ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

หัวใจทองคำกับรอยหยักของสมอง

โพสต์แนะนำ

970596_10201169186769806_259745143_n.jpg

Jessica Robie

ตระหนักรู้ ไวเท่าทัน พลานุภาพแห่งจิต

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทำความรู้จัก “เฮดจ์ฟันด์ (Hedge Funds)” กองทุนที่ได้ฉายาว่า ‘กองทุนปีศาจ’

 

: กมล กมลตระกูล

Posted by admin in Economics, Knowing & History on พ.ย. 22nd, 2009 |

hedge-funds.jpg

เฮดจ์ฟันด์ (Hedge Funds) ได้ชื่อว่ากองทุนปีศาจ

วิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่วิกฤตหนี้ในละตินอเมริกาในทศวรรษ 1980 ,

วิกฤตการเงินเตกิลา , วิกฤตฟองสบู่แตก วิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 (1997)

และล่าสุดวิกฤตอสังหาฯถล่ม (subprime crisis)

บางคนเรียกว่า วิกฤตคาวบอย หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551 (2008)

ล้วนเป็นผลมาจากความกระหายเลือดของกองทุนปีศาจเหล่านี้

การได้รับชื่อว่า กองทุนปีศาจ เพราะว่ากองทุนเหล่านี้ไม่มีตัวตน

ไม่มีทรัพย์สินของตนเอง จับต้องไม่ได้ แต่หลอกคนได้ สูบเลือดคนได้เหมือนปีศาจ

การทำงานหรือการบริหารของกองทุน ต้องใช้กลไกของสถาบันการเงิน บริษัทหลักทรัพย์

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมีรายได้(fee) จากการให้บริการหรือเป็นกลไกในการทำงานแทนกองทุนปีศาจเพื่อแลกกับค่าบริการ

ที่สามารถคิดได้สูงลิบลิ่วตามปริมาณเงินที่ผ่านเข้า-ออก

สถาบันการเงินและบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญตั้งกองทุนหรือรับบริหารกองทุน

โดยการตั้งบริษัทลูกขึ้นมาดำเนินการ เมื่อพูดถึงกองทุนปีศาจจึงรวมถึงสถาบันการเงิน

และรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนเหล่านี้ด้วย

เศรษฐกิจโลกที่อยู่ใต้กงเล็บของกองทุนปีศาจ จึงได้ชื่อว่า ระบอบเศรษฐกิจกาสิโน (casino economy)

หรือทุนนิยมกาสิโน (casino capitalism)กำเนิดเฮดจ์ฟันด์

 

เฮดจ์ฟันด์ถือกำเนิดขึ้นในปี 1949 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงได้ 4 ปี นายอัลเฟรด โจนส์ (Alfred W. Jones) ผู้สื่อข่าวด้านตลาดทุนและตลาดเงิน ซึ่งคร่ำหวอดกับการสังเกตการเคลื่อนไหวของตลาดทุนและตลาดเงิน จึงได้ตั้งกองทุนขึ้นมาลงทุนที่สวนทางกับการลงทุนทั่วๆไปในสมัยนั้น โดยการเลือกซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและราคาขึ้นมากกว่าอัตราเฉลี่ยของตลาด ในขณะเดียวกันเสนอขายราคาหุ้นตัวนั้นเมื่อราคาตกลงระดับหนึ่งพร้อมกันเพื่อลดการขาดทุนจำนวนมากๆในคราเดียว รวมทั้งเลือกขายหุ้นประเภทห่วยแตกล่วงหน้า(selling short) ดังนั้นเมื่อตลาดหุ้นขึ้นเขาก็จะได้กำไรจากตัวแรกมาชดเชยตัวหลัง หรือในทางตรงกันข้าม ซึ่งยุทธศาสตร์นี้เป็นการลดความเสี่ยงในตลาดทุนและตลาดเงินที่มีความผันผวน คาดการณ์ไม่ได้ เต็มไปด้วยข่าวลือ ข่าวลวง และข่าวลับ ลวง พราง

กลยุทธ์เฮดจ์ฟันด์

กองทุนและเทคนิคหรือกลยุทธ์ที่เขาเริ่มใช้เป็นคนแรกจึงได้ชื่อว่า เฮดจ์ฟันด์ (Hedge Funds)

และต่อมาได้พัฒนาให้มีความซับซ้อน และนำมาใช้ในทุกตลาด คือ

ตลาดทุน ตลาดเงิน ตลาดอนุพันธ์ (derivatives) ตลาดคอมมิวดิตี้ (commodity) ตลาดพันธบัตร (bonds market)

และตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (foreign exchange)

โดยพ่อมดการเงินรุ่นต่อๆมาจนกลายเป็นกระแสหลักที่รู้กันแต่วงในของวาณิชย์ธนกิจ (investment bankers)

ส่วนบรรดาแมลงเม่า และนักลงทุน หรือผู้บริหารกองทุน ตามตำราปัจจัยพื้นฐานก็มักจะหมดตัวหรือทำให้

ผู้ถือหุ้น ผู้ร่วมลงทุน ประเภทกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจบชีวิตเหมือนกับแมลงเม่าที่วิ่งเข้าหากองไฟไปด้วย

ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ใช้ เช่น การตั้งคำสั่งซื้อและขายพร้อมกันในตลาดเดียวกันหรือคนละตลาดเพื่อกินกำไรส่วนต่าง

(arbitrage) , การซื้อเมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้นและขายล่วงหน้าเมื่อตลาดอยู่ในภาวะขาลง long-short investing techniques ,

การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ซื้อขายแทนคน ซึ่งเรียกว่า quantitative investing หรือ program trading

ซึ่งมีการตั้งโปรแกรมทั้งซื้อหรือขายเมื่อดัชนีตัวใดตัวหนึ่ง หรือดัชนีของตลาด หรือราคาหุ้น

หรืออัตราแลกเปลี่ยนขึ้นหรือลงถึงจุดนั้น ก็จะสั่งซื้อหรือขายโดยอัตโนมัติใน เสี้ยววินาที

ซึ่งคำสั่งเหล่านี้มีนับหมื่นๆคำสั่งต่อวัน หรือเป็นแสนเมื่อรวมของทุกกองทุนเข้าด้วยกัน

โปรแกรมเทรดดิ้งนี้เองเป็นต้นตอของความผันผวนของตลาดทุน ตลาดเงิน และตลาดอื่นๆ ทุกตลาด

ที่เรียกว่า panic trading ซึ่งเกิดจากการตั้งคำสั่งซื้อขายล่วงหน้าด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั่นเอง

การซื้อก่อนจ่ายทีหลัง การซื้อขายภายในวันเดียวกัน หรือกู้เงินมาซื้อ ที่เรียกว่า leverage

กลยุทธ์การกู้เงินมาซื้อเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ ทุกกองทุนนำมาใช้เพราะเป็นการเพิ่มอำนาจซื้อและเพิ่มผลกำไรได้อย่างมหาศาล ถ้าหากว่าบริหารไม่ผิดพลาด เช่น เมื่อกองทุนได้รับเงินมาบริหาร 10 เหรียญ กองทุนอาจกู้เงินเพิ่มได้ 90 เหรียญ รวมเป็น 100 เหรียญ เพื่อนำไปเก็งกำไรในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา หรือตลาดอนุพันธ์ หรือตลาดหุ้น และหากว่าขาดทุนเพียงร้อยละ 10 ก็เท่ากับว่ากองทุนนั้นหมดไปอย่างสิ้นเชิง แต่ถ้าได้กำไรร้อยละ 10 ก็เท่ากับว่าได้กำไร 100% ของเงินทุน

กรณีศึกษาตัวอย่างข้างต้น คือ เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2008 บริษัท Lehman Brothers

ซึ่งได้ก่อตั้งมานานถึง 158 ปี เป็นบริษัทหลักทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของอเมริกา

และเคยเข้าร่วมขบวนการดูดเลือดคนไทยเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 โดยเป็นทั้งบริษัทที่ปรึกษา

และตีราคาทรัพย์สินเอ็นพีแอล แล้วตั้งบริษัทลูกขึ้นมาซื้อทรัพย์สินและหนี้สินในราคาต่ำกว่าราคาตลาด (ทรัพย์ของ ป.ร.ศ.) แล้วไปบีบขายให้ลูกหนี้ในราคาสูงลิ่ว เมื่อลูกหนี้ซื้อไม่ไหวก็ต้องถูกยึดกิจการ

บัดนี้กรรมได้สนองโดยได้ยื่นเรื่องต่อศาลให้เป็นบริษัทล้มละลายโดยมีหนี้สิน เฉพาะที่เป็นพันธบัตร 768 แสนล้านเหรียญ

(768 billion) ซึ่งเท่ากับประมาณแผ่นดินไทย 30 ปี

ในขณะที่ทรัพย์สินในกองทุนมีเพียง 639 แสนล้านเหรียญ (639 billion) คือติดลบ

ในปี 2003 Lehman Brothers มีเงินทุน 13,000 ล้านเหรียญ (13 billion)

แต่มีบัญชีทรัพย์สินมากถึง 31,200 ล้านเหรียญ (312 billion) ซึ่งแปลว่าทุกๆเงินทุน 1 เหรียญ Lehman Brothers

กู้มาเพิ่มอีก 24 เหรียญ(เท่า) เพื่อเก็งกำไร พอถึงปี 2007 Lehman Brothers มีเงินทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 73

กลายเป็น 22.5 พันล้านเหรียญ แต่มีบัญชีทรัพย์สินมากถึง 691 พันล้าน

ซึ่งแปลว่าทุกๆ เงินทุน 1 เหรียญ Lehman Brothers กู้เพิ่มเป็น 31 เท่าเพื่อเก็งกำไร

การล้มละลายของ Lehman Brothers ที่สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนคิดเป็นเม็ดเงิน 639 พันล้าน

เป็นคดีล้มละลายที่ใหญ่กว่าการล้มละลายของบริษัทพลังงาน ENRON ในปี 2001 ถึง 10 เท่า กรณี ENRON

กลายเป็นตำนานมหากาพย์แห่งการฉ้อฉลที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงิน สถาบันจัดอันดับ และสื่อด้านเศรษฐกิจ

ซึ่งล้วนพัวพันเกี่ยวข้องโยงใยกันเหมือนใยแมงมุม ไม่ต่างกับกรณีธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ

หรือบีบีซี ซึ่งมีนายราเกซ สักเสนา และนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ เป็นผู้ต้องหา

แต่มีนักการเมืองอีกจำนวนมากที่โยงใยเกี่ยวข้อง

เมื่อครั้งกองทุน Long-Term Capital Management ซึ่งก่อตั้งโดยนักเศรษฐศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบล 2 คน

และเคยทำกำไรให้นักลงทุนสูงสุดถึงร้อยละ 25-50 จนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเกือบทุก

และกองทุนของมหาวิทยาลัย มูลนิธิต่างแย่งกันเสนอให้กองทุนนี้บริหารให้

โดยกองทุนนี้มีเงินที่ได้รับมาบริหาร 40,000 ล้านเหรียญ

แต่สามารถกู้เงินมาลงทุนได้ 12,500 ล้านเหรียญ หรือ 30 เท่าของเม็ดเงินที่ตนมี

รวมทั้งมีตัวเลขงบดุลในบัญชีสูงถึง 1 ล้านล้านเหรียญ

ด้วยวิธีการซื้อแบบใช้ margin ซึ่งใช้เงินเพียงร้อยละ 10 ในการลงทุน 100 แต่ในที่สุดกองทุนนี้ก็ล้มครืนลง

และประธานาธิบดีคลินตันต้องกระโดดเข้ามาอุ้มด้วยการใช้เงินภาษีอากรของคน

อเมริกันทั้งประเทศเพื่อไม่ให้ระบบเศรษฐกิจของชาติล่มแบบโดมิโน

กลยุทธ์ข้างต้นนี้เอง ที่ประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งประชาชนมีเงินออมมากและมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Pension Funds)

ในทุกภาคส่วนรวมทั้งผู้ใช้แรงงานในประเทศเหล่านี้เป็นเจ้าของทุนปีศาจ

และล้วนมีส่วนได้ส่วนเสียทั้งสิ้น จึงมีนโยบายบีบให้ประเทศกำลังพัฒนาทุกประเทศก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ

ตลาดทุนและตลาดเงิน หรือแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ แปรรูปรัฐวิสาหกิจ

โดยข้ออ้างว่าเพื่อความทันสมัย เพื่อเปิดช่องทางการระดมทุนมาขยายธุรกิจ

และเป็นเรื่องการค้าเสรีหรือการเปิดเสรีเพื่อให้กองทุนปีศาจเหล่านี้สามารถ

เข้ามาสูบเลือดกลับไปเลี้ยงประชาชนในชาติของตน

เฮดจ์ฟันด์ กองทุนปีศาจ(1)

คอลัมน์ เดินคนละฟาก

กมล กมลตระกูล kamolt@yahoo.com

วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4158 ประชาชาติธุรกิจ

 

####

เฮดจ์ฟันด์ กองทุนปีศาจ (จบ) ทุนปีศาจครอบโลก

*********************************************

 

คอลัมน์ เดินคนละฟาก

กมล กมลตระกูล kamolt@yahoo.com

วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4159 ประชาชาติธุรกิจ

เพียงแค่ขนาดของกองทุนปีศาจนั้นก็มหาศาลแล้ว เช่น กองทุนที่ใหญ่ที่สุด Bridgewater Associates

บริหารเม็ดเงินจำนวน 38,600 ล้านเหรียญ หรือ 11 ล้านล้านบาท หรือ กองทุน Soros Fund Management

ของพ่อมดการเงิน Soros มีทรัพย์สิน 2 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 7 แสนล้านบาท

ซึ่งเกือบเท่ากับงบประมาณแผ่นดินไทยทั้งปีในบางปี (1 ล้านล้านบาทเศษ)

แต่สามารถซื้อขายโดยวิธี Leverage คือกู้เงินมาซื้อขาย

หรือซื้อขายเงินเชื่อแล้วมาหักกำไรขาดทุนทีหลังได้มากถึง 10-25 เท่า ของเม็ดเงินของกองทุน

ดังนั้นจึงไม่มีตลาดทุนและตลาดเงินที่ไหนของโลกสามารถต้านการโจมตี หรือการ “ทุบ” ของกองทุนปีศาจเหล่านี้ได้

 

ใน 10 กองทุนปีศาจเหล่านี้ รับบริหารเม็ดเงินเกือบ 3 แสนล้านเหรียญต่อปี ในขณะที่กองทุนปีศาจทั้งหมดในโลก บริหารเม็ดเงินประมาณ 2.5 ล้านล้านเหรียญ (2.5 trillion)

edi05191152p2.jpg

จากการเปรียบเทียบขนาดของกองทุน เมื่อก่อนเกิดวิกฤต subprime และภายหลัง กองทุนเหล่านี้ไม่ได้เล็กลงเลย

เพียงแต่สลับตำแหน่งกันตามความสามารถในการแข่งขัน

ก่อนเกิดวิกฤตอสังหาฯถล่ม (subprime crisis) ในปี 2008 กฎหมายหรือระเบียบที่ควบคุมกองทุนปีศาจมีน้อยมาก

เพราะรัฐเห็นว่าเป็นเรื่องของนักลงทุนใหญ่ๆที่ไม่เกี่ยวกับสาธารณชน เช่น ไม่มีระเบียบเรื่องสัดส่วนเงินสำรอง

เรื่องสัดส่วนของเงินกู้ต่อทุน และนอกจากนี้ กองทุน (offshore) ส่วนใหญ่จดทะเบียนในประเทศหรือเมืองที่เรียกว่า tax haven

หรือเมืองท่าปลอดภาษี เช่น Cayman Island เป็นที่ตั้งของกองทุนเหล่านี้ถึงร้อยละ 67 ตามมาด้วย British Virgin Islands

ร้อยละ 11% และ Bermuda ร้อยละ 11% รวมทั้งรัฐ Delaware ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทุนภายในประเทศ (onshore)

มากถึงร้อยละ 64ตัวเลขในปี 2004 มีกองทุนปีศาจในอเมริกามากถึง 7,000 กองทุน ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออก เช่น

รัฐนิวยอร์ก และคอนเนกทิคัต

กรุงลอนดอนเป็นศูนย์กลางของกองทุนปีศาจของยุโรป โดยเป็นที่ตั้งของกองทุนเหล่านี้ถึงร้อยละ 75

และมีทรัพย์สินที่รับบริหารจัดการในปี 2008 เป็นเงิน 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นเงินจากทวีปเอเชีย ร้อยละ 25

ส่วนอีกร้อยละ 25 ของเงินจากเอเชีย บริหารโดยกลุ่มทุนของอเมริกา

ในเอเชียก็มีสิงคโปร์และฮ่องกงเป็นศูนย์กลางใหญ่ หรือที่ตั้งสาขาของกองทุนปีศาจเหล่านี้

อัตราค่าบริหารกองทุน

แรงจูงใจหรือน้ำเลี้ยงของกองทุนปีศาจ คือค่าบริหารกองทุน (management fee) , ค่าส่วนแบ่งจากผลกำไร (performance fee) อัตรามาตรฐานหรือราคาตลาดของค่าบริหารกองทุน คือ ร้อยละ 2 ต่อปี ของมูลค่าเงินของลูกค้าที่มอบให้บริหาร แต่ต้องจ่ายเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส เนื่องจากยอดเงินที่รับบริหารมีจำนวนมาก รายได้ส่วนนี้จึงเป็นรายได้ที่เป็นค่าใช้จ่ายของสำนักงานและเป็นผลกำไรด้วย

ค่าส่วนแบ่งจากผลกำไร (performance fee) โดยทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 20 ของผลกำไรสุทธิจากการบริหารกองทุนนั้นๆ แต่บางบริษัทอาจจะคิดมากกว่านี้ เช่น Steven Cohen”s SAC Capital Partners คิดร้อยละ 35-50 หรือ Jim Simons” Medallion Fund

คิดร้อยละ 45

ค่าส่วนแบ่งผลกำไรนี้มักนำมาแบ่งปันกันในหมู่ผู้บริหาร ในรูปของโบนัส เงินเดือน สิทธิซื้อหุ้นของบริษัท (stock option)

และเป็นแรงจูงใจให้ผู้บริหารกองทุนปีศาจเหล่านี้ใช้วิธีการลงทุนที่ “สุ่มเสี่ยง”

เพื่อหวังผลตอบแทนสูงและได้ส่วนแบ่งสูงไปด้วย หากคาดการณ์ถูกก็จะสร้างชื่อเสียง และมีกองทุนหรือมูลนิธิ

หรือสถาบันการเงินอื่นๆ แห่กันนำเงินมาให้บริหาร หากตลาดไม่เป็นไปตามคาด ทุกอย่างก็ล้มพังครืนเหมือนวิกฤตการเงินในแต่ละช่วง ซึ่งวนเวียนกลับมาทุก 10 ปี เป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยซ้ำแล้วซ้ำเล่า

Richard Fuld , ประธานของ Lehman Brothers ได้ถูกนาย Henry Waxman (D-CA) ส.ส.พรรคเดโมแครตจากรัฐแคลิฟอร์เนีย

ซึ่งเป็นกรรมาธิการด้านปฏิรูประบบงานของรัฐ เรียกมาให้การ เพื่อสอบสวนและตั้งคำถามว่า

“บริษัทของคุณยื่นเป็นบริษัทล้มละลาย แต่คุณกลับรับเงินตอบแทนที่ดูดไปจากบริษัท

เป็นเงินมากถึง 480 ล้านเหรียญ นั้นเป็นธรรมหรือไม่”

สถาบันจัดอันดับ

เครื่องมือที่สำคัญของกองทุนปีศาจ คือ สถาบันจัดอันดับ เช่น Moody”s และ Standard & Poor”s นิตยสารและ น.ส.พ.ธุรกิจ

และการเงิน รายงานประจำเดือนของสถาบันการเงิน หรือกองทุน เช่น น.ส.พ.วอลล์สตรีต, Forbes, Business Week ฯลฯ

ซึ่งกองทุนปีศาจเป็นผู้ให้โฆษณารายใหญ่ หรือมีผู้บริหารที่รู้จักกัน มีผลประโยชน์ร่วมกัน หรือเป็นบอร์ดไขว้กัน

ดังนั้นเมื่อมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือรายงานข่าว (ลือ ลับ ลวง พราง) ทำให้ผู้ลงทุนทั่วไปแตกตื่นเทขายหุ้น

แล้วถูกช้อนซื้อ หรือในทางตรงกันข้าม หรือรัฐบาลหรือนักการเมืองประเทศกำลังพัฒนาแตกตื่น

และออกมาตรการหรือกฎหมายในลักษณะเต้นตามเพลงที่เขาเปิด และติดกับดักการเงิน หรือกับดักหนี้

เมื่อไรจะตาสว่างกัน(เสียที)

แน่นอนว่า การปฏิเสธตลาดหลักทรัพย์ ตลาดทุน ตลาดเงิน หรือตลาดอัตราแลกเปลี่ยน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในภาวะปัจจุบัน แต่การเปิดหูเปิดตาให้ประชาชนเรียนรู้และรู้เท่าทันความจริงเชิงประจักษ์ที่ มีหลักฐานยืนยันได้

และมีเหตุการณ์ของวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเป็นพักๆ

และการที่รัฐบาลแต่ละประเทศต้องนำเงินภาษีอากรมาอุ้มกองทุนปีศาจเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยัน

การให้การศึกษากับประชาชนถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง เป็นเรื่องสำคัญที่มิใช่การรู้ไม่เท่าทันและเทศนา

ให้ประชาชนยิ่งโง่งมและถูกหลอกต่อๆไปด้วยคาถาว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ คือ ตัวชี้วัดเศรษฐกิจของชาติ

และมีการใช้เงินภาษีเข้าอุ้มเมื่อเกิดวิกฤต แต่ความจริงเศรษฐกิจโลกในวันนี้ ก็ไม่ต่างจากบ่อนที่มาเก๊า

หรือลาสเวกัสนั่นเอง

นอกจากนี้รัฐต้องไม่งมโข่งหลับหูหลับตาเชื่อในเรื่องการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ หรือรัฐวิสาหกิจ เพื่อนำเข้าตลาดหุ้น

ทั้งๆที่เป็นรายได้ของรัฐ หรือการเปิดเสรีอย่างหลับหูหลับตา

แล้วปล่อยให้ทุนปีศาจเข้ามาดูดเลือดคนในชาติได้อย่างเสรีโดยปราศจากการควบ คุม ด้วยมาตรการภาษี

หรือมาตรการอื่นๆ ที่เป็นการป้องปรามกองทุนปีศาจที่ไร้คุณธรรมเหล่านี้เข้ามาควบคุมและมุ่งหากำไรอย่างเสรี

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

icon_pin.gif ระวังกลโกงร้านทอง pmail.gif

โดนกับตัวเอง ตั้งใจจะไปซื้อทอง ก็เลือกดูราคาที่เขียนไว้หน้าร้านไปเจอร้านทอง......ดี สาขาพัทยากลาง เขียนราคาหน้าร้านถูกกว่าร้านอื่น 100 บาท เช่น ราคาซื้อ ทองคำแท่ง 24200 บาท ( ร้านนี้จะเขียน 24100 บาท ) ราคาขาย ทองคำแท่ง 24100 บาท ( ร้านนี้จะเขียน 24000 บาท )

พอเราเข้าไปซื้อ

เรา - ซื้อทองคำแท่งค่ะ

ร้าน - ซื้อกี่บาท

เรา - ซื้อ 10บาท

ร้าน - ตอนนี้ทองราคาขึ้นเป็น 24200 บาทแล้ว + 100บาท ค่าบล๊อค

เรา - ********อ้าวแล้วทำไมไม่เขียนราคาให้ตรงหล่ะคะ

ร้าน - มันเพิ่งปรับขึ้นค่ะ

เรา - โอเคตามนั้น (เพราะราคาเท่ากะร้านอื่น)

-----------ร้านได้ขายของเพราะลูกค้าเดินเข้าร้านเนื่องจากเข้าใจผิดคิดว่าร้านนี้ราคาถูกกว่าร้านอื่น

 

พอเราเอาไปขาย (ยกตัวอย่างราคาเดิมที่เขียนไว้นะคะ)

เรา - ขายทองคำแท่งค่ะ

ร้าน - กี่บาท

เรา - 10บาท ได้ราคาเท่าไหร่คะ

ร้าน - ตามป้ายค่ะ 24000 บาท

เรา - ********ค่าธรรมเนียมมีไหม ทองจากร้านพี่นะคะ

ร้าน - ไม่มีค่ะ

เรา - ไปขายร้านอื่นดีกว่า เพราะขายได้ 24100 บาท ตามราคาสมาคม (เรารู้ว่าเค้าโกง ก็เลยกวนไปเลย )

-----------ถ้าเราขาย ร้านได้กำไรอีกบาทละ 100 บาท พฤติกรรมแย่มากๆเอาเปรียบผู้บริโภค เราเป็นคนถือคติ ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน

เราเลยเอาไปขายที่ ร้านทองแม่ทองสุก ร้านนี้ดีค่ะคนขายจริงใจ บริการดี

 

เอามาแชร์จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อค่ะ

จากคุณ : Looktan20 smilex.gif

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีค่ะ

 

จากโพสต์ที่ลงไปของคุณโดนหลอก Madee เห็นว่ามีประโยชน์จึงลงซ้ำกระตุ้นให้เพื่อนๆได้รับรู้ รู้สึกผิดปกติตั้งแต่คุณเด็กอู่ทองที่มาลง จากหลังไมค์ได้พบเพื่อนๆอีกจำนวนมากที่เสียหายจากการดูแลของเซลบริษัทนี้ เมื่อได้พูดคุยกันจึงรู้ว่ามาจากที่เดียวกัน

ในวันนี้ Madee ไม่รู้ว่าใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรู รู้แต่ว่าพวกเราบอบช้ำ หดหู่ สิ้นหวัง หากใครก็ตามที่ไม่ช่วยก็ขออย่าซ้ำเติม ทีมาโพสต์บอกเพียงต้องการเตือนเพื่อนๆ ให้ระวังตัว ไม่อยากให้ตกเป็นเหยื่อ จะบอกชื่อก็กลัวถูกฟ้อง เท่านี้พวกเราก็แย่มากๆ พฤติกรรมที่ทางบริษัทให้เราทำคือ หากซื้อติดดอยหรือติดเหวก็จะให้เราเฉลี่ย ไม่มีการบอกให้คัส บอกถือไว้ก่อน ไม่ต้องคัส ทำไมต้องเชื่อ เพราะเค้าจะมีข้อมูลบอกมาตลอด แม้แต่ตัวเจ้าของบริษัทเองที่ขยันออกทีวี บอกตลอดว่าทองจะเป็นยังไง ดูน่าเชื่อถือ แต่จะตรงข้ามเหมือนที่คนโดนหลอกบอกตรงแป๊ะ สุดท้ายคือเซลลาออกบ้าง หนีไปเฉยๆบ้าง เทปมีแต่ถูกตัดต่อก่อนเราเข้าไป เมื่อแรกที่เข้าไปบริษัทบอกเซ็นสัญญา 50000 บาทต่อ 1 กิโล ช่วงทองลงสงกรานต์คุณต้องเพิ่มมาจิ้น (งง เราซื้อทองแท่งกิโล พูดเหมือนเราซื้อGF)เป็น 1 แสนต่อกิโลเท่านั้นยังไม่พอ คุณต้องวางเงินมัดจำเพิ่มที่ทองลงมาอีก 10 เปอร์เซนต์ของราคาทองที่ถือไว้ (ในกรณีซื้อเกินเงินที่มีเพราะเฉลีย)เช่นทองดอยราคา 25500x65.6=1672800 ต้องวางเพิ่ม 167280 เท่านั้นยังไม่พอหากคุณยังไม่พร้อมจ่ายภายใน 2 วันคุณต้องเพิ่มมัดจำอีก 30 เปอร์เซนต์ประกันความเสียงที่ทองอาจจะลงจากวันนี้ ซึ่งต้องจ่ายอีก 501840 สรุป สามรายการ 1 กิโลคุณต้องวางเงินทั้งหมด 769120 แล้วเซลโทรบอกคุณ คุณต้องหาเงินให้บริษัทภายในวันนี้เท่านั้น บางคนได้รับข้อมูล 5 โมงเย็น ไม่รู้จะหาตรงไหนทัน บริษัทก็บอกต้องคัสนะค่ะ เพื่อนดิฉันอีกคนได้ร้บข้อมูลให้หาเงินค้ำเพิ่ม ภายใตครึ่งชั่วโมงต้องหา 5แสน ไม่มีปิดพอร์ท ทางเลือกไม่มี หนทางไม่เหลือไว้ให้เดินหลังจากบางรายหาเงินค้ำได้ เซลก็จะกระหน่ำโทรบอกราคาทองจะลง 1100 ให้รีบคัส คัสตอนนี้แค่หมดตัว ไม่มีหนี้ หากไม่คัสจะหมดตัวและเป็นหนี้บริษัท เจอไม้นี้เกือบทุกคนก็ต้องคัสแม้ตัวMadeeเองก็ไม่พ้นเช่นกัน บริษัทเค้าวางเกมส์ไว้แล้วเราคือเหยื่อ ส่วนแพะโยนให้เซล เพราะเซลหนีไปแล้ว ออกไปแล้ว ฮื่อ! เหนื่อยค่ะ ข้อมูลท่ีแหลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน ไม่มีเจตนาทำให้เพื่อนๆหมองไปด้วย แค่อยากแชร์ประสบการณ์แย่ๆให้รับรู้ อย่าตกเป็นเหยื่อให้เค้าอีกเลยนะ

ขอบคุณทุกกำลังใจ หากสามารถช่วยได้มากกว่านี้ก็ยินดีนะค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

28/5/13 -- 17.31

 

วันนี้ มีคนมาถามเรื่องวิธีการเล่น

จะทำยังไงให้รู้ว่าจะเข้าได้ถูก ออกถูก แนวรับ แนวต้านไหน

 

เอาล่ะค่ะ ส้มเปรี้ยวขอ share จากประสบการณ์นะค่ะ ลองดูว่าได้ผลไหมนะค่ะ

 

++++++++++++++++++++++++++

 

สิ่งที่เราต้องทำ มีดังนี้ค่ะ

1. ดูความน่าจะเป็นว่า ขึ้น หรือ ลง มากกว่ากัน

2. กำหนด แนวรับ แนวต้าน ที่ชัดเจน

3. กำหนดจุดเข้า และกำหนดว่าจะเอากำไร หรือขาดทุนได้เท่าไร จากการเข้าครั้งนี้

4. ถ้าเราคาดผิดทาง จะหาทางหนีได้อย่างไง ตรงไหน

 

ทุกครั้ง ก่อนกด Trade ควรจะต้องมีการกำหนดกลยุทธอย่างนี้ทุกครั้งนะค่ะ เพราะเมื่อเข้าไปยังสนามจริง เราอาจจะถูกความกลัว และความโลภ เข้าครอบงำ จนทำอะไรผิดพลาดได้

 

++++++++++++++++++++++++++

ตัวอย่าง

สมมตินะค่ะ

วันนี้ ส้มเปรี้ยวมองว่า 1377/1375 น่าจะเอาอยู่ -- แนวโน้มการ rebound มีมากกว่า

 

ส้มเปรี้ยวก็จะเข้า 1377 และกำหนดกำไีร -- เพื่อความไม่โลภ มองแนวต้านแล้วน่าจะ 1385 เป็นต้านแรก -- เราอาจจะออกของทั้งหมดที่แนวต้านนี้ (1384 - 1385) หรือว่า ทะยอยออก ดูท่าทีว่าจะขึ้นต่อได้ไหม ถ้าขึ้นได้ ก็อาจจะออกครึ่งนึงที่ 1385 และอีก lot ที่ 1390 เป็นต้น

 

คือ จริงๆ มันอาจจะไปไกล ถึง 1395/1400 แต่้ส้มเปรี้ยวไม่โลภค่ะ เอาแค่เฉียดๆ แนวต้าน พอ ถ้าัมันไปได้อีก ก็ช่างมัน เราพอใจ ในกำไร

 

แต่ถ้ามันขึ้นทะลุ 1400 จริง เราก็เอากลยุทธ ที่ 2 ที่เตรียมไว้ คือ follow buy เป็นต้น

 

แต่.... ถ้าเกิด มันผิดคาดล่ะ .... เกิดมันหลุด 1377/1375

ส้มเปรี้ยวก็มีแผนหนีค่ะ

คือ รีบเปิด short ที่ 1374 หรือ 1372

แล้วก็รอดูว่า ราคาจะลงไปได้เท่าไร ดูทีท่า แนวรับน่าจะ 1360 เป็นฐานแรก --- ส้มเปรี้ยวก็จะ ไปปิด Short ที่ 1360

และเปิด Long อีก lot ที่ 1360 --- เมื่อราคา rebound กลับขึ้นมาได้ 1372 ส้มเปรี้ยวก็จะปิด Long ที่ 1360 และ 1377 พร้อมๆ กัน แล้วเริ่มไหม

 

++++++++++++++++++++++++++

จากตัวอย่าง

ถ้าผิดทาง จะเห็นว่า ส้มเปรี้ยว ไม่ไ้ด้รีบ Stop loss แต่จะทำการ Hedge Position หรือ การเปิดอีกขาแทน เพราะว่า โดยปกติ เมื่อราคาผิดไปจากที่เราคาด -- ถึงมันจะร่วงลงไป แต่แนวโน้มมันจะมีการ rebound กลับขึ้นมา อย่างน้อย 50% --- ดังนั้น การรีบ Stop loss จะทำให้เราขาดทุนมากเกินไป แทนที่จะรอให้มีการ rebound กลับขึ้นมา

 

แต่สิ่งสำคัญ คือ เราจำเป็นต้องมีการจัดสรรเงินให้ดี

โดยทุกครั้งที่เทรด เราไม่ควรลงจนหมดกระสุน ให้เรามีเหลือไว้พอแก้เกม

จะเห็นว่า ตอนที่ผิดทาง ส้มเปรี้ยว เหลือกระสุนไว้เติม เพื่อซื้อกลับตอนราคา rebound ดังนั้น เราก็จะได้กำไรมาชดเชยสิ่งที่เราขาดทุน

 

ดังนั้น ทุกครั้ง

1. วางแผนให้ชัดเจน รอบคอบ

2. ปฎิบัติตาม มีวินัย

3. ต้องมีกระสุนให้เติมทุกครั้งยามขับขัน -- อย่ายิงจนหมด เพราะ ถ้าเราเจอผู้ร้ายโดยไม่ทันตั้งตัว ก็ไม่อาจจะสู้อะไีีรเขาได้

 

ตัวอย่างข้างต้นเป็นการเล่นสั้นมากๆ --- พี่ๆ อาจจะวางกลยุทธที่ยาวขึ้น แล้วแต่คนไปนะค่ะ

 

หวังว่าคงจะได้ประโยชน์ไ่ม่มากก็น้อยนะค่ะ

ไว้มีโอกาส จะอัดเป็นวีดีโอการเทรดให้

 

สามารถเสนอแนะ หรือเเพิ่มเติม Share ประสบการณ์เทรดกันได้นะค่ะ

ส้มเปรี้ยวพร้อมรับฟัง และเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันนะคะ่ ^^

 

ซินแซ ส้มเปรี้ยว ^^

Sinsae sompreaw

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดีค่ะ

 

 

MTS GOLD

เวลา 10:01 น.

 

MTS Gold คาดว่าในวันนี้จะมีแนวรับอยู่ที่บริเวณ 1,370 เหรียญ แนวต้านจะอยู่ที่ระดับ 1,390 เหรียญ

 

สำหรับ Gold Futures จะมีแนวรับแนวต้านระยะสั้นรายวันดังนี้

 

Gold Futures M13 จะมีแนวรับที่ระดับ 19,750 บาท และแนวต้านที่ระดับ 19,950 บาท

Gold Futures Q13 จะมีแนวรับที่ระดับ 19,820 บาท และแนวต้านที่ระดับ 20,020 บาท

 

ถ้าท่านต้องการรายละเอียดสามารถติดตามได้ในบทวิเคราะห์ Dr. Gold Analysis ผ่าน www.mtsgold.co.th — at สถาบันพัฒนาทองคํา MTS.

 

943109_616237985053454_326400961_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

945020_456756494421306_1660417148_n.jpg

 

Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง

 

General News

----------------

 

• ดัชนีความเชื่อมั่นฝรั่งเศสในเดือน พ.ค.ลดลงมาอยู่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 79 จุด จากเดือนก่อน 83 จุด เนื่องมาจากเศรษฐกิจถดถอย และการขึ้นภาษีทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง

 

• ดัชนีราคาบ้านของสหรัฐในเดือน มี.ค.เพิ่มขึ้น 10.87% จากปีก่อน เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 7 ปี จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่สูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมที่อยู่ในระดับต่ำ

 

• ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐในเดือน พ.ค.เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 5 ปีเป็น 76.2 จุด จาก 69 จุดในเดือนก่อน เนื่องจากราคาบ้านและดัชนีตลาดหุ้นสูงขึ้นจนส่งผลให้ฐานะการเงินของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น

 

• เศรษฐกิจของแอฟริกาใต้ในไตรมาสแรกขยายตัวเพียง 0.9% ชะลอลงจาก 2.1% ในไตรมาสก่อน เพราะโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งหยุดซ่อมบำรุง ทำให้ผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวลง

 

• นายกรัฐมนตรีจีน หลี่ เค่อเฉียง กล่าวว่า มาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจจะช่วยให้จีนมีการเติบโตที่ยั่งยืนมากขึ้น และการขยายตัวของเศรษฐกิจในระดับ 7.7% ถือเป็นระดับที่เหมาะสม

 

• รมช.การค้าของจีน เปิดเผยว่า การดำเนินการของสหภาพยุโรป (EU) เพื่อคุ้มครองการค้าเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และจีนจะดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ทั้งนี้ จีนและ EU กำลังมีข้อพิพาททางการค้าเกี่ยวกับแผงรับแสงอาทิตย์ กับเครือข่ายโทรคมนาคมไร้สาย เนื่องจาก EU อาจมีมาตรการภาษีเพื่อตอบโต้การทุ่มตลาดของจีน

 

• ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเกาหลีใต้ในเดือน มิ.ย.อยู่ที่ 97.2 จุด ลดลง 2.6 จุดจากเดือนก่อน หดตัวลง 3 เดือนติดต่อกันจากความกังวลในภาคส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง

 

• ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของไทยในเดือน เม.ย.ลดลง 3.84% จากปีก่อน และลดลง 18.69% จากเดือนก่อน ด้วยอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ 60.28% โดยดัชนีที่ลดลงเป็นผลมาจากวันหยุดจำนวนมากในเดือน เม.ย. และการชะลอการผลิตของผู้ประกอบการเพื่อรองรับการขาดแคลนไฟฟ้าจากการหยุดซ่อมบำรุงโรงจ่ายก๊าซธรรมชาติของเมียนมาร์

 

• ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการ ธปท. เตือนว่า ไทยต้องระมัดระวังความผันผวนของเศรษฐกิจโลกจากมาตรการ QE ของสหรัฐและญี่ปุ่นให้มาก เพราะแม้แต่จีนยังได้รับผลกระทบจนเศรษฐกิจอ่อนแรงลง ทั้งนี้ เชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐและญี่ปุ่นจะไม่ฟื้นตัวจากมาตรการ QE แต่ฟื้นตัวจากการค้นพบเทคโนโลยีใหม่ที่สำคัญและผูกขาดตลาดได้ เช่น การค้นพบเชลแก๊สของสหรัฐ

 

• ผู้ว่าการ ธปท. ยืนยันว่า ไม่ได้รับแรงกดดันจากการเข้าร่วมประชุม ครม.วานนี้ และการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอยู่กับ กนง. ทั้งนี้ วานนี้ ครม.ได้เชิญหน่วยงานด้านเศรษฐกิจเข้าชี้แจงตัวเลขเศรษฐกิจที่ไม่สอดคล้องกัน และถือเป็นครั้งแรกที่มีการเชิญ ธปท.ให้ร่วมประชุม

 

• ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เห็นว่า กนง.ควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 0.50% ในการประชุมวันนี้ เพื่อช่วยให้อัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพมากขึ้น และสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่ควรมีใช้มาตรการเสริมอื่นๆเข้ามาดูแลปัญหาฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์

 

Equity Market

---------------

 

• SET Index ปิดที่ 1,619.57 จุด เพิ่มขึ้น 26.47 จุด หรือ +1.66% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 51,250.72 ล้านบาท เป็นการเคลื่อนไหวสอดคล้องกับภูมิภาค ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารและอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความคาดหวังต่อการประชุม กนง.ในวันนี้ว่าน่าจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง

 

สรุปยอดสุทธิการซื้อขายของแต่ละกลุ่ม (ล้านบาท)

-----------------------------------------------------

 

นักลงทุนสถาบัน +1,978.98

บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ +1,316.91

นักลงทุนต่างชาติ -2,744.95

นักลงทุนทั่วไป -550.94

 

• จรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า การปรับฐานของหุ้นไทยในช่วงนี้เป็นไปตามภูมิภาค จากการเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติที่กังวลเรื่องการถอนมาตรการ QE ของสหรัฐ ทำให้ตลาดหุ้นค่อนข้างผันผวน

 

อย่างไรก็ตาม พื้นฐานตลาดหุ้นไทยในระยะกลางยังน่าลงทุน เพราะบริษัทจดทะเบียนสามารถทำกำไรได้ดีมาก และจากการที่ไทยอยู่ในภูมิภาคที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจรวดเร็ว พร้อมทั้งตั้งเป้าที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นเป็น 7 แสนล้านเหรียญภายใน 3 ปี จาก 4.5-5 แสนล้านเหรียญในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นตลาดหุ้นอันดับ 1 ของอาเซียน และเทียบเท่าตลาดหุ้นไต้หวัน

 

Fixed Income Market

------------------------

 

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับเพิ่มขึ้น 0.01% ถึง 0.03% โดยเป็นการปรับขึ้นในช่วงบ่ายหลังมีข่าวเกี่ยวกับความพร้อมของธปท.ในการดำเนินมาตรการดูแลเงินทุนไหลเข้าในกรณีที่เงินบาทแข็งค่ามากเกินไป สำหรับวันนี้ไม่มีการประมูลพันธบัตร

 

Guru Corner

 

• Marc Faber

---------------

 

“หนี้ที่น่าเกลียด น่าขยะแขยง คือหนี้ของประเทศที่เกิดจากระบบการปกครองด้วยวัตถุประสงค์ที่ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติหรือประชาชน หนี้อย่างนั้นควรเป็นหนี้ส่วนตัวของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ก่อหนี้ ไม่ใช่หนี้ของประเทศชาติหรือประชาชนโดยรวม

 

• Nouriel Rubini

------------------

 

“พันธบัตรรัฐบาลอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดๆ ของสหรัฐ อังกฤษ เยอรมนี สวิสเซอร์แลนด์ และ ญี่ปุ่น จะผลักดันให้ผู้ลงทุนแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่าในประเทศอื่นๆ.

 

ตราบใดที่เศรษฐกิจโลกยังเติบโตเพียง 1.5%-2.0% และเรายังมีเงินสะพัดจากการอัดฉีดของรัฐบาล ตลาดก็จะยังไปได้สูงกว่านี้ แม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้เชื่องช้ากับโดยมีอัตราการเติบโตของกำไรที่ชะลอตัวลงเพราะยอดขายกับกำไรไม่ได้ดีอย่างแต่ก่อน แต่ Margin จะสูง จะฟองสบู่ในราคาทรัพย์สินต่างๆ (เพราะมีต้นทุนกู้ยืมที่ต่ำตามอัตราดอกเบี้ย โดยกู้ได้ถูก แล้วเอาไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ทำให้ราคาสินทรัพย์พุ่งขึ้นสูง)

 

แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะเกิดการปรับฐาน แล้วฟองสบู่ก็จะแตกภายใน 1-2 ปีข้างหน้า”

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วรวรรณ ธาราภูมิ

 

 

 

 

"หนี้ที่น่าเกลียด น่าขยะแขยง

คือหนี้ของประเทศที่เกิดจากระบบการปกครองในสังคมด้วยวัตถุประสงค์

ที่ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติหรือประชาชน

 

หนี้อย่างนั้นจึงควรเป็นหนี้ส่วนตัวของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ก่อหนี้

ไม่ใช่หนี้ของประเทศชาติหรือประชาชนโดยรวม"

 

..... Marc Faber

 

 

378037_10200966231105235_1806935733_n.jpg

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

“พันธบัตรรัฐบาลอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดๆ ของสหรัฐ อังกฤษ เยอรมนี สวิสเซอร์แลนด์ และญี่ปุ่น จะผลักดันให้ผู้ลงทุนแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่าในประเทศอื่นๆ.

 

“ตราบใดที่เศรษฐกิจโลกยังเติบโตเพียง 1.5%-2.0% และเรายังมีเงินสะพัดจากการอัดฉีดของรัฐบาล ตลาดก็จะยังไปได้สูงกว่านี้ แม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้เชื่องช้ากับโดยมีอัตราการเติบโตของกำไรที่ชะลอตัวลงเพราะยอดขายกับกำไรไม่ได้ดีอย่างแต่ก่อน แต่กำไรเบื้องต้น (Margin) จะสูง จะเกิดฟองสบู่ในราคาทรัพย์สินต่างๆ (เพราะมีต้นทุนกู้ยืมที่ต่ำตามอัตราดอกเบี้ย โดยกู้ได้ถูก แล้วเอาไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ทำให้ราคาสินทรัพย์พุ่งขึ้นสูง)

 

แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะเกิดการปรับฐาน แล้วฟองสบู่ก็จะแตกภายใน 1-2 ปีข้างหน้า”

 

..... Nouriel Rubini

 

 

261690_10200966215344841_1355988259_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โอกาสของคนฉลาดที่ขี้เกียจ

  • 28 พฤษภาคม 2556 เวลา 19:34 น. |+

 

890740C6CFB245AA97ECEEC2728CDE3A.jpg

 

 

โดย...ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)

 

เราเล่าให้ฟังครั้งก่อนในเรื่องของกลุ่ม Generation ต่างๆ ที่มีบทบาทต่อประเทศและต่อโลกที่แตกต่างกัน กลุ่มคนรุ่นที่เรียกได้ว่า “ชีวิตโหด” กลุ่มหนึ่งก็หนีไม่พ้นพวก Baby Boomers เพราะคนเหล่านี้เป็นกลุ่มที่มีจำนวนมาก เพราะเกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่พ่อแม่เห็นสงครามแล้วกลัว ก็เลยมีลูกกันมากๆ เผื่อเกิดสงครามอีกจะได้เหลือลูกสักคนที่รอดชีวิตไว้สืบสกุล

จากความคิดเหมือนๆ กันของคนเหล่านั้น ก็ทำให้เกิด Baby Boomers คือ “ลูกดกทุกบ้าน” อย่าแปลกใจที่พ่อแม่เรามีลุง ป้า น้า อา เต็มบ้านไปหมด ปัญหาหลักๆ ของคนเหล่านี้คือ เขาทำงานเก็บเงินเพื่อสร้างชีวิตที่มั่นคง แต่พอตอนแก่ใกล้ๆ เกษียณก็เกิด World Financial Crisis “วิกฤตเศรษฐกิจโลก” ทำให้บางคนถึงกับเสียเงิน|ที่เก็บมาทั้งหมดและต้องเริ่มกันใหม่เลยทีเดียว เรียกได้ว่า มันโหดตอนเข้าสู่วัยชราจริงๆ

ซึ่งถ้าเทียบระหว่าง Baby Boomers กับ Gen X หรือ Gen Y ก็คือ “ไม่มีโอกาสตั้งตัว เรียกได้ว่า โดนวิกฤตแรงๆ ตลอด” ทำให้|หลายๆ คนต้องกลับมาทำงานหลังเกษียณ สิ่งเหล่านี้มันเป็นสภาพแวดล้อมที่ส่งผลโดยตรงต่อความคิดของคนรุ่นต่อๆ มา ถ้าลองถามเด็กรุ่นใหม่ Gen Y ในปัจจุบัน เขาจะมองว่า “รุ่นพ่อแม่ทำงานหนักไป บางคนทำงานเก็บเงินตลอดชีวิต อยู่อย่างประหยัด และสุดท้ายก็มาเสียเงินกับสิ่งที่ไม่คาดคิด” ประเด็นเหล่านี้มันทำให้คนรุ่นต่อๆ มาย้อนถามว่า “ชีวิตของ Baby Boomers เขาอยู่ไปเพื่ออะไร เพราะที่เห็นๆ ก็คือ ทำแต่งาน แต่ไม่เคยมีความสุข เพราะเขามีชีวิตเพื่อลูกๆ ต่อไป” แปลกดีนะ หลายๆ คนทำงานเพื่อลูก โดยที่คุณไม่เคยถามลูกเลยว่า จริงๆ แล้วเขาต้องการอะไรจากคุณ เขาต้องการเงินคุณ หรือเขาต้องการเวลาคุณกันแน่?

“คุณภาพชีวิตมีต้นทุน เพราะมันมาพร้อมความกดดัน” ทุกวันนี้หลายๆ คนมองว่า ความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว และใครก็ตามที่รวยเร็วและเกษียณให้ไว เป็นเรื่องที่เป็นความฝันอันสูงสุด...จริงหรือ?

ไม่จริงเลย การทำงานให้หนักเพื่อเกษียณให้เร็ว ไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องของการใช้ชีวิต เพราะถ้าคิดให้ดีๆ ส่วนหนึ่งของชีวิตก็คือ “การทำงาน” หลายคนพูดว่า ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน อันนี้ผมว่ามันจริง เพราะคนเราจะมีคุณค่า มันไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณมีเงินในกระเป๋าเท่าไหร่ แต่มันอยู่ที่ว่า คุณสามารถสร้างประโยชน์ให้คนอื่นได้เท่าไหร่ แต่สิ่งที่คนรุ่นใหม่คิดขึ้นมาในปัจจุบันคือ ต้องทั้งสร้างประโยชน์ให้คนอื่นและตัวเองก็ต้องรวยและมีความสุขไปพร้อมๆ กัน

โอ้โห!! คุณว่ามันทำได้จริงหรือเปล่า ที่เราจะเปลี่ยนกฎที่เขาทำกันต่อๆ มาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ที่ทำงานหนักเพื่อความสุขของลูกให้กลายมาเป็นการทำสิ่งที่ตัวเองมีความสุข สร้างความมั่งคั่งให้ตัวเอง และสามารถสร้างประโยชน์ให้คนอื่นได้ด้วย ...ใช่!! มันทำได้จริง อย่าง Bill Gates หรือ Warren Buffett สุดท้ายหลังจากที่เขา Proved ตัวเองว่าสำเร็จทางการหาเงิน แล้วก็มาถึงการต้องการ Proved ว่า “เงินที่เขาหาสามารถสร้างประโยชน์ อย่างแรกตัวเขาโคตรรวย และอย่างที่สอง เขาต้องการท้าทายประเด็นที่ว่า เงินก้อนที่เขาคืนกลับสู่สังคม มันต้องทำให้สังคมดีขึ้นด้วยเงินที่คุ้มค่าที่สุด”

อย่างในเมืองไทยเอง เราเห็น Case Study อย่าง “คุณตัน” ที่สร้างองค์กร “ไม่ตัน” ขึ้นมาแบ่งผลประโยชน์ให้คนอื่น ในขณะที่สร้างความมั่งคั่งของตัวเองเพิ่มขึ้นในเวลาเดียวกัน

ทั้งหมดที่กล่าวมา ถ้าคิดให้ดี จะเห็นได้ว่า ที่เราสามารถทั้งรวย ทั้งให้ประโยชน์แก่คนอื่นในเวลาเดียวกัน ก็เพราะ “เรามีเครื่องมือมากขึ้น” ...ฮึ่ม!! หลายๆ คนอ่านมาถึงว่า “ต้องมีเครื่องมือ” ก็อาจจะคิดถึงกระเป๋าหน้าท้องโดราเอมอนที่สามารถหยิบของวิเศษอะไรขึ้นมาก็ได้

“เครื่องมือวิเศษที่ทำให้คนใช้รวยโคตรๆ และมันยังให้ประโยชน์แก่คนอื่นด้วย” มันก็คือมุมมองแบบ “ยิ่งให้ ยิ่งได้ หรือ Win-Win นั่นเอง” ทุกวันนี้ค่านิยมแบบเก็บสะสมทุกอย่างเข้าตัว มันเริ่มใช้ไม่ได้ เพราะสุดท้ายมันเหมือนทำงานให้หนักให้เหนื่อยในเวลานั้นๆ เพื่อจะกอบโกยเข้าหาตัวเองให้เร็วและมากที่สุด มันเป็นต่อก่อกำเนิดวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น ถ้านักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องการรวยเร็ว ก็ต้องกู้ให้เกินตัว สร้างให้เร็ว ให้เกินตัวให้มากที่สุด แต่ปัญหามันเกิดเมื่อทุกคนเริ่มมองเหมือนกันและทำตามๆ กัน สุดท้ายวิกฤตของจริงของอสังหาฯ หรือสิ่งต่างๆ ก็จะเข้ามาในเวลาที่ทุกคนแห่สร้างจนเกินความต้องการที่แท้จริงของตลาด

เดี๋ยวเรามาทำความเข้าใจในเครื่องมือการเงินในรูปแบบ “ยิ่งให้ ยิ่งได้” กันว่ามันทำงานอย่างไร!!

Post Today

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...