจะขาดทุนได้ วิธีปฏิบัติเมื่อราคาทองในประเทศ(ที่สมาคมประกาศ)สูงกว่าทองแท่ง99.99ที่นำเข้าจากต่างประเทศมาก ไม่ควรซื้อทองแท่ง96.5 ในประเทศ และ ให้สั่งทอง99.99จากต่างประเทศเอง ต่อรองเงื่อนไขการชำระเงินคือการขอเครคิตนานขี้นจากร้านขายส่ง ต่อรองให้ร้านขายส่ง ลดราคาเนื้อทองลง วิธีปฏิบัติเมื่อราคาทองในประเทศ ต่ำกว่าราคาทองในต่างประเทศ โกร่งราคาทองเก่าให้สูงขึ้น เพราะจะเกิดพวกม้าเร็วมาซื้อทองถึงร้านทันที พยายามที่จะซื้อทองเก่าในตลาดมากๆ เพราะช่วงนี้ราคาทองคำจะดีและหักน้อย ทั้งหมดนี้เป็นการบอกเป็นแนวทาง เรื่องจริงไม่ง่ายอย่างที่คุณคิดหลอกและบอกได้เลยว่า อะไรที่ยิ่งได้กำไรมากก็คือสิ่งที่เสี่ยงมาก เรื่องที่บอกนี้ไม่ได้บอกว่าคนฉลาดจะไม่ตาย คนฉลาดตายไปมากแล้ว พึงระวัง บอนไซ 2544 พอพอขำขำเปล่า หรือผมมาผิดบ้าน ฮิฮิ
-
ยุคทองของร้านทองจบแล้วจริงหรือ (ตอนที่1) บอนไซ สิงหา 2544 ………… …………………………………………………………….. จาก กรกฎาคม 40 ถึง กรกฎาคม 44 ปีกว่าเกือบสี่ปีแล้ว วงการทองคำก็ไม่พ้นจากการถดถอยที่พวกเรา พวันนาว่า มันจะไม่สิ้นสุด วันนี้เราถดถอย พรุ่งนี้ท้องฟ้าต้องแจ่มใส เราจะต้องกลับมาเฟืองฟู ในยุคนี้เราต้องทถอม เนื้อ ทถอมตัวเองอย่าง มาก ช่างทองบางคนไปขายข้าวแกง บางคนไปขายก๋วยเตี๋ยว บางคนไปขายซาลาเปา พวกเถ้าแก่ร้านทอง บางคนไปขาย ส้มตำ ไก่ย่าง ก็มาก ยุคทองของร้านทองจบแล้วจริงหรือ ทางเรา ก็ต้องบอกพวกคุณไม่ได้แต่ทางเราอยากจะให้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับยุคสมัยในแต่ละสมัยว่าเราขายทองในแต่ละสมัยเป็นอย่างไร เพื่อให้ท่านผู้อ่านประเมินกันว่า อะไรที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า เมื่อประมาณ 25-30 ปีที่ผ่านมา(ประมาณปี 2500-2512) มียุคที่คนไทยไม่นิยมทองรูปพรรณ ทองรูปพรรณจะมีขายแต่เฉพาะในเยาวราช ในต่างจังหวัด เกือบจะเรียกได้ว่าไม่มีเลยก็ว่าได้ ไม่เชื่อท่านรองไปดูว่ามีร้านทองร้านใดในประเทศไทยมีมีอายุเกิน 30 ปี รับรองว่า ในเมืองไทยมีไม่เกิน 5 ร้าน ยุคนั้นเราขอตั้งชื่อยุคว่า ยุคแห่งความตกต่ำ ยุคแห่งความตกต่ำ(2500-2512) ในยุคนั้น ร้านทองก็อยู่ในสภาพแย่กว่าในปัจจุบัน หนี้สิ้นร้นพ้นตัว ที่มีสายปานยาวก็อยู่ไปวันวัน ร้านที่ไม่รอดก็ปิดตัวกันไป ท่านเชื่อหรือไม่ร้านที่ดังที่สุดในเมืองไทย ที่ในปัจจุบัน ในอดีต เกือบจะปิดร้าน เรียกว่าเกือบตายมาแล้ว ร้านที่หนีไปต่างประเทศเหลือซากร้านก็ยังมีอยู่เป็นอนุสรณ์ก็ยังเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ในยุคนั้นคนไม่รู้ว่าจะซื้อทองทำไมซื้อทองก็ขาดทุนมาก ทองไทยกับต่างประเทศ มีราคาห่างกันเป็นพันๆ เพราะในสมัยนั้นการคมนาคมก็ไม่สะดวก การสื่อสารก็ถือว่าแย่มากๆอยู่ ในยุคนั้นเมื่อคนไทยถือว่าทองคำเป็นแค่เรื่องประดับที่มีราคาสูงเวลาขายคืนก็ไม่ได้ราคา ทางผู้ที่อยู่ในวงการจึงได้มีการปรึกษาว่าจะทำอย่างไรกันดี ถ้ายังปล่อยให้เป็นไปตามนี้ พวกเราจะต้องตายกันแน่ๆ จึงเกิดแนวความคิดว่า จะเปลื่ยนให้ ทองคำที่มีอยู่ในปัจจุบันจากเดิมที่เป็นของฟุ่มเฟือยเป็น การสะสมทรัพย์สมบัติในรู้ของเงินจึงมีการเปลี่ยนนความคิดคนไทยว่า ถ้าซื้อทองแล้ว ทองคำเป็นสิ่งที่มีมูลค่าสามารถขายคืนได้ในราคาแน่นอน ไม่ขาดทุน ถ้าขาดทุนก็ขาดทุนเฉพาะค่ากำเหน็จ แล้วก็มีการกำหนดราคารับคืนที่เท่ากันทั้งหมด ต่อมาคนก็เริ่มที่จะเปลื่ยนความคิดจากการที่ทองคำเป็นของฟุ่มเฟื่อยให้ทองคำเป็น ของสะสมเหมือนกับการนำเงินไปฝากธนาคาร วงการทองคำจึงมีการเจริญเติบโตขยายตัวอย่างมาก และมีร้านทองที่ไม่ใช่ย่านเยาวราชเกิดมากขี้น และเกิดร้านขายส่งเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่เป็นร้านทองมาเลือกทองในที่เดียวกัน ในยุคนั้นทุกคนทราบว่าร้านทองเป็นร้านที่กำไรน้อย การกำไรอาศัยจากปริมาณการขายมากเมื่อมีการขายมากมีกำไรสะสมแต่ละปีขึ้น แต่คนก็ต่างดี ลืมตาอ้าปากกัน ก็มาสู่ในยุคที่สองที่ ทางเราของเรียกยุคนี้ว่า ยุคแห่งการแย่ลูกค้า ยุคแห่งการตัดเนื้อตัวเองเพื่อขอชื่อเสียงอย่างเดียว (2519-2525) ในตอนนั้นก็ยังมีร้านทองไม่มาก ร้านในเยาวราชจะแย่ลูกค้ากันโดยอาศัยการโฆษณากันอย่าง มากทั้ง ในวิทยุ โทรทัศน์ มีการแจกของแจกกันมากหมายเมื่อซื้อทอง ต่างคนก็ต่างคิดว่า ศักดิ์ศรีตัวเองเป็นใหญ่ทั้งที่ไม่ได้คิดว่า พื้นฐานของร้านทองเป็นการค้าที่กำไรไม่มากต่อหน่วยการขาย แล้วเป็นอย่างไรล่ะ เจ็งกันทั้งคู่ กำไร จากการขาย ไม่คุ้มกันการโมษณาเลย ไม่คุ้มกันกับการเอาของมาแจกลูกค้าเลย จึงการการคุยกันและจึงเริ่มต่างคนต่างเลิกพร้อมกับร่องรอยแห่งการบอกซ้ำ ยุคแห่งการครองลูกค้า มีร้านที่ประสบความสำเร็จในการค้าซึ่งเอาชนะคู่แข่งขันทางการค้าอย่างชัดเจนเกิดขึ้น(2525-2532) เป็นยุคที่คนไทยช่างเหรอและเชื่อใจร้านค้าที่เค้าชื่นชม ในเยาวราชในยุคนั้น มีร้านที่เด่นและมีส่วนครองตลาด เยาวราช ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ในร้านนี้คนซื้อทองเหมือนกับแย่กันซื้อ และมีร้านรองที่มีส่วนแบ่งประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ยุคนี้มีการยายตัวทางเศษฐกิจมากหมายมหาศาลเลย ร้านทองเกิดขึ้นมากหมาย แต่จะร้านก็ได้กำไรมากหมาย ทองคำเป็นที่นิยมมากหมาย จากเดิมมีร้านทองไม่ถึงร้อย มายุคนี้มีร้านทองในประเทศเป็นพัน คนไทยจะนิยมลายสร้อยลายเดียวกันทั่วประเทศ ชอบลายไหนก็ลายได้ลายนั้นทั่วประเทศ ช่างทองมี ไม่พอกับความต้องการของตลาด ร้านทองก็มีไม่พอกับความต้องการของตลาด ยุคแห่งร้านทองเกิดใหม่ ยุคแห่งการขโมยลิขสิทธิ์ชื่อร้านทอง ยุคการปรับปรุงเปอร์เซนต์ทอง(2533-2538) การต่อเนื่องของการขยายร้านทองยังมีอย่างต่อเนื่องจากเดิมซึ่งก็จะมีปัญหาตามาหลายอย่างกล่าวคือเมื่อมีการขยาย มากๆ ก็จะมีร้านทองที่บางร้าน บางร้านขายส่ง ทำเปอร์เซนต์ทองต่ำเพื่อที่จะได้กำไรมากๆ ทองบางร้าน ในยุคนั้น ใส่และเขียวมาก บางร้านทำ 91 92 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทำให้วงการร้านทองเสียชื่อเสียงตามมาพร้อมกันกับตลาดที่โตขึ้นด้วย ในครั้งนั้นพลเอก ชาติชาย เป็นนายยกอยู่ และได้ไปต่างประเทศและได้รับการร้องเรียนถึงความไม่เป็นมาตฐานด้านเปอร์เซนต์ทองของทองคำไทย ว่าไม่มีมาตฐานตอนท่านกลับมาจึงได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับป้ายราคา และการตอกเปอร์เซ็นต์กำกับไปในเนื้อทอง ซึ่งในขณะนั้นร้านในเยาวราชใช้เปอร์เซ็นต์ทอง 96.5 เปอร์เซ็นต์ในการทำสร้อยรูปพรรณ จึงได้มีการนำเอา 96.5 เปอร์เซ็นต์ มาเป็นมาตฐานทองคำ ผู้เขียนคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในวงการทองที่เกิดขึ้นเลย เพราะว่าเมื่อร้านไหนไม่ตอก 96.5 ก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ ถ้าตอกแล้วใช้เปอร์เซนต์ทองต่ำก็จะไม่เป็นที่ยอมรับเช่นเดียวกัน ทำให้ทองไทยมีมาตรฐานมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นความบังเอนที่เกิดขึ้นที่เป็นผลดีกับวงการอย่างมากหมาย ในยุคนี้มีการขยายร้านทองอย่างต่อเนื่อง จากพันเป็นหลายพันและหมายพันเป็นครึ่งหมื่น จึงมีบางร้านที่เอาบางส่วนของชื่อร้านของคนอื่นที่ใช้อยู่ก่อนหน้านี้มาใช้กับร้านของคนเพื่อที่จะใหลูกค้าจำง่ายหรือเชื่อถือร้านหรือด้วยเหตุใดใดก็ตามแต่มีการเอาบางส่วนของร้านที่มีชื่อมามาใช้อย่างมาก ทางเชื่อไม๊ว่ามีร้านทองร้านหนึ่งที่ทุ่มงบโฆษณา มากกว่า 10 ล้านบาทเพื่อสร้างชื่อเสียงของร้าน นั่นหมายถึง เวลาเฟื่องฟู เงิน 10-20 ล้านเป็นเรื่องเล็กน้อยจริงๆ เค้าสามรถทิ้งมันไปในตลาดอย่างไม่เสียดายเลย ในยุคนี้มีร้านทองเปิดในเยาวราชอย่างมาก ลูกค้าก็เริ่มกระจายไป ไม่อยู่ในร้านเดียวให้เห็นเหมือนแต่ก่อน อาจจะเป็นเพราะช่วงระหว่างปี 37-39 เศษฐกิจของไทยเริ่มจะมีอาการฟองสบู่แตกแล้ว ราคาหุ้นก็เริ่มมีราคาต่ำลงอย่างมากหมาย กำลังซื้อเริ่มลดแต่มีร้านทองมากขี้นเพราะทุกร้านแม้จะขายลดลงแต่ก็ยังทำกำไรอยู่ ไม่เหมือนกับบางธุรกิจที่ไปไม่ได้เลย และผู้ลงทุนยังสามารถถือว่า ทองในร้านยังสามารถนำมาขายได้ ยังไม่ขาดทุนมาก อย่างมากก็ขาดทุน ค่าทำตู้โชว์เท่านั้น ยุคแห่งการถดถอยมีสัญญานให้เห็นถึงอนาคตว่าไม่สดใส (2539 ถึง 30 มิถุนายน 2540) เมื่อฟองสบู่แตก คนก็ขาดทุนจากการเล่นหุ้น บ้านที่ดินเริ่มมีอาการขายไม่ได้ ความซบเซาเริ่มเข้ามาหาประเทศไทย ในตอนนั้นมีกิจการร้านทองที่ยังถือว่าทรง ไม่ถึงกับขาดทุน การขยายตัวร้านทองเริ่มลดลง แต่ก็ยังไม่ถือกับศูนย์เพราะคนไม่รู้จะทำอาชีพอะไรเพราะอะไรก็ขาดทุน ทำไม่ได้แต่ทองก็ยังทรง จึงมีบางส่วนยังเปิดร้านปะปายไม่มีใครรู้ว่าประเทศไทยจะต้องมีการลดค่าเงินบาท คนไทยมีความรู้สึกว่าเริ่มทำอะไรลำบากขึ้น ทำอะไรเริ่มยากขึ้น แต่ทุกคนคิดว่า คงเป็นสักพัก พรุ่งนี้คงจะดีขึ้น เมื่อมีการถดถอยขึ้น ของแจกของแถมที่แจกลูกค้าก็เริ่มตัดออกบาง ร้านทองที่ใช้ชื่อของคนอื่นๆก็เริ่มใช้ไม่ได้ผล ปัญหาเรื่องการใช้ชื่อก็มีน้อยลง แต่เรื่องเปอร์เซนต์ทองแต่ละร้านยังคงเดิมหรือดีขึ้นเพราะแต่ละร้านก็พยายามรักษาชื่อเสียงตนเองมากขี้น ร้านที่ไม่ตอก 96.5 หรือใช้ทองไม่ถึง 96.5 ก็จะขายไม่ได้บางร้านก็ปรับมาเป็นใช้ทอง96.5 อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นยุคของการกำไรน้อยลงผู้ซื้อรายย่อย(ร้านทองขายปลีก)มีอำนาจในต่อรองมากขึ้น เพราะในยุคก่อนลดค่าเงินบาท ทองคำขายออกของร้านขายส่งสามารถลดได้ 20-30 บาท ยุคนี้ร้านขายส่งอยู่ในสถานะการณ์ที่กำไรน้อยมาก ต่างคนก็ต่างชิงลูกค้า ชิงส่วนแบ่งทางการตลาด ที่ถดตัวและเติบตัวอย่างลดลง ทางด้านเยาวราช ก็เริ่มมีกำไรน้อยลง ส่วนแบ่งทางการตลาด ร้านผู้นำไม่สามารถทำยอดทิ้งห่างอย่างแต่ก่อน ลูกค้าเริ่มเป็นใหญ่และเริ่มให้ความสำคัญกับลายสร้อยและการบริการลูกค้าการพูดจาของคนขายทอง ยุคแห่งความเหลวร้าย(1กรกฎาคม 40 ถึง 28 กุมภาพันธุ์ 41 20 เดือนของการซื้อทองคืนจากคนไทย เมื่อทางการประกาศให้ค่าเงินบาทลอยตัว เงินบาทก็เริ่มลอย มูลค่าเงินบาทในโลกใบสีน้ำเงินนี้ก็ด้อยค่าลงทุกวัน ทุกวัน จาก 25.5 เป็น 29 ในวันแรก แล้วก็ 32 35 36 40 42 45 48 50 52 56 57 เมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 41 เมื่องไทยก็เป็นผู้ส่งทองไปขายในต่างประเทศอย่างมหาศาล ทั้งๆที่เมืองไทยไม่ได้มีเมืองทองแต่เนื่องจากการอาศัยบุญเก่า ความเฟื่องฟูในอดีตที่ได้สะสม ทองคำไว้ในคอคนไทย ไว้ในเชพ ที่ไปซื้อฝรั่งมันมา ตอนนี้เลยเอาไปคืนมันก่อน ร้านทองก็ปิดไปเรื่อยๆเพราะ 20 เดือนนี้ ไม่มีใครจะซื้อทอง ทุกคนเอาทองในกระเป๋าตัวเองมาขายเพื่อยังชีพเพราะตกงาน ร้านทองที่เล็กๆที่เริ่มเข้ามาในวงการ4-5ปีก็ตะฤกษ์ไปก่อนส่วน ร้านที่เปิดมานานก็มีเปอร์เซ็นต์ปิดน้อยกว่า พวกที่กู้เงินมา พวกหมุนเงินหนักๆ พวกเสียดอกเบี้ยก็เริ่มแสดงอาการบางคนก็ไปเลยบางคนก็ขอผัดเจ้าหนี้ไปเพราะไม่มีรายได้เข้ามามีแต่รายจ่าย ร้านที่เปิดอยู่ก็จะเปลื่ยนจากการขายทองมาเป็นซื้อทอง ยุคนี้มีพวกม้าเร็วไปตามร้านทองเพื่อขอซื้อทองเก่ากัน หักน้อยๆ ยุคนี้มีทองเก่าเท่าไรก็ไม่พอส่งออก ไปขายฝรั่งมัน ยุคตอกฝาโลง ขึ้นเผา(1มีนาคม41 ถึง 30พฤศจิกายน41) 9เดือนแห่งทีสุดของวงการช่วงนี้ไปแล้วจ๊ะ ไม่มีใครเสียดอกเบี้ยที่แพงที่สุดได้เลย เพราะรายได้เกือบเป็นศูนย์ ส่วน รายจ่ายเท่าเดิม เพราะราคาทองก็ทรงๆถึงปรับตัวลงเล็กน้อยระหว่าง(5800-5100)คนซื้อทองน้อยมากไม่คุ้มค่าใช้จ่ายต่างๆน้ำไฟ ภาษี ผู้ที่กู้ในวงการทองที่เริ่มแย่มาตั้งแต่เงินบาทลอยตัวก็อยู่ไม่ได้ไปหมดแล้วทั้งประเทศ บางคนเลยกิจการไปเลย บางคนก็เหลือไว้แต่อนุสรณ์ตึกและตู้ทองที่เคยขาย พวกทองเอาคืนเจ้าหนี้ไปหมดแล้ว บางคนตึกที่ขายทองอยู่ บ้านที่นอนยังรักษาไม่ได้เลยไปแล้วจ๊ะ พวกที่ผ่านจุดนี้ไปได้จะเป็น พวกร้านเก่าที่เปิดมาไม่น้อยกว่า 10ปี พวกไม่ต้องกู้ เงินไม่ต้องเสียดอกเบี้ย(เงินเย็น) พวกไม่คิดมากเพราะไม่รู้ว่าถ้าไม่ทำแล้วจะไปทำอะไร พวกไม่มีภาระต่างๆ เช่น บ้านไม่ต้องเช่า ทำกันเองผัวเมียและลูกไม่ต้องจ่ายเงินเดือนพนักงาน ยุคแห่งความหวัง 1ธันวาคม41 ถึง กรกฎาคม 44 ผู้เขียนคิดว่ามีอาการมีขึ้นนะ แต่หลายคนก็มองว่าดีหลอก บางคนก็บอกว่าดีจริง แต่จะจริงหรือหลอกเราบอกไม่ได้หลอก ไม่มีใครรู้จริงในเรื่องอนาคต มีแต่การคาดคะเนซึ่งอาจจะถูกหรือไม่ก็ได้ ผู้เขียนตั้งคำถามทั้งสองทางทั้งดีและไม่ดีให้ท่านผู้อ่านได้ประกอบเพื่อพิจารณาเองว่าในอนาคตควรจะวางแผนงานอย่างไร จะขยายสาขาหรือไม่ หรือ ยุบสาขาต่อ แต่ที่แน่นอนคือ ถ้าท่านรอดมาถึงตรงนี้แล้ว ท่านก็คงจะไม่น่าโชคร้ายนักในอนาคตเพราะท่านจงใจไว้ว่าอุปสรรคที่ท่านผ่านมาไม่ใช่เรื่องปกติสามัญ ท่านผ่านสงครามโลกครั้งที่3(ที่ไทยแพ้สงคราม) มาแล้ว สรุปข้อคิดท้ายบทความ ท่านคิดว่าทองคำกับคนไทยผูกผันกันมากน้อยแค่ไหน มันเสมือนส่วนหนึ่งซึ่งกันและกันหรือไม่ ท่านคิดว่าหลังจากนี้จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นหรือไม่ และผู้ที่ทำงานเหล่านั้นจะมีเงินออมเพื่อมาซื้อทองหรือไม่ในอนาคต ท่านคิดว่าตลาดหุ้นบ้านเราจะแย่ตกต่ำกว่านี้หรือไม่ และตลาดหุ้นบ้านเราผ่านจุดตกต่ำที่สุดมาแล้วหรือยัง ท่านคิดว่าตลาดหุ้นบ้านเราขึ้นลง จะเปรียบเหมือนกับ ยอดขายทอง กล่าวหรือ หุ้นตก ทองขายน้อย หุ้นขึ้นทองขายได้มาก ท่านลดรายจ่ายต่างๆภายในร้านทองของท่านเต็มที่ที่ไม่กระทบกับการขายทองแล้วหรือยัง ท่านคิดว่าร้านทองของท่านมีข้อดีที่ที่เป็นจุดแข็งที่แตกต่างกับร้านคุ่แข่งหรือไม่ ท่านคิดว่าร้านทองคู่แข่งขันของท่านมีอะไรที่เป็นจุดเด่นที่ท่านไม่มี ถ้ามีท่านคิดว่าท่านต้องปรับปรุงร้านท่านหรือไม่อย่างไร ท่านสามารถควบคุมสตีอกทองของท่านไม่ได้มีของศูนย์หายได้หรือไม่ อย่าลืมประเมินเหตุการณ์ในอนาคตและประเมินตัวเอง บอนไซ 2544 ******************************************************************************************************************************** หมดยุดร้านทองแล้วหรือ (ภาค 2) บอนไซ 1 มีนาคม 2556 ขอเท้าความข้อมูลจากประมาณปี 2500-2543 การเปลืยนแปลงในวงการทองคำที่สำคัญสามารถสรุปได้เป็น พ.ศ. 2505-2512 เกิดการเปลื่ยนแปลง กำหนดราคารับคืน(ประกันราคาซื้อคืน)จากผู้บริโภค เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ชาวบ้านมีความคิดว่า ทองคำเป็นการออมเงิน และการซื้อทองมาประดับยังไม่รับการยกย่องจากสังคมและมีสภาพคล่องเมื่อต้องการขาย หรือ ใช้เงิน หรือ ถ้าต้องการเปลื่ยนแบบ เปลื่ยนลายรูปพรรณก็เสียเงินค่ากำเหน็จไม่มาก พ.ศ.2519-2525 ได้บทเรียนว่า การขายทองมีกำไรต่อหน่วยน้อยมาก ราว1บาททอง จะได้กำไร ไม่เกิน 150 บาท (ทองบาทละ 2000) แต่ ปัจจุบัน 2556 ร้านทองกำไรหนึ่งบาททองประมาณ 350-400 แต่ขอบอกคุณผู้อ่านการลงทุนบาทละ 2 หมื่นบาทขี้น จะกล่าวได้ว่า ปัจจุบันขายทอง ได้กำไรน้อยกว่าอดีตก็ไม่ผิดเลย แต่ไม่ว่าในอดีต หรือ ปัจจุบัน ก็ถือว่า ขายทอง กำไรน้อยกว่าอาชีพ อื่นๆ การที่มีการแข่งขัน ลดราคา แจกของแถมจึงเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ พ.ศ.2533-2538 ผู้บริโภคมีความต้องการมาก (อุปสงค์) มาก จึง เกิดการตอบสนองในการเปิดร้านทองหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็น พันร้าน แต่ก็ไม่มีมาตรฐาน ต่างคนต่างทำ ยุคนั้น เกิดถ้าคนมีอายุน้อยจะทราบ ได้ยิน ทองเขียว ทองพระอินทร์ ซึ่งหมายถึง ทองคุณภาพต่ำ ใส่ก็เกืดอาการแพ้ ไม่มีบัญทัดฐานเปอร์เซ็นต์ ทองและเป็นความโชคดีที่มีการปรับปรุง ฉลาก กำหนดให้มีการตอกเปอร์เซ็นต์ที่แท้จริงจากทางราชการ และ วงการก็พัฒนามาเป็นทอง 96.5 เปอร์เซ็นต์ มาตรฐานทองไทย หรือ ทอง 23 เค พ.ศ.2539-2543 เกิด ฟองสบู่ ลดค่าเงิน รัฐบาลไม่ใช้จ่าย เงินตราไม่ต่อเป็นลูกโซ่อย่างในอดีต เป็นความโชคร้ายจากเศษฐกิจที่เกิดขึ้น คนไทย ไม่มีเงิน ไม่มีรายได้ ค่าเงินลด เอาทองที่เคยซื้อถูกในอดีต มาขายกัน แต่ก็ต้องบอกความจริง ทุกคน ขาย ได้กำไรกันทุกคน แต่ในช่วงนั้น ไม่ใช่ เฉพาะทอง นาฟิกาดังๆ ฮ่องกงบินทางเหมาซื้อไม่จำกัด มีเท่าไรเอาหมด และต่อไปนี้ ก็จะเป็นช่วงต่อเนื่องชองทองเกิดเหตุการณ์ที่สำคัญดังต่อไปนี้ พ.ศ. 2541-2545 เรื่องการเปลื่ยนแปลงทอง เรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม การเปลื่ยนแปลงภาษีของทองรูปพรรณ 96.5 เปอร์เซนต์ ช่วงหลวงตามหาบัว ระดมของบริจาคทองคำทางสมาคมค้าทองคำได้พยายามอธิบายให้ทางการทราบเสมอว่าทองคำเป็นเงินตราประเภทหนึ่ง ไม่สมควรที่จะให้มีการคิดภาษี VAT กระทรวงการคลังเลยมีคำสั่งมาที่กรมสรรพากร ให้หาวิธีที่จะคิดให้ทองคำไม่มีภาษี VAT มีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นระหว่าง กรมสรรพากร และสมาคมค้าทองคำ เป็นเวลากว่า 2ปีที่มีการระดมสมอง จนสุดท้ายกรมสรรพากรได้ออกเป็นประกาศกระทรวง ในปี พ.ศ. 2543 ให้ทองคำแท่งมีภาษีเป็น ศูนย์ และในเมื่อต้นทุนวัตถุดิบเป็นศูนย์ การคิดภาษีของทองรูปพรรณก็ต้องมีวิธีที่ต่างไป โดยทางกรมสรรพากรยินยอมให้มีการเอาราคาทองรูปพรรณรับคืนที่ประกาศโดยสมาคมค้าทอง ไปเครดิตแล้วเอาส่วนต่างมาคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามอัตราที่กำหนด บทสรุป ทองรูปพรรณ ที่มีเปอร์เซ็นต์ 96.5 - 99.99 เปอร์เซ็นต์ จึงเสียภาษีเฉพาะค่ากำเหน็จเท่านั้น ************************************************ การเปลื่ยนแปลงระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ทองคำแท่ง 96.5 เปอร์เซนต์ แต่ที่สำคัญและนำความเปลื่ยนแปลงครั้งใหญ่ สมาคมจึงเสนอไปยังกรมสรรพากรให้มีการยกเว้นภาษีกับทอง 96.5% ขึ้นไป การนำทองคำเช้า ออก ได้ค่อนข้างเสรี และไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เวลาขายให้ผู้บริโภค ทำให้เกิด การเติบโตของ ทองคำแท่ง อย่างมากหมาย การโอนเงินไปซื้อทองต่างประเทศ ทำให้อย่างเปิดเผย ทำให้ทองคำแท่งที่ลักลอบนำเข้าอย่างผิดกฎหมายในอดีต หมดไป จึงทำให้เกิด ส่วนต่าง ทองคำในประเทศ และต่างประเทศ มีราคาไกล้เคียงกัน เมื่อทราบถึงความเป็นมาของระบบภาษีแล้ว ผู้เขียนของชื่นชมกับบุคคลต่างๆที่ได้เสียสละเวลาและมีความกล้าที่ทำให้ ทองคำเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะทำกิจการได้อย่างเต็มภาคภูมิอย่างถูกกฎหมาย บทสรุป ทองคำแท่ง 96.5 - 99.99 เปอร์เซ็นต์ นำเข้า ออกประเทศ ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ขายให้ผู้บริโภคทั่วไปได้โดยไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ********************************************************************************************************* พ.ศ2548-2556 (2003 – 2013) จาก 270 ดอลลาร์ต่อออนปี2548 /////// มาสูงสุดปี2555 19++ ดอลลาร์ต่อออน แม่เจ้า ทองคำเริ่มไต่ระดับ 270 ดอลลาร์ ในปี 2548 (ช่วงนี้ทองตลาดโลกถูกที่สุด เหมืองทอง ทยอยปิด เพราะจุดคุ้มทุน การทำ เหมือง อยู่ที่ 300 – 330 ดอลลาร์ ในไทย เริ่ม ตั้งแต่ แปดพันบาท ต่อ หนึ่งทองบาท ขึ้นมา เรื่อยๆ จน เป็น หนึ่งหมื่นบาท จึงเกิดสัญญาน ขายของคนในประเทศไทยที่เคยซื้อมาในราคาถูก เป็น การทั่งลัก ออกของทอง ครั้งแรกคงจำได้ ตอนปี 40ปลายปี ถึง 43 วิกฤตต้มยำกุ้ง ค่าบาท อ่อนมาก จาก 25.5 เป็น 54 บาท ต่อ หนึ่งดอลลาร์ ขายเพราะค่าเงินบาทอ่อนเป็นกระแสแต่ไม่รุนแรง เพราะ ราคาทองช่วงนี้ตกต่ำ แม้ค่าบาทอ่อนลง ก็ไม่ได้ทำให้ราคาทอง แพงเร้าใจมากจนให้ประชาชนทังหมดขายทองออกมา ครั้งที่สองนี้ ทองตั้งแต่ 10000 -12000 เริ่มกระแสขายทองทวีความรุนแรง ร้านทองมีกระแสเงินสดไม่พอ ทองออกนอกประเทศ เป็น ตันๆ ได้เงินเป็นแสนล้านบาทเข้าประเทศ (เรื่องจริงผู้เขียนไม่ได้เต้าข่าว) ขายจนไม่มีเงินซื้อ 15000 ก็ยิ่งมากมาก คนที่ไม่คิดจะขาย ก็ขาย ไม่สนใจอะไร ขาย ขาย และ ขาย ตอนทองถึง 18000 กระแสจึงยุติ ประมาณ 1 ปีเศษ ใครขายทอง ต้องรับเงินอีกหนึ่งอาทิตย์ หรือ สิบวัน สิบห้าวัน จะขายก็ขาย ไม่ขายก็ไม่เอา ร้านทองเป็นใหญ่ ใครมีเงินสดก็ใหญ่มาก มีเงินสดน้อย ก็ใหญ่น้อย ซื้อจนไม่มีเงิน จะมีได้อย่างไร ขายกันหนึ่งร้านทองใหญ่ ต้องเตรียม 200-400 ล้านบาท เป็นอย่างน้อยต่อวันในการซื้อทอง ผู้เขียนยังจำได้ มีคนกล่าวในช่วงทอง 18,000 บาท อย่างติดตลกว่า ทองเมืองไทย หมดแล้ว ครัวเรือน ชาวบ้าน ไม่มีใครมีทองแล้ว แปลกดี ทองใกล้สองหมื่น กระแสการซื้อทองคำแท่ง เกิดขึ้น แพร่ หลาย อาจเป็นเพราะ หุ้นราคาตกตำ มาที่ 450 จุด บริษัทในตลาดหลักทรัพย์หลายบริษัททยอย กู้เงิน ซื้อกู้ตัวเองคือ และมีการเปลื่ยนแปลงที่สำคัญอีกอย่างหรือ การซื้ออนุพันธ์ทองคำล่วงหน้า(gold Futures) พ.ศ. 2551 ถึง ปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย อนุญาต ให้มีการซื้อขาย ทองคำล่วงหน้า gold futures หลังจากที่เลื่อนการเปิดขายมาเกือบปี โดย ตั่ว อนุพันธ์ ทองคำมูลค่า 50 บาท เรื่มขายครั้งแรก 2 กุมภาพันธ์ 2552 และ ตั๋วอนุพันธ์ทองคำมูลค่า 10 บาท เริ่มขายเมื่อ 2 สิงหาคม 2553 วัตถุประสงค์ ป้องกันความเลี่ยงของราคาทองคำ วิธีการ หลักการง่ายๆคือ วางเงินมัดจำเปิดตั๋ว 10 เปอร์เซ็นต์ ของ มูลค่าทองคำ 50 บาท //และ// มูลค่าทองคำ 10 บาท (mini) สามารถเล่นได้ทุกวัน ที่มีตลาดหลักทรัพย์ และ ซื้อขายถึงประมาณ สามทุ่ม ซื้อได้ทั้งชาขึ้นทองคำ และ ซื้อขาลงทองคำ (จะจับคู่ของผู้เล่นทองขึ้น กับ ผู้เล่นให้ทองลง) ผ่านระบบออนไลน ถ้าซื้อตั๋ว หรือ ขายตั๋ว จะต้องรับผิดชอบในราคามูลค่าของทอง 50 บาท และ 10 บาท ทอง ถ้าได้ก็สามารถ สั่งโอนเงินกลับได้ ถ้าเสีย ตำกว่า 4-5 เปอร์เซ็นต์ ต้องโอนเงินให้โบร์เกอร์เพิ่ม ไม่โอนบังคับตัดตั๋ว (บังคับขาย) .ประมาณปี 2554 ร้านทองก็มีการซื้อทองคำแท่งออนไลน์ ก็ผู้ซื้อไม่ต้องมาที่ร้าน ซื้อขายต้องจ่ายเต็ม จะรับทองคำเลยก็ได้ หรือ ฝากไว้ที่ร้านก็ได้ รายละเอียดแตกต่างกันบางเล็กน้อยในแต่ละร้าน ************************************************************************************************* ถึง บทสรุป ตลาดทองคำวันนี้กล่าวได้คือ ตลาดร้านทองในวันนี้ ทองคำรูปพรรณ เส้นใหญ่ 1 บาท ขึ้นไปเป็นสิ่งอันตราย แทนที่ แต่ เดิม เป็นสิ่งประดับบารมี ของคนรวย (คนกลัวตายเพราะใส่ทอง) คนส่วนใหญ่หันไปใส่ ของประดับประเภทอื่นแทน ทองคำ แท้ เช่น ไข่มุก งานเลียบแบบทองต่างๆ ตลาดทองคำแท่ง เข้าสู่ สังคมของคนมีเงิน คนต้องการลงทุน หวังกำไร และ ไปสู่ ตลาดหุ้น ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญที่สุดของประเทศ แล้ว ทองปัจจุบัน ก็เป็นหุ้น ตัวหนึ่ง ทองเป็นหุ้นตัวหนึ่ง คนเล่นหุ้นทุกคนไม่เคยมองข้าม อนุพันธ ทองคำ และคอยติดตามประแสความเคลื่อนไหว และพร้อมที่จะมาลงทุนตลอด (เกร็ดความรู้ ทองคำในโลกจริง มีเพียง 1 ใน 3.5 เท่า ของคนที่เล่นทองคำ หมายถึง ผู้ลงทุนกระดาษทอง ไม่มีทองจริง มีมูลค่า มากกว่า คนที่มีทองทั้งโลกรวมกัน) ร้านทอง รายได้หลักในปัจจุบัน มาจาก ลำดับ1 รับจำนำ ลำดับ2 รับซื้อทองเก่า (แปลกไหม) 5. ร้านทองตู้แดงมีทางออกในสถานการณ์ในปัจจุบัน (2556) อย่างไร 5.1 ที่ยังอยู่ได้คือ เงินเย็น ไม่ต้องกู้ ประหยัด ขายเงินหรือลูกหลานขาย (กิจการภายในครอบครัว) 5.2 กิจการร้านทองตู้แดงที่ต้องตามกระแสที่เกิดขึ้นของผู้บริโภค คือ เป็นนายหน้า ขายอนุพันธ์ทองคำ หรือ ขายทองคำแท่ง 5.3 กิจการร้านทองที่มีรายได้จากการ รับจำนำทองอย่างเดียว เพียงพอกับ ค่าใช้จ่ายที่จ่ายคือ ค่าเช่า น้ำ ไฟ ค่าแรงงานลูก น้อง (ท่านทราบไหม ร้านทอง รับจำนำยอดรวมมากกว่า10ล้านมีมากกว่า 50 ของร้านทองที่เปิดในปัจจุบัน) 5.4 กิจการที่ ไม่มีความสูญเสียของ การศูนย์หายของทองรูปพรรณ หน้าร้าน และ ทองคำแท่ง ข้อสำคัญ คือ ประหยัดใช้ประหยัดจ่าย (กิจการที่คิดว่า ร้านทองของฉันอยู่ได้เพราะ ฉันเล่นทองคำกำไร เป็นความคิดที่ผิดและอันตรายมากๆ หมดตัวได้) ข้อมูลที่นำเสนอในปัจจุบันอาจมีมิติอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึง แต่ในข้อมูล และ เวลาใน เขียนบทความอำนวยเพียงแค่นี้ ยังไง คอยติดตามผลงานต่อไปด้วย ในเรื่อง อนาคต ราคาทอง ซึ่งผมว่าน่าจะมีประโยชน์มากกับผู้อ่านบล็อก ผู้ลงทุน แล้วจะหาเวลามาเขียน ให้ ไม่นานครับ กดไลน์ให้หน่อยนะครับ บอนไซ 1 มีนาคม 2556
- 1 reply
-
- 6
-
การบริหารสต๊อกทองอย่างไรให้ได้กำไร บอนไซ เขียนเมื่อ10กันยายน2002 ทองคำไม่ขึ้นก็ลง ไม่ลงก็ขึ้น ไม่ลงไม่ขึ้นก็อยู่เฉยๆ คือไม่ขึ้นไม่ลง ถ้าเราเป็นเถ้าแก่ร้านทองทำอย่างไรล่ะที่จะได้กำไรจากการขายทอง ตอบ ก่อนอื่นการที่จะได้กำไรจากการการขึ้นลงของทองมีปัจจัยอยู่หลาย.อย่าง แต่ขอแบ่งการคิดเป็น สองระดับคือ ระดับเบื้องต้น 1. ต้องเฝ้าการเคลื่อนไหวของทองคำโดยการดูจาก เวบไซค์ ต่างๆเช่น kitco.com 2. ต้องเอาข้อมูลราคาทองจากภายในประเทศและต่างประเทศมาเปรียบเทียบกัน โดยจะมีสูตรที่คิดราคาได้ดังต่อไปนี้คือ (ราคาทองในตลาดปัจจุบันเหรียญสหรัฐต่อออนซ์) คูณ ค่าเงินบาทเมื่อเปรียบเทียบกับเหรียญสหรัฐ แล้ว หารให้เป็นกรัม (1 ออนซ์เท่ากับ 31.1035 บาท แล้วมาทำให้เป็นบาทไทยที่ 15.244 จะได้ทอง 99.99 แล้ว จะต้องมาคุณเป็น 96.5 เปอร์เซ็นต์ ตัวอย่าง ราคาทองวันนี้ 298 เหรียญสหรัฐ ค่าเงินบาทวันนี้ 36.8 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐ จะได้ 298 คูณ 36.8 หาร 31.1035 คูณ 15.244 คูณ 96.5 เปอร์เซ็นต์ จะได้ 5186 บาท ต้องมาเปรียบเทียบในเมืองไทยก่อนว่า วันนี้ราคาทองเท่าไร สมมุติว่าวันนี้ราคาทอง 5250 5150 ก็จะมีส่วนต่างอยู่ 5250-5186 จะได้เมืองไทยแพงว่า 64 บาท คุณก็ควรเปรียบเทียบทุกวันและราคาทองวันไหนที่เมืองไทยแพงกว่าน้อยที่สุดก็ควรไปซื้อทองวันนั้น หรือ ตัดราคาทองวันนั้น ระดับ การคิดแบบสูง ก่อนอื่นจะต้องบอกก่อนเลยว่า คุณไม่สามารถทำกำไรได้ทุกครั้ง และการใช้วิธีการคิดแบบนี้มีกำไรมากมีความเสี่ยงมาก เป็นเงาตามตัวไป โดยการ คาดการณ์ในอนาคต โดยจะต้อง ใช้ประสบการณ์จากการดูความ เคลื่อนไหวในระดับเบื้องต้นมาประเมินแนวโน้มในแต่ละตัวคือ ตัวแปรที่ หนึ่ง ราคาทองในตลาดโลกจะเป็นอย่างไรในอนาคต การเมืองในโลกใบนี้ เหตุการณ์ในต่างประเทศในอนาคต ว่าทองจะขึ้นจะลง จะมีสงครามกันหรือไม่ เศษฐกิจของโลกจะมีแนวโน้มในอนาคตเป็นอย่างไร ตัวแปรที่ สอง อัตราแลกเปลื่ยนการเงินมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพหรือไม่ การเมืองในประเทศ เป็นอย่างไร แนวโน้วในอนาคตจะ อ่อนค่า หรือ ไม่ หรือ คิดว่าค่าจะแข็งขึ้น ………………………………………………………………………………………………….. ตัวแปรที่ หนึ่ง และตัวแปรที่สอง นำมาผสมประสานเพื่อนำมาคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคต ว่าทองคำในเมืองไทยใน 4-5 วัน หลังจากนี้จะขึ้นหรือลง ถ้าคิดว่าจะขึ้น ก็ ต้องเก็บเงินสดไว้ในธนาคารน้อย เอาเงินมาซื้อทองเข้าสต็อกมาก ถ้าคิดว่าจะลง ก็ ต้องเก็บเงินสดไว้ในธนาคารมากๆ ทองในสต็อกน้อยหน่อย ขอบอกไว้เลยว่าท่านที่คิดว่าอยากจะได้กำไรจากการขายทองมากๆท่านจะต้องเป็นคนที่ไม่หมุนเงิน คือจะต้องมีเงินเย็นท่านจะต้องที่ทั้งสต็อกทองและมีทั้งสต็อกเงินสดไว้ ถ้าท่านหมุนเงินมากมาก ท่านจะเสี่ยง เล่นหน้าเดียวนั่นหมายถึงว่า ทองจะต้องขึ้นอย่างเดียว ถ้าลงเป็นขาดทุน ท่านจะเป็นคนที่เสียเปรียบในการทำงานอย่างมาก วิธีที่ท่านจะต้องปฏิบัติได้เมื่อทองมีแนวโน้มในอนาคตว่าจะขึ้น รีบตัดราคากับร้านขายส่งให้ทองเป็นเงินสดโดยเร็ว รีบเลือกทองเข้าสต็อกไว้มากๆ ถือเงินสดไว้น้อยๆ ให้ประวินการคัดทองเก่าให้ช้าลงและให้ใช้เงินสดในการซื้อทองมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้ราคาทองเก่าที่ลูกค้านำมาเปลื่ยนหรือขายกับเราให้สูงขึ้นกว่าปกติ เพราะอาทิตย์หน้าก็กำไรอยู่แล้ว วิธีที่ท่านจะต้องปฏิบัติเมื่อทองมีแนวโน้มในอนาคตว่าจะลง ประวิงไม่ตัดราคาทองกับร้านขายส่ง ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้มีทองในสต็อกไว้พอขายไม่ต้องเข้าของมาก รีบคัดทำทองเข้ามาเปลื่ยนร้านขายส่งให้เร็วทีสุดและมากที่สุด ไม่ควรรับทองเก่าหน้าร้านในราคาสูง เพราะเสี่ยงอาจจะขาดทุนได้ วิธีปฏิบัติเมื่อราคาทองในประเทศ(ที่สมาคมประกาศ)สูงกว่าทองแท่ง99.99ที่นำเข้าจากต่างประเทศมาก ไม่ควรซื้อทองแท่ง96.5 ในประเทศ และ ให้สั่งทอง99.99จากต่างประเทศเอง ต่อรองเงื่อนไขการชำระเงินคือการขอเครคิตนานขี้นจากร้านขายส่ง ต่อรองให้ร้านขายส่ง ลดราคาเนื้อทองลง วิธีปฏิบัติเมื่อราคาทองในประเทศ ต่ำกว่าราคาทองในต่างประเทศ โกร่งราคาทองเก่าให้สูงขึ้น เพราะจะเกิดพวกม้าเร็วมาซื้อทองถึงร้านทันที พยายามที่จะซื้อทองเก่าในตลาดมากๆ เพราะช่วงนี้ราคาทองคำจะดีและหักน้อย ทั้งหมดนี้เป็นการบอกเป็นแนวทาง เรื่องจริงไม่ง่ายอย่างที่คุณคิดหลอกและบอกได้เลยว่า อะไรที่ยิ่งได้กำไรมากก็คือสิ่งที่เสี่ยงมาก เรื่องที่บอกนี้ไม่ได้บอกว่าคนฉลาดจะไม่ตาย คนฉลาดตายไปมากแล้ว พึงระวัง บอนไซ 2544