ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

ผวาค่าบาทแข็งฉุดส่งออกเดี้ยง เร่งหามาตรการช่วยเหลือด่วน (17/01/2556)

ผวาค่าเงินบาททำส่งออกแย่ ปลัดพาณิชย์สั่งเกาะติดหามาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกขณะที่สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าประเมิน 6 เดือนแรกปี 2556 ขยายตัว 9.38%

 

จากกรณีที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2556 แข็งค่าที่ระดับ 29.98/30.00 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการปรับตัวแข็งค่าสุดในรอบ 16 เดือน นับตั้งแต่เดือน กันยายน 2554 นั้น ทางกระทรวงพาณิชย์โดยนางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่าได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศประเมินสถานการณ์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ว่าค่าเงินบาทจะยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือไม่

 

ทั้งนี้หากเงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่องทางกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรมีมาตรการดูแลค่าเงินบาทอย่างไร เช่นเดียวกับกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก็จะพิจารณามาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออกอีกทางหนึ่งด้วยเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าว

 

นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้คาดการณ์การส่งออกของไทยในระยะ 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน) ของปี 2556 ว่าจะขยายตัวที่ระดับ 9.38% การส่งออกของไทยไปยังจีนจะขยายตัว 9.98%, อินเดียขยายตัว 10.30%, อาเซียน (9 ประเทศ) ขยายตัว 6.79%, ญี่ปุ่นขยายตัว 3.31%, สหรัฐอเมริกาขยายตัว 5.45% และยุโรป (15 ประเทศ) ขยายตัว 5.71% ซึ่งเป็นการคาดการณ์จากการใช้แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ โดยใช้ข้อมูลดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ซึ่งจัด

 

ทำโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

และการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development:OECD) เป็นปัจจัยหลักในการคาดการณ์

 

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้นางศรีรัตน์รัษฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ออกมาระบุว่ากระทรวงพาณิชย์ จะหารือร่วมกับภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินสถานการณ์การส่งออกและนำเข้าของประเทศ ในปี 2556 ภายหลังจากกระทรวงพาณิชย์ ได้มีการกำหนดเป้าหมายการส่งออกของประเทศที่ 8-9% และในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้จะมีการประชุมทูตพาณิชย์จากทุกประเทศทั่วโลก เพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และทบทวนเป้าหมายการส่งออกของประเทศ ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า 17 มกราคม 2556

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

'โอฬาร'ชี้ค่าเงินบาทแข็งยังไม่กระทบส่งออก (17/01/2556)

"โอฬาร"ชี้ค่าเงินลบาทแข็ง! ยังไม่กระทบส่งออก แบงก์ชาติไม่จำเป็นต้องออกมาตรการสกัดเงินไหลเข้า

 

 

 

นายโอฬาร ไชยประวัติ ประธานผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยถึงกรณีที่ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นหลุดกรอบ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ว่า เป็นปัจจัยการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศที่มีมากขึ้นในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม มองว่ายังไม่กระทบภาพรวมการส่งออกของไทยในปีนี้ เพราะค่าเงินบาทยังไม่แข็งค่ามากเกินไป

 

ขณะเดียวกับผู้ส่งออกยังไม่มีปฎิกิริยาในเรื่องนี้ ดังนั้นธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงยังไม่จำเป็นต้องออกมาตรการสกัดเงินทุนไหลเข้าในขณะนี้

 

อย่างไรก็ตาม หากค่าเงินบาทยังแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลัง จะต้องพิจารณาความเหมาะสมของกรอบค่าเงินบาทที่กำหนดไว้ว่าไม่ควรเกิน 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือไม่ เพราะหากไม่ต้องการเห็นการแข็งค่าของค่าบาทไปมากกว่าก็อาจจะต้องพิจารณาปรับกรอบค่าเงินบาทใหม่

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (วันที่ 17 มกราคม 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผู้ส่งออกเตือนรัฐจับตาบาทผันผวนแล้ว 2% (17/01/2556)

ผู้ส่งออกเตือนรัฐจับตาค่าบาท ห่วงผันผวนหนักหลัง 10 วันแข็งค่าแล้ว 2% ขณะที่เพื่อนบ้านแข็งค่าแค่ 1% ชี้กลุ่มอาหาร-สินค้าเกษตรอ่วม!

 

 

 

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ช่วง 10 กว่าวันที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าไปแล้วกว่า 2% โดยเฉลี่ย ขณะที่เทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เวียดนาม พม่า มีอัตราแข็งค่าเพียง 1% ซึ่งน่าเป็นห่วงมากรัฐบาลควรเข้าไปจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะหากค่าเงินบาทมีอัตาแข็งค่าต่อเนื่องซึ่งอาจถึง 3% แต่เพื่อนบ้านยังแข็งค่าขึ้นในอัตราเพียง 1% เช่นนี้ ขีดความสามารถการแข่งขันของไทยจะได้รับผลกระทบทันที

 

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการกำลังเป็นห่วงว่าการแข็งค่าเงินบาทที่เกิดขึ้นอย่างผันผวนและรวดเร็วจะมีผลต่อการโค้ดราคาสินค้า หากโคดผิดจะกระทบต่อผลกำไรทันที และหากโคดราคาสูงเกินไป ตลาดจะไม่ตอบรับสินค้าไทยเรื่องนี้ต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิดและดำเนินการมาตรการบางอย่างเพื่อให้เงินบาทมีเสถียรภาพและไม่แข็งค่ามากกว่าประเทศเพื่อนบ้านและประเทศคู่แข่งที่ส่งออกสินค้าใกล้เคียงกับไทย

 

"ถือว่าเงินบาทแข็งค่าเร็วไป มันยากกับการตั้งราคาสินค้า ผ่านไปวันเดียวค่าเงินเปลี่ยนก็จะขาดทุนทันที อยากให้รัฐเข้าไปดูแล เพราะสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศสูง ได้แก่ สินค้าเกษตร และกลุ่มอาหาร จะได้รับผลกระทบทันที่ คือหากปรับราคาสูงตลาดจะรับไม่ได้ หากโคดราคาต่ำผู้ส่งออกก็จะขาดทุน"นายพรศิลป์ กล่าว

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (วันที่ 17 มกราคม 2556)

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อินเดียเล็งลดนำเข้าน้ำมันดิบอิหร่าน (17/01/2556)

อินเดียเล็งลดนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านลงมากถึง 17% หลังสหรัฐขู่คว่ำบาตรประเทศที่ค้าขายกับอิหร่าน

 

รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของอินเดีย กล่าวในระหว่างการสัมมนาภาคอุตสาหกรรมว่า การนำเข้าน้ำมันดิบของอินเดียจากอิหร่านในปีงบประมาณปัจจุบัน ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค.นี้ อาจมีปริมาณ 14.5- 15 ล้านตัน ซึ่งต่ำกว่าเป้าเดิมที่ 15.5 ล้านตันเล็กน้อย โดยอินเดียเคยนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านมากถึง 17.4 ล้านตันในปีงบประมาณก่อนหน้านี้

 

สหรัฐกดดันหลายประเทศที่ซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านให้ลดปริมาณการซื้อ มิฉะนั้นจะถูกคว่ำบาตร โดยอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ซื้อน้ำมันจากอิหร่านมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากจีน เป็นหนึ่งในหลายประเทศลดการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านลงอย่างชัดเจนเมื่อเดือนที่ผ่านมา จากรายงานข่าว ระบุว่า ระหว่างเดือนเมษายนและกันยายนเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ อินเดียซื้อน้ำมันดิบของอิหร่านลดลง 12%

 

สหรัฐและสหภาพยุโรป (อียู) ใช้มาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านเพื่อตอบโต้ที่มีการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แต่อิหร่าน ยืนกรานว่า โครงการนิวเคลียร์ของตนมีขึ้นเพื่อใช้ในทางสันติ

 

รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของอินเดีย กล่าวว่า การไม่มีช่องทางชำระเงินผ่านธนาคารที่เหมาะสม ทำให้การนำเข้าจากอิหร่านต้องหยุดชะงักลงเนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินสกุลต้องห้ามสำหรับบริษัทในอิหร่าน อินเดียกับอิหร่านจึงเริ่มระบบแลกเปลี่ยน (barter system) โดยอิหร่านรับเงินรูปีของอินเดียในการชำระค่าน้ำมันดิบ แล้วนำเงินสกุลดังกล่าวไปซื้อสินค้าจากอินเดีย เช่น ข้าวสาลี เป็นต้น

 

รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของอินเดีย กล่าวด้วยว่า อินเดียอาจตั้งเป้าที่จะลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านประมาณ 15% ในทุกๆปี โดยเป้าหมายการนำเข้าน้ำมันดิบอิหร่านในปีงบประมาณถัดไป ซึ่งจะเริ่มเดือนเมษายนนี้อยู่ที่ 13 ล้านตันพร้อมเสริมว่า น้ำมันดิบของอิหร่านจะยังคงเป็นหนึ่งในบรรดาสินค้านำเข้าของอินเดียต่อไป

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (วันที่ 17 มกราคม 2556)

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ประชาชนนับพันนอนรอรับวัตถุมงคลหลวงปู่ดู่เกจิกรุงเก่า

 

 

 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่วัดสะแก ม.7 ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา มีการจัดงานทำบุญครบรอบวันมรณภาพหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ อดีตเจ้าอาวาสวัดสะแก และเป็นเกจิชื่อดังซึ่งเป็นที่รู้จักของชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและประชาชนทั่วไป ซึ่งงานมีขึ้นในวันที่ 17 ม.ค. พบว่ามีประชาชนจำนวนมากมานอนอยู่บริเวณโดยทั่วไปรอบวัด ทั้งนี้จากการสอบถามส่วนใหญ่มีทั้งคนพื้นที่และคนต่างจังหวัด ซึ่งสาเหตุที่ประชาชนส่วนใหญ่มาปักหลักนอนกันจำนวนมากเช่นนี้ เนื่องจากต้องการที่จะรับวัตถมงคลที่ระลึกงานครบรอบวันมรณภาพของหลวงปู่ดู่ โดยเฉพาะแหวนหลวงปู่ดู่ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก และมีการแจกเป็นประจำทุกปี โดยประชาชนเริ่มทยอยกันเดินทางมาที่วัดตั้งแต่ 15.00 น.วันเดียวกันนี้ และคาดว่าจะทยอยกันเข้ามาที่วัดมากขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่เวลา 01.00 น.วันที่ 17 ม.ค. ซึ่งเป็นวันทำบุญครบรอบการมรณะของหลวงปู่ นอกจากมีประชาชนมานอนรอแล้ว ยังมีการตั้งโรงทานจำนวนมาก เพื่อเลี้ยงญาติโยมที่มาร่วมงาน นางบุบผา แซ่เลี้ยง อายุ 59 ปี กำนัน ต.ธนู เปิดเผยว่าปกติทุกปีก็จะมีประชาชนมารอรับวัตถุมงคลในวันมรณภาพของหลวงปู่เป็นประจำ ซึ่งในการทำบุญทุกปีก้จะมีแหวนของหลวงปู่ดุ่ซึ่งเป็นแบบเดียวกับสมัยที่ท่านทำออกมาแจกให้กับประชาชน โดยปีนี้ทำไว้ 1 หมื่นวง และจะเริ่มแจกในเวลา 09.00 น.ของวันที่ 17 ม.ค. ซึ่งจะมีประชาชนมารอกันนับหมื่นคน

สำหรับหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ หรือพระพรหมปัญโญ มรณภาพเมื่อวันพุธที่ 17 ม.ค. 2533 เวลา 05.00 น.รวมอายุ 85 ปี 8 เดือน 65 พรรษา เป็นพระปฎิบัติสายวิปัสสนากรรมฐานมีเครื่องรางของขลังเป็นพระเหรียญ พระเครื่อง ตะกรุด และแหวนรุ่นต่างๆเป็นที่เลื่องลือจนเป็นที่นิยมของบรรดานักสะสมทั่วไป

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดียามเช้าค่ะ

เมื่อคืนโมเด็มที่บ้านมีปัญหาไม่ปล่อยสัณญาน รอแฟนแก้ซะหลับตั้งแต่ 3 ทุ่ม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ช่วงนี้นักลงทุนในทองเจอค่าเงินบาทแข็งค่าทำให้ราคาทองคำถูกลง บาดเจ็บกันไปตามๆกันเลยครับ

 

เงินไหลเข้าและแนวโน้มค่าเงินบาท

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม 2556 เวลา 00:00 น.

178589.jpg

ประเด็นที่ทุกคนให้ความสนใจช่วงนี้ก็คือ ปัญหาเงินไหลเข้าและแนวโน้มค่าเงินบาท ซึ่งยิ่งเงินบาทเข้าใกล้แนว 30 บาทเท่าไร คนก็ยิ่งสนใจอยากรู้ว่า “แนวโน้มเงินบาทต่อไปจะเป็นอย่างไร” และ “เราจะปกป้องความเสี่ยงได้อย่างไร”

 

ในประเด็นนี้ ถ้าจะตอบสั้น ๆ ก็ต้องบอกว่า “เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าในระยะยาว” ระยะสั้นอาจผันผวนไปมา ซึ่งในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ความผันผวนระหว่างเงินสองสกุลหลักของโลก คือ เงินยูโร และเงินดอลลาร์ ที่ค่าเงินยูโรที่เด้งขึ้น แข็งค่าอย่างรวดเร็วจาก 1.30 ดอลลาร์ต่อยูโร ไปที่ 1.34 ดอลลาร์ต่อยูโร แล้วกระทบมาที่ค่าเงินดอลลาร์ และค่าเงินเอเชีย รวมถึงไทย เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าเงินของเราปรับแข็งขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน จาก 30.40 ลงมาอยู่ที่ 30 บาท ในเวลาไม่กี่วัน

 

การแข็งค่าครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงช่วงสั้น ซึ่งค่าเงินที่แข็งขึ้นรอบนี้ อาจจะปรับเปลี่ยนไปมาได้ แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นที่เราต้องเตรียมการรองรับไว้ให้ดีก็คือ แนวโน้มค่าเงินบาทในระยะยาว ที่จะแข็งขึ้นจากระดับปัจจุบัน ไปอยู่ที่ต่ำกว่า 30 บาท และมีแนวโน้มแข็งต่อไปในช่วงข้างหน้า

 

ทำไมจึงมั่นใจเช่นนั้น

 

ที่มั่นใจเช่นนี้ก็เพราะปัจจัยสำคัญ 3 ด้าน

 

ปัจจัยแรก – เศรษฐกิจของเอเชียและไทยกำลังขยายตัวดี กำลังมีการลงทุนรอบใหม่ ขณะที่โลกโดยเฉพาะเศรษฐกิจหลัก ๆเช่น สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น ยังมีปัญหาในการขยายตัว ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ ประเทศที่ขยายตัวดี มีความต้องการที่จะสั่งซื้อสินค้าบริโภค และลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ก็มักจะพบว่าค่าเงินของตนจะแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

 

ปัจจัยที่สอง – ขณะนี้โลกกำลังมีสภาพคล่องล้นเอ่อ กำลังหาที่ไปอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งผลตอบแทนที่สูง โอกาสที่ดีในการลงทุนภายในเอเชียและไทย จะเป็นแม่เหล็ก ดึงดูดให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ หลั่งไหลเข้ามาในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยตรง การลงทุนในพันธบัตร การลงทุนในหุ้น การลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ กองทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆเป็นต้น ซึ่งช่วงที่เงินเหล่านี้ไหลเข้ามา ก็จะมีแรงกดดันต่อค่าเงินให้แข็งค่าขึ้นเพิ่มเติม และยิ่งสหรัฐออกมาประกาศพิมพ์เงินเพิ่มผ่าน QE3 และ QE4 ญี่ปุ่นอัดฉีดเพิ่มเติม อังกฤษ ยุโรปยังคงปล่อยสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ สภาพคล่องใหม่เหล่านี้ก็จะพากันไหลเข้ามาท่วมเอเชีย และทำให้ค่าเงินของเราแข็งขึ้นไปด้วย

 

ปัจจัยที่สาม – ทิศทางที่ชัดเจนขึ้นของค่าเงิน จากความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลกที่ลดลง ถ้ายังจำกันได้ เมื่อปีที่แล้ว หลายคนยังกล้า ๆ กลัว ๆ เกี่ยวกับยุโรป กังวลว่าจะมีแบงก์ล้ม ประเทศล้ม มีคนออกจากยูโร และสหรัฐเอง หลายคนก็มีความไม่แน่ใจเรื่องการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติม ว่า Fed จะทำเพิ่มหรือไม่ อีกมากน้อยเท่าไร ความไม่แน่นอนเหล่านี้ ทำให้ค่าเงินสกุลหลักของโลกเมื่อปี 55 ผันผวนไปมา ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ด้วยเหตุนี้ ค่าเงินบาทเมื่อปีที่ผ่านมา ก็ไม่มีทิศทางชัดเจนเช่นกัน ปรับตัวไปมาในช่วงไม่กว้างนัก 30.5-31.9 บาท

 

เวลาที่ค่าเงินมีทิศทางไม่ชัดเจนเช่นในปี 55 นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรของเรากว่า 8.5 แสนล้านบาท ก็มักจะลงทุนอย่างระวัง หลายคนก็เลือกที่จะปิดความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน มุ่งหน้ากินกำไรจากส่วนต่างของดอกเบี้ยเป็นสำคัญ

 

แต่ปีนี้สถานการณ์จะเปลี่ยนไปพอสมควร ค่าเงินหลักของโลกที่ผันผวนน้อยลง จะทำให้ค่าเงินบาทมีทิศทางชัดเจนว่า “จะแข็งค่าขึ้น” ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ นักลงทุนต่างชาติที่มาลงทุนในไทย ก็จะเปลี่ยนวิธีการลงทุน โดยรอบนี้หวังกินกำไรส่วนต่างดอกเบี้ย และขณะเดียวกันก็หวังเก็งกำไรค่าเงินไปพร้อมกัน กระทั่งเงินเก่า 8.5 แสนล้านบาทที่เข้ามาเมื่อปีที่แล้ว บางส่วนก็อาจจะลงทุนต่อ โดยไม่ปิดความเสี่ยงเรื่องค่าเงินอีกต่อไป

 

หากเป็นเช่นนี้ ค่าเงินบาทก็จะมีแรงกดดันให้แข็งค่าขึ้น และยิ่งค่าเงินในเอเชียอื่น ๆ กำลังแข็งค่าเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินวอนของเกาหลี เงินดอลลาร์สิงคโปร์ เงินดอลลาร์ไต้หวัน เงินริงกิตมาเลเซีย และเงินหยวนจีน เงินบาทก็คงยากที่จะต้านทานแรงกดดันไว้ได้ ก็จะต้องแข็งขึ้นในที่สุด

 

ก็ขอให้ทุกคนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ตั้งราคาสินค้าล่วงหน้าโดยคิดเผื่อว่าถ้าค่าเงินบาทแข็งขึ้น เราจะยังมีกำไรอยู่ได้ และทำการปกป้องความเสี่ยงเรื่องค่าเงินตามความเหมาะสม ปีที่แล้ว ผมคิดว่าเราโชคดีเรื่องค่าเงิน ที่ไม่ได้เป็นประเด็นมากมาย แต่ปีนี้ค่าเงินบาทจะเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทย ขอเอาใจช่วยทุกคนครับ

 

หมายเหตุ สนใจอ่านเพิ่มเติม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เสนอแนะได้ที่ “Blog ดร.กอบ” ที่ www.kobsak.com ครับ.

 

http://www.dailynews...ticle/57/178589

ถูกแก้ไข โดย Namchiang

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ส่วนบาทไทยตอนนี้ 29.75 บาทต่อดอลล์ หุหุ ณ. ราคาแบบนี้ ไม่ง่าย ไม่หมูเลย ที่จะเล่น " ขายก่อน " เพราะไม่รู้ว่า ภาครัฐฯ จะทำอะไรหรือเปล่า วันนี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บาทแข็งโป๊กจ่อหลุดระดับ30 ส.อ.ท.จี้แบงก์ชาติดูแล ดัชนีเชื่อมั่นธุรกิจดีขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

16 January 2556 - 00:00

 

 

เงิน ไหลเข้าดันบาทแข็งโป๊ก จ่อหลุด 30 บาทต่อดอลลาร์ ส.อ.ท.แนะแบงก์ชาติดูแลให้เกาะกลุ่มภูมิภาค แนะผู้ส่งออกซื้อประกันความเสี่ยงค่าเงิน "กรุงไทย" เผยความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น ชี้ลงทุนภาครัฐขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คาดปี 2556 เม็ดเงินลง 5 แสนล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ค่าเงินบาทยังคงปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องและใกล้หลุด 30 บาทต่อดอลลาร์ โดยอัตราที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อเมื่อวันที่ 16 ม.ค. อยู่ที่ 29.44 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่อัตราที่ขายออกอยู่ที่ 30.06 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากการที่มีเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่ามาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2555 และในวันที่ 16 ม.ค.นี้ ค่าเงินหลุด 30 บาท แล้วจึงต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเงินทุนไหลเข้ามาในเอเชียมากเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยาก แต่ก็ต้องการให้ ธปท.ดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทเกาะกลุ่มภูมิภาคเอเชีย เพราะไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ค่าเงินแข็งค่าในระดับสูง แต่ถ้าไม่สามารถบริหารค่าเงินบาทให้เกาะกลุ่มภูมิภาคไว้ได้ จะกระทบการส่งออกได้ ซึ่งขณะนี้ยังมีเวลาที่ ธปท.จะเข้าไปดูแลค่าเงินบาทให้เกาะกลุ่มภูมิภาคได้

"ค่าเงินบาทที่เหมาะสมคงบอกได้ลำบาก แต่ต้องการให้ดูแลไม่ให้แข็งค่ามากกว่า 30 บาท ซึ่งที่ผ่านมาค่าเงินอยู่ที่ 30 บาทเศษ ก็เป็นระดับที่ผู้ส่งออกรับมือได้ โดยการปรับตัวในระยะสั้น ผู้ส่งออกยังคงใช้วิธีการซื้อประกันความเสี่ยงค่าเงินบาทเพื่อลดผลกระทบจาก ค่าเงินผันผวน ซึ่งช่วงนี้ผู้ส่งออกควรใช้แนวทางนี้ตลอด เพราะค่าเงินผันผวน แต่ไม่ควรใช้การเก็งกำไรค่าเงินไปรับคำสั่งซื้อหรือนำเข้าวัตถุดิบ เพราะมีความเสี่ยงสูง และการทำธุรกิจควรหวังกำไรจากการค้ามากกว่าการเก็งกำไรค่าเงินจะดีกว่า" นายพยุงศักดิ์กล่าว

น.ส.สมพิศ เจริญเกียรติกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารความเสี่ยง ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ผลการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจกรุงไทย (Krung Thai Business Index) ซึ่งธนาคารได้สำรวจความเชื่อมั่นของนักธุรกิจจากทั่วประเทศต่อเนื่องทุกไตร มาส พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นประจำไตรมาสที่ 4/2555 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 54.88 ในไตรมาสก่อน เป็นระดับ 55.58 เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากปัจจัยฤดูกาล และแรงกระตุ้นของมาตรการรถคันแรก

นอกจากนี้นักธุรกิจยังเห็นว่า การลงทุนของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการลงทุนด้านคมนาคมขนส่ง โครงการบริหารจัดการน้ำ และการลงทุนเพื่อรองรับ AEC จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ในระยะต่อไป โดยคาดว่าในปี 2556 จะมีงบลงทุนภาครัฐรวมกว่า 5 แสนล้านบาท

เมื่อพิจารณาความเชื่อมั่นแยกตามประเภทธุรกิจนั้น ธุรกิจบริการมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นมากที่สุด ตามการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว และแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจสื่อสารที่ได้รับปัจจัยบวกจากการออกใบอนุญาต 3G ธุรกิจก่อสร้างมีระดับความเชื่อมั่นสูงสุดที่ 57.72 เนื่องจากได้รับผลดีจากโครงการลงทุนและการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐ

น.ส.สมพิศกล่าวว่า แม้ภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นปรับเพิ่มขึ้น แต่เมื่อพิจารณาองค์ประกอบย่อย มีบางด้านลดลงสวนทางกับภาพรวม เช่น ด้านตลาดส่งออกลดลง 0.9 จุด ด้านต้นทุนแรงงานลดลงจากไตรมาสก่อนถึง 3.1 จุด สะท้อนให้เห็นว่านักธุรกิจยังมีความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่อาจจะกระทบต่อการ ส่งออก และความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ.

 

http://www.thaipost.net/news/160113/68201

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

17 มกราคม 2556 03:09

ผู้ส่งออกเตือนรัฐจับตาบาทผันผวนแล้ว2%

news_img_486100_1.jpg

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

ผู้ส่งออกเตือนรัฐจับตาค่าบาท ห่วงผันผวนหนักหลัง 10 วันแข็งค่าแล้ว 2% ขณะที่เพื่อนบ้านแข็งค่าแค่ 1% ชี้กลุ่มอาหาร-สินค้าเกษตรอ่วม!

 

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ช่วง 10 กว่าวันที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าไปแล้วกว่า 2% โดยเฉลี่ย ขณะที่เทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เวียดนาม พม่า มีอัตราแข็งค่าเพียง 1% ซึ่งน่าเป็นห่วงมากรัฐบาลควรเข้าไปจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะหากค่าเงินบาทมีอัตาแข็งค่าต่อเนื่องซึ่งอาจถึง 3%

แต่เพื่อนบ้านยังแข็งค่าขึ้นในอัตราเพียง 1% เช่นนี้ ขีดความสามารถการแข่งขันของไทยจะได้รับผลกระทบทันที

 

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการกำลังเป็นห่วงว่าการแข็งค่าเงินบาทที่เกิดขึ้นอย่างผันผวนและรวดเร็วจะมีผลต่อการโค้ดราคาสินค้า หากโคดผิดจะกระทบต่อผลกำไรทันที และหากโคดราคาสูงเกินไป ตลาดจะไม่ตอบรับสินค้าไทยเรื่องนี้ต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิดและดำเนินการมาตรการบางอย่างเพื่อให้เงินบาทมีเสถียรภาพและไม่แข็งค่ามากกว่าประเทศเพื่อนบ้านและประเทศคู่แข่งที่ส่งออกสินค้าใกล้เคียงกับไทย

 

"ถือว่าเงินบาทแข็งค่าเร็วไป มันยากกับการตั้งราคาสินค้า ผ่านไปวันเดียวค่าเงินเปลี่ยนก็จะขาดทุนทันที อยากให้รัฐเข้าไปดูแล เพราะสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศสูง ได้แก่ สินค้าเกษตร และกลุ่มอาหาร จะได้รับผลกระทบทันที่ คือหากปรับราคาสูงตลาดจะรับไม่ได้ หากโคดราคาต่ำผู้ส่งออกก็จะขาดทุน"นายพรศิลป์ กล่าว

 

http://www.bangkokbiznews.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

น้ำมันขึ้น-ทองคำลง หุ้นมะกันทรงตัวท่ามกลางข่าวฉาวโบอื้ง blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มกราคม 2556 05:41 น.

 

blank.gif 556000000675301.JPEG blank.gif เอเอฟพี - ราคาน้ำมันขยับขึ้นวานนี้(16) เหตุสต๊อกน้ำมันสหรัฐฯลดลง ส่วนวอลล์สตรีทปิดกรอบแคบ หลังข่าวคราวปัญหารอบใหม่ของโบอิ้งกลบรัศมีผลประกอบการอันสดใสของบริษัท ยักษ์ ขณะที่ทองคำทรงตัว จากเวิลด์แบงค์ปรับลดคาดหมายเศรษฐกิจโลก

 

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้น 96 เซนต์ ปิดที่ 94.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรน์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 31 เซนต์ ปิดที่ 110.61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

ตลาดน้ำมันเคลื่อนไหวขานรับรายงานคลังน้ำมันสำรองรายสัปดาห์ของสำนัก งานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (อีไอเอ) ที่ระบุว่าในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 11 มกราคม น้ำมันดิบของประเทศลดลง 1 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดหมายว่าจะเพิ่มขึ้น 2.1 ล้านบาร์เรล

 

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้(16) ปิดผสมผสาน ขณะที่ข่าวคราวปัญหารอบใหม่ของโบอิ้งกลบรัศมีผลประกอบการอันสดใสของบริษัท ยักษ์ต่างๆ โดยเฉพาะเหล่าธนาคารชั้นนำทั้งหลาย

 

ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ลดลง 26.34 จุด (0.19 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 13,508.55 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 6.77 จุด (0.22 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,117.54 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 0.04 จุด (0.00 เปอร์เซนต์) ปิดที่ 1,472.38 จุด

 

โบอิ้งกลายเป็นข่าวพาดหัวอีกครั้ง หลังเครื่องบินดรีมไลเนอร์787 ของออล นิปปอน แอร์เวย์ส ต้องลงจอดฉุกเฉินในญี่ปุ่น ปัญหาดังกล่าว ทำให้บริษัทแห่งนี้และเจแปน แอร์ไลนส์ (เจเอแอล) ซึ่งต่างเป็นลูกค้า ที่สั่งซื้อดรีมไลเนอร์ รายใหญ่ที่สุดของโบอิ้ง ได้ประกาศหยุดบินเครื่องบินรุ่นดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราว เพื่อตรวจสอบระบบความปลอดภัย

 

กรณีดังกล่าวประกอบกับปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นหลายครั้งเมื่อเร็วๆนี้ จุดชนวนให้ทางสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (เอฟเอเอ) ก็ลงมือสืบสวนเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน ขณะที่วิกฤตที่โบอื้งกำลังเผชิญได้ฉุดให้หุ้นของบริษัทปิดลบถึงร้อยละ3.7

 

ด้านราคาทองคำวานนี้(16) ขยับลงเล็กน้อย หลังเวิลด์แบงก์ประมาณการณ์รอบใหม่ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2013 จะอ่อนแอกว่าที่คาดหมายไว้ก่อนหน้านี้ โดยราคาทองคำตลาดโคเมกซ์ของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 70 เซนต์ ปิดที่ 1,683.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

ธนาคารโลกคาดหมายล่าสุดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติในปี 2013 จะเติบโตร้อยละ 2.4 จากที่เติบโตร้อยละ 2.3 ในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามถือว่าเป็นการปรับลดจากคำพยากรณ์ก่อนหน้านี้ ที่ประมาณการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะเติบโตถึงร้อยละ3

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

​แรงขาย​ทำกำ​ไรถ่วงทองคำปิดขยับลง 70 ​เซนต์

ข่าวต่างประ​เทศ สำนักข่าวอิน​โฟ​เควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 มกราคม 2556 06:54:47 น.

 

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบ​เมื่อคืนนี้ (16 ม.ค.) ​เนื่องจากนักลงทุน​เข้ามา​เทขาย​ทำกำ​ไรหลังจากสัญญาทองคำพุ่งขึ้น​แข็ง​แกร่ง​ในช่วง 2 วัน​ทำ​การที่ผ่านมา อย่าง​ไร​ก็ตาม นักวิ​เคราะห์​เชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานของราคาทองคำยังคง​แข็ง​แกร่ง

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบ​เดือนก.พ.ลดลง 70 ​เซนต์ ​หรือ 0.04% ปิดที่ 1,683.2 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจาก​เคลื่อนตัว​ในช่วง 1673.00 - 1684.70 ดอลลาร์

 

สัญญา​โลหะ​เงินส่งมอบ​เดือนมี.ค.​เพิ่มขึ้น 1.3 ​เซนต์ ปิดที่ 31.542 ดอลลาร์/ออนซ์ ​และสัญญา​โลหะทอง​แดงส่งมอบ​เดือนมี.ค.ลดลง 3.10 ​เซนต์ ปิดที่ 3.6065 ดอลลาร์/ปอนด์

 

สัญญาพลาตินัมส่งมอบ​เดือน​เม.ย.ปิดที่ 1694.10 ดอลลาร์/ออนซ์ ​เพิ่มขึ้น 4.20 ดอลลาร์ ​และสัญญาพัลลา​เดียมส่งมอบ​เดือนมี.ค.ปิดที่ 726.45 ดอลลาร์/ออนซ์ ​เพิ่มขึ้น 13.10 ดอลลาร์

 

สัญญาทองคำอ่อน​แรงลง​เนื่องจาก​แรงขาย​ทำกำ​ไร ​และจาก​ความ​ไม่​แน่นอน​เกี่ยวกับน​โยบาย​การ​เงิน​และ​การคลังของสหรัฐ อย่าง​ไร​ก็ตาม นักวิ​เคราะห์​เชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานของราคาทองคำยังคง​แข็ง​แกร่ง ​ซึ่งจะช่วยหนุนราคาทองคำ​ให้​เดินหน้าต่อ​ไป

 

ผล​การสำรวจ​ซึ่งจัด​ทำ​โดย GFMS Gold Survey ระบุว่า ​ความต้อง​การที่​แข็ง​แกร่งของนักลงทุนจะช่วยหนุนราคาทองคำ​ให้พุ่งขึ้น​ทำสถิติสูงสุด​ในช่วงครึ่ง​แรกของปี 2556 ​และคาดว่าธนาคารกลางทั่ว​โลกจะยังคงมีอิทธิพลต่อ​การ​เคลื่อน​ไหว​ในตลาดทองคำ​โลกปีนี้

อิน​โฟ​เควสท์ ​แปล​และ​เรียบ​เรียง​โดย รัตนา พงศ์ทวิช ​โทร.02-2535000 ต่อ 327 อี​เมล์: ratana@infoquest.co.th--

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ลือหึ่ง! เยอรมนีจ่อถอน “ทองคำมหาศาล” ที่ฝากไว้ต่างแดนกลับประเทศ อ้างทำเพื่อความมั่นคง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มกราคม 2556 09:27 น.

556000000622801.JPEG

เอเอฟพี/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ธนาคารกลางเยอรมนี (Deutsche Bundesbank) ต้องการนำทองคำของตนจำนวนมากที่ฝากไว้ในประเทศอื่นๆ ทั้งในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกากลับประเทศเร็วๆ นี้ เพื่อความมั่นคงทางการคลัง ทั้งนี้เป็นรายงานของหนังสือพิมพ์ด้านธุรกิจและการเงินรายวัน “ฮันเดิลสบลัตต์” เมื่อวันอังคาร (15) โดยหากรายงานดังกล่าวเป็นความจริง จะถือเป็นหนึ่งในการโยกย้ายทองคำระหว่างประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

556000000622802.JPEG

รายงานของสื่อสิ่งพิมพ์ฉบับดังกล่าวระบุว่า ศาลของรัฐบาลกลางเยอรมนีว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินได้เข้าตรวจสอบปริมาณทองคำคงคลังของประเทศหลังได้รับการร้องขออย่างเป็นทางการเมื่อปีที่แล้วจากกลุ่มเคลื่อนไหวภายในประเทศของพวก “ยูโรสเคปติกส์” หรือพวกที่มีความสงสัยคลางแคลงใจต่อบทบาทและความจำเป็นของสหภาพยุโรป (อียู)

556000000622803.JPEG

หลังการเข้าตรวจสอบปริมาณทองคำคงคลังของประเทศ ศาลฯ ดังกล่าวของเยอรมนีได้เรียกร้องให้รัฐบาลเยอรมนีภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีหญิงเหล็ก อังเกลา แมร์เคิล เร่งหาทางนำทองคำของเยอรมนีจำนวนมากที่ไปฝากไว้ในต่างประเทศกลับคืนมาเพื่อความมั่นคงทางการคลัง หลังจากรัฐบาลเยอรมนีในอดีต โดยเฉพาะตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาต่างมีนโยบายนำทองคำของตนไปฝากไว้ในต่างแดนเพื่อกระจายความเสี่ยงจากสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่ตึงเครียดในยุค “สงครามเย็น”

 

ตามข้อมูลที่สื่อดังอย่าง “ฮันเดิลสบลัตต์” รายงาน ระบุว่า ขณะนี้ 45 เปอร์เซ็นต์ของทองคำของเยอรมนีถูกนำไปฝากไว้ในธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขณะที่อีก 13 เปอร์เซ็นต์ และ 11 เปอร์เซ็นต์ถูกนำไปเก็บไว้ในธนาคารกลางของอังกฤษ และธนาคารกลางฝรั่งเศสตามลำดับ ส่งผลให้มีปริมาณทองคำเพียงแค่ 31 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ถูกเก็บไว้ภายในสำนักงานใหญ่ของบุนเดสบังก์ หรือธนาคารกลางเยอรมนี ในนครแฟรงก์เฟิร์ต

 

รายงานข่าวซึ่งอ้างคำแนะนำของศาลฯ ระบุว่า ทองคำของเยอรมนีทั้งหมดที่นำไปฝากไว้ในฝรั่งเศส ควรจะเป็นทองคำส่วนแรกที่รัฐบาลเยอรมนีต้องดึงกลับมาไว้ในประเทศ ขณะที่ทองคำบางส่วนที่ฝากไว้ในอังกฤษ และสหรัฐฯ ยังจำเป็นต้องคงอยู่ตามเดิมต่อไปก่อน เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ

 

อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ เยนส์ ไวด์มันน์ ประธานบุนเดสบังก์ วัย 44 ปีที่เข้ามารับตำแหน่งตั้งแต่พฤษภาคมปี 2011 ยังไม่ออกมาให้ความเห็นใดๆ ต่อรายงานของสื่อดังกล่าว

 

ทั้งนี้ ธนาคารกลางเยอรมนีได้ชื่อว่าเป็นผู้ถือครองทองคำสำรองรายใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯ โดยปริมาณทองคำในความครอบครองของบุนเดสบังก์นั้นมีกว่า 3,396.3 ตันเมื่อสิ้นปี 2011 หรือคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 133,000 ล้านยูโร (ราว 5.3 ล้านล้านบาท)

 

http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000005962

 

เยอรมนีเตรียมนำ"ทองคำสำรอง"กลับประเทศกว่า 700 ตัน

 

วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 22:30:30 น.

 

 

ธนาคารกลางเยอรมนี เตรียมนำทองคำในคลังสำรองเกือบ 700 ตัน ที่เก็บไว้ที่นครนิวยอร์กและกรุงปารีสกลับประเทศภายในปี 2020 กว่าครึ่งหนึ่งของทองแท่งจะถูกนำมาเก็บไว้ในตู้นิรภัยของธนาคารกลางเยอรมนี หรือ บุนเดสแบงก์ ขณะที่ปัจจุบันมีอยู่ในจำนวนเพียง 1 ใน 3

 

ทองคำดังกล่าวแต่เดิมถูกนำออกจากเยอรมนี ไปเก็บไว้ในต่างประเทศ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือการรุกรานของอดีตสหภาพโซเวียต โดยเหตุผลที่ธนาคารกลางเก็บทองไว้ในต่างประเทศเนื่องจากสารถนำไปซื้อเงินตราต่างประเทศได้ทันที หากเกิดช่วงเวลาวิกฤตเร่งด่วน

 

ธนาคารกลางเยอรมนี จะนำทองคำแท่งที่เก็บไว้ในกรุงปารีสกลับทั้งหมด เนื่องจากทั้งสองประเทศใช้เงินสกุลยูโรเช่นเดียวกัน และจะลดปริมาณทองคำสำรองที่นครนิวยอร์ก จากร้อยละ 45 เป็นร้อยละ 37 ภายในทศวรรษนี้ อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางเยอรมนีจะไม่นำทองคำที่เก็บไว้ที่ตู้นิรภัยของธนาคารกลางอังกฤษกลับประเทศ และจะยังคงเก็บรักษาทองคำร้อยละ 13 ไว้ที่กรุงลอนดอนเช่นเดิม

 

ธนาคารกลางเยอรมนี เปิดเผยว่า มีทองคำสำรองไว้กว่า 3,400 ตัน ที่มีมูลค่าราว 1.328 แสนล้านยูโร เมื่อสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีการเก็บทองคำไว้ที่เมืองแฟรงค์เฟิร์ต จำนวน 1,000 ตัน ธนาคารกลางสหรัฐฯในนครนิวยอร์ก 1,500 ตัน ธนาคารกลางฝรั่งเศสในกรุงปารีสเกือบ 400 ตัน และธนาคารกลางอังกฤษที่กรุงลอนดอน 450 ตัน หรือคิดเป็นทองคำราว 270,000 แท่ง

 

รายงานระบุว่า สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเยอรมนี แสดงการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลต่อการจัดเก็บทองคำสำรองของรัฐบาลที่ไม่เหมาะสม และเคยเสนอว่า ทองคำบางแท่งอาจไม่เคยมีการตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือไม่

 

http://www.matichon.co.th/

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สงสัยได้พักผ่อนกันยาวๆ เลย

ราคาไม่กระเตื้อง

 

 

cd45ebe9ea8e67db9ce547b6778bd7ef_1207796761.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...