ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

namchiang

ขาใหญ่
  • จำนวนเนื้อหา

    1,876
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

ทุกๆอย่างที่โพสต์โดย namchiang

  1. อรุณสวัสดิ์เช้าวันจันทร์ครับทุกท่าน หาข่าวคลายเครียดมาให้อ่านกันนะครับ บอกรักจะกลายเป็นบอกเลิก อาตี๋ซ่อนสร้อยทองในเค้ก หวังเซอร์ไพรส์สาว แต่ผิดคิวต้องหามส่งรพ.แทน หนุ่มจีนตั้งใจเซอร์ไพรส์วันเกิดแฟนสาว แอบซ่อนสร้อยคอทองคำในขนมเค้ก แต่ผิดคิวที่ฝ่ายหญิงกลืนลงท้องจนต้องหามส่งโรงพยาบาล... สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อ 30 ก.ย. ถึงความโชคร้ายของ หวาง ซื่อ สาวชาวจีน จากเมืองชิงเต่า มณฑลซานตง โดยเธอกลืนกินสร้อยคอทองคำ มูลค่ากว่า 24,000 บาท ที่แฟนหนุ่มตั้งใจซุกซ่อนไว้ในก้อนขนมเค้ก เพื่อเป็นของขวัญเซอร์ไพรส์วันเกิดปีที่ 22 ของเธอเอง โดย เสี่ยว ลี แฟนหนุ่มวัย 22 ปีเท่ากัน เล่าด้วยเสียงเศร้าว่า "ผมคิดว่ามันจะเป็นการแสดงให้เธอรับรู้ ว่าผมรักเธอมากแค่ไหนและเชื่อว่ามันเจะเป็นมุขที่ดีด้วย ผมคิดว่าเธอจะกัดเจอมันตั้งแต่คำแรกและคายออกมา แต่สุดท้ายผมต้องเฉลยความจริงกับเธอขณะที่นั่งรถไปโรงพยาบาล" หลังจากเอ็กซเรย์ ทีมแพทย์ลงคววามเห็นว่า ต้องผ่าตัดด้วยการส่องกล้อง เพื่อนำเอาสร้อยคอทองคำออกจากท้องของผู้ป่วย อย่างไรก็ดีแฟนหนุ่มเสริมว่า "เธอผ่านการผ่าตัดและได้สร้อยคอคืนแล้ว แต่ผมไม่แน่ใจว่าเธอยังจะรู้สึกดีที่จะสวมมันหรือไม่". ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
  2. ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดลบแรง 01 ตุลาคม 2554 เวลา 08:21 น. ตลาดหุ้นสหรัฐปิดในแดนลบ กังวลต่อวิกฤตหนี้สินกรีซ หุ้นดาวโจนส์ ลดลง 241.88 จุด ข้อมูลที่ส่งสัญญาณถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจอันเอื่อยเฉื่อยในยุโรปและสหรัฐฯประกอบกับความกังวลต่อวิกฤตหนี้สินกรีซที่ยังไม่จางหายไปจากตลาด ส่งผลให้วอลล์สตรีทวานนี้(30 ก.ย.) ปิดลบอย่างแรง ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ลดลง 241.88 จุด (2.17 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 10,912.10 จุด แนสแดค ลดลง 65.36 จุด (2.63 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,415.40 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 29.04 จุด (2.50 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,131.36 จุด http://www.posttoday.com/
  3. งัดมาตรการหยุดซื้อขายชั่วคราวรับมือทองป่วน ปรับขึ้นลงเกิน 20 ดอลลาร์/ออนซ์ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 กันยายน 2554 13:22 น. ส.ผู้ค้าทองคำ เตรียมงัดมาตรการหยุดซื้อขายปลีกชั่วคราว 1-2 นาที เช่นเดียวกับตลาดหุ้น หากราคาทองผันผวนหนัก หรือปรับขึ้นลงเกิน 20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการค้าปลีกทองคำและร้านค้าทองคำ เริ่มนำมาตรการหยุดทำการซื้อขายชั่วคราวมาใช้ หลังประสบปัญหาสถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกเกิดความผันผวนอย่างรวดเร็ว และรุนแรงในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการประสบภาวะขาดทุน ในขณะที่อีกด้านหนึ่งผู้ค้าทองและร้านทองกลับถูกกล่าวหาว่าเอาเปรียบผู้บริโภค “เราใช้มาตรการหยุดการซื้อขายเหมือนตลาดหุ้น หากราคาผันผวนขึ้นลงเกิน 20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายใน 2-3 นาที แล้วรอจนกว่าจะนิ่ง แต่ใช้เวลาไม่นานแค่ 10 กว่านาทีก็กลับมาทำการซื้อขายต่อ” นายจิตติยังได้กล่าวถึงสถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกที่เกิดภาวะผันผวนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการบางรายขาดทุนอย่างมาก เพราะราคาเปลี่ยนแปลงครั้งละ 30-40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในเวลารวดเร็ว ขณะที่สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกยังคงมีความผันผวนต่อเนื่อง เพราะเป็นเครื่องมือที่กองทุนต่างประเทศใช้เก็งกำไร โดยการเข้ามาปั่นราคา เพราะถ้าไม่ปั่นราคา ราคาทองคงไม่ปรับขึ้นลงอย่างหวือหวาได้ขนาดนี้ “ราคาผันผวนมากอย่างนี้ ขายทองบาทละ 2 หมื่นกว่า แล้วร้านทองได้กำไร 200 บาทถือว่ายังไม่มาก ขณะที่สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก ยังคงมีความผันผวนต่อเนื่อง เพราะเป็นเครื่องมือที่กองทุนต่างประเทศใช้ ซึ่งที่จริงปัญหามาจากพวกกองทุนฯ เข้ามาเก็งกำไร อ้างเรื่องเศรษฐกิจมีปัญหา เข้ามาปั่นราคา ถ้าไม่ปั่นราคาไม่หวือหวาอย่างนี้” ส่วนราคาทองคำช่วงเช้าวันนี้ (09.00- 12.00 น.) ราคาทองปรับราคาไปแล้ว 3 ครั้ง ปรับขึ้น 1 ครั้ง 200 บาท และปรับลง 2 ครั้ง 100 บาท รวมราคาทองปรับขึ้น 100 บาท โดยทองคำแท่งขายที่ 24,100 บาท และทองรูปพรรณขายที่ 24,500 บาท ร้านทองเล็งใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์แก้ราคาผันผวน บ่นโดนต่อว่าทั้งที่ขาดทุน ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- ศุกร์ที่ 30 กันยายน 2554 16:48:00 น. นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า สมาคมค้าทองคำและร้านค้าทองคำต่างๆอาจนำมาตรการหยุดพักซื้อขายทองคำชั่วคราว หรือเซอร์กิต เบรกเกอร์ มาใช้ หากราคาทองคำผันผวนหนักปรับขึ้นลง 20 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ภายใน 2-3 นาที แล้วรอจนกว่าจะนิ่ง แต่เชื่อว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที ก็กลับมาทำการซื้อขายต่อ เพื่อป้องกันความเสี่ยงให้แก่นักลงทุน เพราะการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำตลาดโลก 30-40 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จะทำให้ราคาทองคำในประเทศเปลี่ยนแปลง 400-500 บาทต่อบาททองคำ นอกจากนี้ยังเป็นการแก้ข้อครหาที่ว่าร้านทองเอาเปรียบผู้บริโภค “ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลกเกิดความผันผวนอย่างรวดเร็วจนต้องหยุดพักการซื้อขายมาแล้ว 2-3 ครั้ง ทำให้ผู้ประกอบการประสบภาวะขาดทุน และมองว่าภาวะราคาทองคำยังผันผวนต่อเนื่อง เพราะกองทุนเข้าเก็งกำไร” นายจิตติ กล่าว สำหรับราคาทองคำ(ทองคำ 96.5%) ประจำวันที่ 30 กันยายน 2554 ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ เมื่อเวลา 14.48 น. ราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 24,100 ขายออกบาทละ 24,200 ราคาทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 23,755.72 ขายออกบาทละ 24,600 ส.ผู้ค้าทองคำเตรียมใช้มาตรการหยุดซื้อขายปลีกชั่วคราวหากราคาผันผวนหนัก ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 30 กันยายน 2554 10:43:03 น. นายกสมาคมค้าทองคำ เผยผู้ประกอบการค้าปลีกทองคำหรือบรรดาร้านค้าทองคำต่าง ๆ เริ่มนำมาตรการหยุดทำการซื้อขายชั่วคราวมาใช้หลังประสบปัญหาสถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกเกิดความผันผวนอย่างรวดเร็วและรุนแรงในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการประสบภาวะขาดทุน ขณะที่อีกด้านก็ถูกกล่าวหาว่าเอาเปรียบผู้บริโภค พร้อมมองภาวะราคาทองคำผันผวนยังมีต่อเนื่องเหตุกองทุนเข้าเก็งกำไร "เราใช้มาตรการหยุดการซื้อขายเหมือนตลาดหุ้น หากราคาผันผวนขึ้นลงเกิน 20 เหรียญ(สหรัฐ/ออนซ์) ภายใน 2-3 นาที แล้วรอจนกว่าจะนิ่ง แต่ใช้เวลาไม่นานแค่ 10 กว่านาทีก็กลับมาทำการซื้อขายต่อ" นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์" นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า จากสถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกที่เกิดภาวะผันผวนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการบางรายขาดทุนอย่างมาก เพราะราคาเปลี่ยนแปลงครั้งละ 30-40 ดอลลาร์/ออนซ์ในเวลารวดเร็ว ขณะที่อีกด้านกลับถูกตำหนิว่าเอาเปรียบผู้บริโภค "ราคาผันผวนมากอย่างนี้ ขายทองบาทละ 2 หมื่นกว่า แล้วร้านทองได้กำไร 200 บาทถือว่ายังไม่มาก" นายจิตติ กล่าว นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกยังคงมีความผันผวนต่อเนื่อง เพราะเป็นเครื่องมือที่กองทุนต่างประเทศใช้ "ที่จริงปัญหามาจากพวกกองทุนฯ เข้ามาเก็งกำไร อ้างเรื่องเศรษฐกิจมีปัญหา เข้ามาปั่นราคา ถ้าไม่ปั่นราคาไม่หวือหวาอย่างนี้" นายจิตติ กล่าว สำหรับราคาทองประจำวันเปิดตลาดเช้านี้เมื่อเวลา 09.45 น.ปรับขึ้นจากปิดตลาดเย็นวานนี้บาทละ 200 โดยทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 24,100 ขายบาทละ 24,200 ส่วนทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 23,755.72 ขายบาทละ 24,600 --อินโฟเควสท์ โดย ธนวัฏ เสือแย้ม/รัชดา/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--
  4. ทองคำปิดลบ 80 เซนต์ 30 กันยายน 2554 เวลา 08:17 น. |เปิดอ่าน 188 | ความคิดเห็น 1 สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบ นักลงทุนเทขายนำเงินเข้าเทรดในตลาดหุ้น หลังจากรัฐสภาเยอรมนีลงมติอนุติการเพิ่มขนาดกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ปรับตัวลง 80 เซนต์ หรือ 0.05% ปิดที่ 1,617.30 ดอลลาร์/ออนซ์ เคลื่อนตัวในช่วง 1,585.00-1,637.90 ดอลลาร์ ตลาดทองคำนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากการที่นักลงทุนเทขายสัญญาทองคำ และนำเงินเข้าเทรดในตลาดหุ้น หลังจากที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นขานรับข่าวลงมติอนุติการเพิ่มขนาดกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) สัญญาทองคำเคลื่อนตัวผันผวนท่ามกลางวอลุ่มการซื้อขายที่ลดน้อยลง ขณะที่นักลงทุนยังคงประเมินข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ทองคำปรับตัวลงเพียงเล็กน้อยเนื่องจากภาวะการซื้อขายโดยรวมได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ http://www.posttoday.com
  5. ยุโรปพ้นวิบัติอีกครั้ง สภาเยอรมนีรับรองแผนเพิ่มอำนาจกองทุนเงินกู้ 29 ก.ย. 2554 - นายกรัฐมนตรีแองเจลา แมร์เคิล ถูกห้อมล้อมด้วยสมาชิกสภา หลังบรรดาส.ส.หนุนหลังเธอ ด้วยการออกเสียงอนุมัติการเปลี่ยนแปลงแก้ไขกองทุนกู้ภัยยูโรโซนให้มีอำนาจเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้น เอเจนซี/เอเอฟพี - ยุโรปรอดพ้นจากความวิบัติอย่างหวุดหวิดอีกครั้งหนึ่งวันพฤหัสบดี(29) เมื่อสมาชิกสภาล่างของเยอรมนี พากันสนับสนุนนายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล โดยออกเสียงอนุมัติการเปลี่ยนแปลงแก้ไขกองทุนกู้ภัยยูโรโซนให้มีอำนาจเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้น แต่กระนั้นปัญหาท้าทายอันใหญ่โตยิ่งกว่าเสียอีก ก็กำลังรอคอยยูโรโซนและตลาดการเงินอยู่ข้างหน้าแล้ว แถมยังกำลังเรียกร้องให้ต้องมีมาตรการรับมือคลี่คลายซึ่งใหญ่โตกว้างไกลมากขึ้นไปอีก เพื่อป้องกันไม่ให้วิกฤตที่เริ่มต้นขึ้นในกรีซนี้ แผ่ขยายลามไปทั่วยุโรปหรือกระทั่งไกลยิ่งกว่านั้น สมาชิกสภาบุนเดสตาก (สภาล่าง) ของเยอรมนี ลงคะแนนด้วยเสียงท่วมท้น 523 ต่อ 85 รับรองการให้อำนาจใหม่ๆ แก่กองทุนเสถียรภาพทางการเงินยุโรป (อีเอฟเอสเอฟ) เพื่อให้กองทุนที่มีมูลค่า 440,000 ล้านยูโรนี้ สามารถปล่อยเงินกู้ในลักษณะระวังป้องกันก่อนที่ปัญหาจะปะทุ, เข้าช่วยเหลือการเพิ่มทุนของพวกธนาคารต่างๆ ที่กำลังมีฐานะย่ำแย่จากการถือครองพันธบัตรของกรีซและชาติยูโรโซนที่อ่อนแอรายอื่นๆ, ตลอดจน สามารถเข้าซื้อพันธบัตรของประเทศยูโรโซนที่ประสบความลำบาก ในตลาดรอง ถึงแม้มีสมาชิกสภาฝ่ายรัฐบาลที่ก่อกบฎออกเสียงคัดค้านเป็นจำนวน 15 คน ทว่าแมร์เคิลก็ยังคงได้เสียงโหวต 315 เสียงจากพวกพรรคร่วมรัฐบาลของเธอ ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้เธอไม่ต้องอับอายขายหน้า ด้วยการต้องขอพึ่งพาพวกพรรคฝ่ายค้าน เพื่อผลักดันให้แผนการนี้ผ่านออกไปได้ “ผลของการโหวตคราวนี้ คือการส่งสัญญาณอันแข็งแรงแสดงถึงการสนับสนุนยุโรป ฝ่ายเสียงข้างมากอย่างกว้างขวางในสภาได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เยอรมนีมีความยึดมั่นแน่นเหนียวต่อสกุลเงินยูโร และต่อการพิทักษ์ป้องกันสกุลเงินตรานี้ของเรา” เฮอร์มานน์ กรือเฮอ เลขาธิการพรรคคริสเตียน เดโมแครต ของแมร์เคิล กล่าวภายหลังการลงคะแนน สิ่งที่ออกเสียงในบุนเดสตากคราวนี้ ก็คือการรับรองข้อตกลงวันที่ 21 กรกฎาคม ของพวกผู้นำชาติยูโรโซน ความตกลงในคราวนั้นมุ่งหมายที่จะแก้วิกฤตหนี้สินภาคสาธารณะของยูโรโซน ด้วยการจัดหาเงินกู้ช่วยไม่ให้ล้มละลายก้อนที่สองแก่กรีซ, กำหนดให้แบงก์ภาคเอกชนที่เป็นเจ้าหนี้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลกรีซอยู่ส่วนหนึ่ง ต้องร่วมแบกรับภาระด้วยการยอมแลกตราสารหนี้ใหม่ ซึ่งเนื้อแท้แล้วก็คือการยอมลดภาระหนี้ให้กรีซเป็นบางส่วน, ตลอดจนทำให้เครื่องมืออย่างกองทุนอีเอฟเอสเอฟ มีสมรรถนะมากขึ้นในการป้องกันไม่ให้วิกฤตแผ่ขยายท่วมท้นพวกชาติอียูที่มีเศรษฐกิจใหญ่ๆ อย่าง สเปน และอิตาลี ไม่น่าแปลกใจที่คณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป(อียู) แสดงความยินดีที่เยอรมนีรับรองการเพิ่มอำนาจให้กองทุนอีเอฟเอสเอฟ และบอกด้วยว่า มีความเชื่อมั่นว่าชาติที่ใช้สกุลเงินยูโรทั้ง 17 รายจะกระทำกระบวนการให้สัตยาบันรับรองจนนี้จนครบถ้วนภายในเดือนตุลาคม จวบจนถึงขณะนี้มี 11 ประเทศยูโรโซนแล้วที่ให้การรับรอง สำหรับรายที่เหลืออยู่มีเพียง สโลวาเกีย เท่านั้น ที่เสียงต่อต้านในรัฐสภายังอุ่นหนาฝาคั่ง อย่างไรก็ดี ในขณะที่มีความหวังกันเพิ่มขึ้นมากว่ามาตรการคราวนี้จะสามารถผ่านออกมาบังคับใช้ได้ แต่ความเป็นจริงอันโหดร้ายก็ปรากฏขึ้นมาด้วยว่า ข้อตกลงในวันที่ 21 กรกฎาคมนี้อาจจะยังไม่เพียงพอรับมือวิกฤต ดังเห็นได้จากการที่ตลาดการเงินยังแสดงความไม่เชื่อมั่น จนทำให้การออกพันธบัตรรุ่นใหม่ๆ ของรัฐบาลสเปนและรัฐบาลอิตาลี ยังต้องจ่ายดอกเบี้ยที่แพงลิ่วๆ บังคับให้ธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) ต้องเข้าแทรกแซงในเดือนสิงหาคมด้วยการรับซื้อพันธบัตรของประเทศทั้งสอง นอกจากนั้น สถานการณ์ในชาติยูโรโซนที่โงนเงนก่อนเพื่อน นั่นคือ กรีซ ก็ยังอยู่ในอาการปั่นป่วนยุ่งเหยิง โดยที่กรีซไม่สามารถทำตามเป้าหมายการลดการขาดดุลที่ได้ให้สัญญาเอาไว้ ทำให้หลายๆ ฝ่ายต่างเล็งว่า ในที่สุดแล้วกรีซคงไม่อาจหลีกเลี่ยงการหยุดพักชำระหนี้ได้ “กำลังมีการตระหนักถึงความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งในหมู่ผู้ที่เคยสงวนท่าที ว่าแพกเกจมาตรการ 21 กรกฎาคม เป็นสงครามของเมื่อวานนี้ และเราจำเป็นที่จะต้องเดินหน้ากันต่อไป” เจ้าหน้าที่อาวุโสของอียูผู้หนึ่งบอกกับรอยเตอร์ โดยขอให้สงวนนาม พวกนักวิเคราะห์ชี้ว่า ทั้งตลาดการเงินและมหาอำนาจภายนอกยุโรปอย่างเช่นสหรัฐฯ ต่างยังคงต้องการให้อียูจัดทำแผนการที่รอบด้านยิ่งกว่าในปัจจุบัน เพื่อแก้ไขรับมือกับวิกฤตยูโรโซน ทั้งนี้ในทางเป็นจริงแล้ว เจ้าหน้าที่อียูก็มีการหารือดำเนินการในเรื่องนี้อยู่อย่างเงียบๆ แล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่ต้องการรอให้สภาเยอรมนีอนุมัติข้อตกลงเดือนกรกฎาคมไปเสียก่อน เพื่อไม่ให้สถานการณ์ยิ่งสับสนยุ่งเหยิง โดย ASTV ผู้จัดการออนไลน์
  6. Morning ครับ ทุกท่าน ความหนาวเย็นยะเยือกเริ่มเข้านะครับ ขอนำมุมมมองของคุณน้องดำจากเว็บ www.namchiang.com มาให้อ่านนะครับ สถิติต่างๆ Dow Jones ปิด 1609.70 เหรียญ -40.00 เหรียญ หรือ -2.42 % Sep 28, 2011 17:15 NY Time Bid/Ask 1609.70 - 1610.70 Low/High 1597.80 - 1670.30 Change -40.00 -2.42% 30daychg -178.80 -10.00% 1yearchg +300.70 +22.97% ทองแท่งไทย ปิด 24300-24400 ราคาเปลี่ยนแปลงลดลง - 200 บาท =============================================================== ================================================================= =================================================================[/color] บทวิเคราะห์ ทิศทางราคาทองต่างประเทศ ใช้ indicator - PPO ระยะสั้น เป็นแนวโน้มลง ระยะสั้น-กลาง เป็น แนวโน้ม ลง ===================== ===================== ภาพรวม ราคาทองเมื่อคืนนี้ ทะลุ แนวรับ 1640 ลงมา ส่อเค้าไม่ดี แถมยังทะลุแนวต้านต่างๆ 1615 1600 ลงต่ำถึง 1597 ก่อนปิดบริเวณ 1608 ภาพรวมกลับเป็นขาลงอีกครั้งหนึ่ง New York ลงจาก 1658 มายัง 1597 ปิด 1609 ปิดต่ำ ทะลุ แนวรับ หลายแห่ง วันนี้ ต้อง - ระวังแนวรับ 1597 ระวังแนวรับ 1597 หากทะลุ จะลงต่อ เป้าหมาย 1580 1530 โอกาสทะลุลงมีสูง ผู้เชียร์ขึ้น ต้องลุ้น ให้ราคาขึ้นเหนื่อ 1640 และ 1665 ก่อน หากราคาทองขึ้นพ้น 1665 บรรยากาศจะกลับมาดีอีกครั้ง โอกาสขึ้นมี แต่มีไม่มากนัก ... หุ้นลง โลหะมีค่าลง แสดงถึงกำลังซื้อของนักลงทุนทั่วโลก กลับลดลงอีกครั้งหนึ่ง หากยังคงมีลักษณะนี้ต่อไป ราคาจะลงต่อทั้งแผง อีกสักระยะ รอฟังผล.... คืนนี้.... เบื้องต้น ระยะสั้น-กลาง จะเป็นขาขึ้น ราคาต้องขึ้นเหนือ 1750 ขึ้นไปเท่านั้น แนวรับ 1597 1580 1550 1530 แนวต้าน 1612-14 1640 1665 คาดว่าราคาทองเช้านี้น่าจะเปลี่ยนลดลง -500 บาท ==================
  7. ุขอดันกระทู้ น่าสน หรือ น่ากลัว นี้กลับมาให้อ่านกันนะครับ “ทองคำ ค่าเงิน หุ้น” บทเรียนอีกครั้งจากการทุบถล่มแล้วช้อนซื้อของ “เฮดจ์ฟันด์!?” โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 27 กันยายน 2554 14:50 น. สัปดาห์ที่ผ่านมาเศรษฐกิจโดยเฉพาะในตลาดทุนนั้นถือได้ว่ามีความผันผวนอย่างหนักและต่อเนื่อง หุ้น น้ำมัน ทองคำ และค่าเงิน ซึ่งเหล่าเฮดจ์ฟันด์ทั้งหลายได้เข้าไป “ปั่น” ก่อนหน้านี้มาอย่างยาวนาน ต่างก็ได้ถูกเทขายทำกำไรอย่างพร้อมเพรียงกัน การเทขายในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างหนักหน่วงที่ทำให้ราคาหุ้นดิ่งลงเหว ก็ได้ทำให้นักเล่นหุ้นประเภทที่เล่นมาร์จิ้น และเล่นฟิวเจอร์ ต้องถูกบังคับขายตามกฎเกณฑ์ทำให้กองทุนหัวใสเข้าช้อนซื้อตอนที่เหล่าแมลงเม่าไทยต้องเจ๊งระเนนระนาดและทำให้ราคาหุ้นและทองคำดีดตัวกลับ “ทองคำ” ก็เช่นกันได้ถูกกองทุนเฮดจ์ฟันด์เทขายสัญญาทองคำออกมานอกตลาด และทำให้ราคาทองคำทั่วโลกดิ่งลงอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และทำให้นักเล่นทองประเภทฟิวเจอร์โกลด์ต้องถูกบังคับขายเจ๊งกันไปอีกจำนวนมากเช่นกัน แม้แต่สมาคมทองคำของไทยก็ฉวยโอกาสกำหนดราคาซื้อขายและค่าธรรมเนียมเกินกว่าปกติจากที่เคยใช้สูตรคำนวณของราคาทองคำตลาดโลกเพื่อกลบผลขาดทุนของตัวเอง แต่การที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่นัดหมายกันทั่วโลกเทขายกันอย่างพร้อมเพรียงกันนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่เป็นเพราะปัญหาเศรษฐกิจของโลกที่ต้องเผชิญหน้าอยู่ในเวลานี้ก็คือปัญหาหนี้สินอันมโหฬารและปัญหาทางเศรษฐกิจชะลอตัวทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่ทำทีว่าจะเป็นลูกโซ่ใหญ่โตกว้างขวางลามปามกระทบไปทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะ “ธนาคาร” ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป หลายแห่งถูกทยอยลดความน่าเชื่อถือลงอย่างพร้อมเพรียงกัน และธนาคารเหล่านี้ก็เป็นแหล่งทุนอันสำคัญที่ทำให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์ต้องขายทำกำไรคืนโดยเร็วเพื่อถือเป็นเงินสดรองรับกับสภาพวิกฤตที่กำลังจะมาถึง เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ ก็คือการที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาพิมพ์แบงก์ออกมาเพื่อซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพออกจากธนาคาร (QE 1) และเพื่อซื้อแทรกแซงตลาดพันธบัตรสหรัฐอเมริกา (QE2) ตามมาด้วยมาตรการเทขายพันธบัตรระยะสั้นแล้วมาซื้อพันธบัตรระยะยาวโดยมุ่งหวังจะกดอัตราดอกเบี้ยให้ลดลง (Operation Twist) ทั้งหมดนี้ถือได้ว่าสหรัฐอเมริกาออกอาวุธทางเศรษฐกิจใกล้หมดแล้ว แต่อัตราการว่างงานก็ยังสูงอยู่ในระดับ 9.1% ซึ่งความจริงแล้วการพิมพ์แบงก์ดอลลาร์สหรัฐอเมริกานั้นก็เหมือนการ “ชักดาบ”เบี้ยวหนี้ทางอ้อม เพราะทำให้หนี้ของสหรัฐฯ ในแต่ละประเทศเป็นเจ้าหนี้อยู่นั้นด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับค่าเงินของประเทศเจ้าหนี้เหล่านั้น ตรงนี้เองทำให้เหล่าเฮดจ์ฟันด์เห็นโอกาสอันมหาศาลที่จะเร่งแปลงสินทรัพย์ของตัวเองจากดอลลาร์ให้เป็นสินทรัพย์อย่างอื่นในประเทศอื่นๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มาตรการของสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมาแทนที่จะทำให้อัตราว่างงาน กลับเร่งทำให้ธนาคารสหรัฐอเมริกามีเงินเหลือล้นกลับไปลงทุนในกองทุนเฮดจ์ฟันด์มากขึ้น นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์ เข้าซื้อและปั่นหุ้นในประเทศภูมิภาคเอเชียและประเทศไทย (ที่มีแนวโน้มว่าค่าเงินบาทจะแข็งและเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง) เงินนอกร้อนไหลเข้าประเทศทำให้ราคาหุ้นดีดตัวสูงขึ้นชนิดที่นักการเมืองเอาไปคุยโวกันอย่างสนุกสนานและเอิกเกริก จนไม่มีใครสนใจฟังคำเตือนเรื่องการควบคุมกองทุนจากต่างประเทศที่หวังการลงทุนระยะสั้นแบบตีหัวเข้าบ้านที่จะมาทำให้เศรษฐกิจไทยต้องปั่นป่วน แต่การเทขายระลอกใหญ่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ทำให้แมลงเม่าไทยและแมลงเม่าทั่วโลกตกกลายเป็นเหยื่อของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ซึ่งได้สูบความมั่งคั่งของแต่ละประเทศกลับไปโดยได้ทำกำไรจากการเทขายในหุ้น ทองคำ และน้ำมันของตัวเองที่ได้ปั่นเอาไว้แล้ว ยังได้กำไรค่าเงินของแต่ละประเทศกลับไปอีกด้วย (โดยแลกกลับได้เงินดอลลาร์ไปมากขึ้น) โดยไม่ต้องมีการผลิตใดๆ ทั้งสิ้น ความจริงแล้วคนส่วนใหญ่ไม่ใช่นักเล่นหุ้นก็อาจจะคิดว่าไม่เดือดร้อนอะไร แต่ในความเป็นจริงการปล่อยให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์เข้าไปเล่นค่าเงินบาทได้ก็คือการทำให้ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบมีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้นถือเป็นการบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันภาคการผลิตไปด้วย ในอีกทางหนึ่งการสูบความมั่งคั่งจากคนในประเทศไทยได้ก็คือ “การสูบกำลังซื้อของคนภายในประเทศ” ให้ลดลงแล้วตกไปอยู่ในมือของชาติอื่นโดยไม่จำเป็น กลยุทธ์ของเฮดจ์ฟันด์ก็คือ “ปั่นขึ้นให้สูงแล้วเทขาย ทุบให้ต่ำแล้วกลับเข้าช้อนซื้อ” ยังคงเป็นวัฏจักรที่จะเกิดขึ้นต่อไปอีกหลายระลอก โดยเฉพาะในสภาวะที่ธนาคารในยุโรปและสหรัฐอเมริกามีปัญหามาก ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งทำให้เหล่าเฮดจ์ฟันด์เร่งขบวนการสูบความมั่งคั่งจากประเทศต่างๆ ให้เร็วขึ้นเป็น “วันต่อวัน” และปัจจุบันเร็วกว่านั้นเป็น “นาทีต่อนาที” โดยเน้นการทำกำไรจากพวกเล่นหุ้นแบบมาร์จิ้นและฟิวเจอร์ที่ต้องถูกบังคับขายหากราคาต่ำกว่าที่กำหนด เพียงแต่บทเรียนสัปดาห์ที่ผ่านมาน่าจะทำให้นักลงทุนและแมลงเม่าทั่วโลกได้สติมากขึ้น (สักระยะหนึ่ง) แต่ปัญหาในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปน่าจะหนักและสาหัสยิ่งกว่าอเมริกา เพราะพิมพ์เงินขึ้นใช้ตามใจชอบไม่ได้เหมือนสหรัฐอเมริกาและยังมีการคานอำนาจระหว่างกันโดยหลายประเทศ แผนภูมิภาพแสดงความสัมพันธ์เชิงหนี้จากนิวยอร์กไทมส์ที่แสดงผลเมื่อสิ้นปี 2553 ก็จะเห็นได้ว่า กรีซ ไอร์แลนด์ อิตาลี โปรตุเกส และสเปน ซึ่งถือว่าเป็น 5 ประเทศที่กำลังมีปัญหาธนาคารสั่นคลอนและรัฐบาลหนี้สินท่วมท้นนั้น หากมีปัญหา “ชักดาบ” หรือ “ธนาคารล้ม” ก็จะลามไปยังเจ้าหนี้รายใหญ่ทั้งธนาคารและรัฐบาลของอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี อย่างแน่นอน แผนภูมิการเชื่อมโยงหนี้ระหว่างกันของ 5 ประเทศที่เศรษฐกิจสั่นคลอน กรีซ อิตาลี ไอร์แลนด์ โปรตุเกส สเปน โดยมีเจ้าหนี้รายใหญ่คือ เยอรมนี อังกฤษ และฝรั่งเศส ตัวเลขครึ่งปีแรกของปีนี้ กรีซมีหนี้ต่างประเทศ (ทั้งในส่วนของธนาคารและภาครัฐ) เพิ่มขึ้นเป็น 5.32 แสนล้านเหรียญสหรัฐ มีทุนสำรองอยู่เพียง 6.84 พันล้านเหรียญสหรัฐ (มีหนี้ต่างประเทศเป็น 77 เท่าของทุนสำรอง), อิตาลี มีหนี้ต่างประเทศรวม 2.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีทุนสำรองอยู่เพียง 1.69 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (มีหนี้ต่างประเทศเป็น 13 เท่าของทุนสำรอง), สเปน มีหนี้ต่างประเทศรวม 1.89 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีทุนสำรองอยู่เพียง 3.38 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (มีหนี้ต่างประเทศเป็น 55 เท่าของทุนสำรอง), โปรตุเกส มีหนี้ต่างประเทศรวม 4.98 แสนล้านเหรียญสหรัฐ มีทุนสำรองอยู่เพียง 2.22 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (มีหนี้ต่างประเทศเป็น 22 เท่าของทุนสำรอง) , ไอร์แลนด์ มีหนี้ต่างประเทศ 1.15 แสนล้านเหรียญสหรัฐ มีทุนสำรองอยู่เพียง 2.11 พันล้านเหรียญสหรัฐ (มีหนี้ต่างประเทศเป็น 54 เท่าของทุนสำรอง) รวมหนี้ต่างประเทศของ 5 ประเทศนี้คือ 5.235 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดยที่ประเทศทั้ง 5 ประเทศเหล่านี้ มีหนี้ต่างประเทศมากกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศหลายสิบเท่าตัว และเป็น 5 ประเทศที่ต่างขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างหนักทั้งสิ้น เปรียบเสมือนว่า 5 ประเทศนี้มีหนี้สินต่างประเทศมหาศาลมากกว่าสินทรัพย์ที่เป็นเงินตราต่างประเทศ แล้วค้าขายต่างประเทศยังขาดทุนทุกปีอีกไม่รู้จะเอารายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศที่ไหนมาชำระหนี้ (สถานภาพคล้ายประเทศไทยก่อนปี 2540) แต่พอหันมาดู 3 ประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ของ 5 ประเทศเหล่านี้ก็มีปัญหาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน โดย ฝรั่งเศส มีหนี้ต่างประเทศ 4.698 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แต่มีทุนสำรองระหว่างประเทศ 1.82 แสนล้านเหรียญ (มีหนี้ต่างประเทศเป็น 26 เท่าของทุนสำรอง) ส่วนอังกฤษหนักสุดมีหนี้ต่างประเทศ 8.98 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่มีทุนสำรองระหว่างประเทศเพียง 1.14 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (มีหนี้ต่างประเทศเป็น 79 เท่าของทุนสำรอง) และทั้ง 2 ประเทศนี้ก็ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างหนักทุกปีเช่นกัน ส่วนเยอรมนีดูฐานะดีกว่าเพื่อนในกลุ่มนี้ เป็นประเทศที่มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดปีละ 1.62 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และมีทองคำมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา โดยมีอยู่ประมาณ 3.4 พันตัน แต่ก็ยังมีหนี้ต่างประเทศทั้งภาครัฐและเอกชนรวมสูงถึง 4.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และมีทุนสำรองระหว่างประเทศเพียง 2.31 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (มีหนี้ต่างประเทศเป็น 20 เท่าของทุนสำรอง) การล้มละลายของยุโรปครั้งนี้จึงย่อมต้องเกิดขึ้นแน่นอน เพียงแต่ว่าจะดิ่งลงแรงขนาดไหน ขึ้นอยู่กับ “หนี้ระยะสั้น” ของแต่ละประเทศนั้นถูกทวงคืนเร็วมากน้อยแค่ไหน และปรับโครงสร้างหนี้ยืดระยะยาวออกไปได้หรือไม่ เพราะยิ่งออกพันธบัตรกู้เงินตราต่างประเทศออกมามากในยามที่ทั่วโลกเห็นสภาพนี้แล้ว ถ้าไม่ถูกโก่งราคาอัตราดอกเบี้ยสูงอย่างหนักก็อาจจะหมดหนทางกู้ ผลก็คือการ “ชักดาบ” เบี้ยวหนี้ หรือบีบเจ้าหนี้ให้ “ลด-ยืดหนี้” หรืออาจถึงขั้นไม่ชำระหนี้เอาดื้อๆ ซึ่งผลร้ายจะทำให้ธนาคารหลายแห่งโดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่นั้นได้รับผลกระทบลามเป็นลูกโซ่ไปเป็นจำนวนมาก และหากความเสียหายของสหรัฐอเมริกาและยุโรปเกิดขึ้น ก็ย่อมส่งผลลามไปถึงภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก เพราะถ้าเศรษฐกิจยุโรปและอเมริกาถดถอยกำลังซื้อหดตัวก็เท่ากับตลาดส่งออกของทั่วโลกย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่จีนและประเทศไทย การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารในยุโรปและอเมริกาในช่วงนี้ และการเข้าออกเร็วขึ้นของเฮดจ์ฟันด์จึงเป็นเพียง “ยอดภูเขา” ของน้ำแข็งที่เพิ่งเริ่มแสดงอาการออกมาเท่านั้น โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศได้ระบุว่าทางรอดของธนาคารในยุโรปต้องเพิ่มทุนสูงถึง 4.6 แสนล้านยูโร (6.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ) นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ธนาคารหลายแห่งในยุโรปเรียกเงินคืนบางส่วนจากเฮดจ์ฟันด์เพื่อมาพยุงฐานะและเพิ่มทุนให้กับธนาคารในยุโรป ทั้งนี้ นางคริสตี ลาการ์ด กรรมการผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ยอมรับเมื่อการประชุมวันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554 ที่กรุงวอชิงตันว่า “ศักยภาพการปล่อยกู้ของเราที่มีมูลค่าเกือบ 4 แสนล้านดอลลาร์เป็นตัวเลขที่พอดีสำหรับเศรษฐกิจทุกวันนี้ แต่อาจจะไม่พอหากเกิดวิกฤตการเงินรุนแรงในประเทศต่างๆ ที่มีความจำเป็นต้องกู้เงินจากไอเอ็มเอฟในเวลาเร่งด่วน” แปลว่าหากมีเงินไม่พอก็มีโอกาสที่ไอเอ็มเอฟ อาจจะเทขายทองคำบางส่วนจากที่มีอยู่ 2,800 ตันออกมาได้อีก ประเทศไทยจึงต้องเตรียมตัวรับกับสภาพวิกฤตที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างรู้เท่าทัน รัฐบาลควรต้องพิจารณาถึงการจัดการกับขบวนการสูบความมั่งคั่งของเฮดจ์ฟันด์ และควรสร้างเสริมอุปนิสัยให้กับคนไทยรู้จักการออมและการประหยัดใช้เงินอย่างมีเหตุผล และใช้จ่ายอย่างระมัดระวังเพื่อเตรียมเงินสำรองเอาไว้รองรับวิกฤตที่กำลังจะมาถึง ไม่ใช่เน้นแต่ส่งเสริมกระตุ้นให้ประชาชนสร้างหนี้เร่งใช้จ่ายเพื่อหวังการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวเพื่อ “ใช้เป็นตัวเลข” ที่จะได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้ขาดดุลกันได้มากขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจทุนนิยมสุดขั้วกำลังทำร้ายและทำลายตัวเองอยู่ในขณะนี้ ปรากฏการณ์นี้ยิ่งเป็นการยืนยันในพระอัจฉริยภาพอีกครั้งหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงพระราชทานปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งจะทำให้ผู้นำไปปฏิบัตินั้นสามารถอยู่รอดได้ในยามวิกฤต
  8. ธปท. เตรียมเรียก "ผู้ค้าทอง" หารือรอบ 2 หวั่นเป็นช่องทางเก็งกำไรค่าเงิน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 กันยายน 2554 00:53 น. ธปท. หวั่นค่าเงินบาทป่วน เตรียมเรียก "ผู้ค้าทอง" ถกรอบ 2 ชี้ นักลงทุนหัวใสเทรดทองคำเป็นช่องทางเก็งกำไรเงินบาท เล็งหามาตรการป้องกัน เพราะยังไม่มีหน่วยงานคุมโดยตรง มีรายงานข่าวว่า ผู้บริหารของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้แสดงความเป็นห่วงความผันผวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะพฤติกรรมของผู้ลงทุนในทองคำ ซึ่งปัจจุบันจะอาศัยช่องทางค้าขายทองคำมาเก็งกำไรค่าเงินบาท เพราะส่วนหนึ่งของพฤติกรรมการซื้อขายทองคำในช่วงหลังเริ่มไม่ได้เป็นการซื้อเพื่อการค้าขายทั่วไปเหมือนในอดีต แต่เป็นการซื้อเพื่อการลงทุนหรือเก็งกำไรกันมากขึ้น นอกจากนี้ การซื้อทองคำในตลาดโลกช่วงหลังก็เริ่มมีผลต่อตลาดอัตราแลกเปลี่ยนที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน ประกอบกับเกิดปัญหาความผันผวนของราคาทองคำโลกที่สูงมากขึ้น ดังนั้น ธปท.อาจเชิญผู้ประกอบการค้าทองคำมาหารืออีกครั้ง ส่วนการที่ ธปท.เชิญผู้ประกอบการเหล่านี้มาคุยในรอบที่แล้ว ธปท. ระบุว่า เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลดูว่า การซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนของนักค้าทองคำ เป็นการซื้อขายเพื่อนำไปซื้อทองคำแล้วมาขายในประเทศไทยเพียงอย่างเดียวหรือไม่ หรือเป็นการซื้อเพื่ออาศัยช่องทางเหล่านี้ในการเก็งกำไรค่าเงินบาทด้วย เพราะที่ผ่านมา ยังไม่มีหน่วยงานใดที่ดูแลเรื่องเหล่านี้โดยตรง ทั้งนี้ เชื่อว่าสมาคมค้าทองคำน่าจะมีข้อมูลอยู่บ้างว่า ผู้นำเข้าทองคำแต่ละรายเมื่อนำเข้าทองคำมาแล้ว ได้ดำเนินการอย่างไร ซึ่งทาง ธปท.อยู่ระหว่างการขอข้อมูลจากสมาคมค้าทองคำ
  9. ธปท.กังวลเทรดทองเก็งกำไรบาท ขู่งัดมาตรการคุมเข้ม หุ้นฟื้นแรงปิดพุ่ง42จุด เศรษฐกิจ 28 กันยายน 2554 - 00:00 ธปท.กังวลนักลงทุนหัวใส เทรดทองคำเป็นช่องทางเก็งกำไรเงินบาท เล็งหามาตรการป้องกัน ด้านหุ้นไทยฟื้นตัวแรง ปิดบวกด 42 จุด กลุ่มสถาบัน-ต่างชาติช่วยหันซื้อ "สมพล" ยันระบบขัดข้องเมื่อวันที่ 26 ก.ย. ไร้การเมืองแทรกแซง แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.กังวลพฤติกรรมของผู้ลงทุนในทองคำจะอาศัยช่องทางค้าขายทองคำมาเก็งกำไรค่าเงินบาท เพราะส่วนหนึ่งของพฤติกรรมการซื้อขายทองคำในช่วงหลังเริ่มไม่ได้เป็นการซื้อเพื่อการค้าขายทั่วไปเหมือนในอดีต แต่เป็นการซื้อเพื่อการลงทุนหรือเก็งกำไรกันมากขึ้น และการซื้อทองคำในตลาดโลกช่วงหลังก็เริ่มมีผลต่อตลาดอัตราแลกเปลี่ยนที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน ประกอบกับเกิดปัญหาความผันผวนของราคาทองคำโลกที่สูงมากขึ้น ดังนั้น ธปท.อาจเชิญผู้ประกอบการค้าทองคำมาหารืออีกครั้ง “การที่ ธปท.เชิญผู้ประกอบการเหล่านี้มาคุยในรอบที่แล้ว ก็เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลดูว่าการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนของนักค้าทองคำเหล่านี้เป็นการซื้อขายเพื่อนำไปซื้อทองคำแล้วมาขายในประเทศไทยเพียงอย่างเดียวหรือไม่ หรือเป็นการซื้อเพื่ออาศัยช่องทางเหล่านี้ในการเก็งกำไรค่าเงินบาทด้วย เพราะที่ผ่านมาก็ยังไม่มีหน่วยงานใดที่ดูแลเรื่องเหล่านี้โดยตรง” แหล่งข่าวกล่าว ทั้งนี้ เชื่อว่าสมาคมค้าทองคำน่าจะมีข้อมูลอยู่บ้างว่าผู้นำเข้าทองคำแต่ละรายเมื่อนำเข้าทองคำมาแล้ว ได้ดำเนินการอย่างไร ซึ่ง ธปท.อยู่ระหว่างการขอข้อมูลจากสมาคมค้าทองคำ ด้านดัชนีหุ้นไทยวันที่ 27 ก.ย. กลับมาฟื้นตัวหลังจากลดลงไปกว่า 100 จุดในช่วง 3 วันที่ผ่านมา โดยปิดซื้อขายที่ระดับสูงสุด 946.62 จุด เพิ่มขึ้น 42.56 จุด มูลค่าการซื้อขาย 35,926.45 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 3,416.16 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 514.52 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 597.62 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 3,499.25 ล้านบาท นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า การรีบาวด์ขึ้นของดัชนีเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 3-4% โดยของไทย +4.71% มูลค่าการซื้อขายประมาณ 35,000 ล้านบาท โดยมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มแบงก์ พลังงาน และหุ้นบิ๊กแคปกลุ่มอื่นๆ สำหรับแนวโน้มวันที่ 28 ก.ย. คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 920 จุด ส่วนแนวต้าน 958-970 จุด โดยปัจจัยหลักที่ต้องติดตาม คือ การแก้ไขวิกฤติหนี้ของยุโรป ส่วนปัจจัยในประเทศต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่จะมีการประกาศในสิ้นเดือนนี้ ด้าน นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงการที่ระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ เกิดเหตุขัดข้องเมื่อวันที่ 26 ก.ย. ว่า เป็นความขัดข้องทางเทคนิค ยืนยันไม่มีการเมืองมาแทรกแซงระบบการซื้อขายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่เกิดขึ้น นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลท. และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ mai กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยจากนี้ไปต้องย้อนกลับมาดูที่พื้นฐาน ซึ่งไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทำให้ดัชนีหุ้นกลับมายืนในระดับปกติ หลังจากวันที่ 26 ก.ย. ดัชนีได้ปรับลดลงหนักแบบผิดปกติ. Thaipost.
  10. ตื่นศก.โลกหุ้นดิ่งนรก90จุด ทองคำผันผวนตลอดวัน วันอังคาร ที่ 27 กันยายน 2554 เวลา 8:42 น จรัมพรเตือนตั้งสติลงทุน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันที่ 26 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเปิดทำการเป็นวันแรกของสัปดาห์ ดัชนียังคงดำดิ่งลงเหวอย่างต่อเนื่องติดต่อ 3 วันทำการจากปลายสัปดาห์ก่อน เนื่องจากนักลงทุนยังผวาการถดถอยของเศรษฐกิจโลก จากปัญหาหนี้สินที่เกิดขึ้นในกรีซ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะลุกลามไปยังประเทศต่าง ๆ ในยุโรป รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐ กดดันให้เปิดการซื้อขายในภาคบ่ายดัชนีหุ้นไทยถลาลงลึกจนแตะระดับ 867.86 จุด ลดลง 90.30 จุด หรือ 9.42% อย่างไรก็ตามเมื่อเวลา 14.36 น. ซึ่ง ตลท.ได้ขึ้นเครื่องหมายฮอล์ ทำให้มีการพักการซื้อขายชั่วคราวประมาณ 5 นาที หลังโบรกเกอร์ไม่สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ เพราะระบบซื้อขายขัดข้องทางเทคนิค เครื่องหมายฮอล์ขึ้นมาเอง โดยตลท.ไม่ได้ดำเนินการแต่อย่างใด และไม่ได้เป็นการหยุดการซื้อขายชั่วคราว 30 นาที (เซอร์กิตเบรกเกอร์) ซึ่งหลังเปิดทำการซื้อขายอีกครั้ง ราคาตลาดหุ้นไทยก็เริ่มดีดกลับแต่ยังอ่อนตัวในแดนลบ จนมาปิดตลาดที่ 904.06 จุด ลดลง 54.10 จุด หรือ 5.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 47,630.63 ล้านบาท ทั้งนี้จากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ได้กดดันให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงนับตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย. ที่ดัชนีหลุดต่ำกว่าระดับ 1,000 จุด โดยปิดตลาดดิ่งลงถึง 39 จุด ต่อเนื่องถึงวันที่ 23 ก.ย. ดัชนีปิดตลาดลดลงต่อ 32.43 จุด และวันที่ 26 ก.ย. ปิดตลาดลดลง 54.10 จุด รวม 3 วันทำการหุ้นลดลงถึง 125.53 จุด ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดลดลง 1.02 ล้านล้านบาท นอกเหนือจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกถดถอยแล้ว ยังมีกระแสข่าวลือแพร่สะพัดทั่วห้องค้าหลักทรัพย์ว่า ตลท.อาจมีการออกมาตรการห้ามทำการยืมหุ้นมาขายล่วงหน้า (ช็อตเซล) ส่งผลให้นักลงทุนตื่นตกใจและเทขายหุ้นออกมา โดยหลังจากที่ตลท.ออกมายืนยันว่าไม่มีการห้ามช็อตเซล ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มคลายกังวล นอกจากนี้ ในวันเดียวกันตลาดอนุพันธ์ได้หยุดทำการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงโลหะเงิน (ซิลเวอร์ฟิวเจอร์ส) เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่เวลา 09.45 น. โดยได้เปิดทำการซื้อขายอีกครั้ง ในเวลา 10.15 น. เนื่องจากราคาลดลง 10% นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า การที่ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงแรงไปกว่า 7-8% เป็นผลจากแรงเทขายหุ้นขนาดใหญ่ (บิ๊กแคป) ทั้งกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ ก่อสร้าง และสื่อสาร ที่มีสัดส่วนรวมกันถึง 63% ของตลาดรวม โดยแม้หุ้นไทยจะลดลงแรง แต่ขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งการบังคับขาย (ฟอร์ซเซล) การยืมหุ้นมาขายล่วงหน้า (ช็อตเซล) เนื่องจากมีจำนวนน้อยเพียง 1% ของมูลค่าการซื้อขายรวม อีกทั้งการปล่อยกู้เพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้น โลน) ยังอยู่ในระดับปกติที่ 30,000 ล้านบาท “สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยลดลงแรงมาก เป็นผลจากแรงเทขายหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลัก เนื่องจากปัจจุบันปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ยังไม่เปลี่ยนแปลง และการลงทุนในตลาดยังมีอัตราปันผลในเกณฑ์ที่ดี ดังนั้น นักลงทุนต้องถามตัวเองว่าที่ตื่นตระหนกเทขายหุ้นออกมาเป็นเพราะอะไร จึงอยากให้ผู้ลงทุนตั้งสติ วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน อย่าตามกระแสข่าวลือมากนัก และควรใช้ดุลพินิจในการลงทุน ส่วนการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ เพื่อลงทุนบริษัทพื้นฐานดีนั้น ถือเป็นมาตรการระยะกลางที่เข้ามาลดความผันผวนของตลาดหุ้น” ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการซื้อขายทองคำในประเทศของวันที่ 26 ก.ย.ว่า เป็นไปอย่างผันผวน ทันทีที่เปิดตลาดในช่วงเช้าปรากฏว่าราคาทองลดลงถึง 11 ครั้ง รวม 1,250 บาท ก่อนทยอยปรับเพิ่มขึ้น 6 ครั้ง 850 บาท รวมตลอดทั้งวันราคาปรับขึ้นลงรวม 17 ครั้ง โดยราคาทองคำแท่งปิดตลาดรับซื้อ 24,000 บาท ขายออก 24,100 บาท รูปพรรณรับซื้อ 23,649.60 บาท ขายออก 24,500 บาท ลดลง 300 บาท เมื่อเทียบกับวันที่ 23 ก.ย. ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซและยูโรโซน นอกจากนี้ ตลาดยังแทบจะไม่มีปฏิกิริยาต่อแถลงการณ์ร่วมของที่ประชุม จี20 ที่จะใช้มาตรการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ. เดลินิวส์
  11. อียูสะดุดแก้วิกฤติหนี้ระดมทุน 'กองทุนแก้หนี้' ส่อแววยืด ความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าของโลกที่มีต่อท่าทีของบรรดาผู้นำในกลุ่มสหภาพยุโรป ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีมาตรการรูปธรรมใดๆ ที่จะทำให้ตลาดใจชื้นขึ้นมาได้ ส่งผลให้บรรดาผู้นำประเทศต่างๆ นำโดยสหรัฐ และจีน และสถาบันการเงินชั้นนำของโลกอย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ต้องลุกขึ้นมากระทุ้งอียูครั้งใหญ่ และที่สร้างความตระหนกได้มากที่สุดก็คือการที่ คริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ ประกาศเสียงดังฟังชัดในระหว่างการนำเสนอแผนปฏิบัติการต่อคณะกรรมการบริหารในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า กองทุนไอเอ็มเอฟอาจมีเงินไม่พอช่วยเหลือวิกฤตหนี้ของยุโรป หากสถานการณ์ในปัจจุบันบานปลาย หรือก็คือ กรีซผิดนัดชำระหนี้ หรือพูดให้ง่ายเข้าก็คือ อียูต้องเริ่มจริงจังกับปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซเพื่อไม่ให้ลุกลามไปประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิตาลีและสเปน ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจสำคัญของภูมิภาค และก่อนที่ปัญหาดังกล่าวจะบานปลายเข้าสู่ระบบการเงินการธนาคารของกลุ่มอียู แรงกระตุ้นดังกล่าวส่งผลให้โลกใจชื้นขึ้นมาได้บ้างเมื่อกลุ่มสหภาพยุโรปได้ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่าจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาระบบเงินยูโร เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนที่ลงทุนในตราสารสกุลยูโร พร้อมๆ กับการประกาศเพิ่มวงเงินให้กับ Rescue Fund หรือกองทุนรักษาเสถียรภาพทางการเงินยุโรป (อีเอฟเอสเอฟ) โดยได้รับการยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะจาก ออลลี เรห์น ข้าหลวงใหญ่ คณะกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป กองทุนดังกล่าวถือเป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหาหนี้ยุโรป ซึ่งเพิ่งจะจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2553 เพื่อช่วยเหลือประเทศที่ประสบวิกฤตหนี้จำนวนมหาศาล ทั้งนี้ การประกาศเพิ่มจำนวนเงินในกองทุนนี้ก็เพื่อให้มีเม็ดเงินเพียงพอที่จะช่วยเหลือเศรษฐกิจ และธนาคารพาณิชย์ยุโรป ในกรณีที่สถานการณ์เลวร้ายลง และเป็นการเรียกความเชื่อมั่นของตลาดให้กลับมาอีกครั้งหนึ่งว่า ไม่ว่าอย่างไร อียูก็ไม่ยอมปล่อยให้กรีซล้มจนกระชากประเทศอื่นๆ ล้มไปด้วยแน่นอน แม้จะยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจำนวนที่จะต้องเพิ่มมีมูลค่าเท่าใด แต่บรรดานักวิเคราะห์ต่างพากันประเมินแล้วว่า เพื่อให้กองทุนสามารถรองรับกับวิกฤตที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้ ในกรณีที่ถ้าหากสถานการณ์หนี้ลุกลามถึงสเปนและอิตาลี อียูต้องเพิ่มจำนวนเงินเข้าไปในกองทุนนี้อย่างน้อยที่สุดถึง 2 ล้านล้านยูโร จากเดิมที่ปัจจุบันกองทุนนี้สามารถปล่อยเงินกู้ได้ 4.4 แสนล้านยูโร (ราว 18.5 ล้านล้านบาท) นอกจากนี้ อียูยังเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับตลาดด้วยการเตรียมตั้งกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (อีเอสเอ็ม) เป็นกองทุนถาวรแทนอีเอฟเอสเอฟ และจะเริ่มปฏิบัติงานในปี 2556 โดย แองเกลา แมร์เกิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี คาดหวังว่า กองทุนถาวรที่จะจัดตั้งขึ้นจะมีกลไกป้องกันประเทศอื่นๆ ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตหนี้ในกรีซ อย่างไรก็ตาม แม้จะหนักแน่นว่าอียูพร้อมเพิ่มเงินกองทุนในไม่ช้า แต่เอาเข้าจริงกลับไม่มีรายละเอียดใดๆ ออกมาชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นระเบียบแผนการ วันเวลา จำนวนเงินที่จะเพิ่ม หรือตัวตนผู้ที่จะเข้ามามีหน้าที่รับผิดชอบดูแลกองทุนดังกล่าว และมีเพียงคำยืนยันแค่ว่าอียูกำลังพิจารณาอยู่ ขณะที่สถานการณ์ภายในของกลุ่มอียูในขณะนี้ก็มีสิทธิพลิกผันให้แผนเพิ่มเงินในกองทุนช่วยเหลือกลายเป็นความหวังที่เลื่อนลอยต่อไปได้ ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญอันดับแรกสุดก็คือ การตัดสินใจในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับมติเห็นชอบของรัฐบาลแต่ละประเทศในกลุ่มอียูทั้งหมดเสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลของเยอรมนี หัวเรือใหญ่ ซึ่งเตรียมลงมติเห็นชอบในการเพิ่มอำนาจให้กองทุนอีเอฟเอสเอฟเพื่อสามารถเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล อัดฉีดเงินเพื่ออุ้มธนาคาร และสามารถอนุมัติการปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศที่ประสบปัญหา ในวันพฤหัสบดีที่ 29 ก.ย.นี้ แม้นายกรัฐมนตรีแองเกลา แมร์เกิล จะยืนยันหนักแน่นว่าแผนการเพิ่มเงินกองทุนไม่น่ามีปัญหา แต่ท่าทีของฝ่ายค้านและกระแสตอบรับของประชาชนภายในประเทศต่อการแก้ปัญหาหนี้กรีซที่ผ่านมาก็ชวนให้หวั่นใจว่าการลงมติในครั้งนี้อาจไม่ได้ง่ายดายหรือเป็นเอกฉันท์ดังคาด และยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงกระบวนการจัดหากลไกป้องกัน นอกจากนี้ การที่จะหวังพึ่งความช่วยเหลือจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ไม่ช่วยอะไรมากนัก เพราะเจ้าหน้าที่อาวุโสของอีซีบี เช่น คลอส เรกลิง ซึ่งทำหน้าที่ดูแลการให้เงินช่วยเหลือก็ออกตัวก่อนแล้วว่า การระดมทุนในครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้อีซีบีเข้ามามีส่วนร่วมด้วย พร้อมกับที่ ลอเรนโซ บินิ สเมกี สมาชิกคณะกรรมการบริหารอีซีบียังแนะนำให้อียูจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแลตลาดการเงินโดยเฉพาะเหมือนเช่นที่สหรัฐเคยทำ หรือพูดให้ง่ายก็คือ ให้อียูจัดการกันเอาเอง อีซีบีไม่ขอยุ่ง ขณะที่บรรดาธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ในภูมิภาค รวมถึงธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายต่างก็เข็ดขยาดที่จะยื่นมือเข้าช่วย เพราะต่างก็เกรงว่าหากช่วยระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรเพิ่มขึ้นอาจทำให้อันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารโดนปรับลด เหมือนที่ธนาคารในกรีซ ฝรั่งเศส และอิตาลีโดน จนส่งผลต่อการคงอยู่ของธนาคารในอนาคต ประกอบกับการที่กลุ่มอียูยังไม่สามารถออกมาตรการใดๆ ที่จะรับรองความปลอดภัยจากการล้มละลายหรือช่วยป้องกันระบบการเงินการธนาคารของภูมิภาคได้ ยิ่งส่งผลให้การระดมทุนเข้ากองทุนช่วยเหลือในครั้งนี้มีอุปสรรคก้อนใหญ่ตั้งขวางอยู่ เมื่อพิจารณาถึงอุปสรรคหลายด่านที่กลุ่มอียูต้องเผชิญส่งผลให้บรรดานักวิเคราะห์ต่างหวั่นใจว่า ท้ายที่สุดการระดมทุนช่วยเหลืออาจเป็นเพียงแค่ยาหอมชั่วครั้งชั่วคราวที่ทำให้หายใจได้คล่องชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น Post Today Last update : 9/27/2011 1:08:44 PM
  12. Morning ครับ ทุกๆท่าน ขอนำมุมมองของ คุณน้องดำ แห่งเว็บ namchiang.com มาให้อ่านนะครับ !031 สถิติต่างๆ Dow Jones ปิด 1649.70 เหรียญ +21.70 เหรียญ หรือ +1.33 % ep 27, 2011 17:15 NY Time Bid/Ask 1649.70 - 1650.70 Low/High 1629.70 - 1678.10 Change +21.70 +1.33% 30daychg -179.40 -9.81% 1yearchg +355.10 +27.43% ทองแท่งไทย ปิด 24500-24600 ราคาเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น +500 บาท =============================================================== ================================================================= ================================================================= บทวิเคราะห์ ทิศทางราคาทองต่างประเทศ ใช้ indicator - PPO ระยะสั้น เป็นแนวโน้มลง ระยะสั้น-กลาง เป็น แนวโน้ม ลง ===================== ===================== ภาพรวม ราคาทองเริ่มฟื้นตัว เพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่ต้องพ้น 1665 ก่อน จึงจะเริ่มดูดี และพ้น 1675 ก่อน เพื่อยืนยันอีกหน ภาพรวม ยังไม่ถือว่า เป็นขาขึ้น โอกาสกลับลงต่อก็ยังมี มีแนวรับบริเวณ 1640 1613 และ 1600 หากต่ำกว่า 1610 จะกลับเริ่มดูไม่ดีอีกหน วันนี้น่าจะเป็น sideway ช่วงราคา 1640-1665 รอดูทิศทางต่อไป... New York ลงจาก 1668 มายัง 1642 ปิด 165028 ปิดสูง 1650 ค่อนข้างต่ำ วันนี้ ต้อง - ระวังแนวรับ 1640 เบื้องต้น ระยะสั้น-กลาง จะเป็นขาขึ้น ราคาต้องขึ้นเหนือ 1750 ขึ้นไปเท่านั้น แนวรับ 1640 1614 1600 แนวต้าน 1665 1675 1715-20 คาดว่าราคาทองเช้านี้น่าจะเปลี่ยนลดลง -300 บาท ==================
  13. ทองคำปิดร่วงอีก 45 ดอลล์ 27 กันยายน 2554 เวลา 07:56 น. สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอีก 40 ดอลล์เนื่องจากนักลงทุนยังคงเดินหน้าเทขายทองคำเพื่อชดเชยการขาดทุนในตลาดอื่นๆ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ดิ่งลง 45 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 1,594.8 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค.เป็นต้นมา โดยในระหว่างวัน สัญญาทองคำเคลื่อนไหวในกรอบ 1,535.00-1,666.30 ดอลลาร์ นักลงทุนยังคงกระหน่ำขายสัญญาทองคำเพื่อชดเชยสภาพคล่องที่ตึงตัว อันเนื่องมาจากการขาดทุนในตลาดอื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้นที่ร่วงลงอย่างหนักในช่วงหลายวันที่ผ่านมา นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากซีเอ็มอี กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้บริหารตลาดทองคำล่วงหน้า COMEX ประกาศขึ้นค่ามาร์จิ้น หรือเงินหลักประกันในการซื้อสัญญาทองคำอีก 21.4% เป็น 11,475 ดอลลาร์/สัญญาทอง 100 ออนซ์ ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการซื้อขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 15% และส่งผลให้สัญญาทองคำร่วงลงอย่างหนัก ทั้งนี้ การประกาศขึ้นค่ามาร์จิ้นสัญญาทองคำของซีเอ็มอีมีเป้าหมายที่จะสกัดการเก็งกำไรในตลาด หลังจากสัญญาทองคำทะยานขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากธนาคารเอชเอสบีซีมองว่า สัญญาทองคำมีแนวโน้มดีดตัวขึ้นอีกเมื่อวงจรของการเทขายสิ้นสุดลง โดยที่ผ่านมานั้นตลาดทองคำผันผวนอย่างหนักเนื่องจากการเก็งกำไรในระยะสั้น http://www.posttoday.com/
  14. ขออนุญาตนำมุมมองของคุณน้องดำ แห่งเว็บน่ำเชียงมาเผยแพร่ต่อนะครับ สถิติต่างๆ Dow Jones ปิด 1628.00 เหรียญ -29.20 เหรียญ หรือ -1.76 % Sep 26, 2011 17:15 NY Time Bid/Ask 1628.00 - 1629.00 Low/High 1531.90 - 1639.90 Change -29.20 -1.76% 30daychg -201.10 -10.99% 1yearchg +331.00 +25.52% ทองแท่งไทย ปิด 24000-24100 ราคาเปลี่ยนแปลงลดลง -300 บาท =============================================================== ================================================================= =================================================================[/color] บทวิเคราะห์ ทิศทางราคาทองต่างประเทศ ใช้ indicator - PPO ระยะสั้น เป็นแนวโน้มลง ระยะสั้น-กลาง เป็น แนวโน้ม ลง ===================== ===================== ภาพรวม ราคาทองเริ่มฟื้นตัว หลังจากที่มีการตกลงอย่างรุนแรง แนวต้านสำคัญ 1665 ราคาต้องพ้น 1700 ก่อนจึงจะเริ่มดูดี ยังถือว่าเป็นขาลง แนวรับสำคัญ 1580 และ 1530 วันนี้น่าจะเป็น sideway ช่วงราคา 1600-1640 และ 1580-1665 New York ปิด 1628 ปิดสูง ค่อนข้างจะแข็งแรง เบื้องต้น จะเป็นขาขึ้น ราคาต้องขึ้นเหนือ 1750 ขึ้นไปเท่านั้น แนวรับ 1600 1580 1530 แนวต้าน 1640 1665 1700 คาดว่าราคาทองเช้านี้น่าจะเปลี่ยนเพิมขึ้น +150 บาท ==================
  15. ทองปรับลด-คนแห่ซื้อแน่น 26 กันยายน 2554 เวลา 17:22 น. นายกสมาคมค้าทองเผยราคาทองปรับลงแรงผิดปกติ เตือนนักลงทุนระมัดระวัง ขณะที่คนแห่ซื้อทองเก็งกำไรแน่น นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำในประเทศที่ปรับตัวลดลงเนื่องจากราคาทองคำโลกที่ลดลงเนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจสถานการณ์วิกฤตสหรัฐและยุโรป และคาดโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวลดลงมีอีก เนื่องจากเป็นการปั่นราคาจากกองทุนต่างประเทศ "ค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลง 10สต.จะทำให้มีผลต่อราคาทองประมาณ 80 บาท ที่ผ่านมาค่าเงินบาทอ่อนค่า 60 สต.มีผลทำให้ราคาทองประมาณ 400 บาท"นายจิตติกล่าว นายจิตติกล่าวว่า การที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงในครั้งนี้ไม่สมเหตุสมผลและผิดปกติ เนื่องจากสหรัฐและยุโรป ยังมีวิกฤตราคาทองคำ ราคาหุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาตกหมดแต่ทำไมเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น ซึ่งนักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุน ทั้งนี้ราคาทองได้ทะลุแนวต้านที่ 1,650 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และมีแนวโน้มราคาจะปรับมากอยู่ที่ 1,600 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ทำให้ราคาทองคำขายในประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 2.2-2.3 หมื่นบาท สำหรับบรรยายกาศการซื้อขายทองในย่านเยาวราช มีประชาชนจำนวนมากมาเข้าแถวซื้อทองอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากลูกค้าเชื่อว่าราคาทองมีโอกาสจะปรับขึ้นไปอีกในช่วงปลายปีและต้นปีหน้า โดยลูกค้าที่ซื้อทองยังคงได้ใบจองและต้องมารับทองได้อีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ขณะที่ราคาทองคำวันที่ 26 ก.ย. มีการปรับขึ้น-ลงทั้งสิ้น 17 ครั้ง โดยราคาล่าสุด ทองคำแท่งขายออกบาทละ 24,100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 24,500บาท
  16. โอบามาจี้ยุโรปแก้ปัญหาหนี้อย่างจริงจัง 27 กันยายน 2554 เวลา 07:17 น. โอบามา วิงวอนยุโรปขอให้เริ่มขยับแก้ปัญหาในบัดนี้ ชี้วิกฤติหนี้ยุโรปกำลังทำให้โลกกลัว ในขณะที่เจ้าหน้าที่กลุ่มยูโรโซนกำลังเร่งทำงานเพื่อขยายทุนภายในกองทุนเพื่อเสถียรภาพทางการเงินแห่งยุโรป จากเดิมที่ 4.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเพื่อฟื้นความมั่นใจให้กับนักลงทุนว่ายุโรปมีเงินเพียงพอในการสู้วิกฤตหนี้ ล่าสุด ทางด้านประธานาธิบดี บารัค โอบมา แห่งสหรัฐ ได้ออกโรงกดดันให้ยุโรปเริ่มแก้ปัญหาหนี้อย่างจริงจังได้แล้ว และว่า วิกฤตนี้กำลังเป็นภัยคุกคามเศรษฐกิจโลกอยู่อย่างน่ากลัว โอบามากล่าวว่า “วิกฤตนี้กำลังทำให้โลกหวาดผวา” และว่าผู้นำกลุ่มประเทศยูโรโซน 17 ชาติที่ใช้เงินสกุลยูโรนั้นยังไม่ตอบรับกับปัญหาได้อย่างรวดเร็วเพียงพอนัก “พวกเขากำลังพยายามแก้ไข แต่ทว่ายังไม่รวดเร็วตามที่ต้องการ ” โอบามา กล่าวที่แคลิฟอร์เนีย ด้าน นาย บินนี สมัคกี สมาชิกกรรมการบริหารของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กล่าวว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ผู้กำหนดนโยบายของกลุ่มยูโรโซนกำลังหารือกันถึงขั้นต่อไปว่าจะขยายกองทุนอีเอฟเอสเอฟ ได้อย่างไร ซึ่งหนทางหนึ่งอาจจะเป็นการกู้ยืมเงินมาจากธนาคารกลางยุโรปแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เงินจากภาษีของประชาชนยุโรป ซึ่งทางด้านรัฐบาลของสหภาพยุโรปจะเป็นผู้ตัดสินใจในกระบวนการนี้ ที่ผ่านมา ยุโรปถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าทำงานแก้ปัญหาหนี้กรีซได้อย่างเชื่องช้า อีกทั้งหลายประเทศโดยเฉพาะเยอรมนี ซึ่งเป็นพี่ใหญ่สุดของกลุ่มยูโรโซนกำลังเกิดกระแสต่อต้านขึ้นในประเทศที่ไม่ต้องการให้รัฐบาลต้องเจียดเงินภาษีของประชาชนไปช่วยเหลือกรีซที่ไม่มีวินัยทางการคลัง ซึ่งปัญหาดังกล่าวทำให้การแก้ปัญหาหนี้ของกรีซไม่เด็ดขาด และไม่รวดเร็วเพียงพอ อีกทั้งยังมีกระแสความวิตกกันว่าในที่สุดยุโรปจะปล่อยให้กรีซกลายเป็นหนี้เสียไป โดยนักเศรษฐศาสตร์ของยุโรปต่างคาดการณ์ว่ากรีซจะกลายเป็นหนี้เสียในทีสุดภายในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้หรือไม่ก็อาจจะเร็วกว่านั้น โดยในวันพฤหัสฯนี้ รัฐสภายุโรปจะออกเสียงโหวตกันครั้งสำคัญว่าจะเห็นชอบกับแผนการขยายทุนของกองทุนอีเอฟเอสเอฟดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งถ้าหากมติดังกล่าวไม่ผ่านก็จะทำให้เยอรมนีไม่อาจนำเงินภาษีของประชาชนไปช่วยขยายกองทุนดังกล่าวได้ นอกจากนั้น ในการประชุมของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ (จี20) ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ บรรดาผู้นำยุโรป ก็ถูกกดดันอย่างหนักจากสหรัฐ และประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอื่นๆ ให้ทำงานแก้ปัญหาดังกล่าวให้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะสกัดกั้นไม่ให้ วิกฤตหนี้ของกรีซลุกลามไปยังประเทศยูโรโซนอื่นๆ ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อระบบการเงินของยุโรปอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ของยุโรป บอกว่าหนึ่งในแผนการรับมือก็คือการเตรียมพร้อมที่กรีซจะกลายเป็นหนี้เสียในท้ายที่สุดแล้วและยุโรปก็ได้เตรียมแผนขยายกองทุนอีเอฟเอสเอฟดังกล่าวไว้บ้างแล้ว http://www.posttoday.com
  17. หุ้นสหรัฐปิดบวกแรง 27 กันยายน 2554 เวลา 06:12 น. |เปิดอ่าน 542 | ความคิดเห็น 0 ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ปิดที่ 11,043.56 จุด เพิ่มขึ้น 272.08 จุด ด้านแนสแดค ปิดที่ 2,516.69 จุด เพิ่มขึ้น 33.46 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกอย่างแรงเมื่อวันจันทร์(26) ตามทิศทางของตลาดหุ้นในยุโรป ขณะที่นักลงทุนเริ่มมีความหวังว่ายูโรโซนจะหาทางคลี่คลายวิกฤตหนี้ที่กำลังลุกลามได้ ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 272.08 จุด (2.53 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 11,043.56 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 33.46 จุด (1.35 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,516.69 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 26.50 จุด (2.33 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,162.93 จุด ราคาน้ำมันขยับขึ้นท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนเมื่อวันจันทร์(26) หลังมีมุมมองทางบวกว่าเจ้าหน้าที่ยุโรปและธนาคารต่างๆจะสามารถจัดการกับวิกฤตหนี้ยูโรโซนได้ สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 39 เซนต์ ปิดที่ 80.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอนงวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 3 เซนต์ ปิดที่ 103.94 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
  18. คาดราคาทองคำพุ่งขึ้นต่อเนื่อง นักลงทุนหนีความเสี่ยง ดอลลาร์-น้ำมัน-หุ้น โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 กันยายน 2554 21:07 น. “เลขาฯสมาคมค้าทองคำ” ประเมินทิศทางราคาทองคำ ยังโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯที่ยังไม่ดี รวมถึงในยูโรโซน กดดันให้นักลงทุนหนีเงินสกุลดอลลาร์ น้ำมัน และ หุ้น หันมาลงทุนในทองคำเพิ่มเติม แม้ปัจจุบันมีการปรับฐานลงไปบ้างแล้ว นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยถึงแนวโน้มราคาทองคำ ว่า ปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯยังไม่มีท่าทางจะฟื้นในช่วง 2-3 ปีนี้แน่นอน เนื่องจากนโยบายในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาไม่สามารถลดตัวเลขคนว่างงานในประเทศลงได้ ขณะที่ปัญหาการบริโภคภายในประเทศก็ไม่กระเตื้องขึ้น ประกอบกับนักลงทุนไม่มีความเชื่อมั่นในสกุลเงินดอลลาร์ จึงได้เปลี่ยนจากการถือครองดอลลาร์, น้ำมัน และหุ้น มาที่ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงและปลอดภัยสูง ดังนั้น ทำให้ทองคำจึงเป็นสินทรัพย์ที่มีความต้องการสูงทั้งจากธนาคารกลางของประเทศต่างๆ และนักลงทุน ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะมีการปรับฐานลงมาบ้างแต่ยังคงสามารถที่จะยืนได้เหนือระดับที่ 1,800 เหรียญ/ออนซ์ได้ นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความวิตกกังวลถึงประเด็นหนี้สินรัฐบาลในประเทศกลุ่มยูโรโซนที่ทั่วโลกกำลังจับตามองว่ารัฐบาลเยอรมันและฝรั่งเศส ซึ่งเป็นแกนสำคัญนั้น จะมีนโยบายใหม่ๆ ออกมาเพื่อยับยั้งปัญหาไม่ให้ลุกลามไปยังประเทศสมาชิกอื่นๆในแถบยูโรโซนได้หรือไม่ ส่วนในอีกหลายๆ ประเทศของกลุ่ม เริ่มออกมาตราการเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศของตน โดยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ในประเทศต้องเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองเผื่อหนี้สูญ รวมทั้งลดการก่อหนี้สาธารณะเพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อการชำระหนี้คืนในอนาคต และเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนในเศรษฐกิจโลก ปัจจัยเหล่านี้ มีผลทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในเอเชียเพิ่มมากขึ้น เพราะมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง เช่น จีน, อินเดีย, เกาหลีใต้, ไทย, มาเลเซีย, อินโดนิเซีย, เวียดนาม เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้แต่ละประเทศมีเงินไหลเข้าจำนวนมาก และไปซื้อทองคำเพิ่มมากขึ้นจนอุปสงค์ต่อทองคำมีมากกว่าปริมาณที่ผลิตได้ หมายถึงยิ่งทำให้ราคาทองคำให้สูงขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การที่แต่ละประเทศจะเปลี่ยนสัดส่วนจากสกุลเงินตราต่างประเทศมาเป็นทองคำนั้น ธนาคารกลางแต่ละชาติต้องคำนวณถึงสภาพคล่องด้วย เพราะถ้านำเงินที่มีอยู่มาซื้อทองคำจำนวนมาก เมื่อเกิดปัญหาการเงินภายในประเทศขึ้น สภาพคล่องที่จะเปลี่ยนทองคำมาเป็นเงินนั้น อาจมีความคล่องตัวน้อยกว่าการถือเงินสด ซึ่งอาจจะกระทบต่อปริมาณเงินหมุนเวียนในประเทศได้
  19. วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7604 ข่าวสดรายวัน หวั่นศก.โลกทรุดฉุดหุ้นไทย-ทองดิ่ เอ็มดีตลท.กลัวซ้ำรอย"วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์" ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 23 ก.ย. ดัชนีปิดที่ 958.16 จุด ลบ 32.43 จุด หรือ 3.27% โดยเปิดตลาดช่วงเช้าดัชนีอยู่ที่ 969.7 จุด ปรับลดลงทันที 20.89 จุด ลบ 2.11% ก่อนจะเคลื่อนไหวในแดนลบต่อเนื่องจนไปทำจุดต่ำสุดของวัน ที่ดัชนี 940.42 จุด ลดลง 50 จุด ลบ 5% ดัชนีต่ำสุดในรอบ 7 เดือน หลังจากนั้นดัชนีเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้ปิดทำการซื้อขายภาคเช้าดัชนีอยู่ที่ 947.98 จุด ลดลง 42.61 จุด มีผลให้ นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ต้องออกมาให้สัมภาษณ์เพื่อสร้างความมั่นใจกับ นักลงทุน ส่งผลให้เปิดตลาดภาคบ่ายดัชนีปรับขึ้นทันทีในลักษณะผันผวนตลอดชั่วโมงซื้อขาย โดยสรุปมูลค่าการซื้อขายที่ 50,108.85 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 3,154 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 4,055 ล้านบาท นายจรัมพรกล่าวว่า การปรับตัวลดลงแรงของตลาดหุ้นไทยในครั้งนี้ เกิดจากปัจจัยที่นักลงทุนต่างชาติไม่มีความมั่นใจต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐ กรณียังไม่มีรายได้ใหม่เข้ามา และยังมีปัญหาการเงินยืดเยื้อ ขณะเดียวกันสถานการณ์เศรษฐกิจการเงินและหนี้สาธารณะในยุโรปยังไม่แน่นอนและมีโอกาสบานปลาย ซึ่งคาดว่าเม็ดเงินในตลาดหุ้นเอเชียในช่วงนี้ยังไหลออก เพื่อนำเงินไปชดเชยการขาดทุนในฝั่งสหรัฐ และยุโรป "ลักษณะการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นในรอบนี้จะคล้ายกับปี "51 หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งขณะนั้นตลาดหุ้นไทยมีการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติถึง 1.58 แสนล้านบาท และช่วงวิกฤตการเมืองไทยเมื่อเดือนพ.ค.53 ต่างชาติขายสุทธิ 5.8 หมื่นล้านบาท ส่วนตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิทั้งสิ้น 3.1 หมื่นล้านบาท" นายจรัมพร กล่าว ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การที่หุ้นตกอย่างหนักมาจากความตกใจ เนื่องจากผู้นำการเงินโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และรัฐมนตรีคลังสหรัฐออกมาพูดว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะอันตราย ซึ่งปกติไม่ค่อยมีผู้นำด้านการเงินโลกออกมาพูดลักษณะนี้ และมีมาตรการให้ซื้อคืนพันธบัตรจากผู้ที่ถือครองอยู่ ซึ่งเท่ากับว่าจะเป็นการเพิ่มปริมาณเงินเข้ามาระบบ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการเคลื่อนไหวของราคาทอง คำ มีการปรับตัวผันผวนตลอดวันตามตลาดโลก ซึ่งทั้งวันมีการปรับราคาถึง 14 รอบ ก่อนมาปิดตลาดที่ ทองแท่งรับซื้อบาทละ 25,300 บาท ขายออก 25,400 บาท ทองรูปพรรณซื้อคืนบาทละ 24,938.20 บาท ขายออก 25,800 บาท ลดลง 400 บาท เมื่อเทียบกับราคาปิดวันที่ 22 ก.ย. นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำผันผวนครั้งนี้ถือว่าเป็นไปตามความคาดหมาย เพราะราคาทองเมื่อขึ้นสูงสุดก็ต้องตกลงมา แต่ที่น่าจับตาคือการที่เงินบาทอ่อนค่าลงและกลับแข็งค่าขึ้น ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และหากค่าเงินมีการผันผวนเพียง 10 ส.ต.ก็ทำให้ราคาทองคำผันผวนถึง 85 บาท แต่ 2-3 วันที่ผ่านมาค่าเงินมีการผันผวนกว่า 90 ส.ต.จึงมีส่วนทำให้ราคาทองคำมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
  20. วันที่ 24 กันยายน 2554 08:31 ตลาด'หุ้น-ทอง'เข้ายุค"ขาลง"? โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ นักวิเคราะห์ประเมินภาวะขณะนี้ นักลงทุนมุ่งหน้าเล่นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และเงินดอลลาร์ ฉุดตลาดหุ้น-ทองคำสู่ทิศทาง"ขาลง"ส่วนจีนแนวโน้มไม่ดี การดิ่งลงอย่างหนักของดัชนีหุ้นในตลาด ที่ทำให้อาทิตย์นี้กลายเป็นสัปดาห์ที่ตลาดหุ้นขาดทุนครั้งใหญ่สุดนับแต่ปี 2551 เป็นต้น ผลมาการฟื้นตัวอย่างซบเซาของเศรษฐกิจโลก ที่ทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่า รัฐบาลชาติกำลังพัฒนาจะจัดหามาตรการต่างๆ เข้ามาสนับสนุนตลาด ชุง ยุน ซิก หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ลงทุน ด้านตลาดหลักทรัพย์ จากไอเอ็นจี อินเวสต์เมนท์ แมเนจเมนท์ โคเรีย ซึ่งบริหารพอร์ทลงทุนมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์ ชี้ว่า ตลาดมองเห็นกระแสการเทขายอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น "แม้เราอาจจะเห็นบางประเทศ มีการเคลื่อนไหวเพื่อเข้ามาสนับสนุนตลาด แต่ผมคิดว่า การที่จะทำให้ตลาดเกิดความรู้สึกที่มั่นคงได้นั้น จะต้องเกิดจากการนำมาตรการที่เด็ดขาดเข้ามาใช้แก้ไขปัญหาหนี้" นายชุง กล่าว จนถึงขณะนี้ เกาหลีใต้ให้คำมั่นที่จะต่อสู้กับ "พฤติกรรมการจับกลุ่ม" ภายในตลาดการเงิน ขณะที่กองทุนประกันสังคมจีน มีแผยเข้าลงทุนมากกว่า 10,000 ล้านหยวน ในตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยว่า ยังไม่มีแผนที่จะนำมาตรการใดๆ เข้ามาใช้ เพราะภาวะซบเซาที่เกิดขึ้น มีสาเหตุมาจากความวิตกเกี่ยวกับเศรษฐกิจของสหรัฐ และวิกฤติหนี้ยุโรป ดัชนีคอมโพสิต ของตลาดหลักทรัพย์จาการ์ตา อินโดนีเซีย ก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นมา จากที่ทรุดหนักไปถึง 8.9% เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (22 ก.ย.) หลังตลาดหลักทรัพย์ระบุว่า จะนำมาตรการเข้ามาใช้หากสถานการณ์ในตลาดย่ำแย่ลงไปกว่านี้ ในเวลา 1 สัปดาห์ นับถึงวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา ตลาดเกิดใหม่เจอกับเงินลงทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไปมากถึง 1,400 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นการไหลออกเป็นสัปดาห์ที่ 8 ติดต่อกัน เคลลี กว็อก นักวิเคราะห์จากซิตี้กรุ๊ป ชี้ว่า ตลาดเกิดใหม่กำลังเจอกับแนวโน้มเงินไหลออกอย่างต่อเนื่อง เพราะสถานการณ์ในยุโรป ที่นักลงทุนพุ่งเป้าจับตาอยู่ ยังไม่มีพัฒนาการใหม่ๆ เกิดขึ้น นอกจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และเงินดอลลาร์แล้ว ดูเหมือนการลงทุนทุกประเทศจะได้รับผลกระทบจากความวิตกในเรื่องเศรษฐกิจโลกถดถอยเป็นรอบที่ 2 ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึง น้ำมันดิบ และทองแดง ดิ่งลงอย่าง เพราะหวั่นเกรงในเรื่องภาวะเศรษฐกิจซบเซา ที่หมายความถึง การบริโภควัตถุดิบลดน้อยลง แม้กระทั่งทองคำ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งปลอดภัยสำหรับการลงทุน ก็ร่วงลงเช่นกัน เพราะความกลัวในเรื่องข้างต้น ทำให้นักลงทุนบางรายตัดสินใจเทขายสินทรัพย์ทุกอย่าง ที่มองว่ามีความเสี่ยง หรือมีการเก็งกำไร "ผมว่าเรากำลังเจอกับตลาดที่อยู่ในภาวะหมี และคำถามก็อยู่ตรงที่ว่า สถานการณ์จะเลวร้ายลงไปมากเท่าใด" ฟิล รอธ หัวหน้านักวิเคราะหตลาดทางเทคนิค จากมิลเลอร์ ทาบัค พลัส โค บริษัทโบรกเกอร์ ในสหรัฐกล่าว และว่า ทั้งดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ และเอส แอนด์ พี 500 ของสหรัฐ ต่างมุ่งหน้าไปสู่ขาลงมากขึ้น ทิม ชโรเดอร์ ผู้จัดการกองทุนมูลค่า 1,000 ล้านในเพนกานา แคปิตัล ในนครเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ระบุว่า ดูเหมือนการเทขายอย่างหนักในตลาดหุ้น จะสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปได้มากขึ้นว่า เศรษฐกิจโลกกำลังมุ่งหน้าสู่ภาวะถดถอย ตลาดยังมีความรู้สึกว่า เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายทั่วโลก ต่างมีความสามารถอย่างจำกัด ในการบรรเทาสถานการณ์ เพราะจำเป็นต้องดำเนินนโยบายรัดเข็มขัด นักลงทุนอีกจำนวนหนึ่ง มองว่า มาตรการขายพันธบัตรระยะสั้น เพื่อเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาว ที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ประกาศออกมานั้น อาจจะเพียงพอสำหรับการเหนี่ยวรั้งเศรษฐกิจไม่ให้อ่อนแอไปมากกว่านี้ แต่การที่สภาคองเกรสสหรัฐ ยังเจอทางตันจากความขัดแย้งด้านงบประมาณรอบใหม่ ที่อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐตกอยู่ในภาวะขาดเงินนั้น ทำให้เหล่านักลงทุนเกิดความกังขาขึ้นมาว่า รัฐบาลกรุงวอชิงตันจะสามารถเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจได้หรือไม่ "เป็นเรื่องชัดเจนว่า เฟดไม่มีเครื่องมือเหลือแล้ว" บ็อบ เวิร์ธทิงตัน ประธานบริหารแฮทเทอรัส ฟันด์ หน่วยงานด้านการลงทุนกล่าว เวิร์ธทิงตัน ซึ่งลงทุนกองทุนบริหารความเสี่ยง (เฮดจ์ฟันด์) จำนวนหนึ่งด้วยนั้น กองทุนเกือบทั้งหมดของเขา ต่างอยู่ในสถานะการลงทุนระยะสั้น หรือไม่เช่นนั้น ก็ถือเงินสด และรอดูท่าทีอยู่ข้างตลาด ขณะเดียวกัน เหล่าผู้จัดการการเงิน ต่างก็พากันรับข้อมูลการวิเคราะห์ต่างๆ ที่บ่งชี้ว่า กรีซเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี่ไม่ได้ และกำลังกังวลว่า ความพยายามของชาติยุโรปเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์นี้ขึ้นมานั้น จะเป็นแค่การทำให้ความเจ็บปวดยืดเยื้อออกไปอีก "ส่วนหนึ่งของปัญหามาจากเฟด และอีกส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ดูเหมือนจะชะลอตัวลง รวมถึงการที่ชาติยุโรป ไม่มีความพยายามที่จะเร่งหามาตรการออกมารับมือกับประเทศสมาชิก และธนาคารในภูมิภาค ที่แบกภาระหนี้จำนวนมาก " โธมัส วิลัลตา ผู้จัดการพอร์ทลงทุน จากโจนส์ วิลัลตา แอสเซท แมเนจเมนท์ ในรัฐเท็กซัส สหรัฐ กล่าว นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่แสดงให้เห็นว่า กิจกรรมการผลิตของจีน ที่ชะลอตัวลงเมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา และการที่เฟดเอ็กซ์ คอร์ป ออกมาเตือนว่า ผลประกอบของบริษัทอาจร่วงลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพราะการส่งออกที่ซบเซาของเอเชียนั้น ยิ่งกลายเป็นปัจจัยตอกย้ำ ที่ทำให้เหล่านักลงทุนเชื่อว่า ความเสี่ยงในเศรษฐกิจกำลังมีมากขึ้น "ข่าวร้ายจากจีน ยิ่งทำให้ทฤษฎีที่ว่า เศรษฐกิจโลกอาจกำลังมุ่งหน้าไปสู่ภาวะถดถอยเป็นรอบที่ 2 มีความเป็นจริงมากขึ้น" เทอร์รี มอริส ผู้จัดการพอร์ทลงทุน จากเนชั่นแนล เพนน์ อินเวสเตอร์ส ทรัสต์ กล่าว
  21. Possible Rebound For Gold Next Week, But Nervousness Remains 23 Spetember 2011, 2:34 p.m. By Debbie Carlson Of Kitco News http://www.kitco.com/ (Kitco News) - Gold prices could rebound next week as bargain hunters seek to buy the metal up at prices not seen since August, but not everyone is convinced gold will be able to rally from the sharp break it suffered this week. Some technical chart analysts said in the short-term damage has been done to gold prices and further weakness is expected. Those who see lower prices are also skeptical that global leaders will take much action beyond pronouncement to stabilize frail outlooks. The global rout of all markets caught precious metals markets in the whirlpool of sinking prices. The sell off this week was ignited when the Federal Reserve sought to flatten the yield curve by selling short-term debt and buying long-term securities. Although that move was expected, the Fed’s statement of “significant risks” to the U.S. economy shook investor confidence. Combined with a negative manufacturing reading out of China and persistent problems in Europe regarding a possible Greek default, investors started selling without discrimination. Only U.S. Treasurys and the dollar rose. Gold fell in this break as investors sought to sell winning positions to their raise cash or meet margin calls in other markets. Any nervous buyers who had profits sought to pocket those as prices were caught in the downdraft. Of all the precious metals, silver saw the greatest losses. The most-active December gold contract on the Comex division of the New York Mercantile Exchange settled at $1,639.80 an ounce, down 9.6% on the week. December silver settled at $30.101an ounce, down 26% on the week. In the Kitco News Gold Survey, out of 34 participants, 23 responded this week. Of those 23 participants, 12 see prices up, while 10 see prices down, and one sees prices sideways or unchanged. Market participants include bullion dealers, investment banks, futures traders and technical chart analysts. Several of the market watchers who see firmer prices said they expect the sharp sell off in prices, particularly for gold, to be met by bargain hunters and that could send prices sharply higher. The key is to watch and see how gold acts in the next few weeks to get a sense of direction. “Looking ahead, it will be very interesting to see how gold responds - many investors have craved a buying opportunity (particularly Indian traders) and the recent fall creates a monumental window of opportunity to get in on gold. On the other hand price volatility of this sort is typically deeply destructive to investor confidence. It remains to be seen which motive will win out between the two,” said Ross Norman, chief executive officer of Sharps Pixley. Norman said for much of 2011 gold did not dwell at lower levels, “showing it had strength in depth,” now investors must wait and see if it happens gain. He feels a price floor is being established. Charles Nedoss, senior market strategist with Olympus Futures, said perhaps gold will “catch a bounce,” but he said judging by the way gold acted on Friday, remaining weaker even as the dollar gave up some of its gains, wasn’t a positive sign for higher prices. He said the fact the Fed did not engage in another round of quantitative easing was negative for gold. Also, he said equities were holding up better than he expected, with the S&P 500 index staying above 1100 might be a sign that investors wanted to hold their equity positions at the expense of their commodity positions. This weekend market participants will watch for any action out of world leaders regarding the break in markets and the wobbly shape of Greek finances. A Group of 20 communiqué released on Friday morning suggested that governments will take all necessary actions to preserve the stability of banking systems and financial markets as required. Not everyone is convinced. “Color us skeptical. For one, they provided no time line for action and in the meantime the EFSF (European Financial Stability Facility) will need to be ratified by all members of the (eurozone) before policy makers can make any changes to the current structure of the facility,” say the analysts at Brown Brothers Harriman. The firm says only been a few European governments that have ratified the implementation of the EFSF, and others are not hurrying up any schedule to vote on it. “To us, that indicates that European policy makers are again unlikely to take decisive action to vote on the implementation and potential enhancement of the EFSF, which implies further downside potential for risk appetite,” they add. That’s putting pressure on the euro and allowing the dollar to gain. The strength of the dollar against a host of currencies is weighing on all commodities, gold included, since commodities are dollar-denominated. The drop in commodities, in particular the industrial commodities like crude oil, copper, silver and the platinum group metals reflects the slowing economic growth globally, market watchers said. If this is the case, that is anti-inflationary, this gives investors one less reason to buy gold in the short-term. The lack of action is not limited to Europe. Analysts at Credit Agricole-CIB point to the divisive U.S. government as another problem. “At the same time as the G20 was promising big things, the U.S. Congress was displaying the kind of fractious mindset, voting down a spending bill on partisan grounds, that has the market fretting about the ability of the US to side-step a recession. If policy cannot co-operate on a national level, can we really expect co-ordination on an international G20 scale,” they said. Tom Pawlicki, analyst at MFGlobal, said day-to-day movements for the markets will be a “tough call” as bounces from sharp sell offs are possible, and support could come from potential intervention in the economy by policymakers to prevent a recession. Further, uncertainty over events in Greece remains a factor. “Over the next few weeks, however, we think that prices will continue to fall and eventually test the $1,580-$1,650 range,” he said, adding those levels come from the 62% retracement of the July-August uptrend and from the May 2nd high. Jim Wyckoff, technical analyst at Kitco News, said short-term technical charts have turned bearish, although long term charts are still bullish. He said the break through $1,705.40 was significant. Support for gold is seen at $1,600. For silver, Olympus Futures’ Nedoss said that market “has thrown in the towel,” especially after falling through the 200-day moving average around $36.07. Silver saw the worst performance of any precious metal as the industrial side and investor nervousness drags it down. Wyckoff said “very serious” near-term technical damage was done to silver futures. Resistance for December silver is at $33 and support at $30. By Debbie Carlson of Kitco News dcarlson@kitco.com
  22. หุ้นดิ่งเหวนักลงทุนจนลง5.8แสนล้าน 24 กันยายน 2554 เวลา 07:47 น. หุ้นท้ายสัปดาห์ดัชนีร่วงหนัก2วันติดตกลงปรวม 71 จุดส่งผลมาร์เก็ตแคปหายวับ5.8แสนล้านบาท นักลงทุนรายย่อยกำลังออกอาการตื่นตระหนก เมื่อเห็นดัชนีหุ้นไทยดิ่งเหวเพียง 2 วัน ท้ายสัปดาห์นี้ ตกไปแล้ว 71 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) หายวับไป 5.8 แสนล้านบาท ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 22 ก.ย. หลุดพันจุด ปิดที่ 990.59 จุด ลดลง 39 จุด มูลค่าการซื้อขาย 32,481 ล้านบาท และวันที่ 23 ก.ย. ดัชนีปิดตลาดที่ 958.16 จุด ลดลงเพียง 32.43 จุด หรือลดลง 3.27% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5 หมื่นล้านบาท ผู้ขายหุ้นรายใหญ่ไม่ใช่ใคร แต่เป็นนักลงทุนต่างชาติ ที่เทขายหุ้นออกมาสองวันรวม 5,854 ล้านบาท เพราะตื่นตระหนกกับภาวะเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปที่มีแนวโน้มแย่ลง และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศจะไม่กระตุ้นเศรษฐกิจอีกในช่วงนี้ นักวิเคราะห์ต่างชาติมองว่า ความกังวลว่าเศรษฐกิจจะถดถอยซ้ำซ้อน ได้ฉุดดัชนีหุ้นไทยและดัชนีหุ้นทั่วโลกดิ่งเหวต่อเนื่อง มาตรการ Corporation Twist ขายพันธบัตรระยะสั้นซื้อพันธบัตรระยะยาวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และปัญหาหนี้สินในยุโรป ถูกจับตาว่าจะเป็นชนวนของวิกฤตรอบใหม่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยตกหนักเกิดจากนักลงทุนตกใจข่าวสารเศรษฐกิจโลกผันผวน แต่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังเข้มแข็ง เศรษฐกิจยังขยายตัวดี รัฐบาลจะไม่ทบทวนนโยบายประชานิยม และมั่นใจว่าสามารถสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศได้ แม้นายกฯ จะให้ความมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยยังดี แต่หุ้นตกรอบนี้มาจากปัจจัยต่างประเทศล้วนๆ และหากหุ้นยังคงตกหนักต่อเนื่อง คนที่หวาดเสียวจะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ นักลงทุนรายย่อย จรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า โชคดีที่ไม่จำเป็นต้องงัดมาตรการพักการซื้อขายชั่วคราว (เซอร์กิตเบรกเกอร์) หากดัชนีปรับลงถึง 10% “หุ้นลงน้อยการบังคับขายหุ้น (ฟอร์ซเซล) ไม่น่าห่วงเนื่องจากระดับการให้สินเชื่อไปซื้อหุ้นเพียง 3 หมื่นล้านบาท น้อยมากเทียบปี 2540 ที่สินเชื่อเพื่อการซื้อหุ้นอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท” จรัมพร กล่าว ในสายตาของกองทุนต่างชาติ ไมเคิล ฮาเซนสตาบ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส และผู้จัดการร่วมกองทุนนานาชาติ กลุ่มตราสารหนี้แฟรงกลิน เทมเพิลตัน เชื่อว่าการเทขายหุ้นครั้งนี้เป็นเรื่องระยะสั้นที่เกิดจากการเก็งกำไร ไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐานคล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 เมื่อมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์หนี้ในยุโรป เชื่อว่าวิกฤตของยุโรปไม่ใช่วิกฤตของโลก และเศรษฐกิจสหรัฐยังอยู่ระหว่างการฟื้นตัว แต่ ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ภัทร กลับมองว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งนี้จะยืดเยื้อยาวนาน 2-3 ปี เนื่องจากธนาคารกลางและรัฐบาลของประเทศพัฒนาแล้วขาดเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัชนีหุ้นที่ปรับลงแรงครั้งนี้คล้ายคลึงกับวิกฤตการเงินสหรัฐปี 2551 ที่ต่างชาติโยกเงินออกจากตลาดหุ้นที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยงไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อยกว่า และดึงเงินกลับไปช่วยภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศ ทำให้ไม่แน่ชัดว่าปัญหานี้จะกินระยะเวลานานขนาดไหน และมีเงินไหลออกจำนวนเท่าใด นับตั้งแต่ต้นปี 2554 ต่างชาติขายหุ้นแล้ว 3.1 หมื่นล้านบาท เทียบกับช่วงเดือน พ.ค. 2553 เพียงเดือนเดียวต่างชาติขายไปถึง 5.8 หมื่นล้านบาท และเทียบกับวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551 ต่างชาติขายไปทั้งหมด 1.6 แสนล้านบาท แม้ตลาดหุ้นจะตกต่ำอย่างหนัก แต่นักลงทุนระยะยาวสามารถใช้วิกฤตนี้เป็นโอกาสในการลงทุน เพราะบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) มีความแข็งแกร่งมาก เนื่องจากผ่านมาหลายวิกฤตเศรษฐกิจ และล่าสุดกับวิกฤตการเงินสหรัฐปี 2551 มีหุ้น 70 แห่ง ในอันดับ SET100 ที่มีกำไรและสามารถจ่ายปันผลต่อเนื่องถึง 3 ปี รวมทั้งกำไร บจ.ไทยยังเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย
  23. ทองคำดิ่งเหว 101.9 ดอลล์ 24 กันยายน 2554 เวลา 07:55 น. สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดทรุดฮวบลงอย่างหนัก เนื่องจากการร่วงลงอย่างหนักของตลาดต่างๆทั่วโลกทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 101.9 ดอลลาร์ หรือ 5.9% ปิดที่ 1,639.8 ดอลลาร์/ออนซ์ ทั้งนี้ สัญญาทองคำร่วงลงอย่างหนักเนื่องจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและเทขายสัญญาทองคำเพื่อถือเงินสดเอาไว้ หลังจากตลาดหุ้นและตลาดต่างๆทั่วโลกร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา โดยปัจจัยที่สร้างแรงกดดันให้กับตลาดคือแถลงการณ์ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีความเสี่ยงอย่างมากที่จะเผชิญกับช่วงขาลง นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า นักลงทุนผิดหวังที่เฟดตัดสินใจใช้มาตรการ 'Operation Twist' หรือการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 6-30 ปีวงเงิน 4 แสนล้านดอลลาร์และขายพันธบัตรอายุ 3 ปีหรือต่ำกว่าออกมาในเวลาเดียวกันและในวงเงินที่เท่ากัน โดยนักลงทุนไม่มั่นใจว่ามาตรการดังกล่าวจะมีประสิทธิภาพมากพอ จึงได้กระหน่ำขายหุ้น, สัญญาสินค้าโภคภัณฑ์ และทรัพย์สินประเภทอื่นๆที่มีความเสี่ยง เพื่อระดมเงินสดที่ได้ไปซื้อพันธบัตรซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่า ไมค์ ดาลี นักวิเคราะห์ด้านทองคำจากบริษัทพีเอฟจีเบส์ ในเมืองชิคาโกกล่าวว่า การที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกทรุดตัวลงอย่างหนัก นอกจากนี้ การที่ผู้นำยูโรโซนยังไม่สามารถหาทางแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะได้นั้น ทำให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้นักลงทุนเทขายสัญญาทองคำออกมาอย่างหนักด้วย http://www.posttoday.com
  24. ราคาทองร่วงนักลงทุนกระอัก วันเสาร์ ที่ 24 กันยายน 2554 เวลา 16:53 น พิษตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงรุนแรงสุดในรอบ 5 ปี ทำนักลงทุนกระอักราคาทองคำร่วงบาทละพัน ด้าน “กิตติรัตน์” รมว.พาณิชย์ฯ คาดเปิดตลาดราคาหุ้นตกไม่มาก วันนี้(24 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการซื้อขายทองคำเป็นไปอย่างผันผวน โดยราคาเปิดตลาดทองแท่งรับซื้อคืนบาทละ 24,300 บาท ขายออก 24,400 บาท ส่วนทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 23,952.80 บาท ขายออก 24,800 บาท ลดลงจากวันที่23ก.ย. ที่ผ่านถึง 1,000 บาท ซึ่งเป็นผลมาจากนักลงทุนเทขายทองคำเพื่อทำกำไร เพราะต้องการลดความเสี่ยงกรณีที่ราคาทองคำมีการเก็งกำไรข่อนค้างสูง ประกอบกับนักลงทุนเริ่มย้ายฐานการลงทุนไปยังหุ้น น้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ทั้งนี้ปัจจัยมาจาก ทองคำตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนวันที่ 23 ก.ย.ที่ผ่านมา ร่วงลงอย่างหนักโดยลดลง 101.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือลดลง 5.9% มาปิดที่ 1,639.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วถือว่าลดลงรุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปี หลังตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงจากความวิตกกังวลต่อเศรษฐกิจโลกและปัญหาวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป โดยเฉพาะความกังวลว่ากรีซอาจผิดนัดชำระหนี้และคำพยากรณ์เศรษฐกิจในแง่ร้ายของธนาคารกลางสหรัฐฯต่อเศรษฐกิจอเมริกา ด้าน นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองที่ผันผวนมากส่วนใหญ่เป็นผลจากการทำมาตรการของสหรัฐฯ ที่ออกประกาศลดการถือครองพันธบัตรระยะสั้นและหันไปถือครองพันธบัตรระยะยาว ส่วนแนวโน้มราคาทองในสัปดาห์คาดว่าจะผันผวนต่อเนื่อง ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์สหรัฐฯอย่างใกล้ชิด ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในต้นสัปดาห์หน้าน่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น หลังจากเมื่อวันที่ 23 ก.ย.ที่ผ่านมา ราคาหุ้นตกลงอย่างมาก เพราะนักลงทุนกังวลปัญหาหนี้ของยุโรปที่ยังไม่มีมาตรการแก้ปัญหา แต่ตลาดหุ้นไทยถือว่าโชคดีที่เกิดในช่วงวันหยุด ทำให้นักลงทุนมีเวลาไตร่ตรอง ดังนั้นเชื่อว่าเปิดตลาดหุ้นในวันที่ 26 ก.ย.นี้ ราคาหุ้นไม่น่าจะตกลงแรงเหมือนปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา. "หนังสือพิมพ์เดลินิวส์"
  25. 555 สวัสดีครับคุณเด็กขายของ และทุกๆท่าน อากาศและบรรยาการศการลงทุนในทองเริ่มหนาวขึ้นมาทันใด แบบนี้ต้องร้องเพลง ของ พี่แจ้ ดนุพล !_02 เมื่อรู้สึกตัวก็สายเสียแล้วววว ชื่อเพลง ทาสรัก ทีแรก ผมอ่านเป็น Oliver Twist เรื่องเกี่ยวกับเด็กนักล้วงกระเป๋า ช่างเข้ากับสถานการณ์ช่วงนี้จังเลย เนื้อเรื่องย่อ โอลิเวอร์ ทวิสต์ เด็กกำพร้าที่เติบโตขึ้นบนความยากจนและโชคชะตาอันเลวร้ายได้นำพาเขาเข้าไปในโรงทานสำหรับคนอนาถาซึงส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่ไม่มีพ่อและแม่ตายตั้งแต่ตอนคลอด อยู่ห่างจากลอนดอนไปทางตอนเหนือประมาณ75ไมล์ โอลิเวอร์ถูกเลี้ยงดูมาภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายที่สงเคราะห์คนยากจนและใช้ชีวิตในช่วงเก้าปีแรกของเขาที่สถานรับเลี้ยงเด็กในความดูแลของมิสซิสแมน และเด็กคนอื่นๆที่กระทำความผิดโอลิเวอร์ถูกเลี้ยงดูมาด้วยความยากลำบากแต่เด็กกำพร้าที่อายุครบเก้าปีแล้วนั้นมิสเตอร์บัมเบิลผู้เป็นหัวหน้าก็ได้ย้ายโอลิเวอร์จากสถานที่รับเลี้ยงเด็กไปให้ไปโรงงานที่ผลิตดายดิบซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่ดัดสันดานซึ่งสถานที่นี้เองที่แม่ของโอลิเวอร์นั้นเคยยทำงานก่อนที่จะเสียชีวิตโอลอเวอร์ทำงานอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาหกเดือนจนกระทั่งเขารู้สึกว่าทนไม่ไหวอีกต่อไปสำหรับอาหารที่เขาได้รับในแต่ละวันนั้นมันน้อยมากถึงขนาดที่พวกเขาตัดสินใจ ที่จะเข้าไปขอเพิ่มจำนวนอาหารให้มากขึ้น ซึ่งคนที่ถูกเลือก คือโอลิเวอร์ ขณะอาหารมื้อค่ำในคืนนั้น หลังจากมีการแจกจ่ายอาหารตามปกติ โอลิเวอร์ได้เข้าไปหาผู้ดูแลโรงทาน เพื่อเรียกร้องขออาหารเพิ่มขึ้น โอลิเวอร์ที่โดนหมายหัวจาก มิสเตอร์บัมเบิล และพวก ว่าเป็นตัวสร้างปัญหา ถูกจำหน่ายตัวให้เป็นเด็กฝึกงาน สำหรับทุกคนที่ยินดีจะรับตัวเขาไป หลังจากหลบหนีออกมาจากธุรกิจการกวาดปล่องไฟ ซึ่งเป็นธุรกิจอันตรายที่เด็กชายตัวเล็กๆ จะถูกหย่อนตัวลงไปในปล่องไฟ โอลิเวอร์กลายเป็นลูกมือของสัปเหร่อ มิสเตอร์โซเวอร์เบอร์รี่ หลังจากโดน โนอาห์ เคลย์โพล หนึ่งในเด็กลูกมือของสัปเหร่อ ยั่วเรื่องแม่ที่ตายไปแล้วของเขา ทำให้เกิดการวิวาท หลังจากโดนลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม โอลิเวอร์จึงตัดสินใจหนี และมุ่งหน้าสู่ลอนดอน ณ บริเวณนอกเมือง โอลิเวอร์ที่ทั้งเหนื่อยล้าและหิวโหย ได้พบกับด็อดเจอร์ยอดนักล้วง ผู้เสนอให้ที่พักกับเขาในลอนดอน โอลิเวอร์ที่ใสซื่อต่อชีวิตในโลกใต้ดินของลอนดอน ถูกจับให้รวมกลุ่มอยู่กับพวกเด็กล้วงกระเป๋า ภายใต้การดูแลของ ฟากิ้นผู้ชั่วร้าย โอลิเวอร์ยังได้พบกับ บิลล์ ไซก์ส จอมโหด, แนนซี่ แฟนสาวของเขา และ ไซก์ส สุนัขคู่ใจ เช้าวันหนึ่ง โอลิเวอร์ที่แสนซื่อออกไปพร้อมกับด็อดเจอร์และชาร์ลีย์ และ ฟากิ้น ได้พบเห็นงานที่เด็กพวกนี้ทำ เมื่อด็อดเจอร์ล้วงกระเป๋าของชายที่ชื่อมิสเตอร์บราวน์โลว์ เมื่อบราวน์โลว์พบว่าเขาโดนล้วงกระเป๋า โอลิเวอร์ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนทำ หลังจากพยายามหลบหนีสุดชีวิต โอลิเวอร์ถูกจับและส่งตัวให้ตำรวจ พยานเห็นเหตุการณ์คนหนึ่ง พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของโอลิเวอร์ บราวน์โลว์ผู้แสนใจดี จึงพาโอลิเวอร์ไปพักที่บ้านของเขา บัดนี้ ผู้ที่เคยกล่าวหาโอลิเวอร์ กลับกลายเป็นผู้อุปการะเขา เขาได้รับการดูแลอย่างดีจากบราวน์โลว์และแม่บ้าน มิสซิส เบดวิน ขณะเดียวกัน ฟากิ้นและบิลล์ ไซก์สเป็นกังวลว่าโอลิเวอร์จะทรยศ ด้วยการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขา ทั้งสองคนจึงออกตามล่าตัวโอลิเวอร์ เพื่อนำตัวเขากลับมายังรังของฟากิ้น บราวน์โลว์ที่เชื่อในความซื่อตรงของโอลิเวอร์ ตัดสินใจให้เขานำเงินห้าปอนด์ไปจ่ายให้พ่อค้ารายหนึ่ง และนำหนังสือกลับมา แต่โอลิเวอร์โดนไซก์สกับแนนซี่จับตัวได้บนถนน ทำให้บราวน์โลว์คิดว่าโอลิเวอร์หนีไปพร้อมกับเงิน และสรุปว่าโอลิเวอร์คือหัวขโมย และถูกตั้งข้อสงสัยโดย มิสเตอร์กริมวิก เพื่อนของเขาย้อนกลับไปที่รังโจร โอลิเวอร์ถูกฟากิ้นหลอกให้เล่าถึงรายละเอียดในบ้านของบราวน์โลว์ รวมไปถึงทรัพย์สินอันมีค่าทั้งหลาย ไซก์สกับ โทบี้ แคร็คคิต เพื่อนร่วมแก๊งค์ บังคับให้โอลิเวอร์ร่วมเดินทางไปกับพวกเขา เพื่อปล้นบ้านของบราวน์โลว์ ทั้งคู่ต้องการเด็กตัวเล็กๆ เพื่อรอดผ่านเข้าไปทางหน้าต่าง และเปิดประตูหน้าให้ การปล้นล้มเหลวเมื่อเสียงเตือนภัยดังขึ้น และท่ามกลางเหตุสับสน โอลิเวอร์โดนยิง และมีเลือดออกจากบาดแผลที่แขน บิลล์ ไซก์สแบกโอลิเวอร์ออกมา โดยตั้งใจจะโยนร่างของเขาทิ้งลงแม่น้ำ แต่ไซก์สกลับลื่น และตกลงไปในสายน้ำที่เชี่ยวกรากเสียเอง โทบี้พาโอลิเวอร์กลับไปรังของฟากิ้น ที่ซึ่งเขาได้รับการดูแลรักษาจนหายดี บิลล์ ไซก์สดิ้นรนเอาชีวิตรอดกลับมายังรังโจรพร้อมพิษไข้ เขาบอกฟากิ้นว่า พวกเขาต้องกำจัดโอลิเวอร์ทิ้ง ไม่งั้นชีวิตของพวกเขาจะจบสิ้น แนนซี่ที่ไม่อยากเห็นโอลิเวอร์ตาย ได้ติดต่อไปหาบราวน์โลว์ และนัดพบกันที่ใต้สะพานลอนดอน แต่ฟากิ้นแอบตามแนนซี่ไป และเป็นเหตุให้บิลล์ ไซก์สฆ่าเธอจนตายด้วยความโกรธ เบ็ต เพื่อนของแนนซี่ พบศพและแจ้งตำรวจ บิลล์ ไซก์สจึงถูกตามล่า บราวน์โลว์เป็นห่วงความปลอดภัยของโอลิเวอร์ และยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นเมื่อพบว่า ตำรวจตามรอยไซก์สและโอลิเวอร์ไปถึงบ้านของโทบี้ แคร็คคิตในย่านสลัมของลอนดอน เมื่อพบตำรวจ ไซก์สที่ใช้โอลิเวอร์เป็นตัวประกัน พยายามหลบหนีตำรวจและฝูงชน ด้วยการวิ่งไปบนหลังคาบ้าน และแล้วโจรร้ายลื่นตกลงมาห้อยโตงเตง เพราะสุนัขของเขาเองในเวลาต่อมา โอลิเวอร์และมิสเตอร์บราวน์โลว์ เดินทางไปเยี่ยมฟากิ้นที่เรือนจำนิวเกต ที่ซึ่งผู้เพาะพันธุ์โจรผู้นี้เสียสติไปแล้ว ถึงแม้จะต้องเผชิญเรื่องร้ายๆ ทั้งหลายที่ผ่านมา แต่โอลิเวอร์ยังคงรู้สึกสงสารฟากิ้นผู้ชั่วร้าย โอลิเวอร์ที่น้ำตาคลอเบ้า เสนอที่จะสวดภาวนาให้ ก่อนที่เขากับบราวน์โลว์จะขึ้นรถม้า เพื่อเดินทางสู่แสงตะวันและวันใหม่อันแสนสดใส... แต่ผมว่าราคาทองมี Rebound นะครับ แต่ไม่รู้ว่าดีดกลับได้แค่ไหน !_09
×
×
  • สร้างใหม่...