ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 22, 2013 (มีการแก้ไข) Night Trade Report 22-08-2013 : เจ้าหน้าที่เฟดมีความเห็นแตกต่างกันในการกำหนดเวลาชะลอมาตรการ QE : ยังแนะนำเปิดสถานะซื้อที่แนวรับ 1,350 ดอลลาร์สหรัฐ - ราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวนหลังจากมีการเปิดเผยรายงานการประชุมเฟดครั้งล่าสุดวันที่ 30-31 ก.ค.เมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ของเฟดยังคงมีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับกำหนดเวลาในการชะลอมาตรการ QE เจ้าหน้าที่เฟดบางท่านเห็นควรให้มีการลดขนาดการซื้อสินทรัพย์ในเร็ววันนี้ แต่เจ้าหน้าที่เฟดบางท่านมีความเห็นให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะลดขนาดการซื้อสินทรัพย์ อย่างไรก็ดีหลังการเปิดเผยรายงานการประชุมเฟดทำให้ราคาทองคำปรับขึ้นเข้าใกล้แนวต้านที่ 1,380 ดอลลาร์สหรัฐ แต่หลังจากนั้นมีแรงเทขายออกมาต่อเนื่องทำให้ราคาทองคำลงไปต่ำสุดที่ 1,355 ดอลลาร์สหรัฐ - เช้าวันนี้เอชเอสบีซีเปิดเผยดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนส.ค.เพิ่มขึ้นแตะ 50.1ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4เดือน จากระดับ 47.7ในเดือนก.ค.สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะยังต่ำกว่าระดับ 50.0 อยู่ที่ระดับ 48.3ช่วยหนุนราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้นเหนือ 1,360 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ในช่วงบ่ายมีการประกาศดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นเดือนส.ค.ของประเทศในกลุ่มยูโรโซน ซึ่งดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของฝรั่งเศสออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ แต่เยอรมันประกาศดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นในเดือนส.ค.เพิ่มขึ้นที่ระดับ 52.0 ซึ่งสูงสุดในรอบ 25 เดือน จาก 50.7 ในเดือนก.ค. ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นปรับขึ้นแตะ 52.4 ในเดือนส.ค. ซึ่งสูงสุดในรอบ 6 เดือน จาก 51.3 ในเดือนก.ค. - คืนนี้สหรัฐจะประกาศจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์และดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนส.ค. โดยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์คาดเพิ่มขึ้น 9,000 ราย สู่ระดับ329,000 รายขณะที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนส.ค.คาดว่าเพิ่มขึ้นเป็น 54.1 จาก 53.7 ในเดือนก.ค. ดังนั้นถ้าตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐออกมาดีเกินคาดอาจทำให้ราคาทองคำอ่อนตัวลง แต่ถ้าออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาด ราคาทองคำน่าจะฟื้นตัว แต่คาดยังติดแนวต้านระยะสั้นที่ 1,380-1,385 ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นแนะนำขายทำกำไรที่แนวต้านดังกล่าว จุดเข้าเปิดสถานะซื้อเก็งกำไรยังอยู่ที่แนวรับ 1,350 ดอลลาร์สหรัฐ โดยมีจุดปิดสถานะตัดขาดทุนอยู่ที่ 1,330 ดอลลาร์สหรัฐ สวัสดีราตรีสวัสดิ์ครับ... http://www.huasengheng.com/uploads/news/attach/a71281a929bb0e05bd76914994a66dce.pdf HSHwww.huasengheng.com ถูกแก้ไข สิงหาคม 22, 2013 โดย ginger อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 22, 2013 Wealth Station สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 3,581.55 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขาย 57,916 ล้านบาท ดัชนีปิดที่ 1,351.81 จุด ลบ 3.33 จุด อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 22, 2013 Thanong Fanclub shared a link. 8 hours ago near Bangkok เงินหยวนยังยืนหยัดเหนียวแน่น ขณะที่ค่าเงินประเทศอื่นๆร่วงไม่เป็นท่า เงินหยวนเป็นเงินสกุลเดียวที่ยืนหยัดอยู่ได้อย่างเหนี่ยวแน่น ท่ามกลางมรสุมtaperของลุงเบน เบอร์แนงกี้ รูปีอินเดีย รูเปียะของอินโดเนเซียร่วงเหมือนนกปีกหัก แค่เดือนหนึ่งที่ผ่านมาตกลงไปกว่า7% เงินบาทไทยกำลังอ่อนตัวเหมือนกัน ขยับเข้าหา32ต่อดอลล่าร์ ซิตี้แบงค์เพิ่งออกรายงานว่าค่าเงินบาทจะเฉลี่ย32ต่อดอลล่าร์ในระยะ 6-12เดือนข้างหน้า เงินหยวนแข็งค่าขึ้นด้วยซ้ำในรอบเดือนที่ผ่านมา โดยแข็งขึ้น0.3% อยู่ระดับ6.12ต่อดอลล่าร์ ปลายปีอาจได้เห็น 6.0 แสดงว่าจีนมีการจัดการบริหารการเงินดี ไม่กลัวลมปากลุงเบน จีนยังคงเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่$48,200 ล้าน ในไตรมาสสอง เปรียบเทียบกับ$47,600ล้านในไตรมาสแรก ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดของอินเดียและอินโดเนเซียติดลบหนักมาก 4.6% และ4.8%ต่อจีดีพีโดยประมาณ ถ้าดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบแสดงว่ามีเงินจากทั้งภาคการค้าและการบริการไหลออกจากประเทศมากกว่าไหลเข้า เป็นปัจจัยธรรมชาติให้ค่าเงินอ่อน แต่ในยามวิกฤติแบบนี้ ยิ่งทำให้นักลงทุน กองทุนกลัวเลยยิ่งขายเงินแปลงเป็นดอลล่าร์หนีออกไป เป็นfinancial panic ท่ามกลางสงครามการเงิน thanong fanclub 22/8/2013 http://www.cnbc.com/id/100977076 One currency that's dodged the emerging market rout www.cnbc.com อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 22, 2013 Thanong Fanclub 3 hours ago บาทกู่ไม่กลับ ไหลไป32.14 ต่อดอลล่าร์แล้ว เดือนเมษายนเงินบาทอยู่ที่28.55บาทต่อดอลล่าร์ แต่เช้านี้โดนทุบอ่อนค่าไปถึง32.14บาทต่อดอลล่าร์เรียบร้อยแล้ว บาทและริงกิตของมาเลเซียจะเป็นเป้าต่อไป หลังจากอินเดียและอินโดเนเซียที่โดนยำใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา และขณะนี้วิกฤติกำลังลามอยู่อย่างไม่ลดละเหมือนไฟไหม้ป่า เอาไม่อยู่ เพราะเงินดอลล่าร์กำลังไหลกลับไปศูนย์กลางการเงินของโลก ที่ยืนพื้นได้ดีคือค่าเงินหยวน เงินฮ่องกงดอลล่าร์ เงินไต้หวันดอลล่า์ และเงินสิงคโปร์ดอลล่าร์ สังเกตุดูเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ส่วนประเทศที่เป็นเศรษฐีใหม่โดนทุบระเนระนาด เช่นอินโดเนเซีย อินเดีย ฟิลิปปินส์ก็กำลังโดน มาเลเซียและไทยกำลังจะโดน ตั้งแต่22พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังลมปากtaperของลุงเบนประธานเฟด ค่าเงินภูมิภาคร่วงเหมือนใบไม้ ผันผวนหนัก โดยที่ หยวน +0.2% ฮ่องกงดอลล่าร์ +0.1% นอกนั้นลบหมด คืออินเดียรูปี -13% อินโดรูเปี๊ยะ -9.4% เกาหลีวอน -0.6% มาเลยริงกิต -8.4% ฟิลิปปินส์เปโซ -6.7% สิงคโปร์ดอลล่าร์ -0.9% ไต้หวันดอลล่าร์ -0.6% ไทยบาท -5.7% ท่าทางจะเป็นวิกฤติหนักสุดๆ เตรียมพร้อมรับมือไม่ดี มีสิทธิเสียเมืองกันระนาว ที่ผ่านมา 5 ปี บริกส์ เอเซียและตลาดเกิดใหม่หลงระเริงกับเศรษฐกิจและตลาดการเงิน ตลาดทุนที่เติบโต โดยไม่เฉลียวใจมาเงินดอลล่าร์ที่ไหลออกจากศูนย์กลางการเงินของโลกเป็นพลังขับเคลื่อนให้เกิดภาวะฟองสบู่ไปทั่ว กลับชะล่าใจคิดว่าปัจจัยพื้นฐานทั้งเศรษฐกิจและการเงินแข็งแกร่ง และสามารถดึงความเชื่อมั่นให้ดอลล่า์อยู่กับระบบตัวเองได้ตลอดไป ถ้าจะผันผวนก็เป็นแค่ชั่วครู่ชั่วยาม ทางประเทศไทยเอง เงินดอลล่าร์เข้ามา$30,000 ล้าน ในช่วง3-4ปีที่ผ่านมา (อันนี้ทาง ธนาคารTISCO ให้ตัวเลขมา) สร้างภาพลวงตาว่าเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง รัฐบาลใช้จ่ายเงินงบประมาณขาดดุล และโครงการประชานิยมต่างๆเพื่อดันจีดีพี หุ้นขึ้น อสังหาฯขึ้นเปนดอกเห็ด แต่หลังเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เงินเริ่มไหลออกจากบริกส์และตลาดเกิดใหม่ เอเซีย เพราะว่าลุงเบน ประธานเฟดขู่ว่าจะถอนมาตรการพิมพ์เงินQE แค่นี้เองพังกันไปเป็นแถบ สื่อนอกถึงกับบอกว่า หุ้นตลาดเกิดใหม่จะลงนรกหรือเปล่าWill the Emerging Markets fall into the Abyss? และthe party is over คืองานเลี้ยงของพวกท่านจบแล้ว เขาขนเงินกลับบ้าน ได้เวลาเราใช้หนี้ เก็บกวาดขยะ ไทยและตลาดเกิดใหม่เจอภาวะ1.เงินไหลออก 2.ค่าเงินจะอ่อน 3.ดอกเบี้ยจะสูงขึ้นและ4. จีดีพีจะอ่อนแอ ประเทศที่มีดุลบัญชีติดลบจะอ่อนแอสุดเช่นดินเดีย อินโดเนเซีย เพราะต้องพึ่งพาเงินนอก 4.3-4.8%ต่อจีดีพี เพื่อมาอุดการลงทุนในประเทศที่เกินตัว พอเกิดการช็อคทางการเงินก็เอาไม่อยู่ เพราะเงินไหลออกพรวดพราด ไทยเราดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มมีอาการติดลบ เพราะส่งออกเริ่มโตติดลบ ถ้ายังใช้จ่ายเกินตัวแบบนี้ ได้เวลาดูแลเสถียรภาพกันแล้ว เทียบค่าเงินภูมิภาคกับดอลล่าร์ USD-SGD 1.2831 USD-TWD 29.9970 USD-KRW 1,122.7800 USD-PHP 44.1620 USD-IDR 10,959.0000 USD-INR 65.4300 USD-CNY 6.1228 USD-MYR 3.3164 USD-THB 32.0800 จากbloomberg ล่าสุด thanong fanclub 22/8/2013 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 22, 2013 Thanong Fanclub shared a link. 2 hours ago near Bangkok อินเดียจะไปก่อนเพื่อนหรือเปล่า ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์มองกันว่าญี่ปุ่นอาจจะพังก่อน เป็นlehman brothersสอง เพราะแนวโน้มการทำคิวอีจะไม่สำเร็จในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ถ้าเงินเฟ้อขึ้น ดอกเบี้ยขึ้น แต่จีดีพีไม่โต ญี่ปุ่นซึ่งมีหนี้ภาครัฐสูงที่สุดในโลกและจักรวาลนี้จะพัง ตลาดบอนด์จะระเบิดออกมาและจะลากทำให้ตลาดการเงินโลกพังไปด้วย เพราะเศรษฐกิจญี่ปุ่นใหญ่อันดับสามรองจากสหรัฐฯและจีน แต่ตอนนี้หลายคนเริ่มมองไปที่อินเดียแล้ว ว่าจะเอาอยู่หรือเปล่า เพราะค่าเงินโดนขายหนัก เงินรูปีตก44% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา หุ้นร่วงระนาว และดอกเบี้ยพนัธบัตรรัฐบาลสูงปรี๊ด เป็น10% แล้ว ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลประเทศใดไปถึง7% ก็เตรียมงานฌาปนกิจได้ ฝรั่งมองว่าอินเดียเริ่มเจอวิกฤติคล้ายช่วงปี1997-1998 เพราะเงินไหลออกหนักหลังเฟดบอกจะลดการทำคิวอี อีกประการหนึ่งอินเดียออกบอนด์ให้ดอกดีมากในช่วงที่ผ่านมา หลังจากบูมเกินไป ตอนนี้ได้เวลาเก็บขยะเพราะว่างานเลี้ยงเลิกราไปแล้ว thanong fanclub 22/8/2013 India on the brink of its own financial crisis http://www.theguardian.com/business/economics-blog/2013/aug/19/india-financial-crisis-rupee-stock-markets India on the brink of its own financial crisis www.theguardian.com In a reprise of the 1997-8 Asian crisis, India's stock market is plunging, bond yields are nudging 10% and capital is อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 22, 2013 Thanong Fanclub 2 hours ago Doug Casey แห่งCasey Researchบอกว่าระบบการเงินเป็นฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ Doug Casey, chairman and founder of Casey Research, เตือนภัยว่าเรากำลังเข้าไปสู่ช่วงเวลาที่โกลาหลวุ่นวายที่สุดในระบบการเงิน เนื่องจากมีการสร้างฟองสบู่ทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เขาบอกว่าฟองสบู่นี้ ใหญ่กว่าช่วงหุ้นเทคที่เป็นฟองสบู่ หรือช่วงหุ้นฟองสบู่ตอนต้นศตวรรษที่ 20 หรือฟองสบู่อสังหาฯ เพราะว่ามันเป็นฟองสบู่ของตลาดบอนด์ ด้วยดอกเบี้ยต่ำศูนย์ถึงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ทำให้เกิดฟองสบู่ตลาดบอนด์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่มีมาในประวัติศาสตร์ Doug บอกว่า เวลาตลาดบอนด์แตก มันจะเป็นความวินาศสันตะโรที่ใหญ่มหึมามาก เพราะขนาดของตลาดบอนด์ใหญ่กว่าตลาดหุ้นมากโข thanong fanclub 22/8/2013 Doug Casey, founder and chairman of Casey Research, indicated the world is about to enter an extraordinarily tumultuous period, due to the build-up of “the biggest bubble in world history”. Doug said, “We’re still in the midst of the biggest bubble in world history. It’s bigger than the tech stock market bubble around the turn of the century. It’s bigger than the real estate bubble…[it's] the bond bubble. With interest rates ranging from zero to a few percent—this is the biggest bubble in history and when it collapses, it’s going to be catastrophic because the bond market is so huge. It’s much bigger than the stock market is.” http://bullmarketthinking.com/doug-casey-we’re-still-in-the-midst-of-the-biggest-bubble-in-world-history/ 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 22, 2013 Thanong Fanclub 2 hours ago near Bangkok Quiz ระหว่างอินเดีย จีน และญี่ปุ่นใครจะพังก่อนกัน จากศึกสงครามการเงินครั้งนี้กับพ่อมดเบนแห่งวิหารเฟดเดอรัล ผู้มีเวทมนต์ เป่าปากเป็นพายุร้ายทางการเงินทำลายตลาดทั่วโลกได้ และเป่าปากเป็นฟองสบู่เข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯได้?? หรือว่าใครจะสามารถเอาชนะพ่อมดเบนได้??? ช่วยกันตอบเข้ามานะครับ เอารางวัลขงเบ้ง ไม่ต้องกลัวผิดกลัวถูก เพราะทุกคนถูกและผิดได้ทั้งนั้นรวมทั้งผม แต่เป็นการอ่านเกมการเงินมหาอำนาจว่าเขากำลังทำอะไรกันอยู่ ช่วงนี้สงครามการเงินเดือดลแะปะทุหนักแล้ว เราจะไม่ได้เห็นอะไรแบบริงไซด์แบบนี้อีกนานเท่านาน แล้วผมจะตอบเป็นซีรี่ส์คืนนี้ครับ โปรดติดตาม รับรองมันสส์ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 22, 2013 Wealth Station อัพเดทช่วงบ่าย มองขึ้น หากยังไม่หลุด 1352 ยังมองขึ้น 1373 1384 1394 เป็นเป้าหมาย หากหลุด 1352 ลงมาก็มองแนว 1345 1328 มุมมองส่วนตัว ใช้ 1352 - 1355 เป็นแนวกำหนดทิศทาง ถ้าจะลุ้นขึ้นถ้าหลุดแนว 1352 ก็ให้เปลี่ยนใจ ภาพหลักกราฟรายสัปดาห์เป็นแท่งเขียวใหญ่ของสัปดาห์ที่แล้ว ถ้ายังไม่มีแท่งแดงมาปิดแท่งเสียก่อนทองจะขึ้นทดสอบแนวต้านหลักที่ 1415 และอาจไปถึง 1488 เป็นระยะที่ไปได้แต่กว่าจะไปถึง1488 (ถ้าจะถึง) ก็ต้องม้วนตัวอีกหลายม้วนทีเดียว มองไว้เป็นแนวทางไว้ก่อน มองในเวลานี้เพียงไม่เกิน 1380 1400 1420 แล้วพักฐานก่อนครับ 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 22, 2013 MacroView เงินบาทเราอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ราวร้อยละ 7 ใกล้เคียงกับรูเปียห์ของอินโดฯ นับตั้งแต่เฟดประกาศ QE Tapering เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว.. หากอ่อนเท่ากับเงินรูปีของอินเดีย จะไปอยู่ที่ 33.2 บาทต่อดอลลาร์ อาจเป็นไปได้เหมือนกัน ณ นาทีนี้.. อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 22, 2013 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 22, 2013 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 22, 2013 Thanong Fanclub 2 hours ago อินเดีย อินโดฯ ไทย แล้วก็มาเลย์เซีย เป็นเป้าตอนนี้ ดูตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัด ของอินเดีย อินโดเนเซีย ไทย และมาเลย์เซีย มันบอกอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับวิกฤติการเงินตอนนี้ของประเทศในเอเซียในขณะนี้ ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกแสดงว่าประเทศมีเงินจากภาคการค้าและบริการรวมกันไหลเข้าประเทศมากว่าไหลออก ค่าเงินจะมีแนวโน้มไปในทางที่แข็งตัว ถ้าดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นลบก็จะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม คือจะมีเงินจากภาคการค้าและบริการไหลออกจากประเทศมากกว่าการไหลเข้าประเทศ ค่าเงินจะมีแนวโน้มอ่อนตัว ดุลบัญชีเดินสะพัดก็เป็นเครื่องมือวัดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อย่างจีนที่ผ่านมาเป็นบวกตลอด ไตรมาสอสงยังบวก $48,000 ล้านส่วนไตรมาสแรกบวก$47,000 เลย ไม่มีแรงกดดันค่าเงินเหมือนเพื่อนบ้านเอเซีย ในทางตรงข้ามค่าเงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้นด้วยซ้ำ ขณะที่ค่าเงินภูมิภาคร่วงอย่างไม่เป็นท่า เวลาดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบ ก็ต้องมีเงินนอกหรือเงินดอลล่าร์เข้าไปสวมหลุมดำที่ติดลบนี้ ซึ่งสะท้อนการขาดแคลนเงินภายในประเทศสำหรับการลงทุน เพราะฉะนั้นตัวแสบคือเงินนอกที่เข้ามา เพราะประเทศที่ดุลบัญชีสะพัดติดลบจะต้องให้ดอกเบี้ยสูงๆ เพื่อจูงใจให้ดอลล่าร์เข้ามา เพราะฉะนั้นดอกเบี้ยอินเดียและดิกเบี้ยอินโดเนเซียจะสูงผิดเพื่อนบ้าน หลายครั้งเงินนอกตัวแสบจะทะยอยเข้ามาจนเกินเลย พอได้ทีก็ออกไปพร้อมกันเหมือนคนหนีไฟในโรงหนัง ก่อนวิกฤติต้มยำกุ้งเรามีดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบ8%ต่อจีดีพี ต้องพึ่งพาเงินนอก เงินร้อน เงินทุนระยะสั้น มาอุดความต้องการในการลงทุนที่เกินตัวร้อนแรง พอหนี้ดอลล่าร์สูงเยอะ โดยเฉพาะหนี้สั้น เศรษฐกิจเป็นฟองสบู่ ส่งออกติดลบ ฝรั่งถอนทุนคืน ดึงดอลล่าร์กลับประเทศ ไทยก็พังเป็นต้มยำกุ้ง เข้าโรงซ่อมสุขภาพกับไอเอ็มเอฟ โดนข่มขืนยับเยิน แต่ก็ไม่เข็ดหลาบ จากตาราง อินเดียนับจากต้นปีถึงปัจจุบันมีดุลบัญชีเดินสะพัด -4.8%ต่อจีดีพี เทียบกับอินโดฯ -3.2% ไทย -0.4% มาเลย์+5.2% ทั้งปี2013 ประมาณการกันว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดอินเดียจะอยู่ที่ -3.8%, อินโด -2.7%, ไทย -0.3%, และมาเลย์+3.1%. เงินดอลล่าร์ที่เข้ามาฝังตัวก่อนหน้านี้4-5 ปีทำท่าจะไม่อยู่ เพราะพิษลมปากพ่อมดเบน เงินดอลล่าร์นี้เป็นม้าไม้เมืองทรอย ส่งเข้ามาสร้างเพื่อทำลาย พอเงินเข้าก็บูมทำให้รัฐบาลเอกชนใช้เงินหรือลงทุนเกินตัว เพราะมีดอลล่าร์มาให้ใช้ แล้วก็ชักเงินกลับเพื่อทำลายพอเงินไหลออก ค่าเงินตก หุ้นตก บีบให้ประเทศต้องพึ่งพาเงินออมภายในประเทศเอง การบีบตัวแบบฉับพลันทำให้เกิดวิกฤติการเงิน เพราะธุรกิจ อุตสาหกรรมการค้าปรับตัว หมุนเงินไม่ทันเลยเกิดอาการช๊อค พอทุกอย่างพัง ดอลล่าร์ก็จะกลับเข้ามาซ๊อปปิ้งของถูก ลดราคา50%-100% อะไรทำนองนี้ กองทุนฝรั่งบอกว่าประเทศไทยและมาเลย์อยู่ในข่ายโดนทุบ เมืองไทยน่าห่วงเพราะว่าเงินนอกเข้ามาฝังตัวมานาน$30,000ล้านในบอนด์ ในหุ้น ในอสังหาฯในรอบ4ปีที่ผ่านมา พอเวลาดอลล่าร์ถูกขนออกไปบาทก็ร่วง สภาพคล่องจะตึงตัว กดดันให้ดอกเบี้ยระยะสั้นสูงขึ้น เอาไม่อยู่ก็จะพังกันทั้งระบบ เพราะเวลาเงินไหลออก บาทจะอ่อนตัว ไม่ทำอะไรก็อ่อนลงไปเรื่อยๆ ทำให้เกิดเงินเฟ้อเพราะค่าเงินด้อยค่าลง แล้วความมั่นใจในค่าเงินลดลง ถ้าเข้าไปสู้ แบงค์ชาติต้องขายดอลล่าร์จากทุนสำรองระหว่างประเทศออกมา ตอนปี1997 ขายดอลล่าร์จากทุนสำรองฯออกมาจนเกลี้ยงกระเป๋า ตอนนี้มี$170,000ล้าน เป็นความท้าทายว่าจะรักษาค่าเงินบาทและเงินทุนสำรองฯอย่างไร เพราะเงินดอลล่าร์ที่เป็นม้าไม้อยู่ในหุ้น ในบอนด์เยอะพอสมควร ถ้าเอาบาทไม่อยู่แบงค์ไทยก็พร้อมทำกำไรด้วยการทิ้งบาทซื้อดอลล่าร์ กลายเป็นมหกรรมบูชายันเงินบาท ช่วงน้ำท่วมปี 2011 ปูเอาไม่อยู่ ช่วง2013 เงินไหลออก ต้องดูว่าปูเอาอยู่หรือเปล่า thanong fanclub 22/8/2012 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 22, 2013 1. อินเดียทรุด แต่คงไม่ถึงกับหงายหลัง ขณะนี้อินเดียเป็นประเทศที่ถูกจับตามากที่สุดในโลกว่าจะเป็นตัวจุดปะทุให้เกิดวิกฤติการการเงินของตลาดเกิดใหม่หรือของโลกรอบใหม่หรือเปล่า หลังจากที่กรีซ และสหรัฐศอเมริกาเป็นตัวจะระเบิดวิกฤติการเงินโลกก่อนหน้านี้ ถ้าดูย้อนหลังจะเห็นว่าวิกฤติการเงินโลกจะเกิดทุกๆ10ปี แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเกิดบ่อยขึ้น 1980sเป็นวิกฤติหนี้ของลาตินอเมริกา 1990sเป็นวิกฤติเอเซีย เริ่มด้วยญี่ปุ่นฟองสบู่แตก เจ้งไม่เป็นท่า อินเดียต้องกู้เงินไอเอ็มเอฟขนทองไปตึ้งเพื่อเอาเงินกู้ ไทยเป็นตัวจุดปะทุปี1997 ตามมาด้วย อินโดเนเซีย เกาหลีใต้ รัสเซียกล่มสะลายผิดชำระหนี้ 2000s วอลล์สตรีทนำโดย เลห์แมนล้มและลากเอาระบบการเงินสหรัฐฯและของโลกแทบจะลงเหวไปด้วย ยูโรโซนติดเชื้อการเงินเป็นพิษจากสหรัฐฯเดินตามก้นสหรัฐเข้าสู่วิกฤติ ตอนนี้ยังไม่ฟื้น สหรัฐทำคิวอีประคองตัวเอง สร้างฟองสบู่การเงินทั่วโลก 2010 เป็นต้นมาเป็นวิกฤติของยูโรโซนนำโดยกรีซ ไซปรัส ส่วนบริกส์เริ่มอ่วมบราซิล อินเดียและอินโดเนเซียป่วยทางการเงินหนัก รัสเซียเริ่มออกอาการบาง และจีนกำลังมีปัญหาฟองสบู่ ส่วนญี่ปุ่นเริ่มทำคิวอีรอบที่9 หลังจากล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจมานานนับ20ปี แล้วอินเดียออกอาการอย่างไร และจะมีทางออกอย่างไร? thanong fanclub 22/8/2013 Thanong Fanclub 11 minutes ago 2. อินเดียทรุด แต่คงไม่ถึงกับหงายหลัง สองสามปีมานี้ ค่าเงินรูปีของอินเดียอยู่ที่42ต่อดอลล่าร์ ตอนนี้ตกต่ำอย่างฮวยฮาบ หล่นไปแตะแถวๆ 63-65รูปีต่อดอลล่าร์ เพราะวิกฤติการเงินที่หนักหน่วงสาหัสมากๆ เงินไหลออกนอกประเทศหนักจนทำให้ทางการต้องออกมาตรการควบคุมเงินไหลออกcapital controls ตั้งแต่ต้นปีมาเงินรูปีตกไปแล้ว13% ส่วนดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอายุ10ปี พุ่งขึ้นเป็น9.23% ที่จริง7%ถือว่าเป็นเส้นอันตราย เพราะว่ามีความเสี่ยงทำให้ฐานะการเงินของประเทศล้มละลายถ้าอยู่ระดับนี้นานๆ ที่ผ่านมา อินเดียแม้ว่าจะมีเศรษฐกิจที่เติบโตสูง แต่ก็มีปัญหาดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล ทำให้มีการไหลของดอลล่าร์ ที่พวกนักลงทุนหรือแบงค์กู้เข้ามาเพื่อไฟแนนซ์ส่วนที่ขาดดุลนี้ และเพื่อกินส่วนต่างดอกเบี้ยเงินรูปีที่ให้อัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยสูงกว่า เกือบทุกสายตามองว่าอินเดียจะผงาด เคียงคู่กับจีนและจะเป็นเสาหลักของการเจริญเติบโตของเอเซีย ที่ต่อไปจำต้องลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯและสหภาพยุโรปที่มีปัญหาหนี้ ที่จริงอินเดียเริ่มออกอาการอ่อนแอมาบ้างก่อนหน้าหนี้ เพราะเศรษฐกิจไม่โตอย่างก้าวกระโดดเหมือนในอดีต แต่อินเดียมีจุดเด่นอย่างหนึ่งคือ ไม่ได้พึ่งพาการส่งออกเหมือนจีนหรืออาเซี่ยน อินเดียมีตลาดในประเทศที่ใหญ่ประชากร1,300ล้านคน เป็นรองแค่จีน มีประชากรวันทำงานมากที่สุด มีเทคโนโลยี่ด้านไอทีระดับโลก หลังจากพ่อมดเบน แห่งวิหารเฟดเดอรัลออกมาส่งสัญญานว่าอาจแตะเบรคการพิมพ์เงินผ่านคิวอี ทำให้เงินไหลออกจากอินเดียหนัก แม้ว่าเศรษฐกิจยังจะโต5%ปีนี้ อินโดเนเซียอีกประเทศที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดหนักและมีเงินไหลออกมาก ทำให้ค่าเงินตกต่ำเป็นประวัติการณ์ในรอบหลายปี อินเดียใช่ว่าจะไม่เคยเจอวิกฤติ ปี1991อินเดียเจอวิกฤติการเงินต้องกู้ไอเอ็มเอฟ $2.2พันล้าน ไอเอ็มเอฟไม่เชื่อใจ ให้เอาทองเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ รีเชร์ฟแบงค์ออฟอินเดีย ต้องขนทองจากเชฟนิรภัย 67ตัน เพื่อเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ไิเอ็มเอฟ ตอนนั้นอินเดียต้องขนทองคำผ่านทางอากาศ 47ตันไปตึ้งที่แบงค์ออฟอิงแลนด์ที่ลอนดอน และอีก 20ตันที่ยูบีเอสที่สวิตเซอร์แลน อินเดียเจ็บปวดจากบทเรียนครั้งนี้มาก เลยรู้ว่าต้องมีทองเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันประเทศ แต่ก็ยังประมาทปล่อยให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาติดลบหนักๆ บริษัทออสเตรเลียเข้ามาครอบงำมาก เผลอนิดเดียวแค่สิบกว่าปีมีโอกาสโดนสอยให้ร่วงอีก thanong fanclub 22/8/2013 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
FEE 18 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 22, 2013 ginger อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 23, 2013 ginger FEE ขอบคุณนะคะ Thanong Fanclub 3. อินเดียทรุด แต่คงไม่ถึงกับหงายหลัง ปัญหาระยะสั้นเร่งด่วนของอินเดียคือต้องหยุดเงินไหลออกให้ได้ และได้ทำแล้วผ่านมาตรการควบคุมเงินไหลออกต่างๆนาๆ ทองคำนำเข้าเจอภาษี10% ส่วนปัญหาในระยะปานกลางคือจะจัดการอย่างไรกัลหนี้ที่จำต้องมีการรีไฟแนนซ์หรือต่ออายุจำนวน$250,000ล้านในระยะหนึ่งปีข้างหน้า หน้าตักอินเดียมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ$270,000ล้าน ต้องดูแลทุนสำรองระหว่างประเทศไม่ให้หมดหน้าตักอย่างรวดเร็วจนนำไปสู่วิกฤติเหมือนปี 1991ที่ต้องกู้ไอเอ็มเอฟ แต่จุดแข็งที่สุดของอินเดีย คืออินเดียเป็นประเทศที่มีทองคำสะสมมากที่สุดในโลก อินเดียเป็นตลาดทองคำใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้ จีนกำลังไล่ตามมาติดๆ ประมาณการกันว่าอินเดียมีทองคำในประเทศที่อยู่ในมือประชาชน พ่อค้า นักลงทุน20,000ตัน น่าจะมากที่สุดในโลก ถ้าทองคำมีราคา$1,400ต่อออนซ์ทองคำจำนวนนี้จะมีมูลค่ารวม$900,200ล้าน บางคนเชื่อว่าอินเดียอาจจะมีทองคำสูงถึง25,000ตัน ถ้าเป็นเช่นนั้นมูลค่ารวมจะเทียบเท่า $1.12ล้านล้าน ทองคำทั้งหมดในประเทศนี้จะเป็นหลักประกันความมั่นคงของรูปี ถ้าหากว่าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ$270,000เกิดหมดไป เรื่องเงินๆทองๆไใ้ใจไม่ได้ เวลามันหมด มันจะหมดเร็วมาก ตอนวิกฤติปี1998 รัสเซียเสียเงินทุนสำรองระหว่างประเทศภายในพริบตา$240,000ล้าน ทำให้ต้องผิดชำระหนี้ เจ้งหมดรูป หนึ่งในมาตรการควบคุมเงินทุนของอินเดีย คือบังคับให้ผู้นำเข้าต้องเอาทองมาเก็บที่โกดังของรัฐบาล โกดังนี้อาจแปลงสภาพเป็นทุนสำรองทองของอินเดียได้ทุกเมื่อ ถ้าสถานการณ์เข้าตาจน และรัฐบาลอินเดียสามารถออกกฎหมายยึดทองคำประชาชน หรืออาจจะขอยืมจากประชาชนก็ได้ในราคามิตรภาพ เป็นทองคำกู้ชาติคล้ายๆทองคำหลวงของหลวงตามหาบัวกู้ชาติของไทย ด้วยทองคำสำรองที่มากติดอันดับหนึ่งของโลก อินเดียมีโอกาสรอดจากวิกฤตินี้ เมื่อเลือดเข้าตา จำเป็นต้องเล่นอุบายกับประชาชน ถ้ารัฐบาลเล่นเป็น ก็ต้องบอกประชาชนความจริง สารภาพบาปว่าหมดตูดแล้ว คุกเข่าอ้อนวอนเหมือนในหนังแขกที่ประเอกขอความรักนางเอก เรียกน้ำตาหน่อย รับรองคนอินเดียใจอ่อนยอมยกทองทั้งหมดให้ัรัฐบาลเอาไปค้ำเงินรูปี thanong fanclub 22/8/2013 ใหญ่ของอินเดียตอนนี้ http://blogs.reuters.com/james-saft/2013/08/20/india-the-taper-and-capital-controls-james-saft/ http://www.safehaven.com/article/30851/is-india-preparing-to-confiscate-its-citizens-gold 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น