ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
little devil

เก็บทองเข้าพอร์ต ก่อนราคาพุ่งไม่หยุดฉุดไม่อยู่

โพสต์แนะนำ

เก็บทองเข้าพอร์ต ก่อนราคาพุ่งไม่หยุดฉุดไม่อยู่

 

โดย Kumponys

วันพุธที่ ๐๒ มกราคม ๒๕๕๑

 

ผมอ่านเจอบท ความจาก www.efinancethai.net เกี่ยวกับการลงทุนในทองคำ จึงขอนำมาเผยแพร่ต่อ ขอย้ำว่าไม่ได้เป็นการชี้นำให้ซื้อทองคำ เพียงอยากให้เห็นแนวความคิดของนักวิเคราะห์ และการที่ Us dollar อ่อนค่าจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า ทำให้ราคาทองคำในประเทศไทยไม่สูงเท่าที่คิดเพราะค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะทำ ให้ซื้อทองคำได้ถูกลง และการซื้อทองคำไม่จำเป็นต้องซื้อที่เยาวราชเท่านั้นนะครับ เชิญอ่านได้เลยนะครับ

 

สำรวจแนวรบโลกการเงิน ก่อนเลือกสมรภูมิลงทุน (ตอนที่ 1)

“รากไม่แน่น ปลายย่อมคลอน จึงควรเสริมแก่น ทอนปลาย”

เจ้าหยุย ปราชญ์ราชสำนักถัง

 

เปิดตัวคอลัมน์วันแรก ผู้น้อยขอนำหลักการพื้นฐานอันเป็นหัวใจแห่งความสำเร็จในการลงทุนมาทบทวนให้นายท่านซึ่งเป็นนักลงทุนฟังกันก่อน เพราะเมื่อกล่าวถึงความสำเร็จของการลงทุนเมื่อใด หลายท่านอาจนึกถึงการลงทุนในตลาดหุ้นเท่านั้น ด้วยว่าเป็นสมรภูมิการลงทุนที่มีความเร้าใจมากที่สุด และสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้เป็นรายวินาที ทำให้ลืมไปว่า ยังมีสมรภูมิการลงทุนให้เลือกอีกมากมาย และหากนายท่านเลือกได้ดีและจัดกองทัพได้เหมาะสมกับการทำศึกในแต่ละสมรภูมิแล้ว ความสำเร็จจากการลงทุนย่อมบังเกิดอย่างแน่นอน ผู้น้อยขอเอาหัว (คนอื่น) เป็นประกัน เกริ่นมาอย่างนี้ คงทำให้นายท่านนึกออกแล้วว่า หลักการพื้นฐานที่เป็นหัวใจแห่งความสำเร็จของการลงทุนนั้นอยู่ที่ ‘การเลือกสมรภูมิ’ นั่นเอง

 

การลงทุนโดยทั่วไปย่อมแบ่งได้เป็น 2 ประเภทได้แก่ การลงทุนทางตรง เช่น การเปิดร้านอาหาร ร้านซักรีด ไปจนถึงกิจการใหญ่โตอย่างการสร้างสนามบิน (ในหนองน้ำที่งูเห่าชุม) ซึ่งความสำเร็จของการลงทุนประเภทนี้เบื้องต้นก็ต้องมาจากการเลือกสมรภูมิ หรือ กิจการที่มีอนาคตเป็นหลักเช่นกัน แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะการลงทุนประเภทที่ 2 นั่นคือ การลงทุนทางอ้อม หรือ ที่เรียกกันว่า ‘การให้เงินทำงาน’ ซึ่งมักเกิดปัญหาตรงที่เงินเกิดดื้อด้านไม่ยอมทำงานให้เราแถมบางครั้งยังหนีไปอยู่กับคนอื่นเสียอีก แต่ปัญหานี้ไม่ยากเกินจัดการหากนายท่านเข้าใจธรรมชาติและลักษณะเฉพาะของแต่ละสมรภูมิการลงทุน ก่อนที่จะเลือกทำศึกในชัยภูมิที่สอดคล้องกับจุดแข็งและความแข็งแกร่งด้านจิตใจของท่านเอง ถ้าจิตใจของท่านอ่อนไหวดุจดรุณีน้อยที่เกิดมาบนโลกอันโหดร้าย ก็ไม่สมควรออกศึก แต่ควรให้เงินนอนนิ่งอยู่ในธนาคารที่มีรัฐบาลเป็นประกัน แต่ถ้าหัวใจของท่านแข็งแกร่งดุจหินผาก็กระโจนสู่การนองเลือดในตลาดหุ้น เวลาที่ตัวเลขสีแดงครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของกระดานได้เลย แต่ก่อนที่จะประเมินความแข็งแกร่งของจิตใจท่านเอง ผู้น้อยขอกล่าวถึงสมรภูมิการลงทุนที่น่าสนใจให้ท่านได้สร้างความคุ้นเคยให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น เวลาออกศึกจะได้มั่นใจ

 

ผู้น้อยขอเริ่มจากสมรภูมิที่มี่ความเสี่ยงต่ำอย่าง ‘ตลาดตราสารหนี้’ เป็นลำดับแรก เนื่องจากมีลักษณะใกล้เคียงเงินฝากที่เราทราบกันดีว่ามีความเสี่ยงต่ำเพียงใด ส่วนผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีให้ลงทุนในตลาดตราสารหนี้หลักๆก็มี พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรแบงก์ชาติ หุ้นกู้รัฐวิสาหกิจ หุ้นกู้บริษัทจดทะเบียน ในประเทศที่ตลาดเงินพัฒนาเต็มที่แล้วยังมีพันธบัตร หรือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยองค์การปกครองระดับต่างๆ ซึ่งช่วยทำให้การพัฒนาเขตการปกครองส่วนภูมิภาคหรือท้องถิ่นมีความคล่องตัวมาก ที่กล่าวมานี้เป็นบรรดาตราสารหนี้ระยะยาวที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ส่วนตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปีก็อย่างเช่น ตั๋วสัญญาใช้เงิน บัตรเงินฝาก เป็นต้น แต่พวกลูกผสมอย่าง ตราสารหนี้กึ่งทุนที่ออกโดยสถาบันการเงิน หรือที่เรียกว่า ไฮบริดบอนด์ หรืออย่างหุ้นกู้แปลงสภาพ ผู้น้อยจำต้องขอยกไปสาธยายกลไกการทำงานของมันให้เข้าใจถ่องแท้ในโอกาสต่อไปเพื่อให้สมกับที่อาสาเป็นกุนซือให้กับนายท่าน แต่ตอนนี้ขอกล่าวถึงธรรมชาติของตลาดตราสารหนี้ก่อนก็แล้วกัน

 

ตลาดสารหนี้มีลักษณะอย่างหนึ่งที่ไม่มีสมรภูมิการลงทุนใดเหมือน นั่นคือการให้ผลคอบแทนที่คงที่ หรือ ค่อนข้างคงที่ จัดเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคงที่ หรือ ตายตัว ที่ฝรั่งเขาเรียกว่า ‘fixed-income assets’ ซี่งผลตอบแทนดังกล่าวก็อยู่ในรูปของอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ออกตราสารกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะจ่ายในอัตราเท่าไร จะจ่ายคงที่ หรือ ลอยตัว จะจ่ายทุกๆไตรมาส ครึ่งปี หรือ 1 ปี และที่สำคัญคือการกำหนดอายุ หรือ กำหนดคืนเงินต้นให้กับผู้ถือตราสารหนี้ เป็นการบอกว่า เขาต้องการยืมเงินของนายท่านนานแค่ไหน เพื่อให้นายท่านได้ตัดสินใจอย่างรอบคอบก่อนว่า พร้อมที่จะเป็นเจ้าหนี้เขาหรือไม่

 

หลังจากทราบเงื่อนไขของตราสารหนี้ที่นายท่านสนใจแล้ว ลำดับต่อไปต้องมาดูที่ความเสี่ยงของผู้ออกตราสารว่ามีโอกาสเบี้ยวหนี้หรือ ไม่ ซึ่งโชคดีได้ตกเป็นของนายท่านที่มีสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ อันดับเครดิตทั้งระดับโลก และ ระดับประเทศคอยจัดเรทติ้งให้ท่านทราบว่าตราสารหนี้แต่ละตัวนั้นมีความ เสี่ยงอยู่ในระดับใด สถาบันจัดอันดับเครดิตมีตั้งแต่ 3 บิ๊กระดับโลกอย่าง แสตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส หรือ เอสแอนด์พี มูดี้ส์อินเวสเตอร์สเซอร์วิส และฟิทช์เรทติ้งส์ จนถึงระดับท้องถิ่นของเราอย่างทริสเรทติ้งส์ ซึ่งทั้งหมดใช้ระบบการจัดเรทติ้งที่เป็นมารตรฐานเดียวกัน โดยกำหนดให้ตั้งแต่ระดับ BBB ขึ้นไปเป็นระดับที่น่าลงทุน ส่วนที่ต่ำกว่าระดับดังกล่าววถือเป็นระดับเก็งกำไร หรือ เป็นระดับ ‘junk bond’ เท่านั้น ซึ่งเป็นระดับที่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ หรือ มี ‘default risk’ สูง แต่ผู้ออกตราสารที่มีอันดับเครดิตต่ำๆมักแก้เกมด้วยการเสนออัตราดอกเบี้ย ที่สูงเข้าตำรา high risk high return เพื่อให้ตราสารหนี้ขายออก สำหรับบ้านเรานั้นตราสารหนี้ความเสี่ยงสูงไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไร เนื่องจากผู้กำกับดูแลตลาดเงินตลาดทุนของเรามีความพิถีพิถันรอบคอบและไม่ ยอมให้ผู้ออกตราสารที่มีความเสี่ยงสูงเกินไปออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มี ความเสี่ยงเกินรับได้เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดเงินตลาดทุนในประเทศเป็น สำคัญ

 

แต่อย่างไรก็ดี การได้ครอบครองตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอยังไม่ถือเป็นชัยชนะในสมรภูมิการลงทุนนี้ เนื่องจากนายท่านยังต้องเอาชนะปัจจัยเสี่ยงอีก 2 ประการ ซึ่งถึงเเม้ไม่สามารถทำให้นายท่านหมดตัว หรือ สูญเงินต้น แต่ก็สามารถทำให้นายท่านต้องกุมขมับพร้อมคร่ำครวญว่า ‘กินดอกเบี้ยแบงก์ดีที่สุด’ นั่นเพราะตราสารหนี้ที่ท่านถืออยู่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำเสียแล้ว ปัจจัยที่ว่าคือ เงินเฟ้อ กับ ทิศทางอัตราดอกเบี้ย

 

จริงอยู่เมื่อแรกซื้อตราสารหนี้ชุดใดชุดหนึ่งท่านย่อมเลือกชุดที่ให้ผลตอบ แทนสูงสุด และมีความเสี่ยงต่ำที่สุด ถ้าจะให้ดีต้องมีอายุสั้น หรือ ไถ่ถอนได้เร็วประมาณ 3-5 ปีกำลังเหมาะ คือเหมาะสำหรับนายท่านที่เป็นรายย่อยเพราะไม่ต้องไปหาสภาพคล่อง หรือ ปล่อยของในตลาดรองตราสารหนี้ที่ต้องเปิดพอร์ตตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป เพียงแต่ท่านซื้อตราสารหนี้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เป็นผู้จัด จำหน่ายซึ่งจะกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการซื้อเช่น 100,000 บาทขึ้นไป แล้วถือรับดอกเบี้ยไปเรื่อยๆรอเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน หรือ โชคดีหน่อยก็อาจมีการรับซื้อคืนเป็นระยะๆก็พอ แต่ทีนี้มันมีความเสี่ยงอยู่ว่า หากท่านซื้อตราสารหนี้ที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5% ต่อปี หลังจากผ่านไป 2 ปี ดอกเบี้ยเงินฝากประจำขึ้นไปอยู่ที่ 6% ต่อปี ส่วนเงินเฟ้ออยู่ 4.5% ต่อปี ขณะที่ตราสารหนี้ที่ท่านถืออยู่มีอายุ 6 ปี จึงเหลือเวลาอีก 4 ปีถึงจะไถ่ถอนได้ สิ่งที่ทำได้ ณ ขณะนี้คือ ภาวนาให้ลูกหนี้ที่ออกตราสารหนี้นั้นไถ่ถอนก่อนกำหนด เพื่อที่สภาพคล่องจะได้กลับมาอยู่กับท่านอีกครั้ง และก็ไม่ต้องทนทุกข์กับตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก แถมเอาชนะเงินเฟ้อได้เพียง 0.5% (อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5% - เงินเฟ้อ 4.5% = อัตราผลตอบแทนแท้จริง 0.5%) เป็นอันว่า การลงทุนในสมรภูมินี้ให้ประสบความสำเร็จ ท่านยังต้องสามารถประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยได้ อีกทั้งต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขด้านเวลาที่ผู้ออกตราสารหนี้กำหนด มา และในเมื่อท่านมีกุนซืออย่างผู้น้อยอยู่ทั้งคน ก็ไม่จำเป็นต้องไปคร่ำเคร่งศึกษาตำราเศรษฐศาสตร์ มหภาคจนเชี่ยวชาญในการคาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยให้เสียเวลา ทำการใหญ่ของนายท่าน เพราะผู้น้อยจะขอเสนอวิธีรัดในการตัดสินใจให้นายท่านลองพิจารณา (ในตอนต่อไป)

 

By : มังกรในสระ

eFinanceThai.com

 

สำรวจแนวรบโลกการเงิน ก่อนเลือกสมรภูมิลงทุน (ตอนที่ 2)

 

ผู้น้อยขออาสาเสนอหลัก ‘ยุทธบริหาร’ ในตำราหลักการปกครองแว่นแคว้นของมหาอาณาจักรจีนให้นายท่านได้เห็นถึงความสำคัญของการใช้กองทัพทำศึก ซึ่งกองทัพในที่นี้หมายถึงเงินของนายท่าน และการเรียกทัพกลับเพื่อรักษาความเป็นปึกแผ่นและอำนาจในการบัญชาทัพไว้กับนายท่าน หลักการดังกล่าวมีอยู่ว่า ‘เสร็จศึก เรียกทัพกลับ แลยึดดาบอาญาสิทธิ แลตราแม่ทัพคืน’ ซึ่งหมายความว่า นายท่านต้องหวงแหนกองทัพ และไม่ให้ใครครอบครองนานเกินไป เนื่องจากเสี่ยงต่อการเสียทัพ หรือ เสียประโยชน์ที่ควรจะได้รับ หลักการข้อนี้เป็นสิ่งที่กองทุนทั้งหลายต่างยึดถือกันอย่างเคร่งครัด จึงไม่แปลกที่เวลาเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติใดๆขึ้น กองทุนไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ต่างพร้อมใจกันถอนกำลัง ด้วยไม่อยากให้กองทัพทำศึกติดพันและเสียไพร่พลโดยเปล่าประโยชน์

 

หลักการข้อนี้นำมาตั้งเป็นกฎในการลงทุนในสมรภูมิตราสารหนี้ได้ว่า นายท่านควรจะใช้กองทัพทำศึกในช่วงเวลาที่ไม่นานเกินไป และต้องสำเร็จการโดยไม่เสียไพร่พล เพราะสมรภูมิตราสารหนี้นั้นแทบไม่ต่างกับการฝากเงินในบัญชีเงินฝากประจำ เพียงแต่นายท่านเลือกเมืองที่จะไปตีให้ถูก และใช้เวลาทำศึกไม่นาน เท่านี้ก็ชนะศึก โดยได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากเป็นรางวัล สูตรสำเร็จที่ผู้น้อยขอเรียนนายท่านก็คือ ขอให้เลือกตราสารหนี้ ที่ได้อันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ BBB ขึ้นไป ให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากประจำที่สูงที่สุดในขณะนั้นตั้งแต่ 0.75% ขึ้นไป และมีอายุไม่เกิน 3 ปี แต่ถ้ามีอายุเกินกว่านั้น นายท่านควรลดจำนวนกองทัพจากที่ตั้งใจไว้แต่แรก และตราสารหนี้นั้นต้องเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเท่านั้น เพื่อนายท่านจะได้ประโยชน์ถึง 2 ทางด้วยกัน กรณีสถานการณ์ศึกแปรผัน เช่นเมื่อดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ก็ยังคงได้ดอกผลสูงกว่าเงินฝาก และเมื่อดอกเบี้ยเป็นขาลง นายท่านยังมีกองทัพไว้ทำศึกในสมรภูมิอื่นที่จะให้ผลตอบแทนสูงยามดอกเบี้ยเป็นขาลงเสมอ แต่หากตราสารหนี้ที่ออกขายในขณะนั้นไม่เข้าเกณฑ์ตามที่ผู้น้อยกล่าว ขอนายท่านพิจารณาทำศึกในสมรภูมิอื่นแทนจะดีกว่า

 

สมรภูมิถัดไปที่ผู้น้อยจะนำเสนอต่อนายท่านคือ ทองคำ โลหะล้ำค่าที่มนุษย์ห่ำหั่นแย่งชิงกันทุกยุคสมัย ส่วนคำพูดติดปากคุณแม่บ้านที่ว่า ‘เสียทองท่วมหัว ไม่ยอมเสีย...ให้ใคร’ คงจะใช้ไม่ได้แล้วในยุคนี้ และน่าจะเปลี่ยนเป็น ‘มีทองท่วมหัว ไม่มี...ก็ช่าง’ถึงจะเข้ากับยุคสมัยมากกว่า เนื่องจากต่อไปจะไม่มีทองราคาต่ำกว่า 10,000 บาท (ต่อ 1 บาททอง) ให้ซื้ออีกแล้ว ฉะนั้นเมื่อทองท่วมหัวใยจะไม่ดีกว่ามีอย่างอื่นให้ปวดหัวเล่า

 

ผู้น้อยขอเรียนให้นายท่านทราบว่า ในบรรดาสินทรัพย์ทั้งหลาย ทองคำนั้นนับเป็นสิ่งที่สะท้อนสถานการณ์ความเป็นไปของโลกได้ดีที่สุด เมื่อไรก็ตามที่โลกเกิดความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ข้าวยากหมากแพง หรือ ตลาดเงินโลกเกิดความผันผวนรุนแรงและมีความเสี่ยงที่พังทลายได้ทุกเมื่อ เมื่อนั้นราคาทองคำจะทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างแทบไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อไรก็ตามที่โลกมีความสงบ ปราศจากสงคราม เศรษฐกิจโลกมีเสถียรภาพ ตลาดเงินมีเสถียรภาพ พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ราคาทองแทบจะไม่ขยับ และจะนิ่งอยู่หลายปีก่อนที่โลกจะถูกคุกคามด้วยความไม่แน่นอนอีกครั้ง และผู้ที่สร้างความไม่แน่นอนให้กับโลกของเราได้เก่งที่สุดก็คือ มหาอำนาจอเมริกา ดังที่นายท่านทราบดีว่า ในสมัยของประธานาธิบดีบิล คลินตัน ซึ่งท่านมีนโยบายหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และมุ่งรักษาสันติภาพของโลกไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ราคาทองคำในสมัยนั้นแทบไม่ขยับ เท่าที่ผู้น้อยทราบเห็นจะเคลื่อนไหวระหว่าง 6,000-7,000 บาทเท่านั้น

 

แต่เมื่อท่านประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ขึ้นครองอำนาจ กระทั่งเกิดวินาศกรรม 9/11 ปี 2003 ราคาทองคำขึ้นมาเคลื่อนไหวระหว่าง 8,000-9,000 บาทโดยพลัน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อท่านผู้นำ ‘บุช’ ส่งกองทัพโหมทำศึกในอัฟกานิสถานและอิรัก ราคาทองคำสะท้อนความไม่แน่นอนที่โลกกำลังเผชิญด้วยการทะยานขึ้นทะลุ 10,000 บาทให้ประจักษ์แก่สายตาเป็นครั้งแรก แต่นายท่านอย่าหลงไปขอบคุณผู้สร้างความไม่แน่นอนให้กับโลกที่ทำให้ราคาทองวิ่งขึ้นเป็นอันขาด นายท่านต้องขอบคุณทองคำที่ทำหน้าที่ประกันความเสี่ยงและความไม่แน่นอนใดๆได้อย่างดีเลิศ

 

ทว่าความดีความชอบของทองคำยังไม่หมดเท่านี้ ด้วยทองคำยังเป็นอาวุธที่ทรงพลานุภาพที่สุดในการเอาชนะเงินเฟ้ออีกด้วย ผู้น้อยขออธิบายให้นายท่านเกิดความกระจ่าง ทุกวันนี้ราคาทองคำได้ทะลุ 10,000 บาทไปแล้ว ขณะที่ก๋วยเตี๋ยวมีราคาชามละ 25 บาท ย้อนไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ทองคำมีราคาอยู่ที่บาทละ 4,000 บาท ส่วนก๋วยเตี๋ยวชามละ 10 บาทก็อิ่มโดยไม่ต้องเบิ้ล นายท่านลองเอาราคาทองสมัยนั้นหารด้วยราคาก๋วยเตี๋ยวดูจะพบว่า ทอง 1 บาทในขณะนั้นสามารถสวาปามก๋วยเตี๋ยวได้ 400 ชาม และปัจจุบันนี้ ราคาทองเกิน 10,000 บาทไปแล้ว ถ้านายท่านมีทอง 1 บาท ก็ยังคงสามารถซดก๋วยเตี๋ยวได้ 400 ชาม เหมือนเมื่อ 20 ปีก่อน นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่า มูลค่าของทองไม่เคยลดลงไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปอย่างไร ในฐานะกุนซือผู้ซื่อสัตย์ ผู้น้อยขอแนะนำให้นายท่านเก็บทองคำไว้ในพอร์ตการลงทุนของนายท่านเพื่อการมีชัยเหนือเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทั้งปวง

 

ส่วนผลิตภัณฑ์ทองคำที่น่าลงทุนย่อมได้แก่ ทองคำแท่ง เพราะนายท่านจะมีต้นทุนในการซื้อเพียงบาทละ 100 บาทเท่านั้น แต่ถ้าเป็นทองรูปพรรณค่ากำเหน็จจะอยู่ที่บาทละ 500 บาทเป็นอย่างต่ำ มีต้นทุนสูงกว่าถึง 5 เท่า นอกจากทองคำแท่งแล้ว ผู้น้อยขอแนะนำให้นายท่านเช่าเหรียญทองคำที่ระลึกในโอกาสต่างๆเก็บไว้บูชาด้วย เพราะนายท่านไม่เพียงแต่ได้บุญเท่านั้น แต่นายท่านยังจะได้เห็นมูลค่าเพิ่มอีกหลายเท่าตัวจากเหรียญที่ระลึกอันเป็นสิริมงคงเหล่านั้น ถ้าไม่เชื่อ ผู้น้อยขอท้าให้ไปสืบราคาเหรียญทองคำองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชรุ่นสู้ ดูก็ได้ อัตราเช่าบูชาครั้งแรกอยู่ที่ 9,999 บาท แต่ขณะนี้ 40,000 บาทยังไม่พอเช่า ที่ผู้น้อยว่ามานี้มิใช่แนะให้นายท่านเช่าบูชาวัตถุมงคลทองคำเพื่อหากำไร ทว่าผู้น้อยอยากให้นายท่านได้ครอบครองสิ่งอันเป็นมงคล และมีคุณค่าน่าภูมิใจอย่างยิ่ง (จบตอนที่ 2)

 

ในตอนหน้าผู้น้อยจะขอแนะนำให้นายท่านรู้จักกุนซือ ‘โอมเพี้ยง’ ผู้ชาญศึก ผู้ซึ่งจะสร้างความกระจ่างเกี่ยวกับการลงทุนในสมรภูมิทองคำนี้ ก่อนจะพบกับผู้น้อยอีกครั้งใน สำรวจแนวรบโลกการเงิน ก่อนเลือกสมรภูมิลงทุน ตอนที่ 3

 

By : มังกรในสระ

eFinanceThai.com

 

เก็บทองเข้าพอร์ต ก่อนราคาพุ่งไม่หยุดฉุดไม่อยู่

 

ตะลึง...ตะลึง... ทองคำ พุ่งกระฉูดแตะระดับสูงสุดในรอบ 27 ปี แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองที่มองเห็นราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งเอา พุ่งเอา เพราะสาเหตุที่ดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลายคนต่างแปลกใจว่าทำไม ราคาทองคำในตลาดโลกถึงได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจัง โอมเพี้ยงจึงอาสามาแนะนำให้เก็บทองคำ อย่างแรกง่ายๆเลย เพราะว่าทองคำเป็นการเป็นการลงทุนที่มีสภาพคล่อง หรือซื้อง่ายขายคล่องนั้นเอง และราคามีมาตรฐาน รวมทั้งยังสามารถเก็บไว้ได้นานและใช้เป็นเครื่องประดับได้อีก หรือในยามเกิดสงครามทองคำนี้แหละคือสินทรัพย์ที่ดีที่สุด แต่ที่สำคัญต้องเก็บให้ไกลหูไกลตาโจรนะ แต่ถ้ากลัวขโมยขโจร ก็ไปฝากไว้ที่ธนาคารหรือใครจะไปฝากให้โรงรับจำนำดูแลก็ไม่ว่ากัน

 

หลายคนคงจะสงสัยว่าทำไมดอลลาร์อ่อนค่า แล้วราคาทองคำถึงได้พุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง คำตอบก็คือทองคำถูกกำหนดราคาซื้อขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์ หากดอลลาร์อ่อนค่าก็จะทำให้ทองคำมีราคาแพงขึ้น แล้วสาเหตุที่ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าละคืออะไร? ก็เริ่มตั้งแต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่มีความเป็นไปได้จะเข้าสู่ ภาวะถดถอย และภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง หรือตลาดซับไพร์ม ที่บดบังการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 2 ครั้ง (0.75%) การเทขายเงินดอลลาร์ของเฮดจ์ฟันด์ จากความไม่เชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปัญหาการขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯต้องแบกรับมานาน ไปจนถึงประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศเริ่มเปลี่ยนสัดส่วนการถือทุนสำรอง ระหว่างประเทศในสินทรัพย์เงินดอลลาร์ไปเป็นสินทรัพย์ในรูปเงินสกุลอื่นๆ

 

ราคาทองที่พุ่งกระฉูด ฉุดไม่อยู่ขณะนี้ เป็นเพราะกระแสคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุมวันที่ 11 ธันวาคมนี้ เลยตอกย้ำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงไปอีก เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจบางภาคส่วน ยังคงบ่งชี้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่จบสิ้น ประกอบกับภาวะซบเซาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกฉุดรั้งจากวิกฤตซับไพร์มยิ่งร้ายแรงมากขึ้น ดูได้จากตัวเลขเศรษฐกิจดังนี้ แม้โชดดีที่เศรษฐกิจในไตรมาส 3/2550 ทบทวนใหม่ขยายตัว 4.9% แต่ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจเดือนตุลาคม ลดลง 0.5% และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนพฤศจิกายนลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ที่ระดับ 87.3 จุด นั้น ก็เป็นสัญญาณว่าการใช้จ่ายผู้บริโภคจะชะลอตัว ส่วนยอดค้าปลีกเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ซึ่งเป็นอัตราน้อยที่สุดในรอบ 2 เดือน ขณะเดียวกัน เฟดยังได้ปรับลดประมาณการ การขยายตัวของเศรษฐกิจปีหน้าจาก 2.5%-2.75% มาอยู่ที่ 1.8%-2.5% พร้อมกับคาดว่าอัตราการว่างงานปีหน้าจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 4.8%-4.9% จาก 4.75% ที่ประมาณการครั้งก่อน ซึ่งก็เป็นเพราะปัจจัยลบที่รุมเร้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อ ไปจนถึงราคาน้ำมันที่พุ่งไม่หยุด ด้านสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติสหรัฐฯ ก็ออกมาคาดการณ์เช่นกันว่า จีดีพีไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะอยู่ที่ 1.5% ชะลอลงจาก 3.9% ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนจีดีพีปีนี้จะอยู่ที่ 2.1% น้อยที่สุดในรอบ 5 ปี

 

สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ ที่หลายคนกลัวนักกลัวหนา ว่าจะนำพาเศรษฐกิจเดินลงสู่ห้วงเหวภาวะซบเซา ก็ยังไม่เห็นสัญญาณจะดีขึ้น เนื่องจากข้อมูลต่อไปนี้ยังคงบ่งชี้ว่าปัญหาในตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแต่เลวร้ายลงไปทุกที โดยยอดขายบ้านมือสองเดือนตุลาคมลดลง 1.2% ร่วงต่อเป็นเดือนที่ 8 มาอยู่ที่ 4.97 ล้านยูนิต และราคาบ้านลดลง 5.1% เฉลี่ยอยู่ที่ 207,800 ดอลลาร์ แม้ยอดขายบ้านใหม่เดือนดังกล่าว เพิ่มขึ้น 1.7% มาอยู่ที่ 728,000 ยูนิต แต่ยอดขายบ้านใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ลดลง 23.5% ส่วนราคาบ้าน Q3/2550 เพิ่มขึ้นเพียง 1.8% น้อยที่สุดในรอบ 13 ปี และราคาบ้าน 1 ใน 3 เมืองใหญ่ของสหรัฐฯ ไตรมาสดังกล่าว ลดลง 2% เฉลี่ยอยู่ที่ 220,800 ดอลลาร์ เนื่องจากมาตรฐานที่เข้มงวดในการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยทำให้ยอดขายบ้านลดลง 14% มาอยู่ที่ 5.42 ล้านยูนิต ขณะที่ดัชนีราคาบ้านสหรัฐฯ Q3/50 ลดลง 4.5% ร่วงมากสุดในรอบ 20 ปี แม้การก่อสร้างที่อยู่อาศัยเดือนตุลาคมจะเพิ่มขึ้น 3% มาอยู่ที่ 1.229 ล้านยูนิต เพราะยอดการก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์เพิ่มขึ้น แต่ยอดก่อสร้างบ้านขนาด 1 ครอบครัว ยังอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 16 ปี โดยลดลง 7.3% มาอยู่ที่ 884,000 ยูนิต ยัง...ยังไม่หมดแค่นี้ ถ้าเห็นตัวเลขการฟ้องยึดหลักประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย ก็ต้องอุทานคำว่า "God " แน่นอน ก็จะไม่ร้องได้อย่างไร เมื่อตัวเลขดังกล่าวใน Q3/50 เพิ่มขึ้นถึง 100.1% มีจำนวน 446,726 ราย จาก 223,233 ราย ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 33.9% จาก 333,731 ราย ในไตรมาสก่อนหน้า

 

ด้านกองทุนเฮดจ์ฟันด์ และกองทุนต่างๆ ที่เคยถือครองเงินดอลลาร์ และลงทุนในตลาดหุ้นต่างหันไปลงทุนในตลาดทองคำมากขึ้น เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัญหาขาดดุลการค้าที่ยืดเยื้อมากว่า 3 ปี ซึ่งส่งผลให้มียอดสะสมในการขาดดุลการค้าสูงมาก จึงทำให้ความน่าสนใจที่จะถือครองดอลลาร์มีน้อยลง ขณะเดียวกันความวุ่นวายในตลาดเงินทั่วโลก ทำให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ขาดทุนจากตลาดเงิน ต่างปรับพอร์ตการลงทุน หรือย้ายฐานการลงทุนเข้ามาแก้มือในตลาดทองคำ แทนการลงทุนในตลาดหุ้นที่เกิดความผันผวนจากซับไพร์มที่กำลังลุกลามไปทั่วโลก

อีกปัญหาใหญ่ที่เป็นเรื่องหนักอกของสหรัฐฯ คงหนีไม่พ้น Twin Deficit หรือการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลงบประมาณพร้อมกัน ยิ่งเป็นการตอกย้ำดอลลาร์อ่อนค่าไม่มีวันสิ้นสุด โดยในเดือนกันยายนสหรัฐฯยังขาดดุลการค้าสูงถึง 56.5 พันล้านดอลลาร์ แม้จะดีกว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ดุลงบประมาณในเดือนตุลาคมขาดดุลเพิ่มขึ้น 12.6% จากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 55.6 พันล้านดอลลาร์ ตราบใดที่ประเทศคู่ค้าที่สำคัญอย่างจีน ซึ่งสหรัฐฯเสียดุลการค้ามากที่สุด ไม่เร่งปฏิรูปอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนซึ่งมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ก็อย่าได้หวังเลยที่สหรัฐฯจะหลุดพ้นจากวังวนการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมูลค่ามหาศาลเช่นนี้

 

สุดท้ายประเทศที่พัฒนาแล้วต่างหันมาใช้ทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น ซึ่งในย่านเอเชียใช้ทองคำเป็นทุนสำรองรวมกันประมาณ 3 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว ด้านรัสเซียก็เตรียมเพิ่มสัดส่วนทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดเงิน ซึ่งภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ ได้เพิ่มปริมาณทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างคิดเป็นมูลค่าเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์

 

แล้วก็ได้ทราบสาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งทะยานมาแล้ว ทีนี้เรามาดูราคาทองคำในตลาดต่างๆกันบ้าง แล้วจะได้พิจารณาว่าควรจะเก็บทองในรูปไหนดี โดยทองคำในตลาดฮ่องกง ที่ชาวเอเชียเทรดกัน ซึ่งวันที่ 1 พฤศจิกายน ราคาทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ 793.55 ดอลลาร์/ออนซ์ (ทองคำ 1 ออนซ์ เท่ากับ 31.104 กรัม) และในวันที่ 30 พฤศจิกายน ราคาทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ 805.15 ดอลลาร์/ออนซ์ ภายในเวลา 1 เดือน ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ 11.6 ดอลลาร์ ส่วนทองคำในตลาดลอนดอนที่ชาวยุโรปเขาเทรดกัน วันที่ 2 พฤศจิกายน ราคาทองคำอยู่ที่ 788.85 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ และวันที่ 30 พฤศจิกายน ราคาทองเฉลี่ยอยู่ที่ 798.80 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ ภายในช่วงเวลาเพียง 1 เดือน เพิ่มขึ้น 9.95 ดอลลาร์ สุดท้ายราคาขายปลีกทองคำในบ้านเราซึ่งในวันที่ 1 พฤศจิกายน ทองรูปพรรณ 96.5% ขายบาทละ 13,100 บาท และรับซื้อบาทละ 12,416.04 บาท และวันที่ 30 พฤศจิกายน ทองรูปพรรณขายบาทละ 13250 บาท และรับซื้อบาทละ 12567.64 บาท ภายในเวลา 1 เดือน เพิ่มขึ้น 150 บาท ขณะที่ทองคำแท่ง 96.5% วันที่ 1 พฤศจิกายน ขายบาทละ 12,700 บาท และรับซื้อบาทละ 12,600 บาท และวันที่ 30 พฤศจิกายน ขายบาทละ 12850.00 บาท และรับซื้อบาทละ 12,750.00 บาท ภายในเวลา 1 เดือน ราคาทองคำเพิ่มขึ้น 150 บาท ..เอาเป็นว่าใครจะเลือกเก็บทองในรูปแบบไหนก็เลือกสรรตามสะดวกของแต่ละคนก็แล้วกันนะ แต่อย่าลืมคาถากำกับการลงทุนที่ว่า การลงทุนทุกอย่างล้วนมีความเสี่ยง! (เสี่ยงอย่างไง..ติดตามตอนต่อไป)

 

By : โอมเพี้ยง

eFinanceThai.com

 

เก็บทองเข้าพอร์ต ก่อนราคาพุ่งกระฉูดฉุดไม่หยุด ตอนที่ 2

 

ขึ้นต้นว่าลงทุนแล้วล้วนแต่มีความเสี่ยงทั้งนั้น เพียงแต่มากน้อยแตกต่างกันไป ทองคำเองก็มีความเสี่ยงเช่นกัน แต่ไม่มากเท่ากับการลงทุนในตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆ เนื่องจากราคาทองคำขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยดังนี้ คือ อัตราแลกเปลี่ยนและราคาทองคำในตลาดโลก โดยราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับดอลลาร์ หมายความว่า ถ้าดอลลาร์แข็งค่า ราคาทองคำจะปรับลดลง แต่ถ้าดอลลาร์อ่อนค่า ราคาทองคำจะปรับเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันทองคำยังมีสภาพคล่องสูง ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ในทันทีทั่วโลก

 

การลงทุนทองคำแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือหากจะซื้อทองคำไว้เพื่อเก็งกำไร ไม่ได้เป็นเครื่องประดับ ก็ควรจะซื้อ ทองคำแท่ง ที่มีตั้งแต่ 1 บาท ถึง 100 บาท (ทองคำแท่ง น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม และทองคำ 1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.1508 ออนซ์ ) หรือหากจะซื้อเพื่อเก็งกำไร และเป็นเครื่องประดับด้วย ประมาณว่า two in one ก็ต้องซื้อ ทองรูปพรรณ (ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม) แต่ต้องเสียค่ากำเหน็จด้วย ทีนี้พอพูดถึงค่ากำเหน็จบางคนยังงงๆ ว่าค่ากำเหน็จคืออะไร เวลาไปซื้อทองคำทีไร เจ้าของร้านก็จะกดเครื่องคิดเลข บวกนั้นบวกนี้ สุดท้ายบวกค่ากำเหน็จ ทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า what is ค่ากำเหน็จ แต่ก็ต้องจ่ายให้เขาไป เอาละวันนี้มารู้กันเลยว่า “ค่ากำเหน็จ คือค่าแรงในการทำทองรูปพรรณ “ซึ่งทอง 1 บาท จะเฉลี่ยอยู่ที่ 500-600 บาท แล้วแต่ชนิดและความยากง่ายของลายที่เลือก

 

แล้วสิ่งหนึ่งที่ควรจะจำไว้คือ หากต้องการจะขายทองคำก็ควรจะนำไปขายร้านเดิมที่ซื้อมา เพราะจะได้ราคาดีและราคายุติธรรมกว่านำไปขายร้านอื่นๆ เพราะร้านทองนั้นๆจะทำสัญลักษณ์ทองคำของตัวเองไว้ทั้งนั้น และถ้าจะให้ดีเมื่อเวลาจะซื้อทองควรจะไปเลือกซื้อแถวเยาวราช เพราะทองรูปพรรณที่นั้นมีความบริสุทธิ์ที่ 96.5% ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งเยาวราช เนื่องจากได้รับการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพโดยสมาคมค้าทองคำ ในขณะเดียวกันถ้าอยากได้กำไรมากๆ เป็นกรอบเป็นกำก็ควรจะให้ทองคำอยู่กับเรานานๆ เพราะจะซื้อวันนี้ขายพรุ่งนี้เหมือนหุ้นคงไม่ได้ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะปานกลางถึงระยะยาว นั่นก็หมายความว่าควรจะลงทุนมากกว่า 2 เดือนขึ้นไป

 

ตอนนี้ทุกคนเริ่มมีคำถามอยู่ในใจแล้วว่า โอกาสมีมากน้อยแค่ไหนที่ราคาทองคำจะพุ่งต่อ แล้วจะพุ่งต่อไปอีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี ซึ่งโอมเพี้ยงก็มีคำตอบเอาไว้ให้อยู่แล้วว่า แน่นอนมันต้องขึ้นต่ออยู่แล้ว แล้วจะช้าอยู่ใย รีบไปหาทองคำเก็บกันซะ อย่างที่บอกไปว่าทองคำเดินสวนทางกับดอลลาร์ ตราบใดเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่สามารถปีนป่ายออกมาจากหลุมซับไพร์มได้ และวังวนการขาดดุลการค้ายังไม่ผ่านพ้นไป แล้วมีหรือที่ดอลลลาร์จะไม่อ่อนค่าลง เริ่มสงสัยกันแล้วใช่มั้ย เพราะอะไร... เหตุใด... ทำไม...โอมเพี้ยงถึงได้เชียร์ให้ซื้อทองคำ ขอบอกไว้ก่อนว่าไม่ได้เป็นประชาสัมพันธ์ หรือไม่ได้มีได้ มีเสียกับร้านทองแถวเยาวราช ที่เชียร์ก็เพราะว่าเกาะติดความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจและพอรู้ทิศทางของดอลลาร์อยู่บ้าง ซึ่งก็คือตัวชี้ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำนั่นเอง ก็เลยอยากแลกเปลี่ยนความรู้ที่มีให้บางคน ที่กำลังเริ่มต้นเข้าสู่ถนนทองคำได้ทราบกัน

 

จากข้อมูลที่เล่ามาทั้งหมดนี้ หลายคนคงจะนึกภาพออกแล้วว่าทองคำจะเดินหน้าหรือถอยหลัง ถ้างั้นก็ขอยืมสโลแกนหมอลักษณ์มาใช้บ้างแล้วกันว่า ขอฟันธง!.. เลยว่าราคาทองคำยังคงเป็นขาขึ้นและจะสูงอย่างนี้ต่อไปอีกแน่นอน โดยราคาทองคำเริ่มเป็นขาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อปลายปี 2547 โดยราคาทองคำโลกเริ่มปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 17 ปี ที่เฉลี่ยประมาณ 455 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 9% จากช่วงต้นปี และที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือ ราคาทองคำเริ่มสูงขึ้นเกือบ 80% นับตั้งแต่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2544 โดยประเทศที่ซื้อทองคำจากตลาดโลกในแต่ละปีมากที่สุดก็คืออินเดียเพื่อนบ้านในทวีปเอเชียของเรานี้เอง เพราะชาวอินเดียดูจะเป็นคนที่รักชอบทองคำเป็นพิเศษ โดยมีการคาดการณ์กันว่าในปัจจุบันคนอินเดียเก็บทองคำในรูปทองแท่งหรือเครื่องประดับไว้ในเซฟของธนาคาร และในบ้านรวมกันไม่ต่ำกว่า 15,000-20,000 ตัน ก็เลยอยากจะบอกต่อไปอีกว่า อินเดียซึ่งดั่งเดิมชอบทองคำอยู่แล้ว จะยิ่งมีความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น เพราะกำลังซื้อที่มากขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ

 

สุดท้ายก่อนจะจบเรื่องเงินๆทองๆนี้ไปต้องขอย้ำอีกครั้งว่า ตราบใดดอลลาร์ยังอ่อนค่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัวและวิกฤตซับ ไพร์มที่ยังพ่นพิษไม่หยุด อาจส่งผลให้เฟดต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ยิ่งจะตอกย้ำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงไปอีก นั่นก็คือปัจจัยที่ทำให้ทองคำมีราคาแพงขึ้น ขณะเดียวกันการอ่อนค่าของดอลลาร์ยังเป็นปัจจัยหลักทำให้นักลงทุนหันไปกัก ตุนทองคำซึ่งเป็นหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด ในยามที่เกิดวิกฤตในตลาดเงิน รวมถึงกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่กำลังปั่นราคาเพื่อเก็งกำไร และการลดสัดส่วนใช้ดอลลาร์เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศของหลายๆประเทศ ด้วยการหันไปใช้ทองคำเป็นทุนสำรองแทน ปัญหาการขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯต้องแบกภาระต่อไปและยังไม่รู้หลุดพ้นเมื่อ ไหร่ ไปจนถึงปัจจัยเสี่ยงด้านราคาน้ำมันที่ยังคงกดดันให้นักลงทุนหันไปถือครอง ทองคำแทน เนื่องจากปัญหาโครงการนิวเคลียร์อิหร่านที่ยืดเยื้อมานานยังไม่รู้จะออกหัว ออกก้อย ตัวเลขปริมาณสำรองน้ำมันรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ภัยธรรมชาติ และการตัดสินใจลดหรือเพิ่มการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปค ไปจนถึงปัจจัยด้านภูมิศาสตร์ทางการเมืองอื่นๆ ยังเป็นสาเหตุทำให้ราคาน้ำมันผันผวน ซึ่งนั่นก็คือปัจจัยทำให้ทองคำมีเสน่ห์และมีความสนใจมากกว่าน้ำมัน

 

By : โอมเพี้ยง

eFinanceThai.com

 

ขอให้ความรู้เพิ่มเติมว่า สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และสมาคมค้าทองคำ เป็นผู้ตรวจสอบและควบคุมความบริสุทธิ์ทองคำที่ 96.5% ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศครับ

ถูกแก้ไข โดย little devil

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...