ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

ตั้งกองทุนพยุงหุ้น-ดึงเงินคงคลัง ฝ่าหนี้ยุโรป (27/06/2555)

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐบาลได้เตรียมพร้อม ทั้งด้านนโยบายการเงินและนโยบายการคลังที่จะเข้าไปดูแลกรณีที่เศรษฐกิจไทย ที่อาจได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่อาจจะเกิดขึ้น แม้ยังไม่มีสัญญาณว่าไทยจะได้รับผลกระทบดังกล่าว จนไม่สามารถที่จะบริหารเศรษฐกิจตามเป้าหมาย

 

"เรายังไม่เห็นสัญญาณว่าจะได้รับผลกระทบทำไม่ได้ตามเป้า นอกจากข้อกังวลจากคนภายนอกหรือนักวิชาการ ทั้งเรื่องส่งออกหรือจีดีพี ซึ่งยังยืนยันเป้าหมายส่งออกไว้ที่ 15% และ เชื่อว่า จีดีพีปีนี้จะโตได้ที่ 5.5-6.5%"

 

กระทรวงการคลัง ได้เตรียมการมานานแล้วในเรื่องของแผนรองรับ ยกตัวอย่าง เรื่องการจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้น ความเป็นจริงก็คือ ได้เตรียมการมานานแล้ว โดยทาบทามผู้บริหารสถาบันการเงิน ที่เคยร่วมจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้นในอดีต เพื่อร่วมลงขันในการจัดตั้ง กรณีที่เกิดวิกฤติตลาดหุ้นรุนแรง ดังนั้น จึงขอให้มั่นใจว่า เมื่อมีเหตุการณ์ดังกล่าวจริง ทางการก็พร้อมที่จะเข้าไปดูแล

 

"ถามได้เลยผู้บริหารสถาบัน ที่เคยร่วมจัดตั้งกองทุนที่ดูแลเรื่องหุ้นในอดีต ทุกคนถูกทาบทามเงียบๆ มาเป็นเวลาหนึ่งแล้ว และทุกคนก็ไปทบทวนวิธีการขออนุมัติวงเงินลงขัน ก็จะใช้เวลาไม่กี่วันถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ฉะนั้น จะไม่เกิดภาวะที่เรียกว่าหุ้นตกแรงมาเป็นเวลานานเดือนๆ แล้ว แต่ไม่มีใครมาดูแล เอาเป็นว่า ถ้าหุ้นอ่อนตัวลงอย่างไม่สมควร ก็จะมีกองทุนพยุงหุ้นที่มีขนาดใหญ่โตมาซื้อแน่ๆ แค่เป่านกหวีดก็มาแล้ว ทำไมถึงเชื่อ ก็เพราะมันดีกับส่วนรวมและก่อให้เกิดกำไรกับกองทุน สุดท้ายถ้ากองทุนกำไรไปก็อย่าไปว่าเขานะ"

 

@ใช้เงินคงคลังอัดฉีดสภาพคล่อง

 

นอกจากนี้ ยังได้เตรียมการด้านสภาพคล่อง โดยเฉพาะระดับของเงินคงคลัง ปัจจุบันมีจำนวน 5.5 แสนล้านบาท เพื่อรองรับความผันผวนและปัญหาการขาดสภาพคล่อง ขณะเดียวกัน ก็ประสานกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ปล่อยสภาพคล่องเข้ามาในระบบ เพื่อให้เกิดความสมดุลกับความต้องการของภาคเอกชนด้วย

 

"เครื่องมือทางการคลังเรามีมาก เช่น เงินคงคลังมีสูงถึง 5.5 แสนล้านบาท ถามว่า ทำไมต้องสูง ก็ถ้าเกิดความผันผวน ขณะที่ รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงิน เราก็พร้อมที่จะสนับสนุน ทั้งที่เราเชื่อว่า สภาพคล่องในระบบมีอยู่มากก็ตาม แต่ก็ต้องพร้อมเป็นพิเศษ ถ้าผมจะบริหารด้วยประสิทธิภาพ เพื่อประหยัดดอกเบี้ย ก็สามารถปล่อยให้เงินคงคลังต่ำกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็น 4 แสนล้านบาทหรือต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท ก็ยังถือว่าไม่มีอันตราย แต่ทำไมต้องสั่งให้กรมบัญชีกลางและสำนักบริหารหนี้ หรือ สบน. ต้องดูแลเงินตรงนี้ ก็เพื่อความปลอดภัย ก็แอบทำมาหลายเดือน"

 

@สั่ง ธปท.ปล่อยสภาพคล่องกดดอกเบี้ย

ในแง่การดูแลสภาพคล่องในระบบ นายกิตติรัตน์ เผยว่า ขณะนี้ ภาคเอกชน หรือสถาบันการเงิน มีความต้องการที่จะเตรียมพร้อมด้านสภาพคล่อง ขณะที่ ธปท.มีหน้าที่ดูแลสภาพคล่องที่มีอยู่ในระบบถึง 4 ล้านล้านบาท แต่สถานการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดกลับสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จึงได้สั่งการให้ธปท.ปล่อยสภาพคล่องที่ได้ดูดซับเข้าไปออกมาสู่ตลาดมากขึ้น

 

"ได้พูดจากันแล้วกับแบงก์ชาติเรื่องสภาพคล่อง เพราะบางหน่วยงานเขาต้องการเพิ่มสภาพคล่อง แบงก์ชาติมีหน้าที่ดูแลก็ต้องประเมินสิ่งเหล่านี้ เวลานี้สิ่งสำคัญที่สุด คือเสถียรภาพ ขณะที่บางเวลา คือ เรื่องของประสิทธิภาพ ผมไม่ได้ตระหนกที่จะทำ แต่ทำมานานแล้ว และคิดว่าแบงก์เอกชนก็ไม่ได้ตระหนก แต่ก็แอบทำมานานแล้วเช่นกัน"

 

@ลั่นรัฐบาลพร้อมรับมือวิกฤติ

 

นายกิตติรัตน์ ยังเชื่อว่า แม้ภาคการส่งออกไทยจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก แต่เชื่อว่าการค้าขายระหว่างประเทศในอาเซียน จะช่วยพยุงให้การส่งออกไม่ลดลงมากนัก ซึ่งจากประสบการณ์ในอดีต จะไม่ทำให้เกิดปัญหาการลดคนงาน เพราะเมื่อลดคนงานแล้วจะให้กลับมาทำงานอีกเป็นเรื่องยาก

 

อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าสถานะทางการเงินของประเทศเข้มแข็งมาก จึงไม่มีอะไรน่าวิตกขอให้ประชาชนใช้ชีวิตตามปกติ

 

"จากการทำงานของรัฐบาล เราก็ต้องบอกว่ามีการเตรียมความพร้อมขอให้ประชาชนเชื่อมั่น ใช้ชีวิตตามปกติไม่ต้องถึงขนาดเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก"นายกิตติรัตน์ กล่าว

 

@ยันไม่มีแผนใช้เงินทุนสำรอง

 

นายกิตติรัตน์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลยังไม่ได้มีแนวคิดในการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้ในการลงทุนด้านต่างๆ แม้ว่าจะมีหลายโครงการที่จะดำเนินการเพื่อพัฒนาประเทศในอนาคต แต่ก็มีวิธีการอื่นๆ ที่จะหางบประมาณมาใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินในส่วนดังกล่าวแต่อย่างใด

 

เขากล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีแนวคิดในเรื่องการนำเอาทุนสำรองมาใช้ในการลงทุน เป็นความคิดส่วนบุคคลของบางคนเท่านั้น แต่เชื่อว่าการเอาเงินทุนสำรองมาใช้ยังไม่มีความชัดเจนว่าประโยชน์จะเกิดกับประเทศได้อย่างไร อย่างไรก็ตามการนำเงินในส่วนนั้นมาลงทุนอาจเป็นประโยชน์ต่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ในระยะสั้น

 

"แนวคิดที่เอาทุนสำรองมาใช้ไม่ใช่แนวคิดของรัฐบาล เนื่องจากยังไม่มีความจำเป็น และผมก็ยังไม่เห็นว่าจะเอาทุนสำรองมาใช้ได้ด้วยวิธีใด การเอาทุนสำรองมาลงทุนก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อแบงก์ชาติมากที่สุด เนื่องจากการเอาเงินมาลงทุนทำให้แบงก์ชาติมีฐานะทางการเงินมั่นคงขึ้นซึ่งเป็นเรื่องดีแต่คงไม่เกิดประโยชน์ต่อประเทศได้ในระยะสั้นๆ” นายกิตติรัตน์ กล่าว

 

นายกิตติรัตน์ กล่าวด้วยว่า ในปัจจุบัน ธปท.มีหนี้ที่เป็นพันธบัตรในอัตราที่สูงมาก โดยมากกว่าอัตราที่กระทรวงการคลังมีอยู่ ซึ่งภาระดอกเบี้ยที่ ธปท.จะต้องจ่ายคืนให้แก่ผู้ถือพันธบัตรในแต่ละปีก็ถือว่าอยู่ในอัตราที่สูง ซึ่งต้องอาศัยการบริหารจัดการที่ดี

 

ดังนั้น ธปท.อาจจะใช้วิธีการออกพันธบัตรระยะสั้นเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ หรือวิธีการอื่นๆ ซึ่งเชื่อว่า คณะกรรมการของ ธปท.น่าจะกำลังพิจารณาแนวทางที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม หลายครั้งที่ ธปท.ออกมาให้ความเห็นว่ารัฐบาลไม่ควรกู้เงินจำนวนมากมาใช้ในการลงทุน ตนก็อยากขอให้เข้าใจด้วยว่าการกู้เงินของรัฐบาลมีความจำเป็น เพราะนำมาใช้ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หรือใช้กระตุ้นเศรษฐกิจตามความจำเป็น

 

ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทย มียอดคงค้างพันธบัตร ทั้งสิ้นประมาณ 2,913,387.01 ล้านบาท ขณะที่ยอดคงค้างตราสารหนี้ภาครัฐอยู่ที่ 6,048,448.76 ล้านบาท ส่วนเงินทุนสำรองของประเทศ ณ เดือนมิ.ย. 2555 อยู่ที่ 2,193,976,726,316 บาท แบ่งเป็น เงินตราต่างประเทศ 123,664,747,828 บาท ทองคำมูลค่า 245,211,286,081 บาท หลักทรัพย์รัฐบาลไทยและหลักทรัพย์ต่างประเทศ 1,817,960,834,743 บาท ตั๋วเงิน - ทองคำ และ สินทรัพย์กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และ สินทรัพย์อื่น รวม 7,139,857,664 บาท

 

ที่มา : MSN การเงินและการธนาคาร (วันที่ 27 มิถุนายน 2555)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (26 มิ.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากข่าวการประท้วงของคนงานบริษัทน้ำมันในประเทศนอร์เวย์ และราคาบ้านของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยเนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรป

 

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาด NYMEX ส่งมอบเดือนส.ค.ขยับขึ้น 15 เซนต์ หรือ 0.19% ปิดที่ 79.36 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 78.36 - 79.68 ดอลลาร์

 

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 2.01 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 93.02 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนหลังจากมีข่าวการประท้วงนัดหยุดงานของคนงานของบริษัทน้ำมันในประเทศนอร์เวย์ รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจะปรับตัวลดลง และราคาบ้านของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น

 

สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์เปิดเผยว่า ราคาบ้านเดือนเม.ย.ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดยดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองใหญ่ปรับตัวขึ้น 0.7% ซึ่งบ่งชี้ว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มปรับตัวสู่ช่วงขาขึ้น และสอดคล้องกับรายงานก่อนหน้านี้ที่ว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.6% สู่ระดับ 369,000 ยูนิตต่อปี ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2554

 

อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยเนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรป หลังจากมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ระยะยาวและเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ 28 แห่งของสเปนลง 1 - 4 ขั้น โดยมูดีส์ระบุว่า อันดับความน่าเชื่อถือที่ลดลงของสเปนนั้น ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อความสามารถของรัฐบาลในการสนับสนุนภาคธนาคารเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อประวัติด้านสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ด้วย

 

นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 22 มิ.ย.ของสหรัฐ ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยตัวเลขดังกล่าวในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 700,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 1.0 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 900,000 บาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะทรงตัวที่ 91.9%

 

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูการประชุมสุดยอดของบรรดาผู้นำอียูที่จะจัดขึ้นที่กรุงบรัสเซลส์ในระหว่างวันที่ 28-29 มิ.ย.นี้ โดยคาดว่าที่ประชุมจะหารือในประเด็นกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) หรือกองทุนช่วยเหลือถาวรที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ค.ปีนี้

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 27 มิถุนายน 2555)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กระทรวงการคลังสเปนยืนยันว่า กระทรวงอยู่ในระหว่างการหาแนวทางที่จะปรับเพิ่มภาษีการขาย

 

การเปิดเผยดังกล่าวมีขึ้นในช่วงไม่ถึง 1 วัน หลังจากที่นายกรัฐมนตรีมาริอาโน ราฮอยของสเปนแถลงต่อสมาพันธ์นายจ้างของสเปนในกรุงมาดริดว่า รัฐบาลของเขาจะดำเนินการปฏิรูปทางการเงินต่อไป

 

ในปัจจุบัน สเปนมีอัตราภาษีการขายใน 3 ระดับ ได้แก่ อัตราปกติที่ 18% อัตรา 8% ซึ่งจะครอบคลุมสินค้าต่างๆ เช่น ตั๋วรถไฟ ภัตตาคาร และอัตรา 4% ซึ่งจะครอบคลุมสินค้าในชีวิตประจำวัน เช่น ขนมปัง นม ยารักษาโรค หนังสือพิมพ์ รวมทั้งอัตราสำหรับการขายบ้านสร้างใหม่ด้วย

 

รัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรีโฮเซ ลูอิส ซาปาเตโร ได้กำหนดอัตราภาษีการขายดังกล่าว ซึ่งเป็นความพยายามที่จะดำเนินการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ชะงักงันของสเปน

 

รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีราฮอยตั้งเป้าที่จะเพิ่มรายได้ผ่านทางการจัดเก็บภาษี ซึ่งนายคริสโตบาล มอนโตโร รมว.คลังสเปนได้ยืนยันเมื่อเร็วๆนี้ว่าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ เพื่อลดยอดขาดดุลของประเทศ

 

ในขณะนี้ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณารายการสินค้าที่จะมีการปรับเพิ่มภาษีจาก 4% เป็น 8%  และจาก 8% เป็น 18%

 

นอกจากนี้ การปรับเพิ่มอัตาราภาษีการขายทั่วไปจาก 18% มาสู่ระดับสูงถึง 20% ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ แม้ว่ารัฐบาลสเปนได้สร้างความมั่นใจว่าจะยังไม่มีการดำเนินการดังกล่าวในปีนี้

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 27 มิถุนายน 2555)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จับตาประชุมสุดยอดผู้นำยุโรป คาดถกแผนจัดตั้งสหภาพธนาคารยูโรโซน หวังกอบกู้วิกฤตหนี้ ด้านสเปนยื่นขอเงินช่วยอย่างเป็นทางการแล้ว ขณะที่ฟิทช์หั่นเครดิตไซปรัสลงจังก์ เหตุเสี่ยงกู้เงินเพิ่ม

 

รอยเตอร์สเปิดเผยร่างรายงานการประชุม ซึ่งจัดทำขึ้นล่วงหน้าสำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำยุโรป ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 28-29 มิ.ย.นี้ ระบุว่า บรรดาผู้นำยุโรปจะเตรียมหารือเกี่ยวกับแนวทางการจัดตั้งสหภาพการธนาคารของกลุ่มยูโรโซน และการใช้นโยบายการเงินการคลังร่วมกัน ท่ามกลางความวิตกกังวลว่า การประชุมอียูซัมมิตในครั้งนี้อาจไร้ผลสรุปกู้วิกฤตหนี้ที่ชัดเจน

 

สาระสำคัญของรายงานดังกล่าวมุ่งเน้นให้เห็นว่า การประชุมอียูซัมมิตในสุดสัปดาห์นี้ บรรดาผู้นำยุโรปจะหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งสหภาพการธนาคารของกลุ่มยูโรโซน ที่เปิดทางให้มีการจัดตั้งหน่วยงานส่วนกลางรับผิดชอบการปรับโครงสร้างภาคธนาคารในยุโรปที่ประสบกับวิกฤตการเงินแทนรัฐบาลประเทศนั้นๆ ประกอบกับการเปิดทางให้มีการรับประกันเงินฝากทั่วยุโรป ซึ่งคาดว่ามาตรการเหล่านี้จะสามารถฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนและกระตุ้นการไหลเวียนของกระแสเงินทุนมากขึ้น

 

นอกจากนี้ คาดว่าน่าจะมีการหารือรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ 4 เสาหลักทางเศรษฐกิจ ซึ่งจำเป็นต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในภูมิภาคให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ประกอบกับการร่างนโยบายงบประมาณทางการคลังให้มีความสอดคล้องมากยิ่งขึ้น ตลอดจนถึงวิธีการรักษาอำนาจอธิปไตยทางการเมืองระหว่างประเทศสมาชิก เมื่อต้องเกิดการรวมกลุ่มทางการเงินและการคลังไว้ศูนย์กลางมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า มาตรการกู้วิกฤตหนี้ยุโรปในร่างรายงานการประชุมดังกล่าวอาจไม่สามารถผ่อนคลายความกดดันตลาดทุนที่กำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการระดมทุนของภาคธนาคารของสเปนและอิตาลี เห็นได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่พุ่งขึ้นอยู่ในระดับอันตรายแล้ว ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปเปิดตลาดปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบสัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่า การประชุมผู้นำยุโรปในครั้งนี้อาจไร้ข้อสรุปแก้วิกฤตหนี้ที่ชัดเจน

 

กระนั้นก็ตาม เอริก เนลสัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากยูนิเครดิต มองว่า มาตรการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการแก้ปัญหา ซึ่งอาจช่วยผ่อนคลายความกดดันได้บางส่วน และอาจโน้มน้าวให้อีซีบีเข้ามามีบทบาทในการแก้วิกฤตเพิ่มขึ้นอีกด้วย

 

“การเข้ามามีบทบาทในการแก้วิกฤตหนี้ของอีซีบีในอนาคตอาจครอบคลุมถึงการตัดลดอัตราดอกเบี้ยลง การผ่อนปรนกฎระเบียบการรับประกันเงินกู้สำหรับภาคธนาคารสเปนเพื่อเปิดทางให้เข้าถึงกองทุนของอีซีบีได้เพิ่มขึ้น ตลอดจนการกลับมาใช้นโยบายซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งแม้ว่าเป็นสิ่งที่ผู้กำหนดนโยบายของอีซีบีคัดค้านมาโดยตลอดก็ตาม” เนลสัน กล่าว

 

ด้านความเคลื่อนไหวล่าสุดในกรีซ หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลของกรีซทั้ง 3 พรรคประกาศเตรียมเดินทางไปกรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียม เพื่อหารือผ่อน ปรนเงื่อนไขรับเงินกู้ช่วยเหลือกับชาติสมาชิกยุโรปทันทีที่ แอนโตนิส ซามาราส นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของกรีซพักฟื้นหลังจากเข้ารับการผ่าตัดตาเสร็จเรียบร้อย

 

ก่อนหน้านี้ ซามาราส ต้องเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนจอกระจกตาเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ขณะที่ วาสซิลิส ราปาโนส รัฐมนตรีคลังคนใหม่ของกรีซ ต้องเข้ารับการรักษาตัวหลังเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ส่งผลให้ทั้งสองไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำยุโรปในสุดสัปดาห์นี้ได้ ซึ่งสร้างความวิตกกังวลว่า ความพยายามในการหารือผ่อนปรนเงื่อนไขอาจไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจกรีซที่อยู่ในภาวะถดถอยติดต่อกันนานถึง 5 ปีแล้ว

 

ล่าสุด สเปนได้ยื่นหนังสือขอเงินกู้ช่วยเหลือจากชาติสมาชิกยูโรโซนมูลค่า 1 แสนล้านยูโรอย่างเป็นทางการ เพื่อกอบกู้ภาคธนาคารของประเทศที่แบกรับภาระหนี้เสียอย่างหนัก อันเป็นผลมาจากวิกฤตการเงินเมื่อปี 2551 แล้ว ท่ามกลางความกดดันในตลาดทุน เนื่องจากเงินกู้จำนวนดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อสัดส่วนเงินกู้ช่วยเหลือที่ไอร์แลนด์ กรีซ และโปรตุเกส จำเป็นต้องได้รับ ทำให้ปริมาณเงินในกองทุนกู้หนี้อยู่ในภาวะอันตราย และยังทำให้ปริมาณหนี้สาธารณะของรัฐบาลสเปนพุ่งสูงขึ้นอีกด้วย

 

ทั้งนี้ กลุ่มรัฐมนตรีคลังยูโรโซนจะเตรียมหารือเกี่ยวกับเงื่อนไขการขอรับเงินกู้ของสเปนอีกครั้งอย่างละเอียดในวันที่ 9 ก.ค. โดยแม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดเผยจำนวนเงินกู้ที่ทางยุโรปจะอนุมัติ แต่ทว่า ก่อนหน้านี้ผลการประเมินความเสียหายของภาคธนาคารในสเปนจากรายงานของผู้ตรวจสอบบัญชีเอกชนชี้ว่า ภาคธนาคาร สเปนต้องได้รับเงินช่วยเหลือระหว่าง 5.16.2 หมื่นล้านยูโร ซึ่งน้อยกว่าจำนวนที่ทางกลุ่มรัฐมนตรีคลังยูโรโซนเสนอให้ความช่วยเหลือสูงถึง 1 แสนล้านยูโร

 

ขณะเดียวกัน ฟิทช์ เรทติ้งส์ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชื่อดังของโลกประกาศตัดลดอันดับเครดิตของไซปรัสลง 1 อันดับจาก BBB- ลงสู่ BB+ ซึ่งเป็นระดับ “ขยะ” ไม่น่าลงทุน โดยอ้างว่าไซปรัสเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากประเทศต้องขอความช่วยเหลือทางการเงินจากนานาชาติเพิ่มขึ้นเพื่อกอบกู้ภาคธนาคารในประเทศ ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินในกรีซ โดยก่อนหน้านี้ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส และสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ สถาบันจัดอันดับเครดิตอีก 2 แห่งของโลกได้ประกาศตัดลดความน่าเชื่อถือของไซปรัสลงสู่จังก์แล้ว

 

ทั้งนี้ ไซปรัสกำลังต้องการเงินทุนราว 1,800 ล้านยูโร หรือคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 10% ของผลผลิตมวลรวมประเทศภายในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของไซปรัส ป๊อปปูลาร์ แบงก์ ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของประเทศ ซึ่งต้องแบกรับภาระหนี้จากการถือครองพันธบัตรรัฐบาลกรีซ และอีกราว 4,000 ล้านยูโร เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ภาคธนาคารของประเทศทั้งหมด ซึ่งต้องแบกรับภาระหนี้เสียจำนวนมหาศาล หลังเศรษฐกิจของไซปรัสหดตัวลงอย่างหนัก ส่งผลให้อัตราว่างงานพุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์

 

ฟิทช์คาดการณ์ว่า ไซปรัสอาจขอเงินกู้ช่วยเหลือจากรัสเซียราว 2,250 ล้านยูโรในปีหน้า และอาจยื่นขอจากประเทศสมาชิกยูโรโซนอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวเปิดเผยว่า รัฐบาลไซปรัสได้ยื่นหนังสือขอเงินกู้ช่วยเหลือจากยูโรโซนแล้วเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. แต่ทว่าทางโฆษกของคณะกรรมาธิการยุโรปยังคงปฏิเสธความเคลื่อนไหวดังกล่าว โดยระบุว่ายังไม่ได้รับหนังสือขอเงินกู้จากไซปรัสแต่อย่างใด

 

ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีไซปรัสได้เรียกผู้นำพรรคการเมืองในประเทศเข้าประชุมฉุกเฉินในวันที่ 26 มิ.ย. เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์การเงินของประเทศโดยเร่งด่วน หลังถูกหั่นอันดับความน่าเชื่อถืออีกด้วย

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ (วันที่ 27 มิถุนายน 2555)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ค่าบาทแกว่ง ส่งออก-นำเข้าเดี้ยง (27/06/2555)

ปรากฏการณ์นักลงทุนโยกเงินเข้าไปลงทุนในสหรัฐอเมริกา ทำให้พันธบัตรสหรัฐมีผลตอบแทนต่ำลง ในขณะที่พันธบัตรสกุลยูโรมีผลตอบแทนสูงขึ้นตามความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจ  ผลกระทบจากวิกฤตการเงินในสหภาพยุโรป (อียู) ทำให้ค่าเงินทุกสกุลผันผวน แกว่งตัว เพราะไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์หนี้เสียจะพัฒนาไปอย่างไร

 

สำหรับไทยเอง ตั้งแต่ต้นปีค่าเงินบาท ได้อ่อนค่าลงมา 6% แล้ว เมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงไปได้อีก หากสถานการณ์ในอียูยังไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะหยุดลามและแก้ไขปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

 

นักค้าเงิน คาดว่า ในสัปดาห์นี้เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 31.40-31.80 บาท/เหรียญสหรัฐ โดยต้องจับตาข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ และเครื่องชี้เศรษฐกิจประจำเดือน พ.ค. ของไทย รวมถึงระดับความต้องการเงินเหรียญสหรัฐในช่วงสิ้นเดือนของกลุ่มผู้นำเข้า ขณะที่จุดสนใจของสถานการณ์วิกฤตหนี้ยุโรป อยู่ที่การเจรจาของรัฐบาลใหม่ของกรีซกับกลุ่มเจ้าหนี้ Troika (EU-IMF-ECB) และ การประชุม EU Summit ในวันที่ 28-29 มิ.ย.นี้

 

ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดัชนี PMI เขตชิคาโก เดือน มิ.ย. ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดขายบ้านใหม่ ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขายเดือน พ.ค. ดัชนีราคาบ้านเดือน เม.ย. และตัวเลข GDP ประจำไตรมาส 1/2555

 

ปัญหาของค่าเงินในขณะนี้เมื่อมีความผันผวนทุกสกุล ทำให้การค้าขายโลกวุ่นวายมาก เนื่องจากการกำหนดราคาซื้อขายสินค้าและวัตถุดิบทำได้ยากขึ้น

 

สำหรับไทยเองมีทั้งการนำเข้าวัตถุดิบ ส่งออกสินค้าชิ้นส่วน และสินค้าสำเร็จรูป ผู้ผลิตและผู้ส่งออกจำเป็นที่จะต้องติดตามสถานการณ์ค่าเงินอย่างใกล้ชิด และต้องการคาดเดาแนวโน้มค่าเงินในอีก 3 เดือนข้างหน้าด้วย เนื่องจากการสั่งซื้อสินค้าส่วนใหญ่จะเป็นการสั่งซื้อล่วงหน้า

 

สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่แล้วมักจะซื้อป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน แต่สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นี่จะเป็นต้นทุนที่ทางผู้ประกอบการไม่ต้องการ เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนเพิ่มได้กำไรน้อยลงไปอีก

 

พยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เงินบาทที่อ่อนค่าลงทำให้ผู้ประกอบการกังวลเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน โดยในเดือน เม.ย. 2555 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 30.66 บาท ส่วนเดือน พ.ค. 2555 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 31.05 บาท ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทในอนาคตไม่แน่นอน เพราะมีปัจจัยที่อาจทำให้เงินบาทผันผวนได้

 

หากแก้ปัญหาไม่สำเร็จและเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของอียูอย่างรุนแรงอาจทำให้ค่าเงินผันผวนรุนแรงได้ โดยเฉพาะหากปัญหาของกรีซลามไปสเปนหรืออิตาลี  แต่ช่วงที่ค่าเงินบาทเริ่มอ่อนตัวลงผู้ส่งออกที่ซื้อป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไว้ก่อนหน้านี้ก็มีกำไรอยู่ จึงมีการเก็งกำไรค่าเงินบาทซื้อๆ ขายๆ ทำให้ ประธาน ส.อ.ท. ต้องออกโรงมาเตือนผู้ส่งออกว่าไม่ควรใช้โอกาสนี้ในการเก็งกำไรค่าเงินจากการรับคำสั่งซื้อหรือสั่งซื้อวัตถุดิบ โดยผู้ประกอบการควรทำการค้าตามปกติ และถ้าคำนวณแล้วราคาสินค้าที่ขายได้คุ้มค่ากับต้นทุนการผลิตก็ให้รับคำสั่งซื้อ เพราะหากนำการเก็งกำไรจากค่าเงินมาใช้บริหารธุรกิจ อาจทำให้เจ็บตัวได้

 

นอกจากนี้ ถ้าผู้ส่งออกเห็นว่าปัญหาเศรษฐกิจอียูอาจส่งผลกระทบกับการส่งออก ก็ควรหาวิธีอื่นมาชดเชยแทนการเก็งกำไรค่าเงิน เช่น การเจรจาเพิ่มคำสั่งซื้อจากลูกค้าเก่าในตลาดอื่น เป็นต้น นั่นคือคำเตือนของผู้ผลิตรายใหญ่ที่ไม่มั่นใจในสถานการณ์ค่าเงินเหมือนกัน และก็ไม่อยากให้ผู้ส่งออกลงสนามไปร่วมเก็งกำไรค่าเงินกับเขาด้วย เพราะจะยิ่งซ้ำเติมตลาดทำให้ค่าเงินยิ่งผันผวนมากกว่าเดิม จนในที่สุดก็จะกระทบอุตสาหกรรมทั้งหมด

 

นอกจากผู้ส่งออกจะผสมโรงทำให้ค่าเงินผันผวนแล้ว ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็จับตาการค้าทองคำที่ปัจจุบันมีการหันมาซื้อขายล่วงหน้าแต่ไม่มีการส่งมอบจริง ทาง ธปท. จึงส่งสัญญาณการดูแลค่าเงินให้เข้มขึ้น ด้วยการทำหนังสือเวียนถึงผู้ค้าทองคำ ห้ามไม่ให้มีการขายเงินล่วงหน้าให้กับการซื้อทองคำแต่ไม่มีการรับมอบจริง แล้วมาสั่งขายเงินในภายหลัง  รายการนี้ผู้ค้าทองคำโดนมองว่าเป็นผู้ร้ายที่ช่วยผสมโรงปั่นค่าเงินอีกแรงหนึ่ง แต่จิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ยืนยันไม่คิดเก็งกำไรค่าเงินบาท โดยให้เหตุผลว่าเก็งกำไรทองคำยังดีกว่าเก็งกำไรค่าเงิน เพราะราคาทองคำผันผวนน้อยกว่า ปลอดภัยกว่าอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม จิตติ ยอมรับว่า ในระยะหลังอาจมีบางบริษัทที่มีการทำการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Forward) ในสัดส่วนที่สูง ธปท. อาจเข้าใจผิดว่าเข้าข่ายผสมโรงเก็งกำไร และถ้าหากว่าไม่ส่ง Underling จะทำ Forward ไม่ได้ และหากต้องยกเลิก (Unwind) การป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน ผู้ประกอบการก็ต้องเสียส่วนต่างทั้งฝั่งซื้อ และฝั่งขาย ซึ่งถือเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการต้องยอมรับว่าเงินบาทนั้นไม่ว่าจะอ่อนหรือแข็งค่าจะมีทั้งคนได้และคนเสียทั้งนั้น ทางด้านการนำเข้าซึ่งส่วนใหญ่คือการนำเข้าน้ำมันก็จะต้องซื้อน้ำมันแพงขึ้น แต่ในช่วงนี้น้ำมันในตลาดโลกเป็นขาลงก็ช่วยไม่ให้น้ำมันแพงได้ระดับหนึ่ง  ส่วนผู้ส่งออกที่มีทั้งนำเข้าวัตถุดิบมาผลิตและส่งออก ก็จะเจอความผันผวนทั้ง 2 ขา การดูแลค่าเงินของ ธปท. จึงต้องดูเป็นภาพรวมและให้ประเทศเสียประโยชน์น้อยที่สุด

 

การบริหารค่าเงินและดอกเบี้ยในขณะนี้ จึงตกหนักไปอยู่ในความรับผิดชอบของ ธปท. ซึ่ง ธปท. เองก็โชคดีที่ไม่ต้องเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาทก็อ่อนค่าลงมาเอง สิ่งที่ ธปท. เป็นห่วงคือเรื่องการไหลเข้าออกของเงินมากกว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าหรือแข็งค่า ความเป็นห่วงของ ธปท. กับเอกชนแตกต่างกัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากนี้ไปก็คือการออกมาตรการเข้มงวดที่จะดูแลปริมาณเงินไหลออก หากมีการผิดปกติ ธปท. จะออกมาตรการดูแลทันที  เอกชนก็ต้องเตรียมพร้อมรับแผนของ ธปท. ให้ดี เพราะอย่างที่บอกแล้วว่า การที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าหรือแข็งค่าจะมีคนได้และเสียเสมอการป้องกันความเสี่ยงของผู้ส่งออกจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในเวลานี้

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ (วันที่ 27 มิถุนายน 2555)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เจ้ก็คิดแบบคุณน้องนั่นแหละ แค่บ่นๆ ให้ฟัง ลกค้าโทรมามันกะลังช่างใจอยู่ เราก็ชั่งใจอยู่เหมือนกันว่าถ้ามันเอาจะทำฉันใด อิ อิ

 

กลางวันราคาดีดขึ้น ลูกค้าเจ้จะคิดได้ว่า ตกลง แล้วเจ้ก้จะคิดได้ว่า ตกลงถือรอ อิอิ ต้องมีสักฝ่ายที่สมหวัง

 

ปล. ได้ยินคำหวานราบรื่นหูแต่เช้าจากเจ้.. ค่อยสดชื่นหน่อย หุหุ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณข้อมูลข่าวสารค่ะ คุณเด็กขายของ คุณ ดอน :bye

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ลัก เจ้ลืมบอกแกว่าเกลืิอที่ใช้เป็นเกลือแกงที่ทำให้ข้น ไม่ใช่เกลือกินข้าว

 

สบู่ใส่พวกจมูกข้าวกับนมก็ดี พื้นฐานที่สำคัญคือกลีเซอลีน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ลักเอยถ้าแปะกั๊ก เปิด 23700/23600 จะเอาหัวโจกเสาบ้านเลย

 

ไม่กล้าขายก่อนวะถ้าไม่ไเ้กดซื้อไปก่อนจะลองบ้ากดขาย กลัวจับคู่กัน หักต่างขาดทุนบานเลย

 

ทนเก็บไว้ขายลูกค้าลดขาดทุนไม่ก็ลากริวันศุกร์

 

จะบอกไงดีเจ้ Fair price ที่เจ้ดูบนหน้า Thaigold หรือป่าว ถ้าใช่อย่าไปเชื่อมันมาก เพราะบางทีช่วงเช้าค่าเงินบาทมันจะไม่ตรงกับความเป็นจริง

 

อย่างตอนนี้มันโชว์ 31.82 แต่จริงๆตอนนี้ 31.85 ค่าเงินมันจะมาปรับให้ตรงอีกทีตอนตลาดบ้านเราเปิด

 

เช้านี้ถ้าราคาสปอตยังอยู่แถวนี้ แปะน่าจะเปิด 23650/23750

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

กลางวันราคาดีดขึ้น ลูกค้าเจ้จะคิดได้ว่า ตกลง แล้วเจ้ก้จะคิดได้ว่า ตกลงถือรอ อิอิ ต้องมีสักฝ่ายที่สมหวัง

 

ปล. ได้ยินคำหวานราบรื่นหูแต่เช้าจากเจ้.. ค่อยสดชื่นหน่อย หุหุ

 

 

แค่เรียกคุณน้องก็ลื่นหู ถ้าเรียกที่รักของเจ้ จะกลับเข้าเล้าป่าวจ๊ะ อยากรู้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ลัก เจ้ลืมบอกแกว่าเกลืิอที่ใช้เป็นเกลือแกงที่ทำให้ข้น ไม่ใช่เกลือกินข้าว

 

สบู่ใส่พวกจมูกข้าวกับนมก็ดี พื้นฐานที่สำคัญคือกลีเซอลีน

 

เจ้คิดว่าผมจะทำเองจิงอะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

จะบอกไงดีเจ้ Fair price ที่เจ้ดูบนหน้า Thaigold หรือป่าว ถ้าใช่อย่าไปเชื่อมันมาก เพราะบางทีช่วงเช้าค่าเงินบาทมันจะไม่ตรงกับความเป็นจริง

 

อย่างตอนนี้มันโชว์ 31.82 แต่จริงๆตอนนี้ 31.85 ค่าเงินมันจะมาปรับให้ตรงอีกทีตอนตลาดบ้านเราเปิด

 

เช้านี้ถ้าราคาสปอตยังอยู่แถวนี้ แปะน่าจะเปิด 23650/23750

 

ดูที่แกว่านั่นแหละ ที่เมียดึงผม ผมขึ้นยัง เวลาเมียโมโห จับปล้ำเลยเดี๋ยวหาย เจ้ทำบ่อย

 

เวลาปั้วกวนตีน ลากเข้าห้อง เข็มขัดตี ( แก้ผ้าด้วย ) เดี๋ยวเรียบร้อย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

เจ้คิดว่าผมจะทำเองจิงอะ

 

รู้ว่าแกให้เมียไม่ก็แม่ทำ กลัวแกซื้อของผิด

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บริษัทอีแกน-โจนส์ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของเยอรมนีลง 1 ขั้นสู่ระดับ A+ จากเดิมที่ AA- โดยระบุถึงภาระของเยอรมนีจากผลกระทบของวิกฤตหนี้ยูโรโซน

 

อีแกน-โจนส์ระบุว่า ไม่ว่ากรีซหรือประเทศสมาชิกรายอื่นๆในยูโรโซนจะออกจากยูโรโซนหรือไม่ เยอรมนีจะมีรายรับที่ไม่สามารถจัดเก็บได้เพิ่มขึ้นจำนวนมาก

 

ทั้งนี้ อีแกน-โจนส์ได้ให้อันดับเครดิตเยอรมนีต่ำกว่าสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่ทั้ง 3 ราย ซึ่งได้แก่ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (S&P), มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส และฟิทช์ เรทติ้งส์ อยู่ 4 ขั้น โดยทั้ง 3 รายจัดอันดับความน่าเชื่อถือของเยอรมนีที่ AAA ซึ่งเป็นระดับสูงสุด

 

อีแกน-โจนส์ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือประเทศสมาชิกยูโรโซนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภูมิภาคดังกล่างยังคงเผชิญวิกฤตหนี้และเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 27 มิถุนายน 2555)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แค่เรียกคุณน้องก็ลื่นหู ถ้าเรียกที่รักของเจ้ จะกลับเข้าเล้าป่าวจ๊ะ อยากรู้

 

ก็เจ้..เป็นคนเอาขาเขี่ยๆ เค้าออกมาอ่ะ :_09 :_09 :_09

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...