ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

jarurote

ขาใหญ่
  • จำนวนเนื้อหา

    703
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

  • วันที่ชนะ

    9

ทุกๆอย่างที่โพสต์โดย jarurote

  1. เมี้ยวๆๆๆ มีบทความมาฝาก พวกที่เล่น GLD ETF อะไรเืทือกๆนั้น ก็ระวังหน่อยละกัน แค่ออมสะสมพอที่ไปซื้อทองคำแท่งไว้ได้ก็เป็นการดี ถ้าคนขายยังใ้ห้เป็นตั๋วทองคำกระดาษอยู่อีก ก็ไม่ควรขายกองทุนทองคำเพื่อแปลงสภาพออกมาเป็นตั๋วกระดาษ เพราะมีความเสี่ยงไม่แพ้กัน ที่มา: http://www.thanachartfund.com/webboard/question.asp?QID=2380 ทำไมหุ้นตกทั่วโลก วรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน CEO บลจ. บัวหลวง จำกัด 6 สิงหาคม 2554 ย้อนหลังไปเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2550 ธนาคารยักษ์ใหญ่ของประเทศฝรั่งเศสคือ BNP Paribas ได้ประกาศข้อจำกัดในการให้ลูกค้าถอนเงินออกจากกองทุนรวมทุกกองทุนที่มีการลงทุนเชื่อมโยงไปยัง หนี้ซับไพรม์ ของสหรัฐ กล่าวคือให้ถอนได้แต่ห้ามเกิน 1 พันล้านปอนด์ ด้วยเหตุผลที่ว่าธนาคารไม่สามารถคำนวณมูลค่าหลัก ทรัพย์ที่เชื่อมโยงไปยังซับไพรม์ที่กองทุนลงทุนได้อย่างเป็นธรรม เนื่องมาจากไม่มีราคาตลาดแล้ว ไม่มีราคาตลาดหมายความว่าไง ? หมายความว่าสิ่งที่กองทุนลงทุนและเกี่ยวโยงกับพวกซับไพรม์นั้น มันขาดสภาพคล่องในตลาด คือ ไม่มีคนซื้อ เสนอลดราคาเท่าไรก็ไม่มีใครเอา มีแต่คนอยากขาย เลยหาราคาตลาดที่ยุติธรรมไม่ได้ เพราะหากใช้ราคาในอดีตมากำหนดมูลค่า มันก็จะสูงไปในภาวะที่ไม่มีใครอยากรับซื้อซับไพรม์ หากไปใช้ราคาแบบนั้นคนถอนเงินจากกองทุนก่อนก็จะได้เปรียบ คนทีหลังก็เสียเปรียบ เขาก็เลยกำหนดลิมิทว่ากองทุนจะให้ถอนเงินไม่เกินเท่านั้น เท่านี้ไว้ ซึ่งน่าจะคำนวณมาจากหลักทรัพย์อื่นๆ ที่ยังเป็นปกติดี ว่ามีให้ลูกค้าถอนออกได้เท่าไหร่ อาการแบบนี้เคยเกิดกับอุตสาหกรรมกองทุนรวมของไทยในช่วง 2540-2541 ในวิกฤติต้มยำกุ้ง เกิดกับกองทุนตราสารหนี้ของทุก บลจ.ในช่วงนั้นที่ลงทุนในตราสารหนี้เอกชน พอมีข่าวว่าสถาบันการเงินใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งมีคนถอนตั๋ว PN แต่คืนเงินให้ลูกค้าได้ไม่ครบในคราวเดียว ประกอบกับช่วงนั้นอาการเศรษฐกิจของประเทศย่ำแย่ ฟองสบู่กำลังจะแตก คนก็เลยแห่ถอนเงินฝากจากธนาคารและบริษัทเงินทุน แห่กันถอนกองทุนตราสารหนี้กันอลหม่าน กองทุนจะเอาเงินมาคืนลูกค้าได้ก็ต้องเสนอขายตราสารหนี้ที่มีในพอร์ตกองทุนไปในตลาด ผลก็คือในช่วงแบบนั้นตลาดตราสารหนี้ตายสนิท มีแต่คนเสนอขาย ไม่ค่อยมีใครยอมซื้อเพราะต่างฝ่ายต่างกลัว และแม้ว่าตราสารหนี้ที่เสนอขายบางตัวจะมีศักยภาพดีอยู่ หรือแม้แต่เป็นพันธบัตรรัฐบาล แต่คนที่จะซื้อเขาก็รอให้ราคามันลงไปมากๆ ก่อนถึงจะซื้อ เพราะมันหมายถึงเขาจะได้กำไรมหาศาล ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของการซื้อขาย ช่วงที่ว่านั้น บลจ. บางแห่งก็ต้องใช้วิธีที่ใกล้เคียงกับ BNP Paribas อาจจะต่างกันด้วยวิธีการแต่ด้วยเหตุผลที่เหมือนกัน บางแห่งก็ใช้วิธีค่อยๆ ลดราคาตราสารหนี้ที่ลงทุนลงทีละน้อยๆ จะได้ไม่กระทบกับกองทุนมากนัก ในทีเดียว บางแห่งก็แน่พอที่จะบีบคอบริษัทที่ออกตราสารหนี้โดยกองทุนยอมลดหนี้ให้บ้างเพื่อจะได้เงินคืนก่อนคนอื่น จะได้ไม่ต้องไปรอเข้าแถวทยอยรับหนี้คืนในอนาคตอีกเป็นสิบๆ ปี และบางแห่งก็มองเห็นว่าจบแล้ว ไม่มีตลาดซื้อขายตราสารหนี้แล้ว เพราะไม่มีใครเสนอราคาซื้อ จึงเสมือนหนึ่งไม่มีตลาด ก็เลยเลิกกองทุนคืนเงินให้ลูกค้าไป ในแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านไป ไม่มีใครบอกได้ว่าวิธีไหนดีที่สุด ในปี 2540-2541 วิธีแรกอาจจะดูดีที่สุด แต่พอเวลาผ่านไปพักใหญ่ วิธีสุดท้ายก็ได้รับการยอมรับว่าดีกว่า ขึ้นกับมุมมองของ บลจ. ว่ามองไกล หรือ ใกล้ แค่ไหน ในวันนั้น BNP Paribas ก็โดนวิจารณ์และ “ก่นด่า” อย่างหนักไปพักใหญ่ ว่าทำไมไม่เอาเงินของธนาคารไปซื้อพวก Subprime ที่ลงทุนในกองทุนของตัวเองไปล่ะ ลูกค้าจะได้ถอนเงินจากกองทุนได้ตามปกติ แล้วในเมื่อสิ่งที่ลงทุนไปนั้น (Subprime Debt และอื่นๆ ที่เกี่ยวโยงกัน) มันเป็นพิษขนาดนั้น ทำไมถึงได้ไปลงทุนจนทำให้ทุกคนตกเป็นเหยื่อความโลภของพวก Wall Street บางคนก็บอกว่านี่คือสินค้าส่งออกที่ชั่วร้ายของพวกอเมริกันที่ส่งออกไปให้ยุโรปและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก เกือบจะ 4 ปีแล้วตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2550 ที่โลกเริ่มเห็นอาการวิกฤติหนี้ ซึ่งทำให้ธนาคารในประเทศตะวัน ตกสูญหายไปหลายแห่ง มีทั้งปิดกิจการ มีทั้งรวมกับสถาบันการเงินอื่น และหากใหญ่มากๆ ก็ต้องขายกิจการให้รัฐมาช่วยอุ้ม และโลกก็ตกอยู่ในช่วง Recession หรือเศรษฐกิจตกต่ำ ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในอเมริกาแตก คนที่เก็งกำไรซื้อบ้านหลายหลังเพราะดอกเบี้ยต่ำติดดินนานๆ ก็ไม่มีปัญหาผ่อนบ้านอีกต่อไปเพราะตกงาน ภาคการเงินไม่ยอมปล่อยกู้ให้ภาคธุรกิจเพราะกลัวปล่อยแล้วเป็นหนี้เสีย ภาคธุรกิจก็ย่ำแย่ จนต้องลดขนาดหรือปิดกิจการ ภาคแรงงานก็ตกงานตามมา เลยไม่มีเงินไปจับจ่ายใช้สอยหรือผ่อนบ้าน รัฐบาลที่อุ้มภาคการเงินไว้เต็มที่ก็ขาดรายได้จากภาษีของภาคธุรกิจกับภาษีจากประชาชน ฯลฯ กลายเป็นงูกินหางนั่นแหละ ผู้ที่ควรถูกตำหนิด่านแรกก็คือ คนโลภที่เอาสินเชื่อเคหะมาเล่นแร่แปรธาตุเป็น Synthesized Products (สินค้าสังเคราะห์) ที่เอาไปสับๆ แล้วมามัดกันเป็นกลุ่มๆ กลายเป็น Products ใหม่ คละกันจนเละ แล้วให้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือไปกำหนดอันดับเครดิตให้ ก็ได้เป็น AAA บ้าง หรือต่ำกว่า ตามแต่ที่เขาจะวิเคราะห์ได้ แต่ความที่มันถูกสับเป็นชิ้นๆ แล้วนำมามัดรวมใหม่เป็นกองๆ ปนกันยุ่งเหยิงขนาดนั้น ใครจะแกะออกมาได้ว่ามันคืออะไร มีค่าแค่ไหน นี่จึงเป็นบทเรียนของโลกตะวันตกที่เราคนไทยพึงตระหนักไว้ว่าอย่าเห่อเหิมเห็นทุกอย่างเป็นพัฒนาการทาง Product ที่เลอเลิศไปหมด เห็นใครเขาทำอะไร อย่ารีบรับเอามาทำบ้างโดยไม่มองผลกระทบ เราคงไม่อยากตกอยู่ในสภาพแบบนั้น ดังนั้น... จงระวัง Synthesized Products ให้ดีๆ เพราะมันไม่มีสินค้าที่แท้จริงอยู่ในนั้น อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าปัญหานี้ได้ซาลงไปด้วยการที่รัฐบาลแทบจะทุกประเทศในโลกช่วยกันอัดฉีดเงินมหาศาลเข้าไปประคอง ภาครัฐของกลุ่มประเทศในยุโรป และ อเมริกา ต่างเป็นหนี้มหาศาลเพื่อไม่ให้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหรือ Global Recession กลายตัวไปเป็นภาวะ Global Depression รัฐบาลพากันอัดฉีดเงินที่ก็ต้องกู้มานั่นแหละลงไปในระบบเพื่อไม่ให้แบงค์และสถาบันการเงินต่างๆ ที่เป็นเส้นเลือดเศรษฐกิจต้องพังทลาย ผลก็คือรัฐบาลกลายเป็นสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไปแล้ว เช่นในสหรัฐอเมริกา จนคนบนท้องถนนธรรมดาที่เรียกว่า Main Street แค้นใจนักกับพวก Wall Street (ถนนที่เป็นที่ตั้งของสถาบันการเงินหลายแห่งในสหรัฐ) เพราะรัฐบาลเอาเงินส่วนรวมของประชาชนไปอุ้มแบงค์ พอแบงค์ดีขึ้น ผู้บริหารก็ได้ผลตอบแทนงดงาม ในขณะที่มายึดบ้านเขา ไล่เขาออกไปนอนบนท้องถนน แต่มันไม่ได้จบอย่างที่หลายคนคิด สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันก็มีผลพวงมาจากเรื่องเดิมนั่นแหละ เมื่อหนี้มหาศาลจากภาคการเงินได้ถูกโอนไปให้ภาครัฐ จึงแปลว่า หนี้ของประเทศไม่ได้หมดไปเลย มันยังอยู่ แต่กระจายความรับผิดชอบจากผู้ถือหุ้นธนาคารต่างๆ ไปยังประชาชนทุกคน ความเสียหาย หรือจะเรียกกันตรงๆ ว่าหายนะ จึงยังคงอยู่ เพียงแต่ถูกเลื่อนเวลาออกไปเท่านั้น เมื่อประเทศมีรายได้น้อย และลดลง แต่มีรายจ่ายมาก และเพิ่มขึ้นจากมูลหนี้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้น (ยิ่ง S&P ลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศอเมริกาลงไปเหลือ AA+ การกู้ของรัฐบาลอเมริกันก็ต้องจ่ายดอกแพงขึ้น) ก็คล้ายๆ คนธรรมดาอย่างเราๆ ที่รายได้ไม่พอรายจ่าย วงเงินกู้ บัตรเครดิตขยายจนเต็มแล้ว รอเวลาโดนเขายึดเท่านั้นเอง และวิธีแก้ไขหนี้สินล้นพ้นตัวขนาดนี้ มันต้องจบลงด้วยการที่ทั้งเจ้าหนี้กับลูกหนี้ต้องยอมเสียกันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ด้วยการกู้เพิ่ม การที่หุ้นของสหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหัวทิ่มจมดินจนทำให้กำไรที่เกิดขึ้นสะสมตั้งแต่ต้นปีนี้หายวับไปกับตา แสดงว่าตลาด “เพิ่ง” เริ่มรับรู้สถานะที่แท้จริงของอเมริกา หรือรู้แล้ว แต่ถึงเวลาวิ่งออกประตูหนีไฟ และตลาดหุ้นทั่วโลกก็เซตาม จิม โรเจอร์ส ให้คำแนะนำที่ดีว่าอย่าขายในช่วงที่ตลาดตื่นตระหนก (ให้ดูจังหวะก่อน) นอกจากนี้เขายังเชื่อว่าอเมริกากำลังทำผิดครั้งยิ่งใหญ่ในการก้าวถลำลึกไปในการก่อหนี้เพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจโลกโดยรวมจะได้รับผลกระทบไปด้วย และอย่าออก QE อะไรออกมาอีก เพราะทั้ง QE1 และ QE2 ที่เป็นการพิมพ์เงินออกมาใส่ไปในระบบนั้นต่างไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น ดังนั้น ในรอบนี้จึงไม่ควรทำอีกแล้ว ต้องปล่อยให้ตลาดเกิด Correction ตามที่ควรจะเป็น มาร์ค โมเบียส ประธานกรรมการบริหาร Templeton Asset Management ในตลาด Emerging market ระบุว่าเป็นการปรับฐานที่สมเหตุสมผล มาร์ค ฟาเบอร์ส บอกว่าคนตื่นตระหนกขายมากไปแล้ว และคาดว่า S&P 500 จะดีขึ้น ข้อสังเกตุส่วนตัวก็คือ เขาเหล่านี้มักจะพูดในสิ่งที่ตนเองอยากให้เกิด (หรือเปล่า) แต่คนต้องฟังแล้วเอาไปประเมินกันเอง เนื่องจากพวกเขาเหล่านี้มีเม็ดเงินภายใต้การบริหารมหาศาล ที่สามารถมีผลต่อตลาดได้บ้าง Jan Hatzuis หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของ Goldman Sachs ระบุว่า มีโอกาส 1 ใน 3 ที่สหรัฐจะเข้าสู่ Recession ภายใน 6-9 เดือนข้างหน้า Robert Reich นักเศรษฐศาสตร์เอียงซ้ายที่เคยเป็นที่ปรึกษาให้ โอบามา ระบุว่า มีโอกาส 50-50 ที่สหรัฐจะเข้าสู่ Recession เมื่อ S&P ประกาศลดอันดับเครดิตประเทศ US ลงจนเทียบเท่าเบลเยี่ยม ซึ่งแม้จะยังดูดี (เกินเหตุ) แต่ก็ต่ำกว่าสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย ก็มีคนหลายคนออกมาก่นด่า รวมถึง Paul Krugman ที่อยู่ข้างสนับสนุนให้อัดฉีดเงินมากๆ เข้าไปในระบบเพิ่มขึ้นด้วย ฝ่ายรัฐบาลเองก็โวยวายเรื่อง S&P ใช้ตัวเลขผิดๆ มาประเมิน ฯลฯ นี่ละอาการของคนไม่ยอมรับสภาพปัญหาของตนเอง ซึ่งอันตรายยิ่ง เพราะประเด็นใหญ่คือ สหรัฐมีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว แถมยังเพิ่มเพดานหนี้กู้เพิ่มได้อีก โดยสัญญาว่าเจ้าปริมาณที่กู้เพิ่มได้นั้น จะลดลงได้ภายใน 10 ปี ใครก็ได้บอกทีสิว่ามันแก้หนี้ตรงไหน ไม่ต้องใช้ S&P, Moody’s หรือ Fitch rating มาประเมินเลย และเมื่อผู้ลงทุนขาดความเชื่อมั่น มันก็สะท้อนไปก่อนในราคาหุ้นนั่นเอง แล้วผลกระทบจากอาการหุ้นตกนี่ล่ะ ? เมื่อคนไม่มั่นใจในเศรษฐกิจ รวมไปถึงไม่มั่นใจว่ารัฐบาลมือถึงหรือไม่ในการแก้ปัญหา บริษัทต่างๆ จะจ้างคนน้อยลง ไม่ขยายธุรกิจ ผู้บริโภคจะจับจ่ายใช้สอยลดลง และที่น่าเป็นห่วงก็คือ การจับจ่ายใช้สอยภาคประชาชนนี้มีสัดส่วนถึง 70% ของเศรษฐกิจ และการว่างงานก็จะเพิ่มมากขึ้น ยังมีอีก ....... Bank of New York Mellon บอกว่าจะเก็บค่าธรรมเนียมการฝากเงินของกองทุนบำเน็จบำนาญทั้งหลายรวมไปถึงลูกค้าที่ฝากเงินเกิน 50 ล้านดอลลาร์ด้วย นี่แสดงว่าคนกำลังวิ่งเข้าหาแหล่งพักเงินที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด ไม่มีการใช้จ่าย และแบงค์ก็ไม่ปล่อยกู้ ทำให้แบงค์ต้องแบกต้นทุนเงินฝากไว้จนไม่ไหวแล้ว ถึงได้ประกาศว่านอกจากจะไม่ได้ดอกผล คุณจะต้องเสียค่าฝากด้วย ตรงกันข้ามกับบ้านเรา ที่แบงค์ทุกแห่งพากันออกโปรโมชั่นแจกแถมอย่างไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลย ทั้งนี้ ก็เพื่อหาเงินเข้าแบงค์จะได้เอาไว้ไปปล่อยกู้ เนื่องจากแบงค์เห็นว่าเศรฐกิจไทยจะไปได้ดีตามกระแส Rising Asia ดังนั้น อาการของสหรัฐที่เกิดขึ้น เรียกให้ถูกคือ Correction à กลับไปสู่ภาวะจริงที่ควรจะเป็น ราคาหุ้นในตลาดของสหรัฐมันแพงเกินปัจจัยพื้นฐานแล้วโดยรวมๆ ข้อยกเว้นอาจมีบ้าง บางตัว หุ้นบ้านเราก็ติดหวัดไปด้วย แห่ขายตามโลก เดี๋ยวเขาจะว่าไม่ทันสมัย เอเชีย กำลังขึ้น จะกระทบไหม กระทบสิ แต่น้อยกว่า ตามแต่ใครมีการค้ากับใครแค่ไหน แต่เราก็ปรับตัวไว้รองรับแล้วไม่ใช่เหรอ ไปพลิกดูแบงค์ดอลลาร์ด้านหลังที่เขียนว่า In GOD We Trust แล้วเอาคำว่า GOLD ไปแปะทับคำว่า GOD ซะ
  2. เมี้ยวๆๆ ดีคร้าบทุกคน สิ้นเดือนอันหน้าเบื่อเหมือนเดิมอีกแล้ว !37 คำบ่นสำหรับคืนนี้ เมื่อก่อนเคยปรามาสไว้ว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เจอทองคำขึ้นที 300 เหรียญภายใน 1 เดือน (ตามสถิติที่ผ่านมา ไม่ว่าสถานจะเป็นเช่นใด ราคาทองคำจะ ขึ้นหรือลง ทีละ 100 เหรียญต่อเดือน) แต่ณ.บัดนี้ ต้องจารึุกไว้ว่า เป็นเดือนที่ทองคำผันผวนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลกนี้จริงๆ ขึ้นไป 300 เหรียญ ภายในไม่ถึงเดือน และลงดิ่งนรก 200 กว่าเหรียญ ภายใน 2 วัน และขึ้นอีก 100 เหรียญ ภายใน 2 วัน อีกทั้ง หนังสือพิมพ์ไทยรัฐถึงกับต้องพาดหัวข่าว ในวันศุกร์ที่ 26 สิงหา 54 (Mania Phase สมชื่อจริงๆ) ข่าวทองคำแพง แต่ขายดีเหมือนแจกฟรี ถึงแม้ลดราคาก็ขายดีอีก ไม่มีของมีแต่ตั๋วกระดาษก็เอาด้วย คนที่เล่น Gold Future คงอ๊วกกับคลื่นบ้าๆบอๆก็งานนี้ สรุปว่า คงต้องเป็นการเก็งกำไรแบบ Day-trade ถึงจะปลอดภัย ผิดทางวันนี้้ต้องปิดทันที ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยข้ามไปอีกวันและสวดภาวนา ขอให้ขึ้นหรือขอให้ลงตามใจหวัง อย่าคิดแบบนี้เด็ดขาดเชียวนะ ส่วนอีกข่าวก็คือ น้ำมันราคาถูก ขายดีเหมือนแจกฟรี อีกเช่นกัน สองเรื่องมันต่างกันสุดขั้วจริงๆ พับผ่าสิ !_01 แต่ไม่ยักจะมีข่าวพาดหัวเกี่ยวกับ Silver เหมือนสองข่าวนี้เลย !034
  3. GLD ไม่สะท้อน iNAV เลย จาก ห้องสินธร พันธทิพย์ GLD คือ กองทุน ETF ทองคำ กองแรกของเมืองไทย แต่ราคาซื้อขายของกองทุน ETF กองนี้ไม่สอดคล้องกับราคา iNAV เลย มันหมายความว่า นักลงทุนหรือเปล่าที่คำนวณราคาของกอง ETF กองนี้ไม่ถูกต้อง Market Maker ทำเกินหน้าที่หรือเปล่า ผู้ดูแลสภาพคล่องทำตามหน้าที่หรือเปล่า ไม่ใช่ว่า มีคนค่อยดูแลไม่ให้ขึ้นตาม Demand และ Supply จริง และมาค่อยนั่งนับว่า นักลงทุนรายย่อย สถาบัน หรือ ต่างชาติซื้อหรือขายจำนวนเท่าไร ทำแบบนี้ตลาด(ห)ลักทรัพย์ได้ประโยชน์อะไรหรือเปล่าล่ะ แล้วตลาด(ห)ลักทรัพย์ของเราพัฒนาหรือเปล่าหนอ ไหนๆก็มี ETF ที่เป็นกองทองคำกองแรกมาให้ซื้อขายแล้ว แต่สภาพเหมือนไม่พร้อมกันทุกฝ่ายแบบนี้ไม่ควรออกมาเลย จากคุณ : Myth&Miracle เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 23:08:09 ยังมีอีกไปหาอ่านเอาใน พันธทิพย์เองเอา เยอะจัด มีแต่คนด่าสาปแช่ง ดังนั้นใครที่ยังไม่สิ้นคิด พอไปซื้อตั๋วกระดาษ หรือเป็น GLD ก็ให้หันมาเปลี่ยนมาเป็น K-Gold กะ T-GoldBullion กันเหอะ ปล่อยให้กองทุนนี้เจ๊งไป จบข่าว !37 !37 !37 หุ้น GLD ขึ้นลงตามใจทองหรือตามใจฉัน GLD เด๊่ยวพรุ่งนี้มันจะลง อย่าห่วง GLD ไปเดี๋ยวป๋าเว่อร์จัดให้ <= แล้วเป็นไงหละ discount ตกเย็นดิสเคาวนต์กำไรต่อไปอีก เิอิ่ม ทองจะทะลุ 1900 แต่ GLD เธอย่ำอยู่ 2.52-2.55 มานานแระ เธอวิ่งขึ้นลงตามทองจริงหรือเปล่า ฉันปวดตับๆๆๆกับเธอมาก คิดในแง่ดีกับ GLD ดีกว่า <= พวกเด็กเชียรแขก ชอบมองห่วยว่าดี มะเหง็ก ไม่ทราบว่าชาว GLD เบื่อพวกทองไม่รู้ร้อนไหมครับ GLD นี่คือกองทุนทองจริงๆใช่ไหม *** ทองเก๊_GLD ของแถม ถ้านี่เป็นคำสัมภาษณ์จริงๆ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I10972021/I10972021.html ก็แสดงให้เห็นว่า มันคือ หุ้นมีจ้าว ของแท้จริงๆซะด้วย !37 !37 !37 พอแค่นี้ก่อนแล้ว !37
  4. วันนี้ไปขุดคุ้ยในพันธทิพย์ดู !_Rd ในบางหัวข้อน่าสนใจเกี่ยวกับ GLD ของใหม่ก็งี้แหละ กองทุนกระดาษอิงกองทุนทองคำกระดาษอีกที ดูๆไปแล้ว วิธีการของ GLD มันออกจะคล้ายแชร์ลูกโซ่ หรือแชร่แม่ชม้อย ประมาณนั้น ที่เอาเงินคนอื่นที่เข้ามาใหม่ ไปโป๊ะให้อีกคน พูดง่ายก็คือมันเป็นเพียง "หุ้นไร้ปันผลที่มีเจ้าที่คุม" (คล้ายๆ N-Park ซะงั้น) เท่าที่อ่านก็เป็นปกติที่มีพวกหน้าหมาเชียร์แต่ GLD ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ได้อิงอะไรกับทองคำเลยสักนิด หยิบประเด็นหมาๆมาอ้าง คนบ่นๆ เรื่อง iNAV ของ GLD ลองดูกลไกการเกิดราคาของมันดูไหมครับ? จาก ห้องสินธร พันธทิพย์ อ้างอิง: http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I10967805/I10967805.html#11 และ http://www.ktam.co.th/th/etf/inav.aspx'>http://www.ktam.co.th/th/etf/inav.aspx ข้างล่างนี้เป็นสิ่งที่ผมสรุปเอาเองจากการอ่านนะครับ มีอะไรผิดพลาดชี้แนะท้วงติงได้เลยครับ ราคาของ GLD ในตลาดถ้ามองดูในระยะสั้นจะขึ้นกับแรงซื้อแรงขายในตลาดเป็นส่วนใหญ่ (บางคนเลยพูดขำๆ ว่า GLD เป็นตัวของตัวเอง ไม่สนใจ iNAV) แต่ถ้าราคาซื้อขายในตลาดมันต่างกับ iNAV จะเกิดอะไรขึ้นครับ? ลองยกตัวอย่างเมื่อวาน ราคาในตลาด 2.53 แต่ซึ่งต่ำกว่า iNAV ถ้าผมมีเงิน 5 ล้านกว่าๆ (เรื่องมันเศร้าที่มันเป็นได้แค่เพียง "ถ้า") ผมจะซื้อ GLD ในตลาดให้ได้ครบตะกร้า (CU, Creation Unit, 2 ล้านหน่วย) เป็นเงิน 5,060,000 ตัดเรื่องค่าคอมไปก่อนก็แล้วกันนะครับ แล้วเอาไปขายผ่าน Participating Dealer (PD) ได้ในราคา 5,123,219.47 บาท ซึ่งเมื่อทำแบบนี้แล้วจำนวนหน่วยในตลาดก็จะลดลงไปด้วย ถ้าราคายิ่งต่างกันมาก ก็จะยิ่งมีคนอยากซื้อ GLD ในตลาดเอากลับไปขายผ่าน PD มากขึ้นด้วย ราคาในตลาดต่ำ -> ซื้อในตลาดเอาไปขายผ่าน PD -> ลด supply -> ราคาก็จะปรับขึ้น ในกรณีกลับกัน ถ้าราคาในตลาดสูงกว่า iNAV ล่ะ? ถ้าผมมีเงิน (อีกแล้ว) ผมก็จะไปเหมาตะกร้าผ่าน PD มาขายในตลาด ฟันส่วนต่างไป ซึ่งถ้าผมทำอย่างนั้น ราคาในตลาดสูง -> ซื้อผ่าน PD เอามาขายในตลาด -> เพิ่ม supply -> ราคาก็จะลดลง เรื่องสำคัญก็คือว่า ถ้าราคาในตลาดเข้าใกล้ iNAV ก็จะไม่มีแรงจูงใจที่จะทำให้ผมอยากซื้อหรืออยากขาย CU ผ่าน PD นั่นเอง แต่ยิ่งมันต่างกันมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเพิ่มแรงจูงใจมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ราคาในตลาดกลับมาเข้าใกล้ iNAV นั่นเอง คำถามถัดมาก็คือ ทำไมตลาดช่วงแรกๆ ราคามันโดดขึ้นไปขนาดนั้น ไม่มีใครซื้อตะกร้ามาเลยสักคนหรือ? ผมเดาเอาเองว่าการซื้อการขาย CU คงต้องใช้เวลา อาจจะซื้อวันนี้ trade ในตลาดได้พรุ่งนี้หรืออะไรแบบนั้นมั้งครับ? ทำให้ใช้เวลาหลายวันกว่าราคาในตลาดกับ iNAV จะลู่เข้าหากันได้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ามีคนเหมาตะกร้าเข้ามาปล่อยขายในช่วงที่ราคาสูงกว่า iNAV จริงๆ? ลองเข้าไป http://www.ktam.co.th/th/etf/inav.aspx เลื่อนลงไปด้านล้าง กดตรง BA/NAV แล้วเลือก Download NAV นะครับ จะได้ไฟล์ที่มีข้อมูลประมาณนี้ (ผมตัดมาเว้นช่วงนะครับ ไม่ให้มันมากเกิน) ไฟล์นีเปิดเป็น CSV ใน Excel ได้นะครับ 08/04/2011,A,GLD,THSPDR070004,2000000,574460123.05,252676200.0000,2.2735,2.2853,2.2617,0.00 08/09/2011,A,GLD,THSPDR070004,2000000,607013326.21,252676200.0000,2.4023,2.4094,2.3845,2909.71 08/15/2011,A,GLD,THSPDR070004,2000000,606340616.35,254676200.0000,2.3808,2.3873,2.3626,-12730.58 08/18/2011,A,GLD,THSPDR070004,2000000,772945861.33,314676200.0000,2.4563,2.4660,2.4405,-7660.91 08/22/2011,A,GLD,THSPDR070004,2000000,923561700.89,358676200.0000,2.5749,2.5883,2.5615,-19726.97 แต่ละช่องแยกกันด้วยคอมม่า ลองสังเกตช่องที่ 7 นะครับ ที่มีตัวเลข 252 676 200.0000 252 676 200.0000 254 676 200.0000 314 676 200.0000 358 676 200.0000 ถ้าเรากลับไปดูหน้าเว็บเราจะเห็นว่าเลข 358 676 200.0000 นี้มันคือ Total Unit หรือจำนวนหน่วยทั้งหมดนั่นเอง แล้วเราจะสังเกตได้อีกอย่างว่าในช่วงวันแรกๆ นั้นจำนวนหน่วยคงที่ ทำให้สงสัยได้ว่าช่วงแรกนั้นอาจจะยังไม่สามารถซื้อ CU มาได้หรือเปล่า? หรือว่าซื้อแล้วต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะเข้าเทรดได้? (เพราะถ้าทำได้ ทำไมจะไม่มีคนอยากฟันส่วนต่าง?) จำไว้แค่ว่า ทองขึ้น แต่ GLD กองทุนทองคำเก๊เค้าเป็นแบบนี้กัน
  5. เคยเขียน e-mail เรียกร้องไปนานแล้ว แต่เค้าคงไม่สน ก็คงรอชาติหน้าบ่ายๆ !37 หรือรอจนกว่ากองทุนที่อื่นคาบแดรกไปกิน หรือรอจนกว่ามาถึง Peak แล้วค่อยเปิดตัว !37 !37 !37 ดังนั้นลงทุนของจริงจะดีกว่า ลงทุนกระดาษ มันก็กระดาษอยู่วันยังดึก ถึงเรียกร้องให้มี Silver ETF ก็เช่นกัน แต่เมื่อพิจารณาจาก GLD ดูๆไปแล้วมีไปก็รกดัชนีตลาดเปล่าๆ !37 !37 !37
  6. ขอบคุณครับที่ติดตาม

    แต่เรื่องแปลกๆที่แล้วมาก็ลืมๆไปเหอะ

    หนักขมองเปล่าๆ

  7. GOLD/Silver ขณะนี้กำลังจะทดสอบในแนวรับที่ 40 ในขณะที่ทองคำขณะนี้อยู่ที่ 1,880 USD/Oz ดังนั้นมีความเป็นไปได้ที่ ราคาSilver จะกลับมาถึง 50 USD/Oz ได้อีกครั้ง แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือ ถ้าRatio ทะลุ 40-39 มีโอกาสลงมาทดสอบถึง 32 เป็น low เก่า นั่นหมายความว่า Silver อาจจะทะลุ 50 USD/Oz ไปเลย ถึงประมาณ 60 USD/Oz หรือมากกว่านั้นได้เช่นกัน ฝากไว้ก่อนนอน ง่วงวุ่ย !37
  8. หมั่นโถ อะไรกันของมันฟะ ข้อความข้างบนนี่ ศัพท์แสงอะไรของมันฟะ อ่านแล้วงงไปหมด เมี้ยวๆๆๆ ดีคร้าบทุกคน วันนี้ฝากไว้แค่กราฟกับคำอธิบายเล็กๆน้อยๆ เพราะเดี๋ยวก็ไม่มีเวลาแล้วสำหรับใกล้สิ้นเดือนนี้ !37 Platinum/Gold Ratio ยังขับเคี้ยวกันอยู่ในเขต 1:1 กันอยู่ ดังนั้นขณะนี้เป้าหมายของทองคำอยู่ที่เดียวกับราคาสูงสุดของ Platinum ที่ 2200 USD/Oz GOLD/Silver ขณะนี้กำลังจะทดสอบในแนวรับที่ 40 ในขณะที่ทองคำขณะนี้อยู่ที่ 1,880 USD/Oz ดังนั้นมีความเป็นไปได้ที่ ราคาSilver จะกลับมาถึง 50 USD/Oz ได้อีกครั้ง แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือ ถ้าRatio ทะลุ 40-39 มีโอกาสลงมาทดสอบถึง 32 เป็น low เก่า นั่นหมายความว่า Silver อาจจะทะลุ 50 USD/Oz ไปเลย ถึงประมาณ 60 USD/Oz หรือมากกว่านั้นได้เช่นกัน Gold/Oil Ratio Sideway ในกรอบ 20-22 ราคาทองคำก็มีโอกาสไปถึง 2,000-2,200 ได้เช่นกัน สำหรับ หุ้นพลังงานและกองทุนน้ำมัน K-DOIL ซึ่งน้ำมันยังอยู่ในกรอบ 77-87 USD/bbl จะเห็นว่า ADX ทำท่าว่าจะตัดกัน หลังจากที่ RSI และ Sto ดูท่าจะลงเต็มที่แล้ว มันก็ยังจะกลับมาดักฟายให้เห็นว่า มันกำลังจะเป็นสัญญาณซื้อ เซ็งแมวจริงๆ อดลุ้นต่อไปถึง 95-97 แต่ยังไม่ได้ปักใจว่าจะเป็นขาลงซะทีเดียวนัก อีกทั้งเงินก็ขึ้นมาแล้ว น้ำมันจะไม่ขึ้นเชียวรึ เพราะบ่อยครั้งที่จะเป็น Bear Trap (กับดักหมีควาย) อีกทั้งถ้าดูจากภาพรวมจะพบว่าอาจเป็นขาลงระยะสั้นๆ เดี๋ยวไว้ว่างๆจะโชว์ให้ดู เพราะมันชอบทำเป็น pattern Bull Frag ดั่งที่เห็นในภาพ ดังนั้นจึงได้แค่จับตาดูไว้เฉยๆ ไปพลางๆก่อน ส่วนภาพที่เห็นนั้นมีไว้เพื่อปลอบใจสำหรับคนดอยหุ้นพลังงาน กะ กองทุน K-DOIL ไปเท่านั้น แต่ดอยหุ้นพลังงานหรือกองทุนหุ้นปันผล ยังดีกว่ากองทุนน้ำมันบ้าง ก็เพราะเดือนนี้หรือไม่ก็เดือนหน้า หุ้นบางตัวก็จ่ายปันผลแล้ว จึงสามารถเอาเงินปันผลไปลงทุนอย่างอื่นเช่นทองคำหรือ silver หรือจะกลับมาลงทุนซ้ำในราคาหุ้นที่ถูกลง หรือแบ่งเงินกระจายไปลงทุนอย่างละเท่าๆกัน เป็นต้น Dow/Gold Ratio ยังตกต่ำต่อไปเรื่อยๆเปื่อยๆ เบื่อแล้ว !37 กองทุน THD/Gold Ratio สุดท้ายนี้ จะเห็นว่า กราฟทองสกุล EU ยังอยู่ในเทรนขาขึ้น แต่ครั้งก่อนที่ปรับฐานลงมาก็ ก็เพราะราคาทองสกุลนี้ยังติดกรอบเพดานในแนวต้านของเส้นเทรนอย่างที่เห็นๆกันอยู่ แต่ที่ควรสังเกตไว้ก็คือ การที่มองว่า Bearish Divergence นั้น อาจจะทำให้ขา short GF เจ๊งได้เช่นกันเหมือนๆปีที่แล้ว ดังนั้นผิดทางก็ stop loss แค่นี้ก่อนแล้ว ได้เวลาไปนอน บ๊ายบาย เมี้ยวๆๆๆ !37 !37 !37 (ขอหาวสามรอบ)
  9. ผลการทดสอบ GLD พบว่าเป็นมัน กองทุนทองคำ ที่ไม่ิอิงดัชนีราคาทอง แล้วเจือกมาเป็น กองทุน ETF ทำแมวไรกันฟะ ผลจากที่ได้ทดสอบลงทุนใน GLD เมื่่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผลออกมาเป็นดังนี้ วันที่ 9 ส.ค. 54 - ซื้อ NAV ที่ 2.59 ณ. ราคาทองขาย 24,750 spot ที่ 1750 USD/Oz วันที่ 19 ส.ค. 54 - ขาย NAV ที่ 2.53 ณ. ราคาทองรับซื้อ 26,200 spot ที่ 1860 USD/Oz สรุปได้ว่า ทองคำชาวบ้านเค้าขึ้นหมดแล้ว ทั้งทองคำแท่งสมากั๊ก, กองทุนรวมทองคำอย่าง K-Gold, T-GoldBullion-H ก็ขึ้นไปประมาณอย่างน้อย 5-6% แต่ GLD ขาดทุนเกือบ -3% หรือติดลบมากกว่านั้นได้ ถ้าใครหลับตาซื้อไปติดที่ 2.68 ในวันที่ 11 ส.ค. ที่ผ่านมา ผลตอบแทนของ ทองตลาดโลก = +6.29% ผลตอบแทนของ ทองแท่งสมากั๊ก = +5.86% ผลตอบแทนของ กองทุน ETF GLD บัดซบ = -2.85% วิธีคิด nav กองทุน ก็อิงเลขคร่าวๆจาก เลขสามหลักหน้าของราคาทองคำแท่งสมาคม96.5% แล้วหารด้วย 100 แต่เวลาซื้อขายไม่ได้เป็นไปตามที่เห็น ตัว NAV บางครั้งก็ ก็ Overvalue (สูงเวอร์ๆ) บางครั้งก็ Undervalue ต่ำต้อย ต่ำทรามๆ) ดังนั้นถือกองทุน GLD นี้นับว่าเสี่ยเวลาเปล่าๆ และเปล่าประโยชน์ เพราะมันไม่ได้อิงกับดัชนีราคาทองคำสมราคาคุย อีกทั้งไม่มีปันผลเหมือน K-Gold ดังนั้นกองทุนนี้ ทีแรกกะจะบอกว่า "มีดีกว่าไม่มี" แต่วันนี้คง พูดดังฟังชัดว่า มีไปให้ รกดัชนี ตลาดบ้านเราเปล่าๆ ดังนั้นหันกลับมากองทุนรวมทองคำแบบที่พวกเราคุ้นเคยอย่าง K-Gold หรือไม่ก็ T-GoldBullion กันดีกว่า ส่วน GLD ปล่อยให้มันเจ๊งไป ช่างแมร่งๆ คำวิจารณ์ กองทุน GLD ในพันทิพย์ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I10924581/I10924581.html http://pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I10951648/I10951648.html
  10. เมี้ยวๆๆ ดีคร้าบทุกคน ช่วงนี้ติดธุระนอกเมือง คงได้แต่แคะลวกๆไปก่อน ช่วงนี้ gold/oil ratio ยืนที่ 20ได้ แม้ผ่านการย่อหรือปรับฐานมาแล้ว ซึ่งน่าจะเป็นratio มาตรฐานต่อไป. หลายปีก่อน. ปี2009 ค่ามาตรฐานเฉลี่ยอยู่ที่10 หลังจากนั้น. 2-3ปีที่ผ่านมา อยู่่ที่15. ขยับมาทีละ5 ปีนี้ ratio ที่20น่าจะพอไหวน่า. เพื่อลุ้นเป้าหมายที่ 2000 เช่นกัน ส่วนน้ำมันให้พิจราณาในกรอบ 10Usd/bll น้ำมันเต็มที่ไม่ลงต่ำกว่า77-78USD/bll. อุตสาห์ลุ้นขึ้นเช่นกัน สงสัยกว่าน้ำมันไปถึง100ต้องลุ้นไปปลายปีถึงปีหน้าเหมือนปีที่แล้วแหงมๆ อาจขึ้นได้ช้ากว่าทองคำ วันน้ีเป็นวันสุดท้าย ของการจองเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ใครพลาดก็ช่วยไม่ได้แล้วน่ะ จองที่ ธกรุงไทย หรือออมสินได้ทูกสาขา. แต่เวลาไปรับก็ไปรับของสั่งจอง ณ สาขาที่เราไปจอง. ดังนั้นถ้าใครไปตจวเช่น บ้านอยู่กรุงเทพ. แต่ติดจองที่สาขายะลา ต้องถ่อร่างเพํ่ือไปรับถึงที่นั่นเช่นกัน. แพ่นี้ก่อยแล้วบ๊ายบาย เมี๊ยวๆๆ
  11. แปลมั่วอย่างว่ากันนะ ของฟรีก็งี้แหละ ขณะนี้ทองคำได้แตะอยู่ที่ 1,752 ดอลล่่าร์ต่อออนซ์ จากนี้ไป เราจะทำอย่างไรกันต่อดี? สิ่งที่ควรทำก็คือ "รักษาวินัยการลงทุนของตัวเราเอง" ในระหว่างที่ ตลาดพุ่งเป้าไปที่ทองคำ ซึ่งอันตรายมากกว่าที่คาดคิดเอาไว้หรือไม่นั้น เหล่าทวยเทพทั้งหลายจงรับรู้ไว้ว่า เหล่าสมีลิ้วล้อนักเทรดบ้าๆเพี้ยนๆซึ่งมีอยู่บ้างแต่เบาบาง ไม่ได้เยอะแยะเป็นทวีคูณอะไรกันนักหนา เราจะชนะเกมส์นี้ได้ด้วยการเป็นนักสร้างกฎ แต่ทว่าเราจะต้องจ้องอย่างไม่กระพริบตาตลอด 24 ชม. (เหมือน AF Reality Show ซะงั้น) เราจะไม่อาจจับจดไปที่จุดสุดยอดของการขึ้นของทองคำไว้ได้ตลอด เพราะเนื่องจาก มันได้มีการระดมถือสถานะ shorts กันอย่างดุเดือดเลือดพล่านครอบคลุมตลาดไปทั่วโลกอีกเช่นกัน นั้นเป็นจุดอ่อนระยะสั้นของตลาด แต่ก็เป็นโอกาสอันดีในการเข้าไปช้อนซื้อด้วย กฎพื้นฐานง่ายๆ ของ การฮั้วกันภายในองค์กร อันสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน สำหรับคนที่ถือทองคำถูกกาลเทศะ จะสำแดงถึงความเก๋าและอดทนอย่างเหลือล้นจนดังกระฉ่อนไปทั่วเมือง จึงสมควรได้รับรางวัลใหญ่ ดังนั้นทองคำจะไร้ความหมายทันทีในการขึ้นไปถึงจุดยอด มีแต่การพลิกโฉมสถานะ(จากต่ำไปสูง)เท่านั้นที่จะมุ่งขึ้นไปข้างหน้า เหล่าสหายทวยเทพที่เคารพรักทุกท่าน จะเห็นว่า เหล่าลิ่วล่้อเทรดเดอร์นั้นมีตัณหาลุ่มหลงในฝั่ง(short)ของเค้า แต่สำหรับตลาดทองคำนี้แล้วไซร่ มันใกล้จะพลิกโฉมจาก หลังเท้าเป็นหน้ามือ อย่างเต็มขั้น จงระวังให้ดีๆ เจ้าพวกลิ่วล้อเทรดเดอร์ทั้งปวง กับการยืนกรานที่ จะทำการ Hedge สถานะคานกับ ปมปัญหาทำขี้ที่แก้ไม่ตก จากโลกฝั่งตะวันตก สุดท้ายนี้ ความสำเร็จแห่งภูมิคุ้มกันของพวกเรา ก็คือ รางวัลใหญ่มากกว่าที่เป็นเงินซะอีก มากกว่าหลายๆเท่า เจอกันในวันรุ่งอรุณ จาก ป๋าจิม ได้เวลานอน !37
  12. มีข่าวสำคัญมาฝาก เดี๋ยวหาว่า เน้นแต่เทคนิคไม่สนใจข่าว !hh บลจ.กสิกรไทย เชื่อราคาทองยังพุ่งต่อ เชียร์ลงทุน K-GOLD รับแนวโน้มทองขาขึ้น วันที่: 10/08/2554 บลจ.กสิกรไทย แนะถือกองทุนทองคำหลบภาวะตลาดหุ้นผันผวน คาดภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯและยุโรปดันราคาทอง สิ้นปีพุ่งถึง 2,000 เหรียญสหรัฐฯ นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า “จากการที่ราคาทองคำในตลาดโลกมีการปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กว่า 10% บลจ.กสิกรไทยยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อราคาทองคำ โดยคาดการณ์ว่ามีโอกาสปรับขึ้นไปถึง 1,800-2,000 เหรียญสหรัฐฯในช่วงสิ้นปี 2554 โดยเฉพาะหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯประกาศว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำไปจนถึงกลางปี 2556 นั้น ทำให้เงินเหรียญสหรัฐฯมีแนวโน้มอ่อนค่าลง และจะก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายลงทุนมายังประเทศตลาดเกิดใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัญหาหนี้ในกลุ่มสหภาพยุโรป ที่เริ่มลุกลามไปยังประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ขึ้น เช่น อิตาลี และ สเปน ทำให้ธนาคารกลางยุโรปต้องเริ่มเข้ามาซื้อพันธบัตรของทั้งสองประเทศเพื่อลดอัตราผลตอบแทนลง ดังนั้นความต้องการทองคำในฐานะที่เป็นทางเลือกของธนาคารชาติต่างๆและนักลงทุนสถาบันจึงมีเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากราคาขึ้นไปสูงอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จึงมีความผันผวนที่ค่อนข้างสูงมาก” นายพัชรกล่าวต่อไปว่า “สำหรับการลงทุนผ่านกองทุนเปิดเค โกลด์ (K-GOLD) มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนต่ำกว่าการลงทุนในทองคำโดยตรง เช่น ถ้ามีเงิน 25,000 บาท ซื้อกองทุน K-GOLD จะเสียค่าใช้จ่ายขาเข้าเพียง 25 บาท และค่าธรรมเนียมการจัดการคิดเป็นประมาณ 25 สตางค์ต่อวัน นอกจากนี้ K-GOLD ยังมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ทำให้มีผลตอบแทนใกล้เคียงกับทองคำในตลาดโลก ซึ่งในช่วงเงินบาทแข็งค่า K-GOLD จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าทองคำแท่งในประเทศ เช่น ในระหว่างวันที่ 28 มิ.ย. – 28 ก.ค. 2554 เงินบาทแข็งค่าขึ้น K-GOLD ให้ผลตอบแทนถึง 6.38% ใกล้เคียงกับราคาทองคำแท่งในตลาดโลก ส่วนทองคำแท่งในประเทศปรับขึ้นเพียง 3.40% เท่านั้น ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มองว่าเงินบาทน่าจะมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง” “K-GOLD ถือเป็นกองทุนที่ได้รับความนิยมจากผู้ลงทุนอย่างมากในขณะนี้ จะเห็นได้จากขนาดกองทุนพุ่งไปแตะระดับ 10,000 ล้านบาทในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ก่อนจะปรับตัวลงจากการขายทำกำไร อย่างไรก็ดี ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ขนาดกองทุนเพิ่มขึ้นกว่า 1 พันล้านมาอยู่ที่ 7,594 ล้าน (8 ส.ค. 54) และมีผู้ลงทุนหน้าใหม่เข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นมากในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ K-GOLD เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในระหว่างวันมากนัก เพราะจะต้องติดตามข่าวสารตลอดทั้งวัน ในขณะที่กองทุนทองคำประเภท ETF เหมาะกับผู้ลงทุนที่สนใจทำกำไรจากราคาทองคำในระหว่างวันมากกว่า อย่างไรก็ดี บลจ.กสิกรไทย ก็มีแผนจะเสนอขายกองทุนทองคำ ETF ซึ่งลงทุนในทองคำแท่ง 96.5% เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนในเดือนหน้า” นายพัชรกล่าว นายพัชรกล่าวในที่สุดว่า “สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี ยังมีกองทุนเค โกลด์เพื่อการเลี้ยงชีพ (KGDRMF) เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะตอบรับกับราคาทองคำมีแนวโน้มเป็นบวกในระยะยาว นอกจากนี้ยังสามารถสับเปลี่ยนไปยังกอง RMF อื่นๆภายใต้การบริหารของ บลจ.กสิกรไทย ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย” การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน กองทุนเปิดเค โกลด์ (K-GOLD) และกองทุนเปิดเค โกลด์เพื่อการเลี้ยงชีพ (KGDRMF) มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในสกุลเงินของหลักทรัพย์ที่ลงทุน ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ กองทุนทองคำ ETF ของ บลจ.กสิกรไทย อยู่ระหว่างการขออนุมัติจัดตั้งจากสำนักงานคณะกรรมการ กลต. แค่นี้ก่อนแล้ว บ๊ายบาย เมี้ยวๆๆๆๆ !bye ป.ล. เรียนทั่นผู้แอบอ่าน ถ้ารู้จักไม่ขอบคุณ เดี๋ยวจะแช่งให้ดอย หรือ ตกรถ เพี้ยงๆๆๆ !21
  13. เมี้ยวๆๆ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ได้แต่สังเกตการณ์ไปก่อน เริ่มจาก Platinum/Gold Ratio Platinum เริ่มกลับมาแซงเบียดต่อ มันส์จริงๆ !_06 Gold/Silver Ratio ช่วงนี้ยังเป็นโอกาสของทองคำ ส่วนเงินคงต้องรอสักหน่อย Gold/Oil Ratio ทำกำลังทดสอบแนวรับที่ 20 ถ้ายืนได้สำเร็จ ก็ต่อไปมีแนวโน้มที่ ราคาทองอาจจะกลับไปต่อถึง 2,000-2,200 ได้ตามที่หลายฝ่ายเค้ามองๆกันอยู่ แชร์น้ำมันหมู K-DOIL และหุ้นพลังงาน ช่วงนี้น่าจะเป็นตาของน้ำมันเข้ามาบ้าง เชื่อว่าแนวรับที่ 80 น่าจะไหวนะ ส่วนกองทุน้ำมัน DBO ก็ควรยืนอยู่ที่ 24-25 มิเช่นนั้นแล้วพวกหุ้นพลังงานและน้ำมันลงยาว ซึ่งไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นได้ต่อ เนื่องจาก ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหมดควรปรับขึ้นตามทิศทางเงินเฟ้อ แต่ในกรณีนี้ทองขึ้นอยู่แต่ฝ่ายเดียวดูจะไม่่ค่อยสมเหตุสมผลกันสักเท่าไหร่กันนัก อีกทั้ง Gold/Oil Ratio อยู่เหนือกว่า 20 โดยปกติแล้วถือว่าทองแพงกว่ามากๆเมื่อเทีียบกับน้ำมัน รวมถึงโลหะมีค่าประเภทอื่นแม้แต่ Platinum ด้วยเช่นกัน SETI/Gold Ratio ในบอร์ดฝรั่งในปีสองปีที่แล้ว พูดว่า กองทุนดัชนีหุ้นไทย คือ เหมืองทองคำ ดูท่าจะจริงซะด้วยแฮะ แต่ไม่กี่วันมานี้ร่วงหนักแพ้ ทองคำไปซะเรียบโร้ยโรงเรียนจีน แต่เวลากลับมาน่าจะสู้ไหวนา ไม่งั้นกูรูทางการเงินอย่าง ดร.สุวรรณ ยังแนะนำถือทั้งหุ้นและทองคำ ดังนั้น หุ้นที่ควรถือควรจะเป็นหุ้นที่เกี่ยงข้องกับเงินเฟ้อ เช่นหุ้นพลังงาน จ่ายปันผลสม่ำเสมอ (เพี่อที่สามารถเอาปันผลไปซื้อ ทองคำแท่งได้ ถือโอกาสได้ขยายพอร์ทองคำแท่งในตัว) แม้ยามวิกฤษติการณ์แฮมเบอร์เกอร์ ก็ยังรอดพ้น ยังจ่ายปันผลได้ ถึงอย่างไรก็ตาม ประเทศทุกประเทศต้องใช้น้ำมันอยู่ดี มิเช่นนั้นแล้ว ก็ขี่ควาย แทน รถยนต์ พลางๆไปละกัน !53 !53 !53 ระหว่าง SET/Gold กับ Dow/Gold Ratio เห็นกันได้ชัดๆว่า ดัชนีหุ้นไทยแข็ง แกร่งกว่า ดาวโจร เพียงได้ Dow/Gold Ratio สุดท้ายก็ ดัชนี ดาวโจร ยังปล้นเงินประชาชนของตัวมันเองต่อ
  14. เมี้ยวๆๆ ดีคร้าบทุกคน !37 วันนี้มาส่องดูว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกันบ้าง Gold/Oil Ratio ขยับมาถึง 22 แล้ว เชื่อว่าอาจจะได้เห็นราคาทองที่ 2200 USD/Oz พร้อมๆกับ Platinum เมื่อน้ำมันขยับมาที่ 100 USD/bbl Plat/Gold Ratio ค่า Ratio ต่ำกว่า 1 แสดงให้เห็นว่า ทองคำ แพงกว่า Platinum ไปแล้ว Gold/Silver Ratio ทองคำยังเป็นพระเอกเหนือเงินซะแล้ว Dow/Gold Ratio สาระวันเตี้ยลงๆ
  15. ขายออกมาเป็นเงินบาท ก็ได้เงินบาท ออกมา เช่น อยากจะขายออกมาใช้จ่ายในอีก 3-4 วันข้างหน้าแค่ 5000 บาท โดยที่เหลือก็จะมีการคำนวณหน่วยลงทุนคงเหลือ หรือจำนวนหุ้นคงเหลือนั่นเอง แต่ถ้าเป็นกรณีมีพอร์ท ทองคำแท่ง 10 บาท การที่จะเองเงิน 25,000 บาทหรือน้อยกว่า ออกจากทองคำแท่ง 10 บาท ต้องขายทองคำแท่ง 10 บาทออกมาก่อน แล้วเงินส่วนที่เหลือไปซื้อทองคำแท่งกลับ ซึ่งจะได้น้อยกว่า 10 บาททองคำอยู่แล้ว แต่ทว่าการซื้อกลับด้วยเงินที่เหลือนั้น อาจจะต้องเสียทั้งค่าพรีเมี่ยม และ ค่าบล๊อกสำหรับหน่วยทองคำแท่งย่อยๆเช่น ทองคำ 5 บาท 1 แท่ง กับ ทองคำแท่ง 1 บาท 4 แท่ง นั่นเอง ดังนั้นการขายออกมาในรูปเงินบาทในกองทุนทองคำก็ไม่ได้ทำให้สูญเสียการลงทุนพอร์ททองคำไปมากกว่านี้ ขายออกมาเป็นจำนวนหุ้น หรือหน่วยลงทุน ก็ได้จำนวนหน่วยลงทุนออกมา จากนั้นก็จะมีการคำนวณในรูปเงินบาทในภายหลัง ก็คล้ายๆกับการขายพอร์ททองคำแท่ง 10 บาท ในขณะที่ยังไม่ได้ทราบราคาทองแท่งประกาศให้ทราบทันที กว่าจะรู้ว่าทองคำแท่งราคาเท่าไหร่ ก็รอจนกว่าราคาปิดตลาดสิงคโปร์ตอนเย็นๆไปแล้ว จึงจะทราบได้ว่า จำนวนเงินบาทเป็นเท่าไรในภายหลังนั้นเอง
  16. Platinum/Gold Ratio ในอดีต แหล่งข้อมูล http://www.chartsrus.com/ http://www.chartsrus.com/chart.php?image=http://www.sharelynx.com/charts/AuPL.gif
  17. เมี้ยวๆๆๆ ดีคร้าบทุกคน !37 วันนี้มีเรื่องน่าคิดมาฝากก็ตรงที่ ปกติ แพลททินั่ม มักจะแพงกว่า ทองคำ อยู่ประมาณ 200-300 USD/Oz (เพราะหายากกว่า ?) แต่ ณ.เวลานี้ ทั้งสองตัวกำลังขับเขี้ยวคู่คี่กันอยู่ บางช่วงทองคำ แพงกว่า แพลททินั่ม ก็ยังมีอีกเช่นกันตามรูป Platinum Gold ในรอบ 3 ปี ทองกับแพลทินัมมาพบกัน Platinum/Gold Ratio ค่าอัตราส่วนมาบรรจบกันที่ 1:1 ? หลังจากนั้นจะเป็นเช่นไรกันต่อไป? กราฟ Platinum ในรอบ 10 ปี สูงสุดอยู่ที่ประมาณ 2,200 ปรับฐานมาอยู่ที่ 800 กว่าๆ ตัวเลขสูงสุดของ Platinum ก่อนหน้าคือ 2,200 ในขณะที่ Ratio ปัจจุบันกำลังบรรจบที่ 1:1 หรือจะเป็นเป้าหมายของทองคำต่อไป ? แต่ถ้าดูจากการปรับฐานเช่นนี้ ก็สยองพองขนเช่นกัน !_cd ดังนั้นลงทุนอย่าประมาณกันนะครับ
  18. ถึงยังไง ณ.วันนี้ GLD ETF ในบ้านเราวันนี้จัดได้่ว่า ยังร้อนแรงกว่า ETF ตัวอื่นๆ ในตลาดเดียวกัน ทั้ง TDEX ENGY CHINA ถ้ามีคนหันมาสนใจมากขึ้น ความเพี้ยนอาจจะลดลงได้บ้าง
  19. Gold/Oil Ratio ยืนเหนือ 21 ไปแล้ว เลขอันตราย 20 ก็หมดอาถรรพไปเรียบโร้ย ซึ่งอัตราส่วนระดับนี้ ถ้าน้ำมันยังสามารถไต่ระดับที่ 100 ต้นๆ อาจได้เห็นทองคำระดับที่ 2000-2200 นี้ได้เช่นกัน ตามมาด้วย Dow/Gold Ratio กำลังจะดิ่งลงต่อทะลุ 6 ในไม่ช้า วันนี้ยอมรับจริงๆว่า GLD ราคาค่อนข้างจะเพี้ยนจาก GLD ของฮองกงไปพอสมควร ตั้งแต่เมื่อวานราคาควรจะปรับตัวสูงขี้นก็ปรับตัวลงมาจนถึงปิดตลาด มาวันนี้เวลาปรับตัวสูงขึ้นก็สูงเกินกว่าตลาดทองไปพอสมควร ปิดตลาดก่อนหน้า 2.43 เปิดตลาด 2.60 สูงสุด 2.86 ต่ำสุด 2.52 ปิดตลาด 2.61 เพิ่มขึ้น +7.41% แค่เอาราคาปิดตลาดก่อนหน้า กับ ราคาปิดตลาดปัจจุบันมาคิด KTAM GLD = (2.61-2.43)1/2.43 x 100 = +7.41% แต่ในดัชนีตลาด GLD HK = (1,336-1,302)/1302 x 100 = +2.61% ราคาทองคำแท่งปิดตลาด (25000 - 24150)/24150 x 100 = +3.52% หรือถ้าลงทุัน ตั้งแต่เปิดตลาดขายที่สูงสุดผลออกมาคือ (2.86-2.60)/2.60 = +10% เทียบกับทองแท่งตอนเปิดตลาดถึงยอดสูงสุด (25050 - 24850)/24850 x 100 = +0.804% อะไรของมันฟะ สรุปว่า งานนี้มีทั้งคนได้เยอะ ได้น้อย และคนเสียท่าเพราะถูก nav ปั่นราคาเกินกว่าสัดส่วน ตัวเลขราคาทองจริงๆ สรุปว่า น่าลงทุนหรือไม่ก็สุดแต่พิจารณากันเอาเอง ข้อมูลอ้างอิง GLD (KTAM) SPDR GOLD TRUST (2840.HK)
  20. Gold/Oil Ratio ทะยานขี้นแตะ 22 ไปแล้ว ในขณะที่น้ำมันลดต่ำกว่า 78 USD/bbl ไปแล้ว บอกได้คำเดียวว่า งง

    1. jarurote

      jarurote

      ถ้าน้ำัมันแตะที่ 100 และ ratio ยังคงอัตรานี้อยู่ ปานนี้ราคาทองมีโอกาสแตะ 2200 ไปนานแล้ว

  21. ข้อดีข้อเสียมันคนละสไตล์กัน K-Gold อิงราคาปิดตลาดสิงค์โปรในตอนเย็น ใกล้เคียงกับ London Fix AM ราคาเดียว เลือกได้แค่ซื้อหรือขาย อย่างใดอย่างหนึ่งเ่ท่านั้น มีนโยบายกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สรอ. ทำให้ไม่ขาดทุนกำไรค่าเงินบาท เหมือนกรณีทองคำแท่ง หรือกองทุนทองคำที่ไม่กันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ซื้อขายกองทุนผ่าน ธนาคารกสิกรไทย ได้หลายช่องทาง ทั้งโทรศัพท์ ตู้ATM Internet โอกาสโดนกั๊กค่าพีเมียมเทียบกับทองคำแท่งต่ำ GLD ซื้อขายในราคา real-time แต่ nav อิงดัชนีราคาทองในสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกง ซื้อขายกองทุนถูกจำกัด ผ่าน broker ในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น โดยผ่าน โทรศัพท์ และ Internet ไม่เสียสูญโอกาสในสภาพคล่องการซื้อขายระหว่างหุ้น กับ ทองคำ เพราะกว่าจะขายเอาเงินไปซื้อทองคำ ก็ T+3 ไปแล้ว ไม่กันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์ฮองกง มีความเสี่ยงที่จะได้กำไรน้อยลงจากค่าเงินฮองกงอ่อนค่าลงเทียบเงินบาท และกำไรมากขึ้นเมื่อเงินบาทอ่อนกว่าค่าเงินฮ่องกง ข้อเสียทั้งคู่ก็คือ โวลุ่มการซื้อขายที่เบาบางมีโอกาสโดนปั่นหรือทุบราคา จากทั้งในและนอกประเทศ จึงทำให้ มูลค่า nav เทียบกับราคาทองคำแท่งจริงๆ เพี้ยนไปจากความเป็นจริง ความโปร่งใส่ในการตรวจสอบ ของ กลต ในต่างประเทศ ยังไม่ชัดเจน ดูได้จากกรณีวันที่ 19 มีนาคม 2554 ในตลาดสิงคโปร วันนี้ก็เริ่มเปิดซิงทดลอง GLD ที่ 2.59 บ้างเหมือนกัน ถ้ามีอะไรแปลกๆ ก็จะกลับเล่าสู่กันฟัง !_01 ได้เวลากินข้าวกินปลาแล้ว บ๊ายบายเมี้ยวๆๆๆ !La :upstrong:
  22. อ้อลืมไป เดี๋ยวไม่มีเวลาอีก ตอนนี้ได้แต่เพียงจับตาเฝ้าติดตามดูเท่านั้นเอง แบบเดียวกับครั้งก่อน link นี้ ไม่อาจจะแคะอะไรได้อีก Dow/Gold Ratio แตะทะลุ 7 เทียบกับ Low เก่าในรอบ สามปีมานี่ ขณะนี้ Gold/Oil Ratio ยืนเหนือ 19 ไปแล้ว (ทะลุ 18 เลขอันตรายไปเรียบโร้ย) ยิ่งสูงยิ่งหนาวอีกแล้ว กำลังจะไต่ระดับไปถึง 20 ณ.เวลานี้ ราคาย่อมไม่ปกติกว่าที่เคยเป็นมาแน่นอน (เพราะค่าเกินกว่าค่าอัตราส่วนเฉลี่ยในรอบ2-3ปีมานี้) คนที่มีทองอยู่แล้วก็กอดแน่น ส่วน คนตกรถผู้น่าสงสารไม่มีทองคำในพอร์ตนี่ จะรอหรือจะไล่ตามก็สุดแท้ตัดสินใจเอง เงินทองเป็นคุณ เราตัดสินให้ไม่ได้หรอก (คำเตือน และก็โปรดจงระวังกรณีแบบเดียวกับ Silver กะ Oil ด้วยละกัน อันนี้เตือนสติไว้แค่นี้ละกัน ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนครหาว่าเป็นแก๊งค์ปั่นทองหลอกเหยื่อ อีกทั้งความรู้สึกโลภครอบงำ จะทำให้ลืมอดีตที่ผ่านโพ้นไปไม่กี่เดือนนี่เอง ) ส่วนกองทุนน้ำมัน K-DOIL หุ้นพลังงานปันผล และ กองทุนหุ้นปันผล ทีแรกก็มองทีละ 10 USD/bbl คราวนี้มาแปลก เดือนเดียวลงที่ละ 20 USD/bbl สงสัยมีคนคิดเหมือนกันหรือเปล่า มันเลยสังหามุขดักควายใหม่ๆเพิ่ม จนกลายเป็น กูรูแมว อินดิเคเตอร์ ไว้ วันพฤหัสเข้าไป ได้หมูเกินคาด สัญญาfront month ปิดตลาดที่ 86 กว่า แต่ถ้าเทียบกับสัญญา Jul 12 ณ.เวลาเดียวกัน ก็ปิดที่ 90 กว่าๆ ก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนมากนัก ถ้าพิจารณาจาก Indicator เฉพาะ Sto ทั้งรายวัน และสัปดาห์ นี้ พอจะบอกได้ยังว่าลงมาพอแล้ว หรือยังจะรีดเลือดปูกันต่อไป อันนี้ก็เดากันเอาเองนะครับ ดูไปเฉยๆ อิอิอิ ตั้งข้อสังเกตว่า แฟลมรายวัน RSI ก็เข้าเขต oversold ไปแล้วเช่นกัน ราคาระดับนี้ ดอยก็ให้มันรู้ไป ในยามเงินเฟ้อ ทองขี้น แล้วน้ำมันมีหรือ ที่จะไม่ขึ้นด้วยหรือ เอ มันแปลกเชียวนา แต่ถ้ารู้จักลดความเี่สี่ยงก็หุ้นพลังงานจ่ายปันผลดี หรือไม่ก็กองทุนหุ้นปันผล แทนก็ได้เช่นกัน รูปประกอบดูเองเอง โทษที ขี้เกียจทำความสะอาดหยักไย้เต็มหน้าจอ ทนๆดูไปก่อนละกัน !37 ฝากไว้แค่นี้ก่อนแล้ว บ๊ายบายเมี้ยวๆๆๆ !bye
  23. เมี้ยวๆๆๆ ดีคร้าบทุกคน !37 คืนนี้มีการ์ตูนคุณเม่ามาฝาก อ่านสนุกๆไปพลางๆละกันเนอะ !53 บางครั้งนักลงทุนก็ต้องรู้จักคำว่าเสี่ยง และวิธีลดความเสี่ยง แต่ถ้าไม่เสี่ยงอะไรเลย ก็ไม่ได้อะไรกลับมาเหมือนกันนะ พัฒนาการเม่าน้อย... โดย: เม่าอินเวสเตอร์ วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554 บ๊ายบาย เมี้ยวๆๆๆ !bye
  24. เรื่องเก่าไปแล้ว แต่ยังใหม่ได้ต่อ นั่นก้คือ ซื้อทองคำทุกเดือน ยังไงเดือนนี้อาจได้ซื้อควายเพิ่ม โอกาสทองของ “ทอง” ในปีแห่ง “Gold Bull Market” โดย: กาญจนา หงษ์ทอง วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2554 10:30 ถ้าคุณเป็น"Gold Lover" หรือถ้าคุณอยากรู้ว่าทำไมมาร์ค ฟาเบอร์ถึงตั้งใจซื้อทองทุกเดือน ต้องอ่านบทความชิ้นนี้ คำถามแรกที่ “คนรักทอง” มักจะถามกัน คือ “ราคาทองจะไปถึงไหน” แต่ก็ยากที่จะมีคนกล้าตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ นั่นก็เพราะการคาดหมายราคาทอง ก็ยากไม่น้อยไปกว่าคาดหมายอารมณ์ของตลาดหุ้นและดัชนีหุ้นไทย แต่ถึงอย่างไร ทองในมิติของการลงทุน ยังคงมีเสน่ห์เย้ายวนเสมอ แม้รอบปี 53 ที่ผ่านมา ทองจะผลิตดอกผลให้ผู้ลงทุนแค่ประมาณ 10% เศษเท่านั้น Fundamentals อยากให้ลองมาฟังผู้คนในวงการทองระดับโลกดูบ้าง ว่าเขามองราคาทองกันอย่างไร รวมถึงไปทำความรู้จักกับกองทุนรวมทองคำที่ลงทุนโดยตรงในทองคำแท่งกองแรกในไทยที่ออกโดยคนไทย จะได้รู้ว่า ยังมี "โอกาสทองในทอง" เสมอ ***** LBMA คาดราคาทองเฉลี่ย 1,457 ดอลลาร์ ลอนดอนจัดได้ว่าเป็นตลาดซื้อขายทองแบบ over-the-counter (OTC) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าการซื้อขายทองคำเฉลี่ยต่อวันประมาณ 532 ตัน ขณะที่ “LBMA” หรือ The London Bullion Market Association ซึ่งคล้ายๆ กับสมาคมผู้ค้าส่งทองคำของผู้ค้าทองคำของประเทศต่างๆ เป็นศูนย์กลางและตัวแทนของตลาดซื้อขายทองคำแท่งและเงินแท่ง (gold and silver bullion) แบบ over-the-counter (OTC) ของโลก คือเป็นตลาดที่ผู้ซื้อผู้ขายเข้ามาติดต่อกันเป็นการซื้อขายทองคำแท่งและเงินแท่งจริงๆ ไม่ใช่ตลาดซื้อขาย gold future ทุกวันนี้ “LBMA” เป็นศูนย์กลางการซื้อขายทองคำแท่งของหน่วยงานสำคัญและผู้ประกอบการหลักในอุตสาหกรรมทองคำ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ที่ใช้ทองเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ผู้ผลิตทองคำแท่ง และผู้ค้าทอง จากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทองคำแท่งและเงินแท่ง ของผู้ผลิตที่ผ่านการรับรองของ “LBMA” จะมีฐานะพิเศษ ที่ผู้ค้าทองคำของประเทศต่างๆ ยอมรับกันในมาตรฐานระดับสากลว่าเป็นทองคำแท่งหรือเงินแท่งที่เป็น “London Good Delivery” เป็นทองคำแท่งและเงินแท่งที่ผู้ค้าทองคำและเงินในตลาดโลกยอมรับซื้อขายกันโดยไม่มีข้อสงสัย ซึ่งกว่าจะผ่านการทดสอบเพื่อให้เป็นผู้ผลิตทองคำแท่ง หรือเงินแท่งที่ LBMA รับรองได้ ผู้ผลิตเหล่านั้น ก็ต้องผ่านกระบวนการคัด ทดสอบหิน ๆ ก่อน และไม่ใช่ผู้ผลิตรายใดก็จะมีสิทธิเข้ารับการทดสอบ แต่จะต้องเป็นผู้ผลิตที่ผ่านคุณสมบัติขั้นต่ำเสียก่อน เช่น มีทุนจดทะเบียนและปริมาณทองคำและเงินที่ผลิตขั้นต่ำในแต่ละปีตามที่กำหนด ผลการสำรวจของ LBMA คาดการณ์ราคาทองเฉลี่ย 1,457 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ประเมินว่าปีนี้จะเป็นปีที่ทำสถิติใหม่แตะราคาสูงสุด “hit record highs” ได้อีกปีหนึ่ง ในทุกๆ ปี LBMA จะให้นักวิเคราะห์ และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมโลหะมีค่า มาให้มุมมองวิเคราะห์คาดการณ์ว่าราคาทองเฉลี่ยจะอยู่ระดับใด ใครประเมินราคาได้ตรงตามราคาจริงที่เกิดขึ้น จะได้เป็น ผู้ชนะด้วย ปี 2011 นี้รายงานการสำรวจของ LBMA ออกมาแล้วเมื่อเดือน ม.ค.นี้เอง โดย LBMA สรุปผลการสำรวจปีนี้ว่า นักวิเคราะห์และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทองคำที่เข้าร่วมให้ความเห็นคาดการณ์ราคาทองคำในปี 2011 ยังคงมองในทางบวก หรือ bullish สำหรับปีนี้ เหล่านักวิเคราะห์และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทองคำที่เข้าร่วมให้ความเห็นคาดว่าราคาทองคำจะสร้างสถิติแตะจุดสูงสุดอีกครั้ง โดยจากผลสำรวจผู้ร่วมให้ความเห็นในปีนี้ ได้ค่าเฉลี่ยของ ราคาทองคำสูงสุดอยู่ที่ 1,632 ดอลลาร์ /ออนซ์ ระดับราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1,457 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และกรอบต่ำสุดอยู่ที่ 1,268 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยผลการสำรวจภาพรวมปัญหาเศรษฐกิจโลกยังเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำ เหล่ากูรูและนักวิเคราะห์ทองคำ เชื่อว่าภาพรวมปัญหาเศรษฐกิจโลกปีนี้ ยังเป็นตัวหลักที่ขับเคลื่อนราคาทองในปี 2011 ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้สินของรัฐบาล เช่น สหรัฐ ประเทศต่างๆ ในยุโรป ผลกระทบต่อค่าเงินหรืออัตราแลกเปลี่ยนของประเทศเหล่านั้น ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง เกาหลีเหนือ และบางสำนักให้ความเห็นว่าปัญหาเศรษฐกิจมีผลไปถึงปัญหาสังคมในประเทศเหล่านั้น ทั้งปัญหาการว่างงาน การลดค่าแรงงาน ประกอบกับระดับเงินเฟ้อในบางภูมิภาคที่กำลังสูงขึ้น จากการสำรวจครั้งนี้ “ความไม่แน่นอน” ในภูมิภาคต่างๆ ของโลกเหล่านี้ยังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ 2011 ยังเป็นปี “gold bull market” ของทองคำอีกปีหนึ่ง หลากความเห็นจากคนในวงการทอง ลองมาฟังบางความเห็นจากนักวิเคราะห์และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทองคำที่เข้าร่วมให้ความเห็นคาดการณ์ราคาทองคำในปี 2011 กับ LBMA ความต้องการทองคำจะยังคงมีสูง ปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐ และยุโรปจะเป็นตัวทำให้ ทองเป็นทรัพย์สินสำคัญเพื่อการรักษามูลค่าในบรรดาทรัพย์สินเพื่อการลงทุนทั้งพอร์ต แม้ความต้องการทองจากอุตสาหกรรมเครื่องประดับอาจจะต่ำ แต่น่าจะหักกลบกับความต้องการทองจากการลงทุนของกองทุน ETFทองคำ ซึ่งน่าจะช่วยหนุนความต้องการ" พาร์กาวา ไวดยา จาก BN Vaidya & Associates มุมไบ ทองคำ ปีนี้ จะได้รับอานิสงส์ผลดีจากแรงหนุนของผู้ลงทุนหรือบางส่วนจากการซื้อของภาครัฐบางประเทศ และทองคำยังจะได้รับผลดีจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นในอัตราแลกเปลี่ยน 3 สกุลหลักที่ใช้ในการค้าระหว่างประเทศ คือดอลลาร์สหรัฐ เยน ยูโร ซึ่งเป็นผลมาจากมีโอกาสสูงที่ภาวะวิกฤติหนี้สินภาครัฐของยุโรป จะลามไปถึงญี่ปุ่น และสหรัฐ แม้ว่ามาตรการบางอย่างของญี่ปุ่น และสหรัฐ อาจจะช่วยซื้อเวลาและจำกัดการปรับตัวขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลลงได้ในตอนนี้ แต่การทำแบบนี้จะทำให้การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะยาวสูงขึ้น อีกทั้งโอกาสที่ประเทศโลกอุตสาหกรรมจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นมีอยู่จำกัดมาก โดยเฉพาะในสหรัฐ และญี่ปุ่น หากราคาทองคำเกิดลดลง แรงหนุนราคาขึ้นน่าจะมาจากความต้องการในอุตสาหกรรมเครื่องประดับและความต้องการจากประเทศในเอเชีย แนวโน้มที่การขายทองเก่าน่าจะแผ่วลงถ้าราคาทองคำในตลาดของประเทศนั้นอ่อนตัวลง" ฟิลลิป แคลปวิจค์ จาก GFMS ลอนดอน ปี 2011 น่าจะเป็นปีที่รุ่งเรืองอีกปีหนึ่งของทองคำ และโลหะมีค่าอื่นๆ ปัจจัยสำคัญที่หนุนราคาทองคำใน 2 ปีที่ผ่านมาจะยังคงมีอิทธิพลในปีนี้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นผลจากวิกฤติการเงินโลก ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง ปริมาณทองจากการขายทองเก่าที่ลดลง แรงซื้อทองคำจากธนาคารกลางประเทศต่างๆ ความตึงเครียดระหว่างประเทศในบางภูมิภาค และอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่มีผล ก็คือผลจากหนี้เสียในหลายประเทศของยุโรป และในภูมิภาคอื่นๆ ของโลก ทำให้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือใหญ่ๆ ปรับลด หรือดาวน์เกรดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศเหล่านั้นลง ภาวะเหล่านี้ทำให้ผู้ลงทุนในตลาดโลกพยายามที่จะลดความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ ให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่ทางเลือกในการกระจายการลงทุนมีน้อย หากภาวะเป็นลักษณะนี้ทองคำ จึงยังเป็นทางเลือกในการลงทุนสำหรับปีนี้ และคิดว่าน่าจะเกิดตลาดขาขึ้นอีกรอบหนึ่ง รวมถึง new all-time high ในปีนี้ ในเวลาเดียวกัน ปีนี้จะเป็นอีกปีที่ผันผวน" เฟรดเดอริค พานิซซูตติ จาก MKS Finance SA ปัจจัยต่างๆ ของโลกที่หนุนให้ราคาทองสูงขึ้นจนแตะระดับสูงสุดในปี 2010 ยังคงมีผลต่อเนื่องมาถึงปีนี้ แม้ว่าในสภาพปัจจุบันข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐ จะส่งสัญญาณดีขึ้น แต่มุมมองก็ยังคงเหมือนเดิมว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงเป็นขาลง ซึ่งมุมมองนี้น่าจะยืนยันได้จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ ยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย และยังมีสัญญาณว่าหาก QE2 ไม่ประสบความสำเร็จในการทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ ธนาคารกลางสหรัฐอาจจะไม่หยุดที่จะอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้สหรัฐ เกิดภาวะเงินฝืด" เจฟเฟอรี โรดส์ จาก INTL Commodities การส่งสัญญาณดังกล่าวไม่ได้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุน ดังนั้น จนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐ จะดีขึ้นอย่างชัดเจน ในระหว่างนี้ทองคำและเงิน จะยังคงได้ประโยชน์จากเงินลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัย สิ่งที่ทำให้ภาวะในปี 2011 มี “ความไม่แน่นอน” สูงขึ้นไปอีก คือ สภาพเศรษฐกิจการเงินของยุโรป และเงินยูโร ที่กำลังถูกตั้งคำถามจากปัญหาหนี้สินมหาศาลของหลายประเทศในยุโรป สภาวะเช่นนี้จะช่วยหนุนราคาทองคำและเงินในปีนี้ต่อไป แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจในประเทศพัฒนาแล้วจะยังคงอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง แต่ในตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่ emerging economies คือ จีน และ อินเดีย ที่ถูกพูดถึงในฐานะประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแรง และเป็นประเทศที่ติด 2 อันดับแรกของผู้บริโภคทองคำ อีกทั้งยังเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมความเชื่อในทองคำ ว่าเป็นทรัพย์สมบัติสะสมค่า รายได้ของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีโอกาสที่การซื้อ หรือการลงทุนในทองคำหรือเงิน จะมีมากขึ้นในปีนี้ เมื่อผสมผสานปัจจัยเหล่านี้แล้ว ไม่น่าจะมีสัญญาณว่าตลาดขาขึ้น bull market ของทองคำที่เริ่มมาตั้งแต่หน้าร้อนปี 2001 จะมาจบเอาในปีนี้ สิ่งเดียวที่ยังเป็นคำถาม คือ ราคาทองคำจะขึ้นไปถึงระดับใด เนื่องจากไม่มีข้อมูลในอดีตที่ราคาทองสูงเท่าระดับปัจจุบันมาช่วยวิเคราะห์ได้ วิธีการประเมินที่น่าจะสมเหตุสมผล คือ การประมาณการโดยมีสมมุติฐานว่าราคาทองคำจะมีอัตราการเพิ่มเฉลี่ยต่อปีเท่าๆ กับอัตราในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา คือประมาณ 18.52% ต่อปี ซึ่งเป็นที่มาของราคาเฉลี่ยในปี 2011 ที่ระดับ 1,451 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และคาดว่ามีโอกาสที่จะมีความผันผวนในช่วงราคา 1,150 - 1,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ธนชาตผุดกองทองลงทุนในทองคำแท่งโดยตรง นักลงทุนในบ้านเราคงเคยมีประสบการณ์การลงทุนในกองทุนทองคำกันมาบ้างแล้ว ซึ่งการลงทุนแบบนี้คือการเอาทองคำมาใส่แพ็คเกจใหม่ อาจจะไม่ได้จับทองคำ แต่ก็มีฐานะลงทุนในทองคำเหมือนกันในอดีตที่เห็นกันอยู่ก็คือ ลงทุนในกองทุนรวม ที่ไปซื้อกองทุน ETF ทองคำในต่างประเทศ แล้วเอามาจำหน่ายต่อให้คนไทยอีกทอดหนึ่ง กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ที่เกี่ยวข้องกับทองคำในประเทศไทยทุกกองทุนเป็นกองทุนประเภท Feeder Fund กล่าวคือ ลงทุนในกองทุนปลายทางซึ่งเป็นกองทุน ETFของต่างชาติ (Master Fund) เพียงกองทุนเดียวคือ SPDR Gold Trust (USD) แต่แตกต่างกันที่ กองทุนปลายทางนั้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ฮ่องกง หรือนิวยอร์ก ตอนนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 19 กองทุน เสนอขายโดย 12 บลจ. แบ่งเป็นกองทุนประเภท FIF 13 กองทุน และกองทุน RMF 6 กองทุน มูลค่ารวมประมาณ 11,000 ล้านบาท แต่จากนี้ไป นักลงทุนในบ้านเราจะได้สัมผัสกับ กองทุนรวมทองคำที่ลงทุนโดยตรงในทองคำแท่ง กองทุนแรกของประเทศไทย โดยคนไทย ที่มาที่ไปของกองทุนรวมทองคำกองทุนแรกของคนไทยนี้ มีจุดกำเนิดมาจาก เมื่อเดือนตุลาคม 2553 สำนักงาน ก.ล.ต. ออกประกาศอนุญาตให้กองทุนรวมลงทุนโดยตรงในทองคำแท่ง ได้เป็นครั้งแรก แต่เดิมต้องลงทุนผ่านกองทุน ETF ทองคำของต่างประเทศ แต่มาถึงวันนี้ คนไทยสามารถทำเองได้แล้ว ซึ่ง บลจ.ธนชาต ถือเป็นเจ้าแรกที่จะออกกองทุนนี้ โดยได้ฤกษ์ขาย 15-23 กพ. นี้ โดยเป็นกองทุนรวมทองคำกองแรกของไทยที่ลงทุนตรงในทองคำแท่ง 99.5% ผู้ผลิตมาตรฐาน London Bullion Market Association โดยความร่วมมือของ Scotia Mocatta, ธนาคารโนวาสโกเทีย แห่งประเทศแคนาดา 1 ใน 50 ธนาคารที่ปลอดภัยที่สุดในโลก (2010) จากการจัดอันดับโดย Global Finance Magazine และเป็นธนาคารผู้นำด้านธุรกิจโลหะมีค่า เช่น ทองคำและเงินในตลาดโลก ที่มีเครือข่ายธุรกิจในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเป็น 1 ใน 6 ผู้ค้าทองคำ ที่ให้บริการเก็บรักษาโลหะมีค่า และการชำระราคาที่เป็นสมาชิกของ London bullion market Association (LBMA) หน่วยงานซึ่งเป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมผู้ค้าทองคำในระดับสากล กองทุนนี้เป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนในทองคำแท่งที่มีคุณภาพและมีความบริสุทธิ์ของทองคำได้มาตรฐานสากล แต่ไม่สะดวกในการซื้อ หรือกังวลในความปลอดภัยของการเก็บรักษาทองคำไว้ หากมองในแง่ความปลอดภัย ทองคำแท่งที่กองทุนลงทุนจะเก็บรักษาไว้ที่ห้องมั่นคงของ HKIA Precious Metals Depository ในฮ่องกง ซึ่งถือหุ้นทั้งหมดโดย Airport Authority Hong Kong และเป็นห้องมั่นคงที่ให้บริการแก่หน่วยงานต่าง ๆ เช่น ธนาคารกลางของต่างประเทศ Hong Kong Mercantile Exchange ซึ่งเป็นตลาดซื้อขาย gold future ในฮ่องกง เป็นต้น โดยธนชาตมีให้เลือก 2 กองทุน คือ กองทุนเปิดธนชาตทองคำแท่ง-H (Thanachart Gold Bullion-Currency Hedged: TGoldBullion-H) และ กองทุนเปิดธนชาตทองคำแท่ง-UH (Thanachart Gold Bullion-Currency Unhedged : TGoldBullion-UH) จะเห็นว่าต่างกันที่การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน หากเป็นกองทุนเปิดธนชาตทองคำแท่ง-H ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเกือบทั้งหมด ส่วนกองทุนเปิดธนชาตทองคำแท่ง-UH ไม่ป้องกันความเสี่ยง สำหรับคนที่สนใจเรื่องทอง หรือเป็นหนึ่งในชมรมคนรักทอง บลจ.ธนชาต จัดสัมมนาครั้งสำคัญ “Go For GOLD Together” รวมผู้รู้ผู้ลงทุนในทองคำมาบรรยาย โดยได้รับเกียรติจากมาร์ค ฟาเบอร์ ผู้เขียนหนังสือ Best Seller “Tomorrow’s Gold” นักลงทุนที่ชี้โอกาสการลงทุนใน “ทองคำ” ตั้งแต่ปี 2001 และเจ้าของวรรคทองใน CNBC “Buy some gold every month forever” ในปี 2010 แฟนคลับของมาร์ค ฟาเบอร์ต่างรู้ดีว่าเขาโดดเด่นด้านมุมมองการลงทุนที่แตกต่าง และเป็นผู้มีชื่อเสียงจากการแนะนำให้ผู้ลงทุนถอนการลงทุนจากตลาดหุ้นสหรัฐ เพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนเหตุการณ์ Black Monday ในปี 1987 คาดการณ์วิกฤติเศรษฐกิจของ Asia-Pacific ในปี 1997-1998 ส่งสัญญาณเตือนตลาดหุ้นสหรัฐ ว่า “correction coming” ในต้นปี 2006 และย้ำอีกครั้งในช่วงกลางปี 2007 ว่าตลาดหุ้นสหรัฐกำลังจะเข้าสู่ตลาดขาลง “entering a bear market” หลังจากนั้นตลาดหุ้นสหรัฐก็ตกต่ำจากปัญหา subprime และอีกหลายประเด็นในตลาดสำคัญจนเป็นที่จับตามองของผู้ลงทุนและสื่อมวลชนทั่วโลก ถ้าคุณอยากรู้ว่าทำไมมาร์ค ฟาเบอร์ถึงตั้งใจซื้อทองทุกเดือน คงต้องไปฟังสัมมนาจะมีในวันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 8.30-12.00 น. ณ ห้อง World Ballroom AB ชั้น 23 โรงแรม Centara Grand เซ็นทรัลเวิลด์
  25. เรื่องทองคำ พิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนขายนะครับ เกี่ยวกับฤดูกาลของทองคำในช่วงปลายปี ข้อมูลนี้น่าจะพอช่วยได้บ้างเนอะ เพื่ออาจจะกันปัญหา ขายหมู ซื้อควาย ออกไปได้บ้าง !uu Gold Seasonal Chart Chart รอบ 26 ปี - ที่มา: http://www.spectrumcommodities.com/education/commodity/charts/gc.html Chart รอบ 30 ปี - ที่มา: http://www.makestockmarketprofits.com/goldchart.html จะเห็นว่าราคาทองจำทำพีคในช่วงต้นเดือนตุลาคม อาจเป็นเพราะก่อนช่วงเทศกาลแต่งงานอินเดียจะเกิดขึ้นในช่วงตุลาคม-พฤศจิกายน จะการใช้จ่ายซื้อทองคำเพื่อใช้ในงานพิธี หรือเทศกาล Diwali สำหรับปีนี้ตกเป็นช่วงเดือนตุลาคมแทน (ระบุไว้ว่าวันที่ 26 ตุลาคม ซึ่งจะอาจเปลี่ยนแปลงวัน ตามตำแหน่งอ้างอิงดวงจันทร์ http://en.wikipedia.org/wiki/Diwali) จะมีเทศกาล Deepavali หรือ Diwali หรือคล้ายกับเทศกาลงานลอยกระทง เผาเทียนเล่นไฟบ้านเรานี่เอง ไปแล้ว เมี้ยวๆๆๆ !La :upstrong:
×
×
  • สร้างใหม่...