ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

บอนไซ

ขาใหญ่
  • จำนวนเนื้อหา

    1,809
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

  • วันที่ชนะ

    14

โพสต์ ถูกโพสต์โดย บอนไซ


  1. สัปดาห์นี้ของเขียนเรื่องใหม่ในหัวข้อ การลงทุน ของผู้ลงทุนระยะกลาง (หมายถึง การที่ผู้ลงทุนมีความรู้และรู้จักทองคำมาพอสมควร ไม่ใช่ผู้ที่ไม่เคยเล่นทองมาก่อนเลย )

     

    เรามารู้จักคำนิยาม ทองคำ กันเสียก่อน

     

    1. ทองคำมีพื้นฐานเป็นวัตถุที่ใข้ความเชื่อของมนุษย์ ในการกำหนดราคาว่าจะแพง จะถูก ขุดหาเพิ่มได้จากใต้ดิินหรือบนดิน ในการเพิ่มปริมาณที่มีอยู่ซึ่งมีต้นทุนของเมืองทองเป็น ค่าแรงงาน ค่าอุปกรณ์ ค่าน้ำมัน การบริหารและการจัดการ ในแต่ละช่วงเวลาไม่เท่ากัน ซึ่งง่ายๆคือ

    ราคาหน้าเหมืองจะแตกต่างกัน เช่น ราคาหน้าเหมืองในแต่ละปี แต่ละพ.ศ. แตกต่างกัน ศึกษาเพิ่มเติม จาก http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000082054 เป็นต้น

    ปัจจุบัน ประมาณ 1100 ดอลลาร์ต่อออนซ์

     

    2. ประวัติศาสตร์ทองคำ น่าสนใจว่า สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ที่เป็นเจ้าทองคำในอดีต ในอดีตมีกฎมายห้ามประชาชนซื้อทองกันเอง ห้ามประชาชนถือครองทองคำ ซึ่งต่อมาประมาณราวก่อน 1975 มีการออกกฎหมายให้ประชาชนขายทองให้กับรัฐบาลทั้งหมด และ ต่อมาราว 1975 ก็ยอมให้ประชาชนถือทองและขายได้ ราคาทองพุ่งจาก 40 ต่อออนซ์ต่อดอลลาร์ ไป ร้อยกว่า ขึ้นๆลงๆ ศึ่กษาเพิ่มเติมราคาทองคำตั้งแต่ 1975 ได้จาก http://www.kitco.com/scripts/hist_charts/yearly_graphs.plx

     

    ในปัจจุบัน ระบบการเงินของโลก ประเทศต่างๆที่มีทองคำ ต้องไปฝากเงินไว้ในสหรัฐอเมริกา แล้วให้ประเทศ นั้นๆ ถือครองในรูป บัญชีเพื่อนำไปหนุนการพิมพ์ ธนบัตรใช้ในประเทศ หรือ เป็นทุนสำรองของประเทศของตนเอง

    ศึกษาระบบการเงินของโลกเพิ่มเติมได้จาก

     

    ในบางประเทศในปัจจุบันเช่น เยอมมันขอทองที่ฝากไว้ก็ไม่ได้คืนทันที ต้องใช้ระยะเวลา 4-5 ปีในการส่งคืน

     

     

    จากข้อหนึ่งและ ข้อสอง โดย สหรัฐอเมริกา ตั้งระบบ การเงินของโลกนี้โดย ให้ค้ำซัึ่งกันละกัน เป็น ศัตรู กันและกัน หรือ ทองแข็ง ดอลลาร์อ่อน

    และ ทองอ่อน ดอลล่า แข็ง

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ตามผมมาเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

    1. วิเคราะห์ ราคาตลาดที่ทองอยู่ในปัจจุบัน โดยมีปัจจัยต่างๆเช่น

    1.1 โดยการถั่วเฉลี่ย ช่วงเวลาย้อนหลัง 4 เดือน (อาจมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ แต่บอนไซ ช่วง3-4เดือน เหมาะสมดี ในความเห็นส่วนตัว)

    1.2 แนวโน้มและปัจจัยในโลกนี้ในช่วงระยะเวลาปัจจุบัน เช่น ตอนนี้ เรื่อง กรีชเป็นอย่างไร อนาคตเป็นอย่างไร

    รัสเชียเรื่องค่าเงินเป็นอย่างไร อนาคตเป็นอย่างไร คิวอีเป็นอย่างไร อนาคตเป็นอย่างไร เงินเฟ้อระดับเท่าไร อนาคตเท่าไรมาเรียง ให้ความสำคัญ เช่นเรื่องสำคัญที่สุด

     

    วิเคระห์ส่วนตัวบอนไซ คิวอี เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ปัจจุบัน ลด แนวโน้มสหรัฐดีขึ้นจากตัวเลขต่างๆ อนาคตน่าจะยกเลิกไป

    ต่อมา เรื่องรัสเซีย การแซกชั่นของสหรัฐและ สหภาพยุโรป มีผลทำให้ ยุโรปเกิดผลกระทบ อนาคต ปัญหาน่ามีทางออกไปยาก

    ต่อมาเงินเฟ้อในโลกนี้น่าจะเท่าๆกันในปีหน้า ประมาณ 4.3 เปอร์เซนต์ เรื่องสุดท้ายเรื่อง กรีช เป็นเรื่องเล็ก ทุกอย่างคงจบและกรีซ

    ไม่ ออกจากยุโรโซน

     

    ******************************************************************************************************************

     

    ทั้งหมดทั้งสิ้นที่เขียนมาเป็นการวิเคระห์ ราคาเสถียรภาพที่ราคาทอง จะไปตรงไหนก็ต้องกลับมาที่จุดราคานี้

    นี่เป็นการสมมุติเฉพาะนายบอนไซ

    ราคาถั่วเฉลีย4เดือน อยู่ประมาณ 1220+-15 จุด แนวโน้มคิวอีมีให้ทองลดลงอีกอย่างน้อยๆ 30+++ จุด จุดต่ำสุดที่ราคาทองคำควรจะเป็นคือราคาหน้าเหมืองคือ 1100 และราคาสูงสุดที่ปั่นได้ ประมาณ 1310 (เดือนที่แล้วที่มันปั่น สรุปได้ว่า

     

    1.ราคา ต่ำสุดที่น่าจะลงไปถึงได้คือ 1100 ดอลลาร์ ต่อ ออนซ์ (ต่ำกว่านี้เหมืองทองปิด ในอดีตไม่ค่อยเกิดขึ้น

    2.ราคา สเถียรภาพคือ 1190 ดอลลาร์ ต่อ ออนซ์ (แนวโน้มลงที่เหตุจากปัจจัย เศษฐกิจสหรัฐดี และ คิวอีมีแนวโน้มยกเลิก)

    3.ราคา ปั่นที่อดีตเคยทำ อ 1300 ดอลลาร์ ต่อ ออนซ์ (เป็นซูเปอร์ปั่นเดือนที่แล้ว)

     

    ตามผมมาเล่นอย่างไรกันดี

    ภาคสอง อีกสองสามวันลงนะครับ

    • ถูกใจ 3

  2. ลอกการบ้านอาจารย์ นันมาครับ

     

     

    gOld spot price update 17.02.15

     

    ***Technical analysisของราคาทองคำนะครับ

     

     

    *เมื่อพิจารณาจากภาพแรกซึ่งเป็นภาพกราฟในรายวัน daily ก็จะพบว่าราคาทองคำจะมีแนวรับที่สำคัญคือเขต 1200+/- เพราะหากราคาทองคำจะมีโอกาสปรับตัวเป็นขาขึ้นได้ต่อไปนั้น ราคาทองคำไม่ควรจะหลุดเขตแนวรับนี้

     

    *เพราะหากหลุดเขตนี้ลงไป การนับคลื่นว่าแถวเขตนี้จะเป็นคลื่น4(สีฟ้า)ก็น่าจะไม่ใช่ครับ หากยืนได้ ก็มีโอกาสลุ้นที่จะมีคลื่น5(สีฟ้า)ที่มีโอกาสขึ้นผ่านแนวต้านสำคัญแถวเขต1325+/-ได้ต่อไป ตามเส้นทางคลื่นที่ผมเขียนไว้ในเส้นทางเส้นลูกศรสีเขียวนั่นเอง

    *แต่หากราคาทองลงมาในรอบนี้ ไม่สามารถยืนเขตแนวรับแถว1200+/- ได้ ก็น่าจะมีโอกาสเกิดเส้นทางตามรูปแบบ เส้นทางของคลื่นตามลูกศรสีแดงนั่นเอง โดยจะกลายเป็นว่าราคาทองคำยังไม่เจอจุดจบของคลื่น5(สีเหลือง) และคลื่นCมหาใหญ่(สีน้ำเงิน) หมายความว่าราคาทองก็จะมีโอกาสลงไปทำ Lower Low ที่ต่ำกว่า 1130+/- ที่ทำไว้ และการนับคลื่นตรงนั้นก็จะกลายเป็นคลื่น (1) สีเหลือง และตรงแถวเขต 1305+/- ตรงนั้นก็จะนับเป็นคลื่น(2) สีเหลือง และราคาก็จะปรับตัวลงไปหาจุดจบของคลื่น(3) สีเหลืองที่น่าจะทำ Lower low ที่ต่ำกว่า 1130+/- ที่เคยทำไว้นั่นเอง

     

    ***ทีนี้ผมลองมาดูรายละเอียดของคลื่นในภาพกราฟราย4ชั่วโมง ก็จะพบว่าการปรับตัวลงมาของคลื่นและลองนับคลื่นเล็ก(เลขโรมันสีขาว)ในคลื่นใหญ่(เลขโรมันสีเหลือง)ตามภาพที่เอามาให้ดู จะพบว่าราคาทองคำกำลังดำเนินอยู่นี้กำลังจะหาจุดจบของคลื่น(iii)สีเหลือง ซึ่งผมก็คาดว่ามีโอกาสเป็นแถวเขต1200+/- ซึ่งตรงนี้เป็นแนวรับที่สำคัญมากตรงที่ หากรองรับไว้ได้และปรับตัวขึ้นไปได้เลย ตรงแถว1200+/- นี้ก็จะกลายเป็นคลื่นCสีฟ้าและเป็นจุดจบคลื่น4(สีขาว) นั่นเอง

     

    ***แต่หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้แค่ชั่วคราวดีดไปได้ไม่ไกลจากแถวเขต 1200+/- ก็จะกลายเป็นว่าขึ้นไปทำคลื่น(iv)สีเหลือง ก่อนจะปรับตัวลงได้ต่อในคลื่นที่(v) สีเหลือง ที่คาดว่าจะต่ำกว่าเขต 1130+/- ตามที่ได้กล่าวไว้ในภาพรายแรกของกราฟรายวันนั่นเอง

     

    ***ส่วนตัวผมยังค่อนข้างเทน้ำหนักไปทางกรณีที่จะดีดขึ้นไปได้ไม่ไกลจากแถว1200+/- ก่อนที่จะปรับตัวลงต่อที่มีโอกาสทำ Lower low ที่ต่ำกว่า 1130+/- ครับ

     

    ***ดังนั้นท่านที่ติดbuyไว้ในช่วงเร็วนี้ ผมแนะนำแบบนี้ครับ หากเห็นราคาดีดขึ้นและยังไม่หลุดแนวรับ 1200+/- หาจังหวะออกตัวก่อนดีกว่าครับ ส่วนใครจะออกตัวได้แบบกำไรนิดๆหรือเจ็บตัวเบาๆ ก็ควรเอาไว้ก่อนครับ เพราะถ้าจะมองทางขึ้นผมว่ารอให้นราคา break out แนวต้านสำคัญขึ้นไปได้ก่อนจะดีกว่าครับ ความเสี่ยงทางขาลงผมยังมองว่ามีมากกว่านะครับ

    ขอให้รักคุ้มครองทุกคนครับ ^^

     

     

    10887446_1065109736848708_5709385352003683628_o.jpg

     

     

    10265634_1065109523515396_5768845540409323900_o.jpg

    • ถูกใจ 3

  3. มี 10 ตั่ว

     

    แนะนำ S 1 ตั๋ว ที่ราคาปัจจุบัน 1235

     

    มี่ 9 ตั่ว

    แนะนำ S 1 ตัว ที่ราคาปัจจุบัน 1254.2

     

     

    แนะนำ ปิดตั่วที่เปิดไว้ทั้งสองตั๋ว ที่ระดับราคา ปัจจุบัน 1206.5

    กำไีร 1235-1206.5 และ 1254.2-1206.5 ปิดสองตั๋วกำไร 28.5+48.7รวม 77.2 จุด

     

    *********************************************************************************************************

    ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ 万事如意 新年发财

     

    ปีใหม่ขอให้ทุกอย่าง สมหวัง ปีใหม่ขอให้ร่ำรวย

     

    มีโชคลาภ ร่ำรวย เงินทอง สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์สวยงาม

    จิตใจสดชื่นแจ่มใส การงานเจริญก้าวหน้ามั่นคง

    มีคนรักและอุปถัมป์ค้ำชูมากมาย ทุกสิ่งเป็นไปดั่งใจสมปารถนา

     

    祝:春 节 快 乐,

     

    万 事 如 意 ,恭 喜 发 财!

     

    身 体 健 康,合 家 欢 乐!

    • ถูกใจ 1

  4. ตั้งแต่น้องทองขึ้นเลย 1250 เป็นต้นมา ในทางประวัติศาสตร์ ถือว่า เป็นราคาขาขึ้น อย่างสมบูรณ์ เพราะ ตั้งแต่ 1900 ในวันที่ 6 กันยายน 2011 มา ไม่มีที่ราคาทิศทางในขาขึ้นให้เห็น

    การขึ้นครั้งนี้ ต้องมาจาก ความตั้งใจของขาใหญ่ ที่ใหญ่มากๆ ที่ ทุ่มตลาด สร้างกำลังซื้อ (demand) ให้กลุ่มต่างๆ เข้ามาสนใจในทองคำ โดยสร้างให้ตลาดทองมีผลตอบแทนที่น่าสนใจ

    ในการลงทุน ตลาดอาจเป็นอย่างนี้ไปอีกสักพัก อีกเป็นอาทิตย์ อาทิตย์ อาจเรียกว่า ปั่นราคาก็ไม่ผิด เมื่อกลุ่มต่างสนใจที่จะเข้าตลาด คนที่ทิ่งตลาด คนนอก เพิ่มปริมาณมากขึ้น ราคาก็จะ

    ขึ้นไปเรื่อยๆเป็นฟองสบู่ ซึ่งบอกจริงๆ ตลาดแบบนี้ ผมเล่นไม่ค่อยเป็น มันไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง

     

    ผมอาจเปรียบเทียบตลาดแบบนี้เป็นหุ้น ผู้เล่น เล่นตามเทคนิดได้เลย ไม่ต้องมองความเป็นจริงในโลกนี้ กราฟ แนวรับ แนวต้านได้เลย แต่ความจริงของผมยังต้องอยู่คือ

    ราคาเสถียรภาพบอนไซ ยังอยู่ที่ ไม่เกิน 1200 มันไปไหนต้องกลับตรงนี้ และคนที่นำมันกลับมาก็เป็นขาใหญ่มากๆที่เป็นคนเอามันขึ้นไป(คนเดิม)นั่นเอง

     

    ผมอาจโพสน้อยลง เพราะตลาดแบบนี้ ผมไม่ถนัดจริงๆ ฝากให้ผู้ลงทุน เพื่อน เล่นแบบให้มี ตั้งขาดทุน หรือ กำไรไว้ด้วยนะครับ

     

    ไอ้คนที่พามันลงมาก็คนเดียวกับที่พามันขึ้นไปนั่นล่ะครับกระผม (ขณะโพส 1230)

    • ถูกใจ 2

  5. ตั้งแต่น้องทองขึ้นเลย 1250 เป็นต้นมา ในทางประวัติศาสตร์ ถือว่า เป็นราคาขาขึ้น อย่างสมบูรณ์ เพราะ ตั้งแต่ 1900 ในวันที่ 6 กันยายน 2011 มา ไม่มีที่ราคาทิศทางในขาขึ้นให้เห็น

    การขึ้นครั้งนี้ ต้องมาจาก ความตั้งใจของขาใหญ่ ที่ใหญ่มากๆ ที่ ทุ่มตลาด สร้างกำลังซื้อ (demand) ให้กลุ่มต่างๆ เข้ามาสนใจในทองคำ โดยสร้างให้ตลาดทองมีผลตอบแทนที่น่าสนใจ

    ในการลงทุน ตลาดอาจเป็นอย่างนี้ไปอีกสักพัก อีกเป็นอาทิตย์ อาทิตย์ อาจเรียกว่า ปั่นราคาก็ไม่ผิด เมื่อกลุ่มต่างสนใจที่จะเข้าตลาด คนที่ทิ่งตลาด คนนอก เพิ่มปริมาณมากขึ้น ราคาก็จะ

    ขึ้นไปเรื่อยๆเป็นฟองสบู่ ซึ่งบอกจริงๆ ตลาดแบบนี้ ผมเล่นไม่ค่อยเป็น มันไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง

     

    ผมอาจเปรียบเทียบตลาดแบบนี้เป็นหุ้น ผู้เล่น เล่นตามเทคนิดได้เลย ไม่ต้องมองความเป็นจริงในโลกนี้ กราฟ แนวรับ แนวต้านได้เลย แต่ความจริงของผมยังต้องอยู่คือ

    ราคาเสถียรภาพบอนไซ ยังอยู่ที่ ไม่เกิน 1200 มันไปไหนต้องกลับตรงนี้ และคนที่นำมันกลับมาก็เป็นขาใหญ่มากๆที่เป็นคนเอามันขึ้นไป(คนเดิม)นั่นเอง

     

    ผมอาจโพสน้อยลง เพราะตลาดแบบนี้ ผมไม่ถนัดจริงๆ ฝากให้ผู้ลงทุน เพื่อน เล่นแบบให้มี ตั้งขาดทุน หรือ กำไรไว้ด้วยนะครับ

    • ถูกใจ 4

  6. ผมมองผิดไป ราคาแรงกว่าที่คิด ไม่แนะนำให้เล่นในช่วงนี้นะครับ เกมส์ใกล้จบแล้ว วันพรุ่งนี้ วันศุกร์ มีประกาศ น่าจะทำให้จบเกมส์ได้ ที่ผมท่องไว้ในใจตอนนี้

     

    มัน ก่อกองไฟ ไว้ ดักแมลงเม่า อย่างแท้จริง

     

    น่าจะมีการลงอย่างรุนแรงมากๆๆๆๆ อาจทำให้คุณหมดตัวได้เลย

    • ถูกใจ 1

  7. น่าสนใจมากในการเล่น S ราคาปัจจุบัน ผมยังไม่เห็นมีเหตุผลที่ราคาจะขึ้นไปสูงขนาดนี้ ผมสรุป อย่างชัดเจนกว่า กองไฟรอแมลงเม่า

    เป็นการปั่นราคา และ ยังไม่เชื่อว่าทองคำ เป็นขาขึ้น ยังไม่เจอเหตุการณ์ในโลกใบนี้ที่มีอิทธพลพอที่ทำให้ทองคำเป็นขาขึ้น

    ราคาเสถียรภาพของนายบอนไซ เหมือนเดิมคือ 1170-1190 .......

     

    ของทำนายว่า ทองคำจะขึ้นไปไม่ถึง 1250

     

    ราคาในชณะที่โพสราว 1235

     

    ราคาสำหรับนักลงทุนทั่วไป แนะนำ S ราคานี้เลย

    ราคาสำหรับคนใจเย็นไม่กลัวเสียโอกาศ แนะนำ S ราคา 1240 ขึ้นไป

     

    เราจะเห็นราคาหลังจากนี้ จะเห็น 1220 ก่อน 1250 อย่างแน่นอน

    • ถูกใจ 2

  8. สวัสดีปีใหม่ เพื่อนๆ ทุกคน

     

    ปีใหม่ขอเสนอ 2 ทฤษฎี ค้นหาโดยบอนไซ(ชายผู้มั่วๆกับความคิดแปลกๆ)

     

    ทฤษฎีที่หนึ่ง

     

    ผมเคยบอกถึง หุ้นไม่มี เจ้ามือ มีแต่ รายใหญ่ เครื่องมือที่รายใหญ่จะมีแล้วเราไม่มีคือ การคำนวณ ราคาเสถียรภาพ ซื้อใช้การ รวมของ ความสมดุลในโลกนี้ ประกอบด้วย ค่าเงินตรา gdp อัตราการจ้างงาน เหตุการณ์ในโลกนี้ ความต้องการทองคำในโลกช่วงเวลาปัจจุบัน อื่นๆ มากหมายแล้วแต่ซึ่ง ผมก็ไม่รู้หลอกว่า เค้าเอาอะไรบ้าง เพราะ แต่ละ กองทุนก็ไม่แน่นอน ว่าใช้อะไรบ้าง ให้ ปัจจัยอะไร กี่เปอร์เซนต์ ไอ้เจ้า ราคาเสถียรภาพนี้มีความหมายสำคัญคือ เป็นราคาสมดุล เหมาะสมที่ ทองคำ ช่วงเวลานั้น ควรจะอยู่ที่จุดใด แต่ มันมีคุณสมบัติ พิเศษ ข้อหนึ่ง คือ ไม่ว่า มันจะปั่นให้ขึ้น หรือ ปั่นให้ลง แต่ต้องมาที่จุด ราคาสเถียรภาพ สมดุลนี้ เสมอ

    ผมจึงขอนำเสนอ การนำค่าเฉลี่ยทองคำ ย้อนหลัง 15 วัน มาเป็นราคา เสถียรภาพ อย่างง่ายๆ มันง่ายที่จะหา และ มีผลแน่นอน และ เข้าใจได้ เช่น วันนี้ ผมเอาราคาเฉลี่ย 15 วัน ของทองคำในอดีต 16-31 ธันวา 57 มาคำนวณ ราคาเสถียรภาพ หรือ ราคาสมดุล ปัจจุบันอยู่ที่

     

    audec14.gif

     

    1202.25+1202.5+1195.75+1199.0+1195.5+1195.25+1175.75+1185.5+1206.0 (9วัน) เว้นเสาร์อาทิตย์ และ เทศกาล จะเท่ากับ 1195.27

     

    ทฤษฎี ที่่สอง

    ทฤษฎี กาลเวลา หมายถึง การที่หลังสุดที่ผ่านจุดสำคัญมานานเท่าไรแล้ว

    ราคาทองแตะ 1250 ครั้งสุดท้ายเมื่อ 5 มิถุนายน 2014

    ราคาทองแตะ 1130+ ครั้งสุดท้ายเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2014

     

    บน ล่าง ต่างกันอยู่ 5 เดือน

     

    ถ้าราคาประมาณไว้ว่า 5 มกราคม จะต่างกับราคาล่าง 2 เดือน และ ต่างกับ ราคาบนอยู่ 3 เดือน

     

    ***********************************************************************************************************************

    สรุป แนวโน้มได้ว่า ราคาน่าจะลงด้านล่างมาหา 1130+ ที่ 60 เปอร์เซนต์

    และมี โอกาศขึ้นด้านบน ไปหา 1250 อยู่ 40 เปอร์เซนต์

    ************************************************************************************************************************

    จบข่าวปีใหม่

    บอนไซ

     

    หมายเหตุ ราคา เสถียรภาพของนายบอนไซ คำนวณแบบใส่อย่างละหน่อย ราคาตอนที่โพส น่าจะอยู่ที่ 1170บวกลบ10 (อ่านผ่านๆหูไปก็ได้ครับ)


  9. ระดับราคาปัจจุบัน อาจถือได้ว่าจบเกมส์ปี 2014 ได้แล้ว เพราะ ศริตมาส ถือเป็นการสิ้นสุด และในต่างประเทศ มีความสำคัญกว่าปีใหม่หลายเท่า ธุรกิจก็หยุดแล้ว ทองราคา 1177.0 (้เวลาที่โพส) ยังสูงเกินไปสำหรับ ราคาทองคำ มีเหตุผลคือดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดเกิน 18000 จุด เป็นครั้งแรกเมื่อวันอังคาร เนื่องจากตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯในไตรมาส 3 โตถึง 5%…

     

    ราคาทองควรมีราคาต่ำกว่านี้ และจากประวัติศาสตร์ย้อนหลัง พวกคุณๆ ไปดูได้ใน 10 ปี เปิดตลาดใหม่ๆจะต่ำกว่าของปีที่ก่อน (ถึงร้อยละ 80-85เปอร์์เซนต์)

     

    น้อยมากที่จะมีราคาปีใหม่ สูง กว่าราคาของปีที่แล้ว สามารถอธิบายได้ว่า ธรรมชาติของความต้องการทองคำสูงสุดของปี จะอยู่ที่ปลายปีก็น่ามีเหตุผลรับฟังได้

     

    จากเหตุผลทั้งสองอย่าง จึงฝากๆให้ เข้าตั๋ว S ปลายนวมไว้ น่าจะดีไม่ใช่น้อย ครับกระผม แล้ว เจอกันปีหน้าครับ

     

    ......................รักและจริงใจกับผู้ลงทุนทุกคน...........................................................

     

    ....................................บอนไซ...........................................................................

    • ถูกใจ 3

  10. สัปดาห์นี้ ขอคุยเรื่อง หุ้น กับ ทอง จุดกำเนิด ความแตกต่าง

     

    จุดกำเนิด

     

    หุ้น เงินจาก การที่บริษัทระดมเงินทุนจาก แหล่งเงินทุน สถาบัน หรือ บุคคล เมื่อมาขยายกิจการ โดย มีธุรกิจที่ประกอบการอยู่่ และ แสดงให้แหล่งเงินทุนต่างๆ ว่า บริษัทของตนทำกิจการที่มั่นคง มีอนาคต และมีกำไรเพื่อเจริญเติบโต หรือ ปันผลผู้ที่ซื้อหุ้นลงทุนในกิจการนั้นๆ

     

    ทองคำ เป็น วัตถุมีเหลือง ที่มีคุณสมบัติ มีน้ำหนักมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับ วัตถุที่มีขนาดเท่ากัน หลอมละลายได้ ไม่เสื่อมสลาย ไม่นำไฟ ทำเป็นเครื่องมือบางประเภทในอุตสาหรรม หรือ เครื่องประดับ เครื่องใช้ไม้สอยให้มนุษย์ ทองคำเป็นที่นิยมมาตั้งแต่ ก่อนประวัติศาสตร์ เป็นตัวกลางในการอ้างอิงในการแลกเปลื่ยนสินค้า ช้าง ม้า วัว ควาย มาแต่อดีต ก่อนมี ธนบัตร

     

    //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

    ความแตกต่างและเหมือน

     

    หุ้น ผู้ลงทุนซืือเพราะ ความหวังที่จะได้ปันผล และที่เหมือนทองคือต้องการให้ราคาที่สูงขึ้นในหุ้นนั้นๆ

    ทองคำ ผู้ลงทุนซื้อเพราะ ให้บุคคลอื่นๆเห็นความมั่นคงของตนเอง หรือ ประเทศของตน หรือ นำกำไรที่ได้จากการทำกิจการมาซื้อ

    (โดยเฉพาะชาวเอเชีย) เพื่อซื้อเก็บ หรือ โดยหวังเหมือนกับหุ้นคือ ต้องการให้ ราคาสูงขึ้นมากๆในอนาคต ส่วนในอื่นๆทีไม่ใช่เอเชียใน

    โลกด้านอื่นๆ การซื้อทอง จะนิยมลงทุนใน กองทุนต่างๆ เช่น จะซื้อโดยการผ่าน spdr เป็นต้นสเหมือนทองเป็นการเล่นหุ้นตัวหนึ่ง

     

    ////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

    ก่ารเติบโตของหุ้นกับทองคำแตกต่างกันอย่างไร

     

    หุ้น เติบโตจาก กำลังซื้อที่เติบโต //// กำลังซื้อเติบโต ได้จาก เศษฐกิจของประเทศ หรือ ของ โลก ที่ดี ///// เศษฐกิจที่เติบโตขึ้นอยู่กับ

    ผู้บริหารประเทศหรือ มหาอำนาจของโลก

     

    หุ้นเกิดจาก กำลังซื้อที่เติบโต จะเกิดอะไรขึ้น

     

    ราคาสินค้าบริการแพงขึ้น กำไรการทำธุรกิจหรือผลตอบแทนมากขึ้น เกิดกำลังซื้อไปยัง วัตถุที่มีราคาแพงขึ้นเช่น พลอยต่างๆ ไพลิน บุคสลาคำ อื่นๆและเพชร (แต่เดิมสัก15-20 ปี ที่แล้วมี เดอเบียร์ส เป็นคนรักษาระดับราคา แต่ปัจจุบัน เป็นไปตาม อุประสงค์และ อุปทานของตลาด)

     

     

    ทองคำ การเจริญเติบโตแตกต่างกับหุ้นโดยสิ้นเชิง

     

    ทองคำการเจริญเติบโค ค่างกัน หุ้น

    1.ทองอิงราคา โดยตรงข้ามกับค่าเงินดอลลาร์สหรับเป็นหลัก ค่าเงินดอลลาร์ตก ทองแพง ค่าเงินดอลล่าร์มี่มูลค่ามากขึ้น (แพง) ทองคำ

    ราคาถูกลง ทำไมผมก็ไม่รู้ ปัจจุบันมันเป็นแบบนี้ จริงๆ การลด QE หรือ เพิ่มQE มีผลกับทอง อย่างรุนแรง และ เป็นอย่างถาวร ระยะยาวสะด้วย

    ตัวเลขของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็น การจ้างงานนอกภาคการเกษตร การซื้อบ้าน การว่างงาน เฉพาะ สหรัฐอเมริกา มีผลกับทองมากหมาย มันเป็น

    แบบนั้น ส่วนตัวผมไม่เข้าใจ และ ชั่งมันเถอะ มันเป็นของมัน แบบนั้น

     

    2. ทองจะขึ้น (เฉพาะขึ้นเป็นส่วนใหญ่) เป็นอย่างชั่วคราวระยะหนึ่ง ไม่ค่อยจะเป็นมีอิทธพลระยะยาว การลดค่าเงินประเทศต่างๆ การจัดลำดับเกรดค่าเงินของประเทศอื่นๆ สงครามอ่าวก็มีผลอยู่แต่่ก็ไม่ถาวรอะไร*** 9/11***การตกลงของหุ้นหรือราคาน้ำมัน หรือ การลดค่าของเงิน รัสเชีย ในปัจจุบัน ผมก็ไม่เห็นจะส่งผลกับทองคำเท่าไร**

     

    3. ทองจะมีมูลค่า ลดลงตามเงินเพ้อแต่ละปี การลดค่า ก็ประมาณ ปีละ 4.3-4.7 เปอร์เซนต์ ต่อปี หมายถึง ทองแพงขึ้นทุกปี ต่ามเงินเฟ้อในแต่ละปี (ตลาดเชื่อแบบนั้น ซึ่งมันก็มีเหตุผล )

     

    .............................................................................................................................................................

     

    มาถึงเรื่องของพวกเราดีกว่าจะเล่นทอง อยู่อย่างไรให้กำไร

    ทองคำเล่นได้ทั้งสองฝั่ง โดย เล่นว่า ราคามันจะลง หรือ เล่นว่า ราคามันจะขึ้น

     

    1. เมื่อมีปัจจัยในเรื่องสหรัฐ เช่น สำคัญคือ QE หรือ รองรองลงมา เช่น การการจ้างงานนอกภาคการเกษตร จะศึกษาแนวโน้มก่อนหน้าสัก 2 ครั้ง แล้ววิเคราะห์ว่า แนวโน้ม ราคา ควรจะเป็นอย่างไร แล้ว เชื่อเถอะ เราจะไม่ผิดทาง

     

    2. ผลกระทบกับทองในที่ทำให้ทองขึ้นชั่วคราว สงครามอ่าว หรือ ตลาดหุ้น หรือ การจัดลำดับพันธบัตร หรือ การลดค่าเงิน ถ้ามันมีผลกับทองให้เราเห็น บอกตัวเองว่า มันหลอกว่ะ ก็เล่นสวนทางกับมัน

     

    3.ทองคำขึ้นทุกปีตามค่าเงินเฟ้อ เนื่องจากปัจจัยนี้เป็นปัจจัยซื้ึ่งไม่ได้เป็นปัจจัยหลัก ด้วยหลักคือ เปรียบเทียบกับ ดอกเบี้ย ในการลงทุน แต่ข้อนี้ลืมๆมันไปดีกว่า เพราะคุณอาจขาดทุนเป็นสุจริต ได้มากครับ

     

    //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

    เรื่องสำคัญคือ ทองเหมื่อนกับหุ้น ตรงที่กว่า

     

    ขึ้นตามข่าว ลงตามข่าว พวก ข่าวนี่ล่ะ ตัวอีกทำให้เราเสียเงิน หรือ กระแส หรือ ข่าวปล่อย หรือ ข่าวลือ แยกว่า มันจริงหรือหลอก บอกตัวเองว่า

    เจ้าใหญ่ ทำให้กูหลงทางป่าวว่ะ

    ------------------------------------------------------------------------------

     

    ข้อควรจำ

     

    1.1 ทองคำไม่มีเจ้ามือได้ มีแต่เจ้าใหญ่ ที่ทำให้ราคาบิดเบือนไปได้ ชั่วเวลา สั้นๆช่วงหนึ่ง เท่านั้น เราต้องหาค่าที่ผมเรียกมันว่า ราคาเสถียรภาพ ให้ได้ มันจะมาจาก ค่าเฉ่ลี่ยย่้อนหลัง 15 วันของทอง หรือ 30 วัน ถ้า 15 วัน เกือบเท่า 30 วัน ยิ่งดี แปลว่า ราคาเสถียรภาพอยู่ตรงนั้น ถ้าไม่มีเหตุการณ์ของสหรัฐ

    ที่ผมบอก โดยเฉพาะ QE หรือ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร มากระทบราคา ไม่มีข่าวอะไร เชื่อในตัวเลข เสถียรภาพที่ได้ ว่า มันจะไปที่ไหน จะขึ้น หรือ จะลง เดี๋ยวมันต้องกลับมา *******ตรงนี้่ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ*****ในอีกไม่เกิน 1 สัปดาห์

     

    1.2สำหรับ หุ้น ซึ่งผมมีความรู้น้อยนิด แต่รู้ว่า มีเจ้ามือ คือ เจ้าของบริษัท หุ้นในมือเจ้าของนั่นล่ะ เจ้ามือ ทำให้หุ้น ต่ำจนไม่น่าเชื่อ หรือ สูงแบบไม่มีเหตุผลก็ได้ เพราะ อัตราสัดส่วนในตลาดมันน้อยกว่าหุ่นในมือเค้า เช่น ตลาดรายย่อย มี 20 เปอร์เซนต์ ในมือ ผู้บริหารมี 60-70 เปอร์เซนต์ หุ้นจึงมีเจ้ามือได้อย่างเบ็ดเสร็จ และบอกตรงๆผมไม่รู้จริง เลย ไม่แตะมันครับ

     

    /////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

    ข้อ 2 เรื่องการตกต่ำของทองคำในเวลานี้ ถ้าจบ QE ราคาจะดีดอย่างแรง ไม่ลง แต่ ดีดอย่างต่อเนื่อง ในช่วงระยะแรก แบบไม่น่าเชื่อ แล้วจะดึงเอาพวกนักลงทุนที่เคยทื้งมันไปมาตลาดทั้งรายเล็ก รายใหญ๋ สถาบัน เพราะ กำไรที่เป็นผลตอบแทนมันจูงใจ เหมือนกับ ตลาดหุ้น ใหม่ หญิงสาวที่แสนสวย ดาราที่โด่งดัง แล้ว มันจะเกินความเป็นจริงที่ที่เกิดขึ้นในสหรัฐ แล้วก็ จะทุบตลาดอีกครั้ง เพื่อให้มาใกล้กับความจริงที่เกิด มันจะต่อเนื่องระยะหนึ่งครับ มากกว่า หนึ่งเดือน ข้อสำคัญคือ

    ความจริงที่สหรัฐอเมริกา สำคัญที่สุดเมื่อถึงเวลานั้น

     

    ข้อสำคัญ

    การเปรียบเทียบ ค่าเงิน สหรัฐ กับ ค่าทองคำ เช่น ค่าเงิน่สหรัฐ ไม่เห็น ตก เลย อยู่กับที่ แต่ทองคำขึ้นเอา ขึ้นเอาแปลได้ว่า มันบิดเบือนไม่เป็นความจริง แต่ก็ยังห้ามเล่นสวนทางนะครับ รอวันไหนมันตกแรงๆหรือจับทิศทางได้ว่ามันขึ้นหมดแรง แล้่ว ก็สวนเลยครับ

    • ถูกใจ 1

  11. บทความนี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขียนลงในนิตยสาร Fortune ฉบับวันที่ 27 ก.พ. 2012 ถอดความเป็นภาษาไทยโดย คุณชัชวนันท์ สันธิเดช ทีมงาน Club VI เผยแพร่ไว้ในเว็บไซต์ ClubVI.com ตั้งแต่เดือน ก.พ. 2012 และด้วยความที่ระยะนี้ ราคาทองกำลังร่วงหนักจนน่าตกใจ จึงขอเอามาโพสต์ให้ได้อ่านกัน คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ครับ ^^

     

    หุ้น เหนือกว่า ทองคำ และ พันธบัตร อย่างไร?

     

    วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขียน

    ชัชวนันท์ สันธิเดช แปล

     

     

    ผู้คนมักกล่าวว่า การลงทุน คือการกระบวนการในการเอาเงินออกมาบริหาร โดยหวังว่าจะได้รับเงินมากขึ้นในอนาคต

     

    แต่ที่เบิร์คไชร์ แฮธาเวย์ เราใช้หลักที่เข้มงวดกว่านั้นมาก เราให้คำจำกัดความของ การลงทุน ว่าเป็นการส่งต่ออำนาจซื้อไปสู่ผู้อื่น ด้วยความคาดหวังอย่างมีเหตุผลว่าจะเกิดเป็นอำนาจซื้อที่มากขึ้นในอนาคต หลังจากหักภาษีในอัตราที่น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ หากจะให้ชี้ชัดยิ่งขึ้น ต้องบอกว่า การลงทุนคือการผัดผ่อนการบริโภค ณ วันนี้ เพื่อให้มีความสามารถที่จะบริโภคได้มากขึ้นในวันข้างหน้า

     

    ด้วยนิยามของเรา จึงก่อให้เกิดผลที่ตามมาอันสำคัญยิ่งประการหนึ่ง กล่าวคือ ความเสี่ยงจากการลงทุน มิอาจวัดได้โดยค่าเบต้า (อันเป็นค่าที่คนในวอลล์สตรีทชอบใช้กัน) หากแต่วัดได้โดยหลักความน่าจะเป็น แต่ต้องเป็น ความน่าจะเป็นอย่างมีเหตุผล ที่ผู้ที่เป็นเจ้าของเงินจะสูญเสียอำนาจซื้อหลังจากถือสินทรัพย์นั้นไประยะหนึ่ง

     

    ทั้งนี้ ราคาของสินทรัพย์อาจผันผวนขึ้นลงอย่างรุนแรงได้โดยไม่มีความเสี่ยงอันใด หากว่ามันยังคงเพิ่มอำนาจซื้อให้กับผู้ถือสินทรัพย์นั้นอย่างมั่นคงและแน่นอน หลังจากถือมันไว้ระยะหนึ่ง ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า แม้สินทรัพย์ที่ราคาไม่ผันผวนเลย ก็อาจเต็มไปด้วยความเสี่ยงได้

    ความน่าจะเป็นในการลงทุนนั้นมีอยู่มากมายและหลากหลาย อย่างไรก็ตาม ความน่าจะเป็นดังกล่าวสามารถแบ่งออกได้เป็นสามประเภทหลักๆ ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องเข้าใจคุณลักษณะของความน่าจะเป็นแต่ละประเภท เรามาดูกันเถอะครับ

     

    การลงทุนต่างๆ ที่อิงกับค่าเงิน เช่น กองทุนตลาดเงิน (Money Market Fund) พันธบัตร การจดจำนอง เงินฝากธนาคาร และอื่นๆ มักถูกเข้าใจว่ามี “ความปลอดภัย” แต่ที่จริงแล้ว พวกมันคือสินทรัพย์ที่อันตรายที่สุด ค่าเบต้าของมันอาจจะเป็นศูนย์ แต่ความเสี่ยงนั้นมากมายเหลือเกิน

     

    ในศตวรรษที่ผ่านมา เครื่องมือเหล่านี้ได้ทำลายอำนาจซื้อของนักลงทุนในหลายต่อหลายประเทศ แม้ว่าคนที่ถือมันอยู่จะได้รับผลตอบแทนเป็นระยะๆ ทั้งในรูปของดอกเบี้ยและเงินต้น แต่ผลลัพธ์อันอัปลักษณ์จะยังคงอยู่ตลอดไป รัฐบาลเป็นผู้กำหนดมูลค่าของเงินตรา แต่ระบบที่เป็นอยู่จะบีบบังคับให้รัฐบาลต้องไหลตามน้ำ โดยใช้นโยบายที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ และมีหลายครั้งหลายหนที่นโยบายเหล่านั้นหลุดออกไปอยู่เหนือความควบคุม

     

    แม้แต่ในสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ผู้คนคาดหวังว่าค่าเงินน่าจะมีความแข็งแกร่ง เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ก็ยังลดค่าลงถึง 86% ตั้งแต่ปี 1965 ซึ่งเป็นเวลาที่ผมเข้ามาบริหารเบิร์คไชร์ ณ วันนี้ เราต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 7 ดอลล่าร์ เพื่อซื้อสิ่งที่เราเคยซื้อได้ด้วยเงิน 1 ดอลล่าร์ ในเวลานั้น

    ด้วยเหตุนี้ กองทุนหรือสถาบันการเงินใดๆ ที่ไม่มีภาระต้องจ่ายภาษี จึงต้องทำดอกเบี้ยให้ได้ถึง 4.3% ต่อปี จากการลงทุนในตั๋วเงินคลังของสหรัฐอเมริกาตลอดระยะเวลาดังกล่าว จึงจะสามารถรักษาอำนาจซื้อของตัวเองไว้ได้ ผู้จัดการของกองทุนหรือสถาบันการเงินเหล่านั้นคงกำลังหลอกตัวเองแน่ๆ ถ้าพวกเขาจะเรียกดอกเบี้ยที่ได้รับว่า “รายได้”

     

    สำหรับนักลงทุนที่ต้องจ่ายภาษีอย่างคุณและผม ภาพที่เห็นกลับเลวร้ายยิ่งขึ้น ตลอดระยะเวลา 47 ปีที่ผ่านมา ตั๋วเงินคลังของสหรัฐอเมริกาให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.7% ต่อปี ฟังดูแล้วเหมือนจะน่าพอใจ แต่ถ้านักลงทุนแต่ละคนจ่ายภาษีในอัตรา 25% ต่อปี ผลตอบแทน 5.7% นี้ จะทำให้พวกเขาไม่ได้อะไรเลยในแง่ของรายได้ที่แท้จริง

     

    ภาษีเงินได้ที่พวกเขาต้องจ่าย จะกินผลตอบแทนที่ว่าไปถึง 1.4% ในขณะที่ “ภาษีเงินเฟ้อ” ซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จะกัดกินผลตอบแทนอีก 4.3% ที่เหลือจนหมดสิ้น ที่น่าสังเกตก็คือ ภาษีเงินเฟ้อ มีค่ามากกว่าภาษีเงินได้ธรรมดาที่นักลงทุนคิดว่าเป็นภาระหลักของพวกเขาถึงเกือบ 3 เท่า

     

    ในธนบัตรอาจมีคำว่า “เราเชื่อมั่นในพระเจ้า” (In God We Trust) อยู่ก็จริง แต่มือที่ทำให้เครื่องพิมพ์เงินของประเทศเราพิมพ์ธนบัตรออกมานั้น เป็นมือของคนเดินดินธรรมดาๆ นี่เอง

     

    แน่นอนว่าอัตราดอกเบี้ยสูงๆ จะช่วยชดเชยความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่เกิดจากการลงทุนซึ่งอิงกับค่าเงินได้ และอัตราดอกเบี้ยในทศวรรษที่ 80 ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน ไม่สามารถที่จะครอบคลุมความเสี่ยงจากการสูญเสียอำนาจซื้อดังกล่าวได้เลยแม้แต่น้อย ที่จริงแล้ว พันธบัตรควรมีฉลากคำเตือนให้ระวังอันตรายแปะอยู่ด้วยซ้ำ

     

    ภายใต้สภาวการณ์ทุกวันนี้ ผมจึงไม่ชอบการลงทุนใดๆ ที่อิงกับค่าเงิน อย่างไรก็ตาม เบิร์คไชร์ ฮาแธเวย์ ก็ยังมีการลงทุนเหล่านั้นอยู่พอสมควรในรูปแบบของการลงทุนระยะสั้นต่างๆ สำหรับ เบิร์คไชร์ สภาพคล่องจำนวนมหาศาลถือเป็นหัวใจสำคัญ และเป็นสิ่งที่เรา ไม่มีทาง จะละเลย เราจำเป็นต้องมองข้ามอัตราผลตอบแทนที่ไม่เพียงพอนั้น เพื่อคงไว้ซึ่งสภาพคล่องมหาศาล เราจึงถือตั๋วเงินคลัง ซึ่งเป็นการลงทุนประเภทเดียวที่พอจะไว้วางใจได้ในเรื่องของสภาพคล่อง ภายใต้สภาวะทางเศรษฐกิจที่แสนจะสับสนอลหม่านดังเช่นในปัจจุบัน บนหน้าตักของเราในเวลานี้มีอยู่ราวๆ 2 หมื่นล้านดอลล่าร์ และอย่างน้อยที่สุดต้องมี 1 หมื่นล้านดอลล่าร์สำรองไว้เสมอ

     

    นอกเหนือจากความจำเป็นในเรื่องของสภาพคล่องและกฎระเบียบต่างๆ แล้ว เราจะซื้อหลักทรัพย์ที่อิงกับค่าเงินก็ต่อเมื่อมีโอกาสที่มันจะให้ผลตอบแทนในระดับที่สูงผิดปกติเท่านั้น เช่น เมื่อมีการตั้งราคาสินเชื่อผิดๆ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในช่วงเวลาของวิกฤตการเงิน จนเกิดเป็นพันธบัตรขยะ (Junk Bonds) มากมาย หรือเมื่ออัตราดอกเบี้ยนั้นสูง จนเราสามารถที่จะทำกำไรจากพันธบัตรชั้นดีได้ในเวลาที่อัตราดอกเบี้ยนั้นลดลง

     

    แม้ว่าในอดีต เราจะเคยศึกษาถึงโอกาสที่ทั้งสองเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น และอาจทำการศึกษาซ้ำอีกในอนาคต แต่ตอนนี้ เราแทบไม่เห็นว่าความคาดหวังดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้เลย

     

    ณ วันนี้ ความเห็นของ เชลบี้ คัลลอม คนในวอลล์สตรีทที่เคยพูดเอาไว้เมื่อนานมาแล้วดูเหมือนจะเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน“พันธบัตรที่เชื่อกันว่าให้ผลตอบแทนโดยไม่มีความเสี่ยง กำลังถูกตั้งราคาราวกับมันเป็นสิ่งที่ให้ความเสี่ยงโดยไม่มีผลตอบแทน”

     

    การลงทุนอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องของสินทรัพย์ที่ไม่มีวันจะทำให้เกิดผลิตผลอะไรขึ้นมาได้เลย แต่ผู้คนกลับชอบที่จะซื้อหา เนื่องจากผู้ซื้อมีความหวังว่าใครสักคน ซึ่งย่อมรู้เช่นเดียวกันว่าสินทรัพย์ชนิดนี้จะไม่มีวันทำให้เกิดประโยชน์โพดผลใดๆ จักยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่าเพื่อซื้อมัน อาทิเช่น ดอกทิวลิป ซึ่งได้กลายเป็นสินค้ายอดนิยมของผู้คนในศตวรรษที่ 17

     

    การลงทุนจำพวกนี้ ต้องมีกลุ่มของผู้ซื้อที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยผู้ซื้อถูกล่อให้แห่กันเข้ามาด้วยความเชื่อที่ว่ากลุ่มของคนที่เป็นแบบพวกเขาจะขยายตัวต่อไปอีก

     

    ผู้ถือสินทรัพย์ชนิดนี้มิได้มีแรงบันดาลใจว่าตัวสินทรัพย์ที่พวกเขาถือจะสร้างผลผลิตใดๆ ทั้งยังรู้ดีกว่าสินทรัพย์นั้นจะยังคงไร้ชีวิตตลอดไป พวกเขาเพียงหวังว่าคนอื่นๆ จะปรารถนามันมากยิ่งขึ้นในอนาคต

     

    ในบรรดาสินทรัพย์จำพวกนี้ อันดับหนึ่งคือ “ทองคำ” ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของนักลงทุนที่กลัวสินทรัพย์อื่นๆ แทบจะทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินกระดาษ (อันที่จริง สินทรัพย์หลายชนิดก็มีเหตุผลควรที่สมควรจะกลัวอยู่)

     

    อย่างไรก็ตาม ทองคำมีจุดอ่อนอยู่สองประการ คือ ตัวมันเองเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ ทั้งยังไม่ทำให้เกิดผลิตผลอะไรขึ้นมาได้เลย จริงอยู่ที่ทองคำมีประโยชน์ในแง่ของอุตสาหกรรมและใช้เป็นเครื่องประดับได้ แต่อุปสงค์ในแง่ดังกล่าวมีอยู่จำกัด และไม่สามารถทำให้ทองเพิ่มปริมาณขึ้นได้

     

    ถ้าคุณมีทองคำหนึ่งออนซ์ ทองคำนั้นย่อมมีปริมาณหนึ่งออนซ์เท่าเดิมตราบจนชั่วกัลปาวสาน

     

    สิ่งสำคัญที่ดึงดูดแฟนพันธุ์แท้ทองคำคือความเชื่อที่ว่า ผู้คนจะเกิดความกลัวในสินทรัพย์อื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ความเชื่อดังกล่าวก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง

     

    ยิ่งไปกว่านั้น ราคาที่สูงขึ้นของทองคำก็ยิ่งทำให้คนมีความกระตือรือร้นอยากจะซื้อมัน จนดึงดูดให้ผู้ลงทุนเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของราคาทองเป็นไปตามข้อสรุปทางการลงทุนที่สมเหตุสมผลแล้ว

     

    นักลงทุนที่ชอบแห่ตามกันไม่ว่าจะเป็นการลงทุนประเภทไหน มักจะสร้างความจริงของตัวเองขึ้นมาเสมอ อย่างน้อยก็ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

    ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ทั้งหุ้นอินเทอร์เน็ตและบ้านได้แสดงให้เห็นถึงภาวะความเฟ้อเกินไป อันเป็นผลมาจากการผสมผสานกันระหว่างข้อสรุปที่มีเหตุผลกับราคาที่เกินกว่าเหตุ

     

    ในภาวะฟองสบู่ มหาชนที่เคยลังเลสงสัย มักยอมศิโรราบต่อ “ข้อพิสูจน์” ที่ตลาด “จัดให้” และกลุ่มของผู้ซื้อก็จะขยายตัวออกไปอย่างใหญ่หลวง จนเพียงพอที่จะทำให้พฤติกรรมแห่ตามกันนั้นหมุนเวียนต่อไปเรื่อยๆ แต่แล้วฟองสบู่ที่โตเกินก็จะแตกโพละออก และเมื่อนั้น ภาษิตโบราณก็จักได้รับการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่ง …

     

    “สิ่งที่คนฉลาดทำในตอนเริ่มต้น คนโง่จะทำมันในท้ายที่สุด”

     

     

    (ต่อตอนหน้า)

     

    อ้างอิง - นิตยสาร Fortune ฉบับวันที่ 27 ก.พ. 2012

    อ่านฉบับเต็มได้ที่ - http://finance.fortune.cnn.com/2012/02/09/warren-buffett-berkshire-shareholder-letter/

    //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

    วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขียน

    ชัชวนันท์ สันธิเดช แปล

     

    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

     

    ณ วันนี้ คลังทองคำของโลกมีอยู่ประมาณ 170,000 เมตริกตัน หากเอาทองทั้งหมดมาหลอมรวมกัน เราจะได้ลูกบาศก์ทองคำที่มีความกว้างยาวลึกด้านละ 68 ฟุต (เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ขนาดของมันวางลงบนสนามเบสบอลได้พอดิบพอดี) ณ ราคา 1,750 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ ในเวลาที่ผมเขียนบทความนี้ ราคาของทองคำทั้งหมดในโลกจะมีมูลค่ารวมกันเท่ากับ 9.6 ล้านล้านดอลล่าร์ โดยเราจะเรียกสิ่งนี้ว่า “ก้อน A”

     

    เอาล่ะ ทีนี้มาสร้าง “ก้อน B” กันบ้าง ก้อน B ที่ว่านี้มีราคาเท่ากับก้อน A แต่เราสามารถใช้มันซื้อไร่นาทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา (จำนวน 400 ล้านเอเคอร์ ทำรายได้รวมกัน 2 แสนล้านเหรียญต่อปี) บวกกับบริษัท Exxon Mobil จำนวน 16 บริษัท (Exxon Mobil คือบริษัทที่ทำกำไรได้มากที่สุดในโลก โดยสมมุติว่าเรามีบริษัทนี้อยู่ 16 แห่ง แต่ละแห่งทำกำไรได้ปีละ 4 หมื่นล้านเหรียญ) หลังจากซื้อของดังกล่าวแล้ว เราจะยังเหลือเงินติดตัวไว้ใช้ราวๆ หนึ่งล้านล้านดอลล่าร์ (สมมุติว่าเราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองใช้เงินเกินตัว)

     

    คุณพอจะใช้จินตนาการได้ไหมว่า จะมีนักลงทุนคนไหนในโลกที่มีเงิน 9.6 ล้านล้านดอลล่าร์ แล้วจะเลือกซื้อก้อน A แทนที่จะซื้อก้อน B ?!!

    นอกจากมูลค่าของทองจะถูกประเมินอย่างไม่สมเหตุสมผลแล้ว ราคาปัจจุบันยังทำให้ตัวมันถูกผลิตขึ้นปีละคิดเป็นมูลค่า 160,000 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งผู้ซื้อ ไม่ว่าจะซื้อเพื่อเป็นเครื่องประดับหรือซื้อไปใช้ในทางอุตสาหกรรม รวมทั้งคนที่กำลังกลัวและนักเก็งกำไร จะค่อยๆ รับเอาอุปทานส่วนเพิ่มนี้ไว้เรื่อยๆ ก่อนที่ราคา ณ ปัจจุบันจะกลายเป็นราคาสมดุลในที่สุด

     

    ในเวลาหนึ่งศตวรรษนับจากนี้ ที่ดิน 400 ล้านเอเคอร์จะผลิตข้าวโพด ธัญพืช ค้อตต้อน และพืชผลอื่นๆ ได้อีกเป็นจำนวนมาก และจะผลิตผลผลิตที่มีคุณค่าเหล่านั้นต่อไป ไม่ว่าค่าเงินจะเป็นอย่างไรก็ตาม ในขณะที่ Exxon Mobil จะทำเงินปันผลให้กับเจ้าของอีกนับล้านล้านเหรียญ และจะเป็นเจ้าของสินทรัพย์มูลค่าหลายล้านล้านเหรียญเช่นกัน (อย่าลืมว่าคุณมี Exxon อยู่ 16 บริษัท) ในขณะที่ทองคำ 170,000 ตัน จะไม่เพิ่มปริมาณขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว และไม่สามารถสร้างผลิตผลอะไรใดๆ ได้ทั้งสิ้น

     

    คุณอาจลูบคลำก้อนทองคำนี้ด้วยความรัก แต่มันจะไม่มีปฏิกริยาตอบสนองใดๆ แน่นอน

     

    ต้องยอมรับว่า เมื่อคนในยุคหนึ่งร้อยปีนับจากนี้รู้สึกกลัว พวกเขาก็จะยังกระโดดเข้าหาทองคำอยู่นั่นเอง อย่างไรก็ตาม ผมมั่นใจว่า ก้อน A ที่มีมูลค่า 9.6 ล้านล้านเหรียญ จะทวีมูลค่าต่อไปในอนาคตในอัตราที่ด้อยกว่าก้อน B อย่างมากเป็นแน่แท้

     

    การลงทุนสองประเภทที่เราได้กล่าวไปจะได้รับความนิยมสูงสุดในเวลาที่ความกลัวพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ความหวาดกลัวว่าเศรษฐกิจจะล่มสลาย ทำให้ผู้คนพากันไปถือสินทรัพย์ที่อิงกับค่าเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎข้อบังคับต่างๆ ของสหรัฐอเมริกาและความกลัวว่าค่าเงินจะล่มสลาย เป็นสิ่งที่ทำให้คนแห่กันไปหาทรัพย์สินที่เคลื่อนไหวไม่ได้อย่างทองคำมากที่สุด

     

    เราได้ยินคำว่า “เงินสดคือพระเจ้า” (Cash is King) ในปี 2008 ซึ่งเป็นเวลาที่เราควรเอาเงินสดออกมาลงทุน ไม่ใช่เก็บไว้ เราได้ยินคำว่า “เงินสดคือขยะ” ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 อันเป็นเวลาที่การลงทุนแบบตรึงกับค่าเงินดอลล่าร์อยู่ในระดับที่น่าดึงดูดในที่สุดในความทรงจำ ในช่วงเวลานั้น นักลงทุนที่จะทำอะไรก็ต้องรอให้ฝูงชนเห็นด้วยเสียก่อน จึงพลาดโอกาสงามๆ ครั้งใหญ่ในชีวิตไป

     

    สำหรับความชอบส่วนตัวของผม ได้แก่ การลงทุนในประเภทที่สาม ซึ่งคุณก็รู้ว่าคืออะไร นั่นก็คือการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างผลิตผล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ เรือกสวนไร่นา หรืออสังหาริมทรัพย์ โดยอุดมคติแล้ว ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้มีศักยภาพที่จะสร้างผลตอบแทนอันทำให้ผู้เป็นเจ้าของมันยังคงรักษาอำนาจซื้อไว้ได้แม้ในเวลาที่เกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยมีจำเป็นน้อยมากที่จะต้องเอาทุนใส่เพิ่มเข้าไป

     

    เรือกสวนไร่นา อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจต่างๆ เช่น โคคาโคล่า ไอบีเอ็ม รวมทั้ง ซีส์ แคนดี ของเรา ได้ผ่านการทดสอบในช่วงที่เงินเฟ้อเป็นเลขสองหลักมาแล้ว ในขณะที่บริษัทอื่นๆ ก็มีบ้างที่แพ้เงินเฟ้อ เพราะต้องเอาเงินลงทุนใส่เพิ่มเข้าไปค่อนข้างมากเพื่อจะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น เจ้าของสินทรัพย์เหล่านั้นจึงต้องลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้มากขึ้น แม้กระนั้น การลงทุนเหล่านี้ก็ยังเหนือกว่าพวกสินทรัพย์ที่ไม่สร้างผลิตผลและสินทรัพย์ที่อิงกับค่าเงินทั้งหลาย

     

    ไม่ว่าค่าเงินในหนึ่งศตวรรษต่อจากนี้ไปจะอิงอยู่กับทองคำ เปลือกหอย ฟันฉลาม หรือกระดาษ (เหมือนที่เป็นอยู่ในวันนี้) ผู้คนก็พร้อมที่จะเอาแรงกายของตนเองในแต่ละวันเพื่อแลกกับโคคาโคล่าสักกระป๋องหรือถั่วของซีส์

     

    ในอนาคต ประชากรอเมริกันที่เพิ่มจำนวนขึ้นย่อมจะบริโภคสินค้ามากขึ้น กินอาหารมากขึ้น และต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้นกว่าทุกวันนี้ ผู้คนย่อมจะแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองผลิตได้กับสิ่งที่คนอื่นผลิตได้ตลอดไป ธุรกิจในประเทศของเราจะยังคงนำส่งสินค้าและบริการที่เป็นที่ต้องการให้กับประชาชนต่อไป

     

    หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ธุรกิจเหล่านี้ก็คือ “วัว” ซึ่งจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเป็นร้อยๆ ปี และให้ “นม” เราได้อีกมากมาย มูลค่าของมันมิได้วัดโดยตัวกลางในการแลกเปลี่ยนใดๆ แต่วัดจากความสามารถในการผลิตนมของมัน ยอดขายนมที่เพิ่มขึ้นจะทบต้นเป็นผลประโยชน์ของเจ้าของวัว เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อศตวรรษที่ 20 ที่ดาวเพิ่มจาก 66 ถึง 11,497 จุด (และให้ปันผลมากมายเช่นกัน)

     

    เป้าหมายของเบิร์คไชร์ คือสะสมธุรกิจชั้นนำเข้ามาในพอร์ทให้มากขึ้น ทางเลือกแรกของเราคือเป็นเจ้าของมันทั้งหมด แต่อีกทางหนึ่งก็คือ เป็นเจ้าของโดยถือหุ้นซึ่งซื้อขายเปลี่ยนมือได้ของบริษัทนั้นในสัดส่วนพอสมควร

     

    ผมเชื่อว่า เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ธุรกิจเหล่านี้จะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็น “ผู้ชนะ” เหนือกว่าสินทรัพย์ในอีกสองประเภทที่เราได้อรรถาธิบายให้ฟังแล้ว ที่สำคัญกว่าก็คือ มันจะเป็นการลงทุนที่ ปลอดภัยกว่ามาก

     

    – จบ –

     

     

    อ้างอิง - นิตยสาร Fortune ฉบับวันที่ 27 ก.พ. 2012

    อ่านฉบับเต็ม ภาษาอังกฤษได้ที่ - http://finance.fortu...eholder-letter/

     

    ท้่ายบทโดยบอนไซ

    ........ต่างคนต่างมีความเชื่อ เคราพท่าน อย่างจริงใจครับ ส่วนผม........

    /////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

    ผมมองทองคำคือสินทรัพย์ปลอดภัย

    เป็นหลักประกัน ชีวิตยามเกิด อุบัติภัย ภัยธรรมชาติ หรือ สงคราม

    • ถูกใจ 1

  12. M4sTtr2Mon24949.png

     

    บทความฉบับเต็ม

     

    วอร์เรน บัฟเฟตต์

     

    Create by, PipsRunner • 05/06/2013

     

    ชื่อนี้เป็นชื่อที่สามารถการันตีความสำเร็จใน การทำธุรกิจของชายที่ชื่อวอร์เรน บัฟเฟตต์ได้เป็นอย่างดี เขาเป็นบุรุษที่เกิดก่อนสงครามโลก แต่กลับเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในตลาดหลักทรัพย์ยุคดิจิตอล ปัจจุบันเขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และซีอีโอของบริษัท เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ และนักธุรกิจรุ่น GEN-Y สมควรต้องศึกษาแนวทางในการดำเนินธุรกิจของบัฟเฟตต์ในเรื่องการมีวิสัยทัศน์ และความอดทนในการทำธุรกิจ เพราะทั้งสองสิ่งถือว่ามีความสำคัญมากหากอยากจะให้บริษัทของตนประสบความ สำเร็จในแวดวงนี้ โดยบัฟเฟตต์ถือคติในการทำธุรกิจที่อาจแปลเป็นสุภาษิตไทยได้ว่า “ช้าๆ แต่ได้พร้าเล่มงาม” นั่นหมายถึงมีความอดทนในการทำธุรกิจ ไม่เร่งรีบหรือหักโหมมากเกินไปนัก ค่อยทำกำไรทีละเล็กทีละน้อยและสะสมมูลค่าไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ในเรื่องการมีวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจเป็นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ควรมองหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจซึ่งมีแนวโน้มในการสร้างกำไรระยะยาวมากกว่า ที่จะมองธุรกิจที่ให้กำไรมากแต่เป็นเพียงแค่ภาพมายาและมีวงจรที่สั้นมาก และให้พยายามเดินสวนกระแสในบางครั้งหากมีโอกาส นอกจากนี้ปรัชญาการใช้ชีวิตที่สมถะของเขาก็เป็นสิ่งที่ควรนำมาเป็นตัวอย่าง ในการใช้ชีวิตของผู้ประกอบการธุรกิจรายใหม่ซึ่งไม่ควรทะเยอทะยานหรือตั้ง เป้าหมายเกินตัวมากไป คำกล่าวอมตะของเขาคือ “ผมจะไม่พยายามกระโดดข้ามที่สูง 7 ฟุต แต่ผมจะมองหาคานไม้ที่สูง 1 ฟุตเพื่อให้ผมสามารถเดินข้ามได้อย่างสบายๆ” ประวัติย่อบัฟเฟต์วอร์เรน บัฟเฟตต์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี วอร์เรน เอดเวิร์ด บัฟเฟตต์ (Warren Edward Buffett)

     

    (เกิด 30 สิงหาคม ค.ศ. 1930 นักลงทุนชาวอเมริกา เจ้าของบริษัท Berkshire Hathaway และเศรษฐีอันดับ 2 ของโลก รองจากบิลล์ เกตส์ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เกิดที่เมืองโอแมฮา ในรัฐเนแบรสกา ได้ซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ปี เข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่ วอร์ตัน มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียและได้ย้ายไปเรียน และจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเนแบรสกา หลังจากนั้นได้ศึกษาต่อระดับปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในปี 1951

     

    ***** เพิ่มเติมโดย www.holidaytours.in.th *****

    วอร์เรน บัฟเฟตต์นักลงทุนหมายเลขหนึ่งของโลก เป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า มีความอดทนทางด้านจิตใจสูง บัฟเฟตต์เป็นลูศิษย์ของเบนจามิน เกรแฮม เจ้าของทฤษฎี Margin of Safety ซึ่งบัฟเฟต์ได้พัฒนาตัวเอง สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าอาจารย์ โดยเพิ่มการใช้ทฤษฏีดอกเบี้ยทบต้น สร้างความมั่งคั่งให้กับตนและผู้ที่เข้าลงทุนด้วย

    บัฟเฟตต์จะใช้ประโยชน์จากนายตลาด ซื้อหุ้นในขณะที่คนอื่น ๆ เทขาย แต่จะซื้อเฉพาะหุ้นที่มีคุณภาพเท่านั้น

    ในขณะที่นักลงทุนทั่วไปมักจะทำตามนายตลาด และซื้อหุ้นที่เป็นที่นิยมของคนทั่วไป และเป็นเจ้าของคำพูด “หัวใจหลักของการลงทุนอยู่ที่ ความได้เปรียบเชิงแข่งขันของธุรกิจ

    และความยั่งยืนของความได้เปรียบนั้น”ขณะที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ จากคนธรรมดา สู่นักลงทุนระดับโลกนั้น

    มีผลตอบแทน จากการลงทุนทบต้นเพียงปีละ 24% เท่านั้น ซึ่งถือว่าไม่มากนัก ถ้าเทียบกับ ผลตอบแทนของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าได้รับในปีนี้ แต่บัฟเฟตต์สามารถทำผลตอบแทนในระดับดังกล่าว ได้อย่างยาวนานต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสิบปี ซึ่งด้วยยุทธวิธีดังกล่าว ทำให้เขารวยได้เป็นอันดับสองของโลก ถ้านักลงทุนสามารถทำผลตอบแทนจากการลงทุนได้ปีละ 100% ทุกปี จากเงินลงทุนเริ่มต้นที่ 1 ล้านบาท เงินดังกล่าวจะกลายเป็น 1,000 ล้านบาทใน 10 ปี

    และภายในเวลา 20 ปี จะกลายเป็นเงิน 1 ล้านล้านบาท (ซึ่งเท่ากับงบประมาณประเทศไทยทั้งประเทศ)

    จะเห็นว่า การทำผลตอบแทนสูงๆ นั้นในระยะยาวแล้ว มีโอกาสเป็นไปได้ไม่ง่ายนัก ดังนั้น นักลงทุนที่ทำผลตอบแทนได้ปีละ 15-25% ก็ไม่ต้องไปวิตกกังวลมากนัก เพียงแต่ท่านสามารถทำผลตอบแทนดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่อง ก็ ”เพียงพอ” ที่จะทำให้พอร์ตการลงทุนของท่านเติบโตอย่างเห็นผลได้ในระยะยาว

     

    จาก settrade.com โดยคุณงงงง

    http://api.settrade..../IPO/newWebboar

    d/board.jsp?content=qa.jsp&tid=3771&page=1

    มหัศจรรย์ดอกเบี้ยทบต้น เห็นมีคนถามหา พอดีไปเจอมาเลยเอามาให้อ่านกัน

    แล้วก็ถึงคราวพระเอกของเหล่าบรรดาคนออมเงินทั้งหลายแล้วครับ ซึ่งก็คือดอกเบี้ยนั่นเอง และคงจะไม่มีใคร ไม่รู้จัก

     

    ใช่มั๊ยครับ แต่ถ้าจะพูดถึงดอกเบี้ยธรรมดาทั่วๆไป ใครจะสนใจหละครับ

    มันธรรมดาเกินไป ที่ผมจะพูดถึง นี่หลายคนคงรู้สรรพคุณนี้ดี แต่ผมเชื่อว่าหลายคนอาจไม่รู้เลยหละครับ

    เพียงแค่สนใจตัวเลขของดอกเบี้ยก็เพียงพอแล้ว แต่ว่าจริงๆแล้วดอกเบี้ยมีความมหัศจรรย์ในตัวเองครับ

    ถ้าเรารู้จักนำมาใช้ มีคนเคยบอกว่าสิ่งมหัศจรรย์ของตัวเลขก็คือ ดอกเบี้ยทบต้นนี่หละครับ เชื่อหรือไม่ว่า

    เพียงแค่เงินเก็บของคุณสร้างดอกเบี้ย แล้วคุณนำดอกเบี้ยไปสร้างดอกเบี้ยต่อ เพียงแค่ 5 ปี เงินของคุณก็จะเพิ่มขึ้นเท่าตัว ที่ดอกเบี้ย 15 % ต่อปี จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมเวลาเป็นหนี้เพียงน้อยนิด แต่คล้อยหลังไปไม่กี่ปีมันเพิ่มขึ้นหลาย เท่าตัว

     

    เพิ่มเติมโดย www.holidaytours.in.th อัตราดอกเบี้ยทบต้น

    At = A0 x (1+rate) ^ n At = ยอดเงินรวม

    A0 = เงินต้นที่ฝาก

    rate = อัตราดอกเบี้ย(มักจะอยู่ในรูป เปอร์เซ็นต์ต่อปี)

    ^ = ยกกำลัง

    n = จำนวนปีที่ฝาก

    ถ้าคุณมีเงิน 20,000 การลงทุนให้ผลตอบแทนทบต้น 10% ต่อปี

    เป็นเวลา 30ปี จะเป็นเงิน

    At = 20000*(1+0.10)^30

    At = 348,988

    สรุปได้ว่าสิ่งมหัศจรรย์ ที่จะทำให้เราได้พบอิสรภาพทางการเงินได้

    นั่นก็คือดอกเบี้ยทบต้น

     

    การลงทุนตอน 6 ขวบว่ากันว่าบัฟเฟตต์นั้นมีหัวด้านการลงทุนตั้งแต่ยังเล็ก

    อย่างเมื่อตอนอายุเพียง 6 ขวบ เขาได้ซื้อโค้กกระป๋องมาขายและ ทำกำไรในการขายได้ประมาณ 20% จากยอดรวมทั้งหมด

    โดยเขาได้เปรียบการลงทุนของตนเองไว้ว่า เหมือนสิงโตที่รอตะครุบเหยื่อในพงหญ้าสูงและ จะเข้าจู่โจมเมื่อถึงเวลาที่เหยื่อเข้ามาใกล้ (A lion in the tall grass) ซึ่งเขาจะรอจนกว่าราคาหุ้นที่ต้อง การเดินทางมาอยู่ในจุดที่น่าสนใจที่สุดเพื่อ

     

    เข้าครอบครอง และสิ่งสำคัญที่ทำให้เขาประสบ ความสำเร็จจากการลงทุนนั้นคือ

    ไม่ใช้อารมณ์ในการลงทุน แต่ใช้ความรู้และประสบการณ์ใน การตัดสินใจแต่ละครั้ง

     

    เพิ่มเติมโดย www.holidaytours.in.th

     

    บทเรียนแรกจากการซื้อหุ้น เมื่อบัฟเฟตต์ซื้อหุ้นตัวแรก ราคาของมันกลับดิ่งลง แต่เขาอดทนก็ถือมันไว้ ต่อมาเมื่อราคาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเขาได้กำไรจึงขายมันออกไป แต่ราคาหุ้นกลับวิ่งขึ้นไปไม่หยุด เขาจึงได้บทเรียนว่า การขายหุ้นดีออกไปเร็วเกินไป ถือเป็นความผิดพลาด หลังจากนั้นในเวลาต่อมาเขาได้พัฒนาการลงทุน โดยใช้แนวคิด ซื้อกิจการที่ดีที่สุด ในราคายุติธรรม และเก็บเอาไว้ไม่โดยขายเลยตลอดชีวิต ได้พบอาจารย์ แต่อาจารย์กลับไม่ยอมรับ เมื่อบัฟเฟตต์ได้พบเบนจามิน เกรแฮม เจ้าของทฤษฎี Margin of Safety เขารู้สึกเหมือนเบนจามิน เกรแฮม ได้นำผ้าผูกตาออกจากตาเขา เขาขอทำงานกับเบนจามิน เกรแฮม แต่ถูกปฏิเสธ แม้ว่าเขาจะทำงานให้ฟรีก็ตาม แต่เบนจามิน เกรแฮมกลับพูดว่า ราคานี้ก็ยังแพงเกินไป

    แต่บัฟเฟตต์ก็ไม่ละความพยายาม จนเบนจามิน เกรแฮม ยอมรับเขาในที่สุด

     

    ความผิดพลาด 25ปีแรก

    เรื่องย่อโดย www.holidaytours.in.th

    ที่เบอร์กไชร์ฮาธาเวย์

    ช่วงแรกของการลงทุนของบัฟเฟตต์

    เขาจะซื้อหุ้นที่ราคาถูกมาก ๆ

    แต่ผลประกอบการระยะยาวของบริษัทนั้นไม่ดีนัก โดยไม่ได้เลือกบริษัทที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขัน

    และมีความยั่งยืนของความได้เปรียบนั้น และเขาเริ่มตระหนัก ว่านี่ไม่ใช่กลยุทธ์ในฝัน

    ต่อมาเขาจึงเลิกลงการลงทุนรูปแบบนี้ เพราะมันเหมือนกับการหาคนที่โง่กว่ามาซื้อหุ้นต่อ และมันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากไม่มีคนที่โง่กว่ามาซื้อหุ้นไป….

     

    รายละเอียด

    ความผิดพลาด25ปีแรกของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ข้อความต่อไปนี้ปรากฎอยู่ในรายงานประจำปี 2532 ของเบอร์กไชร์ฮาธาเวย์

     

    บริษัทที่วอเร็น บัฟเฟตต์ ใช้ในการลงทุนถือหุ้นของเขา สิ่งที่บัฟเฟตต์เขียนถือเป็นหลักสำคัญในวิธีคิดและ หลักการลงทุนบางส่วนที่สำคัญมากของเขาในปัจจุบัน ความผิดพลาดข้อแรกของผม แน่นอนคือการซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของเบอร์กไชร์

    ถึงแม้ว่าผมจะรู้ว่าธุรกิจของมัน การผลิตสิ่งทอ เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีอนาคต แต่ผมก็ถูกล่อให้ซื้อเพราะราคาที่ดูเหมือนว่าจะถูกมาก การซื้อหุ้นแบบนั้นได้สร้างผลตอบแทนให้ผมไม่เลว ในช่วงที่ผมเริ่มลงทุนใหม่ ๆ อย่างไรก็ตามเมื่อเราได้เบอร์กไชร์มาในปี 2508 ผมก็เริ่มตระหนักว่านี่ไม่ใช่กลยุทธ์ในฝัน ถ้าคุณซื้อหุ้นในราคาที่ถูกพอ โดยปกติก็จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ผลกำไรของธุรกิจ จะกระตุกหรือดีดตัวขึ้นซึ่ง จะเปิดโอกาสให้คุณขายหุ้นทิ้งและได้กำไรพอสมควร ถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานในระยะยาวของธุรกิจจะแย่มาก ผมเรียกแนวการลงทุนแบบนี้ว่า ก้นบุหรี่ นั่นคือก้นบุหรี่ที่พบบนถนนที่เหลือพอสูบได้

    เพียงคำเดียวนั้นอาจจะให้ความสุขในการสูบได้ไม่มาก แต่ราคาซื้อที่ถูกมาก” จะทำให้การสูบมีกำไร บัฟเฟตต์ พูดอีกหลายประเด็นเกี่ยวกับข้อผิดพลาดในการซื้อหุ้น โดยมองที่ความถูกเป็นหลักและเขาสรุปว่า ผมสามารถยกตัวอย่างความโง่เขลาของการซื้อหุ้นถูก อื่น ๆ อีก แต่ผมแน่ใจว่าคุณจะเห็นภาพนั่นคือ มันเป็นเรื่องที่ดีกว่ามาก ที่จะซื้อบริษัทที่ดีเลิศในราคาที่ยุติธรรม แทนที่จะซื้อบริษัทที่ดีพอใช้ในราคาที่ดีเยี่ยม ผมเป็นคนที่เรียนรู้ช้า แต่เดี๋ยวนี้ เมื่อจะซื้อบริษัทหรือหุ้น

    เรามองหาธุรกิจชั้นหนึ่ง ที่มาพร้อมกับผู้บริหารชั้นหนึ่งผมได้พูดมาหลายครั้งว่า เมื่อผู้จัดการที่มีชื่อเสียงสุดยอดในการบริหารธุรกิจ มาเจอกับธุรกิจที่มีชื่อเสียงสุด แย่ในด้านของการทำกำไร สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ ชื่อเสียงของธุรกิจ บทเรียนต่อมาที่บัฟเฟตต์พูดถึงก็คือ หลังจาก 25 ปีของการซื้อและดูแลธุรกิจที่หลากหลาย ผมไม่เคยเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหายาก ๆ ของธุรกิจเลย สิ่งที่เราเรียนรู้ก็คือการหลีกมัน การที่เราประสบความสำเร็จนั้นเป็นเพราะเรามุ่งเน้นที่การมองหารั้วที่สูง 1 ฟุต สามารถก้าวข้ามไปได้มากกว่าที่เราจะสร้างความสามารถในการที่ จะกระโดดข้ามรั้วสูง 7 ฟุต การค้นพบนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ยุติธรรม แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธุรกิจและการลงทุน มันเป็นเรื่องที่สามารถทำ กำไรได้มากกว่ามากที่จะเพียงยึดอยู่กับสิ่งที่ง่ายและ เห็นได้ชัดมากกว่าที่จะวิเคราะห์หรือตัดสินใจในสิ่งที่ยาก… ในอีกกรณีหนึ่ง โอกาสการลงทุนที่ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อธุรกิจที่ดีเยี่ยมประสบกับ ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่เกิดครั้งเดียว แต่แก้ไขได้อย่างเช่นในกรณีที่เกิดมาแล้วหลายปีของหุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรสและ GEICO อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้ว เราทำได้ดีกว่าโดยการหลีกเลี่ยงมังกรแทนที่จะฆ่ามัน

    การค้นพบที่น่าประหลาดใจที่สุดของผมซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากใน ธุรกิจก็คือพลังแฝง ที่เราอาจจะเรียกว่า

    “สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสถาบัน”…….ยกตัวอย่างเช่น…….

    2) เช่นเดียวกับที่งานถูกขยายออกไปเมื่อมีเวลาเหลือโครงการลงทุนและการซื้อกิจการต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นเพื่อที่จะใช้เงินของบริษัทให้หมด

    3) ธุรกิจที่ผู้นำปรารถนาที่จะทำ ไม่ว่าจะโง่เขลาเพียงใด จะได้รับการสนับสนุนอย่างรวดเร็วโดยตัวเลข ผลตอบแทนการลงทุนและยุทธศาสตร์ที่เตรียมโดยลูกน้องของเขา

    4) พฤติกรรมของบริษัทคู่แข่งในกลุ่มเดียวกัน ไม่ว่าเขาจะขยายงาน ซื้อกิจการ ตั้งและจ่ายผลตอบแทน ให้แก่ผู้บริหาร หรืออะไรก็ตาม จะถูกเลียนแบบโดยไม่คิดถึงความเหมาะสม. หลังจากความผิดพลาดอื่น ๆ ผมเรียนรู้ที่จะทำธุรกิจเฉพาะกับคนที่ผมชอบ เชื่อใจ และยกย่องตรงกันข้ามเราไม่ประสงค์ที่ร่วมกับผู้จัดการซึ่งขาดคุณสมบัติที

    น่าชมเชยไม่ว่าธุรกิจของเขาจะมีแนวโน้ม

    น่าสนใจแค่ไหน เราไม่เคยประสบความสำเร็จในการซื้อธุรกิจดี ๆ กับคนที่ไม่ดี ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดบางอย่างของผมไม่ได้เปิดเผยต่อสาธา รณชน นั่นคือหุ้นหรือธุรกิจซึ่งผมรู้จักคุณค่าของมันดีแต่กลับไม่ได้ซื้อ ไม่ใช่เรื่องบาปที่คนจะพลาดโอกาสการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่ นอกเหนือความรู้ หรือความเข้าใจของเขา แต่ผมได้ปล่อยธุรกิจที่ยิ่งใหญ่หลายรายที่เสิร์ปมาให้ถึงที่และ เป็นธุรกิจที่ผมสามารถ เข้าใจได้อย่างเต็มที่ให้หลุดไป สำหรับผู้ถือหุ้นของเบอร์กไชร์ รวมถึงตัวผมเอง บทเรียนนี้ราคาแพงมาก นโยบายการเงินที่อนุรักษ์นิยมสุดยอดของเราอาจจะดูเหมือนว่าเป็น ความผิดพลาดแต่ผมคิดว่าไม่ มองย้อนกลับไปถ้าเรากู้เงินมาลงทุนในระดับปกติของธุรกิจ ผลตอบแทนการลงทุนของเราคงจะดีกว่า เฉลี่ยปีละ 23.8% ที่เราได้มา แม้ในปี 2508 บางทีเราสามารถที่จะตัดสินว่ามีโอกาสถึง 99% ที่การกู้เพิ่ม จะทำให้ผลกำไรสูงขึ้น ในเวลาเดียวกันเราอาจจะเห็นว่ามีโอกาสเพียง 1% ที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งอาจทำให้เราเสียหายหรือถึงล้มละลาย

    เราไม่ชอบโอกาส 99:1 นั้นและจะไม่ชอบตลอดไป โอกาสเล็กน้อยของการเสียหายหรือเสียหายหนัก

    ในมุมมองของเราจะไม่คุ้มกับโอกาสมากมายที่จะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นถ้าการกระทำของคุณมีเหตุผลคุณ ก็แน่นอนว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีอยู่แล้ว ในกรณีส่วนมากการกู้ก็เพียงแต่ทำให้สิ่งต่าง ๆ เคลื่อนเร็วขึ้น… ผมไม่เคยรีบมาก : เรามีความสุขกับการลงทุนมากกว่าผลตอบแทนที่ได้

    – แม้ว่าเราจะได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันทั้งคู่ เราหวังว่าในอีก 25 ปีต่อไปที่เราจะรายงานความผิดพลาดใน 50 ปีแรก ถ้าเรายังคงอยู่ในปี 2558 ที่จะทำอย่างนั้น คุณเชื่อได้เลยว่าส่วนนี้จะกินพื้นที่กระดาษมากกว่านี้มาก”

    Value Investor ของไทยเรายังมีบทเรียนหรือความผิดพลาดน้อยเมื่อคิดถึงระยะเวลาที่ความคิดและ แนวทางการลงทุนแบบ Value Investment ทีเพิ่งก่อร่างขึ้นมาเพียงไม่ถึง 10 ปี แต่โชคดีที่เรามีเซียน อย่างวอเร็น บัฟเฟตต์ที่ผ่านประสบการณ์มายาวนาน และ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ตลาดอเมริกันกับไทยอาจจะแตกต่างกัน

    แต่ผมคิดว่าหลักการนั้นใช้กันได้เกือบ 100% เงื่อนไขของ ความสำเร็จนั้นอยู่ที่คนจะประยุกต์ใช้ได้ดีแค่ไหนและมีความมั่น

     

    สร้างชื่อเสียงเงินทองจากการลงทุน

     

    เรื่องย่อโดย www.holidaytours.in.th

    บัฟเฟต์แตกต่างจากผู้ลงทุนทั่วไป เนื่องจากไม่มีใคร สามารถคาดเดาจังหวะการขึ้นลงของหุ้นที่แน่นอนได้

    บัฟเฟตต์จึงเลือกที่ซื้อหุ้นในจุดที่ราคายังต่ำ และกิจการมีโอกาสเติบโตได้มาก โดยไม่นำพากับสภาวะตลาดผันผวนระหว่างทาง เพราะเขาเชื่อมั่นว่าหุ้นที่ดี จะมีการเดินทางของราคาที่สูงขึ้นในที่สุด

     

    รายละเอียด วอร์เรน บัฟเฟตต์ ผู้สร้างชื่อเสียงเงินทองจากการลงทุน โดย Settrade.com (ได้ตัดข้อความบางส่วนไปใส่ในตอนลงทุนตอน6ขวบ) เมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้วได้มีโอกาสเขียนถึง เบนจามิน เกรแฮม และทฤษฎีที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาคือ Margin of Safety ซึ่งในบทความวันนั้นได้มีการกล่าวถึง ผู้ยิ่งใหญ่ในวงการการลงทุนในหุ้น ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอีกท่านหนึ่งนั่นก็คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์

     

     

    (Warren Buffett)

     

    ผู้ซึ่งเป็นศิษย์เอกของเกรแฮม และดูเหมือนจะทำได้ดีกว่าผู้เป็นอาจารย์อยู่ขั้นหนึ่ง ดังนั้นวันนี้ขอใช้พื้นที่ตรงนี้พูดถึงบัฟเฟตต์ และหลักการลงทุนที่ทำให้ ตัวเขาประสบความสำเร็จ ขนาดเป็นมหาเศรษฐีลำดับต้นๆ ของโลก

    อารมณ์นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้บัฟเฟต์แตกต่างจากผู้ลงทุนทั่วไป ที่มักจะไม่ทำตามเป้าหมายการลงทุนที่วางไว้

    และบ่อยครั้งที่มักจะเข้าซื้อขายอย่างหุนหันพลันแล่น เช่นซื้อด้วยแรงกระตุ้น และการรับข่าวสารสั้นๆ และขายหุ้นด้วยความกลัวอย่างไม่มีเหตุผล ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ตามกฎการตัดขาดทุน คือ ขายหุ้นที่ขาดทุน และถือหุ้นที่มีกำไร แต่ผู้ลงทุนส่วนใหญ่มักจะทำตรงกันข้ามคือ ขายหุ้นที่กำไร และถือหุ้นที่ขาดทุนไว้ อาจจะด้วยความกังวลใจที่หุ้นที่ถืออยู่และมีกำไร

    เริ่มปรับตัวลง จึงตัดสินใจขายหุ้นออกไป และพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า ขายทำกำไรดีกว่าปล่อยให้ขาดทุน และตรงกันข้ามกับ ผู้ลงทุนที่ถือหุ้นและขาดทุนอยู่ จึงได้แต่บอกกับตัวเองว่า จะขายถ้าราคาหุ้นกลับขึ้นมาถึง ราคาที่เคยซื้อไว้ ซึ่งการลงทุนแบบนี้นั้นมีโอกาสเกิดการขาดทุนสูง เนื่องจากไม่มีใคร สามารถคาดเดาจังหวะการขึ้นลงของหุ้นที่แน่นอนได้ ดังนั้นวิธีการหลีกเลี่ยงการซื้อขายผิดจังหวะก็คือ เดินตามรอยของบัฟเฟตต์ที่จะเลือกซื้อหุ้นในจุดที่ราคายังต่ำ

    และกิจการมีโอกาสเติบโตได้มาก โดยไม่นำพากับสภาวะตลาดผันผวนระหว่างทาง เพราะเขาเชื่อมั่นว่าหุ้นที่ดี จะมีการเดินทาง ของราคาที่สูงขึ้นในที่สุด แนวทางหลักอีกอย่างของบัฟเฟตต์ในการซื้อหุ้นก็คือ เขาจะมองว่าการซื้อหุ้นคือการเข้าร่วมเป็นเจ้าของบริษัท ไม่ใช่การซื้อสินค้าที่ต้องซื้อขายเพื่อทำกำไรอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นก่อนจะเข้าลงทุนก็ต้องศึกษาข้อมูลของบริษัทนั้น ๆ ให้ละเอียด รอบคอบ และเมื่อลงทุนแล้วต้องเชื่อมั่นในบริษัท ซึ่งแนวคิดนี้นั้นคล้ายกับ Value Investor

    มือทองของเมืองไทยท่านหนึ่ง คือ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

    ซึ่งส่วนใหญ่จะเข้าลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี และไม่ซื้อขายบ่อย ๆ และท่านก็มองว่านี่คือการทำธุรกิจส่วนตัว ที่ไม่ต้องดำเนินธุรกรรมเองทั้งหมด เพียงแต่คัดสรรกิจการที่ดีและร่วมเป็นเจ้าของ โดยเงินปันผลก็เหมือนเงินเดือนที่นำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ โดยไม่ต้องซื้อขายหุ้นเพื่อนำกำไรมาใช้ในระยะสั้น

    แต่ต้องมีวินัยในการลงทุนนั่นคือเก็บหุ้นไว้ให้มีมูลค่าเติบโตทบต้นทบดอกด้วยตัวมันเอง และไม่หวั่นไหวต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ส่วนหลักการลงทุนของบัฟเฟตต์ที่ใช้เป็นประจำในการเลือกซื้อหุ้นแต่ละตัวได้แก่

    เป็นธุรกิจที่ไม่ซับซ้อน เป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยม และมีฐานลูกค้าแข็งแกร่งหรือเป็นธุรกิจที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว

    ยกตัวอย่างหุ้นที่เขาถืออยู่ อาทิ โค้ก และอเมซอน สามารถคาดเดารายได้ และรายจ่ายได้ไม่ยาก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ไม่ซับซ้อน ดังนั้นเขาจะสามารถคาดเดาได้อย่างไม่ยากว่าจะมีกำไร หรือขาดทุนในแต่ละปี ผลตอบแทนต่อทุน (ROE) สูง บัฟเฟตต์ให้ความสำคัญกับตัวเลขนี้ค่อนข้างมาก คือน่าจะต้องมากกว่า 12% สำหรับธุรกิจประเภทผลิตสินค้า แต่หากเป็นธุรกิจสถาบันการเงินแล้ว ค่าตัวเลขนี้ปกติจะสูงมาก บัฟเฟตต์ จึงแนะนำให้ดูที่ตัวเลขของผลตอบแทนรวมของสินทรัพย์ (ROA) ประกอบด้วยหากสูงกว่า 10% ก็ถือว่าดี มีกระแสเงินสดที่ดี เพราะธุรกิจที่ดี ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินทุนสูงมาก

    ในการดำเนินงานและรักษาสถานภาพในตลาดเพื่อการแข่งขัน เพราะควรจะมีรายได้หล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ มีผู้บริหารที่ดี เห็นแก่ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ ลงทุนในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะไม่เพียงเลือกธุรกิจที่ดี แต่ควรเลือกช่วงเวลาที่ดีและราคาเหมาะสมด้วยและนี่ก็คือข้อมูลอย่างย่อ ๆ

     

    บทย่อโดย www.holidaytours.in.th

    “ถ้าเราวิเคราะห์ดีแล้วเมื่อเราซื้อหุ้น เวลาที่จะขายหุ้นนั้นเกือบจะไม่ต้องเลย”

    วอเร็น บัฟเฟตต์นั้นไม่เหมือนนักลงทุนคนอื่น เขาซื้อโดยมีสมมติฐานว่าจะไม่ขายหุ้นที่เขาลงทุนส่วนใหญ่ อยู่กับเขามานาน หลาย ๆ บริษัท

    เขาคือเจ้าของและผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด เขาไม่ดูราคาหุ้น สิ่งที่เขาดูก็คือ ผลกำไรของบริษัท ดูเงินสดที่บริษัทหามาได้

    และบ่อยครั้งเขาเอาเงินสดนั้นมาใช้ลงทุนซื้อกิจการ หรือหุ้นตัวอื่นต่อ ๆ ไป และนี่คือ วิธีการทำเงินจากหุ้นโดยไม่ต้องขายหุ้นแต่ซื้อหุ้นไปเรื่อย ๆ จะเรียกว่าลงทุนแบบ One Way Ticket ก็น่าจะได้

    รายละเอียด

    One Way Ticket (วอเร็น บัฟเฟตต์) โลกในมุมมองของ Value Investor ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

    วอเร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนเอกของโลกบอกว่า เขาอยากซื้อหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมที่สุดในราคาที่ยุติธรรม แล้วเก็บเอาไว้ไม่ขายเลยตลอดชีวิต และกลยุทธ์นี้เองที่ทำให้เขา สามารถทำกำไรได้ผลตอบแทน จากการลงทุนสูงมากเฉลี่ยกว่า 20%

    ต่อปีทบต้นมาเรื่อย ๆ เป็นเวลาเกือบ 50 ปี และกลายเป็นบุคคลที่รวยเป็นอันดับสองของโลก ด้วยความมั่งคั่ง

    หลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐความคิดของการซื้อหุ้นแล้วไม่ขายเลย นั้นบัฟเฟตต์ได้มาจากฟิลิป ฟิชเชอร์ใน

    หนังสือคลาสสิค Common Stocks and Uncommon Profit ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1958

    ต่อไปนี้เป็นคำเรียบเรียงของบางส่วน ในหนังสือซึ่งวอเร็น บัฟเฟตต์เคยอ้างถึง และผมคิดว่า Value Investor ควรได้เรียนรู้เอาไว้ และถ้าเป็นไปได้นำมาประยุกต์ ใช้กับการลงทุนของตนเอง มีการอ้างเหตุผลอีกข้อหนึ่งในการขายหุ้น

    ของนักลงทุนซึ่งทำให้เขาพลาดจากกำไร ที่เขาควรจะได้ เหตุผลข้อนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ไร้สาระที่สุด

    นั่นก็คือหุ้นที่เขาถืออยู่มีราคาวิ่งขึ้น ไปมากมหาศาล เพราะฉะนั้นมันคงรองรับผลการดำเนินงานในอนาคตไปหมดแล้ว

    ดังนั้นเขาควรจะขายมัน และซื้อหุ้นตัวอื่นที่ราคายังไม่ได้ขึ้น บริษัทที่ดีเยี่ยม ซึ่งเป็นหุ้นประเภทเดียว ที่ผมคิดว่านักลงทุนควรซื้อ ไม่ได้ทำงานแบบนี้ การทำงานของมันอาจจะเข้าใจได้ง่ายที่สุด โดยการอุปมาอุปไมกับเรื่องดังต่อไปนี้

    สมมติว่ามันเป็นวันที่คุณเรียนจบจากมหาวิทยาลัย หรือเรียนจบมัธยมก็ได้ ทีนี้สมมติต่อว่าในวันนั้นเพื่อนร่วมชั้นของคุณทุกคน ต้องการเงินสดอย่างเร่งด่วน แต่ละคนเสนอเงื่อนไขให้คุณ แบบเดียวกันนั่นคือ ถ้าคุณให้เงินพวกเขาเท่ากับ 10 เท่าของรายได้ทั้งหมดที่เขาจะได้รับ ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าหลังจากที่เขาเริ่มทำงาน พวกเขาก็จะตอบแทนคุณโดยการจ่ายเงินให้คุณ เท่ากับหนึ่งในสี่ของรายได้ของเขาตลอดชีวิตวิธีการและแนวทางในการลงทุน

     

     

    เรื่องย่อโดย www.holidaytours.in.th

    บัฟเฟต์เลือกจะลงทุนในบริษัทชั้นหนึ่ง ที่ตัวเองมีความเข้าใจเป็นอย่างดีเท่านั้น รวมทั้งมีผู้บริหารที่ไว้ใจได้ด้วย วอร์เร็นได้กล่าวว่า ”หลังจากที่ซื้อหุ้นแล้ว ผมจะไม่สนใจตลาดหุ้นเลยและถึงแม้ว่าตลาดหุ้นจะปิดทำการยาวนานถึง10ปีก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะว่า ผมมั่นใจธุรกิจที่ลงทุนไปแล้วนั้น มีมูลค่าที่แท้จริงของมัน ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องให้ตลาดหุ้นมารับรู้ด้วยก็ได้”

     

    รายละเอียด

    วิธีการและแนวทางในการลงทุน ของ วอร์เร็น บัฟเฟตต์หุ้นไม่ใช่เพียงแค่กระดาษแผ่นหนึ่งอย่างที่หลายๆคนคิด

    มันเป็นเอกสารที่แสดงถึงความมีส่วนเป็นเจ้าของในกิจการนั้นด้วย เมือคิดจะลงทุน จงใช้มุมมองอย่างเจ้าของกิจการในการเลือกลงทุนมุ่งเน้นลงไปในกิจการและข้อมูลเบี้องหลัง ไม่ใช่แค่มองว่ามันเป็นแค่หุ้น ต้องรู้ใช้ชัดว่ากิจการนี้ทำอะไร และทำได้ดีแค่ไหน? พิจารณาลงทุนเฉพาะกิจการที่เราเข้าใจได้ เพราะไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถ ที่จะค้นหามูลค่าที่แท้จริงของกิจการที่เราเป็นเจ้าของได้ มีกิจการที่ดีเพียงไม่กี่บริษัทที่เราจะสามารถลงทุนแล้วได้รับ ผลตอบแทนสูง

    ในโลกนี้ประกอบไปด้วยธุรกิจที่ดีเด่น ธุรกิจที่แย่

    และธุรกิจที่ไม่ดีไม่เลวจงจำกัดการค้นหาธุรกิจนั้นโดยมองย้อนไปถึงประวัติเก่าๆของกิจการนั้นๆ ”นักลงทุนควรที่จะคิดเสมอว่าการลงทุนนั้นเปรียบเสมือนการตัดสิน ใจครั้งสำคัญ ในชีวิตซึ่งมีได้เพียงยี่สิบครั้งเท่านั้น ดังนั้นการตัดสินใจทุกครั้งจะต้องไตร่ตรองให้ดี เพราะหากพลาดไปจะเหลือโอกาสอีกไม่มาแล้ว” ธุรกิจที่ดีจะเสมือนว่ามีทางด่วน ซึ่งลูกค้าต้องจ่ายเพื่อข้ามไปสู่จุดหมายปลายทางที่เขาต้องการ และสิ่งนี้จะทำให้กิจการนั้นสามารถเติบโตได้ตลอดไป ดังตัวอย่างเช่น บริษัทหลายบริษัทจำเป็นต้องประชาสัมพันธ์ สินค้าและบริการของตัวเอง ซึ่งบริษัทโฆษณาก็จะสามารถได้รับผลประโยชน์จากความต้องการโฆษณา นี้ด้วย

    • ผู้ชายส่วนใหญ่จำเป็นต้องโกนหนวด และผู้หญิงก็อาจจะโกนขนขา สำหรับกิจการที่ผลิตมีดโกนที่ใหญ่ที่สุด

    ในโลก อย่างเช่น Gillette ซึ่งสามารถยึดคลองตลาดที่ไม่มีวันหดหายไปได้เลย และจะเติบโตไปตาม การขยายตัวของจำนวนประชากรโลก ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่มักจะมีคุณสมบัติต่างๆดังนี้ 1 ไม่ซับซ้อน (Simplicity) กิจการเหล่านี้จะเข้าใจได้ง่ายๆ และใช้การบริหารแบบธรรมดา

     

     

    2 ธุรกิจเสมือนมีสิทธิพิเศษที่แข็งแกร่ง (Strong business

    franchises) ธุรกิจเหล่านี้จะได้รับประโยชน์จาก ค่าความนิยมทางเศรษฐกิจ

    (Economic Goodwill) เช่นสามารถปรับราคาขึ้นได้โดยที่ ลูกค้าไม่มีความขัดข้อง

    3 สามารถคาดการได้ (predictability) สามารถคาดการผลประกอบการได้อย่างมั่นใจ

    4 ผลตอบแทนจากเงินทุนสูง (High return on Equity) สามารถที่จะมีผลตอบแทนจากเงินทุนได้สูง โดยไม่ต้องอาศัยการตบแต่งบัญชี (Creative Accounting)หรือการใช้เงินลงทุนจากการกู้

    ซึ่งผลตอบแทนจากการลงทุนนี้สำคัญกว่าตัวเลขกำไรต่อหุ้นที่หลายๆ คนให้ความสำคัญเสียอีก

    5 สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ดี (Strong Cash Generation)

    เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องมีการลงทุนอย่าง มหาศาลเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันให้สูงอยู่ตลอดเวลา ธุรกิจที่แข็งแกร่งจริงจะใช้เงินลงทุนเพียง เล็กน้อยก็สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างมั่นคง

    6 อุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น (Devotion to Shareholder Value) การที่มีผู้บริหาร ที่ซื่อสัตย์ และมีฝีมือทุ่มแรงกายแรงใจให้แก่งานของบริษัท เพื่อสร้างมูลค่าให้กิจการตลอดเวลา ในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจจงจำไว้ว่า ”ราคาคือสิ่งที่เราจ่าย มูลค่าคือสิ่งที่เราได้รับ” ดังนั้นการลงทุนใดๆเราต้องคำนึงถึงส่วนต่างเพื่อความปลอดภัย

    (Margin of Safety) ระหว่างราคากับมูลค่าให้มากไว้ เพื่อหากว่าเราเกิดความผิดพลาดขึ้นก็ยังไม่ทำให้เราขาดทุนมาก

    ในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงนั้น วอร์เร็นมักจะใช้วิธีคิดลดกระแสเงินสด(Discount Cash flow)

    หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า DCF วิธีการนี้คือการประมาณกระแสเงินสดในอนาคตที่กิจการจะได้รับ และคิดลดกระแสเงินสดนั้นกลับมา ณ ปัจจุบันโดยใช้อัตราคิดลดที่ปราศจากความเสี่ยงโดยเทียบกับ การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล อาจจะเป็น10ปีหรือน้อยกว่านั้นซึ่งผลที่ได้สามารถบอกเราได้ถึงส่วนต่าง ของราคาปัจจุบันกับมูลค่าซึ่งนั่นก็คือส่วนต่างเพื่อความปลอดภัย(Margin of Safety) ไม่สนในการเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้น วอร์เร็นเคยพูดไว้ว่า ”หลังจากที่ซื้อหุ้นแล้ว ผมจะไม่สนใจตลาดหุ้นเลย และถึงแม้ว่าตลาดหุ้นจะปิดทำการยาวนานถึง10ปีก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะว่าผมมั่นใจธุรกิจที่ลงทุนไปแล้วนั้นมีมูลค่าที่ แท้จริงของมัน ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องให้ตลาดหุ้นมารับรู้ด้วยก็ได้” วอร์เร็นจะขายหุ้นก็ต่อเมื่อ

    • ถ้ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นตามอัตราที่ควรจะเป็น

    • ถ้ามูลค่าตลาดของกิจการเพิ่มสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงที่ประเมิน ได้มากจนเกินไป

     

     

     

    บทสรุปบัฟเฟตต์ภาคแรก

    บัฟเฟตต์ภาคแรก โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ชีวิตและการลงทุนของวอเร็น บัฟเฟตต์

    ในปัจจุบันเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางทั้งในหมู่นักลงทุนและประชาชนทั่วไปในอเมริกา ในเมืองไทยเองนั้น นักลงทุนจำนวนมากน่าจะรู้จักเขาพอสมควร นักลงทุนหลายคนนับถือและยึดถือเขา เป็นแบบอย่างในการลงทุน บทความเกี่ยวกับวอเร็น บัฟเฟตต์ ถูกเขียนขึ้นหลาย ๆ ครั้ง ทั้งในคอลัมน์นี้และในที่อื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้วพูดถึงสิ่งที่เขาทำ

    ผลงาน พอร์ตโฟลิโอ และความมั่งคั่งของเขาเมื่อเขาดังและประสบความสำเร็จ เป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันสำหรับ Value Investor ทั่ว ๆ ไปนั้น น่าจะอยู่ที่ชีวิตของบัฟเฟตต์ ในขณะที่เขายังไม่ดัง ไม่เป็นที่รู้จัก


  13. ฟองสบู่ กับ คุณค่า ภาคสอง

     

     

    คำถาม ทองพื้นฐานขึ้น 1800 แต่เทคนิค 1200 ตอนนี้

     

    คำถามนี้น่าสนใจคำถามนี้ ผมว่าตัวเลขด้านบนน่าจะเป็นที่รู้กันไม๊น้อยสำหรับคนเล่นทองคำ ผมมาวิเคระห์ได้โดยสรุป ราคาเป็นจริงของทองควรจะอยู่ที่ไหน ผมให้หลัก คณิตศาสตร์ ม1 ง่ายๆ คือ ราคาตรงกลางที่ทองควรจะอยู่

     

    1800-1200 เท่ากับ 600 หาร 2 คือ 300 ราคาตรงกลางของทองคำต้องนี้น่าจะอยู่ที่ 1500 เป็นไงครับ ราคานี้เป็นจุดแข็งสุด(1500 จุดแข็งเมษา ฮาวายสองปีก่อนนี้)

    ราคาจากปัจจัยการฟื้นตัวของเศษฐกิจสหรัฐ คู่ปรับโดยตรงของทองคำ การยกเลิก QE3 มีสัญญญาณการฟื้นตัว ทำให้ราคาทองคำมาอยู่ในปัจจุบัน 1200 แล้วยังไงต่อไปล่ะ ราคามันจะไปที่ไหนอย่างไร มันต่ำสุดยัง

     

    ในความคิดส่วนตัวของผม ราคาทองคำจากปัจจัยที่ปรากฎในโลกนี้มีอยู่ 4 ระดับราคาคือ

    1. ราคา 1900 ระดับ ฟองสบู่

    2. ราคา 1500 จุดแข็งที่สุดของระดับราคาทองคำในระดับบน

    3. ราคา 1200 เป็นระดับราคาที่สะท้อนความเป็นจริงของทองคำ (ในขณะที่โพสอย่างแท้จริง)

     

    แล้วต่อไปหลังโพสราคาทองคำจะเป็นอย่างไร ก็ตอบได้ว่า ในปัจจุบัน ที่โพส เรื่อง QE ยังไม่จบ เมื่อเศษฐกิจสหรัฐดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฟคก็จะ ซื้อคืน QE ที่ทำไว้ ถ้าซื้อคืนครบ เรื่อง QE จึงจะไม่ต้องมาคำนึงในการขึ้นลงของทองคำอีก จึงมีโอกาศในระยะอีก อย่างน้อย 1 ปี ที่จะเห็นทองคำในระดับราคาขาลง ต่อไป แล้วราคาทองคำ เมื่อจบ QE น่าจะเป็นเท่าไร ผมเอาแบบหยาบๆ QE เริ่ม ราคาทองคำ 750 (nov 2008) http://www.kitco.com/LFgif//aunov08.gif ปีนี้ 2014 เท่ากับ 6 ปี เงินเฟ้อปีละ 5 เปอร์เซนต์ เท่ากับ 25 เปอร์เซนต์ เท่ากับ ทองคำ จุดคุณค่า เมื่อ ไถ่ถอน QE ได้ทั้งหมด อยู่ที่ 1000 จุด +- 50

     

    4. ราคา 1000 (+-50) จึงเป็นจุดที่อาจเกิดขึ้นได้มากสุดเป็น คุณค่าของทองคำ และ ผมเชื่อว่า เป็นไปได้ที่ราคาทองคำที่โอกาศ ในอนาคตที่จะถึง

     

    คำถามต่่ำกว่า จุด คุณค่าได้ไม๊

    ตอบ โลกนี้พัฒนาไปจากอดีตมากหมาย สหรัฐ ไม่สามารถ ครอบครองโลกเจ้าเดียวได้ในอดีต มี จีน รัสเชีย เยอรมัน การเกิดของประเทศใหม่ๆ การเกิด เศษฐกิจที่ไม่ต้องอาศัย การอ้างอิงของราคาทองคำ เป็นไปไม่ได้แล้วครับ การที่จะเห็นทองคำต่ำกว่านี้ จึงเป็น ศูนย์ ครับ จุดที่ ทุกคนมองว่า ไม่มีคุณค่า เก็บทองไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์ แล้วมาขายกัน จึงไม่มีทางเกิดได้

     

    ปัจจัยปัจจัยต่างๆ เปลื่ยนแปลงเร็วมาก ประเมินราคาต่างๆได้พอประมาณ ได้ ราวๆ แต่ผมว่าก็เพียงพอกับการใช้ประกอบเป็นแนวคิด คุณค่าทอง ยังไงต้องมีเหตุการณ์จริงๆ ดังที่ผมกล่าวมาแล้ว เช่น ถ้าไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้ทองไม่มีคุณค่า มันก็ต้องมีคุณค่า มันต้องลงได้ แต่ต้องไม่ต่ำกว่าแนวคำว่า คุณค่าขอมัน

     

    ///บอนไซ///

    • ถูกใจ 2

  14. ผมว่าเมื่อคืนนี้เป็นอีกวันที่น่าจะเป็นวันที่มีการปั่นราคา(ส่วนตัว)น่าจะชัดเจน เนื่องด้วย ไม่มีข่าวอะไรที่สำคัญ ซึ่งวันแบบๆนี้เกิดขึ้นบ่อยๆในปีปีหนึ่ง ขึ้นจาก 1201-1234+ ถามว่า แล้วยังไง

     

    1. ตลาดน่าสนใจที่จะเล่นน้องทองอีกครั้ง

     

    2. ราคาเสถียรภาพของผม(ส่วนตัว) ยังอยู่ที่ 1200(+-5) หมายถึงไปที่ไหนก็ต้องกลับมาที่ราคานี้

     

    3. ทองสามารถขึ้นอีกจาก 1230+ ได้ไม๊ ตอบ อาจจะขึ้นได้แต่ไม่ถึง 1250 เพราะ ปัจจัยในโลกนี้ยังไม่ให้พร้อม ทองเป็นขาขึ้น

     

    4. มี สองกรณีเท่่านั้นเวลานี้ที่จะเล่นทอง

    4.1 ใจร้อน ใจกลาง ใจอุ่น น่าเล่น S ที่ระดับราคา 1228-1235

    4.2 ใจเย็น เงินน้่อย ไม่กลัวเสียโอกาศ น่าเล่น S ที่ระดับราคา 1240+ ขึ้นไป

     

    หมายเหตุ ส่วนตัว เชียร์ให้เข้าราคา ณที่โพสเลย 1229.0

     

    audec14.gif

    ไม๊ล่ะ น้องทอง กลับมาราคาเถียรภาพ บอนไซ แล้วยังไงต่อ

    ............รอรอบต่อไปสิ ไปเที่ยวกันดีกว่า................

    • ถูกใจ 1
×
×
  • สร้างใหม่...